อัจฉริยะสมองเพชร 2164-2167

 ตอนที่ 2164 ขาดแคลนพลังจิตวิญญาณ?

ไม่น่าเชื่อว่าในระยะเวลาสั้นๆเพียงไม่กี่สิบปี ปรมาจารย์ขงจะก้าวขึ้นสู่ความเป็นสุดยอดของสรวงสวรรค์ สร้างสภาปรมาจารย์ขึ้นได้อีกครั้ง ท้าทาย 8 จอมราชันย์และบีบบังคับให้พวกเขายอมรับการมีอยู่ของสภาปรมาจารย์จนได้


สมแล้วที่เป็นปรมาจารย์ขง!


แม้สรวงสวรรค์จะมีผู้เชี่ยวชาญอยู่มากมาย แต่พละกำลังของอีกฝ่ายก็เหนือชั้นเสียจนแทบไม่มีใครเทียบได้


แต่นั่นแหละ ไม่ว่าจอมราชันย์พิชิตสวรรค์จะใช่ปรมาจารย์ขงจริงๆหรือไม่ ความปรารถนาของจางเซวียนที่อยากพบอีกฝ่ายสักครั้งก็เหือดหายไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว


หลังจากผ่านเรื่องราวมามากมายกับตัวโคลนของปรมาจารย์ขง จางเซวียนรู้ดีว่าคงเป็นเรื่องโง่เง่าสิ้นดีหากพยายามตามหาตัวปรมาจารย์ขงก่อนที่จะมีพละกำลังมากพอจะปกป้องตัวเอง ถ้าปรมาจารย์ขงตัวจริงเกิดอยากได้หอสมุดเทียบฟ้าของเขาขึ้นมา เขาคงจบเห่


ไม่ใช่ว่าจางเซวียนไม่เชื่อมั่นในตัวปรมาจารย์ขง แต่หอสมุดเทียบฟ้าก็ทรงพลังเกินไป…จนกว่าเขาจะแข็งแกร่งพอที่จะยืนหยัดทัดเทียมกับปรมาจารย์ขงได้ หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายไว้ก่อนย่อมดีที่สุด


จริงอยู่ว่าปรมาจารย์ขงมีเศษเสี้ยวหนึ่งของสวรรค์อยู่ในครอบครองเช่นกัน แต่ถ้าเขาได้มาอีกเสี้ยวหนึ่ง ก็แน่นอนว่าจะต้องแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก คงเข้าถึงระดับที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นไปได้


ด้วยความเย้ายวนขนาดนั้น..ต่อให้ปรมาจารย์ขงก็คงต้านทานไม่ไหว


จางเซวียนเก็บงำความอัศจรรย์ใจไว้ เขาตั้งคำถามต่อไป “อาจารย์โม่หย่วน เมื่อครู่นี้คุณบอกว่ารังสีสวรรค์ของภูเขาสวรรค์สร้างมีจำกัดมาก ไม่ทราบว่าหมายความว่าอย่างไร?”


นี่คืออีกเรื่องหนึ่งที่อีกฝ่ายพูดไว้และทำให้เขาออกจะงุนงง


“ดูเหมือนอาจารย์หยางชวนไม่ได้บอกอะไรพวกคุณเลยจริงๆ แต่นั่นแหละ ในเมื่อพวกคุณยังบ่มเพาะตัวเองไม่ถึงขั้น ก็พอเข้าใจได้ที่เขาเก็บมันไว้เป็นความลับ” โม่หย่วนพยักหน้า


จากนั้นเขาก็ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะย้อนถาม “น้องจาง ในความเห็นของคุณ…คุณคิดว่าระดับความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณบนภูเขาวิญญาณยิ่งใหญ่แห่งนี้เป็นอย่างไร?”


“ภูเขาวิญญาณยิ่งใหญ่?” จางเซวียนบันทึกชื่อของภูเขาที่ทำให้เขาต้องลำบากลำบนกว่าครึ่งเดือนไว้ในหัวสมอง พร้อมกันนั้นก็ส่ายหน้าและตอบว่า “ภูเขาแห่งนี้มีพลังจิตวิญญาณอยู่น้อยมาก ไม่น่ามีใครฝึกฝนวรยุทธที่นี่ได้”


เขารู้สึกได้ทันทีที่มาถึงสรวงสวรรค์ สายลมที่โหมกระหน่ำก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ความแร้นแค้นของพลังจิตวิญญาณเป็นปัญหาใหญ่ที่รับมือได้ยากที่สุด เขาไม่อาจรวบรวมพลังจิตวิญญาณจากโดยรอบเพื่อเติมพลังให้ตัวเองได้ ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่ทำให้ลงท้ายต้องประทังชีพด้วยหญ้าป่า


โชคดีที่อย่างน้อยหญ้าป่าก็พอมีพลังจิตวิญญาณอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้น เขาคงต้องอดตายอยู่ที่ภูเขาแห่งนี้แน่!


“ใช่ แต่ไม่ใช่แค่ภูเขาวิญญาณยิ่งใหญ่เท่านั้น ทุกที่ในอาณาบริเวณนี้ที่ไม่มีเมืองใหญ่ตั้งอยู่ก็ล้วนแต่เดือดร้อนจากการขาดแคลนพลังจิตวิญญาณ อันที่จริง มีหลายแห่งที่กลายเป็นดินแดนรกร้างว่างเปล่าเพราะสิ่งนี้” โม่หย่วนพูดพร้อมกับส่ายหน้า


“ขาดแคลนพลังจิตวิญญาณ?” จางเซวียนแทบไม่เชื่อหู


สรวงสวรรค์ควรเป็นสุดยอดของจักรวาล แต่กลับมีปัญหาจากการขาดแคลนพลังจิตวิญญาณ? ยากจะทำใจให้เชื่อว่าเรื่องนี้เป็นความจริง!


จางเซวียนคิดเสมอว่าสรวงสวรรค์คงเป็นดินแดนในฝันของเหล่านักรบ เป็นที่พำนักของผู้เชี่ยวชาญมากมายที่เป็นสุดยอดของโลก บรรยากาศที่นี่น่าจะเปี่ยมด้วยพลังจิตวิญญาณ ทำให้นักรบคนไหนก็ตามที่บรรลุเงื่อนไขแล้วสามารถฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ แม่กิ่งไม้สักกิ่งที่ถูกเก็บขึ้นมาจากข้างถนนก็คงมีพละกำลังเทียบเท่ากับของล้ำค่าระดับอมตะขั้นสูง


ซึ่งเขาก็ไม่ได้เข้าใจผิดเสียทีเดียว


หญ้าป่าที่ขึ้นอยู่ตามพื้นเป็นทรัพยากรล้ำค่าสำหรับการฝึกฝนวรยุทธที่เทียบได้กับยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ แต่เท่าที่เขาได้ฟังจากโม่หย่วน ดูเหมือนสรวงสวรรค์กำลังค่อยๆเสื่อมสลาย พลังจิตวิญญาณที่ลดลงทำให้ทุกชีวิตถดถอยลงมาก และสุดท้าย สถานที่ที่ขาดแคลนพลังจิตวิญญาณก็จะพังทลายเป็นเถ้าธุลี


ยกตัวอย่าง แม้จะมีพืชพันธุ์มากมายขึ้นอยู่บนภูเขาวิญญาณยิ่งใหญ่ แต่เพราะพลังจิตวิญญาณหายไป สถานที่นั้นจึงค่อยๆเสื่อมถอยจนถึงจุดที่ทุกชีวิตแห้งเหี่ยวและล้มตาย


ก็เพราะเหตุนี้ที่ทำให้จางเซวียนต้องเดินทางแสนไกลเพื่อรวบรวมหญ้าป่า แต่ถึงอย่างนั้น ปริมาณหญ้าป่าที่เขาพบก็มีจำกัดมาก


นี่คือสรวงสวรรค์จริงๆหรือเปล่า?


อย่างกับเขาเข้าสู่สนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น!


ทุกที่ว่างเปล่าและเหี่ยวแห้งไปหมด ราวกับทั้งโลกกำลังตายไปอย่างช้าๆ


“บนภูเขานั้นยังมีหญ้าป่าและผลไม้จำนวนหนึ่งที่มีพลังจิตวิญญาณสะสมอยู่ นั่นหมายความว่าการเสื่อมถอยของพลังจิตวิญญาณเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน ถูกไหม?” จางเซวียนตั้งคำถาม


ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นนานแล้ว ภูเขาวิญญาณยิ่งใหญ่คงกลายเป็นสถานที่รกร้างว่างเปล่า การที่เขายังพบหญ้าป่า ผลไม้ และแม้แต่อสูรบางส่วนเพ่นพ่านอยู่บริเวณนั้น ก็หมายความว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา


ได้ฟังคำถามของจางเซวียน โม่หย่วนมองชายหนุ่มด้วยแววตาที่บ่งบอกความสงสัย “คงไม่ใช่ว่าคุณเพิ่งมาถึงสรวงสวรรค์หรอกนะ หรือไง?”


“แน่นอนว่าไม่ใช่ พวกเราอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆที่แยกตัวออกจากโลกภายนอก จึงไม่ค่อยรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในที่อื่นๆบ้าง แต่อยู่มาวันหนึ่ง ภัยพิบัติก็เข้าจู่โจม ก่อนที่เราจะรู้ตัว ก็เป็นเพียงคนกลุ่มเดียวที่หลงเหลืออยู่ในหมู่บ้าน ตอนนั้นเองที่พวกเราพบอาจารย์หยางชวน เขาเป็นคนพาพวกเราออกจากที่นั่น ด้วยเหตุนี้ จึงมีเรื่องราวมากมายที่พวกเราไม่รู้” จางเซวียนตอบอย่างกระอักกระอ่วน


เขาไม่รู้ว่าผู้คนในสรวงสวรรค์มองคนที่มาจากโลกเบื้องล่างอย่างไร จึงย่อมดีที่สุดหากจะอธิบายเรื่องราวของตัวเองอย่างระมัดระวัง


“ผมเข้าใจ” โม่หย่วนพยักหน้า “ครั้งแรกที่ปรากฏการณ์การเสื่อมถอยของพลังจิตวิญญาณเกิดขึ้นนั้นผ่านมาราว 40-50 ปีแล้ว ในครั้งนั้น ฟ้าถล่มโลกสะเทือน ท้องฟ้าครึ่งหนึ่งแตกสลาย ฝนตกลงมาไม่หยุดหย่อนจนน้ำท่วมโลก เกิดภัยพิบัติที่สร้างความเสียหายร้ายแรง สุดท้าย จอมราชันย์ที่อารักขาพื้นที่ด้านทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตกก็สังหารเต่ายักษ์ตัวหนึ่งและใช้ขาทั้ง 4 ของมันค้ำยันท้องฟ้าเอาไว้ ทำให้โลกกลับคืนสู่ความมั่นคงอีกครั้ง”


ถึงตอนนี้ โม่หย่วนหัวเราะหึๆก่อนจะพูดต่อ “แต่นั่นแหละ มันเป็นแค่เรื่องเล่าที่ร่ำลือกันไปเรื่อยราวกับไฟป่าหลังจากที่เกิดภัยพิบัติขึ้นแล้ว ซึ่งไม่มีทางบอกได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ผู้คนบางส่วนยังกล่าวอ้างด้วยว่าจอมราชันย์ของน่านฟ้าใจกลางเสรีใช้ความสามารถพิเศษของเขาซ่อมแซมสรวงสวรรค์ที่ถูกทำลาย เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นหลังจากที่เหตุการณ์นั้นจบลงแล้ว แต่ก็เห็นได้ชัดว่าการล่มสลายของท้องฟ้าเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า”


“พลังจิตวิญญาณเริ่มถดถอยลงไปทุกหนแห่ง สุดท้าย พื้นที่ส่วนใหญ่รอบๆสรวงสวรรค์ก็กลายเป็นดินแดนรกร้างว่างเปล่า เหมือนภูเขาวิญญาณยิ่งใหญ่ เหลือไว้ก็แต่เมืองใหญ่ๆเท่านั้นที่ยังไม่เกิดปรากฏการณ์นี้…”


“เอ่อ…” จางเซวียนตาโตด้วยความประหลาดใจ


40-50 ปีก่อน…นั่นก็ตกราว 4,000 ปีในมิติเบื้องบน และ 40,000 ปีในทวีปแห่งปรมาจารย์


นั่นประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่ปรมาจารย์ขงปรากฏตัวบนโลกเป็นครั้งแรก พร้อมกับการถือกำเนิดของ 6 สํานักใหญ่


หายนะภัยของสรวงสวรรค์และการที่ท้องฟ้ากับพื้นดินพังทลาย…ประกอบกับการครอบครองลิขิตสวรรค์ของปรมาจารย์ขง หรือว่าเรื่องพวกนี้จะเชื่อมโยงกัน?


ถ้ามีความเชื่อมโยงระหว่างทั้งคู่จริงๆ แล้วการที่เขาได้ครอบครองหอสมุดเทียบฟ้ามันหมายความว่าอย่างไร?


เพราะถึงอย่างไร เศษเสี้ยวของสรวงสวรรค์ก็ไม่มีทางเกิดขึ้นในโลกด้วยวิธีการตามธรรมชาติ การที่เขาสามารถใช้หอสมุดเทียบฟ้าในสรวงสวรรค์ได้ก็หมายความว่าเศษเสี้ยวของสรวงสวรรค์ที่เขาได้รับไม่ได้อ่อนแอกว่าสรวงสวรรค์ของที่นี่


ด้วยเหตุนี้ จางเซวียนจึงได้แต่เก็บความสงสัยเกี่ยวกับต้นกำเนิดของเศษเสี้ยวของสรวงสวรรค์เอาไว้ในใจ


โม่หย่วนเล่าต่อ “ผลของการที่พลังจิตวิญญาณถดถอยก็คือ การเข้าถึงวรยุทธระดับเทพเจ้าไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น การฝ่าด่านวรยุทธแต่ละครั้งจะต้องใช้พลังจิตวิญญาณปริมาณมากจากสิ่งแวดล้อม ซึ่งนั่นเป็นตัวเร่งให้สรวงสวรรค์เสื่อมถอยเร็วกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้ เก้าจอมราชันย์เก้าเวหาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องควบคุมปริมาณเทพเจ้าที่มีอยู่ พวกเขาสร้างภูเขาสวรรค์สร้าง 9 แห่งขึ้นรอบโลก ใครก็ตามที่อยากเป็นเทพเจ้าจะต้องมุ่งหน้าไปที่ภูเขาสวรรค์สร้างเหล่านั้นเพื่อเสาะหารังสีสวรรค์”


ส่วนจางเซวียนก็ตาโตเมื่อพลันเข้าใจ


อันที่จริง เรื่องนี้ก็คล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอาณาจักรคุนฉื่อ ด้วยความขาดแคลนของแหล่งทรัพยากร ผู้ที่มีสติปัญญาอ่อนด้อยต้องสูญเสียสิทธิ์ในการยกระดับวรยุทธเพื่อให้มีปริมาณทรัพยากรเพียงพอสำหรับผู้คนในสังคม


ถือเป็นเรื่องโหดร้ายไม่เบาสำหรับนักรบที่ฝึกฝนอย่างหนักมาชั่วชีวิตเพื่อพยายามยกระดับวรยุทธ แต่ก็เป็นวิธีเดียวที่จะชะลอการล่มสลายของสรวงสวรรค์ได้


“ผมเชื่อว่าเหตุผลที่ผู้อาวุโสหยางชวนพาพวกคุณมาเผชิญความยากลำบากก็เพื่อเสริมสร้างรากฐานวรยุทธของพวกคุณให้แข็งแกร่ง แม้พวกคุณจะเป็นแค่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ แต่สิ่งนี้จะช่วยให้คุณปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมบนภูเขาสวรรค์สร้างได้เร็วขึ้น เพิ่มโอกาสของการได้รับรังสีสวรรค์และฝ่าด่านวรยุทธจนสำเร็จ!” โม่หย่วนพูด


“สมกับเป็นผู้ที่มาจากสภาปรมาจารย์ พวกเขาใส่ใจทุกรายละเอียดของสิ่งที่กำลังทำอยู่ ไม่น่าแปลกใจหรอกที่ลูกศิษย์ของเหล่าปรมาจารย์ประสบความสำเร็จได้เหมือนเหล่าอัจฉริยะแม้จะมีสติปัญญาอ่อนด้อย…เอ่อ ขออภัยด้วยเถอะ ผมไม่ได้เจตนาจะดูถูกพวกคุณ…”


จางเซวียนกระพริบตาปริบๆ ไม่แน่ใจว่าควรตอบโต้คำพูดนั้นอย่างไร


ส่วนจ้าวหย่ากับคนอื่นๆ ก็เกือบหัวเราะลั่น


ชายที่อยู่ตรงหน้าช่างอาจหาญนักที่พูดว่าท่านอาจารย์ของพวกเขามีสติปัญญาอ่อนด้อย ท่านอาจารย์คือผู้ที่ฝึกฝนวรยุทธมาได้ไม่ถึง 2 ปีด้วยซ้ำตั้งแต่เข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ และใช้เวลาอีก 2 เดือนกว่าๆในมิติเบื้องบน ก็สำเร็จวรยุทธขั้นที่เป็นอยู่แล้ว


หากจะเปรียบเทียบกับกระแสกาลเวลาของสรวงสวรรค์ จางเซวียนใช้เวลาไปเพียง 0.73 วันในทวีปแห่งปรมาจารย์ และ 0.6 วันในมิติเบื้องบน ซึ่งรวมแล้วก็เท่ากับ 1.33 วัน


ในระยะเวลาเพียง 1.33 วัน…ท่านอาจารย์ของพวกเขาก็ก้าวข้ามด่านคอขวดได้ด่านแล้วด่านเล่าจนกลายเป็นเทพเจ้าตัวจริง แต่ยังมีคนกล้าบอกว่าเขามีสติปัญญาอ่อนด้อย?


ตลกสิ้นดี!


ตอนที่ 2165 การจัดอันดับของเทพเจ้าสวรรค์สร้าง?

“แค่ก แค่ก! ไม่เป็นไร ผมไม่ถือหรอก” จางเซวียนส่ายหน้า


เขาตั้งคำถามอีก 2-3 ข้อ ซึ่งก็โชคดีที่โม่หย่วนเป็นคนตรงไปตรงมาและพร้อมจะแบ่งปันทุกเรื่องที่ตัวเองรู้ ไม่ช้า จางเซวียนก็พอเข้าใจสถานการณ์ในสรวงสวรรค์ได้อย่างคร่าวๆ


แน่นอนว่าสรวงสวรรค์มีผู้เชี่ยวชาญอยู่มากมาย แต่เรื่องนี้มาพร้อมกับความถดถอยครั้งใหญ่…โลกที่เต็มไปด้วยผู้คนที่แข็งแกร่งมักไม่ค่อยใส่ใจระเบียบและกฎหมาย


ในโลกที่มีความเหลื่อมล้ำของพละกำลังอยู่มากมาย ผู้แข็งแกร่งกว่ามักทำอะไรได้ตามอำเภอใจ ขณะที่ผู้อ่อนแอจะต้องเก็บตัวอยู่ภายในพื้นที่ที่ปลอดภัยหลังกำแพงเมือง ไม่กล้าออกไปสำรวจอะไรให้มากนักเพราะเกรงจะต้องเผชิญหน้ากับเหล่ากองโจร


แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับสถานที่ที่อยู่นอกเมืองเท่านั้น หากเป็นภายในเมือง ต่อให้ผู้ที่แข็งแกร่งก็ต้องทำตามกฎเกณฑ์ที่ใช้บังคับ เพราะเจ้าเมืองแต่ละคนมีพละกำลังและอำนาจสูงสุดในดินแดนที่พวกเขาดูแลอยู่


อย่างเมืองตะวันรอน เจ้าเมืองอู๋ฟังชิงคือผู้เชี่ยวชาญระดับเทพเจ้าสวรรค์สร้าง เขาขึ้นชื่อเรื่องการมีแขนเหล็กที่ทำให้ปัดป้องการโจมตีจากหอกและดาบได้อย่างง่ายดาย และเคยทำสถิติกำจัดกองโจรถึง 18 กลุ่มได้ด้วยมือเปล่า ทำให้เป็นนักรบที่แข็งแกร่งจนไม่มีใครยับยั้งได้


ประชากรทุกคนที่พำนักอยู่ในเมืองตะวันรอนจะต้องทำตามกฎเกณฑ์ที่เขาตั้งไว้ ใครก็ตามที่ฝ่าฝืน จะต้องรับผลจากการกระทำของตัวเอง


กฎเกณฑ์ที่ตั้งขึ้นโดยผู้ที่แข็งแกร่งกว่าจะต้องได้รับการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ผู้ฝ่าฝืนจะต้องลงเอยด้วยการถูกสังหารและริบรังสีสวรรค์กลับคืน


นี่คือกลไกการทำงานของสรวงสวรรค์ จะเรียกว่าเป็นการรวบอำนาจโดยเบ็ดเสร็จเด็ดขาดก็ไม่ใช่เสียทีเดียว แต่ก็เห็นได้ชัดว่าโลกใบนี้ให้คุณค่ากับความแข็งแกร่งและพละกำลัง


“อาจารย์โม่หย่วน คุณเล่าเรื่องจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ให้ฉันฟังอีกหน่อยได้ไหม?” หวังหยิ่งถาม นัยน์ตาของเธอเปี่ยมด้วยความอยากรู้


เธอเองก็รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ


“จอมราชันย์พิชิตสวรรค์คือนักรบผู้ทรงพลังที่ปรากฏตัวขึ้นเมื่อหลายทศวรรษก่อน เขามีชื่อเสียง ตั้งแต่เมื่อ 40 ปีที่แล้ว หลังจากที่ตัวเขาซึ่งเป็นเทพเจ้าขั้นสูงต่อสู้และเอาชนะเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นต่ำถึง 8 คนได้สำเร็จ การต่อสู้ครั้งนั้นทำให้เขาขึ้นเป็นสุดยอดในการจัดอันดับของเทพเจ้าสวรรค์สร้าง” โม่หย่วนอธิบายอย่างตื่นเต้น


เท่าที่เห็น ดูเหมือนเขาชื่นชมยกย่องจอมราชันย์พิชิตสวรรค์อยู่มาก


“การจัดอันดับของเทพเจ้าสวรรค์สร้าง?”


“ทั้งเก้าเวหาจะมีการจัดอันดับของเทพเจ้าสวรรค์สร้าง ซึ่งบอกรายละเอียดและศักยภาพของนักรบแต่ละคนในดินแดนของพวกเขา ผู้ที่ติด 1 ใน 10 อันดับแรกจะได้เป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างขั้นสูง ส่วนผู้ที่ติด 1 ใน 3 ก็มีโอกาสที่ในท้ายที่สุดจะได้เป็นราชันย์เทพเจ้า ด้วยเหตุนี้ นักรบมากมายจึงพยายามไขว่คว้าดิ้นรนให้ชื่อของตัวเองติดโผของการจัดอันดับให้ได้ ขอแค่ได้อยู่ใน 10 อันดับแรก ก็จะได้รับทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธชั้นดีที่สุดของสำนักนั้น เป็นหนทางที่นำไปสู่การประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่” โม่หย่วนตอบ


ด้วยความขาดแคลนทรัพยากรของสรวงสวรรค์ สำนักต่างๆและกลุ่มอำนาจส่วนใหญ่จึงเลือกบ่มเพาะเฉพาะนักรบที่มีความปราดเปรื่องเหนือชั้นกว่าใคร ดังนั้น การจัดอันดับดังกล่าวจึงเป็นสิ่งที่นักรบมากมายพยายามสุดตัวที่จะติดโผให้ได้


การจัดอันดับคือสิ่งสำคัญที่จะทำให้พวกเขาได้ทรัพยากรมากพอสำหรับการยกระดับวรยุทธ


สิ่งนี้เหมือนกับกลไกการทำงานของอาณาจักรคุนฉื่อ


“หลังจากจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ก้าวขึ้นสู่อันดับหนึ่งของการจัดอันดับเทพเจ้าสวรรค์สร้าง ความก้าวหน้าของเขาก็พุ่งทะยานขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ภายในไม่ถึง 1 ปี เขาก็เข้าถึงขั้นราชันย์เทพเจ้า หลังจากนั้น กระแสพลังจิตวิญญาณก็ทำให้เขาประสบความสำเร็จในวีรกรรมที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน จน 7 จอมราชันย์พร้อมใจกันยกย่องให้เขาเป็นราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ”


“ไม่ถึง 1 ปีหลังจากนั้น เขาเริ่มต้นท้าทายเก้าจอมราชันย์ ตอนแรกทุกคนพากันคิดว่าเขาเสียสติไปแล้ว แต่กลับตรงกันข้ามกับที่ใครๆคิดไว้ เขาเอาชนะการดวลนัดแรกได้ และในทศวรรษต่อมา เขาก็ท้าทายจอมราชันย์คนแล้วคนเล่า ซึ่งเท่าที่ผมรู้ ดูเหมือนจอมราชันย์เพียงคนเดียวที่เขายังไม่ได้ท้าทายก็คือจอมราชันย์แห่งน่านฟ้าใจกลางเสรี พูดกันตามตรงนะ ผลการดวลไม่ได้ถูกประกาศออกมาอย่างเป็นทางการก็จริง แต่การที่จอมราชันย์คนอื่นๆยอมรับตัวตนของจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ ก็หมายความว่าพวกเขาน่าจะแพ้ดวล” โม่หย่วนกระซิบกระซาบ


แม้จะมีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับเก้าจอมราชันย์เก้าเวหา แต่ซุบซิบให้น้อยเข้าไว้ก็ย่อมดีที่สุด ความประมาทเลินเล่ออาจทำให้เขาต้องแลกด้วยชีวิต


“เขาท้าทายจอมราชันย์ทั้งแปดทีละคน…”


การได้ฟังเรื่องราวทำให้จางเซวียนเลือดพล่าน


สมแล้วที่เป็นปรมาจารย์ขง! ไม่ว่าอยู่ในโลกใบไหน ก็จะตะเกียกตะกายไขว่คว้าจนขึ้นถึงความเป็นสุดยอดจนได้


“ไม่ทราบว่าผมจะขอฟังรายละเอียดของจอมราชันย์แห่งน่านฟ้าใจกลางเสรีอีกหน่อยได้ไหม?” จางเซวียนถาม “ผมอยากรู้ว่าทำไมจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ถึงยังไม่ท้าทายเขา”


แม้คนอื่นจะไม่รู้ผลการดวล แต่ในฐานะที่เป็นจอมราชันย์ จอมราชันย์แห่งน่านฟ้าใจกลางเสรีย่อมรู้ดีว่าผลการดวลออกมาอย่างไร จึงออกจะแปลกอยู่สักหน่อยที่เขาไม่ทำอะไรเพื่อเป็นการตอบโต้


หรือว่าจอมราชันย์แห่งน่านฟ้าใจกลางเสรีไม่กล้าสู้กับจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ หลังจากรู้ข่าวความพ่ายแพ้ของจอมราชันย์คนอื่นๆ?


“บอกตามตรงนะ ผมไม่รู้หรอก เก้าจอมราชันย์เป็นศูนย์กลางของสรวงสวรรค์ พวกเขาคือจอมราชันย์ที่ไร้เทียมทานที่สุด ทั้งยังลึกลับที่สุดด้วย ข้อมูลของพวกเขามีน้อยมาก ทั้งเพศ อายุ ชื่อ และสมญานามก็ล้วนแต่เป็นความลับ เนิ่นนานจนแทบจำความไม่ได้แล้วที่ไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้าไปแตะต้องน่านฟ้าใจกลางเสรี และนั่นคือข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุดในเรื่องพละกำลังของจอมราชันย์”


ถึงตอนนี้ โม่หย่วนพลันรู้สึกตัวว่าพูดมากไป เขายิ้มแหยๆ จากนั้นก็โบกมือ “คุยกันแค่นี้ก็พอ พวกเราเป็นแค่มนุษย์ตัวเล็กๆของสรวงสวรรค์ กิจธุระของเก้าจอมราชันย์เก้าเวหาน่ะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเราหรอก พวกเราเปลี่ยนแปลงอะไรก็ไม่ได้ อย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ดีกว่า ตกลงไหม?”


“ได้” รู้ดีว่าคงไม่ได้ข้อมูลใดๆจากโม่หย่วนแล้ว จางเซวียนจึงหยุดพูด


ทุกคนเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ไม่ช้าบรรดาลูกศิษย์ของโม่หย่วนก็เริ่มม่อยหลับ ศีรษะพิงหน้าผา แม้แต่โม่หย่วนก็หลับตา ดูไม่ออกว่าเขาหลับไปแล้วจริงๆหรือเปล่า


เหลือแต่จางเซวียนกับเหล่าศิษย์สายตรงของเขาที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่กับพื้น ดูเหมือนกำลังเพ่งสมาธิ ให้กับการฝึกฝนวรยุทธ


พลังจิตวิญญาณที่นี่เบาบางมาก การฝึกฝนวรยุทธจึงเป็นไปได้ยาก แต่ทุกคนก็ไม่อยากเสียเวลา


ล่วงเข้าเที่ยงคืน จางเซวียนกำลังจะลุกขึ้นยืนและบิดขี้เกียจสักหน่อย ก็พอดีกับที่ต้องตัวแข็ง


“ฮะ?”


ดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาหันขวับไปยังทิศทางหนึ่งพร้อมกับขมวดคิ้ว


โม่หย่วนก็ลืมตา


เพราะต้องแบกความรับผิดชอบหนักอึ้งในการปกป้องลูกศิษย์ จึงไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้ตัวเองหลับ โม่หย่วนตรวจตราสภาพแวดล้อมอย่างถี่ถ้วน จากนั้นก็ตาโตด้วยความตื่นเต้น


เห็นทีท่าของโม่หย่วน จางเซวียนส่งสายตาตั้งคำถาม


“ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด มันน่าจะเป็นสิ่งที่ลูกศิษย์ของผมกำลังตามหาในการปฏิบัติภารกิจ, หมาจิ้งจอกสลาตัน!” โม่หย่วนอธิบายขณะลุกพรวด


จางเซวียนขมวดคิ้วหนักขึ้นอีกเมื่อได้ยินคำตอบนั้น เขาไม่รู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับสรวงสวรรค์ จึงแน่นอนว่าไม่มีทางรู้ว่าอสูรชนิดนั้นคืออะไร


โม่หย่วนอธิบายพร้อมกับหัวเราะหึๆ “มันเป็นอสูรสวรรค์ระดับเทพเจ้าขั้นต่ำ ความสามารถในการ โจมตีและป้องกันตัวของมันต่ำกว่ามาตรฐาน แต่มีความว่องไวเหนือชั้น เลือดและแก่นอสูรของมันมีองค์ประกอบของลม ทำให้นักรบที่ได้กลืนกินเข้าไปสามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วลื่นไหล ภารกิจนี้มีความเสี่ยงต่ำ แต่ก็ท้าทายไม่น้อย จึงเหมาะสมกับนักเรียน จากการสืบเสาะของผม รังของมันน่าจะอยู่ห่างจากที่นี่โดยใช้การเดินทางราวครึ่งวัน แต่ดูเหมือนตอนนี้เราจะโชคดี!”


หลังจากอธิบายให้จางเซวียนฟัง โม่หย่วนหันไปกระซิบกระซาบลูกศิษย์ของเขา “เสิ่นเฉิง อู๋เฉียวเฉี่ยว ตื่นได้แล้ว!”


แม้เด็กวัยรุ่นเหล่านี้จะผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว แต่ในฐานะนักรบระดับเทพเจ้า พวกเขายังคงมีความระแวดระวังต่อสภาพรอบตัวแม้ยามหลับ เมื่อได้ยินเสียงเรียกของท่านอาจารย์ ต่างคนต่างรีบลุกขึ้นและสลัดความงุนงงออกไป เพียงไม่กี่อึดใจก็เตรียมตัวพร้อมสำหรับการต่อสู้


“มีอะไรหรือ อาจารย์โม่หย่วน?” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีขาวที่ชื่อเสิ่นเฉิงตั้งคำถามด้วยความสงสัย


“ฟังเอาเองเถอะ” โม่หย่วนพูดขณะชี้นิ้วไป


เสิ่นเฉิงเงี่ยหูฟังครู่หนึ่งก่อนที่นัยน์ตาจะวาววับด้วยความตื่นเต้น “มันคือหมาจิ้งจอกสลาตันใช่ไหม?”


“ใช่” โม่หย่วนพยักหน้า


“เยี่ยมเลย ดูเหมือนวันนี้ภารกิจของพวกเราคงสำเร็จแน่!” เสิ่นเฉิงอุทานอย่างตื่นเต้น เขาลุกพรวดและร้องเรียกเพื่อนร่วมทีม “ทุกคน เตรียมพร้อม! เราจะทำตามแผนที่วางไว้!”


“ได้สิ” ทุกคนกระซิบกระซาบก่อนจะพุ่งออกไปอย่างเงียบเชียบ


การเคลื่อนไหวของพวกเขาถูกวางแผนมาอย่างดี ไม่มีอะไรขาดเกิน ทุกอย่างเงียบกริบ


เห็นภาพนี้ จางเซวียนพยักหน้า


สมกับที่เป็นอัจฉริยะของสรวงสวรรค์ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกคนเป็นนักรบที่มีทักษะพอตัว ถึงจะมีวรยุทธแค่ระดับเทพเจ้าขั้นต่ำ แต่ประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกเขาก็ไม่ใช่สิ่งที่ประมาทได้


“น้องจาง ระหว่างนี้พวกคุณพักรอที่นี่ก่อน ผมจะออกไปคอยดูพวกเขา” โม่หย่วนพูดและหัวเราะหึๆ ก่อนจะรีบตามลูกศิษย์ของเขาไป


“จ้าวหย่า ฝากดูแลศิษย์น้องและท่านพ่อท่านแม่ของผมด้วยนะ เดี๋ยวผมกลับมา” จางเซวียนสั่งการจ้าวหย่าก่อนจะตามไป


เขารู้สึกว่าหากได้เห็นกับตาว่าลูกศิษย์ของโม่หย่วนจับตัวหมาจิ้งจอกสลาตันด้วยวิธีไหน ก็จะเป็นโอกาสให้เขาได้ประเมินประสิทธิภาพการต่อสู้โดยเฉลี่ยของนักรบทั่วไปในสรวงสวรรค์


เพราะอาการบาดเจ็บของจางเซวียนยังไม่หายดี จึงทำได้แค่ติดตามโม่หย่วนกับบรรดาลูกศิษย์ไป กว่าจะไปถึง เสิ่นเฉิงกับคนอื่นๆก็ตีวงล้อมหมาจิ้งจอกสลาตันไว้แล้ว


หมาจิ้งจอกสลาตันเป็นอสูรขนาดเล็ก ดูออกว่าไม่ได้แข็งแกร่งสักเท่าไหร่ ความได้เปรียบเดียวที่มีก็คือความเร็ว


ตอนที่ 2166 แกคิดจะไปไหน?

“เด็กพวกนี้ถือว่าไม่เลว” จางเซวียนพึมพำขณะศึกษากระบวนท่าการโจมตีของทุกคนอย่างถี่ถ้วน


เขาเคยคิดว่าบรรดาลูกศิษย์ของโม่หย่วนคงเป็นแค่มือใหม่ โดยเฉพาะอายุของพวกเขาที่ยังน้อย แต่ยุทธวิธีและความยืดหยุ่นที่ทุกคนแสดงให้เห็นบ่งบอกชัดว่าทุกอย่างแตกต่างจากที่เขาคิด


แต่ละคนทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของค่ายกลผนึกกำลังได้เป็นอย่างดีเมื่อสำแดงกระบวนท่าออกมา ทำให้ไม่เปิดช่องว่างใดๆให้หมาจิ้งจอกสลาตันหลุดรอดไปได้ ด้วยเหตุนี้ หมาจิ้งจอกสลาตันจึงหนีไปไหนไม่รอดแม้จะได้เปรียบเรื่องความเร็ว


ก็ไม่แปลกที่โม่หย่วนจะพลั้งปากแสดงอาการดูถูกเหล่าศิษย์สายตรงที่ปรมาจารย์รับไว้ เพราะแค่เฝ้าดูเสิ่นเฉิงกับพรรคพวก ก็เห็นได้ชัดว่านักเรียนของสถาบันตะวันรอนเป็นพวกหัวกะทิ


ไม่ว่าจะเป็นความยืดหยุ่น กาปรับตัว ระยะเวลา หรือสัญชาตญาณการต่อสู้…เสิ่นเฉิงกับคนอื่นๆแสดงออกชัดว่าความสามารถของพวกเขาอยู่ในระดับที่เหนือกว่านักรบธรรมดาสามัญ


“หมาจิ้งจอกสลาตันตัวนั้นไม่น่าหนีรอดไปได้” จางเซวียนตั้งข้อสังเกต


ด้วยความละเอียดถี่ถ้วนของเสิ่นเฉิงกับคนอื่นๆ ไม่มีทางที่พวกเขาจะปล่อยให้หมาจิ้งจอกสลาตันหลุดมือ การต่อสู้ครั้งนี้ถือเป็นอันปิดจ๊อบ


เมื่อรู้ว่าเฝ้าดูต่อไปก็ไม่ได้ประโยชน์ จางเซวียนหันหลังกลับเพื่อไปสมทบกับจ้าวหย่าและคนอื่นๆ แต่หลังจากออกเดินไปได้แค่ 2-3 ก้าว ความคิดหนึ่งก็พลันแวบเข้ามา


ตามความเข้าใจของเขา อสูรส่วนใหญ่จะเคลื่อนไหวอยู่ในอาณาบริเวณจำกัดที่พวกมันยึดถือเป็นดินแดนของตัวเอง นอกจากออกล่าเหยื่อ พวกมันมักไม่ยอมออกนอกอาณาเขตเพราะเกรงจะต้องเสี่ยงอันตราย


เท่าที่ฟังจากโม่หย่วน รังของหมาจิ้งจอกสลาตันน่าจะอยู่ห่างจากที่นี่ออกไปโดยใช้การเดินทางราวครึ่งวัน แล้วทำไมดึกดื่นค่ำคืนแบบนี้…มันถึงยังร่อนเร่ออกมาไกลจากถิ่นของตัวเอง?


นี่มันขัดกับสิ่งที่ควรจะเป็น


จางเซวียนเก็บความสงสัยไว้ เขาเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้และพิจารณาหมาจิ้งจอกสลาตันอย่างถี่ถ้วน


ร่องรอยการเคลื่อนไหวมากมายทับซ้อนกันไปมาปรากฏต่อสายตาของเขา จางเซวียนใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อแยกแยะว่ารอยไหนเป็นของหมาจิ้งจอกสลาตัน แล้วก็พลันตาโต


รอยเท้าของมันจางมาก บ่งบอกว่ามันอยู่ระหว่างการไล่ล่าบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งระหว่างการตามล่า มันรับรู้ได้ถึงการปรากฏตัวของเสิ่นเฉิงกับนักเรียนคนอื่นๆ ทำให้หันหลังกลับทันทีและออกวิ่งหนี แต่ก็ช้าไป


จางเซวียนแกะรอยเท้าของหมาจิ้งจอกสลาตันอย่างถี่ถ้วนก่อนที่มันจะออกหนี ไม่ช้าเงามืดก็บดบังร่างของเขา


สิ่งที่ทำให้หมาจิ้งจอกสลาตันยอมออกจากรังและตระเวนร่อนเร่ยามค่ำคืนได้จะต้องเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดา จางเซวียนรู้สึกว่าผลการสืบเสาะครั้งนี้ไม่ทำให้เขาผิดหวัง


เขาออกเดินไปอีกครู่หนึ่ง ก่อนสุดท้ายจะหยุดกึก


รอยเท้าของหมาจิ้งจอกสลาตันหยุดลงที่ใจกลางป่าทึบ เป็นไปได้ว่านี่คือจุดที่หมาจิ้งจอกสลาตันรับรู้ถึงการปรากฏตัวของเสิ่นเฉิงกับคนอื่นๆเป็นครั้งแรกและตั้งต้นหลบหนี


จางเซวียนเดินลัดเลาะเข้าไปในป่าทึบอย่างช้าๆขณะศึกษาสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างถี่ถ้วน


พระจันทร์เสี้ยวที่อยู่กลางอากาศไม่ได้ให้แสงสว่างมากนัก แถมยังมีเงาไม้บดบัง ทำให้ทุกอย่างมืดครึ้มกว่าเดิม จางเซวียนพบว่าทัศนวิสัยของเขาแย่ลงเรื่อยๆแม้จะเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้


สุดท้ายเขาก็มาถึงจุดที่รอยเท้าหยุดลงและตั้งต้นตรวจสอบสภาพแวดล้อมอย่างละเอียด


แต่นอกจากพืชธรรมดาสามัญบางชนิด เขาก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดที่ผิดทาง ไม่มีร่องรอยใดๆบอกเขาได้เลยว่าหมาจิ้งจอกสลาตันกำลังตามหาอะไร


ความแปลกประหลาดนี้ยิ่งทำให้จางเซวียนอยากรู้มากขึ้น


หมาป่าสลาตันคงไม่ยอมเสี่ยงถึงขนาดออกจากรังยามวิกาลเพียงเพื่อไล่ล่าอะไรบางอย่างที่ไม่ได้สลักสำคัญ เพราะฉะนั้นจะต้องมีบางสิ่งอยู่แถวนี้ เพียงแต่เขาต้องหาให้เจอว่ามันคืออะไร


จางเซวียนไม่ได้ใช้หอสมุดเทียบฟ้าเลยตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา และพืชพรรณต่างๆในสรวงสวรรค์ก็แตกต่างจากที่มีในมิติเบื้องบนกับทวีปแห่งปรมาจารย์ เขาจึงระบุสายพันธุ์ของมันอย่างแน่ชัดไม่ได้ แต่ด้วยนัยน์ตาหยั่งรู้ เขาก็ยังพอบอกได้ว่าชนิดไหนปลอดภัยพอจะกินเข้าไปหรือไม่


หรือต่อให้การคาดการณ์ของจางเซวียนผิดพลาด ก็ยังมีผู้ที่มีสภาวะกายพิษแต่กำเนิดอยู่ในกลุ่ม เขาสามารถทดลองกับเธอก่อนได้ ซึ่งถ้าเธอพบว่าพืชชนิดนั้นไม่น่าพอใจ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะกินมันได้โดยไม่เกิดพิษภัยร้ายแรง


จางเซวียนใช้ดวงตาหยั่งรู้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จึงรู้ดีว่ามันมีประสิทธิภาพดีเมื่ออยู่ในสรวงสวรรค์ ถ้าหมาจิ้งจอกสลาตันกำลังตามล่าบางอย่างอยู่จริงๆก็ไม่มีทางที่เขาจะไม่พบร่องรอยของสิ่งนั้น


นั่นทำให้เหลือความเป็นไปได้เพียงข้อเดียว…สิ่งที่หมาจิ้งจอกสลาตันกำลังตามหายังอยู่แถวนี้!


จางเซวียนจึงสำรวจบริเวณโดยรอบต่อไป แต่ก็ยังไม่พบอะไรที่น่าสนใจมากพอ


ถึงตอนนี้ หน้าตาของเขายู่ยี่


เว้นเสียแต่สิ่งที่หมาจิ้งจอกสลาตันตามหาจะบินได้หรือดำดินได้ ก็ไม่มีทางที่เขาจะไม่พบอะไรเมื่อเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้


แต่ถ้าสิ่งนั้นบินได้ หมาจิ้งจอกสลาตันก็คงไม่มีทางได้มันมา แปลว่ามันอยู่ใต้พื้นดินหรือ?


จางเซวียนจ้องดูพื้นดินแห้งผากที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา แต่ก็ไม่มีร่องรอยการถูกขุด ขณะที่กำลังสับสน สายตาของเขาก็พลันสะดุดที่หญ้าป่าชนิดหนึ่งซึ่งมีใบสีเขียวสดเรียวยาวราวกับใบมีด


หญ้าป่าชนิดนี้ไม่ได้ดูแปลกแยกจากสภาพแวดล้อมโดยรอบ แต่จางเซวียนรู้สึกได้ถึงบางอย่างทันที เขาสำรวจพื้นที่นี้เพื่อเสาะหาหญ้าป่ามาอย่างน้อยก็ 10 ครั้งแล้ว แต่ไม่เคยเห็นหญ้าป่าที่มีใบเรียวยาวราวกับใบมีดมาก่อน


ถ้ามันอยู่ตรงนี้มาตลอด เขาคงเก็บมันไปนานแล้ว ไม่มีทางที่จะปล่อยให้ยังอยู่ถึงตอนนี้


จางเซวียนจึงเดินเข้าไปสัมผัสต้นหญ้า


วิ้งงง!


หนังสือเล่มหนึ่งปรากฏในหัวสมองของเขา


“หญ้าโบราณอสูรเขียว เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดพิเศษที่สามารถเปลี่ยนสภาพกลับไปมาได้อย่างอิสระระหว่างอสูรกับหญ้าที่มีใบเรียวยาว คุณสมบัติทางยาของมันคือความสามารถในการบ่มเพาะจิตวิญญาณ หากผสมกับเลือดของอสูรม่าหยาง ยาที่ได้จะมีอานุภาพในการยกระดับจิตวิญญาณของเทพเจ้าให้เข้าสู่ระดับของเทพเจ้าสวรรค์สร้าง ข้อ 1: มีคุณสมบัติเป็นพิษร้ายแรง เป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ หากถอนพิษไม่ได้ ต่อให้จิตวิญญาณของผู้นั้นจะแข็งแกร่งขึ้นอีกมากภายใต้อานุภาพการบ่มเพาะของมัน แต่ร่างกายของเขาจะค่อยๆเสื่อมสภาพเพราะผลของยาพิษ ข้อ 2: เป็นสมุนไพรที่หายากมากในสรวงสวรรค์…”


จางเซวียนตาโต


ถ้าไม่ใช่เพราะเขาใช้หอสมุดเทียบฟ้าได้ คงถูกอีกฝ่ายหลอกตาไปแล้ว


มันดูไม่ต่างอะไรกับหญ้าทั่วไป ถึงขนาดที่แม้ใช้ดวงตาหยั่งรู้ก็บอกความแตกต่างไม่ได้


สิ่งนี้เหมือนถั่งเช่าในชีวิตเก่าของเขา ในฤดูหนาวมันจะมีสภาพเป็นหนอน ส่วนในฤดูร้อนจะกลายเป็นพืช และขึ้นชื่อเรื่องคุณสมบัติทางยา


โชคดีเหลือเกินที่บังเอิญมาเจอทรัพย์สมบัติล้ำค่าแบบนี้ ลำพังแค่อานุภาพของมันที่ยกระดับจิตวิญญาณจากเทพเจ้ามาเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้างก็เกินพอจะบ่งบอกถึงคุณภาพของฤทธิ์ยาแล้ว


ไม่น่าแปลกใจที่หมาจิ้งจอกสลาตันยอมฝ่าอันตรายยามค่ำคืนออกมาเพื่อตามหามัน


ส่วนคุณสมบัติที่มีฤทธิ์เป็นยาพิษ ในฐานะนักรบที่ได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้า เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา


เมื่อรู้คุณค่าของพืชที่อยู่ตรงหน้า จางเซวียนก็ไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือ เขายื่นมือออกไปคว้ามันทันที


หญ้าโบราณอสูรเขียวดูจะรู้ว่าจางเซวียนตั้งใจจับตัวมัน มันกระโจนพรวดขึ้นจากพื้นดินและพุ่งออกไป การเคลื่อนไหวของมันรวดเร็วเสียจนเหมือนมีกระแสลมกรรโชกพัดผ่าน


“แกคิดจะไปไหน?”


เหตุผลเดียวที่ก่อนหน้านี้จางเซวียนต้องลำบากลำบนแม้กระทั่งจับกระต่ายสักตัวก็ไม่ได้ก็เพราะเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส พลังงานและความสามารถทุกอย่างลดลงไปหมด แต่หลังจากอิ่มแปล้กับอาหารเย็นมื้อใหญ่ ก็ได้พละกำลังกลับคืนมาไม่น้อย ถ้าในสภาพนี้เขายังจับไม่ได้แม้แต่หญ้าต้นหนึ่ง คงไม่อาจสู้หน้าใครได้อีก


ในชั่วพริบตา เขาก้าวพรวดออกไปทีเดียว 8 เมตรและยื่นมือออกไป


พลังงานสวรรค์ระเบิดออกจากปลายนิ้วของเขาและถักทอเข้าด้วยกัน เกิดเป็นตาข่ายแน่นหนา


หัวใจเส้นด้ายสอดประสานพันปม!


ด้วยประสิทธิภาพของศิลปะเพลงดาบที่เหนือชั้นกว่าแม้แต่ศิลปะเพลงดาบเทียบฟ้า หญ้าที่มีใบเรียวยาวราวกับใบมีดก็ถูกจับไว้อย่างรวดเร็ว


จางเซวียนหยิบหญ้าโบราณอสูรเขียวขึ้นมาและถ่ายทอดพลังจิตวิญญาณของเขาเข้าไป เพียงครู่เดียวก็รู้สึกได้ถึงพลังงานบ่มเพาะที่ไหลกลับเข้าสู่จิตวิญญาณของเขา ทำให้อบอุ่นซาบซ่านไปทั้งตัว


ด้วยความพอใจกับผลการออกล่าวันนี้ จางเซวียนใช้ตาข่ายกระแสดาบฉีอีกอันหนึ่งคลุมหญ้าโบราณอสูรเขียวไว้เพื่อให้แน่ใจว่ามันจะไม่มีโอกาสหลบหนี ก่อนจะใช้เสื้อตัวหนึ่งห่อไว้อีกชั้น


วรยุทธของจิตวิญญาณของเขาในเวลานี้อยู่ในระดับเทพเจ้าขั้นต่ำ ถ้าเขาสามารถยกระดับมันขึ้นไปเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง ก็มั่นใจว่าจะสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเทพเจ้าสวรรค์สร้างคนอื่นๆได้!


หลังจากเก็บสมุนไพรไว้อย่างมิดชิดแล้ว จางเซวียนก็รีบกลับสู่จุดรวมพลบริเวณที่จ้าวหย่ากับคนอื่นๆรออยู่ เมื่อมาถึง ก็เห็นโม่หย่วนกับลูกศิษย์ของเขากลับมาแล้ว มีหมาจิ้งจอกสลาตันอยู่ในมือ มันดิ้นรนต่อสู้สุดกำลัง แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงชะตากรรมได้


เป็นอย่างที่จางเซวียนคิดไว้ พวกนั้นจับตัวหมาจิ้งจอกสลาตันได้โดยแทบไม่มีปัญหาอะไร


เขาเดินเข้าหาอีกฝ่ายและยิ้มให้ “ยินดีด้วย พวกคุณปฏิบัติภารกิจสำเร็จแล้ว!”


“น้องจาง คุณไปไหนมา?” โม่หย่วนถาม


เขาออกจะแปลกใจเล็กน้อยเมื่อกลับมาแล้วไม่พบจางเซวียน


“ผมอยากเห็นว่าพวกคุณจับตัวหมาจิ้งจอกสลาตันอย่างไร เมื่อครู่นี้จึงตามไป แต่บังเอิญตามไม่ทันและหลงทางไปครู่หนึ่งตอนที่พยายามคลำทางกลับมา” จางเซวียนพูด


“คุณนี่ทึ่มจริงๆ อุตส่าห์หลงทางได้ทั้งที่ระยะทางก็ใกล้แค่นี้!” สาวน้อยคนหนึ่งที่เป็นลูกศิษย์ของโม่หย่วนมองจางเซวียนด้วยสายตาเหยียดหยาม


คนพวกนี้เกือบทำให้กลุ่มของเธอปฏิบัติภารกิจไม่สำเร็จ หากพวกเขาแข็งแกร่งก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายโง่เง่าเสียจนเพียงแค่ระยะทางสั้นๆก็ยังหลง มันเรื่องอะไรพวกเธอถึงต้องยุ่งเกี่ยวกับคนหัวขี้เลื่อยแบบนี้?


ที่สำคัญกว่านั้น ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่เสิ่นเฉิงก็สนใจเธอมาตลอด แต่กลับไม่เหลียวแลเธออีกเลยตั้งแต่แม่สาวสองสามคนนั่นปรากฏตัว แค่คิดเรื่องนี้ก็ทำให้เธอโมโหเดือด


ตอนที่ 2167 แย่แล้ว…

“คุณว่าใคร?” จ้าวหย่าลุกพรวดขณะสวนกลับด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ


เธอพอปล่อยผ่านได้ถ้าอีกฝ่ายดูถูกเธอ แต่จะไม่มีวันปล่อยให้ใครดูถูกท่านอาจารย์โดยเด็ดขาด!


“คุณก็รู้อยู่แก่ใจว่าฉันพูดถึงใคร!” อู๋เฉียวเฉี่ยวเย้ย “ถ้าคุณเหยาะแหยะไม่ได้เรื่อง ก็น่าจะรู้ตัวว่าควรอยู่เฉยๆ ไม่เที่ยววิ่งพล่านไปไหนมาไหน เพราะไม่อย่างนั้นก็มีแต่จะทำให้พวกเราเดือดร้อน ต้องคอยไปช่วยเหลือคุณเมื่อตกอยู่ในอันตราย!”


“พอที!” โม่หย่วนตวาดก้อง


“ท่านอาจารย์…” อู๋เฉียวเฉี่ยวมองโม่หย่วนอย่างขัดใจ


“ดูเสียบ้างว่าตัวเองทำอะไรลงไป! นักเรียนของสถาบันตะวันรอนควรทำตัวแบบนี้หรือ?” โม่หย่วนตำหนิ


จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับจางเซวียน “ได้โปรดอย่าถือสาเลย อู๋เฉียวเฉี่ยวยังเด็ก มารยาทอ่อนด้อยไปบ้าง โปรดอภัยด้วยหากเธอพูดอะไรที่ทำให้คุณขุ่นเคืองใจ”


“ไม่เป็นไร” จางเซวียนตอบอย่างสุขุม


เขาผ่านอะไรมามากมายตั้งแต่เมื่อครั้งอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์และมิติเบื้องบน แน่นอนว่าคงไม่อารมณ์เสียเพียงเพราะคำพูดของสาวน้อยคนหนึ่ง


หลังจากไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง โม่หย่วนแยกหมาจิ้งจอกสลาตันไปอีกด้านหนึ่งและตั้งต้นสอบสวนมันโดยใช้วิธีการพิเศษของเขา จากนั้นก็ผละไปราว 2 ชั่วโมงก่อนจะกลับมาด้วยสีหน้าครุ่นคิดหนัก หน้าผากของเขาย่นเป็นร่องลึก


ดูเหมือนเขารู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่สุดท้ายก็ไม่พบอะไร


เขาออกจะประหลาดใจเล็กน้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้สงสัยจางเซวียน เพราะหากอสูรที่ว่องไวอย่างหมาจิ้งจอกสลาตันยังจับหญ้าโบราณอสูรเขียวไม่ได้ ในทางปฏิบัติ ก็ไม่น่าเป็นไปได้ที่จางเซวียนจะทำสำเร็จ ต่อให้เขามองทะลุการปลอมตัวของมันได้ตั้งแต่แรกก็ตาม


คืนนั้นผ่านไปโดยไม่มีใครพูดอะไร


รุ่งเช้า ทั้งกลุ่มก็เก็บข้าวของเพื่อออกเดินทางกลับเมืองตะวันรอน


โม่หย่วนดีใจที่เขาปฏิบัติภารกิจที่ผู้อาวุโสหยางชวนมอบหมายให้จนลุล่วงโดยไม่กระทบกระเทือนภารกิจของบรรดาลูกศิษย์ของเขา แม้จะเสียดายที่ไม่ได้หญ้าโบราณอสูรเขียวมา แต่อย่างน้อยก็เป็นการเดินทางที่ได้ผลตอบแทนอย่างงาม


เพราะพวกเขาเดินทางกลับตามเส้นทางเดียวกับขามา โม่หย่วนกับลูกศิษย์จึงคุ้นเคยกับเส้นทางเป็นอย่างดี บางที…อาจเป็นเพราะการเสื่อมถอยของพลังจิตวิญญาณ อสูรสวรรค์ส่วนใหญ่ที่อยู่ในหุบเขาจึงพากันอพยพออกไป ทั้งกลุ่มจึงไม่ต้องเผชิญหน้ากับอันตรายมากนักระหว่างการเดินทางกลับ


พวกเขารุดหน้าต่อไปอีก 3 วันเต็ม


เมื่อมีโม่หย่วนซึ่งเป็นนักรบระดับเทพเจ้าขั้นกลางเดินทางมาด้วย การล่าอสูรและเสาะแสวงหาอาหารชั้นยอดจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ การได้กินอาหารเต็มอิ่มทุกมื้อทำให้พลังปราณเทียบฟ้าของจางเซวียนค่อยๆฟื้นคืนกลับมา อาการบาดเจ็บของเขาได้รับการเยียวยาอย่างรวดเร็ว


แม้จะยังห่างไกลจากการฝ่าด่านวรยุทธ แต่อย่างน้อยที่สุดก็ไม่กระเสาะกระแสะเหมือนตอนที่เพิ่งมาถึงสรวงสวรรค์


“เราควรออกจากสันเขาให้ได้ภายในวันนี้” โม่หย่วนพูด “และยังเร็วเกินไปที่จะลดมาตรการการเฝ้าระวัง เพราะมีกองโจรที่เก่งกาจอยู่ 2-3 กลุ่มในอาณาบริเวณโดยรอบภูเขาจิตวิญญาณยิ่งใหญ่ คนพวกนั้นทั้งโง่เขลาและโหดเหี้ยม พวกเขาจะไม่ยอมหยุดยั้งไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรทั้งนั้น!”


พลังจิตวิญญาณเสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็วเสียจนนักรบมากมายรู้สึกว่าแม้จะเอาชีวิตรอดก็ยังเป็นเรื่องยาก ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงลงเอยด้วยการปล้นสะดมพ่อค้าหรือนักเดินทางที่บังเอิญผ่านมา


ท่านเจ้าเมืองใช้มาตรการมากมายหลายข้อเพื่อกำจัดเหล่ากองโจร แต่ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความแตกต่างใดๆ ในเมื่อการมีชีวิตรอดคือเดิมพัน ก็ดูเหมือนจอมโจรเหล่านั้นจะไม่ยอมหยุดยั้งการกระทำของตัวเองเพียงเพราะเกรงกลัวท่านเจ้าเมือง


เพราะต้นตอของปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข นักรบคนแล้วคนเล่าจึงลงเอยด้วยการทำตัวเป็นมหาโจรเพื่อเอาชีวิตรอด


เมื่อรู้ว่ามีกองโจรอยู่แถวนี้ ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียด


การรับมือกับมนุษย์นั้นอันตรายกว่าการรับมือกับอสูรมาก มีความเป็นไปได้ว่าการเดินทางออกจากสันเขากลับสู่เมืองตะวันรอนน่าจะเป็นช่วงที่อันตรายที่สุดในการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้


“พวกคุณทุกคนคงได้ยินแล้วนะ? อย่าเที่ยววิ่งไปไหนมาไหนตามใจ อีกอย่าง พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องปกป้องคุณหากเผชิญหน้ากับกองโจร เพราะฉะนั้น ดูแลตัวเองด้วย!” อู๋เฉียวเฉี่ยวมองจางเซวียนกับพรรคพวกและคำรามเยาะ


จางเซวียนกับบรรดาศิษย์สายตรงของเขาไม่แยแส


พูดก็พูดเถอะ พวกเขาไม่เคยคิดจะพึ่งพิงการปกป้องจากอีกฝ่ายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว


“จ้าวหย่า คุณอยู่ข้างๆผมนะ เผื่อเราต้องเผชิญหน้ากับกองโจร ผมจะปกป้องคุณด้วยชีวิต” เสิ่นเฉิงเดินเข้ามาบอกอย่างมั่นอกมั่นใจ


“ไม่จำเป็นหรอก” จ้าวหย่าตอบห้วนๆขณะเดินไปสมทบกับท่านอาจารย์ของเธออย่างไม่ลังเล


“เอ่อ…” เสิ่นเฉิงถูกทิ้งให้ยืนหงอยอยู่คนเดียวหลังจากถูกปฏิเสธอย่างโหดร้าย


ส่วนอู๋เฉียวเฉี่ยวที่อยู่ด้านหลังก็กัดฟันกรอดด้วยความโมโห


เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาด ทั้งกลุ่มเร่งฝีเท้าและมุ่งหน้าต่อไป


“ท่านอาจารย์ ทำไมเราไม่พักกันสักครู่? อีกเพียง 4 ชั่วโมงก็จะถึงเมืองตะวันรอนแล้ว ลดความเร็วลงสักหน่อยก็ได้…” อู๋เฉียวเฉี่ยวเสนอด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย


หลังจากเร่งฝีเท้ากันมาทั้งคืน ลูกศิษย์ทุกคนของโม่หย่วนก็ออกอาการเหนื่อยอ่อน


น่าแปลกใจที่จ้าวหย่ากับศิษย์สายตรงคนอื่นๆของจางเซวียนไม่มีอาการอ่อนล้าทั้งที่มีวรยุทธอ่อนด้อยกว่า ทุกคนเร่งฝีเท้าตามทั้งกลุ่มได้โดยไม่มีปัญหา


โม่หย่วนลังเลที่จะหยุดพัก แต่เมื่อเห็นว่าลูกศิษย์ของเขาไม่น่าจะไปต่อไหวในสภาพแบบนี้ ในที่สุดจึงพยักหน้าและเอ่ยปากอนุญาต


ทุกคนรีบหาทำเลเหมาะๆ จากนั้นก็ก่อกองไฟและนั่งรวมตัวกันเพื่อทำร่างกายให้อบอุ่น


พวกเขาถอนหายใจอย่างโล่งอกและกำลังจะพักผ่อนตามสบาย ก็พอดีกับที่ได้ยินเสียงเหยาะย่างของฝูงม้าดังมาจากระยะไกล พื้นดินสั่นสะเทือนไม่หยุด เป็นลางของหายนะ


“แย่แล้ว…” โม่หย่วนหน้าเสีย


เขาไม่คิดว่าจะโชคร้ายถึงขนาดถูกโจมตีทันทีที่เพิ่งหยุดพัก โม่หย่วนโบกมือเพื่อดับกองไฟก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนเพื่อตรวจสอบสถานการณ์


ในที่สุดเสียงฝีเท้าม้าก็หยุดลง ชาย 13 คนตีวงล้อมพื้นที่ที่พวกเขารวมตัวกันอยู่ไว้อย่างแน่นหนา


ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งในกลุ่มนั้นถือกระบี่รูปพระจันทร์เสี้ยว มีองครักษ์ 2 คนขนาบข้าง เท่าที่เห็นเขาน่าจะเป็นหัวหน้ากองโจร


แม้จะมีหน้าตาสะอาดสะอ้าน แต่ผมปอยหนึ่งของเขาถูกย้อมเป็นสีเทา เกิดเป็นภาพที่ตัดกันกับหน้าตาที่ยังดูอ่อนวัย


“สายเทา?” โม่หย่วนหรี่ตาเมื่อเห็นภาพนั้น


มีกองโจรหลายกลุ่มอยู่รอบเมืองตะวันรอน ส่วนใหญ่ทำอันตรายพวกเขาไม่ได้ แต่สายเทาได้ชื่อว่ามีพละกำลังแข็งแกร่งที่สุดในบรรดากองโจรกลุ่มต่างๆที่อยู่ในละแวกนี้!


ไม่มีใครรู้ชื่อจริงของเขา ทุกคนจดจำเขาได้เพราะปอยผมสีเทา นั่นคือเหตุที่สมญานาม ‘สายเทา’ ลือกระฉ่อน อีกฝ่ายไม่เพียงแต่จะโหดเหี้ยม ยังมีพละกำลังแข็งแกร่งด้วย ทำให้เป็นที่หวาดกลัวของผู้คนที่อาศัยอยู่ในอาณาบริเวณรอบๆเมืองตะวันรอน


ว่ากันว่าระดับวรยุทธของเขาคือเทพเจ้าขั้นกลาง-สูงสุด


“ดูเหมือนผมก็ยังพอมีชื่อเสียงอยู่” สายเทาหัวเราะหึๆอย่างนึกสนุก


“แน่อยู่แล้ว มีใครบ้างไม่รู้จักหัวหน้าของพวกเรา?”


“ในเมื่อพวกคุณรู้จักเรา ก็คงรู้กฎเกณฑ์ดี ส่งทุกอย่างมาให้เราเดี๋ยวนี้ อย่าปล่อยให้ความถือดีของคุณต้องแลกด้วยชีวิต!”


เหล่ากองโจรที่ห้อมล้อมสายเทาพากันหัวเราะลั่น


มือที่กำหมัดแน่นของโม่หย่วนบ่งบอกว่าเขาเกิดความหวาดกลัวเล็กน้อย แต่เพราะรู้ดีว่าทุกคนกำลังหวังพึ่ง จึงรวบรวมความกล้าเพื่อก้าวออกไปและพูดว่า “ผมคือโม่หย่วน, อาจารย์ของสถาบันตะวันรอน ลูกศิษย์ของผมกับตัวผมออกจากเมืองเพื่อมาปฏิบัติภารกิจ จึงไม่ได้นำของมีค่าติดตัวมามากนัก ผมขอวิงวอนให้ครั้งนี้คุณปล่อยพวกเราไปเถอะ…”


“ภารกิจ?” สายเทาขมวดคิ้วอย่างขัดใจ เขาโบกมือด้วยอาการไม่แยแสและพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ ส่งอาวุธในมือของคุณกับเจ้าหมาจิ้งจอกสลาตันตัวนั้นมาก็ได้!”


คราวนี้โม่หย่วนไม่ตอบ


ความเงียบนั้นเปิดช่องให้อู๋เฉียวเฉี่ยวโพล่งออกมา “ทำไมเราต้องมอบหมาจิ้งจอกสลาตันที่เราจับมาได้ด้วยความยากลำบาก? พวกคุณรีบไปเสียตอนนี้ดีกว่า ไม่อย่างนั้นฉันจะให้ท่านพ่อจับตัวพวกคุณทุกคนทันทีที่เรากลับถึงเมือง!”


“ท่านพ่อ?”


“ก็ใช่น่ะสิ! ท่านพ่อของฉันคือเจ้าเมืองตะวันรอน, อู๋ฟังชิง! พวกคุณน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเขาคือเทพเจ้าสวรรค์สร้างผู้ทรงพลัง เพราะฉะนั้น ฉันขอแนะนำให้คุณหยุดการกระทำโง่เง่าแบบนี้เสียที กล้าดีมาจากไหนถึงบังอาจปล้นฉัน? ถ้าแตะเส้นผมของฉันแม้เพียงเส้นเดียวล่ะก็ ท่านพ่อจะต้องตัดหัวคุณแน่!” อู๋เฉียวเฉี่ยวพูดอย่างวางมาด


การที่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์กลุ่มหนึ่งฉกฉวยคนที่เธอแอบชอบไปก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่จอมโจรพวกนี้บังอาจหมายตาหมาจิ้งจอกสลาตันที่พวกเธอล่ามาได้ด้วยความยากลำบาก! พวกเขาคงจะอยากตายเต็มที!


“คุณคือลูกสาวท่านเจ้าเมือง?” สายเทาแปลกใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะลั่น ราวกับได้ยินเรื่องตลกที่สุดในชีวิต


เขามองกองโจรทั้งกลุ่มที่อยู่รอบตัวและตั้งคำถาม “พวกเรา บอกเธอไปซิ! เราเคยกลัวท่านเจ้าเมืองหรือเปล่า?”


“กลัว? ฮ่าฮ่าฮ่า! ถ้าพวกเราเกรงกลัวเจ้าเมืองนั่น คงไม่เลือกใช้ชีวิตแบบนี้หรอก!”


“คุณช่วยพวกเราได้มากเลยนะ! อยากรู้ไหมว่าท่านพ่อสุดที่รักของคุณจะยอมจ่ายเงินมากขนาดไหนเพื่อช่วยชีวิตคุณ?”


“เจ้าเมืองนั่นทำให้เราอยู่ยากตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในที่สุดเราก็จะได้เอาคืนเสียที เขาจะได้รู้ว่าอย่ามาวุ่นวายกับพวกเราให้มากนัก!”


เหล่ากองโจรพากันหัวเราะลั่นอย่างคึกครื้น


“พวกคุณจะทำอะไร?”


อู๋เฉียวเฉี่ยวคิดว่าโจรกระจอกพวกนี้คงเผ่นหนีทันทีด้วยความหวาดกลัวเมื่อรู้ว่าแท้ที่จริงเธอเป็นใคร แต่คำพูดของเธอดูจะทำให้พวกเขาหมายมั่นปั้นมือขึ้นอีก เธอชะงักกับการพลิกผันของสถานการณ์ ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เกิดความไม่แน่ใจขึ้นมา


ใครๆก็รู้ว่าท่านพ่อของเธอเป็นเทพเจ้าสวรรค์สร้าง เหนือชั้นขนาดที่ไม่มีใครในเมืองตะวันรอนกล้ามีปัญหากับเขา แต่เจ้าพวกชั้นต่ำกลุ่มนี้ไม่ได้ยำเกรงท่านพ่อของเธอสักนิด…พวกเขาไม่กลัวตายหรือ?


“เราจะทำอะไร?” สายเทาหัวเราะลั่น “เราก็กำลังคิดจะปล้นนักเรียนจนๆกลุ่มหนึ่งน่ะสิ แต่บังเอิญว่ามีปลาตัวใหญ่อยู่ในหมู่พวกเขา พวกเรา! อย่าปล่อยให้ใครหนีรอดไปได้แม้แต่คนเดียว ถ้าทำสำเร็จล่ะก็ มั่นใจได้เลยว่าพวกคุณทุกคนจะได้รับรางวัลอย่างงาม!”


“รับทราบ หัวหน้า!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)