กระบี่จงมา 216.2-218.1
บทที่ 216.2 ลงมือ
โดย
ProjectZyphon
อันที่จริงศาลเทพภูเขาของที่แห่งนี้ก็เป็นสถานที่ที่บูชาร่างทองของบุรุษผู้นี้ เดิมทีเป็นศาลที่จัดตั้งขึ้นอย่างผิดระเบียบเพราะยังไม่ได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนักแคว้นไฉ่อี บวกกับที่พื้นที่รอบด้านคือสุสานไร้ญาติ ปราณสกปรกแผ่ปกคลุมไปทั่วทิศ บุรุษร่างสูงใหญ่ได้รับควันธูปจึงโชคดีได้กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและภูเขาได้สำเร็จ หลังจากนั้นเพื่อการฝึกตนของตัวเอง เขาก็ถึงขั้นยอมจับปลาในน้ำขุ่น เพิ่มระดับการแห้งเหี่ยวโรยราของภูเขาและแม่น้ำให้เร็วขึ้น ในฐานะแกนกลางการโคจรของค่ายกล บ้านโบราณจึงแค่ดึงดูดเอาปราณดำมืดชั่วร้ายมาโดยที่ไม่เผาผลาญปราณวิญญาณของภูเขา กลับเป็นการช่วยรักษาสมดุลของแม่น้ำและภูเขาเอาไว้ ทว่าเรื่องวงในเหล่านี้พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ นักพรตเต๋าวัยกลางคนที่จมดิ่งสู่วิถีมารกับเทพภูเขาเถื่อนที่เดินไปบนเส้นทางที่ไม่เที่ยงตรง ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจ จะอย่างไรซะพวกเขาทั้งสองก็ไม่ใช่คนดีอะไรอยู่แล้ว
จู่ๆ บุรุษร่างสูงใหญ่ก็พลันถามสีหน้าดุดัน “เพื่อช่วงชิงพื้นที่ทั้งหมดกลับคืนมา เจ้าปรารถนาอยากครอบครองเรือนกายของผีสาวตนนั้น และหากเจ้าได้ควบคุมมันก็ย่อมต้องเป็นดั่งพยัคฆ์ติดปีก ถ้าอย่างนั้นไอ้หมอนั่นล่ะคิดอะไรอยู่? หรือว่าในบ้านโบราณหลังนี้ยังมีสมบัติอาคมล้ำค่าที่ข้าไม่รู้ซ่อนอยู่อีก?”
นักพรตเต๋าวัยกลางคนหัวเราะหึหึ “เรื่องนี้ข้าไม่แน่ใจหรอก ไม่อย่างนั้นหลังจากนี้พวกเราค่อยไปถามเขาด้วยกันดีไหมล่ะ?”
บุรุษร่างสูงใหญ่อารมณ์ดีขึ้นทันตา “แบบนี้ย่อมดีที่สุด!”
นักพรตเต๋าหันมองไปรอบด้าน นอกจากดินโคลนแล้ว อย่างมากก็มีแต่หน้าผาโล้นเตียน ต้นไม้สีเขียวมีให้เห็นเป็นหย่อมๆ แต่เขากลับรู้ดีว่านี่ต้องมอบคุณความชอบให้กับ ‘อารมณ์สุนทรี’ ของผีสาวตนนั้น ผืนดินแห่งนี้ถึงได้มีกลิ่นอายของความมีชีวิตชีวาอยู่บ้าง
ไม่ว่าจะเป็นด้านโชควาสนาหรือด้านนิสัยของผีสาวตนนั้นก็ล้วนเป็นสิ่งที่หาได้ยาก หลังจากนักพรตขยับเข้ามาใกล้ที่แห่งนี้ก็ยิ่งรู้สึกว่าต้องได้นางมาครอบครองให้ได้
นักพรตทอดสายตามองไปยังบ้านโบราณหลังนั้นแล้วจุ๊ปากพูด “ต้นไม้นี้กิ่งก้านแห้งเหี่ยวใบปลิดปลิว มองดูแล้วคงหมดซึ่งชีวิตชีวา”
คิดไม่ถึงว่าเทพภูเขาเถื่อนก็เคยเรียนหนังสือมาก่อน จึงรับคำยิ้มๆ ว่า “ขนาดต้นไม้ยังเป็นเช่นนี้ นับประสาอะไรกับคน”
หนึ่งนักพรตหนึ่งองค์เทพมองหน้าและส่งยิ้มให้กัน
……
เรือนชั้นที่สองของบ้านโบราณ ห้องปีกข้างห้องหนึ่งดับไฟมืดสนิทแล้ว บัณฑิตทั้งสองน่าจะนอนหลับกันแล้ว แต่ในห้องของเด็กหนุ่มที่สะพายกล่องไม้กับนักพรตหนุ่มกลับยังมีแสงไฟสว่างโร่ ไม่รอให้หญิงชราเดินมาเคาะห้อง ชายฉกรรจ์ที่ติดเหล้าเป็นชีวิตจิตใจได้กลิ่นหอมของเหล้าโชยมาแต่ไกล เขาจึงตบประตูห้องด้วยตัวเอง “มีเหล้าให้ดื่มหรือไม่? หากมี ถ้าอย่างนั้นก็เอาเหล้ามาแลกชีวิต รับรองว่าเจ้าจะมีแต่กำไรไม่ขาดทุน!”
หญิงชราไม่ได้ขัดขวาง เพียงเอ่ยว่า “พวกเจ้าจัดหาห้องพักกันเองก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันผูกน้ำเต้าบรรจุเหล้าไว้ให้ดี เดินไปเปิดประตูห้องก็เห็นชายฉกรรจ์แปลกหน้าหน้าตาท่าทางหยาบกระด้างคนหนึ่ง
มือดาบเครายาวปรายตามองเฉินผิงอันแล้วถามอย่างตรงไปตรงมา “เจ้าหนูน้อย ได้ยินเสียงเดินกับเสียงลมหายใจของเจ้า น่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์กระมัง? ตอนนี้ถึงขอบเขตสองแล้วหรือยัง?”
เฉินผิงอันตอบด้วยรอยยิ้ม “เรียนวรยุทธ์กับผู้อาวุโสในตระกูลมาตั้งแต่เด็ก นี่เป็นครั้งแรกที่ออกเดินทางในยุทธภพ ยังไม่รู้ว่าขอบเขตตัวเองอยู่ในระดับไหน”
หันกลับไปมองก็เห็นว่านักพรตจางซานถูกเสียงดังปลุกให้ตื่น กำลังลุกขึ้นนั่งสวมรองเท้าอยู่บนเตียง
มือดาบเครายาวก้าวยาวๆ ข้ามผ่านธรณีประตูเข้ามานั่งแปะลงบนเก้าอี้ จุ๊ปากพูด “ไม่รู้ขอบเขต? ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่ามาจากชนบทที่ห่างไกลความเจริญน่ะสิ? แล้วทำไมถึงพูดภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปพวกเราได้คล่องแคล่วขนาดนี้? หากเป็นบ้านนอกของแคว้นเล็กๆ ทั่วไปจะไม่เรียนรู้เรื่องพวกนี้หรอก! ว่ามา เจ้าใช่ผีร้ายที่ห่มหนังคนหรือไม่?!”
มือดาบชักดาบออกจากฝักมาเกินครึ่ง ประกายดาบจ้าแสบตา ถลึงตาจ้องมองมาอย่างขุ่นเคืองพลางคำรามก้อง “รีบบอกชื่อของเจ้ามา ดาบของข้าผู้แซ่สวีไม่เคยบั่นคอผีไร้นาม!”
เฉินผิงอันหันมามองหน้ากับนักพรตจางซาน
หรือว่าเป็นเพราะตากฝนอยู่ด้านนอก น้ำจึงเข้าสมองพี่ชายผู้นี้แล้ว?
ผีร้าย?
ในบรรดาผู้ฝึกลมปราณ มีผู้ฝึกตนอิสระอยู่มากมายนับไม่ถ้วน ที่มาของพวกเขาซับซ้อนยากแยกแยะ แม้ว่าภูตผีปีศาจจะได้รับการดูถูกอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็อยู่ไกลเกินกว่าจะถูกคนไล่ฆ่าทุบตี ทว่าผีผู้ฝึกตนกลับเป็นข้อยกเว้น หากถูกค้นพบเข้าก็แทบจะต้องถูกผู้คนร้องด่าไล่ฆ่า หากจะบอกว่าการพิสูจน์ความเป็นอมตะของผู้ฝึกลมปราณถือเป็นเรื่องที่ละเมิดต่อกฎสวรรค์ ถ้าอย่างนั้นคนตายแล้วถูกฝังลงใต้ดิน ก็ถือเป็นวิถีแห่งมนุษย์ ทว่าเมื่อผีผู้ฝึกตนละเมิดกฎข้อนี้ก็เท่ากับเป็นวิถีนอกรีตชั่วร้ายที่ผู้คนต้องการสังหารให้หมดสิ้น
เซียนฝึกตนขณะมีชีวิตอยู่ เทพได้รับแต่งตั้งขณะที่ตายไปแล้ว
ผีผู้ฝึกตนก็คือข้อยกเว้นพอดี ทั้งไม่ใช่ผู้ที่ฝึกตนตอนมีชีวิตอยู่ในโลก แล้วก็ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำที่ทางราชสำนักแต่งตั้ง มอบร่างทองให้หลังจากที่ตายไปแล้ว
ดังนั้นเป้าหมายที่กระบี่ไม้ท้อของเทียนซือในภูเขามังกรพยัคฆ์ผู้ซึ่งมีมรรคาถาลึกล้ำอย่างแท้จริงชี้ไป ก็มักจะเป็นผีร้ายที่สร้างความวุ่นวายก่อเรื่องไปทั่ว มากกว่าจะชี้เข้าหาภูตที่ส่วนใหญ่หลบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางกลุ่มชาวบ้านร้านตลาด
คำว่าภูตนี้ ยิ่งเป็นแถบพื้นที่ที่มีผู้คนสัญจรกันขวักไขว่ การค้าเจริญรุ่งเรืองก็ยิ่งไม่มีความหมายในเชิงลบที่ชัดเจนอีกแล้ว
และในความเป็นจริงแล้ว แคว้นใหญ่ๆ บางแห่ง โดยเฉพาะราชวงศ์ที่เจริญรุ่งเรืองซึ่งกองกำลังบนภูเขาหยั่งรากลึกมั่นคง ต่อให้เป็นชาวบ้านทั่วไปก็ยังเคยชินกับการที่ภูตประหลาดนับร้อยนับพันชนิดใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้คนในโลกมนุษย์
เล่าลือกันว่าภูตน้อยจำนวนมากที่ช่วยสตรีแต่งงานแล้วล้างหน้าหวีผม แต่งหน้าประทินโฉม พับเสื้อผ้า ฯลฯ จะมีปีกคอยบินไปบินมาอย่างคล่องแคล่วว่องไวถึงขีดสุด อีกทั้งจะรักและสนิทสนมกับเจ้านายของพวกมันไปทุกชาติทุกภพ
เฉินผิงอันไม่ได้อธิบายอะไร เขาเพียงปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าออกจากเอวแล้วดื่มเงียบๆ
ชายฉกรรจ์เครายาวอึ้งตะลึง ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง เห็นได้ชัดว่าพยาธิหิวเหล้าในท้องทำพิษซะแล้ว ความดุดันของเขาพลันลดฮวบ ทำหน้าหนายื่นมือไปขอ “ขอแค่เชิญให้ข้าดื่มเหล้า ต่อให้เจ้าเป็นผี ข้าก็จะหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง ขอแค่ไม่กระทำการชั่วร้ายให้ข้าเห็นจะๆ ทุกอย่างก็ล้วนพูดง่าย”
เฉินผิงอันส่ายหน้า ไม่ยอมส่งให้
มือดาบหนวดยาวถอนหายใจอย่างหม่นหมอง “ไอ้หนู เจ้านี่ไม่ซื่อสัตย์เลยนะ เจ้าเล่ห์มาก เห็นชัดๆ ว่ากำลังรังแกยอดฝีมือผู้เที่ยงธรรมอย่างข้า!”
นักพรตจางซานรีบนั่งลงช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ แล้วพูดคุยกับชายฉกรรจ์หนวดยาวด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีป
……
ตรงระเบียงสาวงาม (ระเบียงที่ยื่นออกมารอบหอสูง มีพนักพิงโค้งยื่นออกไปด้านหลังเพื่อสะดวกแก่การนั่งพิง) ของหอซิ่วโหลวเรือนชั้นในของบ้านโบราณ มีชายหญิงคู่หนึ่งนั่งอิงแอบแนบชิดกัน สตรีสวมชุดกระโปรงสีเขียวเข้ม ชายกระโปรงพองใหญ่จึงไม่เผยให้เห็นสองขาและรองเท้าปักลายของนาง
จอนผมของคนทั้งสองเสียดสีกัน บุรุษกระซิบเบาๆ ว่า “ขอให้ภรรยามีเสื้อผ้าอบอุ่นสวมใส่ในฤดูใบไม้ผลิที่เหน็บหนาว ขอให้ภรรยาหัวคิ้วคลายไร้ความทุกข์ตรม ขอให้ภรรยาได้เห็นจันทราสุกสกาวกลางนภา เห็นน้ำใสภูเขาเขียวทุกครั้งที่เปิดหน้าต่าง…”
สตรีที่ใบหน้าอัปลักษณ์อย่างถึงที่สุดส่งเสียงอือๆ อาๆ ราวกับกำลังร่ำไห้ หรือไม่ก็กำลังร้องระบายทุกข์ ชายกระโปรงด้านล่างพลิกตลบรุนแรงดุจคลื่นน้ำ
หญิงชราที่เดินอยู่ท่ามกลางระเบียงยาวมืดมิดถอนหายใจเบาๆ สุดท้ายนั่งพิงเสาระเบียงที่ห้อยโคมไฟเอาไว้ ปีแล้วปีเล่า วันแล้ววันเล่า หญิงชราลูบคลำใบหน้าที่แห้งตอบของตัวเอง นางลืมไปแล้วว่าตัวเองไม่ได้ส่องกระจกมานานกี่ปีแล้ว?
นางเป็นเช่นนี้ คิดว่าคุณหนูที่ตลอดระยะเวลาร้อยปีไม่เคยก้าวเดินออกจากหอซิ่วโหลวสักครึ่งก้าวก็ยิ่งเป็นเช่นนี้กระมัง
……
ชายฉกรรจ์ที่กำลังพูดคุยอยู่กับนักพรตหนุ่มพลันเอามือกดลงบนด้ามดาบ สีหน้าเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียดไม่เหลือแววล้อเล่นอย่างก่อนหน้านี้อีกต่อไป “เป็นอย่างคำเล่าลือที่พูดกันในเมืองเล็กบริเวณใกล้เคียงจริงๆ ปราณปีศาจมาจากเรือนด้านหลังของบ้านหลังนี้! ช่างเป็นปราณปีศาจที่เข้มข้นยิ่งนัก มิน่าเล่าฮวงจุ้ยของที่แห่งนี้ถึงได้ถูกเผาผลาญไปจนสิ้น ไม่แน่ว่าอาจเป็นปีศาจเฒ่าขอบเขตหกแล้ว ไอ้หนูทั้งสอง ข้าจะไปสังหารปีศาจเดี๋ยวนี้ หากพวกเจ้าสองคนเห็นท่าไม่ดีก็รีบหนีไปทันที อย่าเห็นเป็นเล่น สถานที่แห่งนี้อันตรายผิดปกติ บ่อน้ำขุ่นบ่อนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าจะก้าวเข้ามาได้!”
มือดาบเครายาวครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “แต่อย่าเพิ่งถอยตอนนี้จะดีกว่า จะได้ไม่ถูกปีศาจเฒ่าของบ้านโบราณหลังนี้หมายหัว ต่อให้ข้าจะพ่ายแพ้ก็จะพยายามถ่วงเวลาพวกเขาไว้ให้ได้นานที่สุด ถึงเวลานั้นพอได้ยินสารจากข้า บอกให้พวกเจ้าหนี พวกเจ้าก็ห้ามลังเลเด็ดขาด!”
จากนั้นก็เห็นเพียงว่ามือดาบผู้มีหนวดเครารกรุงรังสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ชักดาบออกจากฝัก ประกายดาบเปล่งแสงวาบ แล้วชายฉกรรจ์ก็ยื่นมือข้างหนึ่งปัดขี้เถ้าในกระถางไฟออก หยิบถ่านก้อนหนึ่งที่กำลังลุกไหม้แดงโร่มากุมไว้กลางฝ่ามือ จากนั้นเช็ดไปที่ตัวดาบ สะเก็ดไฟกระเซ็นไปทั่วทิศยิ่งขับให้ดาบวิเศษเล่มนั้นคมกริบเกินต้านทาน
ต่อให้โอกาสชนะจะไม่สูง แต่เวลานี้ทั่วร่างของชายฉกรรจ์กลับเต็มไปด้วยปราณแห่งความองอาจใจกว้าง เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของวีรบุรุษ
เฉินผิงอันยื่นกาเหล้าส่งไปให้ กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “สักหน่อยไหม ท่านผู้กล้า?”
ชายฉกรรจ์ส่ายหน้ายิ้มๆ มือถือดาบวิเศษ ลุกพรวดขึ้นยืน “ดื่มเหล้าเวลาคุยพูดคุยกันก็แค่แก้กระหายเท่านั้น อันที่จริงสังหารปีศาจใหญ่ กำจัดมารผดุงความเป็นธรรมต่างหากที่สาแก่ใจยิ่งกว่าดื่มเหล้านับร้อยนับพันเท่า!”
ท่ามกลางม่านฝน ชายฉกรรจ์ถือดาบเปิดประตูเดินก้าวยาวๆ ออกไปทางเรือนด้านหลัง สะบัดข้อมือหนึ่งครั้ง แสงดาบก็ส่องประกายสว่างจ้าไปทั่วทิศ ชายฉกรรจ์เคราดกเงยหน้าขึ้นมองไปทางทิศไกล เอ่ยเสียงดังกังวาน “สวีหย่วนเสียอยู่นี่แล้ว โปรดชี้แนะด้วย!”
นักพรตจางซานหยิบกระบี่ไม้ท้อที่มีกระดิ่งสดับปีศาจห้อยอยู่ขึ้นมา เอ่ยเสียงจริงจังกับเฉินผิงอัน “ข้าจะไปช่วยเขาสังหารปีศาจ! เฉินผิงอัน เจ้าคือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว หากยังไม่เลื่อนสู่ขั้นสี่ก็ไม่เหมาะให้รับมือกับพวกปีศาจใหญ่หรือสิ่งชั่วร้าย เจ้ารออยู่ที่นี่ หากจำเป็นจริงๆ ข้าถึงจะตะโกนเรียกเจ้า”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตกลง”
หลังจากที่ร่างของนักพรตหนุ่มพุ่งออกจากห้องไปอย่างว่องไว เฉินผิงอันรอคอยอยู่ชั่วครู่ เขาไม่ได้เลือกจะรอดูการเปลี่ยนแปลงอยู่ที่เดิม แต่เดินออกมาจากห้อง ปล่อยหมัดเปล่าผ่านม่านฝนที่กั้นขวางเข้าไปหาห้องที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “ข้ารู้ว่าเป็นเจ้า”
ประตูของห้องที่ไฟดับลงไปนานแล้วค่อยๆ แง้มเปิดอย่างเชื่องช้า บัณฑิตแซ่ฉู่คนนั้นเดินออกมา เรือนกายของเขาสูงเพรียว ในมือถือคบเพลิงที่ก่อนหน้านี้ถูกสายฝนราดรดดับ ใบหน้าประดับรอยยิ้ม พอมองประสานสายตากับเฉินผิงอัน บัณฑิตก็กระตุกมุมปาก ยกมือขึ้น ใช้ฝ่ามือลูบไปยังช่วงบนของคบเพลิง คบเพลิงนั้นก็ติดไฟในเสี้ยววินาที ก่อนที่เขาจะปักคบเพลิงอันนั้นไว้ช่วงบนของเสาต้นหนึ่ง “เจ้าพูดน้อยที่สุด แต่ว่าฉลาดที่สุด แน่นอนว่าความสามารถก็ไม่น้อย สามารถกำจัดเหรียญทองแดงผีของนักพรตป๋ายลู่ได้ ทว่าวัตถุผีที่มีเพียงขอบเขตสาม จะว่าไปแล้วก็ร้ายกาจเพียงเท่านั้น เจ้าหนุ่มเจ้าอย่าลำพองใจเกินไปเพราะเหตุนี้…”
เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไรสักคำ เรือนกายที่ผอมบางหายวับไปจากจุดเดิมอย่างไม่มีลางบอกเหตุ
บัณฑิตผู้นั้นตะลึงเล็กน้อย
เรือนกายหนึ่งกระโจนพุ่งผ่านม่านฝนที่กั้นขวางอยู่ระหว่างห้องเข้ามาอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ บัณฑิตที่ค่อนข้างประมาทไม่ทันได้ตั้งตัวก็โดนหมัดที่เป็นดั่งสายรุ้งซึ่งพาดผ่านมาจากอีกด้านหนึ่งของขอบฟ้า กระแทกลงบนศีรษะอย่างรวดเร็ว ร่างทั้งร่างของเขากระเด็นหวือออกไป กระแทกชนทั้งประตูและผนัง สุดท้ายร่างของบัณฑิตที่ไปโผล่อีกฝั่งหนึ่งของระเบียงก็กระแทกลงบนเสาหนาใหญ่ต้นหนึ่ง เสาระเบียงที่ตรงกับหัวใจด้านหลังของเขาเกิดเสียงดังปังแล้วปริร้าวเหมือนใยแมงมุมรังเล็กๆ นั่นถึงทำให้บัณฑิตพอจะหยุดร่างที่ปลิวละลิ่วเอาไว้ได้ เขากระอักเลือดไม่หยุด จิตวิญญาณสั่นสะท้านรุนแรง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตะลึงพรึงเพริด
ไม่เพียงแต่พละกำลังของวิชาหมัดที่น่าครั่นคร้าม ทว่าทั้งปณิธานแห่งหมัดและพายุหมัดที่สลับกันต่อยลงบนร่างของเขาล้วนเหมือนแส้โบยวิญญาณในมือของเซียนที่เฆี่ยนตีผีและสิ่งชั่วร้ายแรงๆ ประหนึ่งดาวพิฆาตที่มาจากธรรมชาติ
เสียงกัมปนาทดังสนั่นหวั่นไหว
คราวนี้หมัดกระแทกเข้าที่ลำคอ
ทั้งคนทั้งเสาต่างก็ล้มครืนไปด้านหลังพร้อมกัน
บัณฑิตหนุ่มถูกสองหมัดนี้ต่อยจนน้ำเลือดน้ำตาปะปนกันจนแยกไม่ออก สีหน้าของเขาดุดัน อาภรณ์ขาดวิ่น เตรียมจะเผยร่างเดิมโดยไม่สนใจอีกว่าจะเป็นกับดักหรือไม่
ทว่าจากนั้นเขากลับได้ยินคำพูดประหลาดคำหนึ่ง “ชูอี”
—–
บทที่ 217.1 เซียนกระบี่
โดย
ProjectZyphon
อยู่ในยุทธภพนานวันเข้า ใครบ้างที่จะไม่มีความสามารถอันเป็นสมบัติก้นกรุและอาวุธอาคมอยู่ซะเลย
เมื่อบัณฑิตแซ่ฉู่ได้ยินคำเรียกว่า ‘ชูอี’ หัวใจของเขาก็สั่นสะท้านอย่างไรสาเหตุ รู้ว่าท่าไม่ดีแล้ว ไม่แน่ว่าอาจเป็นท่าไม้ตายของเด็กหนุ่มคนนั้นก็ได้ แต่กลับไม่อาจสัมผัสได้ว่าจุดเริ่มต้นของวิกฤตอันตรายขุมนั้นมาจากที่ใด บัณฑิตแซ่ฉู่ที่สภาพกระเซอะกระเซิงใช้ความคิดอย่างเร่งด่วน เขากัดฟันกรอด ทันใดนั้นลูกกลมสีขาวดำลูกหนึ่งก็กลิ้งออกมาจากชายแขนเสื้อของเขา ส่องประกายแสงสุกสว่าง แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ธรรมดา
หลังจากบัณฑิตแซ่ฉู่กำนิ้วทั้งห้าไว้แน่นลูกกลมนั้นก็หลอมละลายเหมือนเทียนที่เจอเปลวไฟ ของเหลวเหนียวหนืดเหมือนปรอทไหลออกมาจากมือของเขาแล้วแผ่ปกคลุมไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว นาทีถัดมาบุรุษที่ร่างสูงเพรียวก็สวมเสื้อเกราะสีขาวกระจ่างราวหิมะ กระจกปกป้องหัวใจที่อยู่ตรงกลางส่องประกายวิบวับ ลักษณะคือเสื้อเกราะกวางหมิง (กวางหมิงหมายถึงแสงสว่าง เสื้อเกราะกวางหมิงคือเสื้อเกราะสีทองสว่างที่แผ่นเหล็กทรงสี่เหลี่ยมหลายชิ้นประกบต่อกัน) องค์เทพบนสวรรค์ที่มีรูปปั้นตั้งอยู่ในวัดหรืออารามเต๋าของโลกมนุษย์จะสวมเสื้อเกราะแบบนี้กันมากที่สุด เพราะมีความหมายแฝงถึงความเปิดเผยตรงไปตรงมา
หากไม่เป็นเพราะสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามที่มีต่อชีวิต ต่อให้ต้องเผยร่างจริง บัณฑิตแซ่ฉู่ก็ไม่มีทางยอมใช้ ‘เม็ดเสื้อเกราะ’ ที่มีมูลค่าควรเมืองเม็ดนี้แน่ เม็ดเสื้อเกราะคือสมบัติล้ำค่าสูงสุดของสำนักการทหาร ได้รับความนิยมเป็นเท่าตัว ราคาไม่มีแพงที่สุด มีแต่แพงยิ่งกว่า อีกทั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็มีแต่ราคา แทบจะหาคนซื้อไม่ได้เพราะราคาที่สูงเกิน โดยทั่วไปแล้วอาจารย์ด้านกลไกของสำนักโม่จะร่วมมือกับพรรคยันต์ศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิเต๋าสร้างขึ้นมา เวลาปกติหากย่อเก็บไว้จะมีลักษณะเหมือนเม็ดยาขนาดใหญ่เท่ากำปั้น กินพื้นที่ไม่มาก พกพาได้สะดวก หากลงสนามรบแค่กรอกปราณที่แท้จริงราดรดเข้าไป มันก็จะกลายมาเป็นเสื้อเกราะวิเศษในชั่วพริบตา แข็งแกร่งมิอาจทำลาย
บัณฑิตแซ่ฉู่มีเสื้อเกราะคุ้มกันกาย พื้นผิวของเสื้อเกราะส่องม่านแสงสีขาวสะอาดกระเพื่อมเป็นริ้วแผ่วๆ หนึ่งชั้นเหมือนพื้นดินที่เต็มไปด้วยหิมะถูกแสงจันทร์ยามราตรีสาดส่อง บัณฑิตลุกขึ้นยืน เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้แล้ว สีหน้าของเขาเยือกเย็นมากขึ้นหลายส่วน เขากล่าวพร้อมยิ้มเจื่อน “เจ้าหนุ่ม เจ้าทำร้ายข้าเสียหมดสภาพเลย เดิมทีเสื้อเกราะกวางหมิงนี้เตรียมไว้เพื่อป้องกันหากการแบ่งผลประโยชน์ในช่วงสุดท้ายไม่เท่าเทียม ถึงเวลานั้นก็สามารถเอามาใช้ต้านทานการโจมตีของนักพรตป๋ายลู่กับเทพภูเขาได้ ตอนนี้กลับต้องมาเผยพิรุธเร็วขนาดนี้ พวกเขาต้องยิ่งระมัดระวังเพิ่มการป้องกันมากกว่าเดิม แบบนี้จะทำอย่างไรดีล่ะ?”
แม้ว่าน้ำเสียงจะผ่อนคลาย แต่บัณฑิตหนุ่มกลับไม่ประมาทแม้แต่น้อย ตอนนี้เขายังคิดไม่ตกว่าทำไมหลังจากเด็กหนุ่มเอ่ยเรียก ‘ชูอี’ แล้วถึงไม่มีประโยคตามหลัง? อีกทั้งกระบี่วิเศษก็ไม่ได้ออกจากฝัก บินพุ่งมาจากห้องฝั่งตรงข้าม แล้วก็ไม่มีตัวช่วยที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดกระโจนมาเข่นฆ่าเขาด้วย
บัณฑิตแซ่ฉู่เกิดความฉงนสนเท่ห์
เด็กหนุ่มพูดน้อยที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ต้องไม่ใช่พวกที่ชอบพูดล้อเล่นแน่นอน
แค่สองหมัดก็เกือบจะทำให้ตนกลับคืนสู่ร่างเดิม เกรงว่าต่อให้เป็นศักยภาพขอบเขตสี่ของมือดาบหน้าหนวดที่บุ่มบ่มบุกเข้าไปสังหารปีศาจใหญ่คนนั้นก็คงทำไม่ได้
แม้ว่า ‘ชูอี’ จะไม่ได้ปรากฏตัวออกมาก็ตาม
แต่บัณฑิตแซ่ฉู่ก็ยังแน่ใจได้ว่า ขอแค่ชูอีเผยตัวก็ย่อมต้องเป็นยอดฝีมือที่ไม่อาจดูแคลน หรือไม่ก็อาจจะเป็นสมบัติอาคมที่มีพลังพิฆาตมหาศาลแน่นอน
ส่วนเฉินผิงอันกลับหงุดหงิดเล็กน้อย เขาตบไปที่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวตัวเองแรงๆ หนึ่งที
ตอนนี้จู่ๆ ‘ชูอี’ ที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็นิสัยเปลี่ยนไปมาก ก่อนหน้านี้มันมีนิสัยฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด เอะอะก็ทำให้เฉินผิงอันต้องเจ็บปวดยากลำบาก แต่พอออกมาจากภูเขาลั่วพั่วกลับมีนิสัยเกียจคร้าน วันๆ เอาแต่อยู่นิ่งเฉยไม่ยอมขยับ แม้แต่จะตีโพยตีพายเอาแต่ใจกับเฉินผิงอันก็ยังไม่ทำ หลังจากเฉินผิงอันตบไปที่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แรงๆ มันก็ยังลอยตัวอยู่กลางอากาศในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่นิ่งๆ ไม่กระดุกกระดิก
กลับเป็นสืออู่กระบี่บินสีเขียวมรกตที่ส่งเสียงอื้ออึง กำลังสื่อสารทางอารมณ์กับเฉินผิงอันอย่างตื้นเขิน คงจะอยากพูดประมาณว่าหากชูอีไม่ยอมต่อสู้ มันสืออู่สามารถทำหน้าที่แทนให้ได้
หลังจากกระบี่บินสองเล่มมีสติปัญญาเป็นของตัวเอง ก็คล้ายกับเด็กน้อยที่ยังพูดไม่ได้ แม้ว่าจะมีสติปัญญา แต่สติปัญญานั้นกลับไม่สูงนัก กระทำทุกอย่างไปตามสัญชาตญาณอย่างเดียวเท่านั้น พวกมันสามารถสัมผัสกับเสียงหัวใจและความต้องการของเฉินผิงอันได้อย่างชัดเจน แต่ทั้งสองฝ่ายกลับสื่อสารกันไม่ราบรื่น อีกอย่างเฉินผิงอันเองก็แค่รู้ว่าอารมณ์ของพวกมันดีหรือร้าย แต่หากจะพูดคุยกันจริงๆ กลับไม่ง่ายดายนัก
เห็นท่าทางเช่นนี้ของเฉินผิงอัน บัณฑิตแซ่ฉู่ก็รีบเพ่งสายตามองมาทันที เห็นเพียงว่าน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีชาดมีสีสันหม่นมัว ไม่มีอะไรผิดปกติ มองไม่ออกถึงความมหัศจรรย์แม้แต่นิดเดียว อันที่จริงก่อนหน้านี้ตอนที่พบกันครั้งแรกท่ามกลางสายฝนนอกบ้านโบราณ บัณฑิตแซ่ฉู่ก็ได้มองประเมินเด็กหนุ่มสะพายกล่องไม้ไว้ด้านหลังกับนักพรตหนุ่มอย่างละเอียดแล้ว ตอนนั้นเขารู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะใช่ยอดฝีมืออะไร ราชสำนักของแคว้นไฉ่อี ภูเขาไม่สูงน้ำไม่ลึก ไม่มีที่ให้ซ่อนพยัคฆ์และมังกร คนอย่างนักพรตป๋ายลู่จึงถือว่าเป็นปรมาจารย์เทพเซียนที่มีบารมีสยบพื้นที่แถบหนึ่งได้แล้ว
และนี่ถึงทำให้บัณฑิตแซ่ฉู่สามารถทำตัวเองเป็นมังกรข้ามแม่น้ำมาสร้างเรื่องก่อราวในถิ่นผู้อื่นได้ตามใจปรารถนา
เขาออกจากบ้าน เดินทางจากแคว้นกู่อวี๋ลงใต้มายังแคว้นไฉ่อีก็เพื่อของที่อยู่ในบ้านโบราณหลังนี้ ทุ่มเทสมองครุ่นคิดก็รู้ว่า แม้เขาจะกุมชัยชนะไว้ได้อย่างมั่นคง แต่นี่ก็ยังเป็นแผนการที่ดำเนินได้อย่างเชื่องช้า เขาดึงเอานักพรตป๋ายลู่และเทพภูเขาที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการมาร่วมด้วย ตกลงกันว่าทั้งสามฝ่ายจะต้องได้ในสิ่งที่ต้องการ จากนั้นจึงไปทำความรู้จักกับลูกหลานตระกูลหลิว หลอกให้เขาเดินทางมาท่องเที่ยวที่นี่ บอกกับพันธมิตรสองคนนั้นว่าตนยอมพาตัวมาเสี่ยงอันตรายหยั่งเชิงสถานการณ์ของที่แห่งนี้ก่อน อาศัยกลิ่นอายของตำราและกลิ่นอายของตระกูลขุนนางที่ติดตัวบัณฑิตแซ่หลิวตั้งแต่เด็กมาอำพรางปราณปีศาจเล็กน้อยที่อยู่บนร่างของเขา แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือคิดจะสืบหารากฐานที่ค่ายกลแห่งนี้พึ่งพา เพื่อสะดวกให้จับปลาน้ำขุ่นขโมยสมบัติอาคมชิ้นนั้นไปขณะที่การต่อสู้ครั้งใหญ่เกิดขึ้น ไม่ร่วมศึกพัวพันระหว่างนักพรตป๋ายลู่กับเทพภูเขา อาศัยเม็ดเสื้อเกราะคุ้มกันกายหนีไปอย่างที่ใครก็คาดไม่ถึง จากนั้นกลับไปยังแคว้นกู่อวี๋เก็บตัวฝึกตนของตัวเองต่อไป
ส่วนการปรากฏตัวของมือดาบเครายาวคนนั้นก็เป็นแค่ความคิดที่ผุดขึ้นมาชั่วคราวของเขา เขาจึงแพร่ข่าวลือไปยังเมืองที่อยู่ใกล้เคียง ช่วยผลักดันคลื่นมรสุม เพิ่มระดับปราณแห่งความชั่วร้ายและไอปีศาจของบ้านโบราณให้เข้มข้นมากขึ้น แต่อันที่จริงแล้วนับร้อยปีที่ผ่านมา ปราณชั่วร้ายของบ้านโบราณนั้นเข้มข้นมากก็จริง แต่มันกลับไม่เคยทำร้ายชาวบ้าน สร้างความลำเข็ญให้ใครมาก่อน ที่เขาทำอย่างนี้ก็เพราะต้องการให้น้ำบ่อนี้ยิ่งข้นและสกปรกมากกว่าเดิม จะได้สะดวกตอนที่เขาหลบหนี ต่อให้มือดาบจะเผาผลาญตบะบางส่วนของเจ้าของบ้านโบราณหลังนี้ไป ก็ถือเป็นเรื่องดี หากสามารถยืนหยัดได้ถึงตอนที่นักพรตป๋ายลู่กับเทพภูเขาเข้ามาร่วมการต่อสู้ด้วยก็ยิ่งดีเข้าไปอีก
มือดาบเครายาวที่มีน้ำใจคนนั้นไหนเลยจะรู้เรื่องวงในเหล่านี้ เขาเพียงแต่ตามข่าวลือทั้งหลายมา และขณะที่ดื่มเหล้าร้อนแรงสองถ้วยใหญ่ในเมืองเล็กที่อยู่ใกล้เคียง เลือดร้อนๆ กำลังตีขึ้นหัว พอดีกับที่รู้สึกว่าฝนที่ตกลงมาครั้งนี้ผิดปกติ จึงรีบร้อนมาปราบปีศาจ
ส่วนคบเพลิงที่เทพภูเขาทาน้ำมันไว้ด้วยตัวเอง ร่มกระดาษน้ำมันที่ซ่อนเหรียญสัมฤทธิ์ผีของนักพรตป๋ายลู่เอาไว้ แม้จะไม่ใช่สิ่งของที่สะดุดตา แต่กลับผ่านการคิดคำนวณมาแล้วอย่างรอบคอบ
หนึ่งช่วยให้เทพภูเขาซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่แถบนี้ในนามสำรวจหาลมปราณที่อยู่ด้านในของบ้านโบราณ อีกอย่างหนึ่งคือช่วยให้นักพรตป๋ายลู่จัดวางกลไก หาโอกาสในการปรากฏตัว ในและนอกร่วมประสาน ทำลายวิธีการที่บ้านโบราณใช้ต้านทานศัตรูภายนอกอย่างยันต์คำเขียวผุผังของสำนักโองการเทพ กำแพงบังตาที่มีท่วงทำนองความเที่ยงธรรมของลัทธิเต๋าซุกซ่อนอยู่เสี้ยวหนึ่ง วิธีการเหล่านี้ต่างก็ช่วยให้บ้านโบราณที่สถานการณ์ง่อนแง่นสามารถต้านทานการโจมตีที่อันตรายไว้ได้หลายครั้ง
พันธมิตรสามฝ่าย ล้วนไม่มีฝ่ายใดที่เป็นตะเกียงประหยัดน้ำมัน (เปรียบเปรยถึงคนที่ร้ายกาจ ยุ่งยากรับมือได้ลำบาก)
แต่นี่ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะหากไม่เป็นเช่นนี้ เมื่อต้องมาฝึกตนอยู่บนป่าเขาที่คนแข็งแกร่งเป็นผู้ล่า คนอ่อนแอเป็นเหยื่อ เกรงว่าคงตายตก กลายมาเป็นหินรองเท้าให้พวกนักพรตคนอื่นที่เหี้ยมโหดไปนานแล้ว
ผู้ฝึกลมปราณที่ไม่แก่งแย่งชิงดีกับใคร มีหรือไม่? แน่นอนว่าต้องมี ยกตัวอย่างเช่นบ้านโบราณหลังนี้ ชายหญิงผู้เป็นเจ้าของบ้านกับหญิงชราอีกหนึ่งคน เวลานับร้อยปีที่ผ่านมา นายบ่าวสามคนเก็บตัวเงียบอย่างสันโดษ จุดจบของพวกเขาเป็นเช่นไร ก็คือสภาพน่าสังเวชอย่างที่ทุกคนได้เห็นกันในเวลานี้
ด้วยไม่หวังให้เกิดปัญหาแทรกซ้อน บัณฑิตแซ่ฉู่จึงเลือกเป็นฝ่ายยอมถอยให้ก่อนหนึ่งก้าว เขายิ้มบางๆ กล่าวว่า “คุณชายเฉิน อันที่จริงเจ้ากับข้าไม่มีความแค้นต่อกัน เหตุใดต้องต่อสู้เอาเป็นเอาตายกันด้วย ขอแค่คืนนี้คุณชายเฉินเต็มใจถอยออกไปจากบ้านโบราณหลังนี้ ข้าผู้แซ่ฉู่ก็จะต้องปรนนิบัติรับรองคุณชายเป็นอย่างดี ต่อให้คุณชายอยากจะไปดื่มสุราในวังหลวงของแคว้นกู่อวี๋ ยกตัวอย่างเช่นในคืนที่มีลมหิมะ ข้าผู้แซ่ฉู่ก็สามารถหิ้วไหเหล้าไปนั่งอยู่บนหลังคาสูงของวังหลวง ดื่มเหล้าชมหิมะอย่างเพลิดเพลินใจร่วมกับคุณชายเฉิน โดยไม่ต้องกังวลเลยว่าฮ่องเต้แคว้นกู่อวี๋จะพิโรธ”
บอกตามตรง แม้ว่าบัณฑิตแซ่ฉู่จะเป็นภูตที่มีที่มาไม่ถูกต้องตามหลักทำนองคลองธรรม แต่หลังจากฝึกตนจนจำแลงร่างเป็นคนได้สำเร็จ ก็ไม่รู้ว่าผ่านประสบการณ์แบบใดมา บุคลิกท่าทางของเขาถึงไม่ธรรมดา โดดเด่นต่างจากคนทั่วไป เมื่อเทียบกับบุตรหลานในตระกูลชนชั้นสูงแล้วก็มีแต่จะมีสง่าราศีมากกว่า น้ำแข็งหนาสามฉื่อไม่ได้เกิดจากความหนาวเพียงวันเดียว คิดดูแล้วคงเพราะได้รับโชควาสนาบางอย่างที่พิเศษจึงมีบุคลิกที่สง่างามอย่างทุกวันนี้ได้
ในที่สุดเฉินผิงอันก็เปิดปากถาม “ได้ยินว่าฮ่องเต้แคว้นกู่อวี๋แซ่ฉู่ เจ้าเองก็แซ่ฉู่ มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร?”
บัณฑิตแซ่ฉู่ลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ดูเหมือนว่าเพื่อแสดงความจริงใจของตน เขาจึงพยักหน้ารับพร้อมยิ้มบางๆ “มีความเกี่ยวข้องกันอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ข้องเกี่ยวกันทางสายเลือด สรุปก็คือต่างคนต่างพึ่งพากัน ขณะเดียวกันก็ป้องกันกันเอง ค่อนข้างจะซับซ้อน ยากจะอธิบายได้ด้วยประโยคสั้นๆ”
ตัวอักษรคำว่าฉู่ (楚) ด้านบนคือตัวหลิน (林 ) ด้านล่างคือตัวผี่ (疋) อักษรผี่สามารถใช้ตัวอักษร “จู๋” (足) ที่แปลว่าเท้ามาอธิบาย ไม้สองต้นรวมกันเป็นป่า (อักษรตัวหลิน 林 แปลว่าป่า ซึ่งประกอบด้วยอักษรตัวมู่ 木 ที่แปลว่าต้นไม้สองตัว) ด้านล่างป่ามีเท้า บัณฑิตแซ่ฉู่ตั้งแซ่ของตัวเองด้วยตัวอักษรนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ว่าเขาน่าจะเป็นภูตที่มาจากป่าโบราณ
เพียงแต่การเรียนหนังสือของเฉินผิงอันในทุกวันนี้ยังเป็นเพียงแค่เปลือกนอกอย่างขั้น ‘รู้แบบงูๆ ปลาๆ พอจะเข้าใจความนัยได้เป็นครั้งคราว’ อยู่ไกลเกินกว่าจะสามารถ ‘แยกแยะ’ ตัวอักษรได้อย่างชัดเจนลึกซึ้ง เพราะอย่างไรซะเขาก็ไม่ได้มีความรู้อย่างชุยฉานหรือเว่ยป้อ
เฉินผิงอันมองประเมินเสื้อเกราะที่อยู่บนร่างบัณฑิตแซ่ฉู่อยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจว่าจะไม่ใช่สืออู่ก่อน พอดีกับที่สามารถอาศัยโอกาสนี้ทดลองดูน้ำหนักวิชาหมัดของตัวเอง จะได้แน่ใจถึงความตื้นลึกของขอบเขตสามของตน จึงเอ่ยถามว่า “เจ้าเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตอะไร?”
บัณฑิตแซ่ฉู่ตอบยิ้มๆ “แค่ขอบเขตห้าเท่านั้น”
แน่นอนว่านี่ต้องเป็นการพูดแบบถ่อมตัว
ขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็จะได้เป็นเทพเซียนห้าขอบเขตกลาง จะเรียกว่า ‘แค่’ ได้อย่างไร? ต้องรู้ว่าในตระกูลเซียนที่มีอักษรคำว่าสำนัก ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางก็ถือเป็นบุคคลที่มีสถานะสูงศักดิ์อย่างถึงที่สุดแล้ว หากไม่ได้เป็นข้ารับใช้อาวุโสที่ฐานะสูงเกินใคร ก็ต้องเป็นผู้คุมกฎที่กุมอำนาจที่แท้จริง ขนาดในสำนักยังเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแคว้นเล็กที่มีพื้นที่เท่าแมวดิ้นตายอย่างแคว้นกู่อวี๋ แคว้นไฉ่อีนี่เลย
ทว่าคำถ่อมตัวที่แฝงไว้ด้วยความลำพองใจของบัณฑิตแซ่ฉู่ เมื่อดังเข้าหูเฉินผิงอันที่เป็นคนดื้อดึงกลับเป็นคำว่า ‘แค่’ ที่จริงแท้แน่นอน นี่น่ะหรือ ‘ปีศาจใหญ่’ ขอบเขตห้าที่นักพรตจางซานเอ่ยถึง? เฉินผิงอันหมุนข้อมือเบาๆ แสยะยิ้ม เขาสู้ผีเจ้าสาวไม่ได้ แต่เจ้าคนตรงหน้าที่สวมกระดองเต่าผู้นี้สามารถเอามาใช้ฝึกปรือฝีมือได้จริงๆ หากฆ่าอีกฝ่ายตายได้ย่อมดีที่สุด ฆ่าไม่ตายตัวเองก็ไม่เสียเปรียบ เพราะอย่างไรซะก็มีกระบี่บินอยู่ข้างกาย แถมยังไม่ใช่แค่เล่มเดียว แต่เป็นสองเล่ม!
ตอนนั้นเฉินผิงอันเพิ่งฝึกหมัดได้แค่ไม่กี่วันก็กล้าหลอกล่อวานรย้ายภูเขาของเขาตะวันเที่ยงเหมือนจูงสนุกเดินเล่น ศักยภาพไม่ต้องพูดถึงให้มากความ ลำพังเพียงแค่ความกล้าหาญก็มากกว่าผู้ฝึกยุทธ์หลายคนในโลกแล้ว แน่นอนว่าหากเขาคิดจะเดิมพันสุดชีวิต การที่ค่อยๆ วางแผนไปทีละก้าว ระมัดระวังรอบคอบก็คือจุดแข็งของเฉินผิงอัน
บัณฑิตแซ่ฉู่กล่าวอย่างระอาใจ “ทำไมถึงยังต้องสู้กันอีก?”
เฉินผิงอันให้คำตอบอย่างตรงไปตรงมา “หากไม่สู้กับเจ้า เพื่อนของข้าและมือดาบคนนั้นจะเป็นอันตรายอย่างมาก”
สายตาของบัณฑิตแซ่ฉู่มืดทะมึน ต่อให้เป็นรูปปั้นดินพระโพธิสัตว์ก็ยังต้องมีไฟโทสะลุกโชนสามจั้ง แล้วนับประสาอะไรกับเจ้าถิ่นผู้แข็งแกร่งที่เคยชินกับชีวิตรุ่งโรจน์ในโลกมนุษย์มานานแล้วอย่างเขา “เจ้าหนุ่ม หากไม่เห็นโลงศพเจ้าก็คงไม่หลั่งน้ำตาสินะ? ข้าบอกกับเจ้าได้ตามตรงเลยว่า ข้างนอกบ้านโบราณยังมีอีกสองคนที่คอยจ้องหาโอกาสเหมาะๆ เจ้าจะเข้ามามีเอี่ยวด้วยจริงๆ หรือ? คิดว่าข้ากลัวเจ้าจริงๆ รึไง?”
คำตอบของเฉินผิงอันทำให้ไฟโทสะของบัณฑิตแซ่ฉู่ยิ่งลุกโชน “เจ้ากลัวข้าหรือไม่ กับข้าจะอัดเจ้าหรือไม่ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน”
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ก่อนหน้านี้ที่เขาจงใจถ่วงเวลาไว้นานขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันต้องการจะอวดอ้างบารมี แต่เป็นเพราะเขาอยากจะรอให้แน่ใจกับความต้องการของบรรพบุรุษน้อยทั้งสองในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เสียก่อน
และนี่จะตัดสินว่าเขาควรจะลงสนามต่อสู้ในครั้งนี้หรือไม่
—–
บทที่ 217.2 เซียนกระบี่
โดย
ProjectZyphon
ครั้งแรกที่กระบี่บินชูอีซึ่งเดิมทีมีชื่อว่าเสี่ยวเฟิงตูปรากฏกายในบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิง เป็นเหมือนเส้นแสงสีขาวเล็กๆ เส้นหนึ่งที่พาดผ่านอยู่กลางอากาศ แม้ว่าตัวกระบี่จะเล็กบาง แต่กลับเต็มไปด้วยพลังอำนาจอันเปี่ยมล้น คมกระบี่สาดประกายความคมออกมาจนหมดสิ้นอย่างไม่มีปิดบัง
ส่วนกระบี่บินสืออู่ที่แลกมาจากหยางเหล่าโถว พลังอำนาจจะแตกต่างไปเล็กน้อย ปณิธานกระบี่ค่อนข้างจะชื่นชอบความเงียบสงบ เวลาเคลื่อนไหวในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็มักจะเป็นการบินไปบินมาด้วยความเร็วสูงสุด ทุกครั้งที่ใกล้จะชนกับผนังด้านในของน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็มักจะหยุดกะหันทันในขณะที่ห่างจากผนังแค่เสี้ยวเดียว แตกต่างจากชูอีที่พุ่งชนด้านในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เหมือนคลุ้มคลั่งอย่างสิ้นเชิง
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงค่อนข้างจะมั่นใจว่าเสี่ยวเฟิงตู หรือกระบี่บินสีขาวที่ถูกเขาตั้งชื่อว่าชูอีนั้นคมกริบยิ่งกว่าสืออู่ อีกทั้งยังแข็งแกร่งมากกว่า แต่ข้อเสียก็เห็นได้อย่างชัดเจนเช่นกัน นั่นคือกระบี่ขยับเชื่องช้า อีกทั้งไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเฉินผิงอันทั้งหมด ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้ทุกครั้งที่ออกกระบี่ไม่มีความแม่นยำมากพอ แต่หากอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่กำลังคุมเชิงกัน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เป็นฝ่ายได้เปรียบสูงก็สามารถให้ชูอีเป็นคนออกหน้าพุ่งชนไปทั่วสะเปะสะปะ เพราะอย่างไรก็ไม่ต้องกังวลอยู่แล้วว่าจะชนจนเกิดความเสียหาย ทว่าหากอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่มีความเสี่ยงก็ยังจำเป็นต้องให้สืออู่ที่นิสัยอ่อนโยนว่าง่ายและว่องไวอย่างถึงที่สุดช่วยโจมตีจุดตาย ควรนำมาใช้ในขั้นสุดท้าย
แน่นอนว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตนั้นแข็งแกร่งมาก นี่คือรากฐานที่ผู้ฝึกกระบี่ใต้หล้าทุกคนปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน หากโชคดีได้มาครอบครองก็ยิ่งต้องเก็บรักษาให้ดีเหมือนชีวิตของตนเอง และนี่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ฝึกลมปราณของร้อยสำนักปวดหัวอย่างถึงที่สุด แต่ไม่ว่าจะเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มใดก็ล้วนมีปัญหาเหมือนกันอยู่สองข้อ หนึ่งคือได้มาครองไม่ง่าย เพราะวัตถุดิบวิเศษในฟ้าดินที่จำเป็นต้องใช้ในการหลอมกระบี่นั้นมีมากมายนับไม่ถ้วน สองคือมีชื่อน่าครั่นคร้ามด้านพลังการสังหารที่ยิ่งใหญ่ ไม่ออกมาจากช่องโพรงลมปราณก็มีพลานุภาพในการสยบโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ย แต่หากออกจากช่องโพรงมาสังหารศัตรู ขอแค่เกิดความเสียหายเพียงเล็กน้อย ยกตัวอย่างเช่นคมกระบี่เกิดบิ่นแตก ตัวกระบี่เกิดรอยร้าว ฯลฯ การซ่อมแซมกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ไม่สมบูรณ์แบบก็ต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่ใหญ่เทียมฟ้า
ดังนั้นถึงมีประโยคหนึ่งซึ่งแพร่ไปถึงบนยอดเขานั่นคือ รวยก็คือผู้ฝึกกระบี่ จนก็คือผู้ฝึกกระบี่ ล้มละลายภายในค่ำคืนเดียวก็คือผู้ฝึกกระบี่
นี่ก็คือสาเหตุที่เฉินผิงอันเรียกชูอีออกมารบก่อน ด้วยกังวลว่าหากสืออู่ขึ้นเวทีสังหารศัตรูเป็นครั้งแรกจะปิดฉากลงอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความยึดมั่นถือมั่นเป็นของตัวเอง ในเมื่อคุยกันไม่รู้เรื่องก็ได้แต่เอาความสามารถที่แท้จริงออกมาวัดกัน
บัณฑิตแซ่ฉู่ที่ร่างจริงคือภูตต้นไม้โบราณยื่นนิ้วข้างหนึ่งขึ้นมาเคาะลงบนกระจกหุ้มหัวใจที่ส่องแสงสว่างลุกโชนตรงหน้าอก “หมัดของเจ้าแข็งนักไม่ใช่หรือ มา ต่อยลงมาตรงนี้ได้ตามสบาย เม็ดเสื้อเกราะล้ำค่าที่ต้องจ่ายเงินตั้งสามพันเงินเกล็ดหิมะชิ้นนี้ถูกเก็บไว้ในท้องพระคลังสมบัติลำดับสองของราชวงศ์แคว้นกู่อวี๋ เจ้าคนแซ่เฉิน หากเจ้าต่อยมันให้แตกได้ก็ถือว่าเจ้ามีความสามารถ!”
เฉินผิงอันหรือจะมัวเกรงใจเขา
แตะปลายเท้าเบาๆ กระเบื้องบนพื้นก็ถึงกับปริร้าว ร่างพุ่งกระโจนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
คำโบราณที่บอกไว้ว่าต้นไม้ย้ายถิ่นตาย คนย้ายถิ่นรอด ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล แม้ว่าบัณฑิตภูตต้นไม้จะเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้า ร่างกายและจิตใจไม่อ่อนแอ แต่ก็ไม่เชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัวและไม่อาจทนรับหลายๆ กระบวนท่าติดต่อกัน เขาถึงได้เอาเม็ดเสื้อเกราะที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นนี้มาใช้เป็นยันต์คุ้มกันกายในช่วงเวลาที่สำคัญ
บัณฑิตแซ่ฉู่เกิดมาก็มีร่างกายที่แข็งแกร่งทนทาน บวกกับมีเสื้อเกราะวิเศษปกคลุมทั่วกาย เขาในเวลานี้จึงกลั้นหายใจทำสมาธิ เตรียมพร้อมรอรับหมัดจากเด็กหนุ่ม
หนึ่งหมัดที่ปล่อยออกไปด้วยพละกำลังหนักหน่วง เป็นเหตุให้กระจกหุ้มหัวใจยุบลงไปชุ่นกว่า ร่างทั้งร่างของบัณฑิตแซ่ฉู่ปลิวลิ่วไปกระเด็นเข้ากับกำแพงลานบ้านของเรือนโบราณที่อยู่ด้านนอกสุด แต่คราวนี้สภาพของเขากลับไม่กระเซอะกระเซิงแล้ว กลับเป็นกำแพงด้านหลังของเขาที่พังครืนแหลกละเอียด เผยให้เห็นภาพที่น่าสะพรึงกลัว ด้านในกำแพงไม่ใช่ก้อนอิฐ แต่เป็นรากต้นไม้ที่รัดพันและกำลังเคลื่อนขยับ
บัณฑิตแซ่ฉู่ปัดฝุ่นบนร่าง เอ่ยเย้ยหยัน “มีความสามารถแค่นี้เองหรือ? หากไม่มีใจกล้าหาญของขอบเขตหก ต่อให้ข้าผู้แซ่ฉู่ยืนนิ่งไม่ขยับตั้งแต่ต้นจนจบ ปล่อยให้เจ้าต่อยใส่ร้อยหมัดพันหมัด คุณชายเฉินคิดจะต่อยให้เม็ดเสื้อเกราะแหลกสลายในรวดเดียว ก็ยังยากมากอยู่ดี”
ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่ ห้า หก สามขอบเขตนี้ไม่ได้ถูกพันธนาการอยู่แค่ที่การหล่อหลอมเรือนกายเสมอไป แต่ยกระดับไปถึงการหลอมลมปราณ ด้วยเหตุนี้จึงถูกเรียกว่าขอบเขตปรมาจารย์น้อย แต่ละระดับจะมีการสนองตอบต่อจิต วิญญาณและความกล้า หากฝึกสำเร็จ พลังการต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธ์ก็จะทบทวี ไม่เพียงแต่ย้อนกลับมาเลี้ยงเรือนกายที่เป็นเลือดเนื้อขอตัวเองได้ เวลาที่รับมือกับผู้ฝึกลมปราณก็จะมีความมั่นใจมากขึ้น โดยเฉพาะเวลาที่จัดการกับภูตผีปีศาจที่เหนื่อยเพียงครึ่งแต่ได้ผลเป็นเท่าตัว การลงมือในแต่ละครั้ง พายุหมัดที่พุ่งมาถึงจะร้อนแรงเหมือนดวงตะวัน กี่หมื่นพันความชั่วร้ายก็ต้องพากันหลบเลี่ยง
หนึ่งหมัดต่อยลงบนตำแหน่งที่คาดการณ์ไว้ จากนั้นเฉินผิงอันก็ไม่ได้ไล่ตามไปโจมตีต่อ ไม่ใช่ว่าเขาเป็นม้าตีนปลาย ตรงกันข้ามเลยทีเดียว หมัดนี้เป็นแค่อาหารเรียกน้ำย่อยเท่านั้น หลักๆ แล้วเป็นเพราะเฉินผิงอันตกตะลึงไปกับภาพประหลาดของกำแพงด้านหลังบัณฑิตต่างหาก หรือว่าด้านในกำแพงของบ้านโบราณล้วนมีรากต้นไม้หยั่งลึกอย่างนี้ทั้งหมด?
เรือนด้านหลังมีประกายแสงเจิดจ้าเปล่งวูบวาบสาดส่องม่านราตรีอยู่ตลอดเวลา และระหว่างนั้นก็มีเสียงตวาดคำรามของมือดาบเคราดกดังแทรกซ้อนเข้ามาเป็นระยะ
ยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจสีเหลืองสามแผ่นเอามาใช้หมดแล้ว แต่ยังเหลือยันต์สยบปีศาจกระดาษสีทองอีกสองแผ่นที่ซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อของเฉินผิงอัน
และยังมียันต์ย่อส่วนพื้นที่อีกสองแผ่น
เฉินผิงอันกล่าวกับตัวเองในใจว่า ใช้ได้แล้ว
หลายครั้งที่ออกหมัดไปก่อนหน้านี้ล้วนอาศัยความว่องไวปราดเปรียวของร่างกาย แต่อันที่จริงล้วนเป็นวิธีที่ตรงไปตรงมา
ทว่าคราวนี้เฉินผิงอันกลับเลือกทำต่างออกไป เขาตั้งท่าหมัดที่เก่าแก่โบราณอย่างถึงที่สุด ก้าวออกไปหนึ่งก้าว สองแขนยืดขยาย ก่อนจะค่อยๆ กำมือเป็นหมัด ทุกอย่างนี้ล้วนคล่องแคล่วดุจเมฆคล้อยดุจสายน้ำไหล
เพียงชั่วพริบตาปณิธานหมัดของเฉินผิงอันก็ไหลบ่าราวกับสายน้ำ เจิดจ้าบาดตาอย่างแท้จริง เมื่อตกมาอยู่ในสายตาของบัณฑิตแซ่ฉู่ก็เป็นราวกับดวงอาทิตย์ที่ผุดขึ้นทางทิศตะวันออกเหนือผืนมหาสมุทร น่าตื่นตาตื่นใจสุดขีด
กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า!
บัณฑิตแซ่ฉู่กลืนน้ำลาย คิดในใจว่าควรจะกลับมานั่งคุยกันอีกสักหน่อยดีหรือไม่?
เหตุใดถึงได้รู้สึกว่าเสื้อเกราะวิเศษตัวนี้อาจจะไม่สร้างความมั่นคงปลอดภัยให้เขาได้เสมอไป?
เห็นๆ กันอยู่ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้ายังฝึกการหลอมลมปราณของวิถีวรยุทธ์ไม่ได้ถึงขอบเขตสามเลยด้วยซ้ำ!
แล้วทำไมถึงมีปณิธานหมัดที่เข้มข้นซึ่งป่าเถื่อนและไร้เหตุผลได้ถึงเพียงนี้?
ใจของบัณฑิตแซ่ฉู่คิดจะถอย อย่างน้อยก็ควรหลบเลี่ยงประกายคมกริบของอีกฝ่าย ไม่ปล่อยให้หมัดต่อยลงมาบนร่างอย่างโง่งมอีก แต่วินาทีที่เขาเตรียมจะย้ายตำแหน่งนั้นเอง ร่างของเด็กหนุ่มกลับหายไปกลางอากาศ พริบตาเดียวก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าบัณฑิต ปล่อยหมัดต่อยลงตรงซี่โครงที่มีเสื้อเกราะบดบังด้วยพลังอำนาจที่ดุดัน พละกำลังรุนแรงมาก ทำเอาบัณฑิตแซ่ฉู่เซถอยออกไปด้านข้าง แต่ขณะเดียวกันเขาก็โล่งใจได้ เพราะหลังจากที่ตั้งท่าหมดแบบจริงจังแล้ว ปณิธานหมัดของเด็กหนุ่มน่าตกใจก็จริง แต่ดูเหมือนพลังจะเพิ่มขึ้นไม่มาก
ผู้เฒ่าเปลือยเท้าเคยพูดสัพยอกในเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วว่า กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าของข้าผู้อาวุโสให้ความสำคัญกับหมัดแรก เมื่อหมัดแรกมาถึง ปณิธานศักดิ์สิทธิ์ถูกชักนำ หัวท้ายเชื่อมโยงกัน สิบหมัดร้อยหมัดหลังจากนั้นก็ย่อมมาถึงได้เอง ดังนั้นหมัดแรกต้องต่อยให้โดนคู่ต่อสู้ หลังจากนั้นสามารถปล่อยไปได้อีกกี่หมัดก็อยู่ที่ว่าลมปราณเฮือกหนึ่งนั้นสามารถประคองตัวได้ถึงเมื่อไหร่
ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้หมัดแรกพลาด เฉินผิงอันถึงยอมใช้ยันต์ย่อพื้นที่หนึ่งแผ่นโดยไม่เสียดาย
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ออกหมัดเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ พละกำลังแค่หนักกว่าหมัดก่อนหน้านี้เล็กน้อยเท่านั้น ต่อยลงบนช่องโพรงต่างๆ ของบัณฑิตแซ่ฉู่ และตรงจุดที่ลำแสงบนเสื้อเกราะไหลเวียนวน ไม่ว่าหมัดของเฉินผิงอันต่อยลงที่ใด แสงตรงจุดนั้นก็จะสว่างวาบขึ้นมา สมกับที่เป็นสมบัติอาคมล้ำค่าอันดับต้นๆ ของแคว้นกู่อวี๋
ทุกครั้งที่พยายามจะหลบเลี่ยงกลับหลบหมัดนั้นไม่พ้น ราวกับว่าพลาดไปเพียงแค่ก้าวเดียวอยู่เสมอ หลังจากที่ต้องรับหมัดเต็มๆ ถึงสิบหมัด บัณฑิตแซ่ฉู่ที่ไร้ปัญญาจะตอบโต้ก็พลันหน้าซีดขาว
หัวไหล่ หน้าอก ซี่โครง หน้าท้อง หัวใจด้านหลัง จุดไท่หยางตรงศีรษะ (อยู่ตรงขมับ รอยบุ๋มระหว่างหางคิ้วกับไรผม) หว่างคิ้ว ข้อศอก หัวเข่า
ไม่มีที่ใดที่ไม่ใช่ ‘จุดพักเท้า’ ของเด็กหนุ่ม
เฉินผิงอันออกหมัดรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ ประเด็นสำคัญคือบัณฑิตแซ่ฉู่กลับเห็นว่าเด็กหนุ่มคนนั้นยังคงรักษาความนิ่งสงบเยือกเย็น ลมหายใจหนักแน่นมั่นคงไว้ได้ตลอดเวลา จิตใจของเขาแน่วนิ่งเกินไปแล้ว และทุกหมัดก็สอดประสานกันได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ เป็นธรรมชาติ ราวกับตัวประหลาดเฒ่าที่มีชีวิตอยู่มานานหลายร้อยปี
หลังปล่อยไปสิบห้าหมัด หมัดของเฉินผิงอันก็ปริแตกจนเห็นกระดูกขาวได้บางส่วน เลือดสดไหลโซม แต่เฉินผิงอันหรือจะสนใจความลำบากทางร่างกายที่ไม่เจ็บไม่คันนี้?
เมื่อเทียบกับความยากลำบากราวกับถูกค้อนเหล็กทุบตีเลือดเนื้อและกระดูกของทั้งสิบนิ้วให้แหลกเละแตกละเอียดไปทีละนิด เปรียบเทียบกับความยากลำบากที่ต้องลงมือถลกหนังดึงเส้นเอ็นด้วยตัวเองแล้ว เฉินผิงอันก็รู้สึกว่าความเจ็บปวดเล็กน้อยแค่นี้นับว่าเป็นการเสวยสุขอย่างผ่อนคลายเบาสบายแล้ว
บัณฑิตแซ่ฉู่เผยร่างจริงครึ่งร่างแล้ว ตัวของเขาเปลี่ยนมาเป็นสูงหนึ่งจั้ง ดวงตาเป็นสีเขียว ใบหน้าเต็มไปด้วยเส้นเอ็นสีเขียวปูดโปน กล้ามเนื้อด้านใต้เกราะวิเศษเริ่มมีแววจะพองนูนขึ้นมาเหมือนตะปุ่มตะป่ำของต้นไม้โบราณ
เขาเอามือสองข้างบังไว้ด้านหน้าใบหน้าของตัวเอง พยายามตะโกนสุดเสียงในทุกครั้งที่ถูกต่อยจนตัวปลิว “นักพรตป๋ายลู่ เทพภูเขาฉิน เหตุการณ์มีการเปลี่ยนแปลง รีบมาช่วยข้าเร็วเข้า!”
เนินเขาที่อยู่นอกบ้านโบราณ เทพภูเขาเถื่อนได้ยินประโยคนั้นแล้วหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
สะเก็ดไฟจากเปลวเพลิงในคบเพลิงที่บัณฑิตแซ่ฉู่เสียบไว้บนเสาระเบียงก่อนหน้านี้ถูกดึงออกไปอย่างรวดเร็ว สะเก็ดไฟเล็กๆ เหมือนดวงดาวล่องลอยไปสี่ทิศ แม้ส่วนใหญ่จะสลายไปในเวลาไม่นาน แต่ก็ยังมีกลุ่มไฟเล็กๆ บางส่วนที่ทยอยกันปลิวไปทางเรือนชั้นสาม ทำให้เขาสามารถเห็นภาพเหตุการณ์ในเรือนโบราณผ่านสะเก็ดไฟเหมือนเห็นจากดวงตาของตัวเอง
ดังนั้นเทพภูเขาจึงมองเห็นการประมือกันระหว่างบัณฑิตแซ่ฉู่กับเด็กหนุ่มอย่างชัดเจน นี่ทำให้เขาลำบากใจเล็กน้อย ไม่ได้ลำบากใจที่จะให้ความช่วยเหลือ แต่ลำบากใจว่าควรจะเข้าไปร่วมตอนไหนถึงจะได้ผลประโยชน์มหาศาลที่สุด หากเสื้อเกราะของบัณฑิตแคว้นกู่อวี๋ยังไม่แหลกละเอียด เขาก็คร้านที่จะส่งถ่านในวันหิมะตกให้กับอีกฝ่าย สังหารเด็กหนุ่ม ช่วยบัณฑิตรักษาเสื้อเกราะวิเศษชิ้นนั้นเอาไว้ก็เท่ากับเขาหาเรื่องยุ่งยากใส่ตัวไม่ใช่หรือ
นักพรตวัยกลางคนที่ในมือถือแส้ปัดฝุ่นพลันเอ่ยว่า “ระดับความคมของดาบวิเศษในมือของนักดาบเคราดกคนนั้นอยู่เหนือการคาดการณ์ หากข้าผู้เป็นนักพรตยังไม่ลงมือ เกรงว่าคงจะเดือดร้อนไปถึงร่างจริงของผีสาวด้วยแล้ว จะเอาอย่างไร เทพภูเขาฉินจะไปพร้อมกับข้าผู้เป็นนักพรตหรือจะเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ที่นี่ต่อ?”
เทพภูเขาเถื่อนหัวเราะพลางกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าและข้าเป็นพันธมิตรกันก็ควรร่วมทุกข์ร่วมสุข ควรหรือที่ข้าจะเอาแต่หดหัวรออยู่ในกระดอง”
นักพรตหัวเราะฮ่าๆ โยนแส้ปัดฝุ่นสีขาวหิมะออกไปเบื้องหน้า ในขณะที่มันกำลังจะร่วงลงพื้นก็จำแลงกลายมาเป็นกวางขาวที่เรือนกายสูงใหญ่ นักพรตกระโดดขึ้นขี่หลังกวางแล้วควบตะบึงไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว เสื้อคลุมนักพรตเต๋าแขนกว้างสะบัดดังพึ่บพั่บ แล้วก็โชคดีที่ไม่มีชาวบ้านร้านตลาดอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงโขกหัวกราบกราน ตะโกนเรียกว่าเทพเซียนไปแล้ว
เทพภูเขาเถื่อนไม่ได้ใช้เวทอาคมอะไร แค่ก้าวออกไปก้าวหนึ่งอย่างเรียบง่ายก็มาเดินอยู่ข้างกายกวางขาวและนักพรตแล้ว
กวางขาวห้อตะบึงราวกับสายลม เพียงไม่นานก็มาหยุดอยู่นอกบ้านโบราณ นักพรตเต๋าวัยกลางคนทะยานตัวขึ้นกลางอากาศ กวางขาวกลับคืนมาเป็นแส้ปัดฝุ่นที่พุ่งเข้าไปอยู่ในมือของเจ้าของในชั่วพริบตา นักพรตเต๋ากล่าวพลางหัวเราะเสียงดัง “พี่ฉู่ ข้าผู้เป็นนักพรตจะช่วยเจ้าสังหารศัตรูเอง!”
หลังจากปล่อยออกไปยี่สิบหมัด เฉินผิงอันก็รู้ว่าเป็นขีดจำกัดสูงสุดของตัวเองแล้ว น่าเสียดายก็แต่ไม่สามารถต่อยให้เสื้อเกราะวิเศษตัวนั้นแตกได้
แม้ว่าบัณฑิตแซ่ฉู่จะถูกต่อยจนเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด จิตวิญญาณสั่นสะเทือน เผยร่างจริงอย่างสมบูรณ์แบบ ระเบียงเกือบทั้งแทบถูกคนทั้งสองทำลายจนเละเทะ แต่บัณฑิตแซ่ฉู่กลับแค่สูญเสียพลังการต่อสู้ไปส่วนหนึ่งเท่านั้น อาศัยพรสวรรค์อันโดดเด่นและเกราะกวางหมิงจึงยังพอจะเหลือพละกำลังอยู่บ้าง ไม่ถึงขั้นถูกพายุหมัดของเด็กหนุ่มสั่นสะเทือนจนตายไป
จากนั้นนักพรตป๋ายลู่ที่ถือแส้นักพรตก็เยื้องกรายลงมาจากท้องฟ้า
เฉินผิงอันเพิ่งจะเก็บหมัดกลับมา จึงตบไปที่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวเบาๆ
แสงสีขาวเส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากน้ำเต้าสีชาด ตรงเข้าแทงที่กระจกหุ้มหัวใจของเสื้อเกราะที่ถูกต่อยจนยุบลงไปแล้ว
ลำแสงทั้งหมดของเสื้อเกราะพากันไหลไปรวมที่กระจกหุ้มหัวใจแทบทั้งหมด
เสื้อเกราะวิเศษเกิดเสียงเหมือนเครื่องกระเบื้องปริแตกเบาๆ
แสงสีขาวเส้นนั้นดีดกลับแล้วหายวับ ไม่รู้ว่าไปที่ไหน
บัณฑิตแซ่ฉู่ที่หายใจรวยรินตื่นตะลึงสุดขีด แต่เพียงไม่นานสีหน้าของเขาก็ฉายความปิติยินดีอย่างยิ่ง เสื้อเกราะไม่ได้ถูกแทงทะลุ ตนยังไม่ตาย!
แน่นาทีถัดมาเขาก็รู้สึกว่าหว่างคิ้วเย็นวาบ เรือนกายที่แข็งแกร่งหงายหลังผลึ่ง ในขณะที่กำลังจะตาย เขาทิ้งประโยคอาฆาตอย่างเจ็บแค้นไว้ว่า “ทำลายรากฐานมหามรรคาของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
กล่าวประโยคนี้จบบัณฑิตแซ่ฉู่ที่ล้มแล้วลุกขึ้นไม่ได้อีกก็กลายมาเป็นต้นไม้โบราณสีเขียวที่ผุเปื่อยแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นผง เสื้อเกราะวิเศษที่ไม่มีเจ้าของก็กลับกลายมาเป็นลูกกลมที่ส่องประกายแวววาวดังเดิม
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว
ที่แท้ตามหลังชูอีก็มีแสงสีเขียวอีกเส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ใช้ความเร็วที่เหนือกว่าเส้นแสงสีขาวมาก พุ่งทะยานตามกันออกไปติดๆ หนึ่งหน้าหนึ่งหลัง ฉวยโอกาสขณะที่ปราณวิญญาณของเสื้อเกราะไปรวมกันที่กระจกปกป้องหัวใจ กระบี่ที่สองจึงแทงทะลุหว่างคิ้วของบัณฑิตแซ่ฉู่ไปได้อย่างง่ายดาย
เทพภูเขาเถื่อนที่ยืนอยู่บนกำแพงสูงของบ้านโบราณร้องอุทานตกใจ “กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต!”
เขาหันตัวกลับได้ก็ก้าวยาวๆ ออกไปหนึ่งก้าว ร่างปรากฏห่างออกไปหลายสิบลี้ พอลมเย็นๆ พัดมา เขาก็สัมผัสได้ถึงเหงื่อที่แตกพลั่กท่วมร่าง
“แม่งเอ๊ย เซียนกระบี่!”
นักพรตป๋ายลู่ที่สองเท้าเพิ่งจะเหยียบลงกลางระเบียงเขย่งปลายเท้า กระโดดผลุงขึ้นสูง ไม่พูดไม่จาก็เผ่นหนีไปทันที ขว้างแส้นักพรตพรวดออกไปกลางอากาศ กวางขาวพลิ้วกายลงบนพื้น นักพรตขึ้นขี่ไปบนหลังของมันแล้วหนีไปอย่างหัวซุกหัวซุน
เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิมด้วยความอึ้งตะลึงเล็กน้อย ในใจเขาคิดว่าข้าเป็นแค่คนที่ฝึกหมัดได้ไม่ถึงสองปี ทำไมถึงกลายมาเป็นเซียนกระบี่ได้แล้วล่ะ? ข้ายังไม่ใช่แม้แต่ผู้ฝึกกระบี่เลยด้วยซ้ำ
—–
บทที่ 218.1 เซียนซือมาเยือน
โดย
ProjectZyphon
เรือนด้านหลังของบ้านโบราณ ด้านนอกหอซิ่วโหลว ศึกใหญ่กำลังเปิดฉากขึ้น
แม้ว่าขอบเขตวิถีวรยุทธ์ของมือดาบเคราดกที่เดินทางมาที่นี่เพียงแค่เพื่อสังหารปีศาจจะไม่ถือว่าสูงมากนัก เป็นแค่ขอบเขตสี่ที่มั่นคง ทว่าดาบวิเศษในมือเล่มนั้นกลับเป็นศาสตราวุธที่มีระดับขั้นสูงสุด หลังกรอกลมปราณที่แท้จริงเข้าไป ขณะที่ชักดาบจะมีแสงสีแดงเปล่งประกายคลอมากับเสียงสายลมสายฟ้าคำรณ พลังอำนาจดุดันมิอาจขัดขวาง
หญิงชราที่ก่อนหน้านี้ทำหน้าที่เฝ้าเรือนสามชั้นแรกคือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามที่เก็บซ่อนฝีมือไว้อย่างลึกล้ำ เพียงแต่ว่าอายุของนางสูงมากแล้ว พละกำลังไม่เป็นใจ จึงยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจอมยุทธ์หน้าหนวดและดาบวิเศษเล่มนั้นอยู่ดี หลังจากสู้กันหลายสิบรอบก็ถูกชายฉกรรจ์ใช้หลังดาบตีจนมึน แล้วแตะเข้าไปในห้องจนกระทั่งนางหมดสติไปอย่างสิ้นเชิง
เดิมทีหญิงชราไม่น่าจะหมดสภาพได้ถึงขั้นนี้ เพียงแต่ว่าถูกกักขังอยู่ในกรงมานาน ถูกปราณแห่งความมืดมนชั่วร้ายที่ค่ายกลดึงให้มารวมตัวกันรุกรานอยู่นานเกินไป แม้จะไม่ใช่ผู้ฝึกตนผีหรือวัตถุหยินที่พบเจอแสงสว่างไม่ได้ แต่กลับหวาดกลัวปราณอันทรงพลังของดาบวิเศษเล่มนั้นมาตั้งแต่เกิด อีกทั้งมือดาบเคราดกยังเคยเดินทางไปทั่วสารทิศ มีประสบการณ์ด้านการเข่นฆ่าอย่างโชกโชน การที่หญิงชราพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วก็ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
ในเรือนชั้นสุดท้าย ตอนแรกบุรุษผู้เป็นเจ้าของบ้านโบราณเลือกที่จะออกมารับมือกับศัตรูเพียงลำพัง เขาพลิ้วตัวจากระเบียงคนงามเข้ามาอยู่กลางลานบ้าน หยิบกระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่ถูกฝุ่นเกาะมานานปี ตัวกระบี่เยียบเย็นดุจสายน้ำ ประมือกับมือดาบ กระบี่ของเขาตวัดฉวัดเฉวียนอย่างแผ่วเบาว่องไว ไม่ยอมปะทะกับดาบวิเศษซึ่งๆ หน้า ทุกๆ ครั้งที่ออกกระบี่จะต้องทิ่มแทงเข้าไปยังช่องโพรงลมปราณที่สำคัญของชายฉกรรจ์หนวดดกโดยตรง ปลายกระบี่พ่นประกายแสงสีเขียวอันเป็นกระแสแสงงดงามที่ปนความเศร้าอยู่ท่ามกลางม่านฝน
มือดาบเคราดกลงมือได้มีท่วงทำนองคล้ายคลึงกับทหารกล้าในสมรภูมิรบ หยาบกระด้างเรียบง่าย ทุกครั้งที่ชักดาบมีเพียงความเร็วและดุดัน กระบวนท่าไม่ซับซ้อน ไม่ได้ดูอัศจรรย์สักเท่าไหร่ เพียงแต่ว่าทุกดาบล้วนคล่องแคล่วว่องไว ดึงกลับชักออกได้ตามใจปรารถนา หากหนึ่งดาบไม่โดนก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าโดนแล้วศัตรูต้องบาดเจ็บสาหัส เมื่อรับมือกับเวทกระบี่ชั้นสูงของบุรุษที่สวมชุดสีดำ มือดาบเคราดกก็ยังคงรับมือได้อย่างสบายๆ
เมื่อเขาพบเห็นเบาะแสบางอย่าง ชายฉกรรจ์ก็ออกกระบี่รวดเร็วรุนแรงมากกว่าเดิม เพราะเขาโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว ถึงกับแผดเสียงด่าดังลั่น “เจ้าคนระยำ ทั้งๆ ที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลเซียนที่ถูกทำนองคลองธรรม แต่ดันไม่ยอมช่วงชิงมหามรรคาแห่งความเป็นอมตะ เหตุใดถึงปล่อยให้ตัวเองตกต่ำ?! กลับกลายมาเป็นครึ่งคนครึ่งผี เอนเอียงเข้าข้างผีสาวตนนี้ ทำร้ายให้รัศมีหลายร้อยลี้รอบด้านที่แห่งนี้ไม่มีคนอยู่อาศัย?! เจ้าว่าตัวเองสมควรตายหรือไม่!”
ชายฉกรรจ์เคราดกคำรามกร้าวอย่างเดือดดาล มือทั้งคู่ที่ถือดาบตวัดฟันลงไปด้านล่างอย่างแรง ดาบนั้นฟันลงไปที่กระบี่ของคนผู้นั้น ฟันให้ทั้งคนทั้งกระบี่แหลกสลายไปหลายจั้ง เจ้าของบ้านโบราณที่สีหน้าเป็นคนหนุ่ม แต่เส้นผมกลับขาวโพลนถอยกรูดไปด้านหลัง น้ำฝนใต้ฝ่าเท้าสาดกระเซ็นไปรอบด้าน กว่าจะหยุดยืนนิ่งๆ ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เขากลืนเลือดสดที่ตีตื้นขึ้นมาในลำคอลงไป บุรุษที่สีหน้าแห้งเหี่ยวบิดข้อมือหนึ่งครั้ง แสงกระบี่ก็พลันเปล่งวาบแล้วตรงเข้าทะลวงหยดน้ำฝนจำนวนนับไม่ถ้วนใกล้กับบริเวณปลายกระบี่ให้แตกกระจาย เสียงปริแตกดังเหมือนเสียงประทัดในวันตรุษจีน
ชายฉกรรจ์เคราดกก้าวออกไปข้างหน้าหนักๆ หนึ่งก้าว ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ของดาบที่ถืออยู่ในมือส่องจ้าจนแขนทั้งแขนถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีแสง อีกมือหนึ่งของชายฉกรรจ์ชี้หน้าบุรุษผู้นั้น ถลึงตาเดือดดาล “ศาสนาพุทธกล่าวไว้ว่ากลับใจคือฝากฝั่ง เจ้าคนสารเลวที่หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพบุรุษอย่างเจ้ายังไม่ยอมหยุดมือถอยออกไปอีกรึ?! คิดจริงๆ หรือว่าข้าผู้แซ่สวีไม่กล้าฆ่าเจ้าไปพร้อมกันด้วย?!”
บุรุษเอ่ยประโยคแรกของค่ำคืนนี้ น่าจะเป็นเพราะเขาเองก็เป็นคนที่มีความรู้ แม้เสียงที่พูดจะแหบพร่าเหมือนเสียงมีดที่ลับบนหิน แต่ท่วงท่ากลับสุขุมเยือกเย็น สีหน้าเป็นธรรมชาติ ไม่เพียงแต่ไม่ตอบโต้กลับด้วยวาจาบาดหู กลับยังเอ่ยเหมือนสัพยอก “ศาสนาพุทธยังกล่าวด้วยว่าวางดาบฆ่าคน บรรลุธรรมเป็นพุทธะ”
มือดาบเคราดกกวาดตามองไปรอบด้าน เงยหน้ามองระเบียงคนงามชั้นสองที่ประตูใหญ่ปิดสนิท หลังดึงสายตากลับมาก็เอ่ยเยาะเย้ยว่า “โอ้โห ยังมีอารมณ์มาตีฝีปากกับข้า ดูท่าคงเป็นเพราะมีที่พึ่งสินะ ก็จริง อาศัยชาติกำเนิดของเจ้าและตบะผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้าที่เป็นพื้นฐาน ไม่แน่ว่าภายในร้อยปีมานี้อาจจะดำเนินกิจการสกปรกนี้ได้อย่างเจริญรุ่งเรือง หาไม่แล้วเทพภูเขาที่อยู่ใกล้เคียงก็คงไม่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นการกระทำของเจ้า หากข้าเดาไม่ผิด แม้ว่าเจ้าจะไม่มีหน้ากลับสำนัก แต่เมื่ออยู่ข้างนอกก็คงอาศัยชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของสำนักมาข่มขู่ผู้คนไว้ไม่น้อย คนนอกถึงได้ไม่กล้าแตะต้องเจ้าแม้แต่นิดเดียว”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ชายฉกรรจ์ก็เดือดดาลสุดขีด สีหน้าของเขาเหมือนรูปปั้นราชาสวรรค์ในวัดที่ถลึงตามองมาอย่างดุดัน แผดเสียงดังดุจฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ผลิ “ใช่หรือไม่?!”
บุรุษที่ถือดาบยาวเพียงแค่ยิ้มบางๆ ไม่ตอบโต้ ทว่าจุดลึกในดวงตากลับมีความกลัดกลุ้มซ่อนอยู่
ชายฉกรรจ์เคราดกเอ่ยเสียงเฉียบ “ให้โอกาสเจ้าได้กลับตัวเป็นคนใหม่ เจ้าไม่ต้องการ ถ้าอย่างนั้นก็อย่ามาโทษว่าข้าผู้แซ่สวีสังหารปีศาจอย่างไร้เมตตาแล้วกัน!”
ก่อนที่ชายฉกรรจ์จะชักดาบ บุรุษถอนหายใจอย่างหมดอาลัยพ่วงแฝงไปกับความละอายใจ จากนั้นเขาก็กัดปลายนิ้วให้เลือดไหล ใช้มันเขียนตัวอักษรคำเขียวตำราชาด (คำเขียวหรือบทความสีเขียวคือคำอวยพรที่นักพรตลัทธิเต๋าเขียนถวายแก่สวรรค์ในช่วงเวลาที่บำเพ็ญกายใจเพื่อถวายแก่เทพยดา ตำราชาดคือหนังสือที่เขียนด้วยหมึกแดง) ลงบนด้ามกระบี่
การสรรเสริญด้วยคำเขียวคือหนึ่งในพิธีกรรมของลัทธิเต๋า เล่าลือกันว่าในยุคบรรพกาลสามารถถวายสารให้แก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บนสรวงสวรรค์ได้โดยตรง เป็นการเชื่อมโยงระหว่างฟ้าและดิน หากมีความจริงใจมากพอ สิ่งศักดิ์สิทธิ์รับรู้ก็จะมีเทพองค์ต่างๆ เยื้องกรายลงมาเยือน ยกตัวอย่างเช่นหากเขียนคำเขียวให้แก่องค์เทพในกรมสายฟ้า และถ้าเทพสำแดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็นก็อาจถึงขั้นได้ครอบครองสายฟ้าไว้ในมือ มีร่างทองปกป้องกาย ในระยะเวลาสั้นๆ เหมือนมีขุนพลเทพกรมสายฟ้ามาเยือนโลกมนุษย์ มหัศจรรย์จนไร้คำบรรยาย
“มิน่าเล่ากำแพงบังตานั้นถึงมีท่วงทำนองของคำเขียวชั้นเยี่ยมหลงเหลืออยู่ คนระยำอย่างเจ้าเป็นถึงลูกศิษย์อย่างเป็นทางการของสำนักโองการเทพ ต่อให้ตายร้อยรอบก็ยังไม่สาสม!”
บุรุษเคราดกโมโหจนแทบเต้นผาง เขาฟาดดาบลงไปเต็มแรง แสงสว่างระเบิดเจิดจ้า ขับให้ทั่วทั้งเรือนสว่างไสวราวกับเวลากลางวัน
สำหรับเขาแล้ว การที่ภูตผีปีศาจมาก่อความวุ่นวายอยู่ในโลกมนุษย์ การกระทำที่โหดร้ายของพวกมันสร้างความเดือดดาลให้แก่ผู้คนมากแค่ไหน แต่ชายฉกรรจ์เคราดกที่เห็นเรื่องประหลาดและโศกนาฎกรรมมาจนเคยชินก็ไม่มีทางรู้สึกตื่นตะลึงอะไรมากมาย เพราะนั่นเป็นสันดานเดิมของพวกภูตผีปีศาจ หากพวกมันอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้อย่างสันติต่างหากถึงจะแปลก ดังนั้นชายฉกรรจ์จึงมักจะแค่สังหารพวกมันให้จบเรื่องจบราว ไม่มีทางเป็นเดือดเป็นแค้นอย่างในเวลานี้
แต่หากผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งเปลี่ยนจากธรรมะมาเป็นอธรรม อาศัยฝีมือที่มากกว่ามารังแกคนอื่น นั่นต่างหากถึงจะเป็นการกระทำที่ทำให้ชายฉกรรจ์เคราดกโกรธแค้นอย่างถึงที่สุด
ด้วยความเกรี้ยวกราด ชายฉกรรจ์เคราดกยิ่งแผ่พลังอำนาจน่าตะลึง ยิ่งพลังเปี่ยมล้นมากเท่าไหร่ ดาบก็ยิ่งแกร่งกร้าวมากเท่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่ดาบวิเศษเล่มนี้ยังเป็นอาวุธเทพที่เดิมทีพวกปรมาจารย์ในยุทธภพก็น้ำลายไหลอยากได้มาครอบครองอยู่แล้ว ทันใดนั้นแสงดาบก็ส่องสว่างจ้าอยู่ในลานบ้าน พายุลมปราณพัดกระหน่ำ เป็นเหตุให้เม็ดฝนที่โชคร้ายตกลงมาในลานบ้านแห่งนี้แหลกสลายอยู่กลางอากาศทั้งที่ยังไม่สัมผัสแตะก้อนอิฐบนพื้น
แม้ว่าจะใช้สุดยอดวิชาจากสำนัก แต่บุรุษเจ้าของบ้านอ่อนระโหยโรยแรงเกินไป เนื้อหนังก็แห้งเหี่ยว ประหนึ่งผู้เฒ่าวัยไม้ใกล้ฝั่ง แม้จะฝืนประคับประคองขอบเขตให้อยู่บนธรณีประตูขอบเขตห้าไว้ได้ แต่ลมปราณกลับเหือดหายแทบไม่เหลืออยู่นานแล้ว ประหนึ่งธารน้ำที่แม้ท้องน้ำจะกว้างขวาง แต่กลับไม่มีน้ำไหลผ่านสักเท่าไหร่ แห้งขอดจนแทบจะเห็นเบื้องล่าง และนี่ก็ทำให้การสรรเสริญคำเขียวที่เขียนไว้บนตัวกระบี่เพื่อเพิ่มพลังการโจมตีให้กับกระบี่เล่มยาวได้ผลเพียงน้อยนิด
ชั้นที่สองของหอซิ่วโหลว ในที่สุดผีสาวที่สวมเสื้อเขียวกระโปรงเขียวก็ปรากฏกาย นางใช้มือหนึ่งปิดหน้า อีกมือหนึ่งค้ำเสาระเบียง
เมื่อนางปรากฏตัว ตรงกำแพงบ้าน พื้นดินกลางลานบ้าน และเสาตามระเบียงก็มีรากต้นไม้หนาเท่าแขนคนจำนวนมากผุดพุ่งออกมาเหมือนลูกธนูที่แล่นออกจากสาย
มือดาบเคราดกที่เดิมทีได้เปรียบเต็มที่พลันตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย แต่กระนั้นเขาก็ยังกล้าหาญมิหวาดกลัว พลิกร่างหมุนกลับอยู่กลางลานบ้านเพื่อหลบเลี่ยงลูกศรรากต้นไม้ที่พุ่งเข้ามา แล้วก็ถือโอกาสฟาดดาบตัดอาวุธลับที่พุ่งผ่านร่างไปครั้งแล้วครั้งเล่าด้วย จิตใจของชายฉกรรจ์ห้าวเหิม แม้ตัวจะตกอยู่ในอันตราย แต่กลับแผดเสียงหัวเราะดังลั่น “นังปีศาจเฒ่าเจ้าเป็นภูตต้นไม้จริงๆ ด้วย! มาได้ดี ข้าผู้แซ่สวีจะตัดรากทั้งหมดของเจ้า ถึงเวลานั้นจะทิ้งลมหายใจหนึ่งเฮือกให้เจ้า ปล่อยให้เจ้าแห้งตายอยู่กลางแสงแดด!”
นักพรตหนุ่มคนหนึ่งวิ่งตะบึงมาจากระเบียง น่องขาด้านล่างทั้งสองข้างแปะยันต์กระดาษเหลืองไว้ข้างละแผ่น เป็นเหตุให้เขาวิ่งได้เร็วยิ่งกว่าสายลม จนคนมองตาลาย นักพรตเต๋าหนุ่มที่สะพายกระบี่ไม้ท้อไว้ด้านหลังวิ่งพลางตะโกนเสียงดังไปด้วย “จอมยุทธ์สวี นักพรตน้อยจะช่วยเจ้าสังหารปีศาจเอง!”
มือดาบเคราดกถูกรากต้นไม้เส้นหนึ่งกระแทกลงบนไหล่ เรือนกายสูงใหญ่อาศัยพลังโจมตีที่รุนแรงพลิกตัวหมุนอยู่กลางอากาศหนึ่งตลบ แล้วฟาดดาบฟันลงไปยังรากต้นไม้นั้น รากต้นไม้ที่หล่นลงพื้นยังคงทะลึ่งพรวดขึ้นมาด้านบนไม่หยุด ส่วนรากที่ถูกตัดซึ่งหดกลับเข้าไปในกำแพง ตรงบาดแผลที่ถูกตัดกลับมีเลือดสดสีดำไหลออกมา ส่งกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้ง บวกกับน้ำฝนหนักอึ้งที่ตกลงมา เป็นเหตุให้ไอสกปรกในลานบ้านปนกันมั่วซั่ว ยังดีที่กลิ่นอายแห่งวิถีวรยุทธ์ของชายฉกรรจ์ซึ่งหมุนเวียนไม่หยุดนิ่งนั้นหนาข้นมากพอ เหมือนแสงทองชั้นหนึ่งที่ปกป้องร่างกายและจิตวิญญาณของเขาเอาไว้ เมื่อเห็นว่านักพรตหนุ่มเข้ามาร่วมวงด้วย ชายฉกรรจ์ถ่มเลือดคำหนึ่งออกจากปากแล้วก็หัวเราะอย่างถอนฉิว “นักพรตน้อย ความหวังดีนั้นรับไว้แล้ว! แต่อย่ามาช่วยให้เสียเรื่องเลย รีบพาเพื่อนของเจ้าหนีไปจากบ้านหลังนี้ซะ! ไปเตรียมอาหารและสุรารสเลิศที่เมืองเล็กรอไว้เป็นรางวัลให้ข้าผู้แซ่สวีได้เลย นี่ต่างหากถึงจะถือว่าช่วยข้าอย่างแท้จริง!”
นักพรตหนุ่มกลับไม่ยอมไปจากที่นี่ สังหารปีศาจและมาร ช่วยขจัดภัยร้ายให้แก่อาณาประชาราษฎร์ คือภารกิจอันพึงปฏิบัติโดยไม่สามารถบอกปัด!
ในฐานะลูกศิษย์สายรองของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ ต่อให้ความสัมพันธ์จะห่างเหินแค่ไหน ต่อให้จะอยู่ห่างไกลจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิเต๋าแห่งนั้นโดยมีภูเขานับพันสายน้ำนับหมื่นกั้นขวาง ต่อให้เขาจางซานจะไร้ชื่อเสียง คาถาอาคมจะเบาบางมากเท่าไหร่ แต่เขาก็คือหนึ่งในคนนับพันนับหมื่นของเทียนซือตระกูลจางดั้งเดิมที่แท้จริง!
ยันต์ที่แปะอยู่บนขาสองข้างของนักพรตหนุ่มก็คือยันต์เทพเดินทาง สามารถนำมาใช้ได้ประมาณหนึ่งก้านธูป ยันต์เทพเดินทางมีอีกชื่อหนึ่งว่ายันต์ม้าศึก ความหมายตรงตามชื่อ นั่นคือสามารถทำให้ผู้ที่ใช้เดินทางได้ราวกับม้าควบตะบึง ราวกับเทพบรรพกาลที่กำลังทะยานลมออกสำรวจตรวจสอบพื้นที่ ด้วยเหตุนี้ยันต์เทพเดินทางจึงอยู่ในระดับที่เจ็ดจากเก้าระดับของยันต์ ต่อให้จะราคาสูงมาก แต่สำหรับนักพรตหนุ่มที่ขาดพลังการต่อสู้ เรือนกายและจิตใจอ่อนแอแล้ว การมีวัตถุชิ้นนี้อยู่ในครอบครองถือว่าคุ้มค่า
จะจับโจรต้องจับหัวหน้าโจรก่อน
นิ้วสองข้างของนักพรตจางซานทำมุทราคาถากระบี่ ระหว่างที่เดินอยู่กลางระเบียงก็เงยหน้ามองไปยังชั้นสองของหอซิ่วโหลว “จงรับคำบัญชาบัดเดี๋ยวนี้ ไป!”
เมื่อนิ้วสองข้างที่ทำมุทรากระบี่ขยับส่ายเบาๆ กระบี่ไม้ท้อก็พุ่งสวบออกไปจากด้านหลังของนักพรตหนุ่ม กระบี่ที่พุ่งขึ้นไปยังชั้นบนของหอซิ่วโหลวไม่ได้ตรงเข้าสังหารผีสาวภูตต้นไม้ที่ยืนอยู่ตรงเสาระเบียงโดยตรง แต่บินวนเป็นรอบใหญ่ วาดให้เกิดเป็นเส้นโค้งงดงาม สุดท้ายอ้อมผ่านเสาระเบียง เตรียมแทงใบหน้าด้านข้างของผีสาว
ผีสาวไม่เพียงแต่ต้องช่วยสามีที่อยู่ด้านล่างสยบประกายแหลมคมของดาบวิเศษมือดาบเคราดก ตอนนี้ยังต้องแบ่งสมาธิมารับมือกับกระบี่ไม้ท้อที่แหวกอากาศตรงเข้ามาหาด้วย จึงไม่มีเวลายกมือขึ้นมาบังใบหน้าที่อัปลักษณ์ของตัวเอง เดิมทีใบหน้าซีกหนึ่งของนางผิวเนื้อแหลกเละ กระดูกขาวโผล่น่าสะพรึงกลัว มีหนอนไต่ยั้วเยี้ย ใบหน้าสมบูรณ์แบบที่หลงเหลืออยู่แค่ครึ่งซีกก็เกิดรอยปริร้าวเหมือนกระเบื้องแตก ใบหน้าน่าสยดสยองที่ทำให้คนมองรู้สึกอยากอาเจียนนี้ หากมนุษย์ธรรมดาที่ขี้ขลาดมาเห็นเข้า เกรงว่าอาจตกใจตายได้เลย
กิ่งไม้สีเขียวหนาเท่านิ้วมือพุ่งออกมาจากเสาระเบียงแล้วรัดพันกระบี่ไม้ท้อที่ขาดอีกแค่ครึ่งชุ่นก็จะแทงเข้าไปในใบหน้านั้น
พริบตานั้นกระบี่ไม้ท้อก็มีแสงยันต์สีเงินขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองเมล็ดหนึ่งสว่างวาบขึ้นมา แล้วกลิ้งจากตัวกระบี่ลงสู่ด้านล่าง แสงสว่างเพียงเล็กน้อยแค่นี้กลับทำให้กิ่งไม้เหล่านั้นเผาไหม้เปรี๊ยะๆ เหมือนเจอกับไฟร้อนแรง จนกระทั่งควันสีเขียวผุดขึ้นเป็นระลอก
ผีสาวเหมือนถูกสายฟ้าฟาดผ่าน ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดร้าวราน รีบหันหน้ากลับมา ไม่กล้ามองแสงสว่างจุดนั้น นางรีบสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง กิ่งไม้ที่ถูกเผาจนเกือบเป็นตอตะโกก็ห่อหุ้มเอากระบี่ไม้ท้อกระชากกลับเข้าไปในห้องของนาง หลังจากที่ผีสาวหันหน้ากลับมา เนื่องจากนางหันมาแรงเกินไป ก้อนเลือดและหนอนก็ร่วงกราวลงมาบนระเบียงสาวงามพร้อมกัน นางร้องสะอื้นเบาๆ ไม่รู้ว่าเจ็บปวดหรือรู้สึกเสียใจกันแน่
“ฮือๆ!”
พอบุรุษถือกระบี่เห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็ร้องอุทานเบาๆ ตะโกนเรียกชื่อของผีสาวอย่างห้ามไม่อยู่ บุรุษเจ็บปวดหัวใจอย่างถึงที่สุด กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด “พวกเจ้ารังแกกันมากเกินไปแล้ว! ทำไมต้องสมคบคิดกับเทพภูเขาเถื่อนผู้นั้นมาบีบบังคับพวกเราสองสามีภรรยาขนาดนี้ด้วย?! แม้ว่าจัวจิงจะเป็นภูตผี แต่ก็ไม่เคยทำร้ายใคร ตลอดเวลาร้อยปีที่ผ่านมา นอกจากข้าจะใช้เลือดลมของตัวเองประคับประคองพลังชีวิตของจัวจิงเอาไว้แล้ว ก็แค่ใช้บ้านโบราณแห่งนี้เป็นแกนกลางค่ายกลดูดซับไอสกปรกและปราณหยินที่อยู่ในรัศมีสามร้อยลี้มาเท่านั้น กลับเป็นเทพภูเขาเถื่อนคนนั้นต่างหากที่ดึงโชคชะตาของภูเขาและแม่น้ำมาเป็นตบะของตัวเอง พวกเจ้าคนหนึ่งภาคภูมิใจว่าตัวเองเป็นจอมยุทธ์ผู้มีคุณธรรม อีกคนหนึ่งก็เป็นนักพรตเต๋า แต่ทำไมไม่ไปหาเรื่องเขา จะมาบีบบังคับพวกเราที่อยู่ที่นี่ทำไม?!”
กล่าวมาถึงตรงนี้ บุรุษถือกระบี่ก็หัวเราะเสียงดังอย่างเจ็บแค้น “แค่เพราะพวกเราสองสามีภรรยาไม่ใช่ ‘คน’ อย่างนั้นหรือ เจ้าคนแซ่ฉินเป็นถึงเทพภูเขาผู้ยิ่งใหญ่ พวกเจ้าก็เลยต้องแบ่งแยกธรรมะกับอธรรมอย่างชัดเจนเช่นนี้?”
บุรุษถือกระบี่ที่เนื้อหนังเน่าเปื่อย เลือดลมแทบไม่มีเหลือวางกระบี่พาดขวางไว้ตรงหน้าอกของตัวเอง ก้มหน้าลงจ้องนิ่งไปที่แสงกระบี่สีขาวหิมะ วันเวลาในอดีต สำนักยิ่งใหญ่ น้ำใสขุนเขาเขียว นกกระเรียนเซียนแผดเสียงร้องดังยาว ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล เขาเองก็เคยฝึกวิชากระบี่อยู่ที่นั่น อ่านตำราบทสรรเสริญคำเขียวหลายต่อหลายเล่มจนชำนาญจำได้ขึ้นใจ แล้วก็เคยเป็นเด็กหนุ่มหล่อเหลาที่มีหวังว่าจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง เพียงแต่ว่าจู่ๆ ที่บ้านก็ส่งจดหมายมายังสำนัก บอกว่าแม่นางที่เติบโตมากับเขาตั้งแต่ยังเด็กและมีสัญญาหมั้นหมายต่อกันล้มป่วยอาการสาหัส หมอที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองก็ยังไม่มีปัญญารักษานางให้หายได้ ในจดหมายบอกให้เขาสงบใจฝึกตนให้ดี เพราะต่อให้ลงจากภูเขามาก็คงไม่ทันได้เห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นเป็นครั้งสุดท้าย ช่วงท้ายของจดหมายบิดายังบอกเป็นนัยๆ ว่า งานแต่งครั้งนี้จะไม่มีทางกลายเป็นอุปสรรคในการเดินสู่ที่สูงในสำนักโองการเทพของเขาในอนาคตอย่างแน่นอน
เขาเผาจดหมายฉบับนั้นทิ้ง สะพายกระบี่ลงจากภูเขา
ตอนที่กลับไปถึงบ้านเกิด หญิงสาวได้ตายไปแล้ว
เขาตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ใช้เวทลับของสำนักโองการเทพ แทงหัวใจตัวเองเอาเลือดมาเขียนยันต์เรียกวิญญาณหนึ่งแผ่น พาศพของหญิงสาวมาชักนำวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของนาง เร่งร้อนเดินทางมุ่งหน้าสู่ภูเขาและป่าลึกยามค่ำคืน เวลากลางวันที่พระอาทิตย์ส่องแสงสว่างไปหลบซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ เมื่อพระอาทิตย์ตกก็จะรีบร้อนออกเดินทางอีกครั้ง พยายามตามหาสถานที่ที่มีไอหยินเข้มข้น หวังว่าจะช่วยเรียกวิญญาณของนางกลับคืนมา หลังจากนั้นเป็นเวลาร้อยปี เขาก็ใช้ทรัพย์สมบัติของตัวเองจนหมดสิ้น พยายามทุกวิถีทาง ใช้ตบะทั้งหมดที่มีสร้างบ้านโบราณหลังนี้ขึ้นมา ขโมยแกนไม้ของบรรพบุรุษต้นอวี๋ในแคว้นกู่อวี๋มาหนึ่งต้น ใช้เวทลับชั่วร้ายเหมือนการตัดต่อกิ่งต้นไม้นำวิญญาณของหญิงสาวผสานรวมเข้ากับแกนต้นไม้ เบื้องใต้ชุดกระโปรงของนางไม่มีเท้ามานานแล้ว มีเพียงรากต้นไม้ บ้านโบราณหลังนี้ทั้งช่วยต่อชีวิตให้กับนาง แล้วก็เป็นเหมือนคุกที่พันธนาการนางเอาไว้ด้วย…
พวกเขากราบไหว้ฟ้าดิน กราบไหว้บิดามารดาอยู่ไกลๆ สุดท้ายสามีภรรยาไหว้กันและกัน นับแต่นั้นก็มีชีวิตอยู่เพื่อกันและกันในหอซิ่วโหลวแห่งนี้
มีเพียงสาวใช้ใกล้ชิดคนเดียวที่ไม่เคยทอดทิ้งพวกเขา จนกระทั่งนางเปลี่ยนจากเด็กสาวผมดำกลายมาเป็นหญิงชราผมขาว
เรื่องราวในอดีต หวนรำลึก สุดทานทน
—–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น