อัจฉริยะสมองเพชร 2158-2163

 ตอนที่ 2158 คุณจะทำอะไรน่ะ?

ในฐานะครูบาอาจารย์ เขารู้สึกว่าตัวเองต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของบรรดาลูกศิษย์ จึงไม่เต็มใจจะนำพาพวกนั้นเข้าไปเกี่ยวข้องกับอันตรายที่ยังไม่รู้จัก


“พวกเราไม่กลัว!” จ้าวหย่าตอบอย่างเด็ดเดี่ยว “ท่านอาจารย์ ต่อให้คุณไม่พาพวกเราไป สุดท้ายเราก็ต้องหาทางเข้าสู่สรวงสวรรค์ด้วยตัวเองจนได้อยู่ดี ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย!”


คำพูดของจ้าวหย่าบอกชัดถึงเจตจำนงของศิษย์สายตรงคนอื่นๆ แม้พวกเขาจะไม่พูดอะไรออกมา ทุกสายตาก็แสดงออกถึงเจตนาเดียวกัน


เห็นภาพนั้น จางเซวียนเงียบกริบ


ถ้าเขามีหนทาง ก็คงทิ้งจ้าวหย่ากับพรรคพวกไว้ข้างหลังแน่ เพราะอย่างน้อยที่สุดก็แน่ใจได้ว่าพวกนั้นจะปลอดภัยกว่า


แต่สถานการณ์ในมิติเบื้องบนก็ยังเป็นปัญหา


ตัวโคลนของปรมาจารย์ขงสั่งการให้บริวารตรึงกำลังไว้บริเวณทางเข้าของทางเดินแห่งมิติ พร้อมจะจับตัวจางเซวียนทันทีที่เขาปรากฏตัว ถ้าไม่ใช่เพราะปรมาจารย์ขงตัวจริงแอบยื่นมือเข้าช่วยตอนที่อยู่ในทางเดินแห่งมิติ เขาคงตายไปนานแล้ว!


ซึ่งจางเซวียนก็ดูออกว่าบรรดาศิษย์สายตรงของเขาไม่คิดจะปล่อยให้เรื่องนี้จบง่ายๆ ถ้าเขาทิ้งเด็กพวกนั้นไว้ข้างหลัง ทุกคนจะต้องหาทางเข้าสู่สรวงสวรรค์ด้วยตัวเองแน่ และน่าจะทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงขึ้นอีก


คำตอบชัดเจนอยู่แล้ว


“ถ้าอย่างนั้นก็เข้าสู่สรวงสวรรค์ด้วยกัน” จางเซวียนพยักหน้า “เราอาจพบคู่ต่อสู้ที่น่าสะพรึงที่นั่น แต่แล้วอย่างไรล่ะ? ผมเชื่อว่าพวกเราทุกคนจะก้าวข้ามทุกปัญหาที่ขวางทางไปได้!”


“ขอบคุณมาก ท่านอาจารย์!”


จ้าวหย่ากับพรรคพวกโค้งคำนับอย่างงามด้วยความตื่นเต้น


หลังเสร็จสิ้นการหารือได้ไม่นาน ผู้อาวุโสคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้องเพื่อรายงาน “เจ้าสำนักจาง มีนักรบ 2 คนรออยู่ข้างนอก เขาอ้างว่าเป็นท่านพ่อกับท่านแม่ของคุณ!”


“ท่านพ่อกับท่านแม่ของผม?” จางเซวียนชะงัก เขารีบออกจากห้องด้วยความยินดีปรีดาระคนประหลาดใจ


ครั้งสุดท้ายที่เขาพบเซียนดาบชิงเหมิงคือในทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่เพราะเขามีภารกิจต้องรับมือกับปรมาจารย์ขง และยังไม่แน่ใจว่าจะได้ชัยชนะหรือไม่ จึงตัดสินใจไม่พาทั้งคู่มาด้วย ใครจะไปคิดว่าเซียนดาบชิงเหมิงจะผ่านทางเดินแห่งมิติเข้ามาได้ด้วยตัวเอง…เหมือนกับซุนฉาง?


“เซวียนเอ๋อ แม่กับพ่อจะตามลูกไปทุกที่ เราพลัดพรากกันมา 20 ปีแล้ว แม่ไม่อยากสูญเสียเวลาที่จะได้อยู่กับลูกอีก” เซียนดาบเหมิงเดินเข้ามากอดจางเซวียนแน่น


เมื่ออยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นของเซียนดาบเหมิง จางเซวียนรู้สึกอับจนถ้อยคำ เขาไม่รู้ว่าควรแสดงออกอย่างไร


ในเวลาเดียวกัน จางเซวียนก็พลันรู้ตัวว่าเขาไม่ได้คิดสักนิดว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะส่งผลอย่างไรตามมา


ความแตกต่างของกระแสกาลเวลาระหว่างสรวงสวรรค์กับมิติเบื้องบนนั้นคือ 1:100 คือห่างกันมาก และเขาก็ยังไม่รู้ว่าจะอยู่ในสรวงสวรรค์นานแค่ไหน ซึ่งหากเขาใช้เวลาที่นั่น 10 ปี ก็จะเท่ากับ 1,000 ปีในมิติเบื้องบน


กว่าจะถึงเวลานั้น ท่านพ่อกับท่านแม่ของเขาคงกลับบ้านเก่าแล้ว!


ทั้งคู่ใช้เวลาตามหาเขาถึง 20 ปี แต่เพิ่งมีเวลาได้อยู่ด้วยกันเพียงไม่กี่วันเท่านั้น เขาคงจะเป็นลูกชายที่อกตัญญูที่สุดในโลกถ้าปฏิเสธคำขอข้อนี้ของท่านพ่อกับท่านแม่


“ถ้าอย่างนั้นก็ไปสรวงสวรรค์ด้วยกัน” จางเซวียนพยักหน้า “แต่ผมต้องยกระดับวรยุทธให้ท่านพ่อกับท่านแม่ก่อน!”


ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้ว ก็ไม่มีอะไรให้ลังเลอีก จางเซวียนลงมือจัดการทันที


เขาสะบัดข้อมือและนำตัวโคลนของปรมาจารย์ขงที่ถูกพันธนาการไว้ออกมา


“คุณจะทำอะไรน่ะ?”


นึกไม่ถึงว่าจะถูกนำตัวออกมาอย่างปุบปับ ตัวโคลนของปรมาจารย์ขงมีลางสังหรณ์เลวร้ายทันทีว่าเรื่องแย่ๆกำลังจะเกิดขึ้น


“ตลอดเวลาที่ผ่านมา คุณเอาแต่คิดเรื่องขโมยหอสมุดเทียบฟ้าของผมไม่ใช่หรือ? คุณคงรู้นะ ยิ่งผมคิดเรื่องนั้นมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเลยถ้าจะปล่อยให้ทุกอย่างจบไปดื้อๆแบบนั้น ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องชดใช้!” จางเซวียนพูดพร้อมกับปล่อยรอยยิ้มเหี้ยมโหดออกมา สองมือของเขาค่อยๆยื่นเข้าหาตัวโคลนของปรมาจารย์ขง


ครู่ต่อมา ลูกทรงกลมที่ก่อตัวขึ้นจากพลังงานก็ปรากฏเหนือฝ่ามือของจางเซวียน เขากระดิกนิ้ว แล้วลูกทรงกลมนั้นก็แยกออกเป็น 2 ส่วน แต่ละส่วนพุ่งเข้าสู่ร่างของเซียนดาบชิงกับเซียนดาบเหมิง


จางเซวียนถ่ายทอดพละกำลังจากสวรรค์เข้าสู่ลูกพลังงานทรงกลมนั้นด้วย เพื่อคุ้มกันไม่ให้ทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บ


ฟึ่บ!


ในชั่วพริบตา วรยุทธของเซียนดาบชิงเหมิงก็เพิ่มสูงขึ้นจากระดับเดิมที่เป็นนักปราชญ์โบราณขั้น 4


3 วันต่อมา ทั้งคู่ก็กลายเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์-สรวงสวรรค์ เหมือนกับจ้าวหย่าและคนอื่นๆ แต่เพราะได้ซึมซับพลังงานจากตัวโคลนของปรมาจารย์ขงโดยตรง ร่างกายของเซียนดาบชิงเหมิงจึงได้รับการขัดเกลาจากพลังงานสวรรค์ของอีกฝ่าย มีส่วนช่วยเพิ่มศักยภาพอีกมาก หากทั้งคู่มีรังสีสวรรค์มากพอ ก็จะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นเทพเจ้าได้อย่างรวดเร็ว


“นี่คือศิลปะเพลงดาบที่ผมทำความเข้าใจได้สำเร็จแล้ว ตั้งใจศึกษามันให้ดี” จางเซวียนพูดขณะ ผนึกความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบให้ตรึงแน่นในหัวสมองของทั้งคู่


ในฐานะผู้ที่สามารถไต่เต้าขึ้นไปเป็นสุดยอดของทวีปแห่งปรมาจารย์ ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเชี่ยวชาญในศิลปะเพลงดาบของเซียนดาบชิงกับเซียนดาบเหมิงนั้นอยู่ในระดับน่าทึ่ง


ศิลปะเพลงดาบของทั้งคู่ค่อยๆพัฒนาได้ช้าลงและชะงักงันเมื่อตอนอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ความรู้ที่พวกเขาเพิ่งได้รับจากจางเซวียนเป็นเหมือนประตูหลายบานที่เปิดออกสู่โลกใบใหม่ ทั้งคู่ตัวสั่นด้วยความตื่นเต้นขณะที่ซึมซับความเข้าใจเรื่องศิลปะเพลงดาบของจางเซวียนเข้าไป นำไปสู่ประสิทธิภาพการต่อสู้ที่เพิ่มสูงขึ้นอีกมาก


“นายน้อย คุณพาผมไปด้วยได้ไหม? คราวนี้ผมจะทุ่มเทและตั้งใจฝึกฝนวรยุทธ ดูสิ! ตอนนี้ผมเป็นนักรบอมตะตัวจริงแล้ว ถึงจะยังไม่ได้เป็นนักรบอมตะขั้นสูง แต่ก็ไม่ห่างไกลกันเท่าไหร่” ซุนฉางกระมิดกระเมี้ยน


เขาเคยคิดว่าจะได้ใช้ชีวิตอยู่เคียงข้างจางเซวียน ได้เจอการผจญภัยมากมายและคุยโวโอ้อวดได้ตามใจ ใครจะไปคิดว่าจู่ๆอีกฝ่ายจะออกเดินทางสู่สรวงสวรรค์?


คราวนี้เขาตั้งใจแน่วแน่ว่าจะคว้าโอกาสไว้ให้ได้ จะไม่ยอมเป็นคนเดียวที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังอีก


“ได้สิ” จางเซวียนตอบโดยแทบไม่ลังเล


ซุนฉางอาจไว้ใจไม่ได้ในบางครั้ง แต่แน่นอนว่าเขาคือพ่อบ้านผู้มีประสิทธิภาพ มีประโยชน์มากกว่าเฉาเฉิงลี่หลายเท่า และที่ผ่านมา ก็ดูแลเหล่าศิษย์สายตรงกับท่านพ่อท่านแม่ของเขาอย่างดี


ในเมื่อเขาตัดสินใจพาคนอื่นไปด้วย ก็ไม่มีเหตุผลที่จะทิ้งซุนฉางไว้


จางเซวียนนำศพของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์คนหนึ่งออกมา เขาสกัดพลังงานจากศพนั้นและถ่ายทอดให้ซุนฉาง ในเวลาเดียวกัน ก็เตรียมยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์และทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธทุกชนิดจำนวนมากเอาไว้ เพื่อให้แน่ใจว่าซุนฉางจะไม่ขาดแคลนทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธ


ไม่นานซุนฉางก็ยกระดับวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์-สรวงสวรรค์ได้สำเร็จ


เมื่อทุกคนพร้อมออกเดินทาง จางเซวียนกล่าวอำลาหานเจี้ยนชิว คุ่ยเฉี่ยว ตู้ชิงหย่วน ฉิงหย่วน และคนอื่นๆ ก่อนจะพาสมาชิกทุกคนเข้าสู่มิติลี้ลับ


ด้วยการกระโจนผ่านมิติ พริบตาเดียวเขาก็มาอยู่เหนือโขดหินสมอสวรรค์ จากนั้นก็เข้าสู่สะพานเบื้องบน ไม่นานก็ถึงหอเทพเจ้า


พลังงานวนสีดำที่อยู่ใต้หอเทพเจ้ายังคงดุเดือดพลุ่งพล่านราวกับมีพายุใหญ่กระหน่ำอยู่โดยรอบ เกิดเป็นภาพที่ทำให้นักรบผู้สุขุมเยือกเย็นสักคนยังต้องชะงักฝีเท้า


จางเซวียนขับเคลื่อนพลังงานสวรรค์ เขารีบสร้างตาข่ายที่ถักทอกันอย่างเหนียวแน่นคลุมแหวนเก็บสมบัติของเขาไว้โดยใช้หัวใจสอดประสานเส้นด้ายพันปม ทำให้แน่ใจว่าจะไม่มีสิ่งใดทำอันตรายมันได้


เมื่อเข้าถึงระดับขั้นของเทพเจ้า จางเซวียนมั่นใจว่าเขาสามารถรับมือกับอันตรายส่วนใหญ่ที่มาขัดขวางได้ แต่เรื่องเดียวที่กังวลคือความปลอดภัยของทุกคนที่อยู่ในมิติลี้ลับ


ขณะที่จางเซวียนกำลังจะก้าวเข้าสู่พลังงานวน เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหู “ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนั้นหรอก ผมจะกลืนแหวนเก็บสมบัติลงไปและซ่อนตัวอยู่ในจุดตันเถียนของคุณ ต่อให้เกิดอันตราย คุณก็ไม่จำเป็นต้องกังวลถึงความปลอดภัยของแหวนเก็บสมบัติ เว้นเสียแต่จะพบอะไรบางอย่างที่แม้แต่คุณก็ไม่อาจเอาชนะได้…”


จางเซวียนตาโตเมื่อได้ยิน “แกรู้สึกตัวแล้วหรือ?”


ผู้ที่กำลังพูดกับเขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากไก่น้อยซึ่งเกือบจะถูกย่างตอนที่เผชิญหน้ากับการทดสอบของเทพเจ้า


เขาไม่คิดว่าจู่ๆอีกฝ่ายก็จะพลันฟื้นคืนสติขึ้นมาในช่วงเวลาแบบนี้


จางเซวียนใช้การรับรู้จิตวิญญาณของเขาตรวจสอบไก่น้อย และพบว่าระดับวรยุทธของมันเพิ่มขึ้นอีกเพียง 1 ขั้นย่อยหลังจากเผชิญหน้ากับการทดสอบของเทพเจ้า ซึ่งชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงบางอย่างกับข้อสันนิษฐานครั้งก่อนที่คาดเดาว่าอีกฝ่ายน่าจะยกระดับวรยุทธได้ด้วยการใช้เปลวเพลิงบ่มเพาะ


“ฉันจะทำตามที่แกบอก” จางเซวียนพยักหน้า


ความคิดที่ไก่น้อยเสนอนั้นปลอดภัยกว่าการที่เขาจะสวมแหวนเก็บสมบัติไว้เอง


แม้จะดูไม่ค่อยเอาไหน แต่เรื่องจริงก็คือไก่น้อยเข้าถึงระดับของเทพเจ้าแล้ว อันที่จริง ในแง่ของปริมาณพลังงานสวรรค์ ดูเหมือนมันจะมีมากกว่าเขาด้วยซ้ำ!


ฟึ่บ!


ไก่น้อยใช้จะงอยปากจิก จากนั้นก็รีบกลืนแหวนเก็บสมบัติของจางเซวียนลงไปก่อนจะดำดิ่งเข้าสู่จุดตันเถียนของเขาเพื่อพักยาว


“ไปกันเถอะ!”


จางเซวียนมุ่งตรงเข้าสู่พลังงานวนที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่ลังเล


ที่ใจกลางพลังงานวนมีทางเดินสีดำสนิทซึ่งดูเหมือนจะทอดยาวออกไปเรื่อยๆ ไม่ต่างกับหลุมดำที่ไร้ขอบเขต


มิติที่อยู่ในพลังงานวนแห่งนี้ดูเหมือนจะแตกหักพังทลาย มีคลื่นความสั่นสะเทือนของมิติจำนวนมากมายปล่อยพลังเกรี้ยวกราดอยู่ทั่วบริเวณ ต่อให้นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์สักคนก็คงถูกเล่นงานจนกลายเป็นเถ้าธุลีทันทีที่ต้องเผชิญหน้ากับพละกำลังทำลายล้างของธรรมชาติ


แต่จางเซวียนเป็นเทพเจ้าแล้ว ทั้งยังสามารถทำความเข้าใจเทคนิควรยุทธที่เหนือชั้นกว่าแม้แต่ เคล็ดวิชาเทียบฟ้า นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาทำสำเร็จได้โดยง่าย แค่อยู่ในวิถีทางที่พอจะรับมือไหว


จางเซวียนเดินหน้าต่อไปอีก 3 วัน ครอบคลุมระยะทางไกลเอาการ ก่อนที่คลื่นความสั่นสะเทือนของมิติครั้งใหญ่จะปรากฏตรงหน้า มันเหมือนกับคลื่นความสั่นสะเทือนที่เขาได้พบตอนที่เดินทางจากทวีปแห่งปรมาจารย์เข้าสู่มิติเบื้องบน


จางเซวียนบุกตะลุยฝ่าคลื่นความสั่นสะเทือนของมิติที่มีอานุภาพทำลายล้างเข้าไป เขารู้สึกทันทีว่าโลกรอบตัวหมุนติ้ว พลังงานแข็งแกร่งบางอย่างที่ไม่คุ้นตาก่อตัวขึ้นรอบๆตัวเขา จนต้องสร้างตาข่ายกระแสดาบฉีเพื่อปกป้องตัวเอง


อานุภาพทำลายล้างไร้ขอบเขตตรงเข้าทำลายตาข่ายกระแสดาบฉีของจางเซวียน พยายามจะฉีกเขาให้เป็นชิ้นๆ จางเซวียนกัดฟัน จากนั้นก็ขับเคลื่อนพละกำลังจากสรวงสวรรค์จนเต็มพิกัด เขากระโจนขึ้นสูงลิ่ว หายวับไปจากจุดนั้น


ตอนที่ 2159 ฉันไม่บังอาจ…

สรวงสวรรค์


สิ่งมีชีวิตที่อยู่แถวนั้นดูเหมือนจะอยู่มาเนิ่นนานจนเกินจะจดจำ มีเทพเจ้าดึกดำบรรพ์จำนวนหนึ่งซึ่งเป็นที่สุดของสรวงสวรรค์มาตั้งแต่ตอนที่ผู้คนพอจะจำความได้ ไม่มีใครสามารถสั่นคลอนสถานภาพของพวกเขา


ดวงอาทิตย์สีแดงก่ำสาดส่อง สายลมคมกริบพัดกระหน่ำอย่างโกรธเกรี้ยว ร่างหนึ่งเดินท่อมๆอยู่กลางหุบเขาอ้างว้างห่างไกล


ทันใดนั้น เขาก็ชะงักฝีเท้าครู่หนึ่งก่อนจะรีบหลบหลังโขดหินที่อยู่ใกล้ๆ ทันทีที่ซ่อนตัว ร่างสีเทาร่างหนึ่งก็กระโจนออกมาจากบริเวณที่ไม่ห่างออกไปมากนัก


มันคือกระต่ายป่าสีเทา


ร่างนั้นเลียริมฝีปากที่แห้งผาก เขาเก็บไม้ท่อนหนึ่งขึ้นจากพื้นและกวัดแกว่งไปมา พลังงานคมกริบพุ่งออกจากปลายท่อนไม้ก่อนจะขยายตัวออกเป็นตาข่ายกระแสดาบฉี


ฟึ่บ!


แต่เมื่อใกล้ถึงตัวกระต่ายป่า ห่างกันเพียง 1 เมตร ตาข่ายกระแสดาบฉีก็สลายไป


เมื่อเห็นว่ากระแสดาบฉีของเขาไม่แข็งแกร่งพอจะเล่นงานกระต่ายป่า ร่างนั้นขว้างท่อนไม้เข้าใส่กระต่ายตัวนั้นอย่างลังเล มันพุ่งออกไปเหมือนลูกธนู


แต่คราวนี้กระต่ายป่าระวังตัว มันออกแรงกระโจนพรวดออกไปทีเดียว 6 เมตร ทิ้งไม้ท่อนนั้นไว้ตรงจุดที่เคยอยู่เมื่อครู่


กระต่ายป่าหันกลับมามองร่างที่เพิ่งโจมตีมัน จากนั้นก็ยิ้มเยาะ มันกระโดดอีก 2-3 ครั้ง แล้วหายลับไป


น่าเสียดาย…


ร่างนั้นส่ายหัวอย่างอ่อนใจ


ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจางเซวียน


เขาเป็นครูบาอาจารย์ของโลกในทวีปแห่งปรมาจารย์ เป็นชายผู้ทรงพลังที่สุดในมิติเบื้องบน แต่เมื่อมาถึงสรวงสวรรค์ ก็ไม่อาจจับได้แม้แต่กระต่ายป่าตัวเดียว แถมถูกมันยิ้มเยาะด้วย!


ถ้าใครๆรู้เรื่องนี้ คงอับอายขายหน้าจนตายไปข้าง!


ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ ถือว่าเขาลำบากมาก


ดูเหมือนวันนี้เราคงไม่มีทางเลือก ต้องกินหญ้าเป็นอาหารแล้วล่ะ…


รู้ดีว่าการหาเหยื่อตัวใหม่คงไม่ง่าย จางเซวียนส่ายหัวอย่างจนปัญญา


เขามาถึงสรวงสวรรค์ได้กว่าครึ่งเดือนแล้ว…


หลังจากผ่านคลื่นความสั่นสะเทือนของมิติ จางเซวียนพบว่าตัวเขายืนอยู่ท่ามกลางหุบเขาแห่งหนึ่ง ไม่เหมือนกับครั้งสุดท้ายที่เข้าสู่มิติเบื้องบน เพราะคราวนี้เขาไม่ได้สลบ


แต่นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ว่าการเดินทางทำให้เขาบอบช้ำหนัก จางเซวียนคุ้มกันตัวเองด้วยตาข่ายกระแสดาบฉีที่ใช้ ‘เส้นด้ายสอดประสานหัวใจพันปม’ แต่คลื่นความสั่นสะเทือนของมิติก็หนักหน่วงรุนแรงเสียจนเกือบจะฉีกร่างของเขาเป็นชิ้นๆ


ถ้าไม่ใช่เพราะจี้สีแดงก่ำของหลัวลั่วชิงช่วยไว้ในยามคับขัน เขาคงเสียชีวิตแน่


แต่ก็นั่นแหละ หลังจากเข้าสู่พื้นที่ปลอดภัยแล้ว จางเซวียนก็ยังสลบไปชั่วระยะเวลาสั้นๆเพราะความรุนแรงของบาดแผลและอาการบอบช้ำ


พูดได้เลยว่าหุบเขาแห่งนี้เต็มไปด้วยเจตจำนงที่ผิดปกติของธรรมชาติ ลมแรงกล้าพัดโหมกระหน่ำครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่มีทีท่าจะหยุด บ่อยครั้งที่ลูกเห็บขนาดใหญ่ตกหนักเสียจนอาจทำให้นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่ไม่ทันระวังตัวเสียชีวิตได้


และที่เลวร้ายที่สุดของที่สุดก็คือในหุบเขาแห่งนี้แทบไม่มีพลังจิตวิญญาณอยู่เลย!


ดังนั้น จางเซวียนจึงต้องใช้เวลาราวครึ่งเดือนเพื่อเยียวยาอาการบาดเจ็บ และกว่าจะฟื้นฟูร่างกายให้กลับสู่สภาพเดิมได้ก็เนิ่นนาน


อีกเรื่องหนึ่งที่เขารู้สึกก็คือ ยาเม็ดอมตะและทรัพยากรอื่นๆที่นำติดตัวมาจากมิติเบื้องบนนั้นแทบไม่มีประโยชน์เมื่ออยู่ที่นี่ ขนาดซุปไก่ก็เกือบจะใช้การไม่ได้ เรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับการที่สรวงสวรรค์มีบรรยากาศแตกต่างออกไป


พูดอีกอย่างก็คือ อาการเจ็บหนักของเขาทำให้เขาไม่สามารถออกล่าเหยื่อ ทำได้แค่เก็บหญ้าป่ามาประทังชีพ แต่ก็ยังโชคดี เพราะแม้พืชพวกนั้นจะรสชาติแย่ แต่ก็มีพลังจิตวิญญาณมากพอสมควรอยู่ในนั้น ช่วยให้เขาได้รับพลังงานเพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวัน


เขาเรียกพวกมันว่า ‘หญ้าป่า’ ก็เพราะมันคือหญ้าป่าจริงๆ ไม่มีคำอื่นที่เหมาะสมกว่านี้ หากหญ้าป่าพวกนี้ถูกนำกลับไปยังมิติเบื้องบน พวกมันจะต้องเป็นทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธที่มีคุณสมบัติทางยาเทียบชั้นได้กับยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์เลยทีเดียว


โลกทั้ง 2 ใบแตกต่างกันมาก ลำพังแค่ความแตกต่างของกระแสกาลเวลาที่ต่างกันเป็นร้อยเท่าและความมั่นคงของมิติ ก็มากพอจะชี้ชัดถึงความแตกต่างของมันแล้ว


แม้จะเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในมิติเบื้องบน แต่ดูเหมือนเมื่ออยู่ในสรวงสวรรค์ จางเซวียนก็ไม่ต่างกับมนุษย์ทั่วไป


สรวงสวรรค์เป็นอย่างนี้!


ไม่เพียงแต่เราจะบินไม่ได้ คงเดินจนเหนื่อยตายด้วย อันที่จริง…ตอนนี้ก็เริ่มหิวอีกแล้ว!


การหวนนึกถึงประสบการณ์ตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมาทำให้จางเซวียนอ่อนล้า


ด้วยความลำบากยากเย็นต่างๆนานาที่เขาต้องฝ่าฟันกว่าจะได้เป็นเทพเจ้า เขาเคยคิดว่าอย่างน้อยที่สุด เมื่อเข้าสู่สรวงสวรรค์แล้วก็คงได้เป็นบุคคลที่มีอำนาจระดับหนึ่ง แต่ในชั่วพริบตา ก็ดูเหมือนกลับคืนสู่สามัญ ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ธรรมดา…


การเดินไกลเกินไปทำให้เขาเหน็ดเหนื่อย การอดมื้อกินมื้อทำให้เขาหิวโซ การวิ่งเร็วเกินขนาดทำให้เขาหายใจหายคอไม่ทัน และการค้างเติ่งอยู่ที่นี่เนิ่นนานก็ทำให้เขาหมดเรี่ยวแรง…


จางเซวียนไม่เคยรู้สึกอ่อนแอเท่านี้มาก่อนแม้เมื่อตอนที่ยังเป็นแค่ครูกระจอกคนหนึ่งของโรงเรียนหงเทียน!


ในตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองน่าจะเป็นนักรบที่มีวรยุทธต่ำสุดในสรวงสวรรค์ พูดง่ายๆก็คือแม้แต่กระต่ายป่าตัวหนึ่ง เขาก็แข็งแกร่งสู้มันไม่ได้!


อย่างกระต่ายตัวที่เขาได้พบเมื่อวาน หลังจากไล่ล่ากันอยู่พักใหญ่ ไม่เพียงแต่เจ้าบ้านั่นจะข่วนมือเขา ลงท้ายมันก็หนีไปได้


ไม่ต่างกับกระต่ายตัวเมื่อครู่


โครกกกกก!


จางเซวียนรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน ดูเหมือนการใช้ความคิดจะเผาผลาญพลังงานมากไป ทำให้เขาหิวโซกว่าเดิม


ช่างมันเถอะ สำรวจต่อไปก็แล้วกัน ใครจะรู้…กระต่ายโง่ๆสักตัวอาจวิ่งชนต้นไม้ตายก็ได้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น เราก็จะได้อาหารเย็นมื้อใหญ่!


จางเซวียนเลียริมฝีปาก กล้ำกลืนฝืนความอ่อนเพลียเอาไว้และเดินหน้าต่อไป


หลังจากวนรอบเนินเขา ก็เห็นบางอย่างที่ทำให้ตาโต


“ผลไม้!”


ต้นไม้ต้นหนึ่งเติบโตขึ้นจากรอยแตกของเนินเขา มีผลไม้สีเขียวสด 8 ลูก


แต่ละผลมีขนาดพอๆกับฝ่ามือเด็กทารก และดูเหมือนจะยังไม่สุก แต่สำหรับคนที่ได้กินแต่หญ้าป่า การได้พบมันก็ไม่ต่างอะไรกับเจอโอเอซิสกลางทะเลทราย


จางเซวียนเด็ดออกมาผลหนึ่งด้วยความตื่นเต้นและยกขึ้นดม


มันมีกลิ่นเปรี้ยวที่ให้ความรู้สึกสดชื่น เขารู้สึกได้ว่ารูขุมขนทั้งหมดในร่างกายเปิดออกอย่างยินดีปรีดา


จางเซวียนรีบเด็ดผลไม้ทั้งหมดออกมาก่อนจะส่งลูกหนึ่งเข้าปาก แต่ยังไม่ทันจะได้กัด ก็เปลี่ยนใจและวางลง จากนั้นก็ห่อทุกผลไว้ในกระเป๋าก่อนจะเดินกลับ


ช่างเถอะ พวกนั้นมีระดับวรยุทธต่ำกว่าเรา คงหาอาหารได้ยากกว่า


ตอนนี้จางเซวียนเป็นเทพเจ้าแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกหิวหลังจากใช้พลังงานเกินขนาด ดูเหมือนวันนี้ ร่างกายของเขาจะอ่อนล้าถึงขีดสุด


ซึ่งหากเป็นอย่างนั้น จ้าวหย่ากับคนอื่นๆที่เป็นแค่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์จะต้องรู้สึกแย่กว่าแน่ๆ


เพราะได้กินแต่หญ้าป่าตลอดหลายวันที่ผ่านมา ทุกคนจึงผอมแห้งหัวโตเหมือนถั่วงอก กว่าเขาจะพบผลไม้ที่เปี่ยมด้วยพลังจิตวิญญาณก็ไม่ง่าย จึงควรจะเก็บไว้ให้พวกนั้น


สายลมที่กรรโชกไม่หยุดหย่อนและพลังจิตวิญญาณที่แสนจะแร้นแค้น…นี่เราอยู่ในโลกผิดใบหรือเปล่า…


จางเซวียนส่ายหัวขณะเดินกลับ


เขาเคยคิดว่าสรวงสวรรค์จะต้องเป็นสถานที่ที่มีรังสีสวรรค์เต็มเปี่ยม ถึงขนาดที่ใครๆก็ซึมซับมันได้ตามใจและฝ่าด่านวรยุทธได้รวดเร็ว ตัวเขากับเหล่าศิษย์สายตรงคงก้าวขึ้นสู่ความเป็นสุดยอดของนักรบได้อย่างง่ายดาย


แต่ความเป็นจริงก็ถาโถมเข้าใส่อย่างโหดร้าย


สำหรับตอนนี้ ลำพังจะเอาชีวิตรอดก็ยากแล้ว ดูเหมือนพวกเขาคงขาดอาหารตายเสียก่อนที่จะได้เป็นสุดยอดนักรบของสรวงสวรรค์


ในวันที่ 7 ที่มาถึงสรวงสวรรค์ จางเซวียนก็เยียวยาร่างกายที่บอบช้ำจนเริ่มจะแข็งแรงและปล่อยไก่น้อยกับคนอื่นๆออกมา


ทันทีที่ทุกคนออกมาข้างนอก มิติลี้ลับที่พวกเขาเคยซ่อนตัวอยู่ก็ยุบและแหลกสลายไปเพราะแรงกดดันของสรวงสวรรค์ ในเวลาเดียวกัน ข้าวของทุกอย่างที่เก็บไว้ในนั้นก็แปรสภาพเป็นฝุ่นผง


การอดอาหารติดต่อกันถึง 7 วันอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่หากอยู่ในมิติเบื้องบน แต่สำหรับที่นี่, บนสรวงสวรรค์ มันยาวนานพอจะทำให้พวกเขาปางตายเลยทีเดียว


ส่วนไก่น้อย บอกได้ยากว่ามันยังไม่ฟื้นตัวจากความบอบช้ำหรือเพราะยังไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมของสรวงสวรรค์ แต่มันเอาแต่หลับอุตุอยู่ในจุดตันเถียนของเขาอย่างไม่มีทีท่าจะยอมตื่น


ตอนแรกจางเซวียนคิดจะใช้ไก่น้อยเป็นเหยื่อล่ออสูรให้เข้ามา เพื่อที่เขาจะได้ล่าและเอามากิน แต่เท่าที่เห็น ดูเหมือนคงพึ่งพามันไม่ได้


ขณะที่กำลังคิดไปสารพัด จางเซวียนก็กลับถึงถ้ำที่เขาใช้เป็นที่พักชั่วคราว


“ท่านอาจารย์!” จ้าวหย่ารีบเดินเข้ามาต้อนรับ “เร็วเข้า มาพักก่อน คุณยังบาดเจ็บอยู่นะ ควรจะรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีกว่านี้”


ขณะที่พูด เธอก็ช่วยจางเซวียนนำข้าวของที่เขาถือมาจัดเรียงที่มุมหนึ่งอย่างเรียบร้อย


“ท่านอาจารย์ควรจะอนุญาตให้พวกเราออกไปหาอาหารนะ พวกเราไม่ได้บาดเจ็บอะไร และช่วยแบ่งเบาภาระได้…”


ทุกคนซ่อนตัวอยู่ในท้องของไก่น้อยขณะที่จางเซวียนฝ่าฟันคลื่นความสั่นสะเทือนของมิติ จึงไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ


แรงกดดันมหาศาลจากสรวงสวรรค์ทำให้พวกเขารู้สึกอ่อนแอราวกับเป็นเด็กน้อย แต่การออกหาผลไม้ หญ้า หรือล่าอสูรที่อ่อนแอสักตัวเป็นสิ่งที่ยังพอทำได้


“ไม่ได้หรอก” จางเซวียนส่ายหัวอย่างหนักแน่น “หุบเขาข้างนอกนั่นมีอสูรสวรรค์เต็มไปหมด พลาดพลั้งเพียงนิดเดียวอาจถึงตาย! ตอนนี้พวกคุณควรอยู่นิ่งๆและหาทางยกระดับวรยุทธให้เทียบเท่ากับผมให้ได้เสียก่อน!”


“แต่…” จ้าวหย่าทักท้วงอย่างวิตก


พวกเขาไม่คิดเลยว่าทุกอย่างจะลงเอยแบบนี้


ทุกคนติดตามท่านอาจารย์มายังสรวงสวรรค์เพื่อหวังจะช่วยแบ่งเบาภาระ แต่สุดท้ายกลับเป็นภาระของท่านอาจารย์เสียเอง


“พวกคุณไม่คิดจะฟังผมแล้วหรือไง?” จางเซวียนขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด


“ฉันไม่บังอาจ…” จ้าวหย่าตอบพร้อมกับก้มหน้า


“เอาเถอะ เลิกพูดเรื่องนี้เสียที มาดูกันเถอะว่าคราวนี้ผมนำอะไรมา” จางเซวียนยิ้มขณะนำผลไม้ที่เขาเก็บติดตัวไว้ออกมาให้ทุกคนดู


เพียงชั่วพริบตา กลิ่นหอมสดชื่นของผลไม้ก็อบอวลทั่วถ้ำ


“นี่มัน…ผลไม้?” หยวนเทากับซุนฉางตาโต น้ำลายไหลยืด


ตลอดสองสามวันนี้พวกเขาได้กินแต่หญ้าป่า ทั้งเบื่อทั้งเอียน ผลไม้พวกนี้จึงเหมือนน้ำฝนที่โปรยปรายสู่พื้นดินแห้งแล้ง


“จัดการสิ!” จางเซวียนพูดพร้อมกับหัวเราะหึๆ “แต่มันมีไม่มากนะ ต้องแบ่งกัน ผมจะออกไปดูว่ายังมีอีกหรือเปล่า ซุนฉาง, ช่วยแบ่งผลไม้ที ดูให้แน่ใจล่ะว่าได้ส่วนแบ่งทั่วถึงกันทุกคน”


“ขอรับ นายน้อย!” ซุนฉางตอบขณะเดินเข้าไปหยิบผลไม้


ตอนที่ 2160 เราต้องหาทางออกไปกับพวกนั้น…

นอกจากจางเซวียน ในเวลานี้ยังมีอีก 14 ชีวิตอยู่กับเขา คือศิษย์สายตรงทั้ง 11 คน, ซุนฉาง และเซียนดาบชิงเหมิง


“นายน้อย มีผลไม้อยู่ 8 ผล, คุณรับไปผลหนึ่ง แล้วพวกเราที่เหลือจะกินคนละครึ่งลูก” ซุนฉางรีบจัดการคิดคำนวณ


“ผมกินไปลูกหนึ่งแล้วตอนอยู่ข้างนอก ที่เหลือนี่…พวกคุณแบ่งกันได้เลย” จางเซวียนพูดพร้อมกับโบกมือ “อ้อ เก็บส่วนหนึ่งไว้ให้ไก่น้อยด้วยนะ ถึงมันจะหลับอยู่ แต่ถ้าตื่นเมื่อไหร่ มันต้องบ่นอุบแน่ถ้าเราไม่เก็บไว้ให้”


ซุนฉางรีบจัดการแบ่งสรรปันส่วนผลไม้


แม้ผลไม้เหล่านี้จะยังไม่สุกดี แต่พลังจิตวิญญาณที่อยู่ในนั้นก็มีมากกว่าในหญ้าป่า ทันทีที่กัดเข้าไป ความอ่อนล้าที่พวกเขาสะสมมาหลายวันก็หายวับไป ราวกับมีใครสักคนถ่ายทอดพลังงานและพลังชีวิตเข้าสู่ร่างกาย


จางเซวียนยืนอยู่ที่ปากถ้ำ เขามองรอยยิ้มของคนเหล่านั้นแล้วพยักหน้าอย่างโล่งใจ


หวังหยิ่งเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์ คุณกินส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งของฉันก็ได้…”


“ไม่ต้องหรอก ก่อนหน้านี้ผมกินไปผลหนึ่งแล้ว คุณกินเสีย และรีบยกระดับวรยุทธให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากคุณเข้าถึงระดับของเทพเจ้าเมื่อไหร่ ก็จะช่วยผมได้มาก…” จางเซวียนพูดพร้อมกับโบกมือ


จากนั้น สีหน้าของเขาก็เคร่งเครียดขึ้นทันทีขณะกำชับหวังหยิ่ง “บอกทุกคนให้อยู่กันเงียบๆนะ ถ้าไม่ใช่ผมเรียก ห้ามออกไปโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม!”


ทันทีที่พูดจบ จางเซวียนก็พุ่งปราดออกจากถ้ำ หายวับไปท่ามกลางหุบเขาในชั่ว 2-3 อึดใจ


เมื่อจางเซวียนจากไปแล้ว หวังหยิ่งรีบนำเถาวัลย์ที่ห้อยระเกะระกะอยู่ด้านนอกมาอำพรางปากถ้ำไว้ไม่ให้ใครเห็น จากนั้นก็หันกลับมามองคนอื่นๆที่อยู่ในถ้ำด้วยนัยน์ตาแดงเรื่อ


รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ จ้าวหย่ารีบเดินเข้ามาไต่ถามอย่างวิตก “มีอะไร?”


“ไม่มีอะไรหรอก” หวังยิ่งรีบก้มหน้า “ท่านอาจารย์บอกพวกเราให้ระวังตัว และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามออกไปข้างนอกโดยเด็ดขาด ฉันคิดว่าท่านอาจารย์คงออกไปหาอาหารอีกรอบ”


หวังหยิ่งจ้องผลไม้ครึ่งซีกในมือของเธอ น้ำตาปริ่มลูกตาโดยไม่อาจกลั้นไว้ได้ เธอก้มหน้างุดแล้วเดินไปที่มุมหนึ่งของถ้ำ


คนอื่นอาจไม่ทันสังเกตเห็น แต่ด้วยความละเอียดลออและช่างสังเกตสังกาของเธอ เธอดูออกว่าท่านอาจารย์ยังไม่ได้กินผลไม้พวกนี้แม้แต่คำเดียว


ด้วยสภาพแวดล้อมที่แปลกประหลาดของสรวงสวรรค์ ท่านอาจารย์จึงมักกลับถึงถ้ำด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่ถึงอย่างนั้น ก็เก็บอาหารที่ดีที่สุดไว้ให้พวกเธอเสมอ


ท่านอาจารย์ทำงานหนักที่สุด แต่ก็ต้องหิวโซกว่าคนอื่นๆ


แค่คิดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้เธอแสนปวดใจ


ในชีวิตของหวังหยิ่ง ไม่มีการตัดสินใจครั้งไหนที่ดีไปกว่าการเดินเข้าไปในชั้นเรียนนั้นและยอมรับจางเซวียนเป็นอาจารย์ของเธอ!


น้ำตาของหวังหยิ่งไหลอาบแก้ม เธอรู้สึกว่าชีวิตในสรวงสวรรค์ก็ไม่ได้ขมขื่นเสียทีเดียว มันมีความหวานปนอยู่เช่นกัน


จางเซวียนไม่รู้ว่าหวังหยิ่งรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ตอนนี้เขากำลังซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้สูงและแอบดูบริเวณโดยรอบ


มนุษย์


มีอยู่หลายคน ล้วนแต่เป็นวัยรุ่น


เมื่อครู่นี้เขาได้ยินเสียงอึกทึกวุ่นวายดังมาจากระยะไกล จึงกำชับหวังหยิ่งให้อยู่เงียบๆและซ่อนตัวให้ดี ก่อนจะรีบออกมาด้วยความร้อนใจ


ในกลุ่มนั้นมีทั้งเด็กชายและเด็กหญิงวัยรุ่น ทุกคนสะพายเป้เหมือนพวกเดินป่า ดูเหมือนกำลังเสาะหาอะไรบางอย่าง


คนที่อายุมากที่สุดในกลุ่มวัยรุ่นทั้งเจ็ดคนดูจะมีอายุราว 17 ปี แต่วรยุทธของเขาแข็งแกร่งและมั่นคง อีกฝ่ายเป็นเทพเจ้าเหมือนจางเซวียน!


สิ่งที่จางเซวียนสังเกตเห็นก็คือแม้ภูมิประเทศในหุบเขาแห่งนี้จะทุรกันดาร แต่วัยรุ่นทั้งกลุ่มก็ดูจะคุ้นเคยกับมันดี ทุกคนเดินลัดเลาะไปโดยแทบไม่มีปัญหาใดๆ


เห็นพระอาทิตย์สีแดงก่ำกำลังจะลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีขาวซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มหันไปมองรอบๆ เขาสั่งการพร้อมกับยิ้มออกมา “ใกล้ค่ำแล้ว ค้างแรมที่นี่เถอะ หลังจากที่เราปฏิบัติภารกิจสำเร็จในวันพรุ่งนี้ ก็จะเดินทางกลับทันที ตกลงไหม?”


“ได้สิ!”


เมื่อรู้ว่าจะได้พัก คนที่เหลือดูจะโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด พวกเขารีบวางสัมภาระหนักอึ้งก่อนจะแยกย้ายกันทำงาน


บางคนโปรยผงยาไว้รอบบริเวณนั้นเพื่อป้องกันแมลงและอสูรไม่ให้เข้าใกล้ บางคนเริ่มออกสำรวจหาแหล่งน้ำ บางคนนำเสบียงออกมาและเริ่มประกอบอาหาร…


เห็นได้ชัดว่าพวกเขารวมตัวกันอย่างมีประสิทธิภาพ ทุกคนมีบทบาทหน้าที่ของตัวเองและเชี่ยวชาญเรื่องนั้นเป็นอย่างดี


เราต้องหาทางออกไปกับพวกนั้น…จางเซวียนรุ่นคิดหนัก


เขาไม่รู้ว่าสันเขาแห้งแล้งที่เห็นอยู่ในเวลานี้คือที่ไหน แต่แทบไม่มีพลังจิตวิญญาณอยู่เลย อย่าว่าแต่ฝึกฝนวรยุทธ แค่จะหาอาหารก็ยังยาก


ถ้าเขาอยู่ที่นี่คนเดียวก็เป็นเรื่องหนึ่ง แค่ตัดสินใจเดินไปทางไหนสักทางแล้วมุ่งหน้าไปจนกว่าจะได้ออกจากสันเขา แต่เมื่อมีท่านพ่อท่านแม่และศิษย์สายตรงของเขาอยู่ด้วย จางเซวียนก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม


ด้วยเหตุนี้ เขาจึงใช้เวลา 2-3 วันที่ผ่านมาออกตระเวนสำรวจพื้นที่ และได้รู้ว่าแม้ที่นี่จะมีพลังจิตวิญญาณเบาบางเต็มที แต่ก็พอมีอสูรสวรรค์ที่ทรงพลังเพ่นพ่านอยู่บ้าง


เป็นการยากที่จะรับมือกับอสูรสวรรค์ โดยเฉพาะหากพวกมันรวมกลุ่มกัน นั่นทำให้เขาเรียนรู้ว่าการออกสำรวจพื้นที่พร้อมกันหลายๆคนเป็นเรื่องอันตรายมาก เพราะเขาไม่อาจรับรองความปลอดภัยให้คนเหล่านั้นได้


แน่นอนว่าหากยังพักแรมที่สันเขาแห่งนี้ก็คงไม่ดี แต่อย่างน้อยที่สุด เขาจะต้องหาเส้นทางที่เหมาะสมให้ได้ก่อน


จางเซวียนจึงตรวจตราทุกตารางนิ้วเพื่อดูว่ามีมนุษย์กลุ่มอื่นพักค้างอ้างแรมอยู่หรือไม่ การได้พบคนกลุ่มใหญ่ที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย จึงไม่อาจปล่อยให้โอกาสครั้งนี้หลุดมือไป


ปัญหาเดียวก็คือวัยรุ่นกลุ่มนี้ไม่ได้อ่อนแอ หากจางเซวียนพรวดพราดเข้าไปหาคนเหล่านั้น อีกฝ่ายอาจมองว่าเขามีเจตนาร้ายและโจมตีเขาก็ได้ ในเมื่อตอนนี้เขายังไม่หายดี แถมร่างกายยังกระเสาะกระแสะเพราะได้กินแต่หญ้าป่าตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา จึงไม่มั่นใจว่าจะรับมือกับพวกนั้นได้


อีกอย่าง…


จางเซวียนเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้ เขาเพ่งมองตรงหน้าและส่ายหัวช้าๆ


ดวงตาหยั่งรู้เป็นเครื่องมือที่พึ่งพาได้ตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา มันคือกุญแจที่ทำให้เขาตรวจจับอันตรายได้ล่วงหน้า และเคลื่อนที่ไปรอบหุบเขาได้โดยอิสระ


ส่วนหอสมุดเทียบฟ้า มันเงียบกริบตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่เขามาถึงสรวงสวรรค์ และเพิ่งจะฟื้นคืนสภาพขึ้นมาในวันนี้ เป็นไปได้ว่ามันอยู่ระหว่างกระบวนการรวบรวมพละกำลังและอำนาจบางอย่างจากสรวงสวรรค์ เพื่อให้จางเซวียนสามารถนำมันมาใช้ในภายหลัง


ดวงตาหยั่งรู้ทำให้จางเซวียนรู้ว่าวัยรุ่นกลุ่มนี้ไม่ได้มากันตามลำพัง แต่มีผู้เชี่ยวชาญกลุ่มหนึ่งติดตามพวกเขามาในระยะที่ห่างออกไปหลายร้อยเมตร


เป็นไปได้ว่าอีกกลุ่มมาดูแลความปลอดภัยให้พวกเขา


ไม่อย่างนั้น คนๆหนึ่งจะต้องบ้าบิ่นแค่ไหน ถึงเห็นดีเห็นงามกับการส่งวัยรุ่นทั้งกลุ่มเข้าสู่สันเขาที่แสนจะขาดแคลนพลังจิตวิญญาณ?


เมื่อมีผู้เชี่ยวชาญกลุ่มหนึ่งคอยปกป้อง การที่เขาจะใช้พละกำลังเพื่อเสวนากับวัยรุ่นกลุ่มนั้นก็คงไม่เหมาะ แต่ควรจะหาทางเอาชนะใจอีกฝ่ายให้ได้เพื่อจะได้ออกจากสันเขาไปพร้อมกับพวกนั้น แต่ถ้าเป็นไปไม่ได้ ขอแค่เขาได้รู้ตำแหน่งที่ตั้งของเมืองที่อยู่ใกล้บริเวณนี้มากที่สุดก็ถือว่ายังดี


ดูเหมือนจะมีทางเดียว…


หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในสมองของจางเซวียน


เขารีบปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ก่อนจะเดินออกจากพุ่มไม้อย่างเงียบๆ


เมื่ออยู่ที่นี่ ไม่เพียงแต่เครื่องรางแห่งการปลอมตัวที่หลัวลั่วชิงมอบให้จะมีประสิทธิภาพดี ยังดูเหมือนจะทรงพลังกว่าเดิมด้วย ด้วยระดับวรยุทธของเขาในเวลานี้ ต่อให้ใช้ดวงตาหยั่งรู้ก็ไม่อาจมองทะลุการปลอมตัวของตัวเองได้


จางเซวียนเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นสุภาพบุรุษหน้าตาอ่อนโยนที่มีอายุราว 30 ต้นๆ แผ่รังสีอันอบอุ่นออกมา และมีวรยุทธล้ำลึกเกินหยั่งในสายตาของคนอื่นๆ


อย่างน้อยที่สุด จางเซวียนก็แน่ใจว่าวัยรุ่นกลุ่มนี้ไม่อาจมองทะลุการปรับตัวของเขาได้


เมื่อเตรียมการเรียบร้อย จางเซวียนปรากฏตัวและเอ่ยถาม “ใครกันที่บุกรุกอาณาเขตของผม แถมยังรบกวนความสงบสุขของผมด้วย?”


“นั่นใคร?”


กลุ่มวัยรุ่นที่กำลังทำอาหารและพักผ่อนต่างประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดนั้น พวกเขารีบหยิบอาวุธขึ้นมาก่อนจะหันไปทางต้นเสียง


ทุกคนเห็นชายอายุราว 30 ปีคนหนึ่งยืนจังก้าอยู่บนโขดหิน เสื้อคลุมของเขาพริ้วไหวอย่างสง่างาม เมื่อปะทะกับกระแสลมแรง เกิดเป็นภาพอันน่าประทับใจ ราวกับเขาคือเทพเจ้าที่ลงมาสู่โลกใบนี้


นัยน์ตาของชายผู้นั้นเปล่งประกายเย็นเยียบ บ่งบอกความไม่พอใจ


“วางท่าอะไรอย่างนั้น…”


สาวน้อยคนหนึ่งคำรามขณะก้าวออกมา แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร ชายหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมสีขาวก็รีบยกมือขึ้นยับยั้งเธอไว้


“ผู้อาวุโส พวกเราคือศิษย์ของสถาบันตะวันรอน มาที่นี่เพื่อปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ผมต้องขออภัยด้วยหากรบกวนการพักผ่อนของคุณ”


“สถาบันตะวันรอน?” จางเซวียนรีบบันทึกชื่อนั้นไว้ในหัว


เขายังคงวางสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะย้อนถาม “อย่างนั้นหรือ? บังเอิญเสียจริง ผมก็พาลูกศิษย์ของผมมาปฏิบัติภารกิจที่นี่เหมือนกัน”


“อ้อ!” ได้ยินคำนั้น ชายหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมสีขาวถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ก็ตั้งคำถามด้วยแววตาที่บ่งบอกความสงสัย “ไม่ทราบว่าคุณมาจากสถาบันไหน?”


ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นอาจารย์ ก็น่าจะมีคุณธรรมและหลักการประจำใจ คงไม่โจมตีพวกเขาโดยปราศจากเหตุผล


“พวกนั้นเป็นแค่ลูกศิษย์หัวทื่อไม่กี่คนที่ผมพบระหว่างการเดินทาง จึงพาพวกเขามาสำรวจที่นี่”


เกรงว่าจะพูดอะไรที่ทำให้จบเห่ จางเซวียนจึงใช้คำพูดคลุมเครือไว้ก่อน


ส่วนชายหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมสีขาวก็ดูออกว่าอีกฝ่ายกำลังส่งสัญญาณบอกว่าไม่เต็มใจจะเปิดเผยเรื่องส่วนตัว จึงประสานมือและพูดว่า “ผู้อาวุโส ในเมื่อคุณมาถึงก่อน พวกเราก็จะหาที่พักใหม่ จะได้ไม่รบกวนคุณ”


เขาออกจะยำเกรงชายที่อยู่ตรงหน้า เพราะไม่อาจหยั่งถึงระดับวรยุทธของอีกฝ่ายได้


เป็นธรรมดาที่เขาจะหวาดกลัวนักรบผู้ทรงพลังสักคนที่จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นในสันเขาห่างไกล


“ไม่ต้องหรอก คุณบอกว่าคุณมาจากสถาบันตะวันรอนใช่ไหม? ผมบังเอิญรู้จักมักคุ้นกับอาจารย์ใหญ่ของพวกคุณ และมี 2-3 เรื่องที่อยากสอบถามคุณด้วย”


กว่าจางเซวียนจะพบคนพวกนี้ก็ไม่ง่าย แล้วจะปล่อยไปดื้อๆได้อย่างไร?


“ผู้อาวุโส คุณรู้จักอาจารย์ใหญ่ของพวกเราหรือ?”


ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีขาวหรี่ตาด้วยความประหลาดใจ


ตอนที่ 2161 ผมจะทำเต็มที่

อาจารย์ใหญ่ของพวกเขาเข้าถึงระดับเทพเจ้าขั้นสูงแล้ว ทำให้เป็นนักรบที่ทรงพลังที่สุดในเมืองตะวันรอน แล้วชายที่อยู่ตรงหน้าพวกเขารู้จักมักคุ้นกับอาจารย์ใหญ่จริงๆหรือ? นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายเข้าถึงวรยุทธระดับเดียวกันกับอาจารย์ใหญ่หรือเปล่า?


นั่นอธิบายได้ว่าทำไมเขาถึงไม่อาจหยั่งถึงวรยุทธของชายหนุ่ม ถ้าอีกฝ่ายจงใจเล่นงานพวกเขาล่ะก็ คงถูกสังหารเพราะต้านทานไม่ไหวแม้เพียงอึดใจ


ส่วนจางเซวียน หลังจากใช้บทสนทนาหาเครดิตให้ตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดก็กำลังจะถามว่าสถาบันตะวันรอนตั้งอยู่ที่ไหน ก็พอดีกับที่เสียงของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งดังขึ้นกลางอากาศ “อาจารย์ใหญ่ของเราเข้าสู่การปลีกวิเวกมาเนิ่นนานแล้ว ผมรู้จักมักคุ้นกับมิตรสหายของเขาทุกคน และไม่คิดว่าเขามีมิตรสหายที่ไหนอีก ไม่ทราบว่าผมควรเรียกคุณอย่างไร?”


จากนั้น ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่มีอายุราว 40 ปีก็บินออกจากหมู่ไม้และมาอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมสีขาว


เขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่สะกดรอยตามวัยรุ่นทั้งกลุ่มมาเงียบๆเพื่อคอยปกป้อง


“ท่านอาจารย์! คุณมาทำอะไรที่นี่?”


วัยรุ่นกลุ่มนั้นถึงกับผงะที่เห็นชายวัยกลางคนปรากฏตัวอย่างปุบปับ เห็นได้ชัดว่าไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายสะกดรอยตามพวกเขามาตลอด


“ในฐานะอาจารย์ของพวกคุณ ผมจะปล่อยให้พวกคุณออกปฏิบัติภารกิจครั้งแรกโดยไม่เตรียมมาตรการรักษาความปลอดภัยได้อย่างไร?” ชายวัยกลางคนตอบด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆก่อนจะหันไปมองจางเซวียนอีกครั้ง


เขาเป็นอาจารย์ของสถาบันตะวันรอนมา 20 ปีแล้ว เคยพบมิตรสหายเกือบทุกคนของท่านอาจารย์ใหญ่ แต่นึกไม่ออกเลยว่าอาจารย์ใหญ่มีสหายคนไหนที่อายุน้อยพอๆกับชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า


ทั้งที่ชายหนุ่มอายุเพียง 30 ต้นๆ แต่เขาก็พบว่าไม่อาจมองเห็นระดับวรยุทธของอีกฝ่ายได้ ทำให้เกิดความอัศจรรย์ใจเล็กน้อย


ในแง่พละกำลัง อีกฝ่ายคงแข็งแกร่งพอๆกับอาจารย์ใหญ่ของพวกเขา


“ผมรู้สึกได้ว่าจุดชีพจรไท่หยางของคุณกำลังบอบช้ำ ขณะที่จุดชีพจรสือไป๋ก็ออกจะดำคล้ำไปเล็กน้อยตอนที่คุณสำแดงเทคนิคการเคลื่อนไหวเมื่อครู่ก่อน สิ่งนี้บอกชัดว่าคุณฝึกฝนเทคนิควรยุทธ 2 เทคนิคพร้อมกันในคราวเดียว จริงอยู่ว่าทั้งสองเทคนิคช่วยเติมเต็มกระบวนท่าของคุณ ทำให้คุณเคลื่อนไหวได้ด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง แต่ด้วยความซับซ้อนของมัน ลงท้ายจึงเกิดข้อผิดพลาดในวรยุทธ ส่งผลให้คุณไม่อาจสร้างความกลมกลืนระหว่างเทคนิควรยุทธทั้งสองได้ คุณจึงต้องเผชิญกับแรงตีกลับของพลังงานอยู่ตลอด…” จางเซวียนตั้งข้อสังเกตอย่างสุขุม


“ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด คุณคืออาจารย์โม่หย่วนจากสถาบันตะวันรอน…ผมพูดถูกไหม?”


“คะ-คุณรู้ได้อย่างไร?” ชายวัยกลางคนตาโตด้วยความตกใจ


เขาไม่ได้ตกใจกับการที่อีกฝ่ายรู้ชื่อ เพราะตัวเขาคือผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในสถาบันตะวันรอน จึงไม่แปลกอะไรที่ใครๆจะเคยได้ยินชื่อเสียงของเขามาบ้าง แต่สิ่งที่เขาตกใจก็คืออีกฝ่ายล่วงรู้ปัญหาที่เขากำลังเผชิญในการฝึกฝนวรยุทธได้อย่างไร? นั่นไม่ใช่สิ่งที่จะค้นพบกันได้ง่ายๆ!


การที่ชายผู้นี้มองตัวเขาออกอย่างง่ายดายบ่งบอกว่าอีกฝ่ายมีสายตาที่หยั่งรู้ได้อย่างเฉียบแหลมจนน่าทึ่ง


“นั่นยังไม่หมดนะ ผมรู้ว่าคุณประสบปัญหาเมื่อพยายามถ่ายทอดพลังงานของคุณเข้าสู่จุดชีพจรฮุ่ยไห่ ส่งผลให้ไม่อาจก้าวข้ามด่านคอขวดไปได้ และถ้าคุณฝึกฝนวรยุทธนานเกินไป เลือดจะเริ่มไหลซึมออกจากปากและจมูก ตามมาด้วยอาการแน่นหน้าอก”


“คือ…” โม่หย่วนตัวสั่นด้วยความไม่อยากเชื่อ


เป็นเรื่องพอเข้าใจได้ที่ผู้เชี่ยวชาญตัวจริงสักคนจะมองเห็นความไม่สัมพันธ์กันระหว่างเทคนิควรยุทธกับเทคนิคการเคลื่อนไหวของเขา แต่สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือเรื่องที่เป็นความลับ ซึ่งอีกฝ่ายก็รู้!


มีความเป็นไปได้ 2 ข้อสำหรับสถานการณ์นี้ ข้อ 1 คือชายผู้นี้รู้จักมักคุ้นกับเขาเป็นอย่างดี หรือไม่…


ก็หมายความได้อย่างเดียวว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าเขามาก บางทีอาจเหนือชั้นกว่าท่านอาจารย์ใหญ่ด้วยซ้ำ!


มีแต่ผู้เชี่ยวชาญระดับนี้เท่านั้นที่จะมองทะลุปัญหาในเทคนิควรยุทธและเทคนิคการเคลื่อนไหวของเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง รวมถึงสิ่งที่เขาต้องเผชิญในการฝึกฝนวรยุทธด้วย!


เรื่องนี้ทำให้คำกล่าวอ้างของอีกฝ่ายที่บอกว่ารู้จักมักคุ้นกับอาจารย์ใหญ่ของพวกเขาดูน่าเชื่อถือมากขึ้น


เพราะถึงอย่างไร ก็ไม่มีเหตุผลเลยที่ผู้เชี่ยวชาญระดับนี้จะมาอวดอ้างลอยๆว่ารู้จักมักคุ้นกับอาจารย์ใหญ่ของพวกเขา


“ผมดูออกว่าคุณขยันหมั่นเพียรฝึกฝนวรยุทธมาก แต่น่าเสียดายที่คุณตัดสินใจพลาด เคล็ดวิชาทะเลบาดาลต้องการพลังงานจากจิตวิญญาณที่อยู่ในระดับขั้นสูง แต่เห็นได้ชัดว่าจิตวิญญาณของคุณยังไม่ได้พัฒนาจนถึงระดับขั้นที่จะฝึกฝนเทคนิคนี้ได้ คุณควรจะโล่งอกนะที่ไม่ต้องเผชิญกับแรงตีกลับอย่างรุนแรงทั้งที่พยายามฝืนและบีบบังคับตัวเองให้ฝึกฝนเทคนิคนั้น!” จางเซวียนตำหนิโม่หย่วน


ขณะที่ชายวัยกลางคนสำแดงเทคนิคการเคลื่อนไหวดังกล่าวจนมาถึงที่นี่ จางเซวียนก็ใช้หอสมุดเทียบฟ้าประมวลหนังสือเกี่ยวกับตัวเขา


เท่าที่ฟังจากตัวโคลนของปรมาจารย์ขง เมื่อเข้าสู่สรวงสวรรค์ แรงตีกลับจากหอสมุดเทียบฟ้าก็มีแต่จะหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ จางเซวียนจึงรู้สึกว่าควรหลีกเลี่ยงการใช้มันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้


แต่เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ต้องการสำหรับการออกจากบริเวณนี้ เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องใช้มัน


นักรบส่วนใหญ่ปกปิดข้อบกพร่องในการฝึกฝนวรยุทธของพวกเขาเป็นความลับสุดยอด เก็บงำไว้ในหัวใจโดยไม่ยอมบอกใคร การชี้ข้อบกพร่องของพวกเขาออกมาตรงๆจึงทำให้อีกฝ่ายแทบจะประสาทเสีย


อีกอย่าง เครื่องรางแห่งการปลอมตัวก็ทำให้จางเซวียนดูล้ำลึกเกินหยั่งในสายตาของนักรบคนอื่นๆ การล่อลวงอีกฝ่ายจึงไม่ยากเกินไป


“ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะ!” ศีรษะของโม่หย่วนเย็นเฉียบและชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ


ถ้าก่อนหน้านี้เขายังแคลงใจอยู่บ้าง ตอนนี้ความคิดเหล่านั้นก็หายวับไปหมด


เป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูด เขาบีบบังคับตัวเองให้ฝึกฝนเคล็ดวิชาทะเลบาดาลแม้จิตวิญญาณจะยังพัฒนาได้ไม่เท่าเงื่อนไขที่วางไว้ ทำให้เขาสะสมความบอบช้ำไว้มากขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้มันกลายเป็นบาดแผลภายในที่ไม่น่าจะเยียวยาให้ฟื้นคืนสภาพเดิมได้


“ผู้อาวุโส ไม่ทราบว่าผมควรเรียกคุณอย่างไร?” โม่หย่วนลดท่าทีลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพก่อนจะตั้งคำถามอย่างจริงใจ


“ผมคือ…” จางเซวียนเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจขณะให้คำตอบ “หยางชวน!”


“อ้อ ผู้อาวุโสหยางชวนนี่เอง ผมได้ยินชื่อคุณมานานแล้ว” โม่หย่วนรีบประสานมือ


“ได้ยินมานานแล้ว? ได้ยินอะไร? คุณรู้หรือว่าผมเป็นใคร?” จางเซวียนถามห้วนๆ


เขาแค่นำชื่อปลอมที่เคยใช้บ่อยครั้งเมื่ออยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์กลับมาใช้อีกรอบ แต่อีกฝ่ายก็ช่างพูดแบบนั้นออกมาได้ ดูเหมือนผู้คนในสรวงสวรรค์จะไม่ค่อยซื่อสัตย์เท่าไหร่


“คือ…” โม่หย่วนหน้าแดงก่ำเมื่อได้ยิน


คำพูดพวกนั้นเป็นแค่การปฏิสันถารเพื่อกระชับความสัมพันธ์เท่านั้น จะดูแย่แค่ไหนหากเขาพูดออกไปว่าไม่เคยได้ยินชื่อของอีกฝ่ายเลย?


แต่ผู้อาวุโสก็กลับย้อนถามแบบนี้ ทำให้เขาไปต่อไม่ถูก


“เอาเถอะ เรื่องพิธีการน่ะไม่ต้องนำมาใช้กับผมหรอก ในเมื่อผมรู้จักมักคุ้นกับอาจารย์ใหญ่ของคุณ ก็ไม่จำเป็นต้องสุภาพหรือมีพิธีรีตองอะไร ผมไม่ชอบทำให้รุ่นน้องต้องลำบาก แต่บังเอิญว่ามีบางอย่างที่ผมอยากขอความช่วยเหลือ” จางเซวียนพูด


“ผู้อาวุโส บอกมาเลย ถ้าผมทำได้ ผมจะทำให้ดีที่สุด” โม่หย่วนตอบอย่างสุภาพ


“ขณะนี้บรรดาลูกศิษย์ของผมอยู่ระหว่างการปฏิบัติภารกิจที่นี่ แต่พวกเขาไม่คุ้นชินกับพื้นที่ จึงหลงทาง” จางเซวียนตอบ “ผมเกรงว่าพวกนั้นจะหวังพึ่งพาแต่ผมหากผมปรากฏตัวและช่วยแก้ปัญหาให้พวกเขาอย่างง่ายๆ และบังเอิญผมก็มีธุระด่วนเรื่องอื่นที่ต้องไปจัดการ จึงหวังว่าคุณจะช่วยผมชี้แนะพวกเขา และหากเป็นไปได้ ช่วยส่งพวกนั้นกลับสู่เมืองตะวันรอนโดยสวัสดิภาพด้วย”


“แน่นอนว่าผมไม่ขอความช่วยเหลือคุณเปล่าๆ ผมจะวิเคราะห์ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับวรยุทธของคุณอย่างละเอียดและถ่ายทอดให้ ส่วนคุณจะแก้ไขหรือเสาะหาเส้นทางที่เหมาะสมได้หรือเปล่า ก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง อยู่ที่สติปัญญาและความสามารถของคุณแล้วล่ะ”


“ขอบคุณมาก ผู้อาวุโส!” โม่หย่วนประสานมือด้วยความตื่นเต้น


เหตุผลหลักที่เกิดด่านคอขวดในวรยุทธของเขาก็เพราะความอ่อนด้อยในการตรวจสอบสภาวะของตัวเอง


ขอแค่มีใครสักคนให้คำชี้แนะ แม้จะไม่ได้มอบคำตอบที่ถูกต้องให้ เขาก็มั่นใจว่าจะเอาชนะปัญหาที่รุมเร้าอยู่ได้


ด้วยเหตุนี้ โม่หย่วนจึงรู้สึกยินดีปรีดาที่อีกฝ่ายยื่นมือเข้าช่วยเหลือ


ส่วนการพาลูกศิษย์ของอีกฝ่ายกลับเมืองตะวันรอนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขาต้องพาลูกศิษย์ของเขากลับไปที่นั่นหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจอยู่แล้ว จึงไม่ลำบากอะไร


อีกอย่าง ถ้าเขาได้สนิทสนมกับลูกศิษย์ของชายหนุ่ม ก็น่าจะเชื่อมความสัมพันธ์กับนักรบผู้ทรงพลังคนนี้ได้


“ผมดีใจที่คุณเต็มใจช่วยเหลือ สำหรับตอนนี้ คุณรออยู่ที่นี่ก่อน จากการคาดการณ์ของผม พวกนั้นคงมาถึงเร็วๆนี้แหละ” จางเซวียนตอบพร้อมกับพยักหน้า


จากนั้นเขาก็หันหลังกลับ ขณะที่กำลังจะจากไป ก็ปล่อยรังสีอันทรงพลังที่พุ่งทะยานขึ้นสู่สวรรค์ เกิดแรงกดดันมหาศาลราวกับมังกรผงาด


“ผู้อาวุโส…”


โม่หย่วนชะงักกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เขาเขม้นมองอย่างกังวล


“ในเมื่อคุณสัญญาแล้ว ผมก็หวังว่าคุณจะดูแลความปลอดภัยของพวกเขาอย่างดีที่สุด ถ้าเส้นผมของลูกศิษย์ของผมหายไปสักเส้นล่ะก็…คุณคงเข้าใจใช่ไหม?”


จางเซวียนยืนหันหลังให้ น้ำเสียงของเขาราบเรียบ แต่เมื่อประกอบกับแรงกดดันมหาศาลที่เขาแผ่ออกมา น้ำเสียงราบเรียบนั้นก็น่าสะพรึงจนสุดจะบรรยาย


“ผู้อาวุโส วางใจเถอะ! ผมจะทำเต็มที่ ไม่ให้คุณผิดหวัง” โม่หย่วนตอบอย่างเคร่งขรึม


“ผมจะสั่งการลูกศิษย์คนหนึ่งให้มอบรายละเอียดของการวิเคราะห์ของผมให้คุณ” จางเซวียนเสริมก่อนจะเดินทอดน่องจากไป


แม้ทีท่าของเขาจะดูผ่อนคลาย แต่การเคลื่อนไหวนั้นไม่ได้เชื่องช้า เพียง 2-3 อึดใจ จางเซวียนก็หายวับไปท่ามกลางหมู่ไม้


เมื่อร่างนั้นลับสายตาแล้ว โม่หย่วนปาดเหงื่อที่ไหลเป็นทางอาบใบหน้า


รังสีที่จางเซวียนแผ่ออกมาน่าสะพรึงเสียจนต่อให้ตัวเขา 10 คนก็ต้านทานอีกฝ่ายไม่ไหว


โชคดีเหลือเกินที่เขาไม่ได้ทำอะไรหุนหันพลันแล่น ไม่อย่างนั้นทั้งตัวเขาและบรรดาลูกศิษย์อาจต้องจบชีวิต


“ท่านอาจารย์ ผู้อาวุโสหยางชวนคนนั้น…ไร้เทียมทานขนาดนั้นจริงๆหรือ?” สาวน้อยที่ก้าวออกมาเมื่อครู่ถามโม่หย่วนด้วยความสงสัย


ตอนที่ 2162 เราจะกลับ?

เธอมาจากตระกูลใหญ่ และไม่ชอบใครก็ตามที่มาวางก้ามใส่เธอ แต่ก็แทบไม่อยากเชื่อว่าหยางชวนคนนั้นจะเป็นบุคคลที่น่าทึ่งจริงๆ


“ไร้เทียมทาน? พูดอย่างนั้นก็น้อยไป เขาทรงพลังจนน่าสะพรึงทีเดียวแหละ!” โม่หย่วนตอบพร้อมกับส่ายหน้า “เอาเถอะ พวกคุณจะไปทำอะไรก็ทำ หาอะไรกินแล้วพักผ่อนเสีย พรุ่งนี้เช้าเราจะกลับเมืองตะวันรอน เข้าใจไหม?”


“เราจะกลับ? แต่เราเพิ่งมาถึงที่หมายของการปฏิบัติภารกิจเองนะ!” สาวน้อยชะงัก


ถ้าพวกเขาเดินทางกลับ ก็เท่ากับล้มเลิกการปฏิบัติภารกิจใช่ไหม?


“ผมมีหน้าที่เพียงแค่คุ้มกันพวกคุณและคอยระวังหลังให้ การที่ผมปรากฏตัวต่อหน้าพวกคุณแล้วก็แปลว่าภารกิจล้มเหลว แต่ด้วยสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ผมจะร้องขอทางสถาบันให้พิจารณาเรื่องนี้เป็นกรณีพิเศษ เพื่อที่พวกคุณจะยังคงได้คะแนน” โม่หย่วนตอบ


ภารกิจที่ทุกคนกำลังจะปฏิบัติใช่ว่าจะปราศจากความเสี่ยงเสียทีเดียว เขาไม่อาจแบกรับความรับผิดชอบได้หากเกิดอะไรขึ้นกับบรรดาลูกศิษย์ของผู้อาวุโส


ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น กลับเมืองตะวันรอนเลยน่าจะดีกว่า


“ขอบคุณมาก ท่านอาจารย์”


เมื่อได้ยินว่าจะยังคงได้คะแนนจากการปฏิบัติภารกิจ ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก


เหตุผลเดียวที่พวกเขาออกมาปฏิบัติภารกิจก็เพราะอยากได้คะแนน ซึ่งหากได้คะแนนโดยไม่ต้องเผชิญหน้ากับอันตราย ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องโต้แย้ง


ทั้งกลุ่มจัดเตรียมอาหารและที่พักสำหรับการพักค้างคืน


หลังจากนั้นไม่นาน เสียงใบไม้เสียดสีกันแสกสากก็ดังขึ้นจากหมู่ไม้ คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา


“คุณคืออาจารย์โม่หย่วนใช่ไหม? ผมชื่อจางเซวียน ศิษย์ของอาจารย์หยางชวน…ผมทราบจากท่านอาจารย์ว่าคุณรู้จักมักคุ้นกับเขา จึงเดินทางมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือ…”


ขณะที่เสียงนั้นดังขึ้น ร่างสูงร่างหนึ่งก็ออกมาจากหมู่ไม้ มีอีก 14 คนตามมาติดๆ


“อ้อ น้องจางเซวียนนี่เอง! เชิญทางนี้” โม่หย่วนประสานมือขณะมองทั้งกลุ่มด้วยสีหน้าที่ออกจะสงสัย


เขาแปลกใจที่พบว่าบรรดาลูกศิษย์ของผู้อาวุโสหยางชวนดูจะอ่อนแอไปสักหน่อย


ไม่แปลกใจแล้วที่อีกฝ่ายร้องขอให้เขาดูแลความปลอดภัยให้บรรดาลูกศิษย์ เพราะเพียงเท่านี้ก็เป็นปาฏิหาริย์แล้วที่พวกนั้นเอาชีวิตรอดอยู่ท่ามกลางภูเขาอันตรายได้ด้วยระดับวรยุทธที่มีอยู่


ในเวลาเดียวกัน สาวน้อยที่อยู่ด้านหลังโม่หย่วนก็จับจ้องจ้าวหย่า สีหน้าของเธอบึ้งตึงทันที เธอรีบหันกลับไปมองสหายที่อยู่รอบตัว ซึ่งสายตาทุกคู่ก็จับจ้องอยู่ที่จ้าวหย่า


เป็นธรรมดาที่คนหน้าตาสะสวยจะได้การต้อนรับที่ดีกว่า


“พวกเรากำลังเตรียมอาหาร กินอาหารเย็นด้วยกันนะ” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีขาวเชื้อเชิญ


จ้าวหย่ากับคนอื่นๆชำเลืองมองจางเซวียน เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้า ก็พากันหาที่นั่ง ทุกคนซ่อนตัวอยู่ในถ้ำมาหลายวันแล้ว จึงแสนจะดีใจที่ได้กลับสู่โลกภายนอกอีกครั้ง


“อาจารย์โม่หย่วน นี่คือข้อมูลและการวิเคราะห์ที่ท่านอาจารย์ของผมสั่งการให้ผมมอบให้คุณ เขาบอกว่าคุณควรปรับเปลี่ยนการฝึกฝนเทคนิควรยุทธให้เป็นไปตามที่เขียนไว้ด้านบนก่อน แล้วเขาจะมอบฉบับสมบูรณ์ให้ในครั้งต่อไปที่เขาพบคุณที่เมืองตะวันรอน” จางเซวียนพูดขณะยื่นใบไม้ใบหนึ่งให้โม่หย่วน


มีถ้อยคำจำนวนหนึ่งเขียนไว้บนใบไม้ด้วยหมึกสีดำ


หลังจากอ่านรายละเอียดจนจบ โม่หย่วนก็หรี่ตาด้วยความอัศจรรย์ใจ


การวิเคราะห์ของหยางชวนละเอียดลออกว่าที่เขาคิดไว้มาก ขอแค่เขาแก้ไขข้อบกพร่องตามที่อีกฝ่ายระบุ ก็คงรักษาอาการบอบช้ำได้โดยเร็ว และเมื่อทำสำเร็จ ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาจะต้องพุ่งพรวดแน่ๆ


“ช่วยส่งมอบความสำนึกในบุญคุณของผมให้ผู้อาวุโสหยางด้วย!” โม่หย่วนตอบ


แน่นอนว่าเขารู้เหตุผลที่อีกฝ่ายจงใจมอบการวิเคราะห์ให้เพียงครึ่งเดียว โดยตัวเขาต้องปฏิบัติภารกิจให้เสร็จสิ้นเสียก่อนถึงจะได้อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือ


แต่ถึงอย่างนั้น โม่หย่วนก็ไม่ได้ขุ่นเคืองหยางชวน กลับรู้สึกมั่นอกมั่นใจกว่าเดิม


คนที่ให้ความใส่ใจแม้แต่รายละเอียดเล็กน้อยเพื่อดูแลความปลอดภัยของลูกศิษย์นั้นคือบุคคลที่น่าเคารพยกย่อง รู้จักคนแบบนี้ไว้ก็ไม่เสียหายอะไร


บรรดาลูกศิษย์ของโม่หย่วนเตรียมเสบียงมาไม่มากสำหรับการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ แต่เขาก็ออกไปล่าอสูรสวรรค์มาเพิ่มอีก 2-3 ตัว นี่จึงเป็นอาหารมื้อแรกที่จางเซวียนกับคนอื่นๆได้อิ่มอร่อยหลังจากที่มาถึงสรวงสวรรค์


หยวนเทาปลดปล่อยความเจริญอาหารออกมาอย่างเต็มที่ อาหารปริมาณมหาศาลที่เขากินเข้าไปทำให้คนอื่นๆพากันสงสัยว่ามีอสูรลึกลับซ่อนอยู่ในไส้พุงของเขาหรือเปล่า


โชคดีที่ไก่น้อยยังจำศีลอยู่ ไม่อย่างนั้น ทุกคนคงถูกแย่งชิงอาหารไปก่อนจะทันได้กิน


จ้าวหย่ากับคนอื่นๆมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกศิษย์ของโม่หย่วน และสภาพแวดล้อมที่พวกเขาอยู่ก็เป็นบรรยากาศที่แสนจะเหมาะกับการพูดคุย ด้วยเหตุนี้ ไม่ช้าทุกคนก็เริ่มสนทนากัน


ทุกคนรับรู้ต้นสายปลายเหตุจากจางเซวียนแล้ว รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรพูด จึงไม่มีใครทำให้โม่หย่วนกับบรรดาลูกศิษย์เกิดความสงสัย


“สหายของคุณถามผมเรื่องสถานการณ์ปัจจุบันของสรวงสวรรค์ ในเมื่อน้องจางก็เคยถามผมมาแล้วครั้งหนึ่ง ทำไมเราไม่มาฟังด้วยกันเสียเลย?”


หลังจากท้องอิ่ม ทุกคนก็นั่งล้อมวงกัน โม่หย่วนเริ่มพูด รอยยิ้มปรากฏบนริมฝีปากของเขา


สรวงสวรรค์นั้นกว้างใหญ่และไร้ขอบเขต ขนาดเมืองตะวันรอนก็เป็นเพียงจุดเล็กๆบนแผนที่เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ แม้ลูกศิษย์ส่วนใหญ่ของโม่หย่วนจะมาจากตระกูลใหญ่ของเมืองตะวันรอน แต่ก็ไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับภาพรวมของสรวงสวรรค์


จางเซวียนหันมา


ตลอดมื้ออาหาร เขาพยายามชักนำบทสนทนาให้เป็นไปในทิศทางที่จะได้ข้อมูลจากโม่หย่วน และดูเหมือนเขาจะทำสำเร็จ


“สรวงสวรรค์แบ่งออกเป็น 9 กลุ่มอำนาจใหญ่ เป็นที่รู้จักกันในชื่อเก้าเวหา!” โม่หย่วนพูด


“ผมรู้! ท่านอาจารย์กำลังพูดถึงสิบจอมราชันย์เก้าเวหาใช่ไหม?” เรากับจะอวดภูมิรู้กับสาวๆที่เพิ่งได้พบ ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีขาวโพล่งออกมา


ในเวลาเดียวกัน สาวน้อยอีกคนหนึ่งที่เป็นลูกศิษย์ของโม่หย่วนก็กำหมัดแน่นอย่างหงุดหงิดเมื่อเห็นภาพนั้น


“ใช่ ผมกำลังพูดถึงสิบจอมราชันย์เก้าเวหา” โม่หย่วนพยักหน้า


“เก้าเวหาประกอบด้วย น่านฟ้าใจกลางเสรี น่านฟ้าบูรพาของมังกรเมฆ น่านฟ้าอุดรของจิตวิญญาณต้นกำเนิด น่านฟ้าประจิมของทองคำแข็งกล้า น่านฟ้าทักษิณของโลกบาดาล น่านฟ้าอาคเนย์ของตะวันแผดเผา น่านฟ้าอีสานของดาบสรวงสวรรค์ น่านฟ้าหรดีของหลิงหลง และน่านฟ้าพายัพแห่งวิญญาณเร่ร่อนของพวกเรา!”


“เก้าเวหาหมายถึงเก้ากลุ่มอำนาจใหญ่ มีเก้าจอมราชันย์เป็นหัวหน้า ทุกคนมีพละกำลังมหาศาลที่ทำให้สามารถเชิดหน้าใส่คนทั้งโลก คือผู้ที่ใครๆก็ให้ความเคารพ”


ขณะที่โม่หย่วนพูด แววตาของเขาก็ฉายความยกย่อง


เท่าที่จางเซวียนได้ฟัง ดูเหมือนเก้าราชันย์จะทัดเทียมกับเจ้าสำนักของหกสํานักใหญ่แห่งมิติเบื้องบน คือผู้ที่แม่เพียงกระทืบเท้า ทั้งโลกก็สั่นสะท้าน


“ท่านอาจารย์ ผมรู้มาว่าจอมราชันย์พิชิตสวรรค์เพิ่งก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งเมื่อไม่นานนี้เอง ทำให้ตอนนี้กลายเป็นสิบจอมราชันย์เก้าเวหาแล้ว” ลูกศิษย์อีกคนหนึ่งของโม่หย่วนเสริม


“คุณพูดถูก จอมราชันย์พิชิตสวรรค์เพิ่งปรากฏตัวขึ้นเมื่อไม่กี่ปีก่อน” โม่หย่วนพยักหน้า


“พูดถึงจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ ต้องยอมรับว่าเขามีสติปัญญาและความปราดเปรื่องอย่างน่าทึ่ง เพียงไม่กี่ปีหลังจากที่โลกได้รับรู้ชื่อเสียงของเขา เขาก็พุ่งทะยานราวกับดาวตกที่เปล่งประกายเจิดจ้า เขาบีบบังคับจอมราชันย์ 8 คนให้ยอมรับเขาได้แล้ว ขาดก็แต่จอมราชันย์แห่งน่านฟ้าเสรีเท่านั้น ขอแค่ได้การยอมรับจากจอมราชันย์อีกคนหนึ่งที่เหลือ ก็จะหมายถึงการสลับสับเปลี่ยนและจัดสรรอำนาจครั้งใหญ่ในสรวงสวรรค์”


“สิบจอมราชันย์เก้าเวหา?” จางเซวียนพยักหน้า “จอมราชันย์เหล่านั้นสูงส่งกว่าพวกเรามาก ผมอยากรู้เหลือเกินว่าพวกเขาแข็งแกร่งขนาดไหน…”


ทันทีที่สิ้นเสียง ลูกศิษย์คนหนึ่งของโม่หย่วนก็พยักหน้าขณะตั้งคำถามด้วยความอยากรู้ “ท่านอาจารย์…สิบจอมราชันย์ทรงพลังขนาดไหน? ผมได้ยินว่าพวกเขาสามารถทำลายเมืองใหญ่ๆโดยใช้เพียงนิ้วเดียว เรื่องนั้นเป็นความจริงหรือเปล่า?”


“จริงสิ!” โม่หย่วนพยักหน้า “ดูนะ ตอนนี้พวกคุณเป็นเทพเจ้าขั้นต่ำ ขณะที่ผมเป็นเทพเจ้าขั้นกลาง ส่วนเทพเจ้าขั้นสูงก็มีอาจารย์ใหญ่ของเราเป็นตัวอย่าง คุณคงรู้เรื่องนี้แล้วใช่ไหม?”


ทุกคนพยักหน้า


“ที่เหนือไปกว่าเทพเจ้าขั้นสูงคือเทพเจ้าสวรรค์สร้าง ซึ่งก็แบ่งออกเป็นขั้นต่ำ ขั้นกลาง และขั้นสูงเช่นกัน เหนือกว่าเทพเจ้าสวรรค์สร้างคือราชันย์เทพเจ้า พวกเขาไม่ได้แบ่งออกเป็นขั้นต่ำ ขั้นกลาง และขั้นสูง แต่แยกเป็นราชันย์เทพเจ้าสามัญกับราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรตินั้นถือเป็นสุดยอดของสรวงสวรรค์ น่านฟ้าแห่งวิญญาณเร่ร่อนของพวกเรามีราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติอยู่ไม่ถึง 10 คนด้วยซ้ำ” โม่หย่วนอธิบาย


“และผู้เดียวที่อยู่เหนือราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติก็คือจอมราชันย์…มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่ได้การยอมรับจากสรวงสวรรค์ การถือกำเนิดของพวกเขาจะมีสรวงสวรรค์เป็นผู้กำหนดไว้ก่อนแล้ว จะไม่มีมากหรือน้อยกว่านี้อีก และคงเป็นอย่างนี้ไปชั่วนิรันดร์…มีวิธีเดียวเท่านั้นที่จะมีจอมราชันย์ถือกำเนิดขึ้นใหม่ นั่นคือการที่นักรบสักคนได้การยอมรับจากจอมราชันย์ที่อยู่มาก่อน และนั่นคือเหตุผลที่จอมราชันย์พิชิตสวรรค์เข้าท้าทายจอมราชันย์คนอื่นๆคนแล้วคนเล่า!”


เทพเจ้า, เทพเจ้าสวรรค์สร้าง, ราชันย์เทพเจ้าสามัญ, ราชันย์เทพเจ้าผู้ทรงเกียรติ, จอมราชันย์…จางเซวียนบันทึกระดับขั้นต่างๆเข้าสู่หัวสมอง


สงสัยเหลือเกินว่าหลัวลั่วชิงอยู่ขั้นไหน…


เธอสามารถขึ้นสู่สรวงสวรรค์จากมิติเบื้องบนได้โดยไม่ต้องผ่านหอเทพเจ้า ฉีกกระชากปราการแห่งมิติเข้าไป…และไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมาย


ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นคือวีรกรรมที่ไม่มีเทพเจ้าหรือเทพเจ้าสวรรค์สร้างคนไหนทำได้


ถ้าอย่างนั้น เป็นไปได้ไหมว่าเธอคือราชันย์เทพเจ้า?


ส่วนเธอจะเป็นจอมราชันย์หรือไม่นั้น พูดกันตามตรง เขาก็ยังไม่กล้าคิดไปไกล เพราะถึงอย่างไรโลกนี้ก็มีจอมราชันย์เพียง 9 คน แต่ละคนเป็นสุดยอดของจักรวาล ไม่น่าเป็นไปได้ที่คนหนึ่งในนั้น จะชอบพอคนจากโลกเบื้องล่างอย่างตัวเขา


ต่อให้เขามีหอสมุดเทียบฟ้า ช่องว่างระหว่างตัวเขากับจอมราชันย์ก็ยังห่างไกลกันเกินไป


ตอนที่ 2163 เพียงแต่…

แม้จางเซวียนจะคิดแบบนั้น แต่ก็อดถามไม่ได้ “อาจารย์โม่หย่วน ไม่ทราบว่าคุณรู้ชื่อของเก้าจอมราชันย์ไหม?”


ความสงสัยปรากฏขึ้นในดวงตาของโม่หย่วนแวบหนึ่งเมื่อได้ยินคำถามนั้น แต่ก็ยังพยักหน้า “เก้าจอมราชันย์คือผู้ทรงเกียรติในระดับที่คนธรรมดาอย่างพวกเราไม่คู่ควรจะเอ่ยชื่อของเขา ผมพอรู้แค่บางส่วนเท่านั้น”


“จอมราชันย์ของน่านฟ้าพายัพแห่งวิญญาณเร่ร่อนของพวกเราคือจอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่นผู้ยิ่งใหญ่ รู้จักกันในชื่อจอมราชันย์เฉียนคุ่น เขามีหน้าที่อารักขาสรวงสวรรค์ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้และควบคุมดูแล 6 เส้นทางของการฟื้นคืนชีพ”


“ศัตรูตัวฉกาจของเขาคือจอมราชันย์ตะวันแผดเผาแห่งน่านฟ้าอาคเนย์ของตะวันแผดเผา เขามีหน้าที่ควบคุมวันคืนและการเจริญเติบโตของทุกชีวิต ส่วนน่านฟ้าหรดีของหลิงหลงอยู่ภายใต้การควบคุมของเทพธิดาหลิงหลง ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความงดงามที่ไม่มีใครเทียบได้”


“เกรงว่าความรู้ของผมจะมีเท่านี้ นอกเหนือไปจากนี้…ผมไม่รู้อะไรอีกแล้ว”


จางเซวียนพยักหน้า


เก้าจอมราชันย์ย์แห่งน่านฟ้าทั้งเก้าคงเทียบได้กับเหล่าฮ่องเต้ในชีวิตเก่าของเขา คนเหล่านั้นคือผู้ที่คนธรรมดาสามัญไม่กล้าแม้แต่จะพูดถึง ในเมื่อโม่หย่วนเป็นแค่อาจารย์คนหนึ่งในดินแดนเล็กๆ ก็พอจะเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงรู้จักจอมราชันย์เพียง 3 คน


“น้องจาง คุณควรถามท่านอาจารย์ของคุณนะหากอยากรู้เรื่องมากกว่านี้ ด้วยความแข็งแกร่งของท่านอาจารย์ของคุณ ผมเชื่อว่าเขาน่าจะมีความเข้าใจเรื่องเก้าจอมราชันย์เก้าเวหามากกว่าผม” โม่หย่วนเสริม


แม้คนธรรมดาสามัญจะไม่กล้าพูดถึงเก้าจอมราชันย์เก้าเวหา แต่ก็พอรู้รายละเอียดทั่วไปอยู่บ้าง จึงเป็นไปไม่ได้ที่นักรบคนหนึ่งจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับจอมราชันย์ผู้ควบคุมดูแลดินแดนที่พวกเขาอาศัยอยู่ โม่หย่วนจึงอดสงสัยไม่ได้หลังจากได้ยินคำถามของจางเซวียน


จางเซวียนยิ้มแหยๆเมื่อเดาความคิดของโม่หย่วนได้ “บอกคุณตามตรงนะ พวกเราเป็นแค่คนธรรมดาสามัญ ท่านอาจารย์สงสารพวกเราและรับเราไว้เพื่อจะได้เอาตัวรอดในโลกใบนี้ได้ แต่ก็นั่นแหละ เขาเป็นคนที่มีกิจธุระยุ่งเหยิงที่สุด พวกเราแทบไม่มีโอกาสพบเขาเลย จึงไม่มีโอกาสได้เรียนรู้เรื่องพวกนี้จากเขาเช่นกัน ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นล่ะก็ พวกเราคงไม่ต้องรบกวนอาจารย์โม่หย่วนให้พาเราออกจากสันเขาหรอก”


“อ้อ…”


ความสงสัยในหัวใจของโม่หย่วนหายไปเมื่อได้ยินคำอธิบาย


มีอาจารย์บางคนในสรวงสวรรค์ที่เข้มงวดกับบรรดาลูกศิษย์มาก พวกเขาจะมอบหมายภารกิจครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้ลูกศิษย์ฝึกฝนและบ่มเพาะทักษะต่างๆ ไม่ยอมเสียเวลาไปกับการใช้คำพูด


ถ้าหยางชวนเป็นอาจารย์แบบนั้น ก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมลูกศิษย์ของเขาถึงไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเก้าจอมราชันย์เก้าเวหา


“ไม่เพียงเท่านั้นนะ พวกเรายังไม่ได้เข้าถึงระดับเทพเจ้าด้วย ท่านอาจารย์ไม่ยอมบอกว่าพวกเราจะฝ่าด่านวรยุทธได้ด้วยวิธีไหน บอกแค่ว่ายังไม่ถึงเวลา ตอนนี้ควรทุ่มเทความพยายามให้กับการฝึกฝนก่อน เขาบอกพวกเราเสมอว่ามีแต่รากฐานวรยุทธที่มั่นคงแข็งแกร่งเท่านั้นที่จะทำให้เกิดความก้าวหน้า แต่พลังจิตวิญญาณแถวนี้ก็แร้นแค้นเหลือเกิน ผมคิดไม่ออกเลยว่านักรบจะฝึกฝนวรยุทธที่นี่ได้อย่างไร…” จางเซวียนส่ายหน้าและถอนหายใจเฮือกใหญ่


“ผู้อาวุโสหยางชวนอาจเข้มงวด แต่เป็นอาจารย์ที่ดีนะ ผมเชื่อว่าเขาคู่ควรกับการเป็นปรมาจารย์” โม่หย่วนตั้งข้อสังเกต


“ปรมาจารย์?” จางเซวียนทวนคำด้วยความตกใจ


ปรมาจารย์คือวิชาชีพที่ปรมาจารย์ขงคิดค้นขึ้นเมื่อครั้งที่เขายังอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์


ตอนที่จางเซวียนอยู่ในมิติเบื้องบน ไม่เคยมีใครพูดคำนี้มาก่อน จึงคิดไม่ถึงว่าจะมาได้ยินในสรวงสวรรค์


“อ้อ คุณคงไม่เคยได้ยินล่ะสิ ตลอดสองสามทศวรรษที่ผ่านมา มีคนกลุ่มหนึ่งเรียกตัวเองว่าปรมาจารย์ พวกเขาสร้างสภาปรมาจารย์ขึ้น และถือเป็นภารกิจของตัวเองที่จะต้องถ่ายทอดความรู้และขจัดข้อสงสัยข้องใจให้กับคนอื่นๆ พวกเขาตีความเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ในรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และต่างก็ฝึกฝนอย่างหนักเพื่อสร้างระบบระเบียบอย่างเป็นทางการในการประเมินความสามารถของนักรบ ระบบนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพมาก แต่ผลเสียที่เห็นได้ชัดก็คือ บรรดาลูกศิษย์ที่เล่าเรียนจากปรมาจารย์มักต้องเผชิญกับความยากลำบากมากกว่านักรบทั่วไป” โม่หย่วนอธิบาย


จางเซวียนตาโตด้วยความงุนงง


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการเกิดขึ้นของเหล่าปรมาจารย์และสภาปรมาจารย์จะต้องเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์ขงแน่


เรื่องนี้บอกชัดว่าผู้ที่เขาต่อกรด้วยเมื่อครั้งอยู่ในมิติเบื้องบนคือตัวโคลน ส่วนร่างต้นแบบนั้นเข้าสู่สรวงสวรรค์มาหลายสิบปีแล้ว


เนิ่นนานกว่าหลายหมื่นปีนับตั้งแต่ปรมาจารย์ขงจากทวีปแห่งปรมาจารย์ไป ซึ่งก็เป็นเวลาประมาณ 2-3 พันปีในมิติเบื้องบน


ด้วยขีดจำกัดของระดับวรยุทธ จางเซวียนไม่อาจคำนวณกระแสของกาลเวลาในสรวงสวรรค์ให้ถูกต้องแม่นยำได้ แต่ถ้าถือเอาอัตราส่วนของกระแสการเวลาในสรวงสวรรค์เป็น 1:100 เมื่อเปรียบเทียบกับมิติเบื้องบน ก็หมายความว่าปรมาจารย์ขงมาถึงที่นี่ตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อน


นั่นพอจะเทียบได้กับช่วงเวลาที่เหล่าปรมาจารย์ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรก


จางเซวียนจึงถามอ้อมๆและตั้งข้อสังเกต “แล้วการเกิดขึ้นของสภาปรมาจารย์ถือเป็นภัยคุกคามต่อกฎเกณฑ์ของเก้าจอมราชันย์หรือเปล่า? อีกอย่าง สถาบันอื่นๆได้รับผลกระทบจากพวกเขาไหม? แล้วมีใครต่อต้านเหล่าปรมาจารย์บ้าง?”


หนึ่งในเหตุผลหลักที่เหล่าปรมาจารย์ได้รับการยกย่องอย่างสูงในทวีปแห่งปรมาจารย์ก็เพราะชื่อเสียงระบือลือลั่นของปรมาจารย์ขง ปรมาจารย์ขงคือบุคคลที่ได้รับความเคารพยกย่องจนทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขาก็พลอยมีหน้ามีตาไปด้วย ทั้งอาณาจักรและจักรวรรดิต่างๆมองว่าการมีเหล่าปรมาจารย์อยู่ในดินแดนของพวกเขาเป็นเกียรติยิ่งใหญ่ สุดท้ายก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ


แต่ในสรวงสวรรค์ เก้าจอมราชันย์เก้าเวหาคือศูนย์กลางของโลก เพราะเป็นกลุ่มอำนาจสูงสุดมาเนิ่นนาน การปรากฏตัวของพวกเขาจึงยิ่งใหญ่เสียจนไม่อาจมีใครละเลยได้ และในแง่ของอิทธิพล ก็น่าจะเหนือกว่า 6 สำนักใหญ่ของมิติเบื้องบนมาก


สภาปรมาจารย์มุ่งแสวงหาการถ่ายทอดความรู้ให้คนอื่นๆก็จริง แต่ในเวลาเดียวกัน การกระทำแบบนั้นย่อมสั่นคลอนกฎระเบียบเดิมของสรวงสวรรค์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยากที่จะคิดว่าเก้าจอมราชันย์จะปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นใต้จมูกของพวกเขา


อีกอย่าง สถาบันการศึกษาต่างๆที่มีมาก่อนจะยอมรับสิ่งที่เหล่าปรมาจารย์พยายามทำได้หรือไม่? การสร้างระบบระเบียบใหม่ที่แตกต่างจากระบบระเบียบของสถาบันการศึกษาอื่นๆอย่างสิ้นเชิงก็ไม่ต่างอะไรกับการท้าทายสถานภาพเดิมที่เคยมั่นคงมาก่อน และแน่นอนว่าจะต้องเกิดการแข่งขันอย่างเข้มข้นระหว่างระบบที่แตกต่างกัน


“ความพิเศษของเหล่าปรมาจารย์คือพวกเขาสนับสนุนการศึกษาที่ปราศจากการแบ่งแยก นักเรียนส่วนใหญ่ที่พวกเขารับไว้คือผู้ที่พลาดหวังจากการเข้าศึกษาในสถาบันอื่นเพราะสติปัญญาอ่อนด้อยเกินไป…”


ถึงตอนนี้ โม่หย่วนพลันนึกได้ว่าตัวเองพลั้งปาก เขารีบเสริมพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ “น้องจาง ผมไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกพวกคุณนะ กรุณาอย่าใส่ใจคำพูดของผมเลย”


ก่อนหน้านี้เขาพูดว่าหยางชวนดูคล้ายกับปรมาจารย์ ก่อนจะพูดต่อว่าบรรดาลูกศิษย์ที่เหล่าปรมาจารย์รับไว้คือผู้มีสติปัญญาอ่อนด้อย คำพูดนั้นอาจทำให้ผู้ฟังรู้สึกเหมือนกำลังโดนดูถูกได้


“ไม่เป็นไร” จางเซวียนตอบยิ้มๆ “ก็จริงนั่นแหละที่พวกเรามีสติปัญญาอ่อนด้อย ไม่อย่างนั้น คงไม่ติดแหงกอยู่ที่วรยุทธระดับนี้มาเนิ่นนานหรอก!”


รู้ดีว่าถ้ายังมัวพูดเรื่องนี้อยู่คงไม่เข้าท่า โม่หย่วนเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่…รังสีสวรรค์บนภูเขาสวรรค์สร้างมีจำกัดมาก สถาบันต่างๆจึงมีเงื่อนไขมากมายในการเปิดรับศิษย์สายตรง เหล่าปรมาจารย์มักจะรับผู้ที่พลาดหวังจากการเข้าศึกษาในสถาบันต่างๆเอาไว้ การมีพวกเขาอยู่จึงไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับพวกเรามากนัก เพียงแต่…”


ถึงตอนนี้ โม่หย่วนเงียบไปครู่หนึ่งเพื่อรวบรวมความคิดก่อนจะพูดต่อ “ผมยอมรับว่าปรมาจารย์คือผู้ที่แสนจะน่าทึ่ง มีบ่อยครั้งที่นักรบซึ่งดูเหมือนไม่น่าจะยกระดับวรยุทธได้แล้วสามารถพัฒนาตัวเองได้อีกมากภายใต้คำชี้แนะของพวกเขา อันที่จริง ลูกศิษย์บางส่วนของเหล่าปรมาจารย์ก็ก้าวหน้าได้เร็วกว่าลูกศิษย์ของพวกเราเสียอีก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหล่าปรมาจารย์สร้างความกดดันให้กับสถาบันต่างๆที่มีอยู่มาก่อน ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่ทำให้พวกเราเริ่มผลักดันลูกศิษย์ของตัวเอง เพื่อจะได้ไม่ล้าหลัง ไม่อย่างนั้น ผมคงไม่พาเด็กกลุ่มนี้มาปฏิบัติภารกิจที่นี่…”


ถ้าไม่ใช่เพราะมีคู่แข่ง พวกเขาคงพอใจกับการเปิดการบรรยายในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยกว่าอย่างห้องเรียน การพาเด็กวัยรุ่นทั้งกลุ่มที่ไม่เคยเผชิญโลกภายนอกออกมาปฏิบัติภารกิจที่เต็มไปด้วยความยากลำบากนั้น…


พูดกันตามตรง โม่หย่วนก็ไม่เห็นด้วยกับวิธีการแบบนี้ แต่รู้ดีว่าจำเป็นต้องทำเพื่อรักษาเกียรติยศศักดิ์ศรีของสถาบันไว้


อีกอย่าง บรรดาลูกศิษย์ของเขาก็กระตือรือร้นกว่าที่เคยเพื่อจะได้ไม่ล้าหลังคู่แข่ง มันเป็นแรงผลักดันชั้นดี และคงน่าเสียดายหากไม่นำมันมาใช้พัฒนาลูกศิษย์ของเขาให้ก้าวหน้า


“ส่วนเก้าจอมราชันย์เก้าเวหา ก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะห้ามไม่ให้มีปรมาจารย์ในดินแดนของตัวเอง ก็เพราะเหตุผลนี้ จอมราชันย์พิชิตสวรรค์จึงท้าทายจอมราชันย์คนอื่นๆเข้าสู่การสู้รบ ราวหนึ่งทศวรรษก่อน เขาดวลกับจอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่น พวกเราไม่รู้ว่าผลการดวลครั้งนั้นเป็นอย่างไร แต่นับจากนั้นเป็นต้นมา น่านฟ้าพายัพแห่งวิญญาณเร่ร่อนก็ตัดสินใจมองข้ามการมีอยู่ของสภาปรมาจารย์ ปล่อยให้พวกเขาปฏิบัติงานอย่างอิสระ” โม่หย่วนอธิบาย


แม้จะไม่มีการประกาศผลการดวลอย่างเป็นทางการ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็บ่งบอกชัดแล้วว่าจอมราชันย์ปีศาจเฉียนคุ่นพ่ายแพ้


เพราะไม่อย่างนั้น เขาคงไม่มีทางปล่อยให้สภาปรมาจารย์ปฏิบัติงานได้ตามใจในดินแดนของเขา


“เดี๋ยวก่อน คุณบอกว่าจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ท้าทายจอมราชันย์คนอื่นๆในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหล่าปรมาจารย์หรือ? เขาคือคนเดียวกันกับจอมราชันย์ที่เกิดขึ้นใหม่ ถูกไหม?”จางเซวียนถาม


“ก็เขานั่นแหละ”


“โป๊ะเชะ…” จางเซวียนตาโตเมื่อพลันเข้าใจ


เขารู้มาว่าเก้าจอมราชันย์เก้าเวหาดำรงอยู่มาเนิ่นนานจนแทบจะจำความไม่ได้ นึกภาพไม่ออกเลยว่าจู่ๆจะมีใครสักคนที่แข็งแกร่งพอจะท้าทายพวกเขาปรากฏตัวขึ้นในโลกใบนี้ แต่เท่าที่เห็น ก็ค่อนข้างแน่ชัดว่าจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากปรมาจารย์ขง!


หลายหมื่นปีในทวีปแห่งปรมาจารย์ หลายพันปีในมิติเบื้องบน และหลายสิบปีในสรวงสวรรค์…เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน


ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครั้งอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ ปรมาจารย์ขงมักได้รับการเรียกขานว่าเป็นนักปราชญ์ผู้พิชิตสวรรค์ ซึ่งชื่อนี้ก็เหมาะเจาะกันพอดี

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)