ข้ามกาลบันดาลรัก 215.1-216.3

ตอนที่ 215-1 โสมคนช่วยชีวิต

 

เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวให้เหวินเปียวนำโสมคนมาแล้ว ก็ไม่คิดจะนำกลับไปอีก จึงไม่รับมา 


 


 


หมอได้แต่พูดเกลี้ยกล่อมด้วยความหวังดี เห็นนางยึดมั่นไม่ยอม ก็ไม่ยืนหยัดอีก วางกล่องโสมคนลงบนโต๊ะเก่าในห้อง 


 


 


หลี่ตุนวิ่งเหงื่อโทรมกายกลับมาพร้อมห่อยา 


 


 


“ข้าช่วยต้มให้เอง เจ้าไปดูแลแม่ในบ้านเถอะ” สะใภ้จูอู่ออกอาสาพูดเอง 


 


 


หลี่ตุนส่งห่อยาในมือให้นาง กล่าวขอบคุณด้วยความตื้นตัน “ขอบคุณอาซ้อ” 


 


 


สะใภ้จูอู่โบกไม้โบกมือ พูดว่า “คนบ้านเดียวกัน ช่วยเหลือกันก็สมควรแล้ว” 


 


 


หลี่ตุนกล่าวขอบคุณอีกครั้ง เดินเข้าไปในบ้าน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยังยืนอยู่ในบ้าน รีบไปยกเก้าอี้เก่าๆ ตัวหนึ่ง ใช้แขนเสื้อของตัวเองเช็ดอย่างพิถีพิถันไปมาหลายครั้ง แล้ววางไว้ด้านหลังนางอย่างอ่อนน้อมระแวดระวัง “นายหญิง ท่านนั่งก่อนเถิด” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่รังเกียจ หย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้เตี้ยซอมซ่อ 


 


 


พอมีโสมคน หมอก็มีความเชื่อมั่นช่วยแม่เฒ่าหลี่ตุนให้ฟื้นขึ้นมา จึงไม่รีบร้อนกลับ นั่งบนเก้าอี้เก่าอีกตัวรอให้นางดื่มยาเสร็จ ตรวจอาการอีกรอบค่อยไป 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากพูดกับหมอ “นอกจากโสม หากยังต้องการตัวยาอื่น ขอให้ท่านเขียนออกมา ขอเพียงรักษาคนได้ ราคาเท่าใดก็ไม่มีปัญหา” 


 


 


เขาเป็นหมอในหมู่บ้านละแวกนี้มานานหลายปี ไม่เคยพบเจอนายหญิงที่คิดแทนบ่าวรับใช้เช่นนี้มาก่อน ได้ฟังก็ให้ตกตะลึงพรึงเพริด ใช้แววตาประหลาดใจและเลื่อมใสมองประเมินเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างละเอียดอีกครั้ง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวให้เขามองประเมินอย่างเปิดเผย กระทั่งเขาเก็บคืนแววตา ถึงยิ้มถาม “ท่านหมอใช้แววตาเช่นนี้มองข้า เพราะรู้สึกว่าข้าทำอะไรไม่ถูกต้องหรือไม่?” 


 


 


หมอโบกมือเป็นพัลวัน “แม่นางเข้าใจผิดแล้ว ข้าเป็นหมอมานาน พบเจอคนมาไม่น้อย แต่นายหญิงที่คิดแทนบ่าวรับใช้เช่นแม่นาง ข้าเพิ่งจะเคยเจอครั้งแรก จึงมองประเมินเจ้าหลายครั้งด้วยความประหลาดใจ ขอแม่นางอย่าถือสา” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านหมอกล่าวเกินไปแล้ว นี่เป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” 


 


 


หมอเกิดความรู้สึกเลื่อมใสจนล้นปรี่ 


 


 


“หลี่ตุน!” ลานบ้านด้านนอกมีคนร้องตะโกนเรียก 


 


 


หลี่ตุนขานรับออกไป 


 


 


ชายหนุ่มท่าทางนักเลงเดินแกว่งแขนเข้ามา ในมือถือไก่ตัวหนึ่งเดินเข้ามาในลานบ้าน พอเห็นเขาออกมา ก็ชูไก่ในมือขึ้น “ได้ยินว่าแม่เจ้าป่วย ข้าจับไก่ตัวหนึ่งมาให้ เจ้าเอาไปตุ๋น เอามาให้แม่เจ้ากินบำรุงร่างกาย” 


 


 


หลี่ตุนลังเลเล็กน้อย 


 


 


ชายหนุ่มหรี่ตา มองขวางไม่พอใจ พูดจามีลับลมคมใน “แหมๆ ตอนนี้ชีวิตดีแล้ว ไม่เห็นหัวพวกเราแล้วใช่หรือไม่?” 


 


 


หลี่ตุนฝืนยกยิ้มพูดว่า “ที่ไหนกัน เพราะตอนนี้ท่านแม่ข้าสุขภาพอ่อนแอ กินของมันเลี่ยนไม่ได้ต่างหากเล่า ท่านนำกลับไป เลี้ยงไว้กินเองเถอะ” 


 


 


ชายหนุ่มยื้อยัดไก่ใส่มือเขา “ตอนนี้กินไม่ได้ ก็เก็บไว้กินวันหลัง ของเอามาแล้ว มีใครที่ไหนเอากลับไปบ้าง เจ้าวางใจ ไก่นี้พวกเราเลี้ยงเอง ไม่ได้ลักมา” 


 


 


หลี่ตุนจนใจรับมา วางไก่ไว้อีกด้านบนพื้น ไก่ตัวนั้นถูกมัดขาทั้งสองไว้ แต่ยังกระพือปีกดิ้นรนไม่หยุด 


 


 


ชายหนุ่มก็ไม่รอให้หลี่ตุนเชิญ เดินอาดๆ เข้าไปในบ้าน กลุ่มคนที่ยืนอยู่ด้านนอกเห็นเขาเดินกร่างเข้ามา แยกย้ายกันหลบทางให้เขา ตอนที่หลี่ตุนเห็นชายหนุ่มเดินตรงเข้าบ้าน คิดจะเข้าไปห้ามก็ไม่ทันการณ์แล้ว ตกใจลนลานเร่งฝีเท้าตามเข้ามาในบ้าน 


 


 


ชายหนุ่มเดินเข้ามาในบ้าน เห็นเด็กสาวแต่งกายไม่ธรรมดานั่งบนเก้าอี้เตี้ย ชะงักงันเล็กน้อย 


 


 


หมอเห็นชายหนุ่มเข้ามาก็ให้ย่นยู่หัวคิ้ว 


 


 


ชายหนุ่มหมายจะเดินไปข้างเตียงดูหน้าแม่เฒ่าหลี่ตุน 


 


 


หลี่ตุนรีบเข้ามาดึงเสื้อเขาจากด้านหลังพูดว่า “พี่เอ้อซุ่น ในบ้านมีแขก พวกเราไปคุยกันข้างนอกเถอะ” 


 


 


ชายหนุ่มที่ปกติเป็นคนโอหังอวดดี ได้ยินวาจาของหลี่ตุน พลันไม่พอใจขึ้นทันควัน “ข้ามาเยี่ยมแม่เจ้า เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?” 


 


 


หลี่ตุนร้อนใจ ออกแรงมากขึ้น น้ำเสียเจือด้วยความเว้าวอน “พี่เอ้อซุ่น พวกเราไปคุยกันข้างนอกจะดีกว่า” 


 


 


ชายหนุ่มสะบัดแขนออก น้ำเสียงเคืองขุ่น “หลี่ตุน เจ้าเป็นอะไร ข้ามาเยี่ยมแม่เจ้าด้วยเจตนาดี เจ้ากลับเอาแต่ดึงรั้งข้าให้ออกไปข้างนอก” คาดไม่ถึงว่าจะสะบัดแรงเกินไป จนโดนกล่องโสมคนบนโต๊ะตกหล่นพื้น กล่องตกพื้นพร้อมเสียงกระทบพื้น โสมคนด้านในกลิ้งออกมา 


 


 


พอเห็นสิ่งที่หลุดออกมาจากในกล่องคือโสมคน ชายหนุ่มเปล่งเสียง “โฮะ” เบิกตาโพลงแล้วพูดว่า “หลี่ตุน ไม่เลวเลย ตอนนี้มีปัญญาซื้อโสมคนได้แล้ว ถึงได้ดูแคลนไก่ที่ข้าเอามาให้” 


 


 


หลี่ตุนเห็นโสมคนนอนแอ้งแม้งบนพื้น ตกใจหน้าซีด รีบย่อตัวลง เก็บโสมคนขึ้นมา ใช้ปากเป่าเศษฝุ่นเศษดินด้านนอกออกซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง ถึงวางใส่กล่องอย่างระมัดระวัง 


 


 


ชายหนุ่มเห็นท่าทีตั้งอกตั้งใจของเขา สบถ “เชอะ” แล้วพูดอย่างดูแคลน “ถึงขั้นนี้เลย? ก็แค่โสมคนสับปะรังเคอันหนึ่ง ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยเห็น จะสักกี่อีแปะกันเชียว” 


 


 


หลี่ตุนไม่กล้าล่วงเกินเขา พูดอย่างระวัง “พี่เอ้อซุ่น โสมคนต้นนี้ นายหญิงของพวกเรานำมารักษาโรคให้ท่านแม่ข้า ท่านหมอบอกว่าราคาหลายร้อยตำลึง” 


 


 


ชายหนุ่มได้ฟัง สะท้อนแววตาละโมบพลัน “หลายร้อยตำลึง? โสมคนแค่นี้มีราคาถึงหลายร้อยตำลึง เจ้ามิได้หลอกข้าหรอกนะ?” 


 


 


หลี่ตุนเห็นเขาไม่เชื่อ เริ่มกระวนกระวายใจ “ข้าจะหลอกท่านทำไม ท่านหมอก็อยู่ที่นี่ด้วย ท่านถามเขาก็ได้ อีกทั้งตัวยามีสรรพคุณสูง ท่านแม่ข้าป่วยหนักเช่นนี้ ท่านหมอบอกว่าใช้เพียงรากก็พอ ไม่จำเป็นต้องใช้หมดทั้งต้น” 


 


 


ชายหนุ่มได้ฟังหรี่หลุบนัยน์ตาละโมบคู่นั้นลง พุดว่า “นายหญิงของพวกเจ้าใจกว้างนัก หรือว่าจะมีจุดประสงค์อื่น?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังขมวดคิ้วมุ่น 


 


 


หมอมองชายหนุ่มแล้วส่ายหน้า 


 


 


หลี่ตุนตกอกตกใจเหงื่อผุดซึมไปทั่วหน้าผาก ไม่หวาดกลัวอะไรแล้ว ร้องตวาดเขาเสียงลั่น “พี่เอ้อซุ่น นายหญิงของพวกเราก็อยู่ที่นี่ ท่านอย่าได้พูดเหลวไหล” 


 


 


ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบห้อง ใช้นิ้วชี้เมิ่งเชี่ยนโยวถามขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ “นายหญิงที่เจ้าว่า คงไม่ใช่เด็กสาวคนนี้หรอกนะ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มออกอาการหน้าเปลี่ยนสี 


 


 


หลี่ตุนทำงานกับเมิ่งเชี่ยนโยวมานาน พอจะเข้าใจปฏิกิริยาอาการของนาง เห็นสีหน้าไม่สู้ดีของนาง รู้ว่านี่เป็นสัญญาณบอกเหตุว่านางจะปะทุอารมณ์แล้ว รีบเข้าไปฉุดกระชากลากถูเอ้อซุ่นผลักให้เขาพ้นประตูออกไป พูดกับเขาเสียงอ่อนเสียงหวาน “พี่เอ้อซุ่น มีอะไรพวกเราออกไปพูดข้างนอกเถอะ” 


 


 


ครั้งนี้เอ้อซุ่นไม่โมโหแล้ว ปล่อยให้เขาผลักพ้นประตูออกมา 


 


 


กลุ่มคนที่ยืนดูเรื่องสนุกในลานบ้านเห็นหลี่ตุนผลักเอ้อซุ่นออกมา ต่างสุมหัวกระซิบกระซาบเซ็งแซ่ 


 


 


เอ้อซุ่นถูกผลักออกมาข้างนอก ไม่รู้ว่าคิดอะไรได้ กลับพูดอย่างอารมณ์ดี “เมื่อนายหญิงของพวกเจ้าอยู่ เช่นนั้นไว้ข้าค่อยมาเยี่ยมแม่เจ้าวันหลังก็แล้วกัน” 


 


 


หลี่ตุนแทบอยากจะไล่เขาไปทันที ไม่ได้คิดถึงความหมายแฝงในวาจาเขา โบกมืออุตลุด “พี่เอ้อซุ่น ปกติท่านยุ่งมาก ไม่ต้องมาแล้วก็ได้” 


 


 


เอ้อซุ่นตบบ่าหลี่ตุน พูดว่า “เจ้าจะเยาะหยันข้าหรือไร ปกติข้าหลักลอยไม่ทำการทำงาน จะเอาที่ไหนมายุ่ง” พูดจบก็พูดว่า “เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ไก่ตัวนั้นอีกสองวันค่อยเอามาตุ๋นให้แม่เจ้ากิน ปกติพวกเราเคยคบหากันดี ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อยจากข้าก็แล้วกัน” 


 


 


พูดจบ ไม่รอให้หลี่ตุนพูด ก็เดินกร่างโยกซ้ายโยกขวาออกไป 


 


 


“พี่เอ้อซุ่น ค่อยๆ เดิน!” หลี่ตุนร้องตะโกนตะกุกตะกักไล่หลังไป 


 


 


เอ้อซุ่นไม่หยุด เดินพ้นลานบ้านออกไป ตอนที่เห็นรถม้าหน้าประตู ดวงตาเปล่งประกาย พินิจมองเล็กน้อย แล้วฮัมเพลงเดินส่ายตัวจากไป 


 


 


เห็นเขาเดินไปไกล หลี่ตุนถึงถอนใจโล่งอก รีบเดินเข้ามาในบ้าน คิดจะอธิบายแก้ตัวกับเมิ่งเชี่ยนโยว พออ้าปากได้กลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ทำได้เพียงขยี้หัว ยืนทำหน้าละอายใจอยู่อีกด้าน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดสายตามองมาที่เขาแวบหนึ่ง หลี่ตุนตกใจขาท้องสั่นพั่บๆ พูดอย่างขวัญผวา “นายหญิง ท่านอย่าเข้าใจผิด เมื่อก่อนข้าไม่รู้ความ พลาดไปคบเพื่อนเช่นนี้ แต่ข้าไม่ได้คบหากับเขามานานแล้ว ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้เขาถึงมาได้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนเก้าอี้เตี้ยด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ไม่ได้พูดสิ่งใด 


 


 


หลี่ตุนก็ไม่รู้ว่าคำอธิบายของตัวเองใช้ได้ผลหรือไม่ หัวใจเอาแต่เต้นรัว ในตอนนี้เองสะใภ้จูอู่ก็ตะโกนมาจากด้านนอก “ต้มยาเสร็จแล้ว” 


 


 


หลี่ตุนรีบเดินออกไป เข้าไปในครัวหาชามเก่ามีรอยบิ่นใบหนึ่ง หาผ้าเก่ามารองมือ ค่อยๆ เทยาใส่ชาม แล้วยกเข้ามาวางบนโต๊ะซอมซ่อด้วยความระวัง 


 


 


สะใภ้จูอู่ก็ตามเข้ามา ยืนอยู่อีกด้านอย่างพินอบพิเทา 


 


 


หลี่ตุนออกไปเอาชามอีกใบเข้ามา เทยาในชามสลับไปมาสองสามครั้ง จนรู้สึกว่าไม่ร้อนมากแล้ว ถึงยกชามยาเดินมาข้างเตียง เปล่งเสียงเรียกแผ่วเบาหลายครั้ง “ท่านแม่” หวังว่านางจะลืมตาขึ้นมา ดื่มยาในชามลงไป แต่เปล่งเสียงเรียกอย่างไร หญิงชราก็ไม่ตอบสนอง หลี่ตุนไม่มีทางเลือก หันมาพูดขอร้องสะใภ้จูอู่ “อาซ้อ รบกวนท่านไปหยิบช้อนในครัวมาให้หน่อยเถิด” 


 


 


สะใภ้จูอู่หันหลังเดินออกไป ไม่นานก็ถือช้อนเข้ามายื่นให้หลี่ตุน 


 


 


หลี่ตุนใช้ช้อนตักยาในชามป้อนใส่ปากหญิงชราอย่างใจเย็น 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและหมอคอยเฝ้าดูอยู่อีกด้านไม่พูดอะไร 


 


 


คงเพราะตัวยาออกฤทธิ์ ประมาณหนึ่งเค่อต่อมา หญิงชราค่อยๆ ลืมตาพร่ามัวทั้งคู่ขึ้น มองเห็นคนทั้งหมดอย่างเลือนๆ รางๆ หลับตาลงไปอีกครั้ง 


 


 


หลี่ตุนเห็นหญิงชราฟื้นแล้ว พูดด้วยอารามตื่นเต้นดีใจ “ท่านแม่ ท่านฟื้นแล้ว” 


 


 


หญิงชราถึงลืมตาอีกครั้ง หยั่งเชิงถาม “ตุนเอ๋อร์?” 


 


 


หลี่ตุนพยักหน้าควับ พูดด้วยความปิติ “ท่านแม่ ข้าเอง” 


 


 


หญิงชราหลับตาลงอีกครั้ง ถึงลืมตาขึ้น สติสตังค่อยๆ ฟื้นคืน ถามขึ้น “ตุนเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้ว แม่นึกว่าจะไม่ได้เห็นหน้าเจ้าเสียแล้ว” 


 


 


หลี่ตุนพูดเสียงแผ่ว น้ำเสียงเครือเจือสะอื้น “อาซ้อจูอู่เข้ามาดูท่าน พบว่าท่านป่วย ถึงรีบไปตามข้ากลับมา ไม่เพียงเท่านั้น นายท่านของพวกเราก็มาด้วย ที่ท่านฟื้นขึ้นมาได้ ต้องขอบคุณโสมคนที่นางให้มา” 


 


 


แม่เฒ่าหลี่ตุนขยับเอียงลำคออย่างยากลำบาก เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวที่นั่งอยู่อีกด้าน ขยับร่างกาย หมายจะลุกขึ้นนั่ง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพลันลุกขึ้นพูด “สุขภาพท่านยังอ่อนแอ นอนก็พอแล้ว” 


 


 


แม่เฒ่าหลี่ตุนพยักหน้าให้นางอย่างตื้นตัน “ขอบคุณนายหญิง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือไปมา “เล็กน้อยเท่านั้น ท่านอย่าได้เก็บไปใส่ใจ” 


 


 


เห็นแม่เฒ่าหลี่ตุนฟื้นได้เร็วเช่นนี้ หมอเองก็ดีใจมาก บอกให้นางนอนให้ดีๆ แล้วจับชีพจรให้นางใหม่ ถึงหันไปพูดกับหลี่ตุนว่า “คนฟื้นแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงอีก ขอเพียงกินข้าวและกินยาให้ตรงตามเวลาทุกวัน ผ่านไปไม่กี่วันก็จะดีขึ้น” 


 


 


หลี่ตุนได้ฟังดีใจยกใหญ่ กล่าวคำขอบคุณหมอซ้ำไปมา 


 


 


หมอยิ้มพูด “เป็นเพราะโสมคนต้นนั้นแท้ๆ หากไม่มีโสมคนต้นนั้น ต่อให้ข้ามีวิชาการแพทย์สูงส่งเพียงใด ก็คงช่วยแม่เจ้าไม่ได้ เจ้าจะขอบคุณก็จงขอบคุณนายหญิงของเจ้าเถอะ นางช่างเป็นนายหญิงที่หาได้ยากโดยแท้” 


 


 


แม่เฒ่าหลี่ตุนหันไปกล่าวขอบคุณเมิ่งเชี่ยนโยวอีกชุดหนึ่ง 


 


 


แม่เฒ่าหลี่ตุนไม่เป็นอะไรแล้ว หมอกำชับกำชาหลี่ตุนเวลาต้มยาจะต้องใส่รากโสมคนเข้าไปตามปริมาณที่กำหนด 


 


 


หลี่ตุนจดจำขึ้นใจ แล้วถามหมอว่าทั้งหมดเป็นเงินเท่าใด? 


 


 


หมอตอบว่าสองร้อยอีแปะ 


 


 


หลี่ตุนหยิบเงินสองร้อยอีแปะออกมาจากในตู้มอบให้หมอ 


 


 


หมอรับมา สะพายกระเป๋ายาเดินออกไป  

 

 


ตอนที่ 215-2 โสมคนช่วยชีวิต

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็ลุกขึ้นด้วย พูดกับหลี่ตุนว่า “เจ้ายังไม่ต้องกลับไป อยู่บ้านดูแลแม่เสียสองสามวัน หากต้องการอะไร ก็ให้คนไปส่งข่าวบอกข้า” 


 


 


หลี่ตุนดีใจออกนอกหน้า กล่าวขอบคุณไม่หยุด “ขอบคุณนายหญิง ขอบคุณนายหญิง” 


 


 


หลี่ตุนและสะใภ้จูอู่ออกมาส่งเมิ่งเชี่ยนโยวและหมออย่างอ่อนน้อม 


 


 


กลุ่มคนด้านนอกเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวออกมา ก็ให้ซุบซิบเซ็งแซ่อีกครั้ง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทำเป็นไม่ได้ยิน เดินพ้นประตูออกมา หลังจากกล่าวลาหมออย่างมีมารยาท ก็ก้าวขึ้นรถม้า สั่งเหวินเปียวให้กลับบ้าน 


 


 


กลุ่มคนด้านนอกเห็นรถม้าไปไกลแล้ว ก็เฮโลเข้ามาในบ้าน แย่งกันเข้าไปดูโสมคน 


 


 


ถนนในหมู่บ้านขรุขระ เหวินเปียวจึงบังคับรถม้าให้ช้าลง อย่างไรก็ไม่มีธุระด่วนอันใด เมิ่งเชี่ยนโยวก็มิได้เร่งเร้าเขา นั่งรถม้าเดินทางกลับอย่างเอ้อระเหย เพิ่งจะออกจากหมู่บ้านซุนมา มีคนวิ่งเข้ามาจากฝั่งตรงข้าม เห็นรถม้ารีบร้องตะโกนเสียงลั่น “นายหญิง!” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเสียงตะโกน เปิดม่านบังรถ คนที่ปะทะเข้ามาในสายตาก็คือจางมู่ ร้องตะโกนถาม “มีเรื่องอันใด?” 


 


 


จางมู่ด้านหนึ่งเร่งฝีเท้าเดินเข้าหารถม้า อีกด้านหายใจหอบร้องตอบเสียงลั่น “มีลูกค้ารายใหญ่มาที่บ้าน ต้องการจะซื้อมันฝรั่งจำนวนหนึ่ง นายท่านตัดสินใจไม่ได้ ให้ข้ามาตามท่านให้รีบกลับไปขอรับ” พูดจบ คนก็วิ่งมาถึงหน้ารถม้าแล้ว 


 


 


“ขึ้นมาเถอะ กลับไปด้วยกัน” เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเขา 


 


 


จางมู่ไม่รอให้รถม้าจอดสนิท กระโดดตัวลอย นั่งบนคานม้าด้านหน้า 


 


 


เหวินเปียวสะบัดบังเ**ยน บังคับรถม้าให้เร็วขึ้น ไม่นานเท่าไรก็กลับมาถึงโรงงาน 


 


 


ด้านหน้าโรงงานมีรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ ข้างรถม้า เมิ่งเอ้ออิ๋นกำลังอยู่คุยกับชายคนหนึ่งที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตัวเอง พอเห็นรถม้ากลับมา ก็พูดกับชายคนนั้นว่า “บุตรสาวข้ากลับมาแล้ว เรื่องมันฝรั่งท่านพูดกับนางเองเถอะ” 


 


 


เหวินเปียวจอดรถม้าสนิท เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า 


 


 


ชายคนนั้นเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบสองสิบสามปี ก็ให้ชะงักงันเล็กน้อย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปตรงหน้าทั้งสองคน เมิ่งเอ้ออิ๋นพูดว่า “โยวเอ๋อร์ นี่คือเถ้าแก่หวัง ได้ยินคนพูดว่าบ้านพวกเราปลูกมันฝรั่ง ตั้งใจจะเข้ามาซื้อกลับไปจำนวนหนึ่ง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าให้เถ้าแก่หวัง  


 


 


หลังจากชะงักอึ้ง เถ้าแก่หวังก็กลับคืนสู่สภาวะปกติ ยกยิ้มพูด “ข้าคือหวังป๋ายเฉียนแห่งอำเภอชิงหยาง ครอบครัวทำการค้าพืชผักสด มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเหล่าหลิวหลงจู๊แห่งเหลาจวี้เสียนดี ฤดูหนาวปีที่แล้วหลังจากข้าได้กินมันฝรั่งที่เหลาจวี้เสียน ก็ถามเขาว่าได้มาจากที่ไหน อยากจะได้กลับไปขายบ้าง เขาบอกข้าว่าคนขายมันฝรั่งบอกว่า มันฝรั่งทั้งหมดมีเพียงเท่านี้ ต่อให้เขาบอกข้าว่าใครเป็นคนขายก็ไม่มีประโยชน์ ในตอนนั้นข้าจึงล้มเลิกความคิดนั้นไป วันนี้ข้ามีธุระมาที่เหลาจวี้เสียน บังเอิญได้เห็นรถม้าหลายคันจออยู่หน้าประตูเหลาจวี้เสียน หลังจากถามไถ่ถึงได้รู้ว่า ที่แท้เป็นรถม้าของเหลาจวี้เสียนแต่ละสาขาเข้ามาซื้อมันฝรั่ง ข้าจึงให้เขาบอกข้าว่าซื้อมันฝรั่งได้จากที่ไหน เขาบอกที่อยู่ของแม่นางแก่ข้า ข้าสอบถามจนมาถึงที่นี่ หวังว่าแม่นางจะเห็นแก่เหลาหลิว ขายมันฝรั่งให้ข้าบ้าง ให้เพียงเล็กน้อยก็ไม่เป็นไร” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังยิ้มกริ่ม “เมื่อท่านและหลงจู๊หลิวเป็นสหายกัน ข้าย่อมต้องเห็นแก่เขาอยู่แล้ว เอาเช่นนี้เถิด ท่านตามข้าเข้ามาดูในโกดังก่อน ดูว่าท่านต้องการเท่าใด” 


 


 


เถ้าแก่หวังไม่คิดว่านางจะตอบทันควันเช่นนี้ ให้ปิติยินดี 


 


 


อู๋ต้าเปิดประตูใหญ่โรงงาน เมิ่งเอ้ออิ๋นเดินนำหน้า พาเถ้าแก่หวังเข้ามาในโรงงาน 


 


 


เถ้าแก่หวังไม่คิดว่าด้านในจะมีโรงอาคารที่หน้าตาเหมือนกันหลายอาคารเช่นนี้ มองพินิจไปโดยรอบ แล้วกล่าวชื่นชม “ข้าไม่เคยเห็นโรงงานที่เป็นระบบระเบียบเช่นนี้มาก่อน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ครอบครัวข้าทำการค้าหลายอย่าง ต้องการโรงงานแตกต่างกัน ข้าก็เลยปลูกพวกมันให้อยู่ด้วยกัน หนึ่งจะได้ดูแลง่าย สองแต่ละโรงงานมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพาเถ้าแก่หวังมาหน้าโกดังหนึ่ง เปิดประตูออก ด้านในโกดังมีมันฝรั่งกองกินพื้นที่กว่าครึ่งของโกดัง ปรากฏเด่นชัดเบื้องหน้าเถ้าแก่หวัง 


 


 


เถ้าแก่หวังแสดงอาการดีใจ พูดด้วยความตื่นเต้น “ข้าต้องการมันฝรั่งทั้งหมดนี้ แม่นางพูดราคามาเถิด” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “เหลาจวี้เสียนมาซื้อมันฝรั่งไปก็ไม่น้อย ข้าให้พวกเขาจินละครึ่งตำลึง ในเมื่อท่านและหลงจู๊สนิทสนมกัน ก็เอาราคาเดียวกับพวกเขาเถอะ” 


 


 


เถ้าแก่หวังรู้ราคามันฝรั่งมาจากปากหลงจู๊แล้ว แต่ที่ถาม เพราะคิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะโก่งราคาขึ้นอีก ไม่คิดว่านางจะให้ราคาตนเองเหมือนกับเหลาจวี้เสียนในทันที ตื้นตันใจเป็นอย่างมาก แล้วจึงล้วงตั๋วเงินสองใบออกมาจากอกเสื้อ พูดว่า “นี่เป็นตั๋วเงินสองพันตำลึง ให้แม่นางไว้เป็นเงินมัดจำ ข้าจะกลับไปให้คนตระเตรียมรถม้า พรุ่งนี้ในยามนี้จะให้คนเข้ามาบรรทุกมันฝรั่ง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รับมา พูดว่า “ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมัดจำ ข้าพอจะเชื่อถือการประพฤติตนของหลงจู๊หลิว เมื่อท่านเป็นสหายของเขา ความประพฤติของท่านก็ไม่น่าจะแตกต่างกัน ท่านวางใจ เมื่อข้ารับปากจะขายมันฝรั่งให้ท่าน ก็จักต้องเก็บไว้ให้ท่าน” 


 


 


เถ้าแก่หวังทำการค้ามาหลายปี พบเจอลูกค้าไม่มีสัจจะมาไม่น้อย ฝึกฝนให้เขามีนิสัยเช่นนี้ ขอเพียงเป็นพืชผักที่ตนเองพอใจ ก็จะจ่ายเงินก่อน นัดแนะเวลาแล้วค่อยมาบรรทุกไป ตอนนี้เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวไม่รับเงิน หัวใจเต้นระรัว พูดว่า “แม่นางรับไปเถิด ไม่เช่นนั้นข้ารู้สึกไม่มั่นใจ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วเดินไปเปิดประตูโกดังอีกแห่ง เผยให้เห็นมันฝรั่งกองล้นเต็มห้อง 


 


 


เถ้าแก่หวังเบิกตาโพลงตกตะลึงระคนยินดี 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชี้ห้องอีกสองสามแห่งพูดว่า “ในโกดังเหล่านี้ล้วนมีแต่มันฝรั่ง เถ้าแก่หวังต้องการเท่าใดก็มีเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินมัดจำ ท่านจะเข้ามาบรรทุกมันฝรั่งเมื่อใดก็แล้วแต่ท่าน” 


 


 


“แม่นางพูดความจริง ข้าต้องการมันฝรั่งเท่าใดก็ได้หรือ?” เถ้าแก่หวังถามอย่างไม่เชื่อ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดว่า “ทำการค้าให้ความสำคัญเรื่องความซื่อสัตย์ เมื่อข้ารับปากท่านแล้ว ข้าก็จะต้องพูดได้ทำได้ ทว่า เพื่อคิดแทนท่าน ข้าขอแนะนำให้ในครั้งแรกท่านบรรทุกมันฝรั่งกลับไปจำนวนหนึ่งก่อน ลองดูว่าจะขายดีหรือไม่ หากว่าขายดี ท่านค่อยมาบรรทุกไปมากขึ้น หากว่าขายไม่ดี ท่านจักได้ไม่กักตุนจนเงินทุนจมอยู่กับมันฝรั่งมากเกินไป” 


 


 


เถ้าแก่หวังกล่าวยกย่อง “ถึงว่าเหล่าหลิวเอาแต่ชื่นชมเจ้า บอกว่าเจ้าอายุยังน้อยไม่เพียงเฉียบขาดฉับไว ยังมีหัวด้านการค้า เอาแค่แม่นางมีน้ำใจคิดแทนลูกค้า ภายหน้าการค้าของแม่นางจะต้องยิ่งเจริญรุ่งเรือง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “เถ้าแก่หวังกล่าวเกินไปแล้ว ข้าพูดกับท่านตามตรง หากขายมันฝรั่งพวกนี้ไม่ออก ข้ายังสามารถดัดแปลงไปทำเป็นอาหารอย่างอื่นได้ ราคาจะสูงกว่านี้อีกหลายเท่า แต่พออยู่ในมือท่านก็ไม่เหมือนกันแล้ว หากท่านขายไม่ได้ จะกลายเป็นของเน่าเสีย ไร้ค่าไร้ราคา” 


 


 


เถ้าแก่หวังได้ฟังถามอย่างสนใจ “ไม่ทราบว่าแม่นางยังนำมันฝรั่งไปทำเป็นอาหารใดได้?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งอู๋ต้า “ไปเอามันฝรั่งแผ่นหนึ่งห่อมาให้เถ้าแก่หวังลิ้มรส” 


 


 


อู๋ต้าขานรับแล้ววิ่งไปหยิบมันฝรั่งแผ่นเข้ามา 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเป็นนัยให้เขาเปิดออก ยื่นให้เถ้าแก่หวัง 


 


 


เถ้าแก่หวังรับห่อมันฝรั่งแผ่นมา มองอย่างแปลกประหลาดใจ ถึงล้วงมันฝรั่งแผ่นด้านในออกมา ใส่เข้าปากแล้วเคี้ยวหนึ่งคำ รสชาติสดใหม่หอมฟุ้งคละคลุ้งเต็มปากพลัน เอ่ยปากถามด้วยความตกตะลึง “สิ่งนี้ทำมาจากมันฝรั่งหรือ เป็นรสชาติที่อร่อยยิ่งนัก” 


 


 


“นี่เป็นอาหารกินเล่นที่ทำมาจากมันฝรั่ง ชื่อมันฝรั่งแผ่นทอด มีหลายรสชาติแตกต่างกัน เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัยรับประทาน ปีที่แล้วข้าใช้มันฝรั่งที่เหลือทำออกมาเล็กน้อย เพื่อนคนหนึ่งนำไปขายในเมืองหลวงห่อละสิบตำลึง” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด 


 


 


เถ้าแก่หวังก็หวั่นไหวแล้ว “เช่นนั้นให้ข้านำไปขายบ้างได้หรือไม่?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ข้ารับปากเพื่อนไว้แล้ว มันฝรั่งแผ่นที่ทำออกมาได้ทั้งหมดจะขายส่งให้เขาเท่านั้น ข้าไม่อาจผิดคำพูดกับเขาได้” 


 


 


เถ้าแก่หวังรู้สึกผิดหวัง มันฝรั่งแผ่นในปากเริ่มไม่รู้สึกอร่อยเท่าเมื่อครู่แล้ว 


 


 


“แต่ว่า รอให้มันฝรั่งในฤดูกาลหน้าของปีนี้ออกมา ข้าจะแบ่งทำเป็นสองโรงงาน ใช้มันฝรั่งไปทำเป็นอาหารอีกชนิดหนึ่ง ถึงตอนนั้นหากท่านสนใจ ข้าจะขายให้ท่านทั้งหมด” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด 


 


 


เถ้าแก่หวังได้ฟังก็ยินดี และไม่ถามว่าเป็นสิ่งใดก็รับปากเต็มคำ “สนใจๆ แม่นางจักต้องขายให้ข้า ข้ามิได้จะคุยโว การค้าของข้าค่อนข้างใหญ่ ลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าทั้งจากเหนือใต้ออกตกมีมากมาย ขอเพียงเป็นสินค้าในมือข้า ย่อมขายออกได้เร็ว ขอเพียงแม่นางมอบอาหารปรุงสำเร็จให้ข้า ข้ารับประกันว่าเจ้าจะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ ภายหน้ายังคิดจะทำการค้ากับข้าอีก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำทันควัน “ได้ เมื่อโรงงานเปิด ข้าจะให้หลงจู๊ไปแจ้งข่าวแก่ท่าน ท่านเข้ามาได้ทุกเมื่อ” 


 


 


หลงจู๊พยักหน้าหงึกๆ พูดทีเล่นทีจริงว่า “แม่นางจักต้องแจ้งข่าวแก่ข้าแต่เนิ่นๆ ปีนี้ข้าหวังจะร่ำรวยจากมันฝรั่งและอาหารของเจ้าแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพยักหน้า กำชับอู๋ต้านำมันฝรั่งแผ่นรสชาติแตกต่างกันมาให้เถ้าแก่หวังอีกหลายห่อ พูดว่า “มันฝรั่งแผ่นพวกนี้เป็นของหายาก ท่านนำกลับไปให้คนในครอบครัวได้ลิ้มรสเถอะ” 


 


 


มันฝรั่งแผ่นหนึ่งห่อราคาสิบตำลึง มันฝรั่งแผ่นหลายห่อนี้ก็ราคาหลายสิบตำลึงแล้ว เถ้าแก่หวังไฉนเลยจะกล้ารับ กล่าวปฏิเสธ “มันฝรั่งแผ่นพวกนี้ราคาแพงเกินไป ข้ารับไม่ได้” 


 


 


“ต่อให้แพงอย่างไรพวกเราก็ทำขึ้นเอง ท่านอย่าได้ปฏิเสธอีกเลย รับไว้เถอะ หากท่านทำใจรับไม่ได้จริงๆ ช่วยซื้อมันฝรั่งข้าเพิ่มก็ได้” เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดหยอกเย้า 


 


 


เถ้าแก่หวังเป็นคนซื่อตรง ได้ฟังก็พูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ต่อให้แม่นางไม่พูด ข้าย่อมต้องซื้อให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพียงแต่ข้าทำใจรับมันฝรั่งแผ่นพวกนี้ไว้ไม่ได้จริงๆ เอาอย่างนี้เถิด เจ้าบอกราคาขายของเจ้ามา ข้าซื้อในราคาทุนก็แล้วกัน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “พวกเรายังต้องคบค้ากันอีกนาน มันฝรั่งแผ่นพวกนี้ถือเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากครอบครัวข้า ท่านอย่าได้ปฏิเสธอีกเลย” 


 


 


เถ้าแก่หวังเห็นนางอยากให้ด้วยใจจริง จึงไม่ปฏิเสธอีก รับมาอย่างเบิกบาน พูดว่า “แม่นางวางใจเถอะ ต่อไปอาหารที่เจ้าทำ ขอเพียงเจ้ายินดีขายให้ข้า ข้าจะรับซื้อไว้ทั้งหมด” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทำหน้าทำตาแก่นแก้วซุกซน ยิ้มพูด “เช่นนั้นพวกเราก็ว่าตามนี้แล้ว ต่อไปท่านจะกลับคำไม่ได้แล้วนะ” 


 


 


เถ้าแก่หวังหัวเราะตัวโยน พยักหน้ารับประกัน 


 


 


เก็บตั๋วเงินสองพันตำลึงเข้าไปในอกเสื้อ เถ้าแก่หวังรับมันฝรั่งแผ่นมา นัดโมงยามมารับมันฝรั่งในวันพรุ่งนี้เป็นที่เรียบร้อย เมิ่งเชี่ยนโยวก็ออกมาส่งเถ้าแก่หวังถึงหน้าประตูโรงงานตามมารยาท เถ้าแก่หวังขึ้นรถม้ากลับไปอย่างสุขสำราญใจ  

 

 


ตอนที่ 215-3 โสมคนช่วยชีวิต

 

ได้ลูกค้ารายใหญ่มา เมิ่งเอ้ออิ๋นดีใจยิ้มแก้มปริ พูดอย่างสุขใจ “ครานี้ดีแล้ว ในที่สุดพวกเราก็ขายมันฝรั่งได้แล้ว” 


 


 


เห็นท่าทีดีอกดีใจกว่าปกติของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกระเซ้า “ท่านพ่อ นี่ท่านก็เป็นคนละโมบตั้งแต่เมื่อไร?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยน้ำเสียงเจือความปิติ “เจ้าไม่รู้อะไร มันฝรั่งกองเต็มโรงงานเช่นนี้ทุกวัน พ่อกลุ้มอกกลุ้มใจเหลือจะเอ่ย กลัวมันฝรั่งขายไม่ออก ตอนนี้ดีแล้ว มีลูกค้ารายใหญ่เข้ามา พ่อค่อยสบายใจขึ้นบ้าง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดแหย่เย้า “ท่านพ่อ ท่านไม่คิดบ้างว่า บุตรสาวท่านเป็นใคร จะขายมันฝรั่งไม่ออกได้อย่างนั้นหรือ?” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นหัวเราะครื้นเครง 


 


 


เมิ่งชื่ออยู่ในโรงงานได้ยินเสียงหัวเราะของสองพ่อลูก อดออกมาเหล่ดูไม่ได้ 


 


 


เมิ่งชื่อถามเมิ่งเอ้ออิ๋นอย่างสงสัย “ได้ยินเสียงเจ้าหัวเราะตั้งแต่ในโรงงานแล้ว มีเรื่องอะไรทำให้เจ้าดีใจเช่นนี้?” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นครึ้มอกครึ้มใจ ใช้น้ำเสียงอิ่มอกอิ่มใจตอบอย่างสุขใจ “เมื่อครู่มีลูกค้ารายใหญ่เข้ามา บอกว่าจะซื้อมันฝรั่งจำนวนมากของพวกเรา เจ้าว่าข้าควรดีใจหรือไม่?” 


 


 


“จริงหรือ เราขายมันฝรั่งได้อีกแล้วหรือ?” เมิ่งชื่อย้อนถามอย่างยินดี 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า “เป็นเถ้าแก่หวังที่ขายส่งพืชผักสดโดยเฉพาะ มีเขาอยู่ ต่อไปเราไม่ต้องกังวลเรื่องการขายมันฝรั่งแล้ว” 


 


 


เมิ่งชื่อก็ยินดีปรีดาไปด้วย 


 


 


จากนั้นหันไปถามเมิ่งเชี่ยนโยว “โยวเอ๋อร์ แม่ของหลี่ตุนไม่เป็นอะไรนะ?” 


 


 


“พอกินโสมคนเข้าไปก็ฟื้นได้สติ แต่ร่างกายยังอ่อนแอ ท่านหมอบอกว่าต้องพักรักษาตัวอีกระยะหนึ่ง ข้าให้หลี่ตุนคอยอยู่ปรนนิบัติมารดาเขาให้หายค่อยกลับมา” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ 


 


 


เมิ่งชื่อวางใจลง “ไม่เป็นไรก็ดี คนแก่แล้ว ไม่มีใครอยู่ข้างๆ ไม่ได้ แค่ปวดหัวตัวร้อนบางทีก็ช่วยตัวเองไม่ไหว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวใจกระตุกวูบ 


 


 


เถ้าแก่หวังเป็นคนมีสัจจะ เช้าวันถัดมาก็พารถม้าห้าคันเข้ามาด้วยตัวเอง พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดีใจพูดว่า “แม่นางเมิ่ง เมื่อวานข้ากลับไปคำนวณดูแล้ว มันฝรั่งขั้นต่ำสุดที่ข้าต้องการก็หมื่นจินแล้ว รบกวนเจ้าให้คนบรรทุกใส่รถข้าด้วยเถอะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า สั่งกลุ่มคนที่รออยู่ในโรงงานแต่เช้าให้ลงมือขนย้ายมันฝรั่ง 


 


 


ขายมันฝรั่งได้ในปริมาณมากสองวันติดต่อกัน แต่ละคนต่างดีใจจนเก็บซ่อนสีหน้าไว้ไม่อยู่ มือไม้ก็ทำงานคล่องแคล่วว่องไว บรรจุเสร็จเป็นถุงๆ ต่อเนื่องไม่ได้หยุด 


 


 


เถ้าแก่หวังเองก็อารมณ์ชื่นบาน ยกยิ้มพูดว่า “มันฝรั่งแผ่นที่ข้านำกลับไปเมื่อวาน คนเฒ่าคนแก่และเด็กเล็กได้กินต่างก็ติดอกติดใจ เอาแต่พูดว่าไม่เคยกินขนมที่อร่อยเช่นนี้มาก่อน” 


 


 


“ชอบกินก็ดีแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด 


 


 


เถ้าแก่หวังขยี้ศีรษะ พูดอย่างเก้อเขิน “หากว่าแม่นางไม่รังเกียจ วันนี้ข้าอยากจะซื้อกลับไปอีกจำนวนหนึ่ง เพราะคนเฒ่าคนแก่และเด็กเล็กในบ้านชอบกินกันมาก บ้านข้าก็มิได้ขาดแคลนเงินเล็กน้อยแค่นั้น เจ้าวางใจ ข้าจะจ่ายให้เจ้าไม่ให้ขาดแม้อีแปะเดียว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถาม “ไม่ทราบว่าเถ้าแก่หวังต้องการมันฝรั่งแผ่นเท่าใด” 


 


 


เถ้าแก่หวังเห็นนางตอบรับ ดีอกดีใจ พูดขึ้นทันควัน “เอาไปให้คนในครอบครัวกิน ข้าไม่เรียกร้องมาก แค่ยี่สิบห่อก็พอ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำ “ได้ ประเดี๋ยวพอบรรทุกมันฝรั่งเสร็จ ข้าจะให้บ่าวไปเอามาให้ท่าน ข้าคิดราคาขายให้ท่านก็แล้วกัน” 


 


 


พอรู้ว่าได้ขนมในราคาถูก เถ้าแก่หวังก็หน้าบาน พูดหยอกเย้า “ข้าเสียใจแล้ว หากรู้ว่าได้ราคาถูกเช่นนี้ข้าจะขอมากกว่านี้” 


 


 


“เมื่อให้คนในครอบครัวกิน เถ้าแก่หวังก็อย่าซื้อทีละมากๆ เลย โรงงานข้าผลิตมันฝรั่งแผ่นปริมาณมากออกมาทุกวัน เวลาท่านมารับของ ค่อยมาซื้อกลับไปก็ได้” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด 


 


 


เถ้าแก่หวังคิดว่าก็ถูก ยิ้มพูดว่า “ได้ ข้าเชื่อแม่นาง ทุกครั้งที่มาจะคอยซื้อกลับไป” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “แม้มันฝรั่งแผ่นจะอร่อย แต่ถ้ากินมากจะทำให้เป็นร้อนใน ดังนั้นกินให้พอเหมาะจะดีที่สุด อย่าได้กินมากเกินพอดีเด็ดขาด” 


 


 


กลุ่มคนจิตใจกระปรี้กระเปร่า ความเร็วก็เพิ่มมากขึ้น มันฝรั่งหนึ่งหมื่นจินใช้เวลามากกว่าเมื่อวานอีกหนึ่งเค่อก็บรรทุกเสร็จ เถ้าแก่หวังจ่ายเงินค่ามันฝรั่งและมันฝรั่งแผ่นอย่างเบิกบานใจเสร็จ ก็พารถม้าที่บรรทุกมันฝรั่งจนเต็มกลับบ้านไปอย่างสุขสำราญใจ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนำตั๋วเงินให้เมิ่งเสียน กำชับเขา “พี่ใหญ่ ท่านกลับไปดูบัญชีหน่อยเถิด คำนวญคร่าวๆ ดูว่าฤดูกาลนี้เก็บเกี่ยวมันฝรั่งได้กี่จิน ข้าจะได้จัดการได้ถูก” 


 


 


เมิ่งเสียนรับตั๋วเงินมา พยักหน้า 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอีก “ต่อไปถ้าข้าไม่อยู่บ้าน การค้ามันฝรั่งนี้มอบให้ท่านแล้ว ไม่ว่าใคร ก็ขายในราคาจินละครึ่งตำลึง อีกอย่าง ทุกคนที่เข้ามาซื้อมันฝรั่ง ต้องให้เขาบอกให้ชัดเจนว่าใครเป็นคนแนะนำมา ไม่เช่นนั้นห้ามขายให้พวกเขา” 


 


 


เมิ่งเสียนจดจำขึ้นใจ 


 


 


กำชับเมิ่งเสียนเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวก็เข้าไปเดินวนในโรงงานมันฝรั่งแผ่นหนึ่งรอบ 


 


 


สะใภ้เมิ่งต้าจินรับสมัครหญิงสาวเข้ามาทำงานในโรงงานเพิ่มอีกห้าคน พอเห็นนางเข้ามา กลุ่มคนก็ร้องทักทายนางอย่างเป็นกันเอง “นายหญิง ท่านเข้ามาแล้ว” 


 


 


หลายวันนี้เมิ่งเชี่ยนโยวไม่อยู่บ้าน ไม่รู้ว่าสะใภ้เมิ่งต้าจินรับสมัครคนงานได้แล้ว พยักหน้าขานรับคำ แล้วถาม “ท่านป้าใหญ่ ท่านได้บอกข้อเรียกร้องของพวกเรากับพวกนาง และให้พวกนางทำสัญญาเรียบร้อยแล้วหรือไม่?” 


 


 


สะใภ้เมิ่งต้าจินตอบว่า “เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ตอนที่ข้าไปเรียกพวกนาง ได้บอกเรื่องข้อสัญญากับพวกนางก่อนแล้ว พวกนางต่างตอบตกลง ข้าถึงรับสมัครพวกนางเข้ามา หลังจากพวกนางเข้ามา ข้าจึงให้เสียนเอ๋อร์ร่างสัญญา ให้พวกนางลงนามเรียบร้อยแล้ว เจ้าวางใจเถอะ” 


 


 


ผู้หญิงเหล่านั้นพูดว่า “นายหญิง ท่านวางใจเถอะ พวกเรารู้เรื่องกฎระเบียบของโรงงานมานานแล้ว ต่อให้ไม่ทำสัญญา พวกเราก็ไม่มีทางพูดออกไป” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า กำชับสะใภ้เมิ่งต้าจิน “อากาศค่อนข้างร้อน ท่านแบ่งพวกเขาออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งทอดมันฝรั่งแผ่น กลุ่มหนึ่งนั่งพัก แล้วสลับกันทุกๆ สองเค่อ ระวังอย่าให้มีคนเป็นลม” 


 


 


“เจ้าวางใจเถอะ ข้าแบ่งพวกนางไว้แล้ว” สะใภ้เมิ่งต้าจินตอบ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเมิ่งเอ้ออิ๋นมันฝรั่งแผ่นที่พวกนางทอด พยักหน้าพอใจ “ใช้ได้ เป็นงานเร็ว พวกท่านทำงานให้คล่องแคล่ว หากพวกเขาขายมันฝรั่งแผ่นได้เร็วขึ้น รอให้ถึงวันจ่ายเงิน ข้าจะเพิ่มบำเหน็จให้พวกท่าน” 


 


 


หญิงสาวที่กำลังนั่งพักข้างๆ ปากไว ถามนางอย่างใคร่รู้ “นายหญิง อะไรคือบำเหน็จ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอธิบาย “บำเหน็จหรือ ก็คือเงินค่าแรงที่ให้พวกท่านเพิ่ม บางครั้งยังมากกว่าเงินเดือนของพวกท่านอีกเล่า?” 


 


 


หญิงสาวทั้งหมดได้ยินก็ตาลุกวาว ถามอย่างไม่เชื่อ “มากกว่าเงินเดือน? เท่ากับว่าพวกเราทำงานหนึ่งวัน แต่ได้ค่าแรงสองวันนะสิ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ประมาณนั้น แต่ก่อนอื่นพวกท่านต้องตั้งใจทอดมันฝรั่งแผ่นให้ดี ต้องทอดให้ได้รสชาติอร่อยลิ้น ให้คนที่ซื้อไปกินแล้วอยากกินอีก การค้าของพวกเราก็จะดังระเบิด ถึงตอนนั้นกระเป๋ากางเกงของพวกท่านจะนูนตุงแน่นอน” 


 


 


พอได้ยินว่าทำงานหนึ่งวันแต่ได้ค่าแรงเป็นสองวัน ครานี้แม้แต่หญิงสาวที่กำลังทอดมันฝรั่งแผ่นก็พูดรับประกันบ้าง “ไม่มีปัญหา นายหญิง ท่านคอยดูให้ดีเถอะ พวกเรารับประกันว่ามันฝรั่งแผ่นที่ทอดออกมาจะอร่อยเลิศรส ให้ใครก็ตามได้กินแล้วแทบอยากจะกัดลิ้นกลืนตามไปด้วย” 


 


 


คนทั้งหมดหัวเราะขบขันนาง 


 


 


หญิงสาวที่บรรจุมันฝรั่งแผ่นในอีกห้องหนึ่งได้ยินเสียงพูดคุยครึกครื้น หันหน้ามองกันไปมา เสียใจเศร้าหมองเหลือจะเอ่ย 


 


 


ตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาในห้องเห็นสีหน้าพวกเขาพอดี ไม่ได้พูดอะไร เดินเงียบๆ ไปข้างกายพวกเขา ตรวจสอบการบรรจุมันฝรั่งแผ่นของพวกเขา 


 


 


หญิงสาวเหล่านั้นปกติมีชื่อเสียงเป็นคนทำงานคล่องแคล่ว ไม่เหลาะแหละเหยาะแหยะ บรรจุมันฝรั่งแผ่นได้เร็วและมีคุณภาพ แทบจะไม่มีชิ้นส่วนแตกหัก เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นผลงาน ชื่นชมพวกเขาสองสามคำ หญิงสาวเหล่านั้นฝืนแย้มยิ้ม 


 


 


โรงงานมันฝรั่งแผ่นทำงานได้เป็นระบบระเบียบ เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกวางใจ คิดจะไปดูที่โรงงานกระเป๋านักเรียน ดูว่าพวกเขาเย็บกระเป๋านักเรียนไปได้เท่าไหร่แล้ว หากว่ามีมาก ตนเองควรจะพาเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉออกไปทำการตลาดอีกสักครั้งหรือไม่ 


 


 


เดินมาถึงหน้าประตูโรงงานกระเป๋านักเรียน ได้ยินเสียงพูดคุยด้านใน เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะผลักประตูเข้าไป 


 


 


ในตอนนี้จางมู่วิ่งตกใจหน้าตั้งเข้ามา “นายหญิง แย่แล้ว เมื่อครู่สะใภ้จูอู่ส่งข่าวมา บอกว่าสองแม่ลูกหลี่ตุนถูกทำร้ายบาดเจ็บ!” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดชะงักมือที่กำลังจะผลักประตู ย่นยู่หัวคิ้ว หันหลังถามกลับ “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” 


 


 


จางมู่ส่ายหน้า “ข้าก็ไม่ทราบ เมื่อครู่สะใภ้จูอู่ตะลีตะลานวิ่งเข้ามาบอก ข้าไม่ทันได้ถามไถ่ ก็วิ่งมาบอกท่านก่อน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังสาวเท้าเดินไปที่ประตูใหญ่ 


 


 


คล้ายว่าสะใภ้จูอู่จะวิ่งเร็วเกินไป จนถึงตอนนี้ก็ยังหายใจไม่ทั่วท้อง สองมือจับหัวเข่า ก้มตัวหายใจเหนื่อยหอบ 


 


 


จางมู่รีบพูด “สะใภ้จูอู่ นายหญิงมาแล้ว” 


 


 


สะใภ้จูอู่ยืดตัวขึ้น สูดลมหายใจเข้าลึก แล้วพูดรัว “เมื่อครู่ข้าจะเข้าไปเยี่ยมดูอาการแม่เฒ่าหลี่ตุนว่าดีขึ้นแล้วหรือไม่ กลับพบว่าพวกเขาสองแม่ลูกถูกทำร้ายบาดเจ็บ ข้าร้องเรียกเพื่อนบ้านให้ช่วยไปตามหมอ แล้วถึงรีบวิ่งมาบอกท่าน” พูดจบสูดลมหายใจเข้าลึกอีกครั้ง 


 


 


“รู้หรือไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม 


 


 


สะใภ้จูอู่ส่ายหน้า “ไม่ทราบ ข้าถามเพื่อนบ้าน พวกเขาก็บอกว่าไม่ได้ยินเสียงอะไร ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับเหวินเปียว “รีบไปบังคับรถม้าออกมา” 


 


 


เหวินเปียววิ่งแนบออกไป อึดใจเดียวก็บังคับรถม้ากลับมา เมิ่งเชี่ยนโยวและสะใภ้จูอู่ขึ้นไปบนรถม้า เหวินเปียวก็ไม่สนใจเส้นทางขรุขระแล้ว บังคับรถม้ามาถึงบ้านหลี่ตุนโดยไว 


 


 


ลานบ้านหลี่ตุนมีคนมุงล้อมเนืองแน่นแล้ว พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวมาก็หลีกทางออกให้นางโดยอัตโนมัติ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเดินเข้ามาในบ้าน เห็นสภาพภายในบ้านก็ให้ขมวดคิ้วมุ่น เห็นศีรษะของหลี่ตุนมีผ้าพันกำลังนั่งบนเก้าอี้เก่าข้างเตียง ใบหน้าเป็นกังวลมองแม่เฒ่าหลี่ตุนที่สองตาปิดสนิท ใบหน้ามีรอยฟกช้ำ 


 


 


พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา หลี่ตุนราวกับได้เห็นหลักที่พึ่งพิง ร้องเรียกด้วยเสียงสั่นเครือ “นายหญิง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างห่วงใย “เกิดอะไรขึ้น?” 


 


 


หลี่ตุนน้ำตาไหลอาบเป็นเขื่อนแตกพลัน แล้วรู้สึกตัวว่าไม่เหมาะสม ใช้แขนเสื้อรุ่งริ่งป้ายเช็ดน้ำตาหยาบๆ ถึงตอบว่า “ข้าไม่เป็นไร แต่ท่านแม่ข้าตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลย” 


 


 


หมอถอนหายใจพูดว่า “แม่เจ้าร่างกายอ่อนแอ ทั้งถูกคนผลักล้มไปกับพื้น หน้าผากกระแทกกับขอบโต๊ะ ตอนนี้ข้าก็บอกไม่ได้แล้วว่านางจะฟื้นขึ้นมาเมื่อใด” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกไปจับชีพจรแม่เฒ่าหลี่ตุน 


 


 


หมอไม่คิดว่านางก็รู้วิชาแพทย์ ให้ตะลึงพรึงเพริด 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจับชีพจรมือทั้งสองข้างของแม่เฒ่าหลี่ตุนอย่างละเอียด ถอนใจโล่งอก พูดว่า “ไม่เป็นอะไรร้ายแรง ไม่นานก็จะฟื้นขึ้นมาเอง” 


 


 


หมอคืนกลับมาจากอาการตกใจ ยื่นมือออกไปจับชีพจรให้แม่เฒ่าหลี่ตุนอีกครั้ง ยังคงเหมือนเมื่อครู่ที่จับไม่เจออะไรเลย 


 


 


หลี่ตุนดีใจออกนอกหน้า พูดขอบคุณนางไม่หยุด 


 


 


หมอถามด้วยอารามตกใจ “แม่นางก็รู้วิชาแพทย์หรือ?” 


 


 


“รู้นิดหน่อย ไม่เชี่ยวชาญ” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ 


 


 


หมอย่อมไม่เชื่อ “แม่นางกล่าวถ่อมตนเกินไปแล้ว เจ้าสามารถรู้ได้ว่าแม่เฒ่าหลี่ตุนจะฟื้นขึ้นมาตอนไหน ไม่รู้ว่าวิชาแพทย์ล้ำเลิศกว่าข้าเพียงใดแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร หันกลับไปถามหลี่ตุน “เกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดพวกเจ้าสองแม่ลูกถึงถูกคนทำร้ายได้บาดเจ็บได้?”  

 

 


ตอนที่ 216-1 รุมสกรัมหัวโจกหมู่บ้าน

 

หลี่ตุนได้ฟังหน้าสลดถอดสี สุดท้ายกัดฟันแน่น เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นไปถตามจริง 


 


 


เดิมทีเมื่อคืนวานแม่เฒ่าหลี่ตุนมีอาการดีขึ้นมากแล้ว หลังจากกินอาหารค่ำเสร็จอยู่คุยกับหลี่ตุนอย่างมีความสุขครู่หนึ่ง ถึงถูกหลี่ตุนพูดหว่านล้อม ยอมปิดเปลือกตาลง ค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทรา พอหลี่ตุนเห็นนางหลับสนิท ก็ทำทุกอย่างอย่างเบามือเตรียมจะกลับไปที่ห้องตัวเอง ครั้นหันหลังไปเห็นโสมคนบนโต๊ะ จึงนำโสมคนไว้เก็บไว้ในตู้ซอมซ่อบนหัวเตียง แล้วกลับมานอนในห้องตัวเอง 


 


 


ด้วยกลัวว่ามารดาจะเกิดเรื่องร้องเรียกตัวเอง ทำให้หลี่ตุนนอนด้วยความระแวงระวัง คอยตื่นขึ้นมาดูว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับมารดาตนเองหรือไม่ กระทั่งกลางดึก ถึงทนความง่วงงุนไม่ไหว หลับสนิทไป ขณะที่กำลังหลับสบายนั้น พลันได้ยินเสียงของหนักตกพื้น ตกใจตื่นนึกว่ามารดาตนเองลุกขึ้นมาไม่ระวังสะดุดล้ม รีบตื่นออกไปดู เดินไปพลางลุกลนถาม “ท่านแม่ ท่านเป็นอะไร?” 


 


 


ในห้องไม่มีเสียงตอบกลับ หลี่ตุนกระวนกระวายใจ เปิดม่านกำลังจะเดินเข้าไปในห้อง กลับมีร่างตะคุ่มหนึ่งใช้ของแข็งกระแทกเข้าที่ศีรษะเขา หลี่ตุนไม่ทันได้มีสติตอบโต้ ก็ทรุดฮวบหมดสติลงไปกับพื้น กระทั่งยามที่ฟื้นขึ้นมา ภายในบ้านก็มีคนมุงล้อมมากมายแล้ว ศีรษะตัวเองมีผ้าเก่าๆ พันไว้ ส่วนหมอกำลังจับชีพจรให้มารดาตนเอง 


 


 


พูดถึงตรงนี้ หลี่ตุนเหลือบมองเมิ่งเชียนโยวแวบหนึ่ง กลืนน้ำลายอึกหนึ่ง ถึงพูดอย่างระวังว่า “นายหญิง ข้าตรวจดูแล้ว โสมคนที่ท่านให้ไว้เมื่อวานหายไปแล้ว คนผู้นั้นจะต้องตั้งใจมาเอาโสมคนไป” 


 


 


เมิ่งเชียนโยวขมวดคิ้วมุ่น 


 


 


หมอถอนหายใจ ในน้ำเสียงเจือตำหนิ “เมื่อวานข้าบอกแม่นางแล้ว โสมคนดีเลิศเช่นนี้สำหรับพวกเขาแล้ว คือภัยพิบัติ แม่นางไม่ฟัง จะให้พวกเขาเก็บไว้ให้ได้ ไม่ผิดจากที่ข้าพูดเลย โชคดีที่พวกเขาสองแม่ลูกไม่เป็นอะไรร้ายแรง ไม่เช่นนั้นเจ้าคงเสียใจแย่” 


 


 


เมิ่งเชียนโยวเม้มริมฝีปาก ไม่โต้แย้งคำพูดของหมอ ถามหลี่ตุน “เห็นชัดหรือไม่ว่าเป็นใคร?” 


 


 


หลี่ตุนส่ายหน้า “พอข้าพ้นประตูเข้ามาก็ถูกตีหัสสลบ ยังไม่ทันได้เห็นหน้าตาของคนผู้นั้นเลย” 


 


 


เมิ่งเชียนโยวย่นหัวคิ้วขบคิด 


 


 


หมอถอนหายใจอีกครั้ง พูดโน้มน้าวใจไกล่เกลี่ยเรื่องราว “ไม่ว่าเป็นใคร เมื่อขโมยของไปแล้วก็ให้แล้วไปเถอะ อย่างไรแม่เฒ่าหลี่ตุนก็ไม่ได้ใช้ แม่นางก็มิได้ขาดแคลนโสมคนต้นนี้ เรื่องนี้ให้จบเท่านี้เถอะ” 


 


 


เมิ่งเชียนโยวย้อนถามอย่างตกใจ “เรื่องนี้จะให้จบเท่านี้หรือ?” 


 


 


หมอตอบ “ไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้? หลี่ตุนเองก็ไม่เห็นหน้าคนที่มาขโมยโสมคน คิดจะตามหาเขาก็ยากแล้ว ต่อให้แจ้งความ ทางการก็คงไม่มาสนใจช่วยพวกเจ้า หรือพูดในอีกแง่หนึ่ง ต่อให้จับตัวคนที่มาขโมยโสมคนได้ก็แล้วอย่างไร หากไม่ได้รับโทษรุนแรง สักวันเขาจะต้องกลับมาอีก หลี่ตุนเองก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน มีเพียงแม่เฒ่าหลี่ตุนอยู่คนเดียวลำพัง หากมีคนคิดฉวยโอกาสแก้แค้น เกรงว่าต่อไปแม่เฒ่าหลี่ตุนคงไม่อาจอยู่อย่างสงบสุขได้อีก ดังนั้นข้าคิดว่า เรื่องนี้ให้จบเท่านี้เถอะ อย่างไรพวกเขาแม่ลูกก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก พักฟื้นตัวสักระยะหนึ่งก็พอแล้ว” 


 


 


หลี่ตุนเองก็คิดเช่นนี้ ได้ยินคำพูดหมอก็หันมองไปที่เมิ่งเชียนโยว หวังว่านางจะไม่สืบสาวราวเรื่องนี้อีก 


 


 


เมิ่งเชียนโยวหน้าเปลี่ยนสี ถามหลี่ตุน “เจ้าก็คิดเช่นนี้หรือ?” 


 


 


หลี่ตุนเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของนาง ตกใจจนไม่กล้าพูด 


 


 


เมิ่งเชียนโยวมองหน้าหมอ พูดว่า “ท่านคงจะยังไม่รู้จักข้าดี ข้าเป็นคนที่แม้เป็นความแค้นเล็กน้อยก็ต้องชำระ เมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะข้า ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้เรื่องนี้จบลงง่ายๆ ส่วนเรื่องราวต่อจากนั้น ข้าจะจัดการเอง” 


 


 


หมอส่ายหน้า พูดเกลี้ยกล่อมอีก “แม่นางน้อย เจ้าอย่าได้ใช้แต่อารมณ์ ต่อให้เจ้าหาคนที่ขโมยโสมคนพบ เจ้าจะไปทำอะไรเขาได้ อย่างมากก็ส่งตัวให้ทางการโบยไม่กี่ไม้ พักฟื้นไม่กี่วันก็หายแล้ว พอเขาร่างกายฟื้นคืน จักต้องเข้ามาหาเรื่องดังเดิม ถึงตอนนั้นเจ้าจะให้หญิงชราอย่างแม่เฒ่าหลี่ตุนรับมืออย่างไร?” 


 


 


เมิ่งเชียนโยวฟังออกถึงความหมายแฝง ถามขึ้น “จากความนัยแฝงของท่าน ท่านรู้ว่าใครเป็นขโมยโสมคน?” 


 


 


หมอสะท้อนสายตาเลิ่กลั่ก โบกมือพูด “เรื่องนี้ข้าไม่รู้ ข้าเพียงว่าไปตามเนื้อผ้า เกลี้ยกล่อมแม่นางก็เท่านั้น” 


 


 


เมิ่งเชียนโยวส่ายหน้า น้ำเสียงเด็ดขาด “ขอบคุณในคำเตือนของท่าน เรื่องนี้ข้าจะตัดสินใจเอง” 


 


 


หมอถอนหายใจ ส่ายหน้าหงุด พูดงึมงำกับตัวเอง “วัยเยาว์เลือดร้อน ทำไปก็ไม่มีประโยชน์” 


 


 


เมิ่งเชียนโยวทำเป็นไม่ได้ยิน ตอนที่กำลังจะให้สะใภ้จู่อู่ตามเหวินเปียวเข้ามานั้น แม่เฒ่าหลี่ตุนก็รู้สึกตัว ค่อยๆ ลืมตาขึ้น 


 


 


หลี่ตุนดีใจถลาไปข้างเตียง “ท่านแม่ ท่านฟื้นแล้ว” 


 


 


แม่เฒ่าหลี่ตุนกลิ้งกลอกนัยน์ตาขุ่นมัว กวาดมองคนในห้องหนึ่งรอบ สุดท้ายมาหยุดยังศีรษะที่มีผ้าพันไว้ของหลี่ตุน ถามอย่างห่วงใย “ตุนเอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นอะไรนะ?” 


 


 


หลี่ตุนส่ายหน้า “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไร ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” 


 


 


แม่เฒ่าหลี่ตุนยื่นมือแห้งกร้านลูบคลำศีรษะตนเอง “แม่ไม่เป็นไร แค่มึนหัวเล็กน้อย” 


 


 


“ยื่นมือมา ข้าจะจับชีพจรให้” หมอได้ฟังก็รีบพูด 


 


 


แม่เฒ่าหลี่ตุนยื่นมือออกไป หมอวางมือจับชีพจรให้นางอย่างละเอียด แล้วพูดว่า “นอกจากร่างกายอ่อนแรงแล้ว ไม่มีอะไรร้ายแรง คงเพราะศีรษะกระแทกกับขอบโต๊ะแรงเกินไป พักไม่กี่วันก็จะหายดี” 


 


 


แม่เฒ่าหลี่ตุนพยักหน้าแผ่ว ช้อนตามองเมิ่งเชียนโยว พูดตำหนิโทษตัวเอง “ขอโทษด้วย นายหญิง ข้าขวางไว้ไม่ได้ โสมคนที่ท่านให้ไว้ถูกคนขโมยไปแล้ว เรื่องนี้ข้าผิดเอง ท่านอย่าได้คาดโทษตุนเอ๋อร์เลย” 


 


 


เมิ่งเชียนโยวพูดปลอบใจเสียงละมุน “โสมคนราคาไม่กี่มากน้อย ท่านอย่าได้เอามาใส่ใจ ขอเพียงท่านไม่เป็นอะไรก็พอ” 


 


 


แม่เฒ่าหลี่ตุนตำหนิตัวเองเสียงเบา “หากไม่เพราะข้าร่างกายอ่อนแอ ถูกเขาผลักทีเดียวก็ทรุดฮวบ หมดสติไป ต่อให้ข้าต้องแลกด้วยชีวิตก็จะต้องแย่งโสมคนกลับมาให้ได้” 


 


 


เมิ่งเชียนโยวหยั่งเชิงถาม “ท่านเห็นชัดหรือไม่ว่าใครขโมยโสมคนไป?” 


 


 


หมอกระแอมหนึ่งครั้ง บอกเป็นนัยไม่ให้แม่เฒ่าหลี่ตุนพูดอะไรออกมา 


 


 


แม่เฒ่าหลี่ตุนเพิ่งจะฟื้น เห็นหลี่ตุนโพกผ้าพันศีรษะ รู้ว่าเขาจะต้องถูกหัวขโมยทำร้ายบาดเจ็บ โกรธแค้นเคืองขุ่น ไม่ได้สนใจคำเตือนของหมอ พูดว่า “ตอนนั้นข้างัวเงียได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวในห้อง นึกว่าตุนเอ๋อร์มาเฝ้าข้ายังไม่ไปนอน ข้าลืมตาขึ้น คิดจะพูดให้เขาไปพักผ่อน กลับเห็นเงาร่างหนึ่งกำลังค้น**บบนหัวนอนข้า ข้าตวาดถามว่าเขาเป็นใคร? ไม่คิดว่าเขาจะมองข้ากลับอย่างไม่สะทกสะท้าน ตะคอกข้าว่า “หากไม่อยากเป็นอะไร ก็จงหลับตาทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไร พูดจบก็หยิบกล่องออกมาจากใน**บ คิดจะเดินจากไป ข้าไหนเลยจะยอม ลุกขึ้นหมายจะสกัดเขา ไม่คิดว่าแค่เขาสะบัดมือ ข้าก็ไปชนเขากับขอบโต๊ะหมดสติไป ทว่า ข้าฟังเสียงเขาออก น่าจะเป็น…” 


 


 


หมอร้องกระแอมเสียงลั่น ตัดบทสิ่งที่แม่เฒ่าหลี่ตุนกำลังจะพูด 


 


 


เมิ่งเชียนโยวรู้ว่าหมอคิดแทนแม่เฒ่าหลี่ตุน ไม่ขุ่นเคือง ยิ้มถาม “ท่านเป็นอะไรอีกแล้ว ให้ข้าช่วยดูให้ท่านดีหรือไม่?” 


 


 


หมอโบกมือ แล้วกระแอมอีกหลายครั้งถึงพูดว่า “ข้าไม่ทันระวัง สำลักน้ำลายตัวเอง มิได้เป็นอะไร” พูดจบ ฉวยโอกาสส่งสายตาให้แม่เฒ่าหลี่ตุน 


 


 


แม่เฒ่าหลี่ตุนเห็นเขาส่งสายตาให้ กลับไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร นอนงงอยู่บนเตียง 


 


 


เมิ่งเชียนโยวเปิดโปงเขา “ท่านไม่ต้องขัดขวางแล้ว เรื่องที่ข้าคิดจะทำยังไม่เคยมีใครขวางได้มาก่อน” 


 


 


หมอหน้าแดงเรื่อ กระแอมกลบเกลื่อนอีกสองสามครั้ง 


 


 


เมิ่งเชียนโยวหันไปถามแม่เฒ่าหลี่ตุน “ท่านฟังออกว่าเขาเป็นใคร?” 


 


 


แม่เฒ่าหลี่ตุนฟังอย่างงุนงงสับสน ไม่รู้เลยว่าพวกเขาพูดเรื่องอะไรกัน ครั้นเมิ่งเชียนโยวถามนาง ไม่แม้แต่จะคิดก็ตอบกลับว่า “เป็นเอ้อซุ่นไม่ผิดแน่” 


 


 


ครั้งนี้หมอสำลักจริงๆ แล้ว กระแอมไอไม่หยุด 


 


 


หลี่ตุนกลับตะลึงค้างอยู่ตรงนั้น 


 


 


เมิ่งเชียนโยวขมวดคิ้วมุ่น ถามหลี่ตุน “เอ้อซุ่น คนที่เข้ามาเยี่ยมแม่เจ้าเมื่อวาน?” 


 


 


หลี่ตุนพยักหน้า ถามมารดาตนเองอย่างไม่เชื่อ “ท่านแม่ ท่านมิได้หูฝาดนะ? จะเป็นพี่เอ้อซุ่นได้อย่างไร? แม้ช่วงเวลานี้พวกเราจะไม่ได้ไปมาหาสู่กัน แต่เมื่อก่อนพวกเราคบหากันดี เขาจะกล้าลงมือได้อย่างไร?” 


 


 


ในอดีตหลี่ตุนไม่ทำการทำงาน คบแต่เพื่อนอันธพาลเกเร แม่เฒ่าหลี่ตุนเกลียดเข้ากระดูก เคยก่นด่าพวกคนเกเรที่ชอบมาสุงสิงกับเขา ย่อมคุ้นเคยกับคนพวกนั้นเป็นอย่างดี ได้ยินหลี่ตุนถาม ก็ตอบได้อย่างเด็ดขาด “ไม่ผิดแน่นอน ข้าจำน้ำเสียงเขาได้ติดหู ยังมีรูปร่างของเขา แม้แม่จะอายุมากแล้ว แต่ยังไม่ถึงขั้นหูตาฝ้าฟาง แยกแยะคนไม่ได้” 


 


 


หมอเห็นว่าแม่เฒ่าหลี่ตุนพูดออกมาจนหมด ตนเองห้ามไปก็ไม่มีประโยชน์ ได้แต่นั่งถอนหายใจ 


 


 


เมิ่งเชียนโยวมองเขาแวบหนึ่ง ยิ้มถาม “ท่านเอาแต่หวาดกลัวเพราะรู้แต่แรกแล้วว่าเป็นเขาสินะ” 


 


 


หมอถอนหายใจอีกครั้ง พูดว่า “ดังนั้นข้าถึงได้คอยเตือนแม่นางอย่าได้สืบสาวเอาความอีก ครอบครัวเอ้อซุ่นมีพี่น้องผู้ชายสี่คน ไม่ว่าใครก็ไม่ควรมีเรื่องด้วย ปกติคนในหมู่บ้านเห็นพวกเขาจะต้องหลบให้พ้นทาง หากเจ้ายังดึงรั้นจะเอาความไม่เลิก ไม่ว่าพวกเขาได้รับบทลงโทษอย่างไร เกรงว่าพี่น้องอีกสามคนไม่มีทางยอมรามือง่ายๆ ครอบครัวหลี่ตุนก็จะไม่มีวันได้อยู่อย่างสงบสุข” 


 


 


เมิ่งเชียนโยวยิ้มพูด “ท่านคงยังไม่รู้ว่าข้ามีงานอดิเรกหนึ่ง คือการรักษาอาการไม่ยอมแพ้ชนิดนี้โดยเฉพาะ ท่านวางใจ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้คือความล้มเหลวของคนรุ่นเก่าที่จะเป็นบทเรียนให้คนรุ่นหลัง ครั้งนี้ข้าจักขจัดภัยซ่อนเร้นในภายหลังทั้งหมดเอง ไม่ว่าใครก็จะไม่กล้าลงมืออีก” 


 


 


หมอมองเมิ่งเชียนโยว แม้นางจะยกยิ้มหวานพูด แต่รอบกายกลับอบอวลไปด้วยกลิ่นอายเย็นเยียบ ราวกับว่าขอเพียงเป็นคนที่ทำผิดต่อนางล้วนไม่มีจุดจบที่ดี ให้เกิดความเชื่อมั่นขึ้นหลายส่วน พูดว่า “หวังว่าแม่นางจะพูดได้ทำได้” 


 


 


เมิ่งเชียนโยวพยักหน้า หันหลังเดินไปหน้าประตูร้องเรียกเหวินเปียว “เจ้ารีบกลับไปที่บ้านเรียกเหวินหู่และพวกอู๋ต้าเข้ามา บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะให้พวกเขาทำ อีกอย่าง ให้เหวินเป้าขี่ม้าเร็วเข้าไปแจ้งความที่ศาลาว่าการตำบล ไปถึงให้เอ่ยชื่อข้า บอกว่าข้าทำสิ่งของสูงค่าสูญหาย ให้ท่านผู้ว่าการส่งคนเข้ามา” 


 


 


เหวินเปียวขานรับคำ บังคับรถม้าจากไปโดยเร็ว 


 


 


คนในลานบ้านได้ยินคำสั่งของนาง ต่างก็อยากดูเรื่องสนุก ไม่มีใครแยกย้ายจากไป คนที่เข้ามามุงดูกลับยิ่งมากขึ้น 


 


 


สองแม่ลูกหลี่ตุนไม่เป็นอะไรแล้ว เดิมหมอควรจะเก็บกระเป๋ายากลับไป แต่ครั้นได้ยินคำสั่งของเมิ่งเชียนโยว ก็ให้สนใจใคร่รู้ว่านางจะจัดการอย่างไรกันแน่ จึงนั่งบนเก้าอี้เตี้ยไม่ขยับไปไหน 


 


 


แม่เฒ่าหลี่ตุนได้ยินนางสนทนากับหมอ ถึงเข้าใจความหมายที่หมอส่งสายตาให้ตนเองเมื่อครู่ พลันเต็มแน่นไปด้วยความกลัดกลุ้มและกระวนกระวายใจ 


 


 


หลี่ตุนเข้าใจนิสัยของเมิ่งเชียนโยวดี รู้ว่านางจะต้องไม่ให้เอ้อซุ่นได้เป็นสุข ก็ให้สะใจถึงขีดสุด ลืมเรื่องที่ตนเองเพิ่งจะเป็นกังวลไปสิ้น 


 


 


แต่ละคนมีความคิดแตกต่างกันไป มีเพียงเมิ่งเชียนโยวที่นั่งบนเก้าอี้เตี้ยด้วยอารมณ์สงบนิ่ง รอเหวินเปียวตามคนเข้ามา 


 


 


เหวินเปียวกลับไปถ่ายทอดความ เหวินหู่และอู๋ต้าเบียดกันนั่งบนคานรถด้านหน้า พวกซุนเอ้อสี่คนเบียดกันอยู่ท้ายรถ ตามติดรถม้าไป  

 

 


ตอนที่ 216-2 รุมสกรัมหัวโจกหมู่บ้าน

 

เหวินเปียวและเหวินหู่เคยเป็นผู้คุ้มภัย แม้ตอนนี้จะเป็นบ่าว จิตวิญญาณภายในก็มิได้เปลี่ยน ยังคงจัดการเรื่องได้อย่างแน่วแน่เด็ดขาด พวกอู๋ต้าห้าคนก็เช่นกัน เดิมทีเป็นผู้ช่วยเศรษฐีอู๋ร้องเอ็ดตะโร หาเรื่องรังแกคน ดังนั้นพอได้ยินเมิ่งเชียนโยวบอกว่ามีเรื่องจะให้พวกเขาทำ ดวงตาก็เปล่งประกายวาววับ


 


 


พอมาถึงหน้าประตูบ้านหลี่ตุน ไม่รอให้เหวินเปียวจอดรถม้าสนิท คนทั้งหมดก็กระโดดลงมาจากรถม้า ก้าวฉับๆ เข้ามาในลานบ้าน


 


 


กลุ่มคนที่มารอดูเรื่องสนุกในลานบ้านเห็นท่าทีดุดันของพวกเขา ต่างก็หลบลี้แยกออกเป็นทางให้พวกเขาเดิน ทั้งห้าคนเดินมาหน้าประตู ไม่ได้เข้าไปในบ้าน กล่าวด้วยความอ่อนน้อมอย่างพร้อมเพรียงหน้าประตู “นายหญิง พวกเรามาแล้ว”


 


 


เมิ่งเชียนโยวลุกขึ้น ออกคำสั่งหลี่ตุน “เจ้าตามข้าออกมา”


 


 


หลี่ตุนลุกพรวด เดินตามหลังนางออกไป


 


 


เหวินหู่ก็มาถึงหน้าประตูแล้ว เมิ่งเชียนโยวสั่งการเขา “เจ้าพาพวกอู๋ต้า ตามหลี่ตุนไปจับตัวเอ้อซุ่นมา หากมีคนกล้าขวางพวกเจ้า ก็ให้จับมาพร้อมกัน”


 


 


เหวินหู่ไม่ถามความอื่น พาคนทั้งหมดตามหลี่ตุนไปบ้านเอ้อซุ่นอย่างอุกอาจดุดัน


 


 


เมื่อคืนหลังจากเอ้อซุ่นขโมยโสมคนกลับมาบ้าน ถือโสมคนนั่งเพ่งพินิจอยู่ใต้แสงตะเกียงเป็นนาน คิดว่าพรุ่งนี้พอฟ้าสาง ตนเองจะได้นำมันไปร้านยาแลกเป็นเงินได้หลายร้อยตำลึง ตื่นเต้นดีใจจนนอนไม่หลับ กระทั่งฟ้าใกล้สาง ถึงงัวเงียหลับไป กระทั่งเหวินหู่พาคนมาถึงหน้าประตูบ้านเขาก็ยังไม่ตื่น


 


 


พวกเหวินหู่มาถึงบ้านเอ้อซุ่นแล้ว สะใภ้เอ้อซุ่นกำลังเลี้ยงไก่อยู่ในลานบ้าน เห็นพวกเขาเดินเข้ามาอย่างอุกอาจดุดัน ถามอย่างหวาดผวา “พวกเจ้ามาหาใคร?”


 


 


หลี่ตุนเดินขึ้นหน้า ถามขึ้น “อาซ้อ พี่เอ้อซุ่นอยู่บ้านหรือไม่?”


 


 


เมื่อวานเอ้อซุ่นออกไปขโมยโสมคนกลับมา สะใภ้เอ้อซุ่นรู้เรื่องดี เห็นหลี่ตุนโพกผ้าพันศีรษะมา แววตาล่อกแล่ก พูดโกหก “พี่เอ้อซุ่นเจ้าหลังจากออกไปตั้งแต่เมื่อคืน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา ข้ากำลังจะไปตามหาเขาพอดี”


 


 


ตอนอยู่ในเมืองพวกอู๋ต้ามิได้ใช้ชีวิตไปวันๆ เห็นปฏิกิริยาของสะใภ้เอ้อซุ่นก็รู้ทันทีว่านางโกหก ไม่พูดพร่ำทำเพลง ยกเท้าก้าวล้ำเข้าไปในบ้านพลัน


 


 


สะใภ้เอ้อซุ่นตกใจร้องลั่น “พวกเจ้าจะทำอะไร? เอ้อซุ่นไม่อยู่ในบ้านจริงๆ”


 


 


เสียงร้องลั่นทำเอาเอ้อซุ่นตกใจตื่น มองจากหน้าต่างเห็นชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งกำลังบุกเข้ามาในบ้าน ภายใต้ความลนลาน หมายจะซุกตัวมุดเข้าไปซ่อนในตู้ แต่พวกอู๋ต้าเร็วกว่า เพียงไม่กี่ก้าวก็เดินเข้ามาถึงในห้อง เห็นคนกำลังมุดเข้าไปในตู้ อู๋ต้าก้าวขึ้นหน้าหนึ่งก้าว คว้าตัวเขาได้ก็ลากออกมา ถามหลี่ตุน “ใช่เขาหรือไม่?”


 


 


หลี่ตุนพยักหน้า “ใช่เขา”


 


 


อู๋ต้ากระชากเอ้อซุ่นออกไปข้างนอก


 


 


ปกติเอ้อซุ่นเป็นคนยโสโอหัง กับใครก็กล้าลงมือ เมื่อครู่เพิ่งจะตื่น ยังไม่ทันได้สติ ลืมตัวจึงเข้าไปหลบในตู้ ตอนนี้ถูกอู๋ต้าฉุดกระชากลากถู สติสัมปชัญญะครบถ้วนแล้ว โทสะประทุ ก้มศีรษะสะบัดตัวหลุดจากมืออู๋ต้า แล้วชกเข้าที่ท้องอู๋ต้าเต็มแรง


 


 


อู๋ต้าไม่คาดคิดว่าเอ้อซุ่นจะขัดขืน พลังเผลอประมาท ถูกกำปั้นของเอ้อซุ่นซัดเข้าที่ท้อง เจ็บจนร้อง “ซี้ด” กุมท้องตัวงองุด


 


 


เอ้อซุ่นฉวยโอกาสนี้ยืนอย่างมั่นคง มองคนทั้งหมดอย่างดูแคลน พูดด้วยความอหังการ “บุกรุกบ้านคนอื่นกลางวันแสกๆ ไม่สืบถามก่อนว่าข้าเป็นใคร ดูพวกเจ้าคงเบื่อจะมีชีวิตแล้ว”


 


 


ซุนเอ้อเห็นอู๋ต้าถูกอัด รีบเข้าไปพยุงเขา


 


 


หลี่ลิ่วได้ยินวาจาสามหาวของเขา สบถหนึ่งคำ แล้วพูดอย่างดูแคลนเช่นกัน “เจ้าหนู ตอนที่ปู่หากินในเมือง ไม่รู้ว่าเจ้ายังเป็นวุ้นอยู่ที่ไหนเลย ตอนนี้เจ้ากล้าอัดพี่ใหญ่ข้า เจ้านะสิที่เบื่อจะมีชีวิตแล้ว”


 


 


พูดจบก็ถีบเอ้อซุ่นเต็มรัก


 


 


ช่วงเวลานี้พวกหลี่ลิ่วเข้าฝึกซ้อมกับเหวินหู่ทุกวัน แรงเท้าย่อมเต็มล้น พอเตะออกไป เอ้อซุ่นไม่ทันหลบหลีก ถูกถีบจนก้าวถอยไปหลายก้าว ชนโต๊ะในบ้านส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังลั่น ไม่รอให้เขายืนนิ่ง หลี่ลิ่วเร่งฝีเท้าเข้าไปหวดกำปั้นใส่ใบหน้าเขา เลือดสดๆ ไหลออกจากจมูกเอ้อซุ่นพลัน


 


 


เอ้อซุ่นรู้สึกภาพตรงหน้ามืดดำ สะบัดศีรษะ ไม่รอให้เขาได้สติกลับมา หลี่ลิ่วกระชากเสื้อเขา ลากออกมานอกบ้าน


 


 


สะใภ้เอ้อซุ่นเห็นเอ้อซุ่นมีเลือดไหลเต็มหน้า กรีดร้องเสียงหลง “ใครก็ได้ เอ้อซุ่นถูกคนซ้อมแย่แล้ว”


 


 


บ้านของพวกพี่น้องเอ้อซุ่นปลูกอยู่บริเวณใกล้เคียงกัน ได้ยินเสียงหวีดร้องปานจะขาดใจของสะใภ้เอ้อซุ่น พี่น้องทั้งหมดของเอ้อซุ่นต่างพรวดพราดวิ่งออกมา เห็นเอ้อซุ่นใบหน้าเกรอะกรังไปด้วยเลือดถูกชายคนหนึ่งฉุดกระชากออกมาก็ให้เดือดดาล ต้าซุ่นร้องคำรามเสียงลั่น “ใครหน้าไหนมันบังอาจ กล้าทำเช่นนี้กับน้องชายข้า ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่?”


 


 


เหวินหู่เป็นผู้คุ้มภัยมาหลายปี ติดนิสัยเจรจาก่อนถึงใช้กำลัง ได้ฟังเช่นนั้นก็กำมือประสานพูดว่า “นายหญิงของพวกเรามีธุระต้องการเจรจากับเขา เขาไม่ให้ความร่วมมือ พวกเราจำเป็นต้องลงมือ ขอทุกท่านอย่าได้กีดขวาง”


 


 


ต้าซุ่นสบถ “ถุย” พูดว่า “นายหญิงของพวกเจ้ายิ่งใหญ่มาจากไหน ต้องการจะเจรจากับน้องชายข้า น้องชายข้าก็ต้องไป? ข้าขอบอกพวกเจ้า ให้ปล่อยน้องชายข้าก่อน แล้วชดใช้เงินมาจนพวกเราพอใจ เรื่องนี้จะถือว่าแล้วกันไป ไม่เช่นนั้น วันนี้พวกเจ้าได้ถูกหามออกไปทั้งหมดแน่”


 


 


หลี่ตุนเดินขึ้นหน้า ก้มหน้าโค้งคำนับพูดกับต้าซุ่นด้วยความเคยชิน “พี่ต้าซุ่น เมื่อคืนวานพี่เอ้อซุ่นเข้าไปขโมยโสมคนที่นายหญิงของพวกเราให้มารักษาแม่ข้า นายหญิงของพวกเราโกรธมาก ให้คนมาจับเขาไปเค้นถาม พวกท่านอย่าได้ขัดขวางเลย”


 


 


ต้าซุ่นเห็นเป็นหลี่ตุน ก็ทำหน้าดูแคลน “เลิกเอานายหญิงของพวกเจ้ามาข่มข้าได้แล้ว แค่นางรับคนเยี่ยงเจ้าไปเลี้ยงดู นางก็คงไม่ได้ดีเด่สักเท่าใด”


 


 


พวกอู๋ต้าเลื่อมใสนับถือเมิ่งเชียนโยวจากหัวใจแล้ว ได้ยินวาจาดูแคลนของต้าซุ่น โมโหเกรี้ยวกราด พูดว่า “หากยังกล้าพูดไม่ดีกับนายหญิงของพวกเรา พวกเราจะอัดให้เจ้าฟันร่วงหมดปากเดี๋ยวนี้”


 


 


ต้าซุ่นก็โกรธเกรี้ยวแข็งกร้าว “พวกเจ้าเข้ามาทำร้ายน้องชายข้าถึงบ้าน พวกเรายังไม่ได้คิดบัญชีกับพวกเจ้า พวกเจ้ายังกล้าโอหังอวดดี หากไม่จัดการพวกเจ้าบ้าง พวกเจ้าคงไม่รู้เป็นแน่แท้ว่าพวกเราพี่น้องโหดร้ายเพียงใด” พูดจบหันไปพูดกับน้องชายทั้งสองของตัวเอง “ไปเอาอาวุธมา อัดพวกมันจนกว่าจะร้องขอชีวิต”


 


 


ดูท่าปกติพวกเขาพี่น้องจะทำเรื่องเช่นนี้อยู่เป็นนิจ สิ้นเสียงต้าซุ่น พี่น้องอีกสองคนก็วิ่งไปหยิบไม้หน้าสามสามอันจากมุมหนึ่งในลานบ้านออกมา เดินมายืนข้างต้าซุ่น ส่งให้เขาหนึ่งอัน


 


 


พอมีไม้หน้าสาม ต้าซุ่นยิ่งทวีความเหิมเกริมโอหัง “ตอนนี้พวกเจ้าจะร้องขอชีวิตก็ยังทัน ขอเพียงชดใช้เงินให้พวกเรา เรื่องนี้จะถือว่าเจ๊ากันไป”


 


 


ตอนนี้พวกอู๋ต้าพอจะมีวรยุทธ์ติดตัว ยิ่งไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ได้ฟังก็พูดว่า “อยากให้พวกเราร้องขอชีวิต ฝันไปเถอะ”


 


 


ต้าซุ่นร้องคำรามลั่น “ลุย!” แล้วกวัดแกว่งไม้หน้าสามพุ่งเข้าหาพวกเขา


 


 


หลี่ลิ่วคว้าคอเสื้อเอ้อซุ่นมายืนเบื้องหน้าคนทั้งหมด เห็นต้าซุ่นเข้ามาก็ไม่หลบหลีก รอกระทั่งเขาเข้ามาใกล้ ถึงดึงเอ้อซุ่นมาบังหน้าตัวเอง


 


 


ต้าซุ่นเก็บมือไม่ทัน ไม้หน้าสามฟาดเข้าใส่หน้าผากเอ้อซุ่น เลือดแดงสดไหลออกมาจากหน้าผากเอ้อซุ่นทันควัน


 


 


สะใภ้เอ้อซุ่นตกใจกรีดร้องลั่น


 


 


ต้าซุ่นเห็นตัวเองตีพลาดไปโดนเอ้อซุ่น โมโหเดือดดาล ยกไม้หน้าสามขึ้นอีกครั้งฟาดเข้าใส่หลี่ลิ่วเต็มเหนี่ยว


 


 


หลี่ลิ่วกลัวเอ้อซุ่นจะถูกตีตายเสียก่อน ไม่กล้าใช้เขาเป็นโล่กำบังอีก ปล่อยมือทิ้งเขากองกับพื้น วิ่งหนีหลบไม้หน้าสามที่เหวี่ยงเข้ามา


 


 


ซานซุ่นและซื่อซุ่นก็เลือดขึ้นหน้า แกว่งกวัดไม้หน้าสามในมือไม่หยุด


 


 


พวกอู๋ต้าหลบซ้ายหลบขวาอุตลุด น่าทุเรศทุรังนัก เหวินหู่เบี่ยงตัวหลบไม้หน้าสามที่เหวี่ยงเข้ามาของต้าซุ่นได้ ใช้มือตัวเองคว้าหมับแล้วกระชากเต็มแรง ต้าซุ่นถูกกระชากโซเซมาอยู่ตรงหน้าเขา เหวินหู่ฉวยโอกาสนี้ถีบเขาลอยกระเด็นไปไกล แล้วร่วงตกลงพื้น


 


 


ซานซุ่นซื่อซุ่นเห็นต้าซุ่นถูกถีบไปกองกับพื้น จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว อู๋ต้าและซุนเอ้อใช้โอกาสที่พวกเขาสองคนวอกแวก ถีบพวกเขาลอยกระเด็นออกไป


 


 


สามพี่น้องฟุบลงไปกองบนพื้นอย่างน่าสังเวชพร้อมกัน


 


 


หลี่ลิ่วปัดๆ มือ เข้าไปคว้าเอ้อซุ่นที่เลือดไหลนองจะเต็มหน้าแล้ว พูดกับสามพี่น้องซุน “วันนี้พวกเรามีธุระต้องทำ ต้องรีบไปรายงานนายหญิง ไม่มีเวลาว่างมาสนใจพวกเจ้า ไม่เช่นนั้นพวกเราทั้งหมดได้อัดพวกเจ้าให้ครึ่งปีก็ลุกจากเตียงไม่ไหวแน่”


 


 


เหวินหู่เห็นว่าหมดเรื่องแล้ว นำคนทั้งหมดออกไปข้างนอก


 


 


สะใภ้เอ้อซุ่นกรีดร้องกางแขนออกขวางหน้าพวกเขา “พวกเจ้าห้ามเอาตัวเอ้อซุ่นไป”


 


 


สะใภ้เอ้อซุ่นเป็นผู้หญิง เหวินหู่ไม่สะดวกลงมือ อู๋ต้ากลับไม่มีข้อห้ามนั้น โบกมือใหญ่หนา ลากสะใภ้เอ้อซุ่นไปอีกด้าน “ข้าขอเตือนเจ้าอย่าแส่หาเรื่อง ไม่เช่นนั้นแม้แต่เจ้าก็จะถูกอัดด้วย”


 


 


สะใภ้เอ้อซุ่นเห็นว่าขวางไว้ไม่อยู่ นั่งลงกับพื้นโวยวายคร่ำครวญเหมือนคนเสียสติ “ทุกคนมาดูพวกเขารังแกคนเร็ว เข้ามาจับคนไปอย่างไร้สาเหตุ ยังมาทำร้ายพวกเราทั้งครอบครัวอีก”


 


 


คนในหมู่บ้านได้ยินเสียงโวยวายก็ล้อมวงเข้ามาชี้มือชี้ไม้ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แล้วชี้พวกเหวินหู่กระซิบกระซาบเซ็งแซ่


 


 


หลี่ลิ่วหัวไว พอได้ยินสะใภ้เอ้อซุ่นพูดเช่นนี้ก็นึกได้ว่าต้องเอาโสมคนกลับไปด้วย หันไปพูดกับโจวอู่ “นางไม่พูดข้าเกือบลืมไปแล้ว พวกเราควรจะนำโสมคนกลับไปด้วยใช่หรือไม่”


 


 


โจวอู่ก็คิดได้เช่นกัน พยักหน้ารับคำ เข้าไปในบ้านพร้อมจางซาน


 


 


สะใภ้เอ้อซุ่นรีบลุกพรวด วิ่งกระวีกระวานเข้าไปในบ้าน ปากร้องลนลาน “พวกเจ้าห้ามรื้อค้นบ้านข้านะ”


 


 


โจวอู่หันหลังยืนขวางหน้าประตู กั้นไม่ให้สะใภ้เอ้อซุ่นเข้าไป จางซานเดินเข้าไปควานหาทุกซอกทุกมุม


 


 


อาจเพราะเอ้อซุ่นดีใจมากเกินไป หรือเพราะง่วงผลอยหลับไป โสมคนกล่องนั้นจึงวางอยู่บนเตียง


 


 


จางซานเห็นในแวบแรกทันที หยิบได้ก็เดินออกมา


 


 


สะใภ้เอ้อซุ่นเห็นดังนั้นก็คว้าขาของโจวอู่ไว้แน่น ให้ตายก็ไม่ยอมปล่อย พูดว่า “นั่นเป็นของของครอบครัวเรา พวกเจ้าห้ามเอาไป”


 


 


โจวอู่สะบัดออกหลายครั้ง ก็สลัดไม่หลุด มองไปที่พวกอู๋ต้าอย่างจนใจ


 


 


อู๋ต้าหันไปสบตากับซุนเอ้อ เข้าไปแกะมือสะใภ้เอ้อซุ่นที่กอดขาโจวอู่ไม่ปล่อยออก


 


 


โจวอู่ได้รับอิสระ ถอนใจโล่งอก


 


 


สะใภ้เอ้อซุ่นมองคนทั้งหมดอย่างเคืองแค้น ดิ้นรนไม่ยอม ทำท่าทางหากเขาสองคนปล่อยมือนางก็จะเข้าสู้อย่างสุดชีวิต


 


 


เหวินหู่ตัดบทพูดกับทั้งสองคน “พาไปทั้งหมด”


 


 


อู๋ต้าและซุนเอ้อพยักหน้า แบกสะใภ้เอ้อซุ่นเดินออกไป หลี่ลิ่วฉุดกระชากเอ้อซุ่นตามไล่หลัง


 


 


สามพี่น้องซุนกองพับไปกับพื้นอย่างน่าสังเวช หันหน้ามองกันและกัน ต้าซุ่นสั่งซานซุ่น “เจ้าไปเรียกท่านพ่อท่านแม่ไปบ้านหลี่ตุน ข้ากับน้องสี่จะตามไปดูก่อน”


 


 


ซานซุ่นพยักหน้า ลุกขึ้นอย่างยากเค็ญ ออกไปตามบิดามารดาตัวเอง


 


 


ต้าซุ่นและซื่อซุ่นช่วยกันประคองกันและกันลุกขึ้น เดินกระโผลกกระเผลกไปบ้านหลี่ตุน


 


 


คนทั้งหมดออกไปนานแล้วกลับยังไม่กลับมา กลุ่มคนที่รอดูเรื่องสนุกในลานบ้านต่างสุ่มหัวซุบซิบ พูดไปต่างๆ นานา แต่ล้วนเป็นการคาดเดาว่าพวกเหวินหู่คงเจอเข้ากับเรื่องยุ่งยาก คงจะถูกพวกพี่น้องเอ้อซุ่นซ้อมจนกลับมาไม่ไหว


 


 


หมอมักจะมาตรวจโรคในหมู่บ้านละแวกนี้ รู้กิตติศัพท์ความเ**้ยมโหดของพี่น้องเอ้อซุ่นเป็นอย่างดี ได้ยินเสียงวิพากษ์ของกลุ่มคน อดเป็นห่วงแทนพวกเหวินหู่ไม่ได้ แม่เฒ่าหลี่ตุนยิ่งไม่ต้องพูดถึง หลังจากที่คนทั้งหมดจากไปก็เอาแต่กระสับกระส่าย มีแต่เมิ่งเชียนโยวที่นั่งบนเก้าอี้เตี้ยผุพังด้วยอารมณ์สงบนิ่ง


 


 


หมอเห็นนางไม่ร้อนรนเลยแม้แต่น้อย หยั่งเชิงถามขึ้น “พี่น้องเอ้อซุ่นขึ้นชื่อเรื่องเป็นอันธพาลชอบชกต่อย แม่นางไม่กลัวคนของเจ้าไปถึงจะรับมือพวกเขาไม่ไหวหรือ?”


 


 


เมิ่งเชียนโยวยิ้มอ่อน “หากเรื่องเพียงเท่านี้พวกเขายังจัดการไม่ได้ ต่อไปก็ไม่ต้องติดตามข้าอีก”


 


 


ตอนที่กลุ่มคนกำลังคาดเดาไปต่างๆ นานานั้น เหวินหู่ก็นำพวกอู๋ต้าพาตัวสองสามีเอ้อซุ่นเข้ามา


 


 


กลุ่มคนเห็นเอ้อซุ่นใบหน้าโชกเลือด เกือบจะไม่เหลือเค้าเดิม ต่างสูดลมหายใจเข้าปากพร้อมกัน ให้รู้สึกครามครันเมิ่งเชียนโยวเพิ่มขึ้นหลายส่วน


 


 


พวกเขาทั้งหมดยืนนิ่งกลางลานบ้าน เหวินหู่เปล่งเสียงดังพูดอย่างนอบน้อม “นายหญิง พวกเราพาตัวคนมาแล้ว โสมคนก็หาเจอแล้ว” 

 

 


ตอนที่ 216-3 รุมสกรัมหัวโจกหมู่บ้าน

 

เมิ่งเชียนโยวและหมอลุกขึ้นพร้อมกัน เดินออกมาด้านนอก


 


 


แม่เฒ่าหลี่ตุนก็กระเสือกกระสนลุกขึ้นนั่ง มองดูเหตุการณ์ผ่านทางหน้าต่าง


 


 


หมอเห็นสภาพทุเรศทุรังของเอ้อซุ่นก็ให้ตกใจสะดุ้ง พูดติดอ่าง “นี่ นี่ นี่…”


 


 


เมิ่งเชียนโยวทำราวกับมองไม่เห็นเลือดแดงสดบนใบหน้าเอ้อซุ่น ถามขึ้น “เอ้อซุ่น ได้ยินว่าเจ้าเป็นสหายรักของหลี่ตุน เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่านี่เป็นโสมคนช่วยชีวิตของแม่เฒ่าหลี่ตุน? เจ้าไม่สนใจมิตรภาพของเพื่อน ขโมยโสมคนไป หนำซ้ำยังทำร้ายมารดาชราของเขา เจ้าบอกมาสิว่าข้าควรลงโทษเจ้าอย่างไร?”


 


 


เมื่อครู่เอ้อซุ่นถูกหลี่ลิ่วชกอัดเข้าใบหน้า ในตอนนี้ทั้งปากและใบหน้าล้วนปูดบวม เริ่มพูดจาอู้อี้ฟังไม่ชัดเจน แต่ก็ยังพอพยายามฟังเขาพูดให้เข้าใจได้บ้าง “ไม่ต้องมาพูดเรื่องมิตรภาพของเพื่อน ตั้งแต่ที่เขาขายตัวไปทำงานถาวรให้เจ้า ก็ค่อยๆ เหินห่างกับข้า ทุกครั้งที่ได้เงินกลับมาบ้าน กลับไม่เคยยอมเอามาให้พวกเราพี่น้องกินดื่ม และด้วยเหตุนี้ พอข้าได้ยินว่าแม่เขาป่วย ข้ายังจับไก่ตัวหนึ่งมาให้เขา ข้าไม่มีมิตรภาพของเพื่อนตรงไหน?”


 


 


“เมื่อเจ้ามีมิตรภาพต่อเพื่อนเช่นนี้ เช่นนั้นเหตุใดเจ้าต้องมาขโมยโสมคนที่เอาไว้ช่วยชีวิตแม่เฒ่าหลี่ตุน ทั้งทำร้ายพวกเขาด้วยเล่า?” เมิ่งเชียนโยวถาม


 


 


เอ้อซุ่นลืมตัวว่าใบหน้าตัวเองบาดเจ็บ ดึงมุมปากยกสูง เจ็บจนร้อง “ซี้ด” แล้วถึงพูดอู้ๆ อี้ๆ ว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือไร คนในหมู่บ้านพูดกับให้ทั่ว แม่เฒ่าหลี่ตุนใช้แค่รากของโสมคนก็เพียงพอแล้ว หาได้ต้องใช้โสมคนทั้งต้นไม่ พวกเขาเก็บไว้ก็ล่อตาล่อใจคนอื่น สู้ให้ข้าเอาไปแลกเป็นเงินมาใช้ ข้าคิดไว้หมดแล้ว พอขายได้เงินมาจะแบ่งให้พวกเขา ส่วนพวกเขาสองแม่ลูก ข้ามิได้ตั้งใจจะทำร้ายพวกเขา เป็นพวกเขาเองที่รนหาที่เอง”


 


 


เมิ่งเชียนโยวตบมือสองสามแปะ “ยังรู้จักว่าขายได้เงินจะเอามาแบ่งพวกเขาแม่ลูก ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ เจ้าตีหัวหลี่ตุนจนแตก ก็เป็นหลี่ตุนที่ยื่นหัวมาให้เจ้าตีเองสินะ อีกอย่าง โสมคนต้นนี้ข้ามอบให้หลี่ตุน แต่ตอนนี้กลับถูกเจ้าขโมยไป เจ้าได้คิดบ้างหรือไม่ว่าข้าจะลงโทษเจ้าอย่างไร?”


 


 


แม้เอ้อซุ่นจะถูกควบคุมตัว แต่ความโอหังกลับไม่ลดน้อยลง พูดข่มขู่เมิ่งเชียนโยว “เจ้ากล้า? นี่เป็นหมู่บ้านซุน เป็นถิ่นของข้า หากเจ้ากล้าลงโทษข้า เจ้าอย่าหวังจะได้ออกไปจากหมู่บ้านนี้”


 


 


เมิ่งเชียนโยวแสยะยิ้ม “เช่นนั้นข้าก็อยากเห็นว่า ใครกันที่กล้าขวางทางข้า?”


 


 


พูดจบ สั่งเหวินหู่ “เอาเขาไปแขวนใต้ต้นไม้หน้าประตู ให้เขาได้รู้ว่าข้ากล้าหรือไม่กล้า?”


 


 


เหวินหู่รับคำ หันหลังไปหยิบเชือกบนรถม้า


 


 


สะใภ้เอ้อซุ่นได้ยินว่าจะเอาเอ้อซุ่นไปแขวน ดิ้นรนกระเสือกกระสนจนหลุดจากการควบคุมของทั้งสอง เอาหัวโหม่งเข้ามาเมิ่งเชียนโยว แล้วร้องก่นด่า “นังตัวดีนังเศษสวะ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาแขวนเอ้อซุ่น?”


 


 


เห็นสะใภ้เอ้อซุ่นใกล้จะถึงตัวเมิ่งเชียนโยวแล้ว กลุ่มคนที่มาดูเรื่องสนุกต่างส่งเสียงร้องอื้ออึง


 


 


เมิ่งเชียนโยวเบี่ยงตัวหลบอย่างเบาสบาย สะใภ้เอ้อซุ่นเก็บคืนไม่ทัน ปล่อยร่างโงนเงนล้มคว่ำ ริมฝีปากกระแทกพื้น


 


 


อู๋ต้าและซุนเอ้อไม่ทันได้ระวัง ปล่อยให้สะใภ้เอ้อซุ่นดิ้นหลุดไปได้ เสียใจสำนึกผิด ในตอนนี้กำลังจ้องเขม็งสะใภ้เอ้อซุ่นที่ล้มฟุบไปกับพื้น คิดว่าหากนางยังกล้าลงมือกับเมิ่งเชียนโยวอีก พวกเขาสองคนก็จะไม่เกรงใจแล้ว จะซ้อมนางให้กลัวจนอึฉี่ราด


 


 


สะใภ้เอ้อซุ่นล้มไม่ใช่เบา จึงตัดสินใจไม่ลุกขึ้นแล้ว นอนกลิ้งไปมาบนพื้น ร้องโอดครวญเสียงลั่น “ชาวบ้านมาดูเถิด พวกเขาถือว่าเป็นคนหมู่มาก คิดจะฆ่าพวกเขาสองผัวเมียให้ตาย”


 


 


พี่น้องเอ้อซุ่นเที่ยวเดินกร่างอยู่ในหมู่บ้าน เหล่าสะใภ้ทุกคนก็โอหังไม่เคยเห็นหัวใคร มักจะทะเลาะกับคนในหมู่บ้านเพราะเรื่องจุกจิกเล็กน้อย นานวันเข้า คนในหมู่บ้านทั้งชายหญิงเด็กคนแก่ต่างก็เกลียดพวกเขาเข้ากระดูก แต่ก็ไม่มีใครกล้าเอาเรื่องพวกเขา ตอนนี้เห็นสองสามีภรรยาเอ้อซุ่นถูกกำราบ ก็ให้รู้สึกสาแก่ใจยิ่งนัก ปล่อยให้สะใภ้เอ้อซุ่นร้องร่ำโอดครวญ ไม่มีใครคิดจะเข้าไปช่วยพวกเขาสักคน


 


 


เหวินหู่เอาเชือกเข้ามา มัดเอ้อซุ่นที่ดิ้นรนขัดขืนพร้อมอู๋ต้า เตรียมจะเอาตัวไปแขวนใต้ต้นไม้ เสียงคำรามหนึ่งก็ดังแว่วมา “พวกเจ้ากล้ามัดคนตามอำเภอใจ ยังเห็นหัวผู้ใหญ่บ้านคนนี้อยู่ในสายตาหรือไม่?”


 


 


กลุ่มคนได้ยินเสียงหันมองตามไป เห็นผู้ใหญ่บ้านที่ถูกครอบครัวเอ้อซุ่นประคองมา เดินเข้ามาในลานบ้าน


 


 


“เอ้อซุ่น เจ้าเป็นอะไรไป?” มารดาเอ้อซุ่นเห็นสภาพน่าสังเวชของเอ้อซุ่น ร้องอุทานแล้วโผเข้าหา


 


 


เอ้อซุ่นร้องเรียกเสียงอู้อี้ “ท่านแม่!”


 


 


มารดาเอ้อซุ่นตีมืออู๋ต้าและซุนเอ้อไม่ยั้งราวกับเป็นหญิงบ้า ปากร้องก่นด่า “เจ้าพวกสุนัขชั้นต่ำรังแกคน ปล่อยลูกชายข้าเดี๋ยวนี้!”


 


 


อู๋ต้าและซุนเอ้อถูกตีจนเจ็บแสบ แต่ก็ไม่ลงมือกับหญิงชรา จำต้องปล่อยเอ้อซุ่นที่ถูกมัดไว้อย่างแน่นหนาแล้วอย่างไม่มีทางเลือก


 


 


มารดาเอ้อซุ่นกระชากตัวเอ้อซุ่นเข้ามาในอ้อมกอด ร้องเรียก “ซานซุ่น ซื่อซุ่น รีบเข้ามาแก้มัดให้พี่รองเจ้า”


 


 


ซานซุ่น ซื่อซุ่นเข้ามาช่วยกันแก้เชือกให้เอ้อซุ่น


 


 


มารดาเอ้อซุ่นรีบดึงตัวเอ้อซุ่นมาหลบหลังผู้ใหญ่บ้าน


 


 


คนที่มาดูเรื่องสนุกต่างถอดใจเสียดาย มีผู้ใหญ่บ้านออกหน้า ครั้งนี้ไม่ได้เห็นเอ้อซุ่นถูกลงทัณฑ์อีกแล้ว


 


 


ผู้ใหญ่บ้านเดินมือไพล่หลัง ค่อยๆ เยื้องย่างเข้ามาในลานบ้าน วางอำนาจบารมีเยี่ยงผู้ใหญ่บ้าน พูดว่า “แม่นางน้อย ใช้ศาลเตี้ยลงโทษเช่นนี้ไม่ถูกต้อง เห็นแก่ที่เจ้าอายุยังน้อยไม่รู้ความ ข้าจะให้อภัยสักครั้ง รีบพาคนของเจ้าออกไปเถอะ”


 


 


เมิ่งเชียนโยวไม่ขยับ จ้องเขม็งผู้ใหญ่บ้าน ใช้น้ำเสียงเย็นเยียบถามกลับ “ผู้ใหญ่บ้านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าต้องลงโทษพวกเขา?”


 


 


“ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เจ้าก็ไม่สมควรกระทำการกำเริบเสิบสานในหมู่บ้านพวกเรา เจ้ายังเห็นผู้ใหญ่บ้านคนนี้อยู่ในสายตาหรือไม่?” ผู้ใหญ่บ้านกล่าว


 


 


เมิ่งเชียนโยวพยักหน้า พูดเยาะหยัน “ที่แท้ชีวิตของคนในหมู่บ้านนี้ล้วนไม่สำคัญเท่าศักดิ์ศรีหน้าตาของผู้ใหญ่บ้าน”


 


 


ปกติผู้ใหญ่บ้านถูกยกยอจนเคยตัว ไฉนเลยจะทนรับวาจาเช่นนี้ได้ ใบหน้าแดงเรื่อ น้ำเสียงเริ่มเจือความขุ่นเคือง “อย่าได้พูดเหลวไหล มีใครสูญเสียชีวิตที่ไหนกัน?”


 


 


เมิ่งเชียนโยวยังคงใช้น้ำเสียงเยาะหยัน “ผู้ใหญ่บ้านหูตากว้างไกล ไม่ได้ยินเรื่องที่สองแม่ลูกหลี่ตุนถูกทำร้าย ขโมยโสมคนที่มีมูลค่าสูงลิ่วไปบ้างหรือ?”


 


 


ผู้ใหญ่บ้านสะท้อนแววตาล่อกแล่ก ไม่กล้าพูดว่าตัวเองไม่รู้เรื่อง ใช้น้ำเสียงแข็งกร้าวพูดว่า “เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เป็นหน้าที่ของทางการเข้ามาตัดสิน เจ้าไม่ต้องมายุ่ง”


 


 


เมิ่งเชียนโยวถามเสียงเย็น “หากข้าอยากยุ่งเล่า?”


 


 


ถูกเค้นถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผู้ใหญ่บ้านเริ่มมีน้ำโห มือทั้งสองก็ไม่ไพล่ไว้ด้านหลังแล้ว พูดอย่างเคืองขุ่น “นังตัวดี เจ้าอย่าคิดว่าหลี่ตุนทำงานที่บ้านเจ้า เจ้าก็จะออกหน้าแทนเขาได้ ที่นี่เป็นหมู่บ้านซุน ไม่ใช่หมู่บ้านหวงที่เจ้าจะมาเกะกะระรานได้ตามอำเภอใจ”


 


 


เมิ่งเชียนโยวหัวเราะเย้ยหยัน พูดอย่างไม่แยแส “ที่ข้าเข้ามายุ่งเรื่องนี้ไม่ใช่การออกหน้าแทนเขา เป็นเพราะเขาไม่ควรกระทำการผีซ้ำด้ามพลอย ขโมยโสมคนที่เอาไว้ช่วยชีวิต แล้วยังทำร้ายร่างกายคน เมื่อท่านเข้ามาขวางไม่เลิก เช่นนั้นข้าจะยอมรามือ แต่ข้าขอถามท่าน ท่านจะจัดการเขาอย่างไร?”


 


 


ผู้ใหญ่บ้านเข้ามาเพราะคำยุยงของบิดามารดาเอ้อซุ่น มิได้คิดมาก่อนเลยว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชียนโยวถาม พลันไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี


 


 


ความเงียบปกคลุมลานบ้าน คนที่มาดูเรื่องสนุกไม่มีใครปริปาก ต่างกลั้นหายใจ ตั้งใจฟังว่าผู้ใหญ่บ้านจะตอบอย่างไร


 


 


ความจริงโดยปกติแล้วผู้ใหญ่บ้านนับว่าเป็นคนที่ดีคนหนึ่ง วันนี้จู่ๆ มาได้ยินว่ามีคนเข้ามาทำร้ายและจับคนในหมู่บ้านตัวเอง รู้สึกว่าบารมีของตัวเองถูกท้าทาย ถึงตะลีตะลานตามบิดามารดาเอ้อซุ่นเข้ามา ตอนนี้เห็นชาวบ้านมองมาที่เขาอย่างรอคอย ในใจตระหนักดีว่าหากจัดการเรื่องนี้ไม่ดี ภายหน้าอาจจะส่งผลต่อชื่อเสียงบารมีของตนเองได้ อีกทั้งเขาไม่รู้เลยว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้น อึดใจหนึ่งถึงเอ่ยปากพูดว่า “เจ้าเอาแต่พูดว่าเอ้อซุ่นขโมยโสมคน ทำร้ายสองแม่ลูกหลี่ตุนบาดเจ็บ เจ้ามีหลักฐานอะไร?”


 


 


เมิ่งเชียนโยวหันไปมองจางซานแวบหนึ่ง


 


 


จางซานรีบก้าวขึ้นหน้าชูกล่องโสมคนในมือ พูดเสียงดัง “เมื่อครู่ตอนที่พวกเราไปจับเอ้อซุ่นที่บ้าน พบของสิ่งนี้วางอยู่บนเตียงในบ้านพวกเขา”


 


 


หลักฐานอยู่ตรงหน้า ผู้ใหญ่บ้านชะงักอึ้ง แต่ยังดิ้นรนกอบกู้หน้าตัวเองคืน “ต่อให้เอ้อซุ่นไปขโมยโสมคนมา ตอนนี้สองแม่ลูกหลี่ตุนก็สบายดี เรื่องนี้ถือว่าให้แล้วก็แล้วกันไป”


 


 


เมิ่งเชียนโยวถามเสียงเย็น “ความหมายของผู้ใหญ่บ้านคือต้องให้สองแม่ลูกหลี่ตุนตายก่อน ถึงจะเรียกว่ามีเรื่อง? ท่านถึงจะเข้ามาจัดการหรือ?”


 


 


ผู้ใหญ่บ้านกล่าวออกไป ก็รู้ตัวเองว่าไม่ถูกต้อง ตอนนี้ถูกเมิ่งเชียนโยวย้อนถาม ใบหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว เหยเกแทบดูไม่ได้ ไร้ซึ่งคำโต้แย้ง ไร้ซึ่งความมั่นใจ พูดอย่างเคืองขุ่น “ไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า ข้าจะจัดการเอง”


 


 


เมิ่งเชียนโยวก็ไม่เคืองโกรธ หันไปสั่งหลี่ตุน “ไปยกเก้าอี้เตี้ยมาให้ข้า วันนี้ข้าจะดูว่าผู้ใหญ่บ้านจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร”


 


 


หลี่ตุนขานรับแล้วรีบวิ่งเข้าไปในบ้านยกเก้าอี้เก่าตัวหนึ่งออกมา ต่อหน้าสายตาที่จับจ้อง ใช้แขนเสื้อมอซอเช็ดเก้าอี้ซ้ำไปมา ถึงวางลงข้างกายเมิ่งเชียนโยว พูดอย่างอ่อนน้อม “นายหญิง เชิญนั่ง”


 


 


เมิ่งเชียนโยวนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยอารมณ์สงบนิ่ง


 


 


ผู้ใหญ่บ้านนึกว่าหลี่ตุนจะยกเก้าอี้มาให้ตัวเองด้วย ไม่คิดว่ารอได้พักใหญ่ กลับเห็นหลี่ตุนเอาแต่ยืนอยู่ข้างหลังเมิ่งเชียนโยว ไม่ขยับไปไหนอีก ก่นด่าเจ้าคนชั้นต่ำมีตาแต่ไม่มีแววภายในใจอย่างแค้นเคือง ถึงแสร้งกระแอมสองสามครั้ง กลับคืนสู่ท่วงท่าน่าเกรงขามของผู้ใหญ่บ้าน หลงคิดว่าพูดอย่างยุติธรรม “แม้เอ้อซุ่นจะขโมยโสมคน ทำร้ายสองแม่ลูกหลี่ตุนบาดเจ็บ แต่ยังดีที่พวกเขาสองแม่ลูกไม่เป็นอะไรร้ายแรง โสมคนก็ได้คืนสมบูรณ์กลับมา ดังนั้นให้เอ้อซุ่นชดใช้เงินจำนวนหนึ่งให้หลี่ตุน แล้วให้ถือว่าจบกันเท่านี้”


 


 


สิ้นเสียง ชาวบ้านที่มามุงดูต่างก็เปล่งเสียงสิ้นหวัง


 


 


เมิ่งเชียนโยวแย้มยิ้มมองผู้ใหญ่บ้าน พูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ข้าไม่เห็นด้วย”


 


 


ผู้ใหญ่บ้านคาดเอาไว้อยู่แล้วว่านางจะต้องคัดค้าน สะบัดแขนเสื้อแล้วพูดว่า “เจ้าไม่เห็นด้วยก็ไม่มีประโยชน์ หมู่บ้านนี้ข้ามีสิทธิ์ขาด!”


 


 


เมิ่งเชียนโยวร้อง “อ่อ” ถามกลับ “เช่นนั้นหากหลี่ตุนคัดค้านเล่า?”


 


 


ผู้ใหญ่บ้านพูดด้วยน้ำเสียงเจือแววข่มขู่ ถามหลี่ตุนอย่างน่าเกรงขาม “เจ้าเห็นด้วยหรือไม่?”


 


 


หลี่ตุนแอบมองเมิ่งเชียนโยวแวบหนึ่ง เห็นนางนั่งหลังตรงอยู่ตรงนั้น ไม่แม้แต่จะแสดงท่าทีส่งสัญญาณแก่เขา เริ่มลังเลใจ


 


 


ผู้ใหญ่บ้านมองดูปฏิกิริยาของเขา พูดปลอบประโลม “เจ้าไม่ต้องกลัว พูดออกมาตามที่เจ้าคิดเถอะ”


 


 


หลี่ตุนตัดสินใจเด็ดขาด กัดฟันพูดว่า “ข้าไม่เห็นด้วย”


 


 


ไม่คิดว่าหลี่ตุนจะตอบเช่นนี้ ผู้ใหญ่บ้านตะลึงค้าง


 


 


เมิ่งเชียนโยวยกยิ้มอ่อน พูดว่า “ตอนนี้หลี่ตุนก็ไม่เห็นด้วย ตอนนี้ท่านจะทำอย่างไร?”


 


 


ผู้ใหญ่บ้านพลันพูดไม่ออก


 


 


เมิ่งเชียนโยวแสดงท่าทีคิดแทนผู้ใหญ่บ้าน พูดด้วยความหวังดี “เมื่อท่านไม่รู้ว่าควรจะจัดการอย่างไร เช่นนั้นข้าจะช่วยท่านตัดสินเอง”


 


 


พูดจบ หันไปสั่งพวกเหวินหู่ “พวกเจ้าทั้งหมด จับเอ้อซุ่นไปแขวนเดี๋ยวนี้!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)