ยอดหญิงสกุลเสิ่น 215.1-216.1

ตอนที่ 215-1 คืนเข้าหอ

 

สวีโย่วเท้าคางมองใบหน้าตอนหลับของเสิ่นเวย เสิ่นเวยตะแคงตัวนอน ผมดำปรกอยู่ล่างใบหน้า ดวงหน้าแดงระเรื่อ ริมฝีปากเล็กๆ สีชมพู ขนตาที่ยาวงอนราวกับพัดอันเล็กสะท้อนเงาดำอยู่ใต้ตา จมูกส่งเสียงหายใจเบาๆ ออกมา สวีโย่วมองจนจิตใจตื้นตัน น้องสี่แซ่เสิ่น เวยเวย นางผู้เป็นที่รักของเขา ในที่สุดเขาก็แต่งงานกับนางแล้ว


 


 


สวีโย่วมองคนที่หลับสนิทอยู่ข้างกายด้วยความรักใคร่ เกิดความคิดซุกซน เอาผมหนึ่งช่อของนางมาปัดป่ายไปบนหน้านาง ชั่วขณะคิ้วงามของคนข้างๆ ก็ขมวดมุ่น ถูหน้าไปมาบนหมอน มุมปากสวีโย่วอมยิ้ม จากนั้นก็แกล้งนางอีกเล็กน้อย ครั้งนี้คิ้วของเด็กน้อยขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม ศีรษะก็ขยับอย่างไม่สบายตัว คล้ายอยากสะบัดสิ่งที่สร้างความน่ารำคาญออกไป


 


 


ท่าทางน่ารักนั้นทำให้สวีโย่วอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เหตุใดเด็กน้อยคนนี้ถึงได้น่ารักเพียงนี้ สวีโย่ว


 


 


ตะแคงตัวหอมลงไปบนแก้มเสิ่นเวยอย่างแรง ทำให้เสิ่นเวยตื่นทันที


 


 


เสิ่นเวยลืมตาที่สะลึมสะลือขึ้น ยังคิดว่าอยู่ในห้องตัวเอง เมื่อได้เห็นสวีโย่วที่ยิ้มสดใสราวกับดอกไม้ผลิบาน ก็ตระหนักได้ฉับพลันว่าตนแต่งงานแล้ว นี่ไม่ใช่ห้องของตัวเอง แสดงว่าเมื่อครู่คนโรคจิตผู้นี้กำลังก่อกวนตนอยู่หรือ เมื่อเห็นว่าบนมือสวีโย่วกำลังจับผมช่อหนึ่งของตนอยู่ เสิ่นเวยก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี ตนก็อายุยี่สิบสองแล้ว อายุเท่านี้แล้ว ยังเล่นอะไรที่ปัญญาอ่อนเช่นนี้อยู่อีก จะดีจริงๆ หรือ


 


 


สวีโย่วเห็นใบหน้าที่ฉลาดปราดเปรื่องของเสิ่นเวยจนชินแล้ว ตอนนี้เห็นท่าทางสะลึมสะลือของนาง รู้สึกแปลกใหม่ยิ่งนัก! พลิกตัวกอดนางไว้ในอ้อมอกตนทันที ส่วนสีหน้ารังเกียจที่เด่นชัดบนใบหน้าเสิ่นเวย เขาทำเป็นว่าตัวเองตาบอดมองไม่เห็นไปเสีย


 


 


“เด็กดื้อ ไม่รอข้าก็หลับก่อนแล้ว” สวีโย่วจิ้มจมูกเสิ่นเวยฟ้องร้องอย่างไม่พอใจ


 


 


เสิ่นเวยไม่เคยสัมผัสกับผู้ชายระยะใกล้เช่นนี้มาก่อน ตอนนี้ซบอยู่บนร่างของสวีโย่ว รู้สึกทำตัวไม่ถูกยิ่งนัก อดขยับตัวอยากลุกขึ้นไม่ได้ แต่อับจนหนทางมือทั้งคู่ของสวีโย่วกอดหลังนางไว้แนบแน่น ไม่ให้นางหนี “ปล่อยมือ ให้ข้าลุก” กลิ่นสุราทั้งร่างเหม็นจะตายอยู่แล้ว เสิ่นเวยปิดจมูกดิ้นพล่านคิดจะออกห่างจากเขาเล็กน้อย


 


 


“ไม่ปล่อย” ในดวงตาสวีโย่วอมยิ้ม พอใจยิ่งนัก! หญิงงามในอ้อมอกที่เฝ้ารอมาเนิ่นนาน เขาจะยอมปล่อยมือได้อย่างไร


 


 


“จะปล่อยไม่ปล่อย” เสิ่นเวยแยกเขี้ยวใส่สวีโย่ว ดวงตามีความข่มขู่


 


 


ท่าทางกางกรงเล็กนั่นทำให้รอยยิ้มในดวงตาของสวีโย่วลุ่มลึกยิ่งขึ้น “ไม่ปล่อย!”


 


 


“จะไม่ปล่อยจริงๆ ใช่หรือไม่” เสิ่นเวยหรี่ตาลง ดวงตามีประกายความชั่วร้ายกะพริบผ่าน


 


 


สวีโย่วส่ายหน้า “ไม่ปล่อย!” เขากลับอยากดูว่าเด็กน้อยคนนี้จะเล่นลูกไม้อะไร


 


 


“ข้าให้ท่านปล่อยไม่ปล่อย ให้ท่านปล่อยไม่ปล่อย!” ปากเสิ่นเวยกล่าวอย่างโหดเ**้ยมดุร้าย มือขาวนวลก็จู่โจมใบหน้าที่หล่อเหลาดั่งหยกใบนั้นของสวีโย่ว ดึงแก้มเขาบิดไปมาจนเป็นรูปร่างแปลกประหลาดต่างๆ นานา


 


 


แรกเริ่มเป็นเพียงแค่การระบายอารมณ์ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นความสนุกสนาน หัวเราะคิกคักพลางขยุ้มหน้าของสวีโย่ว


 


 


เสิ่นเวยเล่นอย่างสนุกสนาน สวีโย่วรู้สึกเพียงจนปัญญาเต็มทรวง “เด็กดื้อ” เขาเพียงพลิกตัวเบาๆ ก็กดเสิ่นเวยไว้ข้างใต้แล้ว ดวงตามีประกายอันตราย “เวยเวยอยากให้ข้าพาเข้าเรือนหอเลยหรือไม่” พูดพลางคร่อมตัว


 


 


“ไม่เอา” ร่างของเสิ่นเวยแข็งทื่อในชั่วพริบตา ของแข็งๆ ที่ดันนางอยู่นั่นก็คือของอย่างว่าใช่หรือไม่ ให้ตายเถอะ อันตรายนัก! รีบเอาออกไปได้หรือไม่


 


 


“ไม่เอาหรือ เวยเวยทำร้ายจิตใจข้าเก่งจริงๆ” สวีโย่วมองเสิ่นเวยที่กลายเป็นลูกแมวน่ารัก น่าสงสาร ในใจก็ยิ่งพอใจ ทว่าบนใบหน้ากลับแสดงท่าทีเจ็บปวดออกมา ซ้ำยังตั้งใจดันนางเล็กน้อย


 


 


“ท่าน ท่านอย่าเข้ามา!” เสิ่นเวยหาเสียงของตัวเองกลับมาอยู่นาน ก่อนหน้านี้หมอนี่ก็ปกติมาโดยตลอด เหตุใดถึงกลายเป็นผีทะเลในชั่วพริบตา เมื่อเห็นความหยอกล้อในดวงตาของสวีโย่ว เสิ่นเวยก็โมโหแล้ว หยิกเอวของอย่างแรงหนึ่งครา


 


 


“ท่าน ลุกให้ข้าเดี๋ยวนี้” เสิ่นเวยกัดฟันกรอด แทบจะกล่าวหนึ่งคำหยุดหนึ่งหน ความขายหน้าในใจมากยิ่งกว่าความเขินอาย แม้ว่าจะไม่เคยสู้รบจริงๆ มาก่อน แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นคนที่ผ่านสังคมสกปรกโสมมในยุคปัจจุบันมาแล้ว เหตุใดถึงได้ถูกคนโบราณลวนลามเอาได้ จะลวนลามก็ควรเป็นนางที่ลวนลามเขา!


 


 


สวีโย่วเห็นสุนัขจิ้งจอกน้อยโกรธเกรี้ยวแล้ว ก็ปล่อยนางอย่างเชื่อฟัง มือใหญ่ๆ ลูบไปตามผมสลวยของนาง กล่าวปลอบ “พอแล้วๆ ไม่แกล้งเจ้าแล้ว เป็นความผิดข้าเอง”


 


 


เสิ่นเวยแค่นเสียงหึหนึ่งครา กลอกตาขาวมองเขาปราดหนึ่ง แน่นอนว่าเป็นความผิดของเขา ตนนอนอยู่ดีๆ ไม่ได้ไปหาเรื่องเขาเลย


 


 


เสิ่นเวยพลิกตัวลงจากเตียง เห็นว่าในห้องไม่มีคนรับใช้อยู่แม้แต่คนเดียว ก็ขมวดคิ้วจัดแจงชุดแต่งงานและผมให้เรียบร้อยด้วยตัวเอง เทียนสีแดงที่ใหญ่เท่าแขนสองเล่มลุกไหม้อยู่เงียบๆ ส่องให้ภายในห้องสว่างราวกับกลางวัน


 


 


“โกรธจริงๆ หรือ” สวีโย่วมองเสิ่นเวยที่ก้มหน้าไม่พูดด้วยเสียงอ่อนโยน


 


 


เสิ่นเวยชายตามองเขาปราดหนึ่ง “ขี้เกียจจะสนใจท่านแล้ว”


 


 


สวีโย่วหัวเราะเบาๆ “ขอบคุณใต้เท้าฮูหยินที่ใจกว้าง” สายตากวาดมองโต๊ะอาหารโต๊ะนั้นที่ถูกแตะแล้วปราดหนึ่ง กล่าว “ฮูหยินกินอิ่มแล้ว ข้ายังหิวอยู่เลย ข้าช่างน่าสงสาร ฮูหยินกินเป็นเพื่อนข้าหน่อยเถอะ” เขากล่าวด้วยสีหน้าน้อยใจทั้งใบหน้า แต่เจ้าพูดก็พูดไปสิ จะเลียมริมฝีปากทำไม ลูกผู้ชายโตมาในตระกูลสูงศักดิ์เช่นนั้นเลียริมฝีปากเหมือนกับอะไรดี ไม่รู้หรือว่าจะทำให้เกิดอาชญากรรมได้ เสิ่นเวยอดทนเก็บความคิดที่จะผลักหมอนี่ให้ล้ม เบะปากเดินเข้าไป


 


 


สวีโย่วจูงมือของเสิ่นเวย ดึงนางมานั่งบนตักตน เสิ่นเวยกลุ้มใจ มารตนนี้คงไม่คิดจะกินแบบนี้ใช่หรือไม่ สวีโย่วหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้ว เฮ้ เขาคิดจะกินแบบนี้จริงๆ ด้วย


 


 


เสิ่นเวยเพิ่งจะขยับได้เล็กน้อย สวีโย่วก็ตบหัวนางเบาๆ “เด็กดี ข้าหิวจริงๆ กินไปแต่สุรา”


 


 


เสิ่นเวยเบ้ปาก ใครจะเชื่อ! ร่างกายอ่อนแอเช่นนั้นของเขาใครจะกล้ารินสุราให้เขาดื่ม แต่ว่าหัวใจเสิ่นเวยก็อ่อนลงแล้ว กอดก็กอดเถอะ อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นสามีภรรยากันแล้ว “กับข้าวเย็นหมดแล้ว ให้คนเอาไปจัดการใหม่เถอะ”


 


 


สวีโย่วมองคนที่ยอมอยู่ในอ้อมอกโดยดี ถอนหายใจออกเสียงด้วยความพอใจ “ไม่ต้อง ดึกแล้วไม่ต้องทำให้ยุ่งยาก กินเท่าที่มีเถอะ” คำพูดนี้เขาที่เป็นคนพูดเองยังไม่เชื่อ จะมีคนใช้ไว้ทำไม ไม่ใช่ปรนนิบัตินายได้ทุกเวลาหรือ ขอเพียงแค่นายบอกว่าจะกิน ต่อให้เป็นกลางดึกครัวก็ต้องก่อไฟทันที กินเท่าที่มีอะไรกัน เพียงแค่อยากรีบกินให้ท้องอิ่มจะได้ลิ้มรสหญิงงามก็เท่านั้นเอง


 


 


ขณะที่สวีโย่วกำลังกิน ก็ไม่ลืมที่จะป้อนเสิ่นเวยไปหลายคำ เสิ่นเวยปฏิเสธไม่ได้ก็ทำได้เพียงกินเข้าไป กินไปพลางเสียดสีไปพลาง มารตนนี้ไม่ใช่ว่าเย็นชาสันโดษหรอกหรือ คิดจะเปลี่ยนนิสัยหรือไร


 


 


กินอิ่มดื่มพอแล้ว สวีโย่วก็สะกิดเสิ่นเวยกล่าวอย่างมีเลศนัย “ดึกแล้ว ควรจะอาบน้ำเตรียมตัวได้แล้ว เจ้าก่อน หรือข้าก่อน หรือว่าพวกเราสองคนอาบน้ำพร้อมกันดี” แววตาเขามีไฟปรารถนา มองออกว่าเขาค่อนข้างโน้มเอียงไปทางตัวเลือกสุดท้าย


 


 


เสิ่นเวยยื่นมือผลักเขาออกไป “ไม่ต้องแม้แต่จะคิด” แค่นเสียงหึหนึ่งคราเดินเข้าไปในห้องด้านใน


 


 


สวีโย่วหัวเราะร่าฮ่าๆ อยู่ข้างหลัง “ดูท่าแล้วฮูหยินจะอดทนรอไม่ไหว วางใจ ข้าจะทำให้เจ้าพอใจแน่นอน”


 


 


ใบหน้าของเสิ่นเวยแตกระแหงในชั่วขณะ นางอดทนรอไม่ไหวงั้นหรือ เขาต่างหากที่อดทนรอไม่ไหวไม่ใช่หรือ


 


 


หลีฮวาและคนอื่นๆ ข้างนอกได้ยินเสียงหัวเราะของท่านเขย จิตใจที่พะว้าพะวงก็วางลง เมื่อได้ยินคุณหนูของตนเดินเข้าไปในห้องด้านใน นางก็อยากเข้าไปรับใช้ แต่ก็เป็นกังวลท่านเขย ขณะที่นางกำลังลังเลไม่แน่ใจก็ได้ยินคุณหนูเรียกชื่อนาง นางจึงรีบผลักประตูเข้าไป ทำความเคารพท่านเขยแล้วจึงเข้าไปในห้องด้านใน


 


 


เดิมเสิ่นเวยไม่คิดจะเรียกหลีฮวา แต่ไม่มีใครรับใช้แม้แต่ชุดแต่งงานที่ซับซ้อนบนร่างนั้นนางก็ยังจัดการไม่ได้


 


 


สวีโย่วนอนอยู่บนเตียง หูฟังเสียงน้ำที่ดังมาจากห้องด้านใน ทั้งจิตใจรอคอย


 


 


เสิ่นเวยแช่น้ำจนร่างทั้งร่างสบายขึ้นแล้ว ก็สวมชุดป้ายตัวในเดินออกมา ผมสีดำทิ้งตัวลงบนหัวไหล่ สวีโย่วมองใบหน้าเล็กๆ ที่ถูกน้ำร้อนรมจนแดงนั้น ก็ถีบขาทั้งคู่ลุกขึ้นจากเตียง เร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในห้องด้านใน


 


 


“เดี๋ยวๆ เปลี่ยนน้ำ…” เสิ่นเวยยังพูดไม่ทันจบเขาก็หายไปไม่เห็นเงาแล้ว ข้างในมีเสียงที่มีความสุขของเขาดังออกมา “ไม่เป็นไร ข้าอาบน้ำที่เหลือจากฮูหยินก็ได้แล้ว”


 


 


“ผู้ชายหน้าไม่อาย” ใบหน้าของเสิ่นเวยแดงขึ้นกว่าเดิม ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะโกรธหรือเขิน คงจะเป็นทั้งสองอย่าง!


 


 


เสิ่นเวยนั่งลงริมเตียง หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นยืนเดินวนในห้อง เดินวนเสร็จแล้วก็นั่งลงอีกครั้ง แม้ว่าบนหน้านางจะพยายามสงบ แต่ก็ยังคงปิดบังความจริงที่จิตใจนางว้าวุ่นไม่ได้ ว่ากันว่าต้องหาประสบการณ์ความรู้ แต่อย่างไรเสียนี่ก็เป็นคืนแต่งงานครั้งแรกในชีวิตทั้งสองภพของนาง นางไม่มีประสบการณ์จริงๆ!


 


 


ตอนที่สวีโย่วออกมาก็เห็นเสิ่นเวยนิ่วหน้าเล็กๆ ท่าทางโมโหเคียดแค้น ก็อดหัวเราะไม่ได้ เสียงหัวเราะนี้ทำเสิ่นเวยตกใจ นางเงยหน้าขึ้น ก็เห็นท่อนบนที่เปลือยของสวีโย่ว จากนั้นก็เห็นนางถอยไปข้างหลังราวกับกระต่ายน้อยที่แตกตื่น ถอยไปได้หนึ่งก้าวก็ได้สติกลับมา กล่าวอย่างระมัดระวัง “ท่านจะทำอะไร” ในใจแอบด่าคนเสเพล แต่ดวงตากลับจ้องมองอย่างอดไม่ได้ จุๆๆ มารตนนี้ดูผอมอย่างยิ่ง ไม่คิดว่าเรือนร่างจะน่าทึ่งเช่นนี้ น่าลูบสักทีจริงๆ!


 


 


สวีโย่วมองเด็กน้อยที่ปากไม่ตรงกับใจ เบื้องลึกในใจก็อารมณ์ดีอย่างอดไม่ได้ ก้าวยาวเข้าไปอุ้มเสิ่นเวยเข้ามาในอ้อมอก เลิกม่านเตียงแล้วโยนลงบนเตียง เสิ่นเวยยังไม่ทันได้ร้องอุทาน เขาก็กดตัวลงมาแล้ว “ฮูหยิน หนึ่งเค่อในราตรีงามล้ำค่าดั่งเงินทอง อย่าได้ทำลายค่ำคืนอันงดงามเช่นนี้เลย!”


 


 


เสิ่นเวยมองใบหน้ามารที่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ ใบนั้น ใบหน้างามก็แดงอย่างไม่รักดีอีกครั้ง ทำให้สวีโย่วหัวเราะเสียงดังขึ้นมาอีก ในใจเสิ่นเวยคับแค้นอย่างถึงที่สุด เห็นชัดๆ ว่านางมาจากยุคปัจจุบัน เหตุใดคนที่เขินอายถึงได้เป็นนาง ไม่ได้ นางต้องจู่โจมกลับ! เสิ่นเวยใจเต้นไม่สู้ขยับกาย อุ้งมือลูบตรงไปที่แผงอกของสวีโย่ว หนึ่งครั้ง สองครั้ง ความรู้สึกที่มือนับว่าไม่เลวอย่างยิ่ง


 


 


เสิ่นเวยจมดิ่งอยู่ในโลกของตัวเอง ไม่ทันได้รู้สึกตัวเสื้อผ้าก็ถูกสวีโย่วถอดออกไปหมดแล้ว นางร้องอุทานหนึ่งคราก็เอื้อมมือไปดึงผ้าห่ม แต่กลับถูกสวีโย่วกดไว้แนบแน่นขยับไม่ได้ “ฮูหยิน เรือนร่างของข้าน่าลูบไล้ใช่หรือไม่”


 


 


เสิ่นเวยเก็บอุ้งมือกลับมาทันที แต่ถูกสวีโย่วคว้าไว้ได้ กดลงบนอกของตน ดวงตาของเขามีเปลวไฟเล็กสองลูกกะพริบวาบ เสียงก็แหบพร่าขึ้นมา “ดูท่าแล้วเวยเวยจะพอใจกับเรือนร่างของข้ายิ่งนัก”


 


 


ลมหายใจที่อุ่นร้อนของเขาเป่าลงข้างหูของเสิ่นเวย คันๆ ชาๆ เสิ่นเวยเบี่ยงตัวหลบไปข้างๆ อย่างอดไม่ได้ “จั๊กจี้”


 


 


“ยังมีจั๊กจี้กว่านี้อีก” สวีโย่วพูดพลางก้มหน้าประกบริมฝีปากสีชมพูของนาง ร้อนแผดเผาและรุนแรง เสิ่นเวยรู้สึกว่าตนหายใจไม่ออก สมองมึนเมา ทำได้เพียงขยับไปตามความสามารถของร่างกาย ลุ่มหลง 

 

 


ตอนที่ 215-2 คืนเข้าหอ

 

ตอนที่ของอย่างว่าสัมผัสแนบชิดเสิ่นเวย นางเจ็บจนอยากฆ่าคนจริงๆ บ้าเอ้ย นางรู้ว่าจะต้องเจ็บ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเจ็บแบบนี้ ความเจ็บนั้นไม่เหมือนกันความเจ็บจากการได้รับบาดเจ็บเลยสักนิดเดียว คนไม่กลัวเจ็บเช่นเสิ่นเวยยังอดสูดลมหายใจไม่ได้ ไม่ใช่บอกว่าเรื่องนี้ประเดี๋ยวเดียวก็จะมีความสุขหรอกหรือ เหตุใดนางถึงเหลือแต่ความเจ็บเล่า 


 


 


เพื่อนสาวคนสนิทเพียงคนเดียวในยุคปัจจุบันของนางเคยหัวเราะที่นางอายุเท่านี้แล้วยังไม่เคย บอกกับนางว่า ไม่เป็นไร ไม่เจ็บ เหมือนโดนมดกัดนิดเดียว 


 


 


จะบ้าหรือ นี่หรือคือมดกัด นี่ไม่ต่างจากโดนงูพิษกัด อีกทั้งยังเป็นงูพิษหน้าตาดีอีกต่างหาก 


 


 


“ท่านออกไป” เสิ่นเวยพยายามผลักสวีโย่ว เจ็บจนเสียงเปลี่ยน 


 


 


กว่าสวีโย่วจะได้รับสิ่งที่ปรารถนา ไหนเลยจะยอมถอยได้ เขามองใบหน้าเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของเสิ่นเวย สงสารอย่างถึงที่สุด ปลอบนางด้วยความรัก “เด็กดี อดทนหน่อย อีกประเดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว เวยเวย เด็กดี เด็กดี!” 


 


 


“ทนไม่ไหวแล้ว” ก็คนที่เจ็บไม่ใช่เจ้านี่! เสิ่นเวยพยายามควบคุมกรงเล็บของตน ไม่ให้ยื่นออกไปข่วนหน้าของสวีโย่ว 


 


 


“ผ่อนคลาย เวยเวยเด็กดี เจ้าทำได้ อีกประเดี๋ยวก็จะดีแล้ว” สวีโย่วปรับองศาตัวเล็กน้อย มือใหญ่ลูบหลังขาวเนียนของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าร่างกายกลับยิ่งแนบชิดนางมากขึ้น 


 


 


อันที่จริงสวีโย่วเองก็ไม่ได้รู้สึกดีนัก ธนูอยู่บนคันแล้วแต่กลับเป็นห่วงความรู้สึกของเสิ่นเวยจึงไม่กล้าขยับตัว โอ๊ย ให้เขาตายยังดีกว่า 


 


 


เหงื่อเม็ดใหญ่หยดลงมาจากใบหน้าของสวีโย่ว ดวงหน้าที่ราวกับเทพของเขาปรากฏตัณหาราคะ ท่ามกลางความสลัวเลือนราง ส่วนลึกในร่างกายของเสิ่นเวยเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ คล้ายความเจ็บนั้นไม่ได้ชัดเจนเพียงนั้นแล้ว 


 


 


แขนทั้งคู่ของเสิ่นเวยโอบคล้องลำคอของสวีโย่ว ร่างขยับอย่างไม่รู้ตัว สวีโย่วคล้ายสัมผัสได้ถึงแรงปลุกเร้า ขยับเล็กน้อยอย่างหยั่งเชิง ทว่าดวงตากลับจ้องมองคนใต้ร่างอย่างแน่นิ่ง เห็นนางเพียงแค่ขมวดคิ้วน้อยๆ ก็พยายามต่ออย่างมีความสุข 


 


 


ร่างกายที่ยังเด็กของเสิ่นเวยค่อยๆ ถูกเปิดออก สวีโย่วออกแรงเผด็จศึก คนทั้งสองเกาะเกี่ยวอยู่ด้วยกันเป็นเกลียว เสิ่นเวยราวกับดอกอิงซู่ (ดอกฝิ่น) สวยงามที่ผลิบานในยามราตรีสงัด ส่งกลิ่นหอมที่น่าหลงใหลออกไป นางรู้สึกว่าตนเหมือนเรือเล็กๆ หนึ่งลำท่ามกลางมหาสมุทรใหญ่ กระเพื่อมขึ้นลงตามคลื่นลม แต่ไม่อาจไปถึงฝั่งได้เสียที 


 


 


การเคลื่อนไหวภายในห้องย่อมดังออกไปข้างนอก แม่นมมั่วยังดี แต่หลีฮวาและคนอื่นๆ ที่ไม่เคยผ่านประสบการณ์บนโลกก็หน้าแดงซ่าน แต่ละคนปิดหูอยากจะกลายเป็นคนหูหนวกอย่างยิ่ง 


 


 


ดวงจันทร์นวลผ่องหนึ่งดวงนอกหน้าต่าง มันหาวอย่างเกียจคร้าน หลบเขากลีบเมฆเงียบๆ ราวกับเขินอาย 


 


 


โบกสะบัดพลิ้วไหวเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ เสิ่นเวยไม่รู้เหมือนกันว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใดแล้ว นางอ้าปากกว้างหายใจหอบ รู้สึกเพียงตัวเองเป็นปลาเล็กที่ใกล้จะขาดน้ำตาย แต่ความเป็นจริงในปากของนางส่งเสียงเล็กๆ ออกมา เสียงๆ นั้นทำให้สวีโย่วยิ่งถูกกระตุ้น อยากจะตายอยู่บนร่างเสิ่นเวยเช่นนี้เสียเลย 


 


 


เมื่อคลื่นลมสงบลง เสิ่นเวยก็เหนื่อยจนไม่อยากขยับแม้แต่นิ้วเท้า หลับตาลงปล่อยให้สวีโย่วช่วยนางชำระสะสาง สะลึมสะลือนอนหลับไปแล้ว ก่อนหลับยังคิดว่า เรี่ยวแรงของมารตนนี้ดีจริงๆ หลังจากนี้นางก็โชคดีแล้ว 


 


 


ทว่าสวีโย่วกลับกระปรี้กระเปร่าจนดวงตาเป็นประกาย ไม่ง่วงแม้แต่นิดเดียว เขามองเสิ่นเวยที่เหนื่อยจนหลับ ในแววตามีความรักใคร่ที่เขามองไม่เห็น เขากอดเสิ่นเวยไว้ในอ้อมอก ให้แก้มของนางแนบแผงอกตน หลับตาลงด้วยความพอใจ 


 


 


มีภรรยาดีจริงๆ มิน่าเล่าปุถุชนถึงได้ลุ่มหลงเช่นนี้ 


 


 


เช้าวันรุ่งขึ้น เสิ่นเวยตื่นขึ้นมา เมื่อเงยหน้าขึ้นก็สบสายตาที่เปล่งประกายของสวีโย่ว นึกถึงเรื่องเมื่อคืนทันที ใบหน้าก็ร้อนผ่าวอย่างอดไม่ได้ นางขยับด้วยอย่างเคอะเขิน จากนั้นจึงพบว่านางไม่ได้สวมชุดป้ายตัวในซุกอยู่ในอ้อมอกของสวีโย่ว ขาของคนทั้งสองเกี่ยวพันกันอยู่ ของแข็งๆ นั้นกำลังดันต้นขานางอยู่ 


 


 


ให้ตาย อายจะแย่อยู่แล้ว! เสิ่นเวยมุดหน้าเข้าไปในอกของสวีโย่ว 


 


 


เช้าตรู่คนงามก็ตกอยู่ในอ้อมกอด อารมณ์ของสวีโย่วสบายใจยิ่งนัก โอบคนในอ้อมอกแนบแน่น หัวเราะเสียงต่ำกล่าว “หรือว่า พวกเรามาทำอีกสักรอบ” 


 


 


เสิ่นเวยถอนตัวออกจากอ้อมกอดของเขาทันที ผีทะเลคนนี้ ติดใจอยากจะลิ้มรสอีกแล้ว “รีบลุกเถอะ วันนี้ต้องทำพิธียกน้ำชาไม่ใช่หรือ” นึกถึงพิธียกน้ำชาเสิ่นเวยก็ลุกขึ้นนั่งทันที “กี่โมงกี่ยามแล้ว หลีฮวาเล่า แม่นมมั่วเล่า เหตุใดถึงไม่เรียกข้า” หลังจากนั้นก็เพิ่งรู้ตัวว่าตนไม่ได้สวมเสื้อผ้า รีบดึงผ้านวมขึ้นมาห่อตัว 


 


 


ทิวทัศน์งดงามถูกปิดบัง สวีโย่วก็เสียดายเล็กน้อย “ข้าให้พวกนางไม่ปลุกเจ้าเอง ยังเช้าอยู่ หากเจ้าง่วงก็นอนต่ออีกสักพักเถอะ ยกน้ำชาก็แค่พิธี ในจวนไม่ได้เคร่งกฎเพียงนั้น อีกทั้งฝ่าบาทยังตรัสแล้วว่า พวกเราค่อยเข้าวังน้อมสำนึกพระมหากรุณาธิคุณตอนบ่ายก็ได้” 


 


 


ยังเช้าอยู่หรือ เสิ่นเวยเปิดม่านเตียงมองออกไปข้างนอก ไม่เชื่อคำพูดของเขาอย่างสิ้นเชิง “รีบตื่นเถอะ ให้ผู้ใหญ่รอไม่ดีนัก” จวนอ๋องไม่เคร่งกฎเพียงนั้นหรือ นางเชื่อก็โง่แล้ว แม้ว่าจะไม่เคร่งจริงๆ ดูจากท่าทางของพระชายาจิ้นอ๋อง ก็สามารถตั้งกฎออกมาให้นางได้ทันที 


 


 


ทว่าสวีโย่วกลับไม่ขยับ เพียงแค่มือค้ำศีรษะยิ้มแย้มมองนาง 


 


 


เสิ่นเวยกัดฟันกรอดในชั่วขณะ ถลึงตามองสวีโย่วอย่างอารมณ์ไม่ดี เหอะ คิดว่านางไม่รู้ความคิดเขาหรือไร มารตนนี้ยังเปลือยอยู่ นางไม่กล้าเรียกหลีฮวาเข้ามารับใช้ แต่เสื้อผ้าของนางกลับอยู่ใน**บฝั่งนั้น ดูท่าทางคุณชายผู้นี้แล้วคงไม่คิดจะช่วยนางหยิบ เหอะ คิดว่าทำเช่นนี้แล้วนนางจะไม่มีวิธีงั้นหรือ 


 


 


เสิ่นเวยดึงปลอกหมอนออกมาพันรอบตัวเอง ก้าวข้ามเท้าและขายาวๆ ทั้งสองที่เปลือยเปล่าของ 


 


 


สวีโย่วกระโดดลงจากเตียง นางหันหลังให้สวีโย่วรื้อเสื้อผ้าของตนเองออกมา 


 


 


น่าแปลกยิ่งนัก ผ่านการมองเห็นที่เปิดเผยเมื่อคืนแล้ว เสิ่นเวยล่อนจ้อนต่อหน้าสวีโย่วก็ไม่รู้สึกเขินอายเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว อาจจะเกี่ยวกับที่นางไม่ใช่คนในท้องที่ก็เป็นได้ 


 


 


เสิ่นเวยสวมชุดป้ายตัวในด้วยความรวดเร็วอย่างยิ่ง จากนั้นจึงหาชุดป้ายตัวในของสวีโย่วแล้วโยนขึ้นไปบนเตียง ถือโอกาสเก็บชุดที่โยนไว้บนพื้นเมื่อคืนมาวางไว้ข้างๆ เมื่อหันหน้ากลับไปก็เห็นสวีโย่วยังคงนอนอยู่บนเตียง “ยังไม่รีบลุกอีก ท่านรออะไรอยู่” 


 


 


ทว่าสวีโย่วกลับกล่าวอย่างมั่นใจ “ย่อมต้องรอฮูหยินมาปรนนิบัติสวมเสื้อผ้าให้ข้า” 


 


 


“ท่านสวมเองไม่เป็นหรือ มีมือไว้ทำไม” เสิ่นเวยกลอกตาขาวให้เขา 


 


 


“ข้าแต่งภรรยาแล้ว” สวีโย่วกล่าวด้วยเหตุผล แสดงท่าทางว่าข้าปัดวามรับผิดชอบให้เจ้าแล้ว 


 


 


เสิ่นเวยโมโหจนกัดฟันกรอด หากไม่ใช่เป็นห่วงว่านี่คือวันแรกของการแต่งงาน นางจะต้องตีเขาจนฟันร่วงทั่วพื้นแน่นอน ให้เขาเข้าใจว่าอะไรที่เรียกว่ากฎของสามี 


 


 


เสิ่นเวยรับคำสั่งเดินเข้าไป หยิบเสื้อป้ายตัวในมาสวมลงบนร่างของสวีโย่ว “มาๆๆ ท่านชาย เชิญลุกขึ้นมาสวมเสื้อเถอะ” ยังต้องไปยกน้ำชาเคารพอีก นางไม่ว่างมาเสียเวลากับมารตนนี้ที่นี่ 


 


 


เสิ่นเวยไม่เคยปรนนิบัติคนมาก่อน ตลอดขั้นตอนการสวมเสื้อผ้าต่างก็ลนลานทำอะไรไม่ถูก แต่สวีโย่วไม่โมโหเลยแม้แต่น้อย กลับมีความสุขอย่างถึงที่สุด 


 


 


เสื้อผ้าสวมเสร็จแล้ว บนหน้าผากของเสิ่นเวยก็มีเหงื่อผุดออกมา นางผลักสวีโย่วลงข้างๆ ขึ้นเสียงตะโกนเรียกหลีฮวากับแม่นมมั่วและคนอื่นๆ ที่รออยู่ข้างนอกนานแล้ว 


 


 


“คารวะท่านเขย คุณหนู” ทุกคนเคารพพร้อมกัน 


 


 


เสิ่นเวยไม่ได้รู้สึกอะไร แต่แม่นมมั่วกลับพูดแก้ “เรียกคุณหนูไม่ได้แล้ว ต่อไปนี้ต้องเรียกฮูหยิน” 


 


 


เสิ่นเวยปรายตามองสวีโย่วปราดหนึ่ง กล่าว “ได้ เช่นนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปก็เรียกฮูหยิน” นางเพิ่งจะอายุสิบห้าก็ได้เป็นฮูหยินแล้ว รู้สึกแก่ยิ่งนัก “อืม แล้วก็ไม่ต้องเรียกท่านเขย ตามจวนอ๋อง เรียกว่าคุณชายใหญ่ก็พอ” เสิ่นเวยคิดคู่หนึ่งแล้วกล่าวเสริม อยู่ในอาณาเขตของคนอื่นเรียกท่านเขย คล้ายเป็นการตบหน้าเล็กน้อย! 


 


 


ทุกคนพากันตอบรับ เร่งมือทำงานอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย 


 


 


เถาจือสั่งสาวใช้เล็กที่ยกน้ำร้อนให้เข้าไปในห้องด้านใน แม่นมมั่วช่วยเสิ่นเวยหาเสื้อผ้าที่จะสวมในวันนี้ หลีฮวาก็ประคองเสิ่นเวยไปอาบน้ำ 


 


 


“แม่นมมั่ว รีบมาแต่งตัวให้ข้า” เสิ่นเวยออกมาจากห้องด้านในแล้วก็นั่งหน้ากระจกกล่าวเร่งรัด 


 


 


แม่นมมั่วย่อมเข้าใจความสำคัญของพิธียกน้ำชาให้ผู้อาวุโสในวันแรกของการแต่งงาน ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็หวีผมแต่งหน้าให้เสิ่นเวย แม่นมมั่วเข้าใจนิสัยของเสิ่นเวยอยู่นานแล้ว ไม่ต้องใช้แป้ง เพียงแค่เขียนคิ้ว แต้มริมฝีปากชมพู จากนั้นก็แต้มชาดเล็กน้อยบนแก้ม ตบแต่งอย่างเรียบง่ายเช่นนี้ใบหน้าของเสิ่นเวยก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที 


 


 


เครื่องประดับยังคงเรียบง่ายดูดี ทั้งศีรษะปักเพียงปิ่นหยกสีเขียวหนึ่งอัน แต่กลับไม่ได้ดูซอมซ่อเลยแม้แต่นิดเดียว ต่างหูยังคงเป็นไข่มุก เพียงแต่เปลี่ยนเป็นรูปดอกไม้ 


 


 


หลีฮวากอบเสื้อผ้ารออยู่ข้างๆ แล้ว ยังคงเป็นชุดสีแดง ข้างบนใช้ด้ายทองปักลายมงคลและนกกระจอก 


 


 


ตอนที่สวีโย่วออกมา เสิ่นเวยเพิ่งจะแต่งตัวเสร็จ นางยิ้มหวานให้สวีโย่ว ถาม “เหมาะสมหรือไม่” 


 


 


ในดวงตาสวีโย่วเต็มไปด้วยความตกตะลึง คิ้วเลิกขึ้น กล่าว “ย่อมต้องเหมาะสมที่สุด ฮูหยินของข้าผู้แซ่สวีจะไม่เหมาะสมได้อย่างไร” ท่าทางภาคภูมิใจนั้น ทำให้เสิ่นเวยอดยิ้มไม่ได้ 


 


 


ในห้องโถงเล็กจัดวางอาหารเช้าไว้เรียบร้อยแล้ว สวีโย่วพาเสิ่นเวยมานั่ง “กินให้อิ่มก่อนแล้วค่อยไป” 


 


 


เสิ่นเวยย่อมไม่มีความเห็นอื่น ในแผ่นการของนางไม่เคยบัญญัติไว้ว่าต้องปล่อยให้ท้องหิว  

 

 


ตอนที่ 216-1 คลื่นยักษ์ในพิธียกน้ำชา

 

คุณภาพอาหารของจวนจิ้นอ๋องยังนับได้ว่าสูงอย่างยิ่ง เสิ่นเวยชิมไปไม่กี่คำก็พยักหน้าอย่างพอใจ กินไปได้ครึ่งหนึ่ง แม่นมซือประจำกายพระชายาจิ้นอ๋องก็เดินเข้ามา “คารวะคุณชายใหญ่ ฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ พระชายาให้บ่าวมาดูว่าเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือยัง” 


 


 


นี่เป็นการตำหนิที่พวกเขาล่าช้าจึงมาเร่งรัดหรือไม่ ดวงตาเสิ่นเวยกะพริบวาบ วางตะเกียบลงลุกขึ้นกล่าว “ทำเสด็จแม่เป็นห่วงแล้ว เสด็จแม่ร้อนใจแล้วหรือ พวกข้า พวกข้าจะไปเดี๋ยวนี้” บนใบหน้ามีความรีบร้อน มองสวีโย่วที่ยังคงนั่งตัวตรงกินข้าว 


 


 


สวีโย่วไม่แม้แต่จะเหลือบตาขึ้นมอง เหล่าคนรับใช้ก็ยิ่งก้มหน้าไม่กล้าส่งเสียงสักนิดเดียว ความเงียบสงัดแผ่กระจายทั่วห้องโถงเล็ก กดดันยิ่งนัก 


 


 


เสิ่นเวยที่ยืนอยู่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างถึงที่สุด นางเป็นเจ้าสาว หน้าบาง สามีก็ยังไม่ไว้หน้าเพียงนี้ ดวงตาของนางก็แดงทันที เอ่ยปากด้วยความกล้าหาญแต่สีหน้ากลับลำบากใจ “ท่าน…ท่านพี่ เสด็จพ่อ เสด็จแม่รออยู่ พวกเรารีบไปดีกว่า” ทว่าเท้าใต้โต๊ะกลับเตะสวีโย่วหนึ่งครา สักนิดก็ได้แล้ว รีบเอ่ยปากสักหน่อย แสดงเกินบทบาทจะไม่ดีเอา 


 


 


จากนั้นก็เห็นสวีโย่ววางถ้วยลงบนโต๊ะดัง ‘ปัง’ กล่าวกับเสิ่นเวยอย่างไม่พอใจ “โวยวายอะไร จะให้คนกินข้าวเช้าดีๆ หรือไม่ นั่งลง กินข้าวของเจ้า ยกน้ำชาเป็นพิธีที่ต้องใช้แรง ไม่กินให้อิ่มอีกประเดี๋ยวจะขายหน้าข้า” 


 


 


จากนั้นก็ตำหนิหลีฮวาและคนรับใช้ที่ยืนปรนนิบัติคนอื่นๆ “แต่ละคนไม่มีตาดีสักนิด ไม่เห็นหรือว่าฮูหยินพวกเจ้าเพิ่งจะจับตะเกียบ ยืนบื้ออยู่ทำไม ยังไม่รีบมารับใช้ฮูหยินกินข้าวอีก เก็บพวกเจ้าไว้ทำไมกัน แต่ละคนวางมาดสูงกว่านายเสียอีก” ใครบอกว่าคุณชายใหญ่สวีเย็นชา เขาเองก็ชี้หน้าด่าเป็น เห็นสีหน้าของแม่นมซือเหยเกขึ้นมาแล้ว 


 


 


นายท่านเจ้าบ้านก็พูดเช่นนี้แล้ว เสิ่นเวยที่เป็นเจ้าสาวที่เพิ่งเข้าเรือนมาย่อมต้องเชื่อฟังสามี นางยิ้มขอโทษให้แม่นมซือเล็กน้อย สั่นระริกนั่งลงกินข้าวเช้าต่อ อืม หมันโถวลูกเล็กเนื้อนุ่มนี้ทำได้ไม่เลว ต้องกินอีกลูก ผักดองจากนนี้ก็ชุ่มคอยิ่งนัก ต้องกินอีกหน่อย เสิ่นเวยกวาดสายตา ตะเกียบของหลีฮวาก็ยื่นไปทางนั้น นายบ่าวทั้งสองรู้ใจกันยิ่งนัก 


 


 


สวีโย่วเพิ่งจะมองแม่นมซือ “หากข้าจำไม่ผิด น้องสะใภ้รองกับน้องสะใภ้สามต่างก็ยกน้ำชายามซื่อ ตอนนี้เพิ่งจะยามเฉิน เสด็จแม่ก็ร้อนใจแล้วหรือ” 


 


 


แม่นมซือพูดอะไรได้หรือ แม้ว่านายท่านผู้นี้จะเป็นคุณชายใหญ่ในจวน แต่นางกับนายท่านผู้นี้ยังไม่เคยผูกมิตรกันจริงๆ เลย นางไหนเลยจะคิดว่านายท่านผู้นี้ไม่ไว้หน้านางเลยแม้แต่นิดเดียว อย่างไรเสียนางก็เป็นแม่นมที่มีเกียรติที่สุดประจำกายพระชายา เมื่อคิดถึงท่าทีที่เขาตำหนิฮูหยินใหญ่ แม่นมซือก็เข้าใจเล็กน้อย แม้แต่ฮูหยินใหญ่ที่เพิ่งเข้าเรือนยังถูกตำหนิ นับประสาอะไรกับนางที่เป็นบ่าว มิน่าเล่าพระชายาถึงแอบพูดว่าคุณชายใหญ่มีนิสัยแปลกๆ ผิดมนุษย์มนาทั่วไป 


 


 


“ได้อย่างไรกัน พระชายาเป็นห่วงว่าคุณชายใหญ่กับฮูหยินใหญ่อายุน้อย กลัวว่าจะมีตรงไหนไม่เข้าใจ สั่งให้บ่าวมาช่วยเหลือ” แม่นมซือกล่าวพร้อมรอยยิ้ม 


 


 


สวีโย่วพยักหน้าเล็กน้อย บอกเป็นนัยว่าเข้าใจแล้ว “ทำให้เสด็จแม่เป็นกังวลแล้ว” ทว่ากลับเปลี่ยนเรื่อง “เสด็จแม่ก็เป็นกังวลเกินไป ข้ากับฮูหยินไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่ยังมีแม่นมมั่วอยู่หรือ นางเป็นคนเก่าคนแก่ในวัง จะไม่เข้าใจได้อย่างไร” 


 


 


ประโยคเรียบๆ หนึ่งประโยคกลับพูดจนแม่นมซือเหงื่อแตกไปทั่วทั้งร่าง คุณชายใหญ่หมายความว่าอย่างไร ไม่ใช่ตำหนิพระชายาที่ยุ่งเรื่องผู้อื่นมากไปหรือ แต่นางเป็นแค่บ่าวก็ทำได้เพียงรับฟัง ยิ้มเจื่อนยืนอยู่ที่เดิมด้วยความอึดอัด 


 


 


ท่ามกลางความทรมานของแม่นมซือในที่สุดสวีโย่วก็กินเสร็จแล้ว เขาลุกขึ้นยืนมือไพล่หลังเดินออกไปข้างนอก “ไปเถอะ ไปยกน้ำชาให้เสด็จแม่” เสิ่นเวยเร่งฝีเท้าเล็กๆ ตามอยู่ข้างๆ เขาราวกับสตรีตัวน้อยทันที 


 


 


แม่นมซือไปรายงานก่อน สวีโย่วพาเสิ่นเวยเดินยุรยาตรเข้าไปในเรือนหลัก เดินไปพลางแนะนำทัศนียภาพในจวนให้นางไปพลาง ข้างหลังตามมาด้วยสาวใช้ที่ถือ**บของขวัญหนึ่งกลุ่ม 


 


 


อันที่จริงสวี่โย่วอยากจูงมือเล็กๆ ของเสิ่นเวยอย่างยิ่ง กลับถูกนางปฏิเสธ ในเมื่อจะเล่นละครก็ต้องเล่นให้สมจริง แม้จะรู้ว่าไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องถูกเปิดโปง แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ใช่เวลาที่จะถูกเปิดโปงไม่ใช่หรือ นางเพิ่งจะมาถึง สงบเสงี่ยมหน่อยดีกว่า โวยวายข่มขู่คนที่จริงแล้วไม่ใช่นิสัยของนาง นางเป็นคนรักสันติ รักชีวิต 


 


 


ดังนั้นคนรับใช้ในจวนอ๋องมองดูไกลๆ แล้ว จึงคิดว่าคุณชายใหญ่กำลังตำหนิฮูหยินเจ้าสาวคนใหม่อยู่ ส่วนฮูหยินใหญ่ที่เพิ่งแต่งเข้ามาผู้นั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย ยังคิดว่าคุณชายใหญ่แต่งฮูหยินแล้วจะมีนิสัยอ่อนโยนขึ้น ไม่คิดว่า… เหอะ ฮูหยินใหญ่น่าสงสารยิ่งนัก 


 


 


“มาแล้วๆ คุณชายใหญ่ ฮูหยินใหญ่มาแล้ว รีบเข้ามาด้านในเถิดเจ้าค่ะ” หวาเยียนที่ยืนรอต้อนรับอยู่หน้าประตูสั่งคนให้ไปรายงานด้านในไปพลาง ต้อนรับเข้ามาอย่างกระตือรือร้นไปพลาง โค้งตัวคำนับกล่าว “คารวะคุณชายใหญ่และฮูหยินใหญ่” จากนั้นจึงนำสวีโย่วและเสิ่นเวยเข้าไปข้างในด้วยตัวเอง 


 


 


ก้าวเข้าธรณีประตู เสิ่นเวยก็เห็นสามีภรรยาวัยกลางคนหนึ่งคู่ที่นั่งตัวตรงอยู่บนที่นั่งเจ้าภาพ จิ้น 


 


 


พระชายานางเคยเจอแล้ว เพียงแต่วันนี้เห็นนางสวมชุดตัวใหญ่สีแดงเข้มปักลายเมฆและนกกระจอก บนศีรษะปักปิ่นระย้าทองสลักลายเฟิ่งหวงสองอัน บนใบหน้าแต่งหน้าบางๆ ท่าทางสง่างามสูงส่ง เมื่อเห็นพวกเขาเข้ามา บนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้ม “โย่วเอ๋อร์กับภรรยาโย่วเอ๋อร์มาแล้ว เด็กดี ไหนมาให้แม่ดูสิ” คนที่ขานเรียกก็คือเสิ่นเวย 


 


 


“เหตุใดถึงมาช้าเพียงนี้ ปล่อยให้ผู้ใหญ่รอ เหมือนกับอะไรดี” ทว่าจิ้นอ๋องกลับมีสีหน้าไม่พอใจ เขารอมาครึ่งชั่วยามแล้ว ลูกชายคนโตเพิ่งจะพาเจ้าสาวเดินกรีดกรายมา เขาจะมีความสุขได้อย่างไร หากไม่ใช่พระชายาโน้มน้าวไว้ เขาก็คงจะสะบัดแขนเสื้อออกไปนานแล้ว 


 


 


เสิ่นเวยชายตามองจิ้นอ๋องอย่างรวดเร็ว เป็นคุณอารูปงามวัยกลางคนที่ดูแลตัวเองดีอย่างถึงที่สุด หน้าตาเหมือนสวีโย่วสามส่วน เพียงแค่สีหน้าไม่พอใจนั่นทำให้เสิ่นเวยรู้สึกไม่ดีกับเขาทันที 


 


 


สวีโย่วไม่รีบไม่ร้อน กล่าวถามพระชายาจิ้นอ๋องด้วยความประหลาดใจ “ในจวนเปลี่ยนกฎตั้งแต่เมื่อไร เหตุใดถึงไม่มีใครแจ้งลูกเลย น้องสะใภ้รองน้องสะใภ้สามยกน้ำชาต่างก็เป็นยามซื่อ เหตุใดพอเป็นลูกถึงได้เปลี่ยนเล่า” 


 


 


คิ้วของจิ้นอ๋องขมวดมุ่นทันที สายก็คือสาย ยังมัวพูดมากหาเหตุผมอยู่อีก ช่างไม่รู้กาลเทศะเสียจริงๆ กำลังจะอ้าปากตำหนิ พระชายาข้างกายก็กระแทกแขนของเขา “ท่านอ๋องก็พูดให้น้อยหน่อย ลูกก็มาแล้วมิใช่หรือ” นางเป็นคนตั้งใจปลุกท่านอ๋องมาตั้งแต่เช้าตรู่ 


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องหันไปทางสามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันที่ยืนอยู่ตรงหน้า บนใบหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยรอยยิ้ม กล่าวอย่าเป็นมิตร “อย่าถือสาพ่อเจ้าเลย เขาก็ใจร้อนเช่นนี้ จะเร็วจะสายอะไรกัน เป็นคนบ้านเดียวกันใครจะมาคิดเล็กคิดน้อยเรื่องนี้ มาๆๆ รีบยกน้ำชาเถอะ ชาของลูกสะใภ้แก้วนี้ข้าเฝ้ารอมาหลายปีแล้ว” 


 


 


หวาเยียนที่เตรียมการอยู่นานแล้วก็ส่งแก้วชาเข้ามาทันที “ฮูหยินใหญ่ เชิญท่านยกน้ำชา” 


 


 


เสิ่นเวยลังเลครู่หนึ่งจึงรับแก้วชาเข้ามา แต่เนิ่นนานกลับไม่ได้ยกให้พระชายาจิ้นอ๋อง ในตอนที่รอยยิ้มบนใบหน้าพระชายาจิ้นอ๋องแทบจะประคองไว้ไม่อยู่แล้ว เสิ่นเวยก็ร้อง ‘ฮือ’ ออกมา 


 


 


คนในห้องต่างก็ตกตะลึง นี่ นี่มันอะไรกัน 


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องเองก็คลายสะดุ้งตกใจ ไล่ถามซ้ำไปซ้ำมา “เป็นอะไร เป็นอะไร ภรรยาโย่วเอ๋อร์เป็นอะไรไป ได้รับความไม่เป็นธรรมอะไรหรือ โย่วเอ๋อร์ใช่เจ้ารังแกภรรยาเจ้าหรือไม่ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว เด็กดี มีอะไรไม่พอใจก็บอกแม่ แม่กับพ่อจะช่วยเจ้าเอง” 


 


 


หลังจากนั้นสายตาที่จิ้นอ๋องมองลูกชายคนโตก็ยิ่งขรึมเคร่ง น่าขายหน้า เจ้าสาวที่แต่งเข้ามาวันแรกก็ถูกรังแกร้องไห้ต่อหน้าผู้อาวุโส มันช่าง มันช่าง…เขามือสั่นชี้สวีโย่ว โกรธจนพูดไม่ออกแล้ว 


 


 


“ไม่ ไม่เกี่ยวกับท่านพี่ ท่านพี่ดีต่อลูกอย่างยิ่ง” เสิ่นเวยสะอึกสะอื้นไห้ เนิ่นนานภายใต้การปลอบโยนของพระชายาจิ้นอ๋องกว่าจะหยุดร้องไห้ได้ เสิ่นเวยที่เพิ่งร้องไห้ก็ยิ่งมีท่าทางน่าสงสาร “เสด็จแม่ไม่ชอบลูกใช่หรือไม่” นางเช็ดน้ำตาถามเสียงเบา แม้ว่าเสียงจะเบา แต่คนทั้งห้องก็ได้ยินกันถ้วนหน้า 


 


 


นอกจากสวีโย่วที่ยืนสีหน้าเรียบเฉยอยู่ตรงนั้น คนที่เหลือก็จับต้นชนปลายไม่ถูกอย่างยิ่งเช่นเดียวกับพระชายาจิ้นอ๋อง “ภรรยาโย่วเอ๋อร์ไปเอาคำพูดมาจากไหนกัน” 


 


 


เสิ่นเวยกัดริมฝีปาก ครู่ใหญ่จึงกล่าว “เสด็จแม่ให้ลูกยกน้ำชา แม้แต่เบาะก็ยังไม่มี นี่ไม่ได้หมายความว่าไม่ชอบลูกหรอกหรือ” นางเม้มปาก ใช้ดวงตาที่ดูเหมือนขลาดกลัวลอบมองพระชายาจิ้นอ๋องปราดหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าว “ตอนที่ลูกยังไม่ออกเรือนก็ได้ยินคนพูดกันว่า มีแม่สามีใจร้ายเหล่านั้นที่ตั้งใจกลั่นแกล้งตอนที่สะใภ้ยกน้ำชา ชาที่ยกเป็นน้ำร้อนจัดบ้างล่ะ ไม่วางเบาะปล่อยให้สะใภ้คุกเข่าลงบนพื้นบ้างล่ะ ในเบาะซ่อนเศษกระเบื้องและเข็มแหลมไว้บ้างล่ะ แสร้งมือลื่นถือแก้วชาไม่ได้ทำหกใส่สะใภ้บ้างล่ะ” 


 


 


เสิ่นเวยยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งสั่น ท่าทางหวาดกลัวอย่างยิ่ง “เสด็จแม่ เสด็จแม่ ลูกรู้ว่าตนโง่ ท่านอย่าได้รังเกียจลูก ลูกจะกตัญญูต่อท่านและเสด็จพ่อเป็นอย่างดี” ขณะที่พูด นางก็ดึงแขนเสื้อของพระชายาจิ้นอ๋อง น้ำตาไหลพรั่งพรูลงมาอีกครั้ง ร้องไห้ด้วยความเสียใจ 


 


 


คนในห้องนอกจากสวีโย่วที่ยกมุมปากอยู่เงียบๆ สายตาคนอื่นๆ ที่มองเสิ่นเวยก็คล้ายเห็นตัวประหลาด พูดความคิดออกมาตรงๆ เช่นนี้ คนผู้นี้โง่หรือ เป็นคนโง่หรือ หรือว่าเป็นคนโง่ 


 


 


คุณชายสี่สวีฉั่งก็ยิ่งพ่นน้ำชาออกมา แทบจะตกลงจากเก้าอี้ จ้องมองพี่สะใภ้ใหญ่คนใหม่ผู้นี้ของเขา หลังจากนั้นก็ดีใจแล้ว ใครๆ ก็บอกว่าเขาสมองกลวง ดูท่าแล้วพี่สะให้ใหญ่คนใหม่ผู้นี้จะสมองกลวงยิ่งกว่าเขาเสียอีก 


 


 


ใบหน้าของพระชายาจิ้นอ๋องดำมืดแล้ว แต่กลับยังแสร้งทำท่าทีเอ็นดูปลอบขวัญเสิ่นเวย “ดูสิทำภรรยาโย่วเอ๋อร์ตกใจหมดแล้ว เป็นความผิดของแม่เอง เป็นแม่ที่สะเพร่า…” 


 


 


พูดยังไม่ทันขาดคำ หวาอวิ๋นข้างๆ ก็คุกเข่าลง “ฮูหยินใหญ่ นี่ไม่เกี่ยวกับพระชายา พระชายาสั่งบ่าวแต่เช้าแล้ว แต่บ่าวสะเพร่าลืมไปชั่วขณะ ฮูหยินใหญ่ บ่าวสมควรตาย ท่านลงโทษบ่าวเถิดเจ้าค่ะ” 


 


 


“นี่…ทำอะไรกัน” เสิ่นเวยสะดุ้งตกใจจนถอยหลังไปหนึ่งก้าวใหญ่ “เจ้า เจ้ารีบลุกขึ้น” นางลนลานไม่รู้จะวางมือวางเท้าไว้ตรงไหน มองพระชายาจิ้นอ๋องราวกับขอความช่วยเหลือ “เสด็จแม่ นี่คือสาวใช้ใหญ่ยอดเยี่ยมประจำกายท่าน ท่านรีบสั่งนางให้ลุกขึ้นเถิด” 


 


 


คราวนี้พระชายาจิ้นอ๋องไม่ทำโทษหวาอวิ๋นก็ไม่ได้แล้ว “ปกติเจ้าก็ปราดปเรียว เหตุใดวันนี้ถึงได้สะเพร่าเช่นนี้ หากวันนี้ข้าไม่ลงโทษเจ้า คุณชายใหญ่กับฮูหยินใหญ่ก็คงไม่ได้รับความเป็นธรรม เด็กๆ ลากออกไป โบยห้าครั้ง ตัดเงินเดือนสามเดือน” 


 


 


แววตาสวีโย่วนิ่งงัน ถีบคนที่มาลากหวาอวิ๋นออกไปข้างๆ ทันที “หากเสด็จแม่จะลงโทษก็กลับไปลงโทษที่เรือนของท่าน วันนี้เป็นวันแรกของการแต่งงานของลูก อย่าสร้างความรำคาญใจให้ลูกที่นี่ เป็นลางไม่ดี” 


 


 


เสิ่นเวยเองก็รีบร้องขอ “เหตุใดเสด็จแม่ถึงบันดาลโทสะเล่า นางสำนักผิดแล้ว แก้ไขก็พอแล้ว ไม่ต้องลงโทษอีกหรอกกระมัง แม้จะลงโทษตัดเงินเดือนก็พอแล้ว โบยจนเจ็บไม่ใช่จะทำให้เสด็จแม่เสียใจหรือ” 


 


 


พระชายาจิ้นอ๋องแทบจะเป็นลม คาดไม่ถึงว่าคนชั่วสมควรตายผู้นี้จะพูดว่านางเป็นลางไม่ดี “ในเมื่อฮูหยินใหญ่ขอร้องแทนเจ้าแล้ว จะยังคุกเข่าอยู่ตรงนี้ทำไม ยังไม่รีบลุกขึ้นยืนอีก” ไฟโกรธทั้งทรวงอกของพระชายาจิ้นอ๋องหาที่ระบายไม่ได้ ทำได้เพียงพาลใส่หวาอวิ๋น ความรู้สึกที่ขโมยไก่ไม่ได้ซ้ำยังเสียข้าวสารช่างน่าอึดอัดอย่างถึงที่สุด 


 


 


หวาอวิ๋นโขกศีรษะให้เสิ่นเวยอย่างรีบร้อน “ขอบคุณพระชายาที่เมตตา ขอบคุณฮูหยินใหญ่” ลุกขึ้นยืนตัวสั่นหลบไปข้างหลังแล้ว  

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)