อัจฉริยะสมองเพชร 2150-2155

 ตอนที่ 2150 ตัวโคลนของจางเซวียน!

เมื่อฝ่าปราการเข้าสู่ความเป็นเทพเจ้าได้แล้ว อีกฝ่ายก็มีพละกำลังเหนือกว่าที่เขาจะจินตนาการได้


ฟึ่บ!


เกิดรูขนาดมหึมาบนตาข่าย


จางเซวียนถอยไปหลายร้อยเมตรก่อนจะตั้งตัวได้อีกครั้ง ใบหน้าของเขาซีดเผือดและกระอักเลือดออกมา


แค่การปะทะครั้งเดียว เขาก็บาดเจ็บสาหัสแล้ว!


แต่ถึงจะเจอแบบนั้น จางเซวียนก็ยังดำเนินการบรรยายต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นักรบอมตะตัวจริงทั้งหนึ่งแสนชีวิตยังคงตั้งใจฟังคำบรรยายของเขาโดยไม่รู้เลยว่ามีบางอย่างผิดปกติ


“มานี่” ปรมาจารย์ขงหันไปมองแท่นบูชาและส่งเสียงเรียก


เขารู้ดีว่ารังสีสวรรค์คือกุญแจของการสู้รบครั้งนี้ หากได้มันมาเมื่อไหร่ ชัยชนะก็อยู่ในกำมือ


ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาจะหมดหนทางต่อสู้อย่างสิ้นเชิง


ฟึ่บ!


รังสีสวรรค์สีดำที่อยู่บนแท่นบูชาลอยละลิ่วเข้าสู่มือของปรมาจารย์ขง


“ไม่นะ!” หวู่เฉินกับตู้ชิงหย่วนร้องออกมาด้วยใบหน้าซีดเผือด ทั้งคู่กระโจนขึ้นสู่กลางอากาศเพื่อช่วงชิงรังสีสวรรค์สีดำ


แต่ด้วยการชำเลืองมองเพียงแวบเดียวของปรมาจารย์ขง ทั้งคู่ก็รู้สึกได้ถึงพละกำลังมหาศาลที่ถาโถมเข้าใส่ ทำให้พวกเขากระอักเลือดออกมา


แม้หวู่เฉินกับตู้ชิงหย่วนจะสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์แล้ว แต่ประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกเขาก็ยังอ่อนด้อยกว่าจ้าวหย่ากับพรรคพวกอยู่มาก ไม่มีทางรับมือกับปรมาจารย์ขงได้เลย


“ฮ่าฮ่าฮ่า! ตอนนี้ความหวังสุดท้ายที่พวกคุณดิ้นรนไขว่คว้ากันเหลือเกินก็อยู่ในกำมือของผมแล้ว มาดูกันว่าคุณจะทำอะไรได้!” ปรมาจารย์ขงหัวเราะลั่นขณะมองจางเซวียนด้วยแววตาเย้ยหยัน


ตราบใดที่จางเซวียนยังไม่อาจเข้าถึงระดับเทพเจ้าเหมือนอย่างตัวเขา ก็ไม่มีวันสู้กับเขาได้ การสู้รบเป็นอันจบสิ้น


“คุณคิดจริงๆหรือว่าผมจะไม่มีทางเล่นงานคุณเพียงเพราะผมไม่อาจฝ่าด่านวรยุทธ?” เสียงสุขุมเสียงหนึ่งดังขึ้นเคียงข้างการบรรยายของจางเซวียน


หนังสือเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ มันพุ่งเข้าใส่ปรมาจารย์ขงด้วยความเร็วอันน่าสะพรึง


“หน้าหนังสือสีทอง? ตกลงว่าคุณมีมันหรือนี่! แต่คิดหรือว่าผมจะไม่มีวิธีกำจัดเจ้าสารเลวนั่น?”


เห็นหนังสือที่กำลังพุ่งเข้ามามีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ปรมาจารย์ขงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มเยาะ จากนั้นก็ยกมือขึ้นและโบกเบาๆ


รังสีแปลกประหลาดชนิดหนึ่งแผ่ซ่านออกมาโอบล้อมทั้งร่างของเขาไว้ การปรากฏตัวของเขาดูจะหายวับไปจากโลก ราวกับหายตัวออกจากโลกนี้ไปอย่างกะทันหัน


เมื่อไม่เห็นปรมาจารย์ขง หน้าหนังสือสีทองหยุดชะงัก มันไม่พบเป้าหมายในการโจมตี


ปรมาจารย์ขงมีสภาวะของการปฏิเสธสวรรค์เช่นกัน ทั้งยังใช้ศาสตร์ลับเพื่อหลบหนีคำพิพากษาของสวรรค์ด้วย ต่อให้หน้าหนังสือสีทองจะทรงพลังแค่ไหน ก็ไร้ประโยชน์หากไม่มีเป้าหมาย…จางเซวียนคิดอย่างเคร่งเครียด


แม้หน้าหนังสือสีทองจะแข็งแกร่ง แต่ก็ต้องการเงื่อนไขบางอย่างที่จำเป็นสำหรับการโจมตี แถมยังมีช่วงเวลาระยะหนึ่งก่อนที่หน้าหนังสือสีทองจะเข้าเล่นงาน ทำให้คู่ต่อสู้สามารถเตรียมตัวรับมือได้ล่วงหน้า


ในเมื่อปรมาจารย์ขงรู้จักธรรมชาติของหน้าหนังสือสีทอง การที่เขาจะเตรียมการตอบโต้มันก็ไม่ได้ยากเกินไป!


สิ่งที่ปรมาจารย์ขงทำคือปกปิดตัวตนของเขาไว้อย่างมิดชิด ไม่ให้สวรรค์มองเห็น หน้าหนังสือสีทองจึงหมดหนทางในการตามตัวเขา


“คุณเองก็ประเมินผมต่ำไปนะ ผมไม่ได้มีไม้ตายเพียงอย่างเดียวไว้เล่นงานปรมาจารย์ขงผู้ยิ่งใหญ่หรอก คุณอยากลองคิดดูไหมว่าทำไมผมถึงใช้หน้าหนังสือสีทองกับคุณ แม้จะรู้ดีว่ามีความเป็นไปได้สูงที่คุณจะรู้จักมัน?” จางเซวียนพูดด้วยน้ำเสียงสุขุมขณะดำเนินการบรรยายต่อไป


ขณะที่คำพูดเหล่านั้นพรั่งพรูออกมา เปลวเพลิงบนแท่นบูชาก็ลุกโชนขึ้นสู่กลางอากาศ ร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับดาบในมือ


ตัวโคลนของจางเซวียน!


ตัวโคลนซ่อนตัวอยู่ในเปลวเพลิงของแท่นบูชา รอเวลาเข้าโจมตีเมื่อปรมาจารย์ขงถูกหน้าหนังสือสีทองเบี่ยงเบนความสนใจ


ปรมาจารย์ขงมัวแต่ระแวดระวังจางเซวียนกับหน้าหนังสือสีทองจนไม่ทันเห็นการปรากฏตัวของตัวโคลน ขณะที่ไม่ได้ระวังตัวให้ดี ก็ถูกแทงเข้าที่ฝ่ามืออย่างจัง ทำให้เลือดสดๆทะลักออกมา


แต่ดาบก็หยุดอยู่แค่นั้น ตัวโคลนพบว่าเขาไม่อาจจ้วงแทงลึกกว่าเดิมได้


กายเนื้อของเทพเจ้าแข็งแกร่งมาก แม้ด้วยความแข็งแกร่งเหนือชั้นของตัวโคลนซึ่งมีประสิทธิภาพเหนือกว่าของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์และเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าก็ทำได้แค่ถากๆผิวหนังของปรมาจารย์ขงเท่านั้น ต่อให้อย่างดีที่สุด ก็บาดเจ็บได้พอๆกับการฉีดยาที่ผิดพลาด


“ฮ่าฮ่าฮ่า! น่าทึ่งจริงๆ! คุณทำร้ายผมได้ด้วย! การที่คุณได้รับเลือกจากสวรรค์คงไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยไร้เหตุผลสินะ…แต่คุณคิดจริงๆหรือว่าของแบบนั้นจะทำอะไรเทพเจ้าอย่างผมได้?”


ปรมาจารย์ขงสอยตัวโคลนกระเด็นไปด้วยการโบกมือ ก่อนจะหันกลับมามองจางเซวียนด้วยทีท่าของผู้ที่แข็งแกร่งไร้เทียมทาน


เหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้การจัดฉากของจางเซวียนได้ผลก็เพราะปรมาจารย์ขงปล่อยให้มันเกิดขึ้น เขารู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างแล้วตั้งแต่ตอนที่ตัวโคลนของจางเซวียนไม่ปรากฏตัวในสนามรบ


แม้จะรู้ดีว่านี่คือหลุมพราง แต่ปรมาจารย์ขงก็ไม่ได้ใส่ใจจะระวังตัว นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าการจัดฉากทุกอย่างย่อมล้มเหลวเมื่อเจอกับพละกำลังที่แข็งแกร่ง


ต่อให้ผมยืนเฉยๆ ปล่อยให้คุณโจมตีตามใจ คุณก็คิดว่าจะฆ่าผมได้งั้นหรือ?


เมื่อเผชิญหน้ากับเทพเจ้าตัวจริง นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ก็ไม่ต่างอะไรกับมด!


“ผมไม่ปฏิเสธหรอกนะ อาการบาดเจ็บเล็กน้อยคงไม่มีความหมายอะไรกับเทพเจ้า แต่รังสีสวรรค์ในมือของคุณจะเปลี่ยนไป…” จางเซวียนหัวเราะหึๆ


ปรมาจารย์ขงชะงักกับคำพูดนั้นและก้มลงมอง เห็นบรรยากาศการเสื่อมถอยสีดำที่อยู่ในรังสีสวรรค์กำลังพุ่งพล่านอยู่ในบาดแผลของเขา มือของเขาเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นภาพน่าขยะแขยง


“คุณ…”


ปรมาจารย์ขงรีบปล่อยรังสีสวรรค์สีดำในมือด้วยพรั่นพรึง มันร่วงลงสู่แท่นบูชาอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้น รังสีสวรรค์สีดำก็ยังคงปล่อยบรรยากาศการเสื่อมถอยออกมา ซึ่งถูกดึงดูดเข้าสู่บาดแผลที่มือของปรมาจารย์ขง


รังสีสวรรค์สีดำเป็นสิ่งที่โครงกระดูกสีดำสร้างขึ้นด้วยการบีบอัดบรรยากาศเสื่อมถอยในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายเข้าด้วยกัน ความเข้มข้นของมันจึงสูงมาก อย่าว่าแต่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ ต่อให้เทพเจ้าตัวจริงก็ไม่อาจต้านทานได้!


“บ้าเอ๊ย!”


ปรมาจารย์ขงสาปแช่งอย่างโกรธเกรี้ยวขณะปล่อยพลังงานทั้งหมดของเขาออกมาเพื่อยับยั้งบรรยากาศการเสื่อมถอย


ด้วยพละกำลังที่ได้มาใหม่ในฐานะเทพเจ้า แม้บรรยากาศเสื่อมถอยโดยทั่วไปก็ไม่อาจยับยั้งเขาได้ นั่นทำให้เขาคิดว่าในมิติเบื้องบนแห่งนี้ คงไม่มีอะไรทำอันตรายเขาได้อีก แต่ความคิดแบบนั้นย้อนกลับมาเล่นงานเขาเอง


ฟึ่บ!


เมื่อรู้สึกเสื่อมเสียเกียรติจากการถูกเหยียดหยาม ปรมาจารย์ขงพุ่งเข้าใส่จางเซวียน


แม้จะถูกบรรยากาศเสื่อมถอยสีดำเล่นงาน แต่พละกำลังของปรมาจารย์ขงก็ยังเหนือชั้นกว่าทุกชีวิตในมิติเบื้องบน เขาปล่อยพลังเต็มพิกัดจากฝ่ามือเข้าใส่จางเซวียนด้วยความโกรธเกรี้ยว


มันคือการโจมตีอันทรงพลังที่สามารถฉีกกระชากได้แม้แต่มิติ ทำให้เกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง


พละกำลังมหาศาลถาโถมเข้าใส่จางเซวียน แต่ยังไม่ทันจะได้ชี้ชะตาของเขา ไก่น้อยสีเหลืองตัวหนึ่งก็ปรากฏตัวตรงหน้าปรมาจารย์ขง มันอ้าปากกว้างจนผิดธรรมชาติ งับปรมาจารย์ขงไว้ทั้งตัว


ร่างของมันพองออกมาจนเห็นเป็นก้อนเนื้อขนาดใหญ่ ก้อนเนื้อนั้นดิ้นรนเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงเพื่อจะเป็นอิสระ


“กลืนไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ถ้าไม่ไหว ก็รีบคายเขาออกมานะ!” จางเซวียนสั่งการอย่างกังวล


หมอนี่สามารถเขมือบเต่าหลังดำตัวยักษ์ได้ทั้งตัว และทำให้อีกฝ่ายหมดสภาพ บ่งบอกชัดว่าความสามารถในการกลืนกินคือทักษะพิเศษของมัน


แต่เรื่องจริงก็คือไก่น้อยมีวรยุทธแค่อมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ ขณะที่ปรมาจารย์ขงเป็นเทพเจ้าตัวจริง ต่อให้ปรมาจารย์ขงได้รับบาดเจ็บ ช่องว่างระหว่างวรยุทธของทั้งคู่ก็ยังห่างกันมาก


ทั้งหมดที่จางเซวียนหวังให้ไก่น้อยทำก็คือกลืนกินปรมาจารย์ขงไว้ให้ได้สักระยะหนึ่ง จนกว่านักรบอมตะตัวจริงทั้งหนึ่งแสนชีวิตจะรวบรวมจิตใจให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้


เรื่องหนึ่งที่เป็นความโชคดีอย่างมากก็คือเมื่อครู่นี้ปรมาจารย์ขงได้ซึมซับบรรยากาศการเสื่อมถอยสีดำเข้าไปในปริมาณไม่น้อย ทำให้รังสีสวรรค์สีดำเปลี่ยนจากสีดำสนิทกลายเป็นสีเหลืองเข้ม


มันยังไม่บริสุทธิ์เต็มที่ แต่ก็ถือว่าพัฒนาไปได้มาก ก่อนหน้านี้ เปลวเพลิงบนแท่นบูชาจะต้องเปลี่ยนเป็นสีทอง การชำระรังสีสวรรค์จึงจะเสร็จสมบูรณ์ แต่ด้วยสภาวะปัจจุบันของรังสีสวรรค์ ก็คงทำได้ต่อให้เปลวเพลิงยังเป็นสีเหลืองนวล


นั่นหมายความว่าเวลาที่เขาต้องใช้จะลดน้อยลงมาก แต่ก็ยังเป็นคำถามว่าจะยื้อปรมาจารย์ขงไว้ได้นานขนาดนั้นหรือเปล่า


จางเซวียนเพ่งสมาธิทั้งหมดเข้าสู่การบรรยาย ค่อยๆเพิ่มความเข้มข้นของการถ่ายทอดลิขิตสวรรค์ บรรยากาศของการบ่มเพาะและปลอบประโลมอบอวลไปทั่วบริเวณ


ระหว่างนั้น ร่างของไก่น้อยก็ยังหมุนติ้วอย่างแรง เห็นได้ชัดว่าปรมาจารย์ขงกำลังพยายามหาทางออกมา


ในครั้งนั้น เต่าหลังดำซึ่งมีวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เกือบตายหลังจากถูกกลืนกินเข้าไปทั้งตัว แต่ปรมาจารย์ขงยังมีเรี่ยวแรงเคลื่อนไหว…ความแข็งแกร่งของเทพเจ้าช่างน่าสะพรึงเหลือเกิน!


“เร็วเข้า เร็วเข้าสิ…”


รู้ดีว่าไก่น้อยคงต้านทานไม่ได้นานนัก จางเซวียนจับจ้องรังสีสวรรค์บนแท่นบูชาด้วยสีหน้าวิตกกังวล


ตลอดการบรรยายของเขา เปลวเพลิงค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีเหลืองนวล ในเวลาเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นกับรังสีสวรรค์ด้วย สีดำค่อยๆถูกขับออกจากรังสีสวรรค์ ทำให้มันเปลี่ยนจากสีเหลืองเข้มไปเป็นสีเหลืองนวล


“ใกล้แล้ว!”


เห็นการเปลี่ยนสี จางเซวียนรู้ทันทีว่าในที่สุดพิธีกรรมก็เป็นผลสำเร็จ หัวใจของเขาเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้น


ทันใดนั้น มิติที่อยู่เหนือร่างของเขาก็สั่นสะท้าน


ดาบเล่มหนึ่งฟันฉับ จากนั้น ท้องของไก่น้อยก็แบะออกเป็น 2 ซีก ปรมาจารย์ขงที่อยู่ในสภาพยับเยินถือดาบไว้แน่นและก้าวออกมาจากข้างใน ปรากฏตัวต่อหน้าต่อตาทุกคนอีกครั้ง


สีหน้าของเขาบูดเบี้ยวด้วยฤทธิ์โทสะ


เขาหันกลับไปและฟาดฟันร่างของไก่น้อยอย่างคลุ้มคลั่ง


เกิดประกายแสงเย็นวาบ ศีรษะของไก่น้อยหลุดออกไป ร่างของมันถูกเฉือนเป็นชิ้นๆ


ราวกับเท่านั้นยังไม่พอ ปรมาจารย์ขงใช้เปลวเพลิงแผดเผาร่างของไก่น้อยจนเป็นเถ้าถ่าน


“ไม่นะ!”


ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนจางเซวียนไม่ทันได้ทำอะไร เขายืนตัวแข็ง ใจหายวาบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตา


ไม่จริงใช่ไหม…ไก่น้อยตายแล้วหรือ?


ตอนที่ 2151 ไอ้สารเลว…ฉันจะฆ่าแก!

ไก่น้อยตัวนี้อยู่กับเขาตั้งแต่เมื่อครั้งอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ ตอนนั้นมันยังอยู่ในรูปของน้ำเต้า


มันคือจอมตะกละวุ่นวายที่ทำให้เขาเดือดร้อนหลายต่อหลายครั้ง แถมยังขี้เกียจมาก เอาแต่นอนนิ่งอยู่ในจุดตันเถียน ไม่ยอมออกมาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ลงท้ายทั้งคู่ก็มีปากเสียงกันหลายครั้ง


แต่ต่อให้เขาจะโมโหหรือมองบนใส่ไก่น้อย ยังไม่ทันรู้ตัว มันก็กลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของเขาเสียแล้ว…


จางเซวียนไม่นึกเลยว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น


ต่อให้ตัวโคลนของเขาก็ไม่อาจเชื่อมต่อร่างเข้าด้วยกันได้หากถูกฟันจนยับเยินแบบนี้!


“แก ไอ้สารเลว…ฉันจะฆ่าแก!” จางเซวียนตาแดงก่ำ


ไก่น้อยเป็นอสูรของเขา แต่ก็เป็นทั้งเพื่อนและพี่น้อง


ทั้งคู่อยู่ด้วยกันมาตลอดหลังจากเข้าสู่มิติเบื้องบน แม้จะกระทบกระทั่งกันหลายครั้ง แต่ทุกอย่างก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของเขาไปโดยไม่รู้ตัว


ต่อให้ไม่มีความผูกพันทางสายเลือด แต่ก็เป็นเหมือนญาติสนิท


โดยเฉพาะเมื่อทั้งคู่ได้ทำสัญญาผูกมัดจิตวิญญาณต่อกันและกัน จางเซวียนรับรู้ความคิดและอารมณ์ของมันได้ เกิดเป็นความรู้สึกผูกพันล้ำลึกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน


เมื่อรู้ว่าวันคืนเหล่านั้นจะไม่หวนกลับมาอีกแล้ว จางเซวียนรู้สึกว่างเปล่าอย่างรุนแรงอยู่ภายใน


ตอนแรก เขาไม่อยากให้ไก่น้อยกลืนกินปรมาจารย์ขงเพราะคิดว่าอันตรายเกินไป แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้เป็นไปตามนั้นเพราะรู้ดีว่าไม่มีทางเลือกอื่น ไม่ว่าจะเป็นบรรดาศิษย์สายตรงหรือตัวโคลนของเขา ก็ไม่มีใครเก่งกาจพอจะยับยั้งปรมาจารย์ขงได้เลย


ขนาดไม้ตายที่แข็งแกร่งที่สุด คือหน้าหนังสือสีทอง ก็ยังล้มเหลว!


เขาจึงปล่อยให้ไก่น้อยทำไป แต่ก็กำชับมันแล้วว่าให้หยุดทันทีที่รู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ในอันตราย เขาคิดว่าเจ้านั่นคงไม่เป็นอะไรเพราะมันมีความสามารถพิเศษในการฟื้นตัวที่เหนือกว่าอสูรธรรมดา แต่ใครจะไปคิดว่าปรมาจารย์ขงคนนั้นจะทำรุนแรงถึงขนาดเฉือนมันเป็นชิ้นๆก่อนจะเผาจนมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน!


นัยน์ตาของจางเซวียนร้อนรุ่มด้วยเจตนาสังหาร เขากำลังจะพุ่งชนเพื่อต่อกรกับปรมาจารย์ขง ก็พอดีกับที่รู้สึกว่ามีใครคนหนึ่งรั้งตัวไว้ ในตอนนั้น เสียงร้อนรนของหวู่เฉินดังขึ้น “นายน้อย การชำระรังสีสวรรค์ให้บริสุทธิ์เป็นเรื่องสำคัญนะ ไม่อย่างนั้น การสังเวยชีวิตของไก่น้อยจะสูญเปล่า!”


คำพูดนั้นเหมือนน้ำเย็นที่ราดรดจางเซวียน เจตนาสังหารของเขายังคงพลุ่งพล่าน แต่ความมีเหตุมีผลหวนกลับคืนสู่จิตใต้สำนึก เขาหยุดชะงัก


ก็จริง


ด้วยพละกำลังที่มีอยู่ในเวลานี้ ต่อให้เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อต่อกรกับปรมาจารย์ขง เขาก็ไม่มีทางได้ชัยชนะ ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเทพเจ้ากับนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์นั้นเรียกได้ว่าอยู่คนละโลก ลำพังแค่ทักษะหรือความทรหดอดทนไม่อาจเติมเต็มช่องว่างนั้นได้


ถ้าจางเซวียนอยากล้างแค้นให้ไก่น้อย มีวิธีเดียวก็คือต้องชำระรังสีสวรรค์ให้บริสุทธิ์ ซึมซับมัน และยกระดับวรยุทธของเขาให้เข้าถึงขั้นเทพเจ้า


ขอแค่เขาทำสำเร็จ การสังหารอีกฝ่ายก็ไม่ได้ยากเกินไป!


จางเซวียนสูดหายใจลึก จากนั้นก็บรรยายต่อหลังจากหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง “เทคนิคการต่อสู้คือวิธีการถ่ายทอดและสำแดงพละกำลังของนักรบคนหนึ่งให้ตรงจุด…”


เปลวเพลิงบนแท่นบูชามีสีสันเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ


ในเวลานี้ นักรบอมตะตัวจริงกว่า 80,000 ชีวิตได้เปิดใจแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่เรียกว่าประสบความสำเร็จ


“อสูรของคุณกล้ากลืนกินผมทั้งตัวได้อย่างไร คอยดูนะ ผมจะเอาคืนเป็นร้อยเท่า!”


สีหน้าของปรมาจารย์ขงยังบูดเบี้ยวด้วยความโกรธแม้จะสังหารไก่น้อยไปแล้ว เขาคำรามและกวัดแกว่งดาบเข้าใส่จางเซวียน


อาวุธของปรมาจารย์ขงเป็นแค่ของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ แต่เมื่ออยู่ในมือเทพเจ้า ก็สำแดงพละกำลังที่เหนือชั้นกว่าอาวุธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์โดยทั่วไป กระแสดาบฉีที่เขาสำแดงออกมาพุ่งออกไปไกลกว่าสิบลี้ ความคมกริบอย่างน่าสะพรึงของมันทำให้รู้สึกราวกับว่ามิติที่อยู่โดยรอบบอบบางเหมือนแผ่นกระดาษ


“คุ้มกันท่านอาจารย์!”


จ้าวหย่ากับคนอื่นพุ่งเข้าใส่อย่างร้อนใจ ตัวโคลนของจางเซวียนก็ตรงเข้าปกป้องร่างต้นแบบของมัน


แม้ก่อนหน้านี้พวกเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ฟื้นคืนพละกำลังดังเดิมแล้วด้วยการดื่มซุปไก่ในขณะที่ไก่น้อยกำลังกลืนกินปรมาจารย์ขงอยู่


ศิษย์สายตรงทั้ง 11 คนและตัวโคลนของจางเซวียนล้วนมีของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อยู่ในมือ ซึ่งทำให้มีพละกำลังเทียบเท่ากับนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ 24 คน ด้วยการผนึกกำลังกันอย่างเหนียวแน่น พวกเขาสร้างค่ายกลผนึกกำลังที่ทรงพลังขึ้นได้


ถึงการฟาดฟันดาบที่เกิดจากความโกรธเกรี้ยวของปรมาจารย์ขงจะมีพลังรุนแรงมาก แต่ทุกคนก็ปัดป้องมันออกไปได้สำเร็จแม้จะลำบากอยู่บ้าง


“ทับเขาให้ตาย!” จางเซวียนเพ่งสมาธิ


ฟึ่บ!


หน้าหนังสือสีทองที่เมื่อครู่นี้หาเป้าหมายไม่เจอล็อคสายตาของมันไว้ที่ปรมาจารย์ขงและทิ้งตัวลงจากกลางอากาศอีกครั้ง


ความแข็งแกร่งของหอสมุดเทียบฟ้าเพิ่มขึ้นอีกมากเพราะพละกำลังของสรวงสวรรค์แห่งมิติเบื้องบน ซึ่งนั่นหมายความว่าระยะเวลาที่หน้าหนังสือสีทองคงอยู่จะยาวนานขึ้นด้วย ทำให้มันยังคงรีรออยู่แถวนี้ได้แม้การโจมตีครั้งแรกจะล้มเหลว


เมื่อหน้าหนังสือสีทองสำแดงพละกำลังเต็มพิกัดจากด้านบน มิติรอบตัวปรมาจารย์ขงก็แข็งทื่อเพราะแรงกดดันของมัน


“บ้าจริง!”


ปรมาจารย์ขงพยายามสำแดงกระบวนท่าเดิมอีกครั้ง คือเปิดใช้งานศาสตร์ลับเพื่อปกปิดตัวเขาจากสายตาของสรวงสวรรค์ จะได้หลบเลี่ยงการโจมตีของหน้าหนังสือสีทอง แต่ตัวโคลนก็ถลันเข้ามาแล้วจ้วงแทงปรมาจารย์ขงจากด้านหลัง


จ้าวหย่ากับพรรคพวกรีบเข้ามา ต่างคนต่างสำแดงกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดเพื่อเล่นงานปรมาจารย์ขง


“เจ้าพวกโง่! อยากตายหรือไง?” ปรมาจารย์ขงรู้สึกขนลุกขนชัน


หน้าหนังสือสีทองไม่แบ่งแยกว่าใครคือมิตรหรือศัตรู มันเป็นพละกำลังที่เล่นงานได้แม้แต่เทพเจ้า แต่ตัวโคลนของจางเซวียนกับบรรดาศิษย์สายตรงของเขาก็พุ่งเข้ามาในรัศมีการโจมตีของหน้าหนังสือสีทองโดยไม่ลังเลสักนิด


นี่ไม่ต่างอะไรกับฆ่าตัวตาย!


และที่เลวร้ายกว่านั้น พวกเขายังวางแผนจะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อให้หน้าหนังสือสีทองเข้าโจมตีด้วย…หรือพูดอีกอย่างก็คือ พวกนั้นตั้งใจสังเวยชีวิตเพื่อเล่นงานเขา!


ปรมาจารย์ขงปล่อยกระแสดาบฉีออกมาโอบล้อมตัวเองราวกับมังกรที่กำลังเกรี้ยวกราด เขาตั้งใจจะขับไล่พวกนั้นออกไปเพื่อจะได้ซ่อนตัวอย่างปลอดภัยจากทุกสายตาของสรวงสวรรค์ แต่เจ้าพวกนั้นก็จงใจโจมตีเขาอย่างไม่ลดละ ไม่ว่าจะพยายามผลักไสออกไปอย่างไร อีกฝ่ายก็จะกลับมาและเล่นงานเขาอีกในชั่วพริบตา


เขาไม่มีทางหลบหนีได้เลย!


บริเวณรอบตัวเขามืดมิดอย่างรวดเร็วขณะที่หน้าหนังสือสีทองกำลังเข้าใกล้ด้วยความเร็วอันน่าสะพรึง ให้ความรู้สึกราวกับน้ำหนักทั้งหมดของสรวงสวรรค์กำลังถาโถมเข้าใส่ ปรมาจารย์ขงเกิดความหวาดกลัวขึ้นในส่วนลึกของหัวใจ


“ต่อให้หน้าหนังสือสีทองเล่นงานผมอย่างจัง ผมก็ไม่ตายง่ายๆแบบนั้นหรอก!” ปรมาจารย์ขงคำราม


รู้ดีว่าไม่อาจเปลี่ยนแปลงความตั้งใจของศิษย์สายตรงของจางเซวียนกับตัวโคลนของเขาได้ ปรมาจารย์ขงใช้กระแสดาบฉีห่อหุ้มร่างของเขาไว้เพื่อคุ้มกันตัวเองจากการโจมตีของจ้าวหย่าและคนอื่นๆ ก่อนจะพุ่งเข้าใส่หน้าหนังสือสีทอง


ฟึ่บ!


เขาปะทะกับหน้าหนังสือสีทอง ดาบในมือแหลกสลายไปทันที แรงกดดันมหาศาลที่โถมทับลงมาทำให้เลือดกระอักออกจากปากและจมูก


แต่ในเวลาเดียวกัน ปรมาจารย์ขงก็ยับยั้งหน้าหนังสือสีทองไว้ได้


“น่าสะพรึงจริงๆ…” จางเซวียนใจหายวาบ


หน้าหนังสือสีทองเป็นไม้ตายที่ไว้วางใจได้มาตลอด จางเซวียนใช้มันเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน ขอแค่เขานำมันออกมา ต่อให้นักรบที่แข็งแกร่งที่สุดก็จะบี้แบนกลายเป็นแพนเค้กในทันที


เขาจึงคิดว่าขอแค่ยับยั้งปรมาจารย์ขงไม่ให้หลบหนีได้ ก็มีโอกาสสูงที่น่าจะเล่นงานอีกฝ่ายได้ถึงตาย แต่หมอนั่นกลับมีพละกำลังมากพอจะต้านทานมัน


ดูเหมือนพลังจากสรวงสวรรค์ของมิติเบื้องบนก็ไร้ความหมายเมื่อเผชิญหน้ากับเทพเจ้า


“นายน้อย รังสีสวรรค์เปลี่ยนเป็นสีทองแล้ว!” หวู่เฉินร้องออกมาอย่างตื่นเต้น


จางเซวียนหันขวับไปมอง เห็นรังสีสวรรค์ที่อยู่บนแท่นบูชาเปล่งประกายสีทองอร่าม มันดูเหมือนกันเป๊ะกับรังสีสวรรค์ที่เขาเคยได้รับที่หอเทพเจ้า


ขณะที่บรรดาศิษย์สายตรง ตัวโคลน และหน้าหนังสือสีทองของเขากำลังเล่นงานปรมาจารย์ขง เขาก็สามารถรวบรวมเจตจำนงของนักรบอมตะตัวจริงทั้งหนึ่งแสนชีวิตให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ พิธีกรรมจึงเสร็จสิ้นสมบูรณ์


“ไก่น้อย ฉันจะล้างแค้นให้แก…”


จางเซวียนพุ่งเข้าใส่แท่นบูชาและคว้ารังสีสวรรค์ไว้โดยไม่ลังเล


ซรืดดดดดด!


รังสีสวรรค์ซึมซาบเข้าสู่ร่างกายของเขาผ่านทางรูขุมขน มันไหลเวียนไปทั่วทางเดินพลังปราณทันที


ถ้าในครั้งนั้น จางเซวียนบุ่มบ่ามซึมซับรังสีสวรรค์เข้าไปโดยปราศจากเทคนิควรยุทธที่เหมาะสม ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ร่างของเขาจะระเบิดเพราะการสะสมของพลังงานเกินขนาด


แต่ในเวลานี้…


แค่หวนนึกถึงภาพของไก่น้อยที่ถูกเฉือนและเผาจนมอดไหม้ จางเซวียนรู้สึกเหมือนหัวใจสลาย


ภาพเมื่อครั้งที่เขาใช้เวลากับไก่น้อยเรียงรายกันเข้ามา


เมื่อตอนอยู่ที่ปูชนียสถานนักปราชญ์ ตอนที่เขาเดินทางไปกับกลุ่มของหลัวชวนฉิงเพื่อตามหาน้ำเต้าตงฉู่ จู่ๆเจ้านี่ก็พวกพราดเข้ามาอยู่ในจุดตันเถียนของเขาและซ่อนตัวอยู่ในนั้น นั่นคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์พิลึกพิลั่นของทั้งคู่


ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากนักตอนที่พวกเขาอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ จางเซวียนไม่อาจต่อรองกับน้ำเต้าตงฉู่ได้ และเจ้านั่นก็ใช้เวลาส่วนใหญ่กบดานอยู่ในจุดตันเถียนของเขา แต่เมื่อมาถึงมิติเบื้องบนแล้ว ทั้งคู่จึงเริ่มใช้เวลาด้วยกันมากขึ้น


เล่นงานคู่ต่อสู้จากด้านหลัง ขโมยยาเม็ด กลืนดาบของเพื่อนร่วมทีมของเขาลงไป…เรื่องราวมากมายเกิดขึ้นกับทั้งคู่


ยังไม่ทันที่จางเซวียนจะรู้ตัว ไก่น้อยก็มีที่ทางอยู่ในหัวใจของเขาแบบที่ไม่มีใครแทนที่ได้


ความเคยชินเป็นเรื่องที่แสนจะน่าหวาดหวั่น ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง จางเซวียนรู้สึกว่าวันคืนจะดำเนินไปอย่างนี้ตลอดไป พวกเขาจะอยู่เคียงข้างกัน ทะเลาะกันไปเรื่อยๆ


“ผมคืออสูรในตำนานที่ครั้งหนึ่งมีอำนาจบงการทั่วทั้งดินแดน…”


เสียงไก่น้อยก้องอยู่ในหัวของจางเซวียน อันที่จริง เขาแทบจะเห็นภาพเจ้านั่นส่ายก้นอย่างลิงโลดขณะเขมือบยาเม็ดอมตะเข้าไปเม็ดแล้วเม็ดเล่าราวกับพวกมันไม่มีราคาค่างวดอะไร


“เรายังไม่รู้เลยว่าแกเป็นอสูรในตำนานชนิดไหน…” จางเซวียนพึมพำ


ตลอดเวลาที่ผ่านมา เจ้านั่นพยายามสุดตัวที่จะฝ่าด่านวรยุทธให้ได้ เพื่อจะได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง…แต่จนถึงวินาทีสุดท้าย มันก็ยังไม่รู้ว่าตัวมันคืออะไร


‘ความผูกพันลึกซึ้งของพี่น้องรวมถึงชีวิตและความตาย’ จางเซวียนพึมพำด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ


การคอยระวังหลังให้อีกฝ่ายและปกป้องซึ่งกันและกันในยามเผชิญหน้ากับอันตราย นั่นคือความผูกพันของพี่น้อง!


ตอนที่ 2152 เทพเจ้า!

บึ้มมมม!


ราวกับรังสีสวรรค์ในร่างของจางเซวียนค้นพบทางออก มันพุ่งไปตามกระแสอารมณ์ของเขาในเวลานั้น หมุนเวียนไม่รู้จบ


ในเวลาเดียวกัน จางเซวียนก็เพ่งสมาธิเข้าสู่มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงเพื่อเร่งกระบวนการให้เร็วขึ้นอีกร้อยเท่า


แต่ถึงอย่างนั้น กระบวนการของการเข้าถึงความเป็นเทพเจ้าก็ซับซ้อนมาก บ่งบอกถึงวิวัฒนาการอันยิ่งใหญ่ของสิ่งมีชีวิต


จางเซียนรู้ดีว่าไม่อาจเร่งรัดกับเรื่องแบบนี้ จึงปล่อยให้รังสีสวรรค์ไหลไปตามความรู้สึกของเขา ขณะบ่มเพาะร่างกายไปด้วย


“เราคงต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 วันกว่าจะเข้าถึงความเป็นเทพเจ้า…” จางเซวียนคาดการณ์


แม้เขาจะสามารถทำความเข้าใจเทคนิควรยุทธในระดับที่สูงขึ้นและค้นพบวิธีการที่เหมาะสมในการฝ่าด่านวรยุทธแล้ว แต่ก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 วันกว่าจะเข้าถึงระดับของเทพเจ้าได้สำเร็จ


อาจดูเหมือนยาวนาน แต่สำหรับการฝ่าด่านวรยุทธครั้งใหญ่แบบนี้ ก็ถือว่าเร็วมากแล้ว


ใครๆก็รู้ว่าหลังจากที่ปรมาจารย์ขงได้รังสีสวรรค์แล้ว อีกฝ่ายต้องฝึกฝนวรยุทธอยู่เกือบเดือนกว่าจะฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ ซึ่งหากเปรียบเทียบกับความสามารถของจางเซวียนที่ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จภายในวันเดียว ก็ถือว่าเหลือเชื่อ!


“1 วันมี 24 ชั่วโมง เท่ากับ 1440 นาที ต่อให้การฝึกฝนวรยุทธในมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงจะเร็วขึ้นเป็นร้อยเท่า เราก็ยังต้องใช้เวลาถึง 14 นาทีกว่าจะฝ่าด่านวรยุทธได้เสร็จสมบูรณ์…” จางเซวียนกำหมัดแน่น


“ก็ได้แต่หวังว่าหน้าหนังสือสีทองจะช่วยยื้อเวลาให้เราได้…”


แม้ระยะเวลาจะถูกย่นลงจนเหลือเพียง 14 นาที แต่ก็ยังยาวนานเกินไป เขาคงไม่อาจสำแดงพละกำลังได้มากมายนัก ภายในระยะเวลา 14 นาทีนี้ ถ้าปรมาจารย์ขงพยายามทำอะไรสักอย่าง เขาคงจนปัญญา


จางเซวียนหันไปมองปรมาจารย์ขงที่ยังถูกน้ำหนักของหน้าหนังสือสีทองเล่นงานอยู่ เขาภาวนาให้หน้าหนังสือสีทองยื้อเวลาได้นานพอสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธ


ฟึ่บ!


แต่ทันทีที่เกิดความคิดนั้น หน้าหนังสือสีทองก็สั่นสะท้านเล็กน้อยก่อนจะสลายตัวไป ราวกับไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน


ระยะเวลาในการปรากฏตัวของหน้าหนังสือสีทองยาวนานขึ้นหลังจากที่เขามาถึงมิติเบื้องบน แต่ก็ไม่อาจคงสภาพอยู่ได้นานพอ


“ไอ้พวกสารเลว!”


เมื่อหน้าหนังสือสีทองหายวับไป ปรมาจารย์ขงก็หันมามองจางเซวียน แขนข้างหนึ่งของเขาเน่าเปื่อยไปแล้ว และฝ่ามืออีกข้างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส เลือดไหลโซมกาย


แม้เขาจะสามารถปัดป้องหน้าหนังสือสีทองกับไม้ตายทุกชนิดที่จางเซวียนเตรียมไว้ แต่ลงท้ายก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส


“คุณอาจยื้อเวลาได้นานพอที่จะชำระรังสีสวรรค์และซึมซับมัน แต่ก็สูญเสียไม้ตายทั้งหมดไปแล้วเช่นกัน คุณไม่มีอะไรจะใช้ถ่วงเวลาอีกแล้ว ผมสามารถฆ่าคุณได้ในอึดใจเดียว ไม่มีทางที่ผมจะให้โอกาสคุณอีก!” ปรมาจารย์ขงคำรามกร้าวขณะจับจ้องจางเซวียนด้วยสายตาเย็นเยียบ


เหตุผลเดียวที่เขายังไม่สังหารจางเซวียนจนกระทั่งตอนนี้ก็เพื่อจะได้จับตัวอีกฝ่ายทั้งเป็นและดึงเอามลทินสวรรค์ออกจากร่าง แต่ความลังเลนั้นเกือบทำให้เขาต้องเสียชีวิต


หมอนี่เหนือชั้นกว่านักรบคนอื่นๆในระดับเดียวกัน แม้จะเป็นแค่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ แต่ก็ไม่อาจประมาทได้!


ปรมาจารย์ขงรู้ดีว่าเขาต้องสังหารชายหนุ่มที่นี่และเดี๋ยวนี้ ถ้าการต่อสู้ถูกดึงให้ยืดเยื้อออกไป เขาอาจสูญเสียการควบคุมสถานการณ์


“คุณพูดถูก เวลาไม่เข้าข้างผมเลย…”


แม้จางเซวียนจะรู้แล้วว่าปรมาจารย์ขงกำลังเตรียมจะสังหารเขา แต่ก็ไม่แสดงความหวาดหวั่นออกมาแม้แต่น้อย


“ถ้าผมเอาแต่นิ่งเฉยและเฝ้ารออย่างโง่เง่าให้คุณเล่นงานผมล่ะก็ ไม่มีทางที่ผมจะมีเวลามากพอแน่ ผมอาจเลือกซ่อนตัวแบบคุณก็ได้ ยังไม่สายเกินไปหรอกที่จะแก้แค้นเมื่อในที่สุดผมฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ”


“ซ่อนตัว?” นัยน์ตาของปรมาจารย์ขงเปล่งประกายเย็นเยียบ “คุณคิดหรือว่าผมจะปล่อยให้คุณหนีไปได้ซึ่งๆหน้า?”


ปรมาจารย์ขงโบกมือ จากนั้นก็ตั้งต้นสกัดกั้นมิติที่อยู่รอบตัวจางเซวียน


ฟึ่บ!


แต่ในตอนนั้น จางเซวียนก็หายวับไปกับตา ในเวลาเดียวกัน หวู่เฉินก็นำตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลออกมาและวางแหวนเก็บสมบัติลงไปบนนั้น เกิดเสียงหึ่งดังลั่น แล้วแหวนเก็บสมบัติก็หายวับไป


“แหวนเก็บสมบัติและตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล? ผมเข้าใจแล้ว…” ปรมาจารย์ขงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนหัวเราะลั่น “การทะลุมิติโดยใช้วิธีนี้ถือว่าทำได้ แต่คุณหลงลืมข้อเท็จจริงที่สำคัญไปข้อหนึ่ง ผมคือหัวหน้าหอนิรันดร์นะ และมีอำนาจที่จะติดตามทุกการเคลื่อนไหวของสิ่งใดๆก็ตามในหอนิรันดร์!”


เขายังสงสัยอยู่ว่าแผนการอันชาญฉลาดแบบไหนที่จางเซวียนคิดจะใช้เพื่อหลบหนี แต่กลับกลายเป็นวิธีการที่สูญเปล่าและไร้ประโยชน์อย่างที่สุด!


เหตุผลเดียวที่บรรดานักรบยังคงไร้ตัวตนได้ในหอนิรันดร์ก็เพราะหอนิรันดร์อนุญาตให้พวกเขาทำแบบนั้น ชายหนุ่มคนนี้ไร้เดียงสาถึงขนาดคิดจริงๆหรือว่าตัวเขาซึ่งเป็นหัวหน้าหอนิรันดร์จะไม่อาจแกะรอยการเคลื่อนไหวของใครสักคนได้?


ปรมาจารย์ขงเคยคิดว่าคงเป็นเรื่องยุ่งยากไม่น้อยที่จะช่วงชิงหอสมุดเทียบฟ้ามาให้ได้หลังจากที่จางเซวียนเข้าถึงระดับของเทพเจ้า แต่ดูเหมือนเขาจะประเมินสติปัญญาของอีกฝ่ายสูงไป


ก็แค่เปลี่ยนจากสนามรบแห่งหนึ่งไปอีกแห่งหนึ่ง


“ฮึ่มมมม! คิดหรือว่าผมจะปล่อยให้คุณหนี?”


ปรมาจารย์ขงไม่แยแสสงครามที่เกิดขึ้นรอบตัว เขาสะบัดข้อมือและนำตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลอันหนึ่งออกมา


ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลของเขาแตกต่างจากที่คนอื่นๆซื้อขายกัน มันมีสีทอง เป็นไปได้ว่าน่าจะเป็นตราสัญลักษณ์ที่ใช้เฉพาะกับหัวหน้าหอนิรันดร์


ปรมาจารย์ขงกำตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลไว้แน่น นัยน์ตาของเขาเป็นประกาย “มีสถานที่ตั้งมากมายให้ไป แต่คุณเลือกจะมุ่งหน้าสู่หอนิรันดร์สำนักงานใหญ่ ก็ดี…คงอยากตายเต็มทีสินะ!”


หลังจากรู้แล้วว่าจางเซวียนทะลุมิติไปที่ไหน ปรมาจารย์ขงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มเยาะ


เขานำกระจกเงาบานหนึ่งออกมา ให้มันสะท้อนภาพของตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล เพียงครู่เดียว พระราชวังโอ่อ่าแห่งหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในกระจก


วังนั้นคือหอนิรันดร์สำนักงานใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ที่สะพานเบื้องบน


ปรมาจารย์ขงใช้รองเท้าเลือนหาย เขาก้าวเข้าไปในกระจกเงา


ครู่เดียวก็มายืนอยู่ตรงหน้าหอนิรันดร์สำนักงานใหญ่


“อย่างคำโบราณว่ากันไว้ สถานที่ที่อันตรายที่สุดมักเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด คุณก็ตัดสินใจได้ไม่เลวที่เลือกหลบหนีมาที่นี่ แต่โชคร้ายที่คุณหลงลืมรายละเอียดสำคัญไปข้อหนึ่ง หอนิรันดร์สามารถแกะรอยการเคลื่อนไหวของใครก็ได้ ซึ่งนี่เป็นประโยชน์กับผม แถมการเข้ามาก้าวก่ายของสรวงสวรรค์ก็ทำได้จำกัด คงสะดวกสบายกว่ามากหากผมดึงมลทินสวรรค์ออกจากร่างของคุณที่นี่…” ปรมาจารย์ขงหัวเราะหึๆขณะปล่อยการรับรู้จิตวิญญาณออกไปโดยรอบ


จากการตรวจสอบก่อนหน้านี้ เขาพบว่าจางเซวียนซ่อนตัวอยู่ในมิติลี้ลับแห่งหนึ่ง และใส่มิติลี้ลับนั้นไว้ในแหวนเก็บสมบัติ จากนั้น เด็กชายวัยรุ่นที่ทำหน้าที่ประกอบพิธีกรรมก็รีบขายแหวนเก็บสมบัติเข้าสู่หอนิรันดร์ และมันก็ถูกซื้อไป


ผู้ซื้อแหวนใช้ประโยชน์จากค่ายกลทะลุมิติที่ฝังอยู่ในตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลเพื่อนำแหวนเก็บสมบัติมาที่นี่


เป็นไปได้ว่าจางเซวียนน่าจะซ่อนตัวอยู่ที่หอนิรันดร์สำนักงานใหญ่


มันเป็นการตัดสินใจที่ไม่เลว เขาไม่เคยคิดเลยว่าจางเซวียนจะอาจหาญถึงขนาดเลือกกบดานในฐานที่มั่นของเขา หากไม่ใช่เพราะผลการตรวจสอบปรากฏออกมาอย่างนั้น


“เขาไม่ได้อยู่ที่นี่หรือ?”


ปรมาจารย์ขงกวาดสายตาทั่วทั้งพระราชวังโดยใช้การรับรู้จิตวิญญาณ แต่นอกจากมังกรอสรพิษที่มีวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ตัวหนึ่งที่กำลังตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัวที่มุมห้อง ก็ไม่พบร่องรอยใดๆของจางเซวียน


มังกรอสรพิษน่าจะเป็นผู้ซื้อแหวนเก็บสมบัติที่จางเซวียนซ่อนตัวอยู่ในนั้น เขาจะต้องเล่นงานมังกรอสรพิษแน่ แต่เรื่องที่สำคัญกว่าคือต้องจับตัวจางเซวียนให้ได้ก่อนที่หมอนั่นจะลงมือทำอย่างอื่น


ปรมาจารย์ขงจึงใช้การรับรู้จิตวิญญาณตรวจสอบบริเวณโดยรอบอีกครั้ง แต่ก็ยังได้ผลแบบเดิม เขาเงยหน้าด้วยความหงุดหงิด เห็นร่างหนึ่งกำลังปีนป่ายเสาหินของหอนิรันดร์สำนักงานใหญ่โดยใช้แค่พละกำลังจากร่างกาย


“คุณอยู่นั่น!” ปรมาจารย์ขงตาโต


ในเวลานั้น ร่างดังกล่าวอยู่ใกล้กับเส้นแบ่งอาณาเขตระหว่างหอนิรันดร์กับหอเทพเจ้า


“คุณคิดจะหนีไปไหน?” ปรมาจารย์ขงคำรามขณะพุ่งทะยานขึ้นสู่เสาหิน


นักรบขั้นกี่งสรวงสวรรค์จะต้องปีนป่ายเสาหินโดยใช้มือและเท้า แต่ผู้ที่ได้เป็นเทพเจ้าแล้วไม่ต้องยุ่งยากแบบนั้น พวกเขาบินตรงขึ้นสู่เสาหินได้ทันที


“หยุดอยู่ตรงนั้นเลย!” ปรมาจารย์ขงตวาดก้องขณะปล่อยพลังจากฝ่ามือเข้าเล่นงานจางเซวียนให้ตกลงมา


จางเซวียนไม่กล้าหยุด เขาปีนป่ายขึ้นไปอย่างว่องไวราวกับลิง ขณะที่การโจมตีจากฝ่ามือกำลังจะถึงตัว ร่างของเขาก็สั่นสะท้านเล็กน้อยก่อนจะหายวับไป


ในที่สุดจางเซวียนก็ผ่านเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างหอนิรันดร์สำนักงานใหญ่กับหอเทพเจ้าได้สำเร็จ


“เข้าใจแล้ว…คุณคิดจะยื้อเวลาโดยอยู่ในหอเทพเจ้า เพราะคิดว่าผมเข้าไปในนั้นไม่ได้ ฮ่าฮ่าฮ่า! สติปัญญาเฉียบแหลมของคุณนี่ทำให้ผมประทับใจครั้งแล้วครั้งเล่านะ แต่มันไม่ได้ผลหรอก!”


ปรมาจารย์ขงคำราม จากนั้นก็ผ่านเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างหอนิรันดร์สำนักงานใหญ่กับหอเทพเจ้าเข้าไป


พริบตาต่อมา บริเวณโดยรอบตัวเขาก็พลิกกลับหัว เขาควรจะไต่สูงขึ้นไป แต่จู่ๆก็พบว่าตัวเองกำลังเดินหน้าลงสู่ด้านล่าง


ศูนย์กลางแรงโน้มถ่วงของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง


ปรมาจารย์ขงเคยมาที่นี่หลายครั้งแล้ว จึงไม่ตื่นตระหนกอะไร เขารีบขับเคลื่อนพลังปราณและยืนหยัดร่างกายให้มั่นคงก่อนจะประเมินสภาพแวดล้อมอย่างรวดเร็ว


เมื่อมองลงไป บางที…อาจเป็นเพราะอีกฝ่ายรู้ดีว่าไม่อาจไปได้ไกลกว่านี้อีกแล้วและยอมถอดใจต่อโชคชะตา จางเซวียนจึงเกาะนิ่งอยู่กับเสาหิน ไม่หนีไปไหนอีก


“ไม่คิดเลยว่าคุณจะไล่ตามผมได้เร็วขนาดนี้” จางเซวียนตั้งข้อสังเกตด้วยสีหน้าเรียบเฉย


“ยังมีอีกหลายอย่างที่เหนือความคาดหมายของคุณ ในเมื่อคุณก็รู้ตัวแล้วว่าไม่มีทางหลบหนี ทำไมไม่ทำตัวว่าง่ายๆและมอบมลทินสวรรค์ให้ผมล่ะ?” ปรมาจารย์ขงยิ้มเยาะขณะตรงเข้าเล่นงานจางเซวียน


ยังไม่ทันที่พละกำลังจะฝ่ามือของเขาจะถึงเป้าหมาย มิติโดยรอบก็แข็งทื่อ สกัดกั้นเส้นทางหลบหนีไว้ทั้งหมด


ตอนที่ 2153 คุณหมายถึงใคร?

ขณะที่กำลังจะถูกฆ่า จู่ๆจางเซวียนก็ยกมือขึ้นและพูดว่า “มีบางอย่างที่ผมอยากพูดสักหน่อย”


พลังจากฝ่ามือของปรมาจารย์ขงกำลังพุ่งตรงเข้ามา แต่ก็หยุดชะงักเมื่ออยู่ห่างจากจางเซวียนเพียงไม่ถึงครึ่งเมตร เขามองหน้าชายหนุ่มด้วยแววตาเยาะหยัน


“พูดสิ ผมจะฟังคำพูดสุดท้ายของคุณ”


“นั่นเป็นเรื่องที่ผมยินดีมาก” จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก


จากนั้นเขาก็ตั้งต้นนับถอยหลัง


“10 9 8 7 6 5 4…”


“ฮะ?” ปรมาจารย์ขงผงะ


หมอนี่กลัวจนเสียสติไปแล้วหรือไง?


เขายังสงสัยว่าคำพูดสุดท้ายแบบไหนที่จางเซวียนจะพูดออกมา แต่หมอนี่กลับนับถอยหลัง…น่าจะเสียสติหรืออะไรสักอย่าง?


“คุณทำอะไรน่ะ?” ปรมาจารย์ขงตวาดก้อง


“ก็ไม่ได้ทำอะไรมากนี่ แค่นับถอยหลัง อย่าตื่นเต้นไปหน่อยเลย” จางเซวียนตอบยิ้มๆก่อนจะนับถอยหลังต่อไป “…3 2 1!”


เมื่อนับถึงเลขตัวสุดท้าย รอยยิ้มที่เจิดจ้าราวแสงอาทิตย์ก็ปรากฏ จางเซวียนยืดหลัง สีหน้าของเขาสดชื่น


“ว่าไง? ในเมื่อพูดคำสุดท้ายจบแล้ว ผมก็หวังว่าคุณจะพร้อมรับการโจมตีนะ!”


บึ้มมมม!


ทันทีที่ปรมาจารย์ขงพูดจบ เสียงระเบิดกึกก้องก็ดังขึ้นกลางอากาศ


ราวกับมีมังกรตัวมหึมาโอบล้อมร่างของเขา เสียงคำรามลั่นราวพายุใหญ่ดังจากร่างของจางเซวียน แผ่รังสีอันทรงพลังออกไปโดยรอบ


ในเวลานี้ ชายหนุ่มปล่อยมือจากเสาหินแล้ว แต่แทนที่จะร่วงลงสู่ความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต เขากลับลอยสูงขึ้นกลางอากาศ


บินได้!


“คะ-คุณ…คุณฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จแล้วหรือ?” ปรมาจารย์ขงแทบไม่เชื่อสายตา


ตัวเขาฝึกฝนวรยุทธทันทีที่ได้รังสีสวรรค์มา แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องใช้เวลาเกือบเดือนกว่าจะฝ่าปราการด่านสุดท้ายได้สำเร็จ


แม้ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาจะได้ครอบครองเศษเสี้ยวของสวรรค์และสามารถยกระดับวรยุทธได้ด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง แต่ก็เหมือนไอ้สารเลวนั่น ไม่มีทางเป็นไปได้ที่เขาจะฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จโดยไม่ใช้เวลาอย่างน้อย 1 วันเต็มๆ!


ก็เพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้เขาไม่กังวลกับสถานการณ์มากนัก


ขอแค่จับตัวจางเซวียนได้ภายใน 1 วัน หมอนั่นก็ไม่เป็นอันตรายต่อเขาแล้ว


แต่จู่ๆ…อีกฝ่ายเข้าถึงระดับของเทพเจ้าได้อย่างไร?


รวมแล้ว ก็เพิ่งผ่านไป 5 นาทีเท่านั้นตั้งแต่จางเซวียนได้รับรังสีสวรรค์และเตลิดหนีมาที่นี่! เป็นไปได้หรือที่ใครคนหนึ่งจะฝ่าด่านวรยุทธได้ภายในเวลาเพียง 5 นาที?


ต่อให้เจ้าชั่วช้าคนนั้นก็ไม่อาจทำเรื่องเหลวไหลแบบนี้ได้!


“ผมไม่เชื่อหรอก ไม่มีทางที่จะเป็นความจริง!” ปรมาจารย์ขงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวขณะพุ่งเข้าใส่และปล่อยพลังจากฝ่ามือ


“สายไปแล้วล่ะ…” จางเซวียนมองหน้าปรมาจารย์ขง นัยน์ตาของเขาร้อนรุ่มด้วยเจตนาสังหาร


ตัวเขาคือผู้สุขุมและมีเหตุผลมาตลอด แต่การได้เห็นความตายของไก่น้อยต่อหน้าต่อตาทำให้เกิดความโกรธเกรี้ยวที่ไม่อาจระงับได้


จางเซวียนกระดิกนิ้วเบาๆ


ฟิ้ววววว!


ปรมาจารย์ขงถ่ายทอดพละกำลังเต็มพิกัดเข้าสู่ฝ่ามือเพื่อปล่อยการโจมตี แต่การกระดิกนิ้วของจางเซวียนก็ส่งเขากระเด็นไปราวกับสายฟ้าฟาด


ปรมาจารย์ขงเซถลาไปหลายร้อยเมตรก่อนในที่สุดจะตั้งตัวได้อีกครั้ง เขาสูดหายใจเต็มปอด จากนั้นก็จับจ้องชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาที่บ่งบอกความไม่อยากเชื่อ สีหน้าของเขาซีดเผือด


การกระดิกนิ้วเพียงครั้งเดียวนั่นไม่ใช่แค่ปัดป้องการโจมตีของเขาออกไป ยังเกือบจะเล่นงานวรยุทธของเขาด้วย!


ตัวเขาเองได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่แล้วจากการต่อสู้คราวก่อน และพละกำลังจากการโจมตีของจางเซวียนก็เหนือความคาดหมาย ถ้าอีกฝ่ายรักษาพละกำลังระดับนี้ไว้ได้ เขาก็ไม่แน่ใจเต็มร้อยว่าจะสามารถคว้าชัยชนะ


“เขาฝ่าด่านวรยุทธได้แล้วจริงๆหรือ?” ปรมาจารย์ขงกำหมัดแน่น


แม้จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่อยากเชื่อว่าสถานการณ์จะพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือได้


ปรมาจารย์ขงกัดฟันกรอดและคำราม “คุณเข้าถึงระดับของเทพเจ้า…ก็แล้วอย่างไรล่ะ? ผมไม่เชื่อหรอกว่าคุณจะใช้พละกำลังอย่างเชี่ยวชาญได้ภายในระยะเวลาอันสั้น!”


พละกำลังของเทพเจ้านั้นแตกต่างกันมากกับนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ ซึ่งการทำความเข้าใจและคุ้นเคยกับมันต้องใช้ระยะเวลายาวนาน


เป็นไปไม่ได้ที่จะสำแดงพละกำลังเต็มพิกัดของเทพเจ้าออกมาได้ทันทีหลังจากฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ!


แม้เขาจะปลีกวิเวกถึง 1 เดือน แต่เรื่องจริงก็คือเขาต้องใช้เวลาถึง 20 วันกว่าจะเข้าถึงระดับของเทพเจ้า และอีก 10 วันที่เหลือก็หมดไปกับการขัดเกลาวรยุทธและสร้างความคุ้นเคยกับพละกำลังของเทพเจ้าที่ได้รับมาใหม่


ต่อให้จางเซวียนใช้ศาสตร์ลับบางชนิดเพื่อเร่งอัตราเร็วในการฝ่าด่านวรยุทธ ก็ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะคุ้นเคยกับพละกำลังของเทพเจ้าได้รวดเร็วขนาดนี้!


เมื่อคิดขึ้นได้ ปรมาจารย์ขงปล่อยหมัดเข้าใส่จางเซวียนพร้อมส่งเสียงคำรามก้อง


ทันใดนั้น ทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าปรมาจารย์ขงก็ดูจะหม่นหมองไป ราวกับโลกทั้งโลกกำลังแสดงอาการยอมจำนนต่อสิ่งมีชีวิตที่เหนือชั้นกว่า


เทพเจ้าที่สำแดงพละกำลังเต็มพิกัดไม่ใช่สิ่งที่จะสบประมาทได้


ส่วนจางเซวียนก็ยกนิ้วขึ้น


ฟึ่บ!


เรี่ยวแรงอันน่าทึ่งจากหมัดของปรมาจารย์ขงหยุดกึกด้วยนิ้วเพียงนิ้วเดียว ราวกับมีปราการโลหะขวางไว้ ทำให้เข้าใกล้ไม่ได้กว่านั้น


“สลายตัว” จางเซวียนกระดิกนิ้วอีกครั้ง


พลั่ก! พลั่ก!


ปรมาจารย์ขงถูกสอยกระเด็นไปหลายสิบลี้ กระดูกแขนของเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ เลือดสดๆกระอักออกจากปาก แรงปะทะของกระบวนท่าเดียวนี้เกือบทำให้เขาเสียชีวิต


“เป็นไปได้อย่างไร?” ปรมาจารย์ขงพึมพำอย่างพรั่นพรึงก่อนจะกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน


จากการปะทะครั้งนี้ เขารู้แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้เข้าถึงระดับเทพเจ้าเฉพาะในแง่ของวรยุทธ แต่ยังสามารถสร้างความคุ้นเคยกับพละกำลังที่ได้มาใหม่ ถึงขนาดที่ใช้มันได้ราบรื่นกว่าเขาเสียอีก!


ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที


นี่มันเป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้แน่ๆ!


ปรมาจารย์ขงถึงกับจังงัง แววตาของเขาบ่งบอกความสับสน


เทพเจ้ากับนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ นั่นคือระดับขั้นที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


ต่อให้ใครสักคนได้รังสีสวรรค์และฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จ ก็ยังต้องใช้เวลาระยะหนึ่งกว่าจะเชี่ยวชาญในพละกำลังของเทพเจ้า


ดังนั้น ปรมาจารย์ขงจึงคิดว่าเขามีโอกาสเอาชนะจางเซวียนได้หลังจากที่ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ


แต่ความหวังครั้งนี้ก็ถูกจางเซวียนทำลายอย่างรวดเร็ว


“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้หรอก” จางเซวียนมองหน้าปรมาจารย์ขงอย่างเย็นชา


หลังจากฝ่าด่านวรยุทธได้ด้วยตัวเอง เขารู้ทันทีว่าเทพเจ้าทรงพลังแค่ไหน


ไม่น่าแปลกแล้วที่ปรมาจารย์ขงฉีกกระชากมิติและเดินทางข้ามสิ่งกีดขวางทะลุมิติได้อย่างอิสระ หากเปรียบเทียบกัน นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ก็ถือว่าอ่อนแอมาก!


ขอแค่เขาต้องการ ต่อให้จ้าวหย่ากับพรรคพวกผนึกกำลังกันก็ไม่มีทางยับยั้งเขาได้แม้เพียงอึดใจ!


“ผมไม่เชื่อ! ผมไม่เชื่อหรอก!” ปรมาจารย์ขงร่ำร้องอย่างสิ้นหวังขณะรวบรวมพลังงานทั้งหมดและปล่อยหมัดเข้าใส่จางเซวียน


เขาเคยคิดว่าจะจับตัวจางเซวียนทั้งเป็นและดึงเอามลทินสวรรค์ออกจากร่าง แต่ในเมื่อตอนนี้อีกฝ่ายมีพละกำลังทัดเทียมกับเขาแล้ว ก็ไม่อาจทำได้อีกต่อไป


ถึงตอนนี้ ทุกอย่างกลายเป็นการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอด เขารู้ดีว่าต้องหาวิธีสังหารจางเซวียนให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางได้เอาชีวิตรอดออกจากที่นี่


ปรมาจารย์ขงจึงรวบรวมพละกำลังทั้งหมดไว้ในกระบวนท่าเดียว


มิติที่อยู่โดยรอบหอเทพเจ้าแข็งแกร่งมั่นคงกว่ามิติเบื้องบนมาก แต่ก็อาจถูกทำลายภายใต้ความแข็งแกร่งของเทพเจ้า


จางเซวียนไม่แสดงทีท่าว่าจะถอย เขายิ้ม จากนั้นก็สกัดกั้นการโจมตีที่ปรมาจารย์ขงปล่อยออกมาด้วยความสุขุม


2-3 นาทีต่อมา ร่างของปรมาจารย์ขงถูกตรึงอยู่กับที่ พละกำลังชนิดหนึ่งสกัดกั้นทุกการเคลื่อนไหวของเขาไว้ เขาถูกดึงกระจกดำล้ำเลิศกับรองเท้าเลือนหายออกไปด้วย ทำให้หมดหนทางหลบหนีอย่างสิ้นเชิง


หลังจากทำความเข้าใจเวทนาสวรรค์ได้สำเร็จ แม้แต่ตัวโคลนของจางเซวียนก็เทียบชั้นกับเขาไม่ได้ ถึงปรมาจารย์ขงจะไม่ได้อ่อนแอ แต่อย่างเก่งก็แค่ทัดเทียมกับตัวโคลนของเขา


แถมปรมาจารย์ขงยังถูกไก่น้อย หน้าหนังสือสีทอง และการผนึกกำลังกันโจมตีของจ้าวหย่ากับพรรคพวกบั่นทอนพละกำลังของเขาไปด้วย ตอนนี้จึงอยู่ในสภาพอ่อนแอมาก


หลังจากตรึงปรมาจารย์ขงไว้กับที่แล้ว จางเซวียนก็จ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างสุขุม


ผลการต่อสู้ถือว่าชัดเจน ด้วยสิ่งนี้ โชคชะตาของปรมาจารย์ขงถูกปิดตายแล้ว


“สามารถฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นเทพเจ้าและเชี่ยวชาญพละกำลังของมันได้ด้วย…ขนาดเจ้าสารเลวนั่นก็ยังทำไม่ได้เลย…” ปรมาจารย์ขงยังอยู่ในสภาพที่รับความจริงไม่ได้


ความสงสัยแคลงใจในหัวใจของเขากัดกร่อนความสุขุมเยือกเย็นของเขาอย่างไม่ลดละ ทำให้ไม่อาจเข้าสู่โลกของความเป็นจริง


“เจ้าสารเลวนั่น?” จางเซวียนรู้สึกได้ว่าคำนั้นของปรมาจารย์ขงมีความหมายลึกซึ้งกว่าที่ได้ยิน “คุณหมายถึงใคร?”


“เจ้าสารเลวนั่นก็มีเศษเสี้ยวของสวรรค์ แต่แม้ตัวเขาก็ไม่อาจฝึกฝนวรยุทธได้รวดเร็วเท่าคุณ…” ปรมาจารย์ขงพึมพำ


“ดูเหมือนคุณจะยอมรับแล้วนะว่าคุณไม่ใช่ปรมาจารย์ขง” จางเซวียนพูดยิ้มๆ “ผมควรเรียกคุณว่าอะไร? ตัวโคลนของปรมาจารย์ขง? หรือคุณพอใจชื่ออื่น?”


การที่ปรมาจารย์ขงโจมตีเขาที่สะพานเบื้องบนทำให้เขางุนงงอย่างหนัก นำไปสู่ความเชื่อที่ว่าอีกฝ่ายอาจเป็นตัวปลอม


แต่ทุกอย่างก็กระจ่างชัดหลังจากที่เขาเข้าสู่หอเทพเจ้า การที่ตัวโคลนของเขาไม่อาจเข้าสู่หอเทพเจ้า การต่อสู้กับปรมาจารย์ขงที่สามารถใช้เทคนิคการต่อสู้เทียบฟ้าและลิขิตสวรรค์…เขาคงโง่เต็มทีหากเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วแต่ยังเดาความจริงไม่ออก


มีความเป็นไปได้สูงว่าชายที่อยู่ตรงหน้าคือตัวโคลนของปรมาจารย์ขง


เศษเสี้ยวของสวรรค์มีเพียงหนึ่งเดียว ต่อให้ตัวโคลนของจางเซวียนจะใช้จิตวิญญาณดวงเดียวกันกับเขา อีกฝ่ายก็ไม่อาจฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้าและเทคนิคการต่อสู้เทียบฟ้าฉบับสมบูรณ์ได้


เป็นไปได้ว่าเพราะเหตุนี้ ธรรมชาติของจิตวิญญาณของทั้งคู่จึงเริ่มแยกตัวออกจากกัน ความคิดของพวกเขาไม่เป็นหนึ่งเดียวกันอีกต่อไป สามารถพูดคุยกันได้ราวกับเป็นคนละคนกันอย่างสิ้นเชิง


ในเมื่อสำหรับจางเซวียนเป็นแบบนั้น ปรมาจารย์ขงก็น่าจะเป็นแบบเดียวกัน


ตัวโคลนที่อยู่ตรงหน้าเขาน่าจะเป็นผลพวงจากการควบคุมของเจตจำนงที่ไม่สมบูรณ์ภายในจิตวิญญาณของปรมาจารย์ขง มันถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์และความรู้สึกชั่วร้าย และบางทีอาจเกิดความอิจฉาริษยาปรมาจารย์ขงตัวจริงจนพยายามสุดหัวใจที่จะให้ได้เศษเสี้ยวของสวรรค์มา


เพราะทั้งคู่มีต้นกำเนิดเดียวกัน ตัวโคลนจึงมองว่ามันคือปรมาจารย์ขง และดูเหมือนจะภาคภูมิใจในตัวตนนั้น


ตอนที่ 2154 ต้องเข้าไปดูเสียหน่อย!

“ฮึ่มมม! ก็เราเป็นคนคนเดียวกัน ทำไมหมอนั่นถึงเป็นคนเดียวที่ได้ครอบครองลิขิตสวรรค์และฝึกฝนวรยุทธได้เร็วกว่าคนอื่น? ทำไมเขาถึงเป็นคนเดียวที่ได้รับเกียรติยศศักดิ์ศรีมากมายถึงขนาดที่ทั้งโลกยกย่องให้เป็นครูบาอาจารย์? มันเรื่องอะไรผมถึงถูกบีบให้ซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ที่แม้แสงอาทิตย์ก็สาดส่องไปไม่ถึง ถูกขังไว้ตั้งเนิ่นนานหลายพันปี?” ตัวโคลนของปรมาจารย์ขงคำรามลอดไรฟัน


“คุณก็รู้คำตอบดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?” จางเซวียนสวนกลับอย่างเย็นชา


เท่าที่เห็น ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเป็นเจตจำนงไม่สมบูรณ์ที่ปรมาจารย์ขงตัดออกมาจากจิตวิญญาณของเขา


เหตุผลที่ปรมาจารย์ขงได้รับความเคารพยกย่องให้เป็นครูบาอาจารย์ของโลกไม่ใช่เพราะพละกำลังมหาศาลหรือความเก่งกาจ แต่เป็นเพราะความเมตตากรุณาและอ่อนโยนที่เขามีต่อผู้คนและเผ่าพันธุ์ต่างๆ


ในทางตรงกันข้าม ตัวโคลนของปรมาจารย์ขงคือใครคนหนึ่งที่พยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ คนแบบนั้นจะได้รับความเคารพจากผู้อื่นได้อย่างไร?


“ถ้าผมสังหารคุณและทุกคนที่เคยทรยศผม ผมก็จะรักษาภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบไว้ได้ และยังคงเป็นบุคคลที่ใครๆเคารพยกย่อง…” ตัวโคลนของปรมาจารย์ขงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างหงุดหงิด


“คุณยังไม่เข้าใจสินะ ใช่ไหม?” จางเซวียนส่ายหน้า “คุณสามารถปราบโลกทั้งใบและบีบบังคับทุกคนให้ยอมจำนนได้โดยใช้พละกำลังที่มี แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไป ความไม่พอใจของผู้คนจะยิ่งสะสมและมีพลังรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายมันก็จะระเบิดใส่คุณและเล่นงานคุณจนแหลกเป็นชิ้นๆ!”


อำนาจและการบงการทำให้คนคนหนึ่งมีสิทธิพิเศษมากมาย แต่ก็อาจทำให้ใครๆเกิดอาการต่อต้าน


การปิดปากผู้คนเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ นับประสาอะไรกับการบีบบังคับจิตวิญญาณของพวกเขา


จางเซวียนพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา “แม้แต่ผู้ทรงพลังอย่างปรมาจารย์ขงยังลงเอยด้วยการมีตัวโคลนที่ชั่วร้าย…แล้วตัวโคลนของเราล่ะ?”


เขาอยู่กับตัวโคลนมาระยะหนึ่งแล้ว แม้หมอนั่นจะขี้โม้และชอบโชว์เหนือ แต่ก็ไม่เคยแสดงความอิจฉาริษยาหรือเจตนาชั่วร้ายออกมา แล้วทำไมตัวโคลนของปรมาจารย์ขงถึงลงเอยแบบนี้?


“บางที…อาจเป็นเพราะปีศาจใต้สำนึก เรามีหอสมุดเทียบฟ้า เทคนิควรยุทธที่เราฝึกฝนจึงปราศจากข้อบกพร่อง ดังนั้นจึงไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากปีศาจใต้สำนึก เทคนิควรยุทธที่ปรมาจารย์ขงฝึกฝนดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบด้วยลิขิตสวรรค์ซึ่งเป็นเครื่องกำหนดทุกกฎเกณฑ์ของโลกก็จริง แต่อันที่จริง…นั่นคือข้อบกพร่องใหญ่หลวงที่สุด!”


ลิขิตสวรรค์ทำให้ผู้นั้นสามารถกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆของโลก ทำให้ทุกชีวิตเป็นไปตามเจตจำนงของเขา


แม้อำนาจนั้นจะดูทรงพลัง แต่การปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ของโลกที่มีมายาวนานทำให้ความมั่นคงและรากฐานของโลกเกิดการสั่นคลอน ระเบียบที่มีอยู่เดิมจะสูญเสียไป ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในใจของปรมาจารย์ขงจึงทำให้เขาอ่อนแอต่อปีศาจใต้สำนึก


ด้วยเหตุนี้ ตัวโคลนของปรมาจารย์ขงจึงเกิดขึ้นจากอารมณ์และความรู้สึกด้านลบของเขา


ตัวโคลนไม่กล้าทำร้ายปรมาจารย์ขง แต่ทันทีที่อีกฝ่ายออกจากมิติเบื้องบนเพื่อเข้าสู่สรวงสวรรค์ ตัวโคลนก็รู้ทันทีว่าในเวลานี้มันคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดและมีอำนาจสูงสุดในมิติเบื้องบน


การได้ครอบครองอำนาจอย่างกะทันหันปลดปล่อยความชั่วร้ายในจิตวิญญาณของมันออกมาทั้งหมด


“ถ้าปรมาจารย์ขงตัดอารมณ์และความรู้สึกแง่ลบในจิตวิญญาณของเขาออกมาเป็นตัวโคลน แล้วสิ่งที่เราตัดออกจากจิตวิญญาณของเรามาเป็นตัวโคลนคืออะไร?” จางเซวียนอดสงสัยไม่ได้


ชั่วหรือดีนั้นเปลี่ยนกันได้ด้วยความคิดเพียงแวบเดียว


การตัดเสี้ยวหนึ่งของจิตวิญญาณออกมาเพื่อสร้างเป็นตัวโคลนไม่ต่างอะไรกับการมอบความเป็นตัวตนส่วนหนึ่งออกไป เมื่อมองจากมุมนี้ ก็พอเข้าใจได้ที่ตัวโคลนมีบุคลิกภาพตรงกันข้ามกับร่างต้นแบบอย่างสิ้นเชิง


ปรมาจารย์ขงปล่อยเจตจำนงชั่วร้ายทั้งหมดของเขาเข้าสู่ตัวโคลน เหลือไว้แต่ความอ่อนโยนและความเมตตากรุณาที่โลกทั้งโลกรู้จักกันว่าเป็นตัวเขา


แล้วถ้าอย่างนั้น สิ่งที่เขาให้ตัวโคลนของเขาไปคืออะไร?


เท่าที่เห็น…นอกจากความกระหายที่จะคุยโม้และโชว์เหนือ ก็ดูเหมือนจะไม่มีนิสัยที่เลวร้ายอะไรมากมาย!


“เอ่อ…เราคิดว่าเราคงตัดนิสัยคุยโวโอ้อวดออกไปให้ตัวโคลนแล้วล่ะ นั่นคือเหตุผลที่เราถ่อมเนื้อถ่อมตัวกว่าเดิมหลังจากมีตัวโคลนแล้ว…”


จางเซวียนพยักหน้าเมื่อนึกได้


เรื่องนี้อธิบายนิสัยที่ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างเขากับตัวโคลนได้อย่างดี


จางเซวียนไม่ได้คิดอะไรมากนักกับการตัดเศษเสี้ยวจิตวิญญาณออกไปเพื่อสร้างตัวโคลน เรื่องที่เกิดขึ้นจึงทำให้เขาคิดหนัก


นั่นแหละ…ปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวเขาเองก็อยากคุยโวโอ้อวดอยู่บ่อยๆ แต่ความนอบน้อมถ่อมตัวก็ฝังรากลึกอยู่ในกระดูกของเขาเสียแล้ว!


นั่นคือคุณลักษณะที่เขายืดอกรับได้อย่างเต็มภาคภูมิ


“ฮ่าฮ่าฮ่า! โลกจะรับฟังก็แต่ผู้ชนะเท่านั้นแหละ ในเมื่อตอนนี้คุณชนะแล้ว พูดอะไรออกมาก็เป็นความจริงทั้งนั้น”


รู้ดีว่าถกเถียงเรื่องนี้กับจางเซวียนก็ไม่มีประโยชน์ ตัวโคลนของปรมาจารย์ขงจับจ้องชายหนุ่มและพูดต่อ “แต่ผมยังไม่เข้าใจว่าคุณฝ่าด่านวรยุทธรวดเร็วขนาดนั้นได้อย่างไร? เดี๋ยวนะ…”


ตัวโคลนของปรมาจารย์ขงพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา มันตาโต “คุณมีมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงหรือ?”


ด้วยการใช้ลิขิตสวรรค์กับมิติและกาลเวลา ปรมาจารย์ขงตัวจริงได้สร้างของล้ำค่าพิเศษชิ้นหนึ่งที่มีชื่อว่ามหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง


หากใครสักคนพยายามกำหนดระดับขั้นของมัน ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นของล้ำค่าระดับอมตะขั้นสูง แต่ก็เหมือนกับกระจกดำล้ำเลิศและรองเท้าเลือนหาย มันมีความสามารถพิเศษ


ด้วยสายตาหลายคู่ของตัวโคลนที่จับจ้องทวีปแห่งปรมาจารย์ เขารู้ว่ามหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงถูกเทพเจ้าที่ชื่อหลัวลั่วชิงนำไป


แล้วมันมาอยู่ในมือของจางเซวียนได้อย่างไร?


ถ้าเขารู้ว่าหมอนี่มีมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงอยู่ในครอบครอง จะไม่มีวันลดความระแวดระวังของตัวเองเลย บางที…ตอนที่จางเซวียนได้รังสีสวรรค์มา เขาคงจะใช้พละกำลังเต็มพิกัดสังหารอีกฝ่ายไปแล้ว!


“คุณพูดถูก มันคือมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง” จางเซวียนตอบ


กระแสของกาลเวลาในมหาคัมภีร์คือ 1 ใน 10 ของทวีปแห่งปรมาจารย์ เท่ากับ 1 ใน 100 ของมิติเบื้องบน


“ผมเข้าใจแล้ว…” ตัวโคลนของปรมาจารย์ขงหน้าซีดเผือด ขณะที่ในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงพ่ายแพ้


สมมุติว่าจางเซวียนมีความปราดเปรื่องเท่ากับปรมาจารย์ขงตัวจริง ก็จะใช้เวลา 24 ชั่วโมง, 1440 นาที หรือ 86,400 วินาที


แต่ถ้าเขาฝึกฝนวรยุทธในมิติเบื้องบน ด้วยกระแสกาลเวลาของมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง ก็จะใช้เวลาเพียง 14 นาทีเท่านั้นในการฝ่าด่านวรยุทธ


เรื่องนี้น่าทึ่งมาก แต่ก็ยังไม่ดีพอจะแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้น


ด้วยเหตุนี้ จางเซวียนจึงเลือกที่จะทะลุมิติไปที่หอนิรันดร์สำนักงานใหญ่


ที่หอนิรันดร์สำนักงานใหญ่ กระแสกาลเวลาคือ 10 เท่าของมิติเบื้องบน ซึ่งหมายความว่ากาลเวลาในมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงจะเร็วขึ้นเป็นพันเท่า พูดอีกอย่างก็คือ เขาต้องการเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้นเพื่อฝ่าด่านวรยุทธที่นั่น


แต่จางเซวียนก็ยังรู้สึกว่าไม่เร็วพอ เขาจึงปีนป่ายเสาหินขึ้นไปเพื่อมุ่งหน้าสู่หอเทพเจ้า


ทันทีที่ผ่านเส้นแบ่งเขตแดน กระแสกาลเวลาในมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงก็จะต่างกันเป็นหมื่นเท่ากับสภาพแวดล้อมภายนอก


ดังนั้น ในจำนวน 86,400 วินาทีที่ต้องใช้สำหรับการฝ่าด่านวรยุทธ จางเซวียนจึงต้องการเวลาแค่ 8 วินาทีเท่านั้น!


นั่นคือเหตุผลที่เขานับถอยหลังลงไปจากสิบ


10 วินาทีอาจดูไม่มีอะไรมากมาย แต่ก็มากพอที่จะทำให้เขาเข้าถึงระดับของเทพเจ้าเมื่ออยู่ในมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง แถมยังมีเวลาพอสร้างความคุ้นเคยกับพละกำลังใหม่ได้ด้วย


ตัวโคลนหน้าเขียวหน้าเหลืองด้วยความเสียใจ มีคำว่า ‘ถ้า’ มากมายอยู่ในหัวของเขาที่ทำให้เขาแทบบ้า


เขาพยายามดิ้นรนเล็กน้อย แต่ไม่อาจหลุดจากพันธนาการของจางเซวียนได้ สุดท้ายก็สูดหายใจลึกแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะพูดว่า “คุณอยากทำอะไรก็ทำเถอะ ผมแพ้แล้ว!”


เขาคิดว่าเขาคงพัฒนาตัวเองไปจนเหนือชั้นกว่าร่างต้นแบบได้หากได้มลทินสวรรค์มา แต่สุดท้ายก็จบด้วยความล้มเหลว


การเอาชนะผู้ที่ได้รับเลือกจากสวรรค์นั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลย!


“ผมเกลียดคุณจับใจ แต่จะไม่ฆ่าคุณหรอก คุณคือตัวโคลนของปรมาจารย์ขง ผมจะปล่อยให้เขาตัดสินชะตาของคุณเอง แต่รับประกันได้เลยว่านับจากนี้ไปคุณจะไม่มีวันได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขแม้แต่วันเดียว” จางเซวียนตอบอย่างเย็นชาขณะปล่อยพลังเข้าใส่ร่างของตัวโคลน


ฟึ่บ!


พลังงานนั้นสกัดกั้นวรยุทธของตัวโคลนไว้ ทำให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้ จากนั้นเขาก็โยนอีกฝ่ายเข้าไปในมิติลี้ลับที่อยู่ในแหวนเก็บสมบัติ


จางเซวียนยืนนิ่งอยู่ในความว่างเปล่าชั่วระยะหนึ่งก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเหลือเกินตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้หัวใจของเขาแสนจะหนักอึ้ง


รู้ดีว่าสงครามที่เกาะคว้าดาวน่าจะสงบลงได้เมื่อมีตัวโคลนกับเหล่าศิษย์สายตรงของเขาเข้าช่วย ตอนนี้จึงยังไม่จำเป็นต้องไปที่นั่น


“ในเมื่อเราเข้าถึงระดับของเทพเจ้าแล้ว ก็ควรจะไปตรวจสอบพลังงานวนสีดำที่อยู่ใต้หอเทพเจ้าเสียหน่อยว่ามันคืออะไร” จางเซวียนพึมพำขณะมองลงไป


สายตาของเขาดูจะพุ่งทะลุความว่างเปล่า เข้าสู่หอเทพเจ้าที่ตั้งตระหง่าน


หอเทพเจ้าตั้งตระหง่านอยู่เหนือพลังงานวนสีดำ จางเซวียนอยากสำรวจมันมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ด้วยระดับวรยุทธที่จำกัด จึงไม่อาจเข้าถึงมันได้ แต่ในเมื่อตอนนี้เขาคือเทพเจ้าตัวจริง ต่อให้พละกำลังของพลังงานวนสีดำนั้นจะน่าสะพรึงแค่ไหน เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัว


คราวก่อนเขาต้องใช้เวลาถึง 4 ชั่วโมงในการเข้าสู่หอเทพเจ้า แต่คราวนี้ใช้เวลาเพียง 2-3 นาที


หอเทพเจ้ายังโอ่อ่าอลังการเหมือนเดิม กลุ่มหมอกสีดำอ้อยอิ่งอยู่โดยรอบ ซึ่งหากใครจ้องมองเข้าไปในกลุ่มพลังงานวนที่อยู่ด้านล่าง ก็จะเห็นรอยแยกแห่งมิติอยู่ในนั้น


จางเซวียนบินขึ้นไปที่ส่วนยอดของพลังงานวน และรู้สึกได้ว่ามีพลังแปลกประหลาดบางอย่างพยายามไขว่คว้าเพื่อเกาะกุมเขา ตั้งใจจะกลืนกินเขาทั้งตัว


“ต้องเข้าไปดูเสียหน่อย!”


จางเซวียนใช้พลังจากสรวงสวรรค์ที่ได้มาใหม่ห่อหุ้มร่างของตัวเองไว้ จากนั้นก็ดำดิ่งเข้าสู่พลังงานวน คลื่นความสั่นสะเทือนของมิติที่อยู่ภายในพลังงานวนตรงเข้าปะทะเขาอย่างไม่ลดละ เป็นเรี่ยวแรงที่ต่อให้นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ก็ต้านทานไม่ไหว แต่สำหรับจางเซวียนในเวลานี้ เรี่ยวแรงนั้นไม่มากพอจะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ


ตอนที่ 2155 ทุกอย่างจบแล้วก็ดี

ที่ดวงตาของกลุ่มพลังงานวน เขาเห็นทางเดินสีดำสนิทซึ่งนำไปสู่อาณาเขตที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน


ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง จางเซวียนรู้สึกว่ามีโลกแสนน่าอยู่อีกใบที่อีกฟากของทางเดินนั้น เขารู้สึกถึงความปรารถนาที่จะเข้าไปสำรวจ “หรือนี่คือทางเข้าสู่สรวงสวรรค์?”


จางเซวียนอดไม่ได้ที่จะนึกถึงทางเดินแห่งมิติจากอาณาจักรคุนฉื่อที่นำไปสู่มิติเบื้องบน จากร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์สู่ค่ายกลและศพของนักปราชญ์โบราณ มีร่องรอยของปรมาจารย์ขงอยู่ที่นั่น


เช่นเดียวกับทางเดินที่อยู่ตรงหน้าเขาในเวลานี้


หอเทพเจ้าที่อยู่ด้านบนมีเจตจำนงของปรมาจารย์ขงอารักขาอยู่ และรังสีสวรรค์กลุ่มแรกที่เขาได้รับก็มาจากปรมาจารย์ขง


หลังจากที่เจตจำนงของปรมาจารย์ขงเข้าอารักขาหอเทพเจ้า เขาก็กลายเป็นผู้ควบคุมทุกกฎเกณฑ์ที่หอเทพเจ้ากำหนด ขอแค่ใครสักคนเอาชนะเจตจำนงของเขาได้ ก็จะได้รับรังสีสวรรค์เช่นกัน


เงื่อนไขเพียงข้อเดียวก็คือ…เจตจำนงของปรมาจารย์ขงนั้นแข็งแกร่งมาก ไม่มีทางที่จ้าวหย่ากับคนอื่นๆจะเทียบชั้นได้ ไม่อย่างนั้น เขาคงพาทุกคนเข้าไปเก็บเกี่ยวซึมซับรังสีแล้ว


“เราควรกลับไปจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย แล้วค่อยกลับมาสำรวจที่นี่อีกครั้ง…”


จางเซวียนหันหลังกลับและบินออกจากกลุ่มพลังงานวน


จ้าวหย่า หานเจี้ยนชิวและคนอื่นๆคงวิตกกังวลอย่างหนักที่เห็นปรมาจารย์ขงไล่ตามเขาไปติดๆ อย่างน้อยที่สุด เขาก็ควรกลับไปดูเสียหน่อย


จางเซวียนบินข้ามเส้นเขตแดนอีกครั้ง ไม่ช้าก็กลับถึงหอนิรันดร์สำนักงานใหญ่


ด้วยการใช้ความคิดแวบเดียว เขาลดรังสีลงเป็นระดับของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์


เท่าที่เขารู้ มีการทดสอบวรยุทธสำหรับผู้ที่เข้าถึงระดับของเทพเจ้า หากเขาปกปิดวรยุทธสักหน่อย ก็น่าจะยับยั้งมันได้ระยะหนึ่ง


หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น จางเซวียนก็ฉีกกระชากมิติที่อยู่ตรงหน้าและก้าวเข้าสู่รอยแยกแห่งมิติ


เมื่อเขาปรากฏตัวอีกครั้ง ก็มาอยู่เหนือโขดหินสมอสวรรค์


จางเซวียนรีบกำหนดพิกัดก่อนจะฉีกกระชากมิติครั้ง คราวนี้เขามาอยู่เหนือตำหนักคว้าดาว


เมื่อเห็นว่าการทดสอบวรยุทธยังไม่มา จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะสำรวจบริเวณโดยรอบ


สงครามกับหอนิรันดร์ สำนักป้อมปราการกระจกดำ และสำนักอมตะเลือนหายจบสิ้นแล้ว เหลือไว้แต่ศพมากมายก่ายกองระเกะระกะ


“ท่านอาจารย์ คุณกลับมาแล้ว!”


เมื่อรู้สึกได้ถึงรังสีของจางเซวียน จ้าวหย่ากับพรรคพวกรี่เข้ามาอย่างตื่นเต้น


แม้ทุกคนจะอยู่ในสภาพดูไม่ได้ แต่ก็โชคดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บสาหัส จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็ตั้งคำถาม “การสู้รบเป็นอย่างไรบ้าง?”


“พวกเราจับตัวเจ้าสำนักไป่กับเจ้าสำนักกู้แห่งสำนักป้อมปราการกระจกดำกับสำนักอมตะเลือนหายไว้ ส่วนคนอื่นๆก็ยอมแพ้ เมื่อเจ้าสำนักถูกโค่น สองสำนักนั้นก็ไม่มีความหมาย ส่วนหอนิรันดร์ พวกเราก็จับตัวทุกคนไว้เช่นกัน!” จ้าวหย่าอธิบาย


เมื่อหัวหน้าขงออกจากสนามรบไปเพื่อไล่ล่าจางเซวียน การร่วมมือกันระหว่าง 3 กลุ่มอำนาจก็ระส่ำระสาย


จ้าวหย่ากับคนอื่นๆเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์แล้ว และทุกคนล้วนมีของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อยู่กับตัว ถึงคู่ต่อสู้จะมีผู้เชี่ยวชาญอยู่ในสังกัดมากมาย แต่ก็ไม่อาจรับมือได้ ยิ่งไปกว่านั้น นักรบอมตะตัวจริงทั้งหนึ่งแสนชีวิตก็เข้าตะลุมบอนด้วย เกิดเป็นสงครามที่มีผู้โจมตีแค่ฝ่ายเดียว


ถือเป็นการกวาดล้างศัตรูอย่างราบคาบ ผู้รอดชีวิตทุกคนล้วนแต่ยอมแพ้


“ทุกอย่างจบแล้วก็ดี” จางเซวียนพยักหน้า


เมื่อจ้าวหย่ากับพรรคพวกออกโรง การเล่นงานคู่ต่อสู้ที่มีวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ก็ไม่ใช่เรื่องยาก หากผู้นำพ่ายแพ้ ที่เหลือก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก


การสู้รบช่วงแรกมีผู้บาดเจ็บล้มตายมากมาย แต่ก็ลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วเมื่อจ้าวหย่ากับคนอื่นๆเข้าตะลุมบอน ดังนั้น ความเสียหายของทั้ง 4 สำนักและเผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำจึงไม่มากมายอะไร


“พวกคุณเก็บเถ้าถ่านของไก่น้อยไว้หรือเปล่า? ตอนนี้อยู่ที่ไหน?” จางเซวียนถาม


ไก่น้อยต้องตายเพราะเขา


ถ้าไม่ใช่เพราะมันสังเวยชีวิตเพื่อขัดขวางปรมาจารย์ขง ก็คงไม่มีทางที่เขาจะชำระรังสีสวรรค์ให้บริสุทธิ์ได้ทันเวลาและฝ่าด่านวรยุทธจนสำเร็จ


“พวกเราเก็บไว้ แต่…”


รู้ดีว่าท่านอาจารย์มีความรู้สึกอย่างไรกับอสูรของเขา จ้าวหย่ากับคนอื่นๆจึงรีบรวบรวมเถ้าถ่านของไก่น้อยไว้ทันทีที่การต่อสู้สิ้นสุดลง


“แต่อะไร?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


“ถึงเราจะรวบรวมเถ้าถ่านแล้ว มันก็ยังลุกไหม้อยู่” จ้าวหย่าตอบด้วยรอยยิ้มแหยๆขณะชี้นิ้วไปที่กองเถ้าถ่าน


จางเซวียนหันขวับไปมองและเห็นเปลวเพลิงสีทองลุกโพลงอย่างดุเดือด มันคือจุดเดียวกันกับที่ไก่น้อยถูกฆ่าและเผาจนเป็นเถ้าถ่านด้วยน้ำมือตัวโคลนของปรมาจารย์ขง


ด้วยความงุนงง จางเซวียนรีบเข้าไปพิจารณาเปลวเพลิงสีทองใกล้ๆ รอยย่นปรากฏบนหน้าผากของเขา


เปลวเพลิงสีทองที่อยู่ตรงหน้าดูเหมือนไม่ได้มีพลังมากมายอะไร แต่เขาสัมผัสได้ถึงชีวิตที่ถูกบ่มเพาะอยู่ภายในนั้น


“แบบนี้หมายความว่าอย่างไร? ไก่น้อย…ยังมีชีวิตอยู่หรือ?” จางเซวียนถึงกับจังงัง


ไก่น้อยสีเหลืองถูกดาบเฉือนเป็นชิ้นๆและเผาจนมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน ต่อให้เทพเจ้าตัวจริงก็ต้องตายหากยับเยินขนาดนั้น! แต่ทำไมเขารู้สึกได้ถึงการปรากฏของชีวิตภายในเปลวเพลิงสีทอง?


ฟึ่บ!


ขณะที่จางเซวียนยังคงหรี่ตาเพื่อจับจ้องเปลวเพลิงสีทอง แท่นบูชาอันหนึ่งก็ปรากฏ


มันคือแท่นบูชาที่ตัวเขากับหวู่เฉินนำมาจากทวีปแห่งปรมาจารย์


ซรืดดดดด!


รังสีสีดำแผ่ซ่านออกจากแท่นบูชา พุ่งตรงเข้าหาเปลวเพลิงสีทอง


เปลวเพลิงสีทองลุกโชนราวกับจะตอบรับรังสีสีดำ จากเดิมที่มีขนาดเท่าลูกฟุตบอล มันยืดสูงขึ้นจนพอๆกับความสูงของมนุษย์คนหนึ่ง พร้อมกับเพิ่มความกว้างจนกลายเป็นลูกไฟที่มีรัศมีราว 10 เมตร


แต่ถึงอย่างนั้น รังสีสีดำที่แผ่ซ่านออกจากแท่นบูชาเข้าสู่เปลวเพลิงสีทองก็ยังไม่มีสัญญาณว่าจะหยุด


“นายน้อย ดูเหมือนแท่นบูชาจะสร้างการเชื่อมโยงกับแท่นบูชาอีกอันหนึ่ง เกิดเป็นประตู…”


หวู่เฉินกับตู้ชิงหย่วนรีบเข้ามาพิจารณาปรากฏการณ์นั้นใกล้ๆ


“ประตู?” จางเซวียนทวนคำพร้อมกับหรี่ตา


“ก็เหมือนประตูที่เราเคยใช้เพื่อทะลุมิติไปสู่หอเทพเจ้านั่นแหละ” หวู่เฉินพยักหน้า


ในครั้งนั้น จางเซวียนตั้งใจเดินทางเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์เพื่อนำแท่นบูชามาใช้ประกอบพิธีกรรมและสร้างการเชื่อมโยงระหว่างแท่นบูชา 2 อัน เขาดูออกว่าเหตุการณ์แบบเดิมกำลังเกิดขึ้นอีกครั้ง


เพียงแต่…


“ตัวโคลนของปรมาจารย์ขงทำลายแท่น…” จางเซวียนพูดไปได้เพียงครึ่งประโยคก็ตาลุกโพลงด้วยความงุนงง “เดี๋ยวก่อน หรือว่า…มันมาจากแท่นบูชาในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย?”


ในครั้งนั้น เขาได้รับข้อมูลว่าในทวีปที่ถูกลืมมีแท่นบูชาเพียงอันเดียว ด้วยเหตุนี้ จึงตั้งใจเดินทางกลับสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์เพื่อนำแท่นบูชาอีกอันหนึ่งมา


แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้พบแท่นบูชาที่มีหน้าตาเหมือนกันเป๊ะในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย ตอนนั้นตู้ชิงหย่วนก็อยู่ด้วย เธอระบุว่าแท่นบูชาอันนี้มีต้นกำเนิดเดียวกันกับแท่นบูชาของตำหนักคว้าดาวและเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น


เมื่อเกิดความคิดนั้นขึ้นมา จางเซวียนเดินเข้าไปตรวจสอบรังสีสีดำ


“มันคือบรรยากาศการเสื่อมถอย…”


อันที่จริง มันเป็นมากกว่าบรรยากาศของการเสื่อมถอย เพราะถูกขัดเกลาและบีบอัดจนอยู่ในรูปแบบเดียวกันกับรังสีสวรรค์ปนเปื้อนที่จางเซวียนได้รับจากโครงกระดูกสีดำ


“หรือว่า…”


จางเซวียนพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เขารีบฉีกกระชากมิติ ตั้งใจจะเดินทางทะลุมิติไปยังเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายเพื่อตรวจสอบข้อสันนิษฐานของเขา แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอย่างนั้น เปลวเพลิงก็ลุกโชนขึ้นสู่กลางอากาศก่อนจะระเบิดตูม เผยให้เห็นไก่น้อยสีเหลืองหน้าตาน่ารักตัวหนึ่ง


ไก่น้อยยืดหลังบิดขี้เกียจก่อนจะเดินเตาะแตะออกมาจากเปลวเพลิง


“ไก่น้อย!” จางเซวียนตาโตด้วยความประหลาดใจ แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น จากนั้นความยินดีปรีดาและความโล่งอกก็ท่วมท้นดวงตาของเขาขณะที่พุ่งเข้าหาไก่น้อย


ร่างที่อยู่ตรงหน้าดูไม่ต่างจากเดิมมากนัก มันมีขนสีเหลืองปกคลุมอยู่บางๆเหมือนลูกเจี๊ยบที่เพิ่งเกิดใหม่ แต่วรยุทธของมันอยู่ในระดับเดียวกันกับเขาแล้ว-เทพเจ้า


“แกฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ…” จางเซวียนพึมพำอย่างไม่อยากเชื่อ


ก่อนหน้านี้เขาให้ไก่น้อยกินยาเม็ดอมตะมากมาย รวมทั้งเลือดของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์…มันได้กินแม้กระทั่งเลือดของเทพเจ้า!


แต่วรยุทธของเจ้านี่ก็ไม่ยอมพัฒนาเลยสักนิด


การที่มันเอาชีวิตรอดจากการโจมตีของปรมาจารย์ขงได้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่วรยุทธของมันพุ่งพรวดขึ้นไปถึง 2 ขั้นและเข้าถึงระดับของเทพเจ้าได้อย่างไร?


จางเซวียนรู้สึกขัดใจหน่อยๆขึ้นมาทันที


เขาต้องใช้ทั้งสติปัญญาและความพยายามมากมายกว่าจะยกระดับวรยุทธได้รวดเร็วขนาดนี้ ส่วนเจ้าไก่ที่อยู่ตรงหน้าทำแค่กลืนของประหลาดนานาชนิดลงไป แต่วรยุทธของมันก็พัฒนาได้รวดเร็วเท่าเขาเหมือนกัน!


จางเซวียนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักเรียนผู้ขยันหมั่นเพียรที่ตั้งใจเรียนและตั้งใจทำข้อสอบเสมอ แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง สหายคนหนึ่งที่เอาแต่ใช้เวลาเล่นเกมกลับได้คะแนนดีกว่าเขา!


“ใช่!” ไก่น้อยกระพือปีกพร้อมกับเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจ


“แล้วแกได้ความทรงจำกลับคืนมาหรือยัง?” จางเซวียนถามต่อ


“ยัง!” ไก่น้อยตอบด้วยสีหน้าภาคภูมิใจเหมือนเดิม


จางเซวียนคันปากอยากติเตียนอีกฝ่ายที่ภูมิใจไม่เข้าเรื่อง แต่ขณะที่เฝ้าดูไก่น้อยเดินเตาะแตะไปรอบๆอย่างกระชุ่มกระชวย ก็พลันรู้สึกโล่งใจจนต้องระบายลมหายใจยาวออกมาและยิ้มอย่างจนปัญญาก่อนจะพูดต่อ “ช่างมันเถอะ เดี๋ยวความทรงจำของแกก็กลับมาเองแหละ คงต้องใช้เวลาสักหน่อย”


เขาดีใจที่ไก่น้อยยังมีชีวิตอยู่


แต่ก็นั่นแหละ จางเซวียนอึดอัดใจอยู่บ้าง ดูเหมือนเขาตื่นตูมอะไรไม่เข้าเรื่อง แถมเจ้านี่ก็กลายเป็นเทพเจ้าเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


หรือนี่คือความหมายของประโยคที่ว่า ‘เกิดขึ้นจากเถ้าถ่าน’?


เมื่อลองคิดดู ก็ออกจะน่าประหลาดใจที่ไก่น้อยผ่านมาได้ เขายังสงสัยว่าตัวโคลนของเขาจะเอาชีวิตรอดได้หรือเปล่าหากอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกัน


“รังสีสวรรค์เป็นของจำเป็นในการเข้าถึงระดับของเทพเจ้า รังสีสีดำที่ไก่น้อยซึมซับเข้าไปก่อนหน้านี้ดูจะเป็นแบบเดียวกันกับที่โครงกระดูกสีดำมอบให้เรา…” จางเซวียนครุ่นคิดหนัก


มีความเป็นไปได้ว่าไก่น้อยใช้รังสีสวรรค์ปนเปื้อนเพื่อเข้าถึงวรยุทธระดับที่เป็นอยู่


แต่นั่นก็ยังน่าสงสัย เพราะรังสีสวรรค์ที่ปนเปื้อนมีบรรยากาศของการเสื่อมถอยที่ต่อให้เทพเจ้าก็ยังต้องลำบากหากซึมซับมันเข้าสู่ร่างกาย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)