ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 215-222
ตอนที่ 215 การแข่งขันวาดภาพระดับเมือง
ตอนพักกลางวันเหยียนหมิงซุ่นกลับไปกินข้าวที่บ้าน ก็เห็นคุณย่าทำท่าทางมีลับลมคมในซุบซิบกับคุณปู่อยู่ เดิมทีแล้วเขาก็ไม่ได้ใส่ใจ แต่กลับได้ยินชื่อของอู่เหมย เลยหยุดอยู่กับที่โดยไม่รู้ตัวและตั้งใจฟัง
“ตาเฒ่าฉันจะบอกอะไรให้ เมื่อวานที่บ้านตระกูลอู่เสียงดังเอะอะกันใหญ่โต ได้ยินมาว่าลูกคนโตจะบีบคอเหมยเหมย ทำให้ลูกคนเล็กตกใจจนกระโดดออกมาเลย แถมยังไม่กล้าบอกอีกว่าเป็นพี่สาวทำ บอกแต่ว่าตัวเองทำเอง น่าสงสารจริง”
ภาพรอยแผลบนคอของอู่เหมยปรากฏขึ้นต่อหน้าเหยียนหมิงซุ่นอีกครั้ง เป็นอู่เยวี่ยเองหรือที่บีบ?
อู่เยวี่ยจะทำเรื่องโง่แบบนี้ได้อย่างไร?
คุณปู่เหยียนก็ถามคำถามอย่างไม่เชื่อเหมือนกัน คุณยายหยางเบะปากพูดว่า “ได้ยินมาว่ากดดันเรื่องเรียนจนเกินไป จิตใจก็เลยมีปัญหานิดหน่อย ตอนฝันก็เลยบีบคอเด็กน้อยเหมยเหมย ตาเฒ่าคุณว่าลูกสาวคนโตของตระกูลอู่คงไม่ได้เป็นโรคประสาทใช่ไหม? คนดีๆ ที่ไหนจะฝันแล้วฆ่าคนได้”
“เรื่องของบ้านอื่นเธอจะห่วงไปทำไม? รีบยกเอาอาหารออกมา ไม่เห็นเหรอหมิงซุ่นพักกลางวันแล้ว” ตาเฒ่าเอ่ยปากสั่งการด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก คุณย่าหยางจึงรีบเข้าไปเอาอาหารในครัว
ตาเฒ่าถอนหายใจออกมา พูดกับตัวเองว่า “เด็กผู้หญิงเรียนหนังสือไป สุดท้ายยังไงก็สู้ผู้ชายไม่ได้อยู่ดี พอถึงชั้นมัธยมก็เห็นได้ชัด เฮอะ! ปกติก็ยกยอจนแทบจะขึ้นสวรรค์ ดูสิว่าครั้งนี้สุดท้ายแล้วจะจบยังไง!”
ตอนบ่ายเลิกเรียนอู่เหมยไปห้องเรียนเยาวชนกับสยงมู่มู่ ส่วนอู่เชาก็โดนเธอทำให้เสียขวัญจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปแล้ว ไหนเลยจะมีอารมณ์มากับเธอ พอเลิกเรียนก็สติแตกกระจายกลับบ้านไปแล้ว
คาดว่าน่าจะไปหาตี๋ชิวเยวี่ยอ้อนขออ้อมกอดแล้ว!
เด็กหนุ่มคนนี้เห็นว่ามีรูปร่างใหญ่แบบนี้ แต่ความกล้าหาญนั้นมีมากกว่าไก่ไม่มากเท่าไหร่เอง เจ็ดแปดขวบยังไร้ยางอายนอนเตียงเดียวกับพ่อแม่ ไม่กล้านอนคนเดียว!
เฮ่อเหวินจิ้งพอเห็นเธอสีหน้าท่าทางก็ไม่เป็นธรรมชาติ โชคดีที่ในห้องเรียนไม่ได้มีเธอคนเดียว ยังมีนักเรียนอีกสิบกว่าคน ต่างก็เป็นคนที่อู่เหมยไม่รู้จัก ส่วนมากเป็นผู้ชาย ผู้หญิงน้อยหน่อย อายุประมาณเธอ
เพราะมีพื้นฐานวาดภาพ คาบเรียนของเฮ่อเหวินจิ้ง อู่เหมยก็ฟังอย่างสบายๆ รู้สึกผ่อนคลายกว่าเรียนวิชาภาษาวิชาเลขเยอะ หนึ่งคาบแป๊บเดียวก็หมดเวลาแล้ว เฮ่อเหวินจิ้งสั่งการบ้านให้นักเรียนกลับบ้านไปวาดภาพและเอามาส่งในคาบต่อไป
“เดือนธันวาคม ในเมืองจะมีจัดการแข่งขันวาดภาพระดับเยาวชน หากได้อันดับสามแรกของเมือง ก็จะสามารถเข้าร่วมการแข่งขันกลุ่มเยาวชนระดับชาติในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า สถานที่จัดการแข่งขันอยู่ที่เมืองหลวง นักเรียนกลับบ้านไปก็ไปพูดคุยกับผู้ปกครองนะ เวลารับสมัครมีถึงวันศุกร์หน้า” เฮ่อเหวินจิ้งหัวเราะพลางหันไปมองอู่เหมย
อู่เหมยใจกระตุกวูบหนึ่ง แข่งระดับประเทศนั้นเธอไม่คาดหวัง ระดับของตัวเธอเองไม่ได้ดีขนาดนั้นแน่นอน แต่แข่งระดับเมืองนี่น่าสนใจ ถ้าหากเธอสามารถเอาอันดับมาได้ ไม่แน่ว่าอู่เจิ้งซือคงจะผ่อนผันได้บ้าง
อย่างไรการแอบๆ ซ่อนๆ เรียนวาดรูปแบบนี้ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาในระยะยาว บนโลกนี้หน้าตามีหูประตูมีช่อง ช้าหรือเร็วอู่เจิ้งซือก็ต้องรู้เข้า แต่ก่อนที่เขาจะค้นพบความจริง ใช้แรงนี้เพื่อช่วงชิงแต้มต่อให้ตัวเองได้ถึงจะดี
“นักเรียนอู่เหมยมาที่ห้องทำงานครูสักครู่หน่อยนะ” เฮ่อเหวินจิ้งยิ้มอย่างอ่อนโยนมองเธอ
อู่เหมยเดินตามหลังเธอเข้าไปในห้องทำงาน เฮ่อเหวินจิ้งหยิบกล่องขนมออกมาจากลิ้นชักแล้วย้ายมาไว้ตรงหน้าเธอ พูดเบาๆ ว่า “นี่คือคุกกี้ รสชาติดีนะ”
“ขอบคุณค่ะ อาจารย์เฮ่อ”
อู่เหมยหยิบคุ้กกี้ขึ้นมากินคำเล็กๆ เฮ่อเหวินจิ้งเดิมทีอยากจะคุยกับเธอเรื่องการแข่งขัน แต่พอเห็นรอยแผลเขียวช้ำบนคอของเธอ ก็ยื่นมือพรวดมาเปิดคอเสื้อของเธอ สีหน้าของเฮ่อเหวินจิ้งก็เปลี่ยนด้วย
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น? ใครทำ? อู่เหมยเธอยังบาดเจ็บตรงไหนอีกไหม?”
เฮ่อเหวินจิ้งเสียงแหลม แผลแบบนี้ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องอื่น มองดูใบหน้าที่สวยงามของอู่เหมย ถึงแม้ว่าจะยังไม่โตเต็มวัย แต่ก็เพียงพอที่จะดึงดูดพวกโรคจิตได้
อู่เหมยคาดไม่ถึงว่าปฏิกิริยาของเธอจะรุนแรงขนาดนี้ ใบหน้าซีดขาว เหมือนโดนทำให้ตกใจเสียขวัญอย่างแรง แม้แต่เสียงก็ยังเปลี่ยน
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 216 เข้าร่วมการแข่งขัน
อู่เหมยหยุดความสงสัยไว้แล้วพูดว่า “ไม่มีแล้วค่ะ แค่บาดแผลเล็กน้อย ไม่กี่วันก็หายดีแล้ว อาจารย์เฮ่อไม่ต้องกังวลนะคะ”
เฮ่อเหวินจิ้งดูเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อ คอยถามซ้ำแล้วซ้ำอีก อู่เหมยเลยถอดเสื้อผ้าให้เธอดูถึงทำให้เธอสงบลงได้ และเริ่มพูดสอนอีกครั้งว่า “อยู่ข้างนอกเธอจะถอดเสื้อผ้าสุ่มสี่ห้าแบบนี้ไม่ได้ เป็นผู้หญิงควรจะรู้จักป้องกันตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงสวยอย่างเธอต้องยิ่งระวัง…”
เป็นครั้งแรกที่มีคนให้ความรู้ด้านนี้กับเธอ อู่เหมยรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ และยิ่งเสียดายเฮ่อเหวินจิ้ง เธอมีงานที่ดี หน้าตาที่ดี นิสัยที่ดี ทำไมถึงต้องการอยู่กับจี้เจี้ยนโปคนที่มีภรรยอยู่แล้วกันนะ!
ช่างดูถูกตัวเองจริงๆ!
“เป็นเพราะหนูอยู่กับอาจารย์เฮ่อเลยกล้าทำแบบนี้ ถ้าเป็นคนอื่นหนูคงไม่กล้า!” อู่เหมยอธิบายเสียงเบา น้ำเสียงออดอ้อน
เฮ่อเหวินจิ้งยิ้มและตบหน้าของอู่เหมยเบาๆ แต่เมื่อเห็นรอยแผลบนคอของเธอก็อดไม่ได้ที่จะถามอีกว่า “รอยแผลของเธอ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เธอไม่ต้องกลัว บอกความจริงกับอาจารย์มา อาจารย์จะไม่บอกคนอื่น”
อู่เหมยกัดริมฝีปากแล้วพูดว่า “พี่สาวของหนูบีบค่ะ เธอ…”
เธอเกือบจะพูดเรื่องเมื่อวานแล้ว เรื่องที่เธอทำให้อูเยวี่ยตกใจกลัว เรื่องที่ตนเองทำไม่ดีไว้ จะให้ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาด เธอคืออู่เหมยผู้ใจดีและน่ารัก จะทำร้ายใครได้อย่างไร!
“พระเจ้า พี่สาวของเธอนี่จิตใจต้องมีปัญหาแน่นอน เหมยเหมย เธอกับพี่ของเธออยู่ห้องเดียวกันไม่ได้แล้ว อยู่ร่วมกับคนป่วยทางจิตนั้นอันตรายมาก” เฮ่อเหวินจิ้งตกใจเป็นอย่างมาก มองอู่เหมยด้วยความเห็นอกเห็นใจ เด็กน้อยหน้าสงสาร ทำไมถึงได้มีพี่สาวเป็นแบบนี้
อู่เหมยพยักหน้า “หนูก็คิดเช่นนั้นค่ะ อาจารย์ไม่ต้องเป็นห่วง หนูจะไม่ปล่อยให้ตัวเองเดือดร้อนแน่นอน”
อู่เยวี่ยไม่ได้ป่วยทางจิต เธอรู้ดีกว่าใคร แต่คำพูดของอาจารย์เฮ่อได้เตือนสติเธอ ทางที่ดีใช้โอกาสนี้คุยกับอู่เจิ้งซือเรื่องที่จะย้ายออก ห้องครัวในบ้านที่เหอปี้อวิ๋นใช้เป็นห้องเก็บของ ของก็วางไม่เยอะ เอามาทำเป็นห้องนอนเธอได้พอดี เธอไม่รังเกียจที่ห้องเล็ก แค่ได้ห้องเดี่ยวของตัวเองก็พอ แบบนี้ก็จะปลอดภัยแล้ว
เฮ่อเหวินจิ้งพูดเรื่องการแข่งขันอีกครั้ง “เหมยเหมย เธอมีพื้นฐานที่แน่นและรู้จักใช้วิธีการใหม่ๆ เธอควรเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ เธอกลับบ้านไปปรึกษาพ่อแม่สักหน่อยนะ”
“อาจารย์เฮ่อช่วยหนูสมัครได้ไหม พ่อแม่ไม่รู้ว่าหนูแอบเรียนวาดรูป” อู่เหมยพูดความจริงออกไป ไม่มีอะไรต้องปิดบังอีก
เฮ่อเหวินจิ้งขมวดคิ้ว เธอไม่ต้องถามก็รู้ว่าทำไมพ่อแม่ของอู่เหมยถึงไม่เห็นด้วย พวกเขาคงคิดว่าการวาดรูปไม่ใช่อาชีพ จึงต้องการให้ลูกจดจ่ออยู่กับการเรียนหนังสือเท่านั้น
ความคิดแบบนี้ปิดกั้นศิลปินผู้มีพรสวรรค์มากี่รายแล้ว เห็นได้ชัดว่าเด็กบางคนมีพรสวรรค์ด้านศิลปะที่ยอดเยี่ยม แต่ผู้ปกครองเหล่านั้นกลับไม่สนใจ ต้องการให้ลูกเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ นักการทูต…
พวกเขากลับไม่เคยคิดว่า ลูกของพวกเขามีหรือไม่มีพรสวรรค์ในด้านนั้น!
เฮ่อเหวินจิ้งมองดูอู่เหมยอย่างชื่นชม มีความมุ่งมั่นต่อความชอบของตนเอง เยี่ยมจริงๆ!
“ได้ อาจารย์จะสมัครให้ เหมยเหมย ต่อไปนี้เธอไม่ต้องจ่ายค่าเรียนแล้ว และที่นี่อาจารย์ก็มีกระดาษ เธอมาหยิบไปใช้ได้ ฉันใช้ไม่หมดหรอก” เฮ่อเหวินจิ้งพูดยิ้มๆ
“ขอบคุณค่ะอาจารย์ ตอนนี้หนูยังพอมีเงินอยู่บ้าง ในอนาคตถ้าหากไม่พอจริงๆ หนูค่อยขอความช่วยเหลือจากอาจารย์เฮ่อ!” อู่เหมยปฏิเสธอย่างนุ่มนวล ในใจรู้สึกขอบคุณเฮ่อเหวินจิ้งเป็นอย่างมาก เธอมองไปดวงตาที่สวยงามของเฮ่อเหวินจิ้งอย่างลังเลอีกครั้ง แต่แล้วก็ตัดสินใจเตือนเธอ
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 217 เตือนสติเธอ
อู่เหมยพูดอย่างนิ่มนวล “อาจารย์เฮ่อ คุณอาของหนูนิสัยไม่ค่อยดี เวลาอารมณ์ร้ายก็เหมือนประทัดระเบิด เป็นคนที่ไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไหร่”
เมื่อพูดจบเธอก็คิดว่าตัวเองยังใช้คำพูดไม่ถูกสักเท่าไหร่เลยพูดเสริมไปว่า “สรุปคือคุณอาเขาก็เหมือนผู้หญิงบ้านนอกปากร้ายแถมยังสามารถทำเรื่องที่ไม่อาจหาคำบรรยายได้”
การที่เฮ่อเหวินจิ้งเข้าไปยุ่งเรื่องของครอบครัวคนอื่นแน่นอนว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดี แต่ขณะเดียวกันอู่เหมยกลับคิดว่าเฮ่อเหวินจิ้งไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่หลงตัวเอง แต่จี้เจี้ยนโปเองก็เถอะ เขามีอะไรที่คนอื่นจะมาให้เกียรติกันได้ด้วยหรือ?
ถ้าหากว่าอู่เจิ้งหงรู้เรื่องของเฮ่อเหวินจิ้ง คุณอาใจกล้าคนนี้ต้องทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องวุ่นวายแน่ๆ ยิ่งในยุคนี้ สำหรับหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงาน ถ้าหากว่าถูกคนดึงเสื้อผ้าออกต่อหน้าหน่วยงาน แถมยังถูกแปะใบประกาศจนต้องอับอาย สุดท้ายก็ไม่พ้นถูกปลดออกจากตำแหน่งราชการ จะดำเนินชีวิตต่อไปยังไงก็ไม่รอด
เธอทนไม่ไหวจริงๆ หากเห็นเฮ่อเหวินจิ้งเป็นแบบนี้!
เมื่อชาติก่อนอู่เจิ้งหงก็เคยทำแบบนี้มาแล้ว วันครูวันนั้นอู่เจิ้งหงสร้างเรื่องวุ่นวายไปหมด หลังจากนั้นถึงแม้ว่าจะคุยกับจี้เจี้ยนโปดีแล้ว แต่ว่าเธอก็ยังมีอารมณ์ค้างอยู่ สุดท้ายพอเธอมาพบว่าเป็นเฮ่อเหวินจิ้ง ก็เลยวิ่งไปที่ทำงานของเธอ และไม่เพียงแค่ดึงเสื้อของเฮ่อเหวินจิ้งแต่ยังโกนหัวเธออีก
ยังดีที่จี้เจี้ยนโปรีบไปหยุดอู่เจิ้งหงไว้ได้ อย่างไรก็ตามชื่อเสียงของเฮ่อเหวินจิ้งก็เสียหายไปแล้ว แถมยังโดนไล่ออก เล่ากันว่าต่อมาเฮ่อเหวินจิ้งออกไปจากเมืองจินแล้ว แต่รายละเอียดของสถานการณ์ในตอนนั้นเธอก็ไม่รู้เหมือนกัน
เรื่องพวกนี้เธอเคยได้ยินตอนที่เหอปี้อวิ๋นพูดที่บ้าน ตอนนั้นเธอก็ไม่รู้จักกับเฮ่อเหวินจิ้ง แต่ตอนนี้นึกออกแล้ว เรื่องที่ขมขื่นในชาติก่อนของเฮ่อเหวินจิ้ง เธอน่าจะเป็นชนวนระเบิดหนึ่ง ตอนนั้นถ้าไม่มีอู่เยวี่ยเป็นต้นเหตุ ก็น่าจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้กับเฮ่อเหวินจิ้ง
แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ช้าหรือเร็วยังไงก็ต้องเกิด อู่เยวี่ยรู้เรื่องของเฮ่อเหวินจิ้งแล้ว และเธอก็เป็นคนต่ำทรามหน้าเนื้อใจเสือ ใครจะไปรู้ว่าจะถูกเปิดโปงอีกครั้งเมื่อไร วันหนึ่งถ้าอู่เจิ้งหงรู้เข้า เหตุการณ์แบบชาติที่แล้วก็จะต้องเกิดขึ้นอีกครั้งแน่นอน
เฮ่อเหวินจิ้งค่อยๆ ยิ้ม เธอรู้สึกอับอายมาก ที่นักเรียนของเธอรู้เรื่องที่สุดที่จะทนของเธอ เธออยากที่จะเอาหน้ามุดแผ่นดินหนีเลยทีเดียว เฮ่อเหวินจิ้งแสยะยิ้มและพูดว่า ”เหมยเหม่ยเธอไม่โทษฉันหรอ? ฉัน…”
อู่เหมยยักไหล่ “หนูไม่ชอบคุณอาของหนู อีกอย่างหนูก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะโทษใครทั้งนั้น เพียงแต่อาจารย์เฮ่อ คุณเหมาะสมกับผู้ชายที่ดีกว่านี้ อย่ามายุ่งกับครอบครัวของหนูเลย เสียเวลาเปล่า”
เฮ่อเหวินจิ้งอายมากที่โดนเด็กที่เป็นเหมือนผู้ใหญ่เตือนจนรู้สึกขวัญเสีย เด็กสมัยนี้ฉลาดมากจนน่าตกใจ รู้เรื่องไปหมด รู้เยอะกว่าผู้ใหญ่เสียอีก
“ขอบคุณนะเหมยเหมยที่เตือน ฉันจะทบทวนดูอีกรอบนะ” เฮ่อเหวินจิ้งพยายามตั้งสติ เธอเริ่มที่จะเตรียมตัวพิจารณาอนาคตของตัวเอง แม้กระทั่งตัวของเธอเองยังรับตัวเองไม่ได้เลย โลกของความรักแบบนี้มันช่างไร้ค่าจริงๆ
อู่เหม่ยบอกลาเฮ่อเหวินจิ้งและออกมาจากห้องทำงานของเธอ ไปรอสยงมู่มู่ที่ห้องสอนกีตาร์ระหว่างทางเดินผ่านห้องเต้นรำ ห้องเปียโน ห้องพู่กัน ห้องหมากล้อม ห้องกู่เจิ้ง และอื่นๆ อีกมากมาย อู่เหมยมองจนตาลายไปหมด
เธอยังรู้สึกสนใจห้องกู่เจิ้งเป็นพิเศษ ใส่ชุดชาวฮั่น จุดธูป แล้วบรรเลงเพลง “ภูเขาสูงน้ำไหล” แน่นอนว่างดงามดุจดังภาพวาดภูเขาและแม่น้ำก็ไม่ปาน
หลังจากนี้หาเวลามาลองเรียนกู่เจิ้งดูดีกว่า พอเรียนแล้วจะเล่นได้สักสองสามเพลงทำตัวเป็นพวกชนชั้นสูง แน่นอนว่าจะต้องทำให้คนเป็นกลุ่มช็อกให้ได้!
อู่เหมยยิ้มมีความสุขอยู่สักพักหนึ่ง ก็รีบวิ่งขึ้นไปที่ห้องสอนกีตาร์ชั้นสอง สยงมู่มู่กำลังเรียนพิเศษอยู่ในห้องทำงานของอาจารย์ อาจารย์คนนี้รู้จักกับจ้าวอิงหนาน มักจะมาช่วยสอนพิเศษสยงมู่มู่อยู่เป็นประจำ
ดูท่าทางแล้วอีกชั่วโมงครึ่งสยงมู่มู่ก็คงยังเรียนไม่เสร็จ อู่เหมยรอจนเบื่อ เลยหยิบกีตาร์ตัวที่พิงอยู่ที่กำแพง ดีดมั่วๆ แต่ไม่ได้มีเจตนาที่จะเอาที่อาจารย์สอนสยงมู่มู่เมื่อกี้มาใช้ เล่นไปตามสัญชาตญาณ แม้กระทั่งตัวของเธอเองยังไม่รู้ตัว
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 218 เหยียนหมิงซุ่นทายาให้
ครูสอนกีตาร์แซ่ปู้ เป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าๆ ไว้ผมยาวสลวย แต่ก็ไม่ได้ยาวมากเท่าไร
เดิมทีอาจารย์ปู้ไม่ได้เป็นคนสนใจสิ่งรอบตัวมากนัก แต่พอได้ยินเสียงที่อู่เหมยเล่นมาสองสามนาทีก็พอจะรู้สึกอะไรบางอย่าง และมองไปยังอู่เหมยอย่างตกใจ สยงมู่มู่เองก็เห็นแต่ไม่ได้พูดอะไร และฟังอู่เหมยบรรเลงกีตาร์อย่างบ้าคลั่ง
อู่เหมยดีดมั่วๆ เสียงดังอยู่พักหนึ่ง ก็ปวดที่ปลายนิ้วจากการที่ปลายนิ้วได้สัมผัสกับสายโลหะ ใครไม่เจ็บก็บ้าแล้ว!
อาจารย์ปู้มองอู๋เหม่ยอย่างสนใจและถามว่า “สาวน้อยอยากเรียนกีตาร์ไหม?”
“ไม่เอาค่ะ เจ็บมือ”
อู่เหมยปฎิเสธโดยไม่ลังเล พร้อมยื่นนิ้วชาๆ ทั้งสิบขึ้นมา ที่ปลายนิ้วแดงก่ำ สยงมู่มู่อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากและบอกกับครูปู้ว่า “คุณลุงปู้ เหมยเหมยเขากำลังเรียนวาดภาพ ไม่มีเวลาเรียนกีตาร์หรอก”
อาจารย์ปู้ส่ายหน้าอย่างเสียดาย สาวน้อยที่มีพรสวรรค์ น่าเสียดายที่ไม่อยากเรียนกีตาร์ น่าเสียดายจริงๆ!
“วันหลังถ้าคิดอยากจะเรียน ที่นี่ยินดีต้องรับเธอเสมอนะ” อาจารย์ปู้พูดกับเธอตอนเธอจะออกไป
อู่เหมยเอาแต่หัวเราะ ไม่พูดอะไร ถ้ามีเวลาหน่อยเธอก็อยากจะเรียนกู่เจิ้ง ส่วนกีตาร์นั้นเธอไม่ได้สนใจเลย ถ้าให้เทียบระหว่างกีตาร์กับกู่เจิ้ง กูเจิ้งนี่มาที่หนึ่งเลย
เธอเคยเห็นมาแล้วว่า คนที่เล่นกีตาร์เป็นนั้นมีเยอะมาก และคนที่ร้องเพลงเป็นแทบทุกคนก็เล่นกีตาร์ได้หมด แต่คนที่เล่นกู่เจิ้งเป็นมีแค่ไม่กี่คนเอง!
อู่เหมยยังไม่พูดเรื่องย้ายบ้าน เธอกำลังรอให้คะแนนภาษาออกมาก่อน เธอคิดว่าครั้งนี้ต้องออกมาดีแน่ๆ เช่นนี้แล้วเธอค่อยพูดเรื่องนี้ออกมาตอนที่อู่เจิ้งซืออารมณ์ดี อย่างนี้ถึงจะมีโอกาสเพิ่มขึ้นหน่อย
ถ้าไม่มีอะไรคลาดเคลื่อนไป คะแนนจะต้องออกมาช่วงสุดสัปดาห์ อาจารย์อู๋มักจะทำแบบนี้ ชอบให้พวกเขาเอาข้อสอบกลับบ้านให้ผู้ปกครองดูและเซ็นชื่อกลับมาด้วย ครั้งนี้ก็น่าจะเหมือนกันแน่นอน
วันนี้ที่บ้านอู่บรรยากาศไม่ค่อยดี ถึงแม้ว่าอู่เหม่ยจะอารมณ์ดี แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมา ไม่พูดเลยแม้แต่ประโยคเดียว ทำคิ้วขมวด เหอปี้อวิ๋นอึดอัดใจอยากจะจัดการเธอ แต่เธอไม่สามารถทำให้เหอปี้อวิ๋นจับผิดเธอได้
พอทำการบ้านเสร็จก็รีบวิ่งออกไปสูดอากาศอันปลอดโปร่งข้างนอกบ้าน เพราะตอนนี้เหอปี้อวิ๋นและอู่เยวี่ยทำหน้าเหมือนมีคนติดเงินอยู่แปดร้อยล้านหยวน เธอไม่อยากอยู่บ้านดูหน้าสองคนนั้นที่ทำหน้าเหมือนจะตายหรอก!
แต่ว่าดูท่าทางของอู่เยวี่ยแล้วเหมือนจะอารมณ์ไม่ดี ดูท่าทางอาจจะเป็นเพราะว่าคะแนนของการสอบประจำเดือนน่าจะไม่ได้ตรงตามอย่างที่คิดเอาไว้ สุดสัปดาห์นี้ผลก็น่าออกแล้วมั้ง?
ยังไม่รู้ว่าอู่เยวี่ยจะสอบได้อันดับที่เท่าไร?
ถ้าสอบได้ที่สี่ที่ห้าได้ก็ยิ่งดี อู่เยวี่ยจะได้กระอักเลือดออกมา แบบนี้แล้วเหอปี้อวิ๋นและอู่เจิ้งซือจะยังออกไปขี้โม้ข้างนอกได้อยู่อีกหรือ?
เหยียนหมิงซุ่นมองมาแต่ไกลก็เห็นอู่เหมยกำลังหัวเราะเหมือนคนบ้าเดินมา อดไม่ไหวเลยหัวเราะออกมาเช่นเดียวกัน ยัยเด็กบื้อนี่ท่าทางอารมณ์ดีน่าดู ไม่น่าเป็นห่วงทั้งวันเลย
“มีเรื่องอะไร ทำไมดูมีความสุขนัก?”
อู่เหมยที่กำลังแอบคิดอยู่ในใจ อยู่ดีๆ ก็มีเสียงดังขึ้นทำให้ตกใจ พอเงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นเป็นเหยียนหมิงซุ่น หัวใจก็เต้นแรง ส่งเสียงว่า “พี่หมิงซุ่น!”
“เธอมาหาฉิวฉิวหรอ? มันเล่นอยู่บนต้นไม้ต้นนี้” เหยียนหมิงซุ่นชี้ไปที่ต้นไม้ต้นที่สูงสุดในสนามกีฬา
“ฉันมาเดินเล่นน่ะ ก็เลยคิดว่ามาหาฉิวฉิวด้วย” อู่เหมยเงยหน้าก็เลยกลายเป็นตาจ้องตากับเหยียนหมิงซุ่น หน้าก็ค่อยแดงขึ้นเรื่อยๆ
เหยียนหมิงซุ่นล้วงกระเป๋าและหยิบน้ำมันยาออกมา พูดอย่างไม่ให้อีกฝ่ายปฏิเสธได้ทันว่า “เธอปลดกระดุมออกหน่อยสิ เดี๋ยวพี่จะทายาให้”
อู่เหมยมองเหยียนหมิงซุ่นอย่างประหลาดใจ สงสัยหูของตัวเองนิดหน่อย เหยียนหมิงซุ่นก็พูดซ้ำอีกรอบ อู่เหมยก็เลยเขินขึ้นมา ใจคิดอยากจะปฎิเสธ แต่ก็ไม่กล้า อีกฝ่ายจะเป็นผู้นำระดับสูงในอนาคต การที่เขาทายาให้เธอก็ถือเป็นเกียรติอย่างมากเลยนะ!
แต่ว่าเธอก็ไม่ใช่เด็กสิบสองขวบนะ ที่จะให้ผู้ชายทายาให้ที่คอ จะคิดยังไงก็รู้สึกไม่สบายใจเสียเลย!
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 219 สะสมทรายให้เป็นหอคอย
ต่อให้ผ่านไปครึ่งค่อนวันอู่เหมยก็คงไม่ได้แกะกระดุม เหยียนหมิงซุ่นมองเธออย่างสงสัย จึงพูดอีกครั้ง แต่พอเห็นเธอมีท่าทางเขินอาย ก็อดหัวเราะไม่ได้ “เธอน่ะคราบน้ำนมยังไม่ทันแห้งเลย จะเขินอายอะไร?”
ในความคิดของเขา อู่เหมยก็ไม่ต่างจากตุ๊กตาเด็กน้อยสักเท่าไหร่ ไหนเลยจะต้องมาแบ่งชายหญิง
อู่เหมยพูดอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “ฉันมีกลิ่นน้ำนมไม่แห้งยังไง? ฉันอายุ 12 ปีแล้วนะ”
เธอเพียงแค่ร้องเอะอะ แววตาของเหยียนหมิงซุ่นก็ดูเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม จึงค่อยๆ อ่อนลง ท้ายสุดก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมา แกะกระดุมคอเสื้ออย่างเชื่อฟัง ตัวเองรู้สึกคลายกังวล ยังไงซะหน้าอกเธอตอนนี้มีก็เหมือนไม่มี มีก้นก็เหมือนไม่มีก้น จริงๆ แล้วก็ไม่ได้มีอะไรน่าดู
พอแกะกระดุมออกรอยแผลก็เด่นมากขึ้น เหยียนหมิงซุ่นพลันโมโหอย่างรุนแรง ถามเสียงต่ำว่า “ยังเจ็บอยู่ไหม?”
“ไม่โดนก็ไม่เจ็บ… โอ๊ยยย เจ็บจะตายแล้ว!”
เหยียนหมิงซุ่นใช้มือถูขยี้ไปมาบนคอของเธอเหมือนกับซักผ้า เจ็บจนเธอใจจะขาด น้ำตาไหลลงมา จ้องมองคนลงมืออย่างติเตียน ก็บอกว่าไม่เจ็บแล้ว ยังจะทายาให้เธออีกทำไม?
“ทายาจะหายได้เร็วกว่า ไม่อย่างนั้นเนี่ยเดือนหนึ่งผ่านไปแผลเธอก็ยังไม่จางหายหรอก”
เหยียนหมิงซุ่นมองอย่างขบขัน อธิบายด้วยความอดทน แต่แรงที่มือก็ไม่ได้เบาลง ขาดเพียงไม่ได้ทาทะลุเข้าไปในเส้นเลือดของอู่เหมยแค่นั้น ไม่ง่ายเลยกว่าจะทาเสร็จ อู่เหมยเจ็บจนเหงื่อออกไปทั้งตัว ทั่วลำคอแสบร้อนเหมือนไฟเผา กลิ่นยาลอยโชยมาขึ้นจมูก
“ขอบคุณพี่หมิงซุ่น!”
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เห็นแก่ยาของเหยียนหมิงซุ่น แต่คำขอบคุณก็ยังต้องพูด เสียงของเธอขึ้นจมูกแถมยังมีความคับข้องใจด้วย เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะ “ผ่านไปสองวันพี่ค่อยทาให้เธออีก ครึ่งเดือนก็น่าจะดีขึ้นมากแล้ว”
อู่เหมยทำหน้ายู่ ยังต้องทาอีกตั้งครึ่งเดือน คอของเธอคงโดนทาจนหนังลอกเป็นชั้นๆ แน่!
เหยียนหมิงซุ่นถามอีกครั้ง “แผลของเธอไปโดนอะไรมา เป็นอู่เยวี่ยบีบจริงๆ หรือ?”
อู่เหมยเงยหน้าอย่างประหลาดใจ เหยียนหมิงซุ่นแค่มองสีหน้าของเธอก็รู้ว่าต้องเป็นฝีมือของอู่เยวี่ยอย่างไม่ต้องสงสัย ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว อู่เยวี่ย เด็กผู้หญิงคนนี้อายุไม่เยอะแต่จิตใจกลับโหดเหี้ยม นึกไม่ถึงเลยว่าจะลงมือหนักขนาดนี้!
“ทำไมอู่เยวี่ยถึงอยากบีบคอเธอ?”
อู่เหมยทำปากพะงาบๆ ไม่รู้ทำไม อยู่ต่อหน้าเหยียนหมิงซุ่นคำโกหกนิดเดียวเธอก็ไม่กล้าพูดออกมา รู้สึกเสมอว่าดวงตาของเหยียนหมิงซุ่นนั้นสามารถมองได้อย่างทะลุปรุโปร่งและเธอก็หมดหนทางที่จะปิดซ่อน
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ช่วงนี้พี่สาวของฉันจิตใจไม่ค่อยปกติ บอกตลอดว่าฝันร้าย” อู่เหมยก้มหัวลงพูดเสียงเบา ไม่กล้าสบตาเหยียนหมิงซุ่น กลัวเขามองออกถึงความกลัวในใจของเธอ
เหยียนหมิงซุ่นไม่ได้สงสัยอะไร ที่สำคัญคือเขาไม่รู้สึกว่าเด็กซื่อบื้ออย่างอู่เหมยคนที่ขี้ขลาดเหมือนหนูคนนี้จะมีเขี้ยวเล็บไปทำร้ายใครได้ คนที่อยากทำร้ายคนก็คืออู่เยวี่ย ผู้หญิงจำพวกใจดำอำมหิต
“เธอก็ระวังหน่อย ไม่ต้องนอนห้องเดียวกับอู่เยวี่ยแล้ว จะดีที่สุดถ้าหากให้คุณครูอู่จัดการห้องเดี่ยวให้เธอนอน” เหยียนหมิงซุ่นพูดกำชับ ในใจเป็นห่วงอย่างมาก อู่เยวี่ยตอนนี้ก็เหมือนระเบิดเวลา ไม่แน่ว่าเมื่อไรจะทำร้ายคน อู่เหมยใช่คู่ต่อสู้ของเธอซะที่ไหน
อู่เหมยมองเขาอย่างซาบซึ้งใจ พูดยิ้มๆ ว่า “อืม รอผลคะแนนของวิชาภาษาออกมาแล้วจะพูดกับพ่อดูนะ”
เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะถามขึ้นมาว่า “ทำข้อสอบได้ไม่เลว?”
“ไม่มีไม่เลว แค่รู้สึกว่าพอได้ แต่แน่นอนว่าดีกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย” อู่เหมยรู้สึกเขินอายเมื่อพูดถึงเศษเสี้ยวคะแนนต่อหน้านักเรียนเรียนเก่งอย่างเหยียนหมิงซุ่น ไม่ควรค่าที่จะเอ่ยถึงเลย
มีพัฒนาการขึ้นก็ดี พัฒนาขึ้นวันละนิดวันหน่อย สะสมทรายจนมันกลายเป็นหอคอย สุดท้ายแล้วผลลัพธ์จะต้องออกมาน่าทึ่งมากแน่ๆ” เหยียนหมิงซุ่นพูดให้กำลังใจ
อู่เหมยพยักหน้าอย่างแรง ฉับพลันก็มีความเชื่อมั่นเต็มร้อย
แค่สะสมทรายให้เป็นหอคอย เธอนักเรียนเรียนบ๊วยตัวเล็กๆ คนนี้จะต้องปีนถึงยอดพีระมิดได้แน่นอน ถึงอย่างไรก็ต้องสูงกว่าอู่เยวี่ย และเหยียบให้ตาย!
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 220 มีบ้านแล้ว
ฉิวฉิวกระโดดลงมาจากต้นไม้ กระโดดลงที่ไหล่ของเหยียนหมิงซุ่น หางยาวๆ สะบัดไปสะบัดมา หันไปทางอู่เหมยแล้วส่งเสียงเรียก อู่เหมยเขย่งปลายเท้าตีหัวฉิวฉิว อีกทั้งยังดึงฉุดหางของมัน ความสุขของเด็กสาวตัวน้อยส่งต่อถึงเหยียนหมิงซุ่น มุมปากยกขึ้นตลอด แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้ตัว
“บ้านพี่หาได้แล้ว อยู่ตรงถนนฮวายไห่ สถานที่ก็ไม่เลว เพียงแค่เล็กไปหน่อย มีแค่สองห้องและยังมีลานบ้านเล็กๆ เจ้าของห้องจะไปต่างประเทศแล้ว ก็เลยฝากคนขายบ้าน เรียกราคาสองพัน พี่ต่อเหลือพันแปด เจ้าของบ้านเขาก็ตกลง เธออยากจะไปดูบ้านไหม?” เหยียนหมิงซุ่นพูดช้าๆ
อู่เหมยตื่นเต้นเป็นอย่างมาก “ขอบคุณพี่หมิงซุ่นมากเลย บ้านไม่ต้องดูแล้ว พี่บอกว่าดีก็ต้องดีมากอย่างแน่นอน ฉันต้องให้เงินพี่เมื่อไรล่ะ?”
“วันเสาร์อาทิตย์นี้ก็ได้ พี่จะพาเธอไปทำเรื่องโอนย้ายพี่ขอให้คุณอาหมิงทำบัตรประจำตัวปลอมให้เธอ ชื่อว่าอู๋เจียว สถานภาพของคนนี้ เธอไม่ต้องกังวลไปนะ สำนักงานรักษาความปลอดภัยจะมีเอกสารแยกเก็บไว้ หลังจากที่เธอโตขึ้น เธอก็สามารถทำเรื่องย้ายบ้านจากชื่ออู๋เจียวมาเป็นชื่อของเธอได้” เหยียนหมิงซุ่นอธิบาย
อู่เหมยไม่เคยคิดสงสัยเลยว่าเหยียนหมิงซุ่นจะวางอุบายอะไร เขาคนนี้ในอนาคตจะกลายเป็นผู้นำระดับสูง เป็นคนที่ใจคอกว้างขวางและตรงไปตรงมา จะเอาเงินเล็กๆ น้อยๆ ของเธอได้อย่างไร?”
เธอพยักหน้าโดยไม่ลังเลสักนิด “อืม แล้วแต่พี่หมิงซุ่นเลย”
เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะ ตั้งใจถาม “เธอไม่กลัวโดนพี่หลอกเอาเงินเหรอ?”
“ไม่มีทาง พี่หมิงซุ่นไม่ใช่คนแบบนั้น”
ทันใดนั้นเหยียนหมิงซุ่นก็รู้สึกว่าจิตใจสดใสเบ่งบานขึ้นมา ความเชื่อใจของเด็กน้อยทำให้เขาดีใจมาก มุมปากยกยิ้มมากขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าก็อ่อนโยนมากยิ่งขึ้น อดไม่ไหวยกมือขึ้นลูบหัวของอู่เหมย พูดอย่างอ่อนโยนว่า “รีบกลับไปนอนเถอะ วันอาทิตย์พี่จะพาไปดูบ้าน”
อู่เหมยอุ้มฉิวฉิว หันไปทางเหยียนหมิงซุ่นยกมือขึ้นลง ก้าวเท้าอย่างผ่อนคลายกลับบ้าน อาทิตย์นี้มีแต่เรื่องดีซ้ำแล้วซ้ำอีก นอกจากเรื่องที่อู่เยวี่ยโชคร้ายครั้งใหญ่ เธอก็จะได้บ้านของตัวเองเร็วๆ นี้ อีกทั้งยังเป็นถนนฮวายไห่ทำเลทองตรงนั้นอีก บ้านหนึ่งหลังก็พอที่เธอจะกินอยู่ไปตลอดชีวิตแล้ว
ผ่านไปอีกไม่กี่วันเธอค่อยไปดูตลาดหนานสุ่ย ซื้อของที่ฉิวฉิวชอบเป็นพิเศษในตอนนั้นกลับมาให้หมด หลังจากนั้นก็เลือกออกมาอีกหน่อยเพื่อขายออกไป แบบนี้เธอก็จะสามารถซื้อบ้านได้อีก สามารถมีบ้านหลายหลังอยู่ในเมืองจิน หลังจากนี้ไปหากเธออาศัยแค่ค่าเช่าก็สามารถใช้ชีวิตแบบสบายๆ ได้แล้ว!
วันหยุดสุดสัปดาห์ที่อู่เหมยร้อนใจรอคอยค่อยๆ มาถึง ไม่เกินจากที่เธอคาดไว้ อาจารย์อู๋อุ้มกองข้อสอบเดินเข้ามาในห้องเรียน หน้ากลมอ้วนไม่แสดงอารมณ์อะไร หัวใจของอู่เหมยพุ่งมาอยู่ที่คอหอย จ้องมองกระดาษข้อสอบอย่างตื่นเต้น อยากจะรู้คะแนนสอบของตัวเองเหลือเกิน!
“อู่เหมย 74คะแนน เทอมนี้นักเรียนอู่เหมยมีความพัฒนาอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่แค่วิชาภาษา วิชาเลข วิชาอังกฤษสองวิชานี้ก็พัฒนาเร็วอย่างน่าทึ่งเหมือนกัน อาจารย์สวี่กับอาจารย์หลิวต่างก็เคยมารายงานกับฉัน หวังว่านักเรียนอู่เหมยจะไม่อวดดีอวดเก่ง รักษาระดับการเรียนปัจจุบันไว้เพื่อการพัฒนาที่ใหญ่กว่านี้!”
ภายใต้สายตารักใคร่เอ็นดูของอาจารย์อู๋ อู่เหมยเดินอย่างล่องลอยขึ้นแท่นไปหยิบกระดาษข้อสอบของเธอและล่องลอยกลับมาที่ที่นั่งของตัวเอง บนกระดาษข้อสอบมีตัวเลข 74 สีแดง เธอดูแล้วดูอีก นี่เป็นคะแนนที่สูงที่สุดในสองชีวิตของเธอเลย
แต่ก่อนสอบก็ได้คะแนนแค่สิบอันดับ ไม่เคยได้มากกว่าที่ห้าเลย!
เจินหวานหว่านมองกระดาษข้อสอบของอู่เหมยอย่างอิจฉา เธอสอบได้แค่ 71 คะแนน น้อยกว่าอู่เหมยอีก นี่ทำให้เธอรู้สึกอัปยศอดสูมาก ทำให้เธอเกลียดอู่เหมยหนักยิ่งกว่าเดิมอีก!
คนบางคนก็เป็นเช่นนี้ ถ้าตัวเองมีบางอย่างที่คนอื่นไม่มีก็จะหัวเราะเยาะคนอื่น แต่ถ้าคนอื่นมีสิ่งที่ตัวเองไม่มีก็จะอิจฉาริษยาและเกลียดพวกเขา ทางที่ดีคนอื่นควรจะทุกข์ยากมากกว่าตัวเองร้อยเท่า แบบนี้เธอก็จะมีความสุข แต่ถ้ามีอยู่วันหนึ่งคนอื่นได้ดีกว่าเธอ แบบนั้นก็จะเกลียดเขา เจินหวานหว่านก็เป็นคนจำพวกนี้
อู่เหมยก็คือนังอัปลักษณ์ ตอนที่ยังเป็นนักเรียนเรียนห่วยในตอนนั้น เธออารมณ์ดีอย่างมาก แต่ตอนนี้เธอรู้สึกอึดอัดใจยิ่งกว่ากินขี้หมาอีก หน้าตาสวยกว่าเธอ คะแนนก็ยังดีกว่าเธออีก ไม่อึดอัดใจสิถึงจะแปลก!
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 221 ตาเหมือนเม็ดก๋วยจี๊
คะแนนสอบวิชาภาษาของอู่เชานั้นอยู่ในระดับต้นๆ เสมอ เขาสอบได้ 96 คะแนน เรียงความโดนตัดแค่หนึ่งคะแนน ความรู้พื้นฐานโดนตัดสามคะแนน ได้ที่หนึ่งในห้อง อู่เหมยตรวจกระดาษข้อสอบของตัวเองอย่างละเอียด เรียงความโดนตัดสองคะแนน ความรู้พื้นฐานโดนตัดถึง 24 คะแนน แค่ความเข้าใจในบทความก็โดนตัดสิบกว่าคะแนน ทำให้อู่เหมยหงุดหงิดไม่หยุด
ใจความสาระสำคัญผิด แบ่งบทความย่อหน้าผิด การตีความบทความข้อใหญ่ 16 คะแนน เธอได้แค่ 4 คะแนน เธอเจ็บปวดใจมาก!
ดูเหมือนว่าคราวหลังจะต้องฝึกทำแบบฝึกหัดเยอะๆ ถึงจะดี ถ้าหากสามารถทำคะแนนในหัวข้อการตีความบทความได้มากกว่านี้ เธอก็จะสามารถได้คะแนนถึง 80 คะแนนแล้ว อู่เหมยตื่นเต้นจนใจจะหลุดออกมาจากคอหอยแล้ว
80 คะแนน?
พระเจ้า! สำหรับเธอแต่ก่อนเป็นตัวเลขที่ไกลเกินเอื้อม แต่ตอนนี้เธอกลับรู้สึกเหมือนว่าไม่ได้ไกลขนาดนั้นแล้ว ถึงอย่างไรก็ขาดแค่ 6 คะแนน ไม่ใช่หรือ?
อู่เชายัดกระดาษข้อสอบลงในกระเป๋าแบบลวกๆ โดยแทบไม่ได้มอง เขากลับหันไปพินิจพิเคราะห์อู่เหมย พลันรู้สึกดีใจกับความก้าวหน้าของอู่เหมยด้วย ไม่สนว่าจะโดนเทวดาหนังสือสิงร่างหรือไม่ ถึงอย่างไรลูกพี่ลูกน้องตัวน้อยของเขาคนนี้ก็เริ่มมีสติปัญญาแล้ว ไม่ใช่คนหัวทื่อดื้อดึงอีกแล้ว!
“เฮ้! ตอนบ่ายอยากไปเล่นบ้านคุณปู่ไหม? คุณยายบอกว่าตอนเย็นจะทำเกี๊ยว เธอก็ไปกินสิ” อู่เชาพูดเสียงเบา
อู่เหมยขมวดคิ้ว คิดแล้วไม่อยากก็เลยปฏิเสธไป “ไม่ไป วันหยุดเสาร์อาทิตย์นี้ฉันมีธุระ”
มันไม่คุ้มที่เธอจะไปนั่งก้นเย็นอยู่ที่นั่น หัวใจของคุณยายทวดมีแต่อู่เยวี่ยหลานสาวสุดที่รัก เธอต้องรู้จักระวังตัวหน่อย ไม่ไปให้โชคร้ายขึ้นมาหรอก อีกทั้งตอนนี้เธอก็มีเงิน กินน้ำแกงไข่ปูที่ภัตตาคารทุกวันก็ยังได้ ไม่เห็นจะต้องใส่ใจเกี๊ยวพวกนั้นเลย!
อู่เชาก็นึกถึงท่าทีที่คุณยายทวดมีต่ออู่เหมยออกเหมือนกัน ต่อมาจึงรู้สึกเสียใจที่พูดอะไรไม่พูดดันมาพูดถึงเรื่องนี้ เขาตัดสินใจว่าตอนเย็นจะเอาเรื่องที่ระยะนี้อู่เหมยมีความพัฒนาการพูดให้กับคุณปู่คุณย่าฟัง เพื่อไม่ให้พวกเขาใช้วิสัยทัศน์เก่าๆมองหลานคนนี้อีกแล้ว
หลังเลิกเรียนอู่เหมยก็รีบพุ่งตัวออกจากห้องเรียน ชนเข้ากับอกของจี้เหวินฮุ่ยเต็มๆ
“เธอจะรีบไปเกิดใหม่หรือไง!” จี้เหวินฮุ่ยพอเห็นชัดว่าเป็นอู่เหมย อารมณ์โมโหก็พุ่งขึ้นมา
เดิมทีอู่เหมยยังคิดที่จะพูดว่าขอโทษ พอได้ฟังว่าเป็นจี้เหวินฮุ่ย คำขอโทคำนั้นก็ถูกกลืนลงคอไป ตอบกลับแบบไม่เกรงใจว่า “แล้วทำไมเธอเดินไม่ดูทางให้ดีล่ะ ที่ตรงนี้เป็นประตูหน้าห้องเรียนฉัน เบิกตาเล็กๆ เหมือนเม็ดก๋วยจี๊ของเธอมองให้ชัดๆ บ้างนะ”
อู่เหมยก็เกลียดจี้เหวินฮุ่ยเหมือนที่จี้เหวินฮุ่ยเกลียดเธอ เพียงแค่เธอไม่ได้มีความแค้นใหญ่หลวงถึงขั้นต้องเอาให้ตายกับจี้เหวินฮุ่ยก็เท่านั้น แต่ถ้านับเรื่องเล็กเรื่องน้อยนี่แทบนับไม่ถ้วน เธอไม่มีทางยอมแสดงท่าทีอ่อนแอต่อหน้าจี้เหวินฮุ่ยหรอก!
จี้เหวินฮุ่ยนิ่งอึ้งไปในเวลารวดเร็ว ไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง คาดไม่ถึงว่าอู่เหมยจะกล้าขัดเธอ
แถมยังพูดเรื่องตาเล็กเหมือนเม็ดก๋วยจี๊ออกมาอีก
จี้เหวินฮุ่ยคล้ายอู่เจิ้งหงมาก รูปร่างอ้วนเตี้ย หน้ากลมเหมือนขนมเปี๊ยะ ตาเล็กจิ๋ว ริมฝีปากหนา จมูกแบน ไม่มีความสวยงามเลยแม้แต่น้อยนิด ดังนั้นสิ่งที่จี้เหวินฮุ่ยเกลียดที่สุดคือสิ่งที่คนอื่นพูดเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของเธอโดยเฉพาะดวงตาของเธอ
“อู่เหมยเธอกล้าว่าฉันเหรอ? ฉันจะตีเธอให้ตาย!” ปกติแล้วจี้เหวินฮุ่ยก็อารมณ์จุดง่ายเหมือนประทัด ยกมือขึ้นจะตบหน้าอู่เหมย แต่ก่อนก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยตบ มันเป็นเรื่องที่เธอคุ้นชินและทำได้ง่ายๆ
เดิมทีอู่เชาก็ยังมองด้วยความตลกขบขันหัวเราะจนตาหยี แต่พอเห็นว่าจะลงไม้ลงมือแล้ว ก็รับมาห้ามไม่ให้ตีกัน อู่เหมยผอมบางขนาดนั้น จะสู้ร่างบึกบึนของจี้เหวินฮุ่ยได้ซะที่ไหน
เพียงแต่ว่าเธอไม่ใช่อู่เหมยเด็กเมื่อวานซืนอีกต่อไปแล้ว จะมายืนซื่อๆ ให้โดนตบได้อย่างไร เธอขยับตัวหลบฝ่ามือที่เงื้อขึ้นมาพร้อมตบของจี้เหวินฮุ่ยอย่างสบายๆ ตรงกันข้ามตัวจี้เหวินฮุ่ยเองกลับรับมือไม่ทัน เพียงแค่พริบตาเดียวร่างของเธอก็พุ่งผ่านอู่เหมยไปกระแทกกับกำแพง จมูกยิ่งแบนเข้าไปใหญ่
อู่เหมยไม่มีอารมณ์ทะเลาะกับจี้เหวินฮุ่ย เธอต้องรีบกลับบ้าน เพราะวันนี้คะแนนสอบประจำเดือนของอู่เยวี่ยคงออกมาแล้ว เธออดรนทนไม่ไหวอยากจะรู้อันดับของอู่เยวี่ยเต็มทีแล้ว!
…………………………………………………………..
ตอนที่ 222 เธอร้องไห้ ฉันหัวเราะ
จี้เหวินฮุ่ยชนกำแพงจนเห็นภาพดาวบนหัว จมูกแสบร้อนอีกทั้งยังมีกลิ่นหวานคาว เธอยกมือขึ้นปาด ก็พบว่าบนมือมีจุดสีแดง เธอตกใจจนร้องไห้ขึ้นมา
อู่เชาเดินเข้ามาพูดอย่างหงุดหงิดว่า “มีอะไรให้น่าร้องนักเหรอ? จมูกก็ไม่ขาด เธอจะไปไม่ไป? ถ้ายังไม่ไปฉันก็ไม่รอเธอแล้ว!”
เขาไม่ชอบจี้เหวินฮุ่ย ลูกพี่ลูกน้องคนนี้เลยสักนิด เธอน่ารังเกียจเหมือนกับอู่เจิ้งหง แม่ของเธอไม่มีผิด สติอารมณ์อะไรก็ไม่ปกติ ถ้าไม่ใช่ว่าแม่กำชับให้เขากับจี้เหวินจิ้งไปบ้านคุณปู่ด้วยกันล่ะก็ เขาแม้แต่สนใจก็ไม่สนใจลูกพี่ลูกน้องคนนี้ที่ไม่มีทั้งคุณธรรมและความงานคนนี้หรอก
อู่เชาเด็กอ้วนนั้นสรุปผู้หญิงเป็นสี่ประเภท มีคุณธรรมแต่ไม่งาม มีความงามแต่ไม่มีคุณธรรม ไม่มีทั้งคุณธรรมทั้งความงาม มีทั้งคุณธรรมและความงาม
คุณธรรมบ่งชี้ว่านิสัยน่ารักมีแต่คนชอบ ความงามก็คืองามอย่างธรรมชาติ
อู่เชาคิดว่า หน้าตามีมาแต่เกิด ผู้หญิงไม่สวยก็ไม่เป็นไร แต่นิสัยต้องน่ารัก อย่างน้อยก็น่ารักกว่าผู้หญิงที่สวยแต่นิสัยไม่ดีเยอะ ที่น่ากลัวก็คือผู้หญิงหน้าตาไม่สวย แถมยังจะมีนิสัยที่ทำให้คนไม่ชอบอีก อย่างเช่น จี้เหวินฮุ่ย เห็นได้ชัดว่าเป็นราชินีใจร้าย แต่ชอบคิดว่าตัวเองเป็นสโนว์ไวท์ ช่างน่ารังเกียจจริงๆ
จี้เหวินจิ้งร้องไห้เสียงดังครู่หนึ่ง เห็นอู่เชาไม่รอเธอจริงๆ จึงจำเป็นต้องตามไป ตั้งใจว่าอีกสักครู่จะฟ้องคุณตาคุณยายเรื่องของอู่เหมย
สยงมู่มู่รออู่เหมยอยู่หน้าประตู พอเห็นเธอก็ถือโอกาสผิวปากใส่ ดูแล้วอารมณ์ดีไม่เลว อู่เหมยจ้องกลับอย่างอารมณ์ไม่ดี แล้วขึ้นขี่จักรยานเร่งให้สยงมู่มู่เร็วหน่อย
“เธอรีบจะไปเกิดใหม่หรือไง? รีบอะไร? เลี้ยงไข่ปูฉันสักมื้อก่อนสิ” สยงมู่มู่ทำหน้าเหมือนกับว่ามันคือเรื่องที่ควรทำ
“วันหลังค่อยเลี้ยง วันนี้ฉันไม่ว่าง ฉันต้องกลับไปดูละคร”
อู่เหมยไหนเลยจะมีอารมณ์กินซาลาเปาไข่ปู ตอนนี้ต่อให้เนื้อมังกรจ่ออยู่ที่ปาก เธอก็ไม่มีอารมณ์เคี้ยว สยงมู่มู่หัวเราะฮา ภูมิอกภูมิใจมากมาย มองแล้วดูอวดเก่งเป็นอย่างมาก
“เธอจำเป็นต้องเลี้ยงข้าวฉัน พี่ชายช่วยเธอแก้แค้นแล้ว”
อู่เหมยฟังแล้วก็ประหลาดใจ แต่ครู่เดียวเธอก็คิดได้ ถามอย่างดีใจ “นายสอบประจำเดือนได้ที่หนึ่ง?”
“ถูกต้อง ที่หนึ่งของทั้งโรงเรียน พี่เคยบอกแล้ว สอบได้ที่หนึ่งยังง่ายกว่าดื่มน้ำอีก อยากได้ก็ได้ ไม่อยากได้ก็ไม่จำเป็นต้องเอา” สยงมู่มู่ส่งเสียงอย่างลำพองใจ
อู่เหมยตื่นเต้นจนบังคับจักรยานสั่น เกือบจะล้ม เธอเลยถือโอกาสจอดรถซะเลย รู้สึกตื่นเต้นเกินไปไม่ควรที่จะขี่รถ ควรจะทำอารมณ์ให้สงบก่อน
“สยงมู่มู่ นายนี่เก่งจริงๆ เลย ฉันรับรองเลยว่าวันนี้มีซาลาเปาไข่ปูเกินพอสำหรับนาย!” อู่เหมยขี่รถทะยานจนแทบจะพุ่งขึ้นฟ้าอย่างฮึกเหิม สยงมู่มู่ภูมิใจจนส่งเสียงเฮอะ แม้จะตีหน้าขรึมเล็กน้อย แต่มุมปากแทบจะยกขึ้นถึงติ่งหูแล้ว ดูทึ่มเซ่ออย่างที่สุด
ไม่สนว่าอู่เยวี่ยจะได้ลำดับเท่าไร ไม่ใช่อันดับหนึ่งก็โอเคแล้ว
ความรู้สึกที่สอบได้ที่หนึ่งถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว ได้กินซาลาเปาไข่ปูก็ยิ่งรู้สึกดี คราวหน้ายังอยากจะสอบได้ที่หนึ่งอีกไหมล่ะ?
เพื่อนนักเรียนของสยงมู่มู่มองเขาพลางพูดคุยกันยกใหญ่ แม้เป็นไม้เด่นงามเกินไพรไม่ใช่เรื่องที่ดี แต่ยังไงซาลาเปาไข่ปูก็เป็นอาหารที่รสชาติดีสุดๆ ผลลัพธ์ที่ต้องเลือกแบบนี้ช่างเป็นอะไรที่เลือกได้ยากจริงๆ!
กินซาลาเปาไข่ปูเสร็จ อู่เหมยกลับบ้านอย่างร่าเริง ครั้งนี้เธอไม่ได้สั่งซาลาเปาไข่ปูห่อใส่กล่อง แต่กลับบ้านมามือเปล่า ประตูบ้านปิดแน่นแต่ยังสามารถได้ยินเสียงร้องไห้ในห้องแผ่วเบา
อู่เหมยดีใจในใจ ดูก็รู้แล้วว่าอู่เยวี่ยคงสอบได้ไม่ดี ไม่อย่างนั้นจะร้องไห้เสียใจอะไรขนาดนั้น?
เมื่อเธอออกแรงผลักประตู ก็ยิ่งได้ยินเสียงร้องไห้ในบ้านดังขึ้นกว่าเดิม ทั้งยังมีเสียงพูดของเหอปี้อวิ๋น ทอดถอนใจด้วยความกลัดกลุ้ม แต่ด้านอู่เหมยนั้นยินดีจนเกือบจะหัวเราะออกมา อู่เยวี่ยร้องไห้เธอก็จะหัวเราะ ยิ่งร้องไห้ได้เวทนามากขนาดไหน เธอก็จะยิ่งหัวเราะให้เสียงดังมากเท่านั้น!
ดูท่าทางแล้ว ลำดับของอู่เยวี่ยคงไม่ค่อยดีเท่าไร
ไม่รู้ว่ายังรักษาสามอันดับแรกไว้ได้หรือไม่?
“หนูกลับมาแล้ว!”
อู่เหมยเหลือบมองเห็นอู่เยวี่ยซบหน้าร้องไห้อยู่บนโต๊ะ อู่เจิ้งซือมีสีหน้าขรึม เหอปี้อวิ๋นพูดปลอบเสียงเบา บรรยากาศในห้องไม่ค่อยดีเท่าไร แต่มันไม่ได้กระทบต่ออารมณ์ที่ดีของอู่เหมยเลยแม้แต่นิดเดียว
…………………………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น