กระบี่จงมา 214.2-216.1
บทที่ 214.2 เดินทางยามราตรีท่ามกลางลมฝน
โดย
ProjectZyphon
เมื่อคนทั้งสองเจอภูเขาข้ามภูเขา เจอน้ำข้ามน้ำไปด้วยกัน เพียงไม่นานเวลาก็ผ่านไปได้ยี่สิบวันแล้ว ตลอดทางที่ผ่านมาล้วนราบรื่นไร้อุปสรรค ความสัมพันธ์ระหว่างเฉินผิงอันกับนักพรตหนุ่มยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้น เฉินผิงอันไม่คิดจะปิดบังท่าเดินนิ่งหกก้าวของตัวเอง ช่วงเวลาว่างระหว่างหยุดพักก็จะฝึกท่ากระบี่เจี้ยนหลู ส่วนสิ่งที่นักพรตจางซานฝึกนั้นกลับเป็นวิชาห้าอสนี เพราะเคยเห็นจากหลินโส่วอีและนักพรตเต๋าตาบอดมาก่อน นี่จึงไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเฉินผิงอัน จางซานมักจะตั้งท่าประหลาดบ่อยๆ เขาจะยืนขาเดียว กำมือทุบลงไปบนช่องโพรงบางแห่งตรงหน้าท้องอย่างแรงจนกระทั่งเกิดเสียงคำรามอย่างเป็นขั้นเป็นตอน บ้างก็งอข้อมือ ใช้นิ้วมือยันไว้ตรงเส้นชีพจรบนลำคอ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งประกบสองนิ้วเป็นกระบี่ หุบปากแน่นสนิท ตรงหน้าท้องมีเสียงดุจฟ้าร้องกระหึ่มดังเป็นจังหวะจะโคน
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้เห็นคนที่ฝึกตนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เทียบกับการฝึกหมัดของตนแล้วก็ไม่เป็นรองเลยแม้แต่น้อย
เกรงว่านี่คงเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้คนทั้งสองจับคู่เดินทางลงใต้ไปพร้อมกันได้
ต่างก็ทนความลำบากได้ดี อีกทั้งยังสามารถหาความสุขจากมันได้ด้วย
บางครั้งที่ม่านรัตติกาลเยื้องกรายมาเยือน คนทั้งสองจะหาสถานที่หลบลมฝน ก่อกองไฟ บ้างก็เป็นวัดโบราณ บ้างก็เป็นถ้ำในภูเขา นักพรตหนุ่มจะเล่าถึงความร้ายกาจของผู้ฝึกกระบี่ในกุรุทวีปให้เฉินผิงอันฟัง บอกว่าเมื่ออยู่ที่นั่น นักพรตจะถูกคนดูแคลน อาวุธวิเศษชิ้นเดียวกัน หากผู้ฝึกกระบี่เป็นคนซื้อ จ่ายแค่เงินหิมะน้อยสิบอีแปะก็ได้แล้ว แต่หากนักพรตเต๋าเป็นคนไปซื้อ ราคาอาจจะเพิ่มมากขึ้นเป็นสองเท่าตัว ตอนที่พูดถึงเรื่องนี้ นักพรตหนุ่มที่นิสัยอ่อนโยนเผยสีหน้าขุ่นเคืองเพราะได้รับความอยุติธรรมออกมาเป็นครั้งแรก บอกว่าหากวันหน้าเป็นไปได้ เขาจะต้องเปลี่ยนแปลงกฎพวกนี้สักหน่อย
ก่อนหน้านี้หลังจากที่นักพรตเต๋าหนุ่มแน่ใจแล้วว่าเฉินผิงอันเป็นผู้ฝึกยุทธ์ อันที่จริงเขาคิดอยู่หลายตลบก็ยังไม่เข้าใจ หากจะบอกว่าผู้ที่ฝึกหล่อหลอมลมปราณให้กลายเป็นเซียนคือถ้ำผลาญทองที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกยุทธ์ก็คืออันดับสองอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาเองก็ต้องเผาผลาญเงินทองไปมากมายนับไม่ถ้วน นับตั้งแต่ที่เขาจางซานลงมาจากภูเขาก็ไม่เคยมีวันไหนที่ได้ใช้ชีวิตสุขสบาย บางครั้งที่ได้เงินมาก็ต้องชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียนับร้อยรอบแล้วค่อยเอาไปแลกเปลี่ยนเป็นยันต์ที่สามารถช่วยรักษาชีวิต หรือไม่ก็อาวุธกำจัดปีศาจปราบมารที่เหมาะสมที่สุดชิ้นสองชิ้น ยกตัวอย่างเช่นหากพบเจอกับปีศาจใหญ่ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงและสถานการณ์อันตราย ยันต์เทพเดินทางแผ่นหนึ่งก็สามารถช่วยให้นักพรตหนุ่มหนีไปไกลจากจุดเดิมได้หลายลี้อย่างรวดเร็ว ซึ่งยันต์ชนิดนี้จางซานต้องจ่ายด้วยเงินเกล็ดหิมะสามสิบปีแปะ และเงินเกล็ดหิมะหนึ่งอีแปะ อย่างน้อยก็มีมูลค่าเท่ากับเงินที่ชาวบ้านใช้กันหนึ่งร้อยตำลึง นี่หมายความว่าหากจางซานอยู่ในหมู่ชาวบ้านก็ต้องอาศัยความสามารถของตัวเองหาเงินมาให้ได้อย่างน้อยสามพันตำลึง ถึงจะสามารถซื้อยันต์เทพเดินทางแผ่นหนึ่งได้
ทว่าในกุรุทวีปที่บนภูเขามีผู้ฝึกกระบี่ ล่างภูเขามีมือกระบี่มากมายดุจขนวัว ตลอดระยะทางมุ่งหน้าลงใต้ที่ยากลำบาก นักพรตหนุ่มซึ่งมีตบะขอบเขตสามต้องอาศัยการกำจัดปีศาจปราบมารที่ชั่วร้าย และในความเป็นจริงแล้วปีศาจที่กำจัดส่วนใหญ่จะเป็นพวกภูตที่ดื้อรั้นเกเร มารที่ปราบก็ยิ่งเป็นผีตามสุสานรกร้างที่ไม่มีสติปัญญาเท่านั้น นับว่าหาเงินมาได้อย่างยากลำบาก บางครั้งหากเจอกับปีศาจระดับสองที่มีฝีมือแข็งแกร่ง ไม่แน่ว่านักพรตหนุ่มยังต้องเสียทรัพย์สินของตัวเองไปด้วย เงินที่ได้มาเยอะจริงๆ ยังคงมาจากการเข้าร่วมขมากรรมพิธีหรือไม่ก็เวลามีงานมงคล โดยเฉพาะพิธีกรรมทางลัทธิเต๋าที่ต้องการให้นักพรตเต๋าเข้าร่วมเป็นจำนวนมากที่ได้เงินมาง่ายและเร็วที่สุด น่าเสียดายก็แต่เรื่องดีๆ แบบนี้ได้แต่ปรารถนา มิอาจครอบครอง
ดังนั้นหลังจากที่จางซานได้ยินว่าแจกันสมบัติทวีปเลื่อมใสนักพรตเต๋ามาก ไม่เหมือนกุรุทวีปที่ดูถูกนักพรตเต๋า เขาจึงอยากเดินทางลงใต้มาดูว่าจะมีโชควาสนากับที่แห่งนี้หรือไม่ ผลกลับกลายเป็นว่าขึ้นเรือมาได้ไม่นานก็เกือบจะต้องหิวตาย นี่ทำให้นักพรตหนุ่มเกิดเงาดำมืดในใจต่อการเดินทางมาเยือนแจกันสมบัติทวีป
อาณาบริเวณของแคว้นกู่อวี๋ไม่ใหญ่มาก เพียงไม่นานคนที่สองก็ข้ามเส้นชายแดนเข้ามาถึงอาณาเขตของแคว้นไฉ่อี ขณะที่เร่งเดินทางยามค่ำคืน จู่ๆ ก็เจอกับพายุฝนที่เทกระหน่ำ น่าแปลกมากก็คือพอคนทั้งสองเข้ามาในเทือกเขาเส้นหนึ่งที่ไร้เงาผู้คน เดินมาได้ประมาณสิบกว่าลี้ รอบด้านกลับไม่มีสถานที่เหมาะๆ ให้หลบฝนเลยแม้แต่แห่งเดียว มีแต่หินประหลาดบนเส้นทางคดเคี้ยว ส่วนใหญ่จะเป็นหินหน้าผาที่เปิดโล่ง อีกทั้งต้นไม้ใหญ่ที่งอกบนภูเขาบางต้น ส่วนใหญ่ยังแห้งเหี่ยวเฉาตาย ต้นไม้ที่พอจะมีสีเขียวให้เห็นอยู่บ้างก็อยู่ไกลเกินกว่าจะใช้คำว่าร่มใบรกครึ้มได้ ดังนั้นฝนเม็ดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเหลืองที่ตกกระทบลงบนร่างของคนทั้งสองจึงต่อเนื่องไม่ขาดสาย แรงกระแทกมากพอจะทำให้ศีรษะของคนมึนงง ตอนที่อยู่ในเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันได้ขัดเกลาฝึกฝนขอบเขตที่สามของผู้ฝึกยุทธ์จนกลายมาเป็นเหมือนตัวประหลาดคนหนึ่ง แน่นอนว่านี่ไม่ทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสีและใจไม่เต้นแรงด้วยความแตกตื่น ทว่านักพรตจางซานเพิ่งจะเลื่อนสู่ขอบเขตสามได้ไม่นาน เดิมทีระดับความแข็งแกร่งของเรือนกายและจิตใจของผู้ฝึกลมปราณก็เทียบเคียงกับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวในระดับเดียวกันไม่ได้อยู่แล้ว อีกอย่างรากฐานขอบเขตสามของเขาก็ถูกปูมาอย่างธรรมดา ดังนั้นสีหน้าของนักพรตหนุ่มจึงซีดขาว ริมฝีปากเขียวคล้ำ เฉินผิงอันรู้ว่าอีกฝ่ายทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ต่อให้จางซานผ่านพ้นค่ำคืนแห่งพายุคืนนี้ไปได้ เกรงว่าพรุ่งนี้ก็ต้องล้มป่วยแน่นอน
เฉินผิงอันจึงหยุดเดิน ตบไหล่จางซาน พูดกับเขาเสียงดังว่าอย่าเดินไปไหน พยายามรักษาลมหายใจให้ราบเรียบมั่นคงให้ได้มากที่สุด เขาจะออกไปสำรวจหาหนทางเพียงลำพังก่อน ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ภายในหนึ่งก้านธูปจะต้องกลับมา จางซานอึ้งตะลึง นักพรตหนุ่มที่ถูกห่าฝนสาดกระหน่ำลงบนร่างจนสมองเริ่มมึนงงขยับริมฝีปากเบาๆ พูดเสียงแผ่วเหมือนเสียงยุง เพราะฝนตกหนัก ต่อให้เป็นเฉินผิงอันก็ยังฟังไม่รู้เรื่องว่าเขาเอ่ยว่าอะไร เห็นเพียงว่าร่างกายของจางซานยิ่งอ่อนแอลงไปอีก ไม่อาจทนรับการตากฝนแบบนี้ได้อีกแล้ว เฉินผิงอันจึงไม่ลังเล หันมาส่งยิ้มให้เขา จากนั้นก็หมุนตัวก้าวเดินเร็วๆ จากไป
นักพรตหนุ่มนั่งลงขัดสมาธิ พยายามต้านทานความหนาวเย็นที่เสียดลึกถึงกระดูกอย่างเต็มกำลัง
ห้าขอบเขตล่างของผู้ฝึกลมปราณถูกเรียกขานว่าห้าขอบเขตขึ้นภูเขา ต้องชักนำพลังแห่งฟ้าดินภายนอกเข้ามาราดรดร่างกาย หล่อหลอมเนื้อหนัง เอ็น กระดูกและเลือดของตัวเอง ขอบเขตที่หนึ่งและขอบเขตที่สองคือขอบเขตหนังทองแดงกับขอบเขตรากหญ้า ซึ่งสามารถทำให้ผิวหนังกล้ามเนื้อของผู้ฝึกลมปราณแข็งแกร่งทนทาน เลือดลมพลุ่งพล่านอุดมสมบูรณ์ ตามหลักแล้วแค่พายุฝนเท่านั้น ต่อให้จะเป็นพายุฝนที่ตกแรงแค่ไหน นักพรตหนุ่มที่อยู่ในขอบเขตสามเส้นเอ็นหลิวก็สามารถชักนำลมปราณมาหล่อหลอมเส้นเอ็นและกระดูกได้แล้ว ทว่าลูกศิษย์ฝ่ายนอกของภูเขามังกรพยัคฆ์ที่สะพายกระบี่ไม้ท้อไว้ข้างหลังผู้นี้กลับเดินไปบนเส้นทางของพรรคมหายันต์ของลัทธิเต๋าที่ให้ความสำคัญกับวัตถุนอกกายมากกว่า ยกตัวอย่างเช่นสมบัติอาคมอย่างยันต์เทพเดินทาง กระบี่ไม้ท้อ ฯลฯ ความสำเร็จในด้านการหล่อหลอมเลือดเนื้อจึงไม่โดดเด่นนัก อีกอย่างก็คือฝนฤดูใบไม้ผลินี้ตกลงมาอย่างฉับพลัน อีกทั้งยัง ‘หนาหนัก’ เกินไป เป็นเหตุให้ลมปราณแท้จริงในร่างของนักพรตหนุ่มถูกเผาผลาญไปอย่างรวดเร็วโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัว
การมองเห็นของนักพรตหนุ่มที่สีหน้าซีดขาวพร่าเลือน กำลังคิดไม่ตกว่าควรจะปลดห่อสัมภาระหยิบเอายาชดเชยลมปราณเม็ดหนึ่งออกมาจากขวดกระเบื้องหรือไม่ แต่ต่อให้ยาที่มีชื่อว่า ‘หยางกลับคืน’ นี้ระดับจะย่ำแย่แค่ไหน ก็ต้องจ่ายเงินเกล็ดหิมะถึงหนึ่งอีแปะ ไหนเลยที่นักพรตหนุ่มจะตัดใจเอามาใช้ได้ เขาจึงกัดฟันอดทนกับความยากลำบากต่อไป หวังว่าเด็กหนุ่มผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นจะรีบไปรีบกลับ อีกทั้งยังหาสถานที่หลบฝนแห่งหนึ่งเจอ
เมื่อมาอยู่บนภูเขา บางครั้งก็ต้องทนรับความยากลำบากจากบนภูเขา
ข้อนี้ปีศาจของเมืองเล็กหลงเฉวียนก็คือตัวอย่าง เสียงการหลอมกระบี่ของหร่วนฉง ชาวบ้านร้านตลาดสัมผัสไม่ได้แต่กลับทำให้พวกปีศาจแทบเป็นแทบตาย
เฉินผิงอันเดินออกไปได้ครึ่งลี้ในเวลาอันรวดเร็ว จากนั้นเขาก็พุ่งทะยานไปข้างหน้าโดยไม่หลบซ่อนตบะขอบเขตสามเอาไว้อีก
เมื่อเขามองเห็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่เหลือเพียงกิ่งก้านแห้งเหี่ยวอยู่ด้านหน้าก็วิ่งเหยาะๆ สองสามก้าว แล้วกระโดดขึ้นเหยียบตามกิ่งต่างๆ จากต่ำขึ้นสู่จุดสูง คว้าก้านผุเปื่อยก้านหนึ่งเอาไว้ได้ก็เหวี่ยงกายเบาๆ ร่างลอยลิ่วขึ้นสูง กิ่งนั้นหักเปาะลงสู่พื้น เฉินผิงอันกลับไต่ขึ้นไปได้อีกหนึ่งระดับ มายืนอยู่บนจุดสูงของต้นไม้ใหญ่ ยื่นมือมาบังไว้ตรงหน้าผาก ทอดสายตามองไปไกล ไม่เห็นแสงไฟ แต่ห่างออกไปสุดปลายสายตากลับมีภูเขาลูกเล็กไม่สูงลูกหนึ่ง เฉินผิงอันกระโดดตัวขึ้น เท้าสองข้างกระทืบลงบนกิ่งไม้แห้งอย่างแรง อาศัยแรงดีดบินโฉบออกไปพร้อมกับที่ต้นไม้ใหญ่ด้านหลังของเขาล้มครืน
ร่างของเขาพุ่งหลาวลงด้านล่างประหนึ่งลูกธนูที่ตีวงโค้งออกไป หลังจากร่างล่วงลงสู่พื้นดินแล้ว เฉินผิงอันก็ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งค้ำยันพื้นดินที่เฉะไปด้วยโคลน ร่างทั้งร่างตีหลังกากลับอยู่กลางอากาศ เท้าสองข้างเหยียบพื้น เป็นเวลาเดียวกับที่แตะปลายเท้า งอตัวพุ่งไปด้านหน้าอย่างคล่องแคล่วว่องไว เพียงไม่นานก็มาถึงภูเขาลูกเล็กลูกนั้น พอขึ้นมายืนบนยอดเขา การมองเห็นก็เปิดกว้าง ยังคงมองไม่เห็นแสงไฟแม้แต่นิด นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกยุ่งยากใจเล็กน้อย หากไม่ได้จริงๆ ระหว่างทางที่กลับไปก็คงต้องตัดกิ่งไม้เอาไปสร้างเพิงพักอย่างหยาบๆ เท่านั้น แต่ดูจากสีหน้าของจางซานแล้ว ต่อให้หลบอยู่ในเพิงพัก หากก่อกองไฟไม่ได้ ก็ยังต้องถูกลมหนาวรุกรานร่างกายจนล้มป่วยอยู่ดี
อันที่จริงลึกๆ ในใจเฉินผิงอันก็กลัดกลุ้ม เทือกเขาเล็กเตี้ยแถบนี้ประหลาดมากจริงๆ เขาเองก็เดินทางผ่านภูเขาและแม่น้ำมาไม่น้อยแล้ว แต่ยังไม่เคยเจอสถานที่ที่แห้งเหี่ยวชวนหดหู่ได้มากขนาดนี้มาก่อน หากเป็นสุสานร้างที่มีกลิ่นอายอึมครึมแบบนี้ก็ยังพอทำเนา แต่นี่ทำไมพอฝนตกลงมา สถานที่แห่งนี้ถึงได้หนาวเย็นผิดไปจากที่อื่นขนาดนี้?
และในขณะที่เฉินผิงอันเตรียมจะหมุนตัวเดินกลับไปหานักพรตหนุ่มก็พลันค้นพบว่าตรงจุดสิ้นสุดการมองเห็นของสายตามีแสงสว่างจุดหนึ่งโผล่ให้เห็นอย่างเลือนราง กำลังขยับเคลื่อนไปทางทิศเหนืออย่างเชื่องช้า แสงไฟนั้นส่ายไหวอยู่ท่ามกลางม่านฝนเหมือนเรือลำน้อยที่ลอยขึ้นๆ ลงๆ กลางคลื่นยักษ์ อาจจะมอดดับได้ทุกเมื่อ เฉินผิงอันครุ่นคิดแล้วจดจำทิศทางที่แสงไฟนั้นมุ่งหน้าไป แล้วจึงหมุนตัวย้อนกลับไปทางเดิมอย่างรวดเร็ว พอเจอกับนักพรตหนุ่มที่ร่างโอนเอนจะล้มมิล้มเหล่ก็ประคองเขาขึ้นมา บอกว่าด้านหน้ามีคนกำลังเดินทางอยู่เหมือนกัน ลองดูว่าจะไปรวมตัวกับพวกเขาได้หรือไม่ หากเป็นคนในพื้นที่ ไม่แน่ว่าอาจรู้ที่หลบฝน
สีหน้าของนักพรตหนุ่มสดชื่นขึ้นทันที เฉินผิงอันไม่พูดพร่ำทำเพลงก็แบกเขาขึ้นหลังแล้ววิ่งห้อไปเบื้องหน้า
เฉินผิงอันสะพายกรอบกระบี่ไม้ไหวแบกนักพรตหนุ่มที่สะพายกระบี่ไม้ท้อออกวิ่งตะบึงอยู่ท่ามกลางสายฝน ข้ามภูเขาวิ่งผ่านเนินเหมือนเดินอยู่บนพื้นราบ
ขณะที่นักพรตหนุ่มเริ่มสติพร่าเลือนใกล้จะหลับ แสงไฟเล็กๆ จุดนั้นก็เริ่มสว่างไสวมากขึ้นเรื่อยๆ
เฉินผิงอันชะลอความเร็วเล็กน้อย เงยหน้ามองไปก็เห็นภาพที่คนสองคนเดินทางร่วมกันอยู่กลางสายฝนเทกระหน่ำ สองคนนั้นคือคนหนุ่มที่ลักษณะเหมือนบัณฑิต พวกเขาแบกหีบหนังสือไว้ด้านหลัง คนหนึ่งกางร่ม อีกคนถือคบเพลิง แม้ว่าพวกเขาจะมีสภาพเหน็ดเหนื่อยไม่ต่างจากเฉินผิงอัน แต่เมื่อเทียบกับสภาพอเนจอนาถของนักพรตหนุ่มแล้ว บัณฑิตสวมชุดขงจื๊อสองคนกลับยังมีรอยยิ้มบนใบหน้า กำลังพูดอะไรกันบางอย่าง ราวกับไม่รู้สึกว่าลมฝนเป็นอุปสรรค ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องยากลำบากอะไร กลับกันยังเห็นเป็นความโชคดีที่มีค่ามากพอให้อารมณ์ดีอีกด้วย
ดูเหมือนคนทั้งสองจะสัมผัสไม่ได้ว่าเฉินผิงอันขยับเข้ามาใกล้อย่างเงียบเชียบ
นี่ทำให้เฉินผิงอันพอจะวางใจลงได้บ้าง ในป่าร้างของค่ำคืนที่มีพายุฝน หากสถานการณ์ผิดปกติแสดงว่าย่อมต้องมีปีศาจแน่นอน และหากพบเจอกับสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ อีกทั้งเขายังไม่สามารถทอดทิ้งนักพรตเต๋าที่อยู่บนหลัง นั่นคงต้องเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากสำหรับเขาแน่นอน
ขณะที่ยังอยู่ห่างอีกช่วงระยะหนึ่ง เฉินผิงอันก็ตะโกนเสียงดังด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีป
บัณฑิตสองคนไม่มีใครได้ยิน พวกเขายังคงเดินหน้าต่อ
เฉินผิงอันโล่งอกได้อีกครั้ง ต่อให้เป็นผู้ฝึกลมปราณหรือปีศาจบนภูเขาก็ล้วนมีตบะไม่สูงนัก แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่ได้จงใจปิดบังด้วย
จนกระทั่งเดินไปได้อีกสิบกว่าก้าว คนหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อสองคนถึงสังเกตเห็นเฉินผิงอัน
พวกเขารีบหยุดเดิน หันมากวักมือให้เฉินผิงอัน หลังจากพูดคุยกันได้พักหนึ่ง เห็นสีหน้าซีดขาวของนักพรตหนุ่ม บัณฑิตคนหนึ่งของแคว้นไฉ่อีก็ชี้ไปยังทิศทางหนึ่งพลางกล่าวปลอบใจว่า “ข้าชื่นชอบเดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว มักจะแบกหีบหนังสือเดินทางไกลเพียงลำพังอยู่เป็นประจำ จำได้ว่าสถานที่แห่งนี้เงียบสงัดไร้ผู้คน แต่ห่างออกไปประมาณสามสี่ลี้มีจวนแห่งหนึ่งที่ใครบางคนซึ่งเร้นกายมาอยู่ในภูเขาสร้างเอาไว้ ข้ากับพี่หลิวก็กำลังจะเดินทางไปที่นั่นอยู่พอดี ไม่สู้พวกเจ้าเดินทางไปพร้อมกับพวกเราเลย”
บัณฑิตอีกคนหนึ่งที่ถือร่มยิ้มจืดเจื่อน “เดิมทีพวกเรานอนตากน้ำค้างอยู่บนเนินเขาแห่งหนึ่งห่างออกไปหนึ่งลี้ ไหนเลยจะคิดว่าจู่ๆ ฝนจะตกหนักขนาดนี้ หากไม่เป็นเพราะพี่ฉู่รู้เส้นทางคงลำบากกันจริงๆ”
เฉินผิงอันรีบกล่าวขอบคุณ
บัณฑิตสองคนที่ได้มาพบกันโดยบังเอิญ คนหนึ่งถือร่มมาบังไว้เหนือศีรษะของนักพรตเต๋า ปล่อยตัวเองให้ตากฝน หนาวสะท้านจนตัวสั่น
บัณฑิตที่เดิมทีถือคบเพลิงไว้ในมือสีหน้าหม่นหมอง เพราะพอไม่มีร่มช่วยบังให้ ต่อให้น้ำมันที่ใช้ราดคบเพลิงไม่ใช่วัตถุธรรมดา แต่เจอฝนที่ตกหนักสาดมาโดนแบบนี้ก็ย่อมต้องมอดดับ เขาตัดใจทิ้งไม่ลงจึงกอดไว้ในอ้อมอกของตัวเอง
บัณฑิตได้แต่อาศัยแสงสว่างจากการที่ฟ้าแลบครั้งแล้วครั้งเล่าคลำทางไปด้านหน้าตามความทรงจำของตัวเองอย่างยากลำบาก
แล้วพวกเขาก็เจอบ้านหลังหนึ่งจริงๆ
เหมือนบ้านของตระกูลคนรวยในเมืองใหญ่ แม้ว่าสิงโตหินที่เฝ้าอยู่หน้าประตูจะมีขนาดเล็กไม่ยิ่งใหญ่นัก เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่มีทั้งกลอนคู่วันปีใหม่ แล้วก็ไร้ภาพเทพทวารบาล
ในที่สุดก็มีชายคาให้หลบฝน มีโอกาสให้ได้พักผ่อนหายใจหายคอกันเสียที
บัณฑิตที่เก็บร่มเรียบร้อยรีบเดินไปเคาะประตูโดยไม่สนใจมารยาทอะไรทั้งสิ้น
ผลกลับกลายเป็นว่าต้องรออยู่นาน ประตูใหญ่ถึงได้เปิดออกดังครืดๆ บนท้องฟ้ามีสายฟ้าเส้นหนึ่งผ่าเปรี้ยงลงมาพอดี เผยให้เห็นใบหน้าแก่ชราที่แห้งตอบน่ากลัวของคนผู้หนึ่ง
บัณฑิตตกใจเซถอยหลังจนเกือบจะหงายหลังผลึ่ง
ใบหน้าของหญิงชราที่โผล่มากะทันหันนั้นปรากฏพรวดอยู่กลางม่านฝนที่สว่างจ้าพอดี อย่าว่าแต่บัณฑิตที่เดิมทีก็ไม่มีความกล้าหาญนักเลย ขนาดเฉินผิงอันที่พบเจอภูตผีบนภูเขามามากก็ยังตกใจสะดุ้งโหยง
ทุกคนรู้สึกเพียงว่าบ้านหลังนี้อาจจะไม่ใช่สถานที่อบอุ่นปลอดภัยกว่าด้านนอกที่ฝนฟ้าตกกระหน่ำเสมอไป
และจางซานนักพรตเต๋าที่เชี่ยวชาญด้านการกำจัดปีศาจปราบมารมากที่สุดก็ดันมาหมดสติอย่างไม่สนอีโหน่อีเหน่อะไรทั้งนั้น
—–
บทที่ 215.1 เขียนคิ้วแต่งหน้า
โดย
ProjectZyphon
หญิงชราที่ใบหน้าไร้สีเลือดหลังงองุ้ม นางกำลังจ้องมองมายังคนทั้งสี่ที่อยู่นอกประตูเงียบๆ
บัณฑิตที่เคาะประตูเป็นคนขี้ขลาดมาก เห็นหญิงชราท่าทางน่าสะพรึงกลัวก็ถึงกับไม่กล้ามองสบตานางตรงๆ อีกทั้งยังไปหลบอยู่ด้านหลังเพื่อนตัวเอง รู้สึกเพียงว่าสวรรค์ไม่เหลือหนทางให้เดิน ชีวิตช่างยากลำบาก
บัณฑิตคนนี้ชอบอ่านตำราของร้อยเมธีมาตั้งแต่เด็ก จึงมักจะอ่านเจอเรื่องของภูตผีปีศาจที่มีแต่ความแปลกประหลาดพิลึกมหัศจรรย์จากปลายพู่กันของนักประพันธ์ที่มีชื่อเสียง เรื่องราวและตัวละครในตำราเหล่านั้น ส่วนใหญ่จะสามารถแบ่งออกเป็นสองชนิด หนึ่งคือพวกที่ชอบประทินโฉมงดงาม คล้ายคลึงกับปีศาจจิ้งจอกที่หลงรักบัณฑิต อีกอย่างก็คือแบบบ้านตรงหน้านี้ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของผี ต่อให้ตอนที่เข้าพักตอนกลางคืน มองปราดๆ จะเห็นเค้าโครงเป็นบ้าน เห็นเสาคานแกะสลัก เห็นภาพวาดติดประดับ แต่พอโชคดีรอดมาได้จนถึงฟ้าสางแล้วกำลังจะจากไป กลับกลายเป็นว่าบ้านหลังนั้นเปลี่ยนมาเป็นสุสานร้างที่จิ้งจอกและกระต่ายวิ่งเข้าวิ่งออก
ลมฝนพัดโชย อากาศหนาวเย็นสะท้านไปถึงกระดูก บัณฑิตที่ถือคบเพลิงกล้าหาญมากกว่าสหายที่เดินทางมาด้วยกัน เขากระเด้งหีบหนังสือที่สะพายอยู่ด้านหลังให้เข้าที่หนึ่งครั้ง ถูมือหาความอบอุ่นพลางกล่าวพร้อมรอยยิ้มฝืดเฝื่อน “ท่านป้า ให้พวกเราค้างแรมสักคืนได้หรือไม่? ฝนข้างนอกนี้ตกหนักมาก สหายของเราคนหนึ่งทนหนาวไม่ไหวจนหมดสติไปแล้ว หากยังไม่มีสถานที่ให้หาไออุ่น จะผ่านพ้นคืนนี้ไปได้หรือไม่ก็ยังบอกได้ยาก หวังว่าท่านป้าจะช่วยเหลือ คิดเสียว่าช่วยชีวิตคนหนึ่งครั้งได้บุญยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น”
หญิงชราสีหน้าเคร่งเครียด พูดด้วยภาษาถิ่นที่ยากจะฟังเข้าใจคล้ายกำลังสอบถามอะไรบางอย่าง
ใบหน้าของบัณฑิตเต็มไปด้วยความขมขื่น ได้แต่อธิบายด้วยภาษาถิ่นแบบเดียวกับหญิงชรา
หญิงชรากลอกตาที่เหมือนดวงตาปลาตายคู่นั้นหันมาจับจ้องเฉินผิงอัน แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีป “เป็นผู้ฝึกยุทธ์รึ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
หญิงชรามองไปทางนักพรตหนุ่มที่เฉินผิงอันแบกไว้บนหลัง ด้านหลังของเขามีด้ามกระบี่ไม้ท้อโผล่ออกมา หลังจากหมดสติไป ลมหายใจของนักพรตจงซานกลับทอดยาวหนักแน่นยิ่งกว่าตอนที่ยังตื่นมีสติ นี่น่าจะเป็นความมหัศจรรย์ของผู้ฝึกลมปราณ ไม่ว่าจะอยู่ในจุดใดล้วนสามารถหวนกลับคืนสู่ธรรมชาติดั้งเดิม อยู่เหนือการคาดการณ์ของผู้คนได้เสมอ หญิงชราเห็นกระบี่ไม้ท้อเล่มนั้นแล้วก็หรี่ตาลง “เพื่อนของเจ้าคือนักพรตฝึกวิชาลัทธิเต๋า?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับอีกครั้ง
สุดท้ายหญิงชรามองไปยังบัณฑิตถือร่มที่ท่าทางหวาดกลัวคนนั้น “เป็นบัณฑิตรึ?”
บัณฑิตที่ตรงเอวห้อยหยกมันแพะส่ายหน้า “ไม่มีตำแหน่งเคอจวี่ ไม่ถือว่าเป็นบัณฑิต”
หญิงชรากระตุกมุมปาก เบี่ยงไหล่หลีกทางให้ “ในเมื่อต่างก็เป็นคนที่ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ถ้าอย่างนั้นก็เชิญเข้ามาเถอะ จำไว้ว่าหลังเข้ามาแล้ว แค่พักผ่อนอยู่ในห้องของใครของมันก็พอ อย่าเดินไปไหนเพ่นพ่าน หากรบกวนนายท่านของข้าก็ต้องรับผิดชอบผลลัพธ์ที่จะตามมาเอาเอง ในห้องมีถ่านและกระถางไฟ คุณชายทุกท่านใช้ได้ตามสะดวก ไม่ต้องถามให้มากความ ทุกคนที่มาเยือนล้วนถือเป็นแขก เจ้านายของข้าไม่มีทางคิดเล็กคิดน้อยด้วยเรื่องแค่นี้”
ตอนที่หญิงชราปิดประตู นางกวาดตามองไปรอบด้านครั้งหนึ่ง จากนั้นก็งับประตูใหญ่ปิดลงอย่างรวดเร็ว ประตูใหญ่ที่หนาหนัก เมื่อมาอยู่ในมือของชรากลับปิดลงดังปังอย่างง่ายดายราวกับเบาดุจขนนก
บ้านหลังนี้ไม่เล็กเลยจริงๆ น่าจะมีลานบ้านสี่ชั้น คนทั้งสี่ซึ่งรวมไปถึงเฉินผิงอันถูกจัดให้เข้าพักในเรือนใหญ่ชั้นสอง จากนั้นหญิงชราก็บอกกับพวกเขาว่าห้ามเดินไปยังเรือนที่อยู่ทางด้านหลัง ชายคาที่ตวัดงอนของตัวเรือนมีรูปสัตว์มงคล นก บุปผาและลายน้ำลายเมฆ ดอกไม้ที่ฉลุตรงบานหน้าต่างงามประณีต บนพื้นในตัวเรือนปูด้วยก้อนอิฐสีเขียวกับสีแดง ทางเดินหลักและทางเดินรองแยกจากกันอย่างชัดเจน มีระเบียบเป็นขั้นเป็นตอน
ระเบียงทางเดินเชื่อมโยงรอบห้องหลักและห้องรอง เพื่อสะดวกให้เดินได้สบายๆ ในช่วงเวลาที่ฝนตกอย่างวันนี้
ร่างของหญิงชราหายเข้าไปในระเบียงทางเดินแคบๆ ที่กั้นอยู่ระหว่างลานบ้านชั้นที่สองกับชั้นที่สาม มองไปรอบด้านมีแต่ความมืดมิด พอสายฟ้าเปล่งวาบขึ้นมา บัณฑิตสองคนยังไม่ถอนสายตากลับจึงมองเห็นใบหน้ายิ้มๆ ที่ซีดขาวของหญิงชราเข้าพอดี ทำเอาคนทั้งสองตกใจอกสั่นขวัญผวา รีบเดินเข้าไปยังห้องที่อยู่ติดกัน บัณฑิตสองคนที่แซ่ฉู่กับแซ่หลิวไม่กล้าแยกย้ายกันไปนอนคนละห้อง จำต้องมารวมตัวอยู่ในห้องเดียวกันชั่วคราว บัณฑิตแซ่หลิววางร่มกระดาษน้ำมันลง จุดตะเกียงอ่านตำราของอริยะนักปราชญ์เพื่อใช้สิ่งนี้มาเพิ่มความกล้าให้กับตัวเอง
บัณฑิตแซ่ฉู่ใจกล้ามากกว่าเล็กน้อย หาไม่แล้วคงไม่มีทางรู้ว่ามีบ้านตั้งอยู่ในสถานที่แห่งนี้ เขาวางคบเพลิงลง เริ่มจุดไฟในกระถางเพลิง หยิบแท่งจุดไฟที่ใช้กระดาษน้ำมันห่ออย่างแน่นหนาออกมาจากในหีบหนังสือ ไม่นานก็จุดไฟนำมาติดถ่าน เพียงชั่วครู่ในห้องก็อบอุ่นขึ้น เขาหันมองไปรอบกาย ยื่นมือวางลงบนผ้าปูเตียง กลิ่นเชื้อราอับชื้นบางๆ โชยมาจากผ้าห่ม นี่เป็นเรื่องที่เลี่ยงได้ยาก ปีนี้หลังจากเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ แคว้นไฉ่อีก็มีฝนตกอึมครึมมาโดยตลอด แทบไม่มีวันใดที่แดดออกแรงๆ คงไม่ดีหากจะเอาเรื่องนี้ไปกล่าวโทษเจ้าของบ้าน แล้วนับประสาอะไรกับที่ขอแค่มีสถานที่ให้พักเท้าก็ถือว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้ายมากแล้ว
บัณฑิตแซ่ฉู่มัดผมด้วยผืนผ้าสีดำ เรือนกายสูงเพรียว หน้าตาหล่อเหลา ระหว่างหว่างคิ้วมีกลิ่นอายของความเด็ดเดี่ยวเที่ยงธรรม เขามองไปรอบๆ แล้วสังเกตเห็นว่ารูปแบบของหน้าต่างมีหลากหลาย ทั้งประณีตสวยงามทั้งมีความหมายแฝงที่ดี มีการแกะสลักเป็นรูปค้างคาว ปลาหลีและเห็ดหลินจือ ฯลฯ โดยทั่วไปแล้วมีเพียงตระกูลบัณฑิตผู้มีความรู้เท่านั้นถึงจะมีความคิดเช่นนี้ เขาพลันขยับเข้ามาใกล้หน้าต่าง เพ่งสายตามองไป พบว่าบนแผ่นไม้ที่ค่อนข้างหนาระหว่างหน้าต่างสองบานคล้ายจะมีร่องรอยหมึกสีชาดหลงเหลืออยู่เล็กน้อย ตัวอักษรกระดำกระด่าง พร่าเลือนไม่ชัดเจน แต่ยังพอจะมองออกว่าเป็นตัวอักษรที่ใช้เขียนยันต์
เมื่อในห้องเริ่มอบอุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ ความกล้าของบัณฑิตแซ่หลิวก็เพิ่มมากขึ้นอีกนิด เขาจึงวางตำราในมือลง เห็นว่าสหายเหมือนกำลังจ้องมองไปที่หน้าต่างจึงเงยหน้ามองตามสายตาของอีกฝ่ายไป ผลกลับได้เห็นใบหน้าแก่ชราที่สาดสะท้อนไปด้วยสีแดงจากผนังนอกหน้าต่าง ตามมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ดึกมากแล้ว หวังว่าคุณชายทั้งสองจะรีบพักผ่อน”
หญิงชราที่ถือโคมไฟลาดตระเวนปรากฏกายกะทันหันแบบนี้ เกือบจะทำให้บัณฑิตสองคนตกใจตายทั้งเป็น
หญิงชราเพิ่งจะเดินออกมาจากห้องที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เด็กหนุ่มสะพายกรอบกระบี่ในห้องนั้นก็จุดตะเกียงอ่านหนังสืออยู่เหมือนกัน มองมาที่หน้าต่างเหมือนกัน แต่กลับไม่มีท่าทีตื่นตระหนกตกใจแบบนี้ หญิงชราส่ายหน้า เดินจากไปอย่างเชื่องช้าพลางเอ่ยกลั้วหัวเราะ “จะอย่างไรความกล้าของบัณฑิตก็มีน้อยกว่า”
ในห้องฝั่งตรงข้าม
เฉินผิงอันยืนพิงอยู่ใกล้ๆ กับหน้าต่าง เอ่ยเตือนเสียงเบา “แม่เฒ่าเดินจากไปแล้ว”
ที่แท้ก่อนจะเข้ามาในจวนแห่งนี้ นักพรตหนุ่มก็ฟื้นคืนสติแล้ว เขากินยาหยางกลับคืนไปหนึ่งเม็ด จากนั้นก็ตามด้วยเหล้ารสร้อนแรงที่อยู่ในน้ำเต้าเจียงหูของเฉินผิงอัน เพียงชั่วครู่ก็กลับมากระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง เดิมทีเขาไม่เต็มใจจะสิ้นเปลืองยาเม็ดหนึ่ง แต่จู่ๆ กลับสัมผัสได้ถึงปราณปีศาจที่พุ่งผ่านไป จึงไม่กล้าขี้เหนียวอีก จะอย่างไรเงินเกล็ดหิมะหนึ่งอีแปะก็เทียบกับชีวิตของตัวเองไม่ได้ นักพรตจางซานลุกขึ้นนั่งบนเตียง สวมชุดนักพรตเต๋าใหม่เอี่ยม ค้อมตัวขยับเข้าใกล้กระถางไฟ ยื่นมือมาอังไฟหาความอบอุ่น กดเสียงพูดเบาๆ ว่า “เฉินผิงอัน คืนนี้พวกเราผลัดกันเฝ้ายามเถอะ ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่วางใจจริงๆ มักรู้สึกว่าที่นี่มีบางอย่างผิดปกติ”
เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าแค่เอากระบี่ไม้ท้อที่ห้อยกระดิ่งสดับปีศาจเล่มนั้นไว้ใกล้ๆ กับหน้าต่างก็พอแล้ว ข้าไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการรับมือกับภูตผีปีศาจเท่าใดนัก ดังนั้นจึงยังต้องให้กระดิ่งช่วยเตือน ส่วนเรื่องเฝ้ายาม ข้าถนัดมาก เจ้านอนหลับให้สบายใจ หากเกิดเรื่องจริงๆ ข้าก็ต้องรีบเตือนเจ้าอยู่แล้ว”
นักพรตจางซานครุ่นคิดหาเหตุผล “หลังจากแขวนกระบี่ไม้ท้อกับกระดิ่งสดับปีศาจแล้ว ข้าผู้เป็นนักพรตจะผิงไฟอีกสักหน่อย รอให้ร่างอบอุ่นแล้วค่อยนอนก็ยังไม่สาย”
ตอนที่นักพรตหนุ่มแขวนกระบี่ไม้ เฉินผิงอันก็กล่าวว่า “ตรงกรอบหน้าต่างเคยมีคนเขียนยันต์เอาไว้ ไม่รู้ว่าผ่านมานานแค่ไหนแล้ว ตอนนี้ถึงเห็นได้ไม่ค่อยชัด แต่น่าจะเป็นยันต์ของลัทธิเต๋าพวกเจ้า เจ้ารู้จักหรือไม่?”
เดิมทีนักพรตหนุ่มไม่ได้สังเกตเห็น พอเฉินผิงอันเอ่ยเตือน เพ่งมองอย่างละเอียดถึงได้พบเบาะแส จึงอดที่จะนับถือความใจกล้าและละเอียดรอบคอบของเฉินผิงอันไม่ได้ หลังจากมองประเมินอย่างละเอียด สีหน้าของเขาก็เริ่มหนักอึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายใช้นิ้วเช็ดไปบนคราบสีเบาๆ เอามาดมใต้จมูก กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เงียบๆ “หากเป็นอย่างที่ข้าผู้เป็นนักพรตคิดไว้จริงๆ ก็ค่อนข้างจะยุ่งยากแล้วล่ะ ยันต์ที่เขียนไว้บนกรอบหน้าต่างคือยันต์ตำราชาดที่ใช้ขับไล่ภูตผี ดูจากร่องรอยของมันน่าจะเป็นชนิดหนึ่งของยันต์คำเขียวสำนักโองการเทพที่เขียนด้วยสีชาด อานุภาพยิ่งใหญ่มหาศาล อีกอย่างในเมื่อเป็นฝีมือของยอดฝีมือในสำนักโองการเทพ และถึงขนาดเขียนไว้เกือบเต็มบานหน้าต่างด้วยปลายพู่กันที่เร่งร้อน พอจะจินตนาการได้ว่า ภูตผีและสิ่งชั่วร้ายที่ผู้อาวุโสคนนั้นต้องเผชิญย่อมมีตบะไม่ตื้นเขินแน่”
นักพรตหนุ่มถอนหายใจหนึ่งครั้ง ก่อนกล่าวอย่างเจ็บแค้น “หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นข้าผู้เป็นนักพรตไม่ควรเก็บยาหยางกลับคืนเม็ดนั้นเอาไว้ ควรกินเข้าไปแต่เนิ่นๆ ตอนที่ใกล้ถึงบ้านหลังนี้จะได้ไม่หมดสติ ข้าผู้เป็นนักพรตที่พอจะเข้าใจศาสตร์ฮวงจุ้ยลองคำนวณตั้งแต่อยู่ไกลๆ คงพอจะทราบได้คร่าวๆ ว่าบ้านหลังนี้มีฮวงจุ้ยอยู่ในระดับใด รวมไปถึงรู้วิธีรวบรวมฮวงจุ้ยว่าเป็นฝ่ายหยางหรือฝ่ายหยิน อยู่ห่างจากวิถีของธรรมะหรือไม่ ขอแค่พอจะแยกแยะต้นกำเนิดของมันได้คร่าวๆ ก็จะสามารถอนุมานเรื่องราวได้มากมาย…เฉินผิงอัน ขอโทษนะ เป็นข้าที่ทำให้เจ้าต้องตกอยู่ในอันตราย…”
เฉินผิงอันฟังนักพรตหนุ่มพึมพำกล่าวโทษตัวเองก็ไม่ได้พูดปลอบใจอะไร เพียงเอ่ยเย้าว่า “ท่านเทียนซือใหญ่จาง กำจัดมารผดุงความยุติธรรมไม่ใช่เรื่องที่เจ้าถนัดหรอกหรือ?”
นักพรตหนุ่มรีบโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “อย่าๆๆ ข้าผู้เป็นนักพรตไม่เหมาะกับคำว่า ‘เทียนซือ’ นี้หรอก”
กล่าวมาถึงตรงนี้ จางซานก็มีสีหน้าเพ้อฝัน เอ่ยเบาๆ ว่า “เทียนซือที่แท้จริงคือลูกศิษย์สายตรงสกุลจางจากจวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์ แต่ละคนสวมชุดคลุมสีเหลืองสีม่วง เป็นอัครเสนาบดีบนภูเขาที่สืบทอดบรรดาศักดิ์สู่รุ่นต่อรุ่นมาหลายพันปี นอกจากนี้เทียนซือต่างแซ่ที่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางก็มีคุณสมบัติได้รับคำเรียกขานว่า ‘เทียนซือ’ อย่างแท้จริง ทว่าต่อให้เป็นเทียนซือจากภูเขามังกรพยัคฆ์เหมือนกันก็ยังแบ่งออกได้อีกหลายระดับ เทียนซือระดับหนึ่งคือเทพเซียนผู้เฒ่าห้าขอบเขตบนที่ได้รับควันธูปกราบไหว้ในศาลบรรพชนของภูเขามังกรพยัคฆ์ ถัดจากลำดับนั้นลงมาก็คือลูกศิษย์สืบทอดสกุลจางสายตรงซึ่งเป็นผู้สูงศักดิ์หวงจื่อ (หวงคือสีเหลือง จื่อคือสีม่วง) หนึ่งในนั้นในอนาคตอาจได้ครอบครอง ‘ตราประทับเทียนซือ’ และกระบี่เซียนเล่มหนึ่ง ถัดลงมาอีกก็คือเทียนซือต่างแซ่จำนวนมากที่สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่บนภูเขามังกรพยัคฆ์ ในฐานะพื้นที่มงคลที่เกิดตามธรรมชาติอย่างภูเขามังกรพยัคฆ์ จะเปิดให้คนนอกเข้ามาได้ก็ต่อเมื่อผู้ฝึกตนเหล่านั้นยอมรับปากว่าหลังจากที่ฝึกตนได้สำเร็จแล้วจะลงจากภูเขาไปกำจัดปีศาจปราบมาร เมื่อถึงเวลานั้นภูเขามังกรพยัคฆ์จะมอบกระบี่ไม้สำเร็จรูปที่ทำจากไม้ท้อให้เล่มหนึ่ง และนี่ก็คือความใจกว้างของภูเขามังกรพยัคฆ์ ทำให้เป็นนักพรตจากทวีปอื่นอย่างพวกเราก็ยังเกิดความเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง”
เฉินผิงอันตั้งใจฟังอย่างมาก รู้สึกว่าทั้งภูเขามังกรพยัคฆ์และพวกเทียนซือเหล่านี้ต่างก็ไม่เลวเลย
—–
บทที่ 215.2 เขียนคิ้วแต่งหน้า
โดย
ProjectZyphon
สายฝนยังคงเทกระหน่ำลงมา
สิงโตหินขนาดเล็กที่ตั้งอยู่หน้าประตูบ้านส่งเสียงปริแตกเบาๆ อยู่เป็นระยะ
หญิงชรายืนอยู่ด้านนอกห้องหลักของเรือนชั้นที่สาม นางเหยียบอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก เอาโคมดวงนั้นแขวนไว้บนตะขอของเสาระเบียง แสงโคมไฟรุบรู่ ส่ายไหวไปตามสายลมอยู่ตลอดเวลา
เสียงฟุบดังหนึ่งครั้ง เปลวเพลิงก็มอดดับ ที่แท้ก็เป็นเพราะเทียนไขที่อยู่ข้างในมอดไหม้จนหมดแล้ว
หญิงชราไอพลางขึ้นไปเหยียบบนม้านั่งอีกครั้ง ปลดโคมไฟลงมา ดึงเทียนไขใหม่เอี่ยมสีแดงสดเหมือนเลือดเล่มหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ หากมองอย่างละเอียดจะเห็นว่าเทียนไขนั่นไม่มีไส้เทียน หญิงชราหมุนตัวหันหลังให้กับลานบ้าน ดึงเส้นผมสีขาวเส้นหนึ่งมาจากบนศีรษะแล้วเสียบลงไปกลางเทียนไข ราวกับว่าใช้มันเป็นไส้เทียน จากนั้นหญิงชราก็หันไปเป่าลมเบาๆ ใส่เทียนไข เทียนไขติดไฟในชั่วพริบตา พอใส่ไว้ในโคมไฟอีกครั้ง นางก็เอาโคมไฟแขวนไว้บนเสาตรงระเบียง
โคมไฟดวงนี้ส่ายไหวเบาๆ แสงไฟเปล่งวูบวาบอยู่ท่ามกลางเรือนหลังใหญ่
หากเป็นค่ำคืนที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งต้องชักนำให้แมงเม่ากระโจนเข้าหาอย่างแน่นอน เพียงแต่ไม่รู้ว่าท่ามกลางค่ำคืนที่ฝนตกในป่าเงียบสงัดแห่งนี้ การดำรงอยู่ของมันจะมีความหมายใด
นักพรตหนุ่มไม่รู้สึกง่วงนอน เฉินผิงอันจิบเหล้าร้อนแรงจากในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีชาดคำเล็กๆ ฟังจางซานเล่าถึงประสบการณ์เสี่ยงอันตรายขณะที่พบเจอกับปีศาจหลายครั้งก่อนหน้านี้ แต่แล้วเฉินผิงอันก็ทำท่ามือบอกให้เงียบ นักพรตหนุ่มหันไปมองทางกระบี่ไม้ท้อที่แขวนไว้ตรงหน้าต่างตามจิตใต้สำนึก กระดิ่งยังคงหยุดนิ่ง ไม่มีอะไรผิดปกติ
เพียงไม่นานก็มีเสียงเคาะดังมาจากหน้าประตู ที่แท้บัณฑิตสองคนนั้นก็จับมือกันมาเยี่ยมเยียน เฉินผิงอันถือน้ำเต้าบรรจุเหล้าในมือเดินไปเปิดประตู เสียงฝนด้านนอกยังคงดังสนั่นน่าตกใจ อีกทั้งลมที่พัดกระโชกยังพาให้เม็ดฝนสาดเข้ามา เป็นเหตุให้พื้นที่ตรงระเบียงข้างนอกไม่มีส่วนใดที่แห้งสนิท บัณฑิตแซ่ฉู่ร่างสูงเพรียวถือร่มไว้ในมือ อีกมือหนึ่งหิ้วกาเหล้า ใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อยๆ บัณฑิตแซ่หลิวยกสองมือทาบติดข้างริมฝีปาก เป่าลมหาใส่มือความอบอุ่น แล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “ออกจากบ้านมาคราวนี้ พี่ฉู่เอาเหล้ารสเลิศมาด้วยหลายไห ตอนนี้ยังเหลืออีกหนึ่งไห พูดไปแล้วก็ไม่กลัวว่าพวกเจ้าจะหัวเราะเยาะ คืนนี้ข้าไม่กล้านอน จึงอยากจะอาศัยสุราช่วยให้กลับไปนอนหลับได้สนิท พี่ฉู่บอกว่าสนุกเพียงลำพังไม่สู้สนุกกันหลายๆ คน หากทั้งสองท่านเต็มใจจิบเหล้าสักสองสามคำ พวกเราก็มาดื่มร่วมกันสักครั้งดีไหม? บอกไว้ก่อนเลยนะว่า อย่างน้อยข้าก็ต้องดื่มเหล้าครึ่งจินถึงจะล้มได้ ดังนั้นพวกเจ้าคงดื่มได้แค่เล็กน้อย โปรดอภัยให้ด้วย”
เฉินผิงอันชูน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดที่อยู่ในมือ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ข้าเอาเหล้ามาเอง พวกเจ้าสามคนสามารถแบ่งกันได้”
บัณฑิตแซ่หลิวที่ตอนนั้นช่วยกางร่มให้กับเฉินผิงอันและนักพรตหนุ่มเดินก้าวยาวๆ เข้ามาในห้อง หัวเราะเสียงดังกังวาน “เป็นอย่างนี้ย่อมดีที่สุด เป็นอย่างนี้ย่อมดีที่สุด”
บัณฑิตแซ่ฉู่เดินยิ้มตามมาด้านหลัง วางร่มไว้ตรงมุมกำแพง คนทั้งสี่นั่งล้อมกระถางไฟ อุ่นเหล้าอยู่ชั่วครู่ บัณฑิตแซ่หลิวก็ยกมือขึ้นตบศีรษะตัวเอง “ลืมเอาจอกเหล้ามาซะได้”
จากนั้นเขาก็หันไปมองสหายด้วยรอยยิ้มจืดเจื่อน “พี่ฉู่ ข้าไม่กล้าไปเอาหรอก”
บัณฑิตแซ่ฉู่ลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม กล่าวอย่างระอาใจ “หากบนโลกนี้มีผีจริงๆ คนเราก็ไม่ต้องกลัวตายแล้วกระมัง? นี่ต้องเป็นเรื่องดีสิถึงจะถูก อีกอย่างในท้องของบัณฑิตต้องมีปราณซื่อสัตย์เที่ยงธรรม คิดดูแล้วทั้งเทพและผีก็ยังต้องหวาดกลัวอยู่หลายส่วน เจ้าจะกลัวอะไร”
เมื่อมีคนเพิ่มมากขึ้น บัณฑิตแซ่หลิวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็มีชีวิตชีวามากขึ้น เขาเอ่ยล้อเลียนว่า “ขนาดตำแหน่งจวี่เหรินเล็กๆ ข้าก็ยังสอบไม่ติด บอกว่าในท้องมีปราณซื่อสัตย์เที่ยงธรรมก็ไม่รู้ว่ามีสักกี่มากน้อย แน่นอนว่าต้องกลัว แต่พี่ฉู่กลับสอบติดเป็นจิ้นซื่อ เก่งกว่าข้ามากนัก ย่อมไม่จำเป็นต้องกลัว”
บัณฑิตแซ่ฉู่ส่ายหน้ายิ้มๆ ก้าวยาวๆ จากไป เพียงไม่นานร่างของเขาก็ไปปรากฏตัวอยู่ที่ห้องฝั่งตรงข้าม จากนั้นก็ผลักประตูเปิด ผลักประตูปิด ก้าวเร็วๆ กลับมา ถือจอกเหล้ามาด้วยสี่ใบ ผนังด้านในจอกเหล้าวาดไก่ตัวผู้ห้าสีที่ลักษณะฮึกเหิมเอาไว้สองตัว นักพรตจางซานรับมาหนึ่งใบ แล้วถามหยั่งเชิงว่า “พี่ฉู่ พี่หลิว นี่คงไม่ใช่แก้วไก่ชนที่มีเฉพาะในแคว้นไฉ่อีหรอกกระมัง?”
บัณฑิตหลิวดวงตาเป็นประกาย “ท่านนักพรตก็เคยได้ยินชื่อแก้วไก่ชนของแคว้นไฉ่อีพวกเราด้วยหรือ?”
แสงไฟบนโต๊ะไม่สว่างมากพอ นักพรตหนุ่มจึงใช้สองนิ้วคีบจอกเหล้า จับมันเอียงลง อาศัยแสงสว่างจากกองเพลิงในกระถางไฟสังเกตไก่ตัวผู้ห้าสีสองตัวนั้นอย่างละเอียดแล้วทอดถอนใจเอ่ยว่า “ชื่อเสียงเลื่องลือ ชื่อเสียงเลื่องลือมาก ย่อมต้องเคยได้ยินมานานแล้ว ข้าผู้เป็นนักพรตมาจากกุรุทวีปทางทิศเหนือ ตอนที่เดินทางอยู่ในยุทธภพเคยเห็นคนมีเงินในยุทธภพสองคนทุ่มเงินก้อนโตโดยอาศัยไก่ชนนี้มาเป็นเดิมพัน มหัศจรรย์มาก ได้ยินว่าขอแค่เทเหล้าเข้าไปในแก้วครึ่งจอก จากนั้นกรอกปราณวิญญาณกลุ่มหนึ่งใส่เข้าไปในผนังแก้วด้านใน ไก่ตัวผู้สองตัวก็จะต่อสู้กันเองโดยอัตโนมัติ ถ้าไม่ตายก็ไม่ยอมเลิกรา อีกอย่างต่อให้เป็นพวกอริยะขอบเขตสิบในกลุ่มเทพเซียนห้าขอบเขตกลางก็ไม่แน่เสมอไปที่จะรู้ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ ดังนั้นขอแค่แก้วไก่ชนมาโผล่อยู่ในแจกันสมบัติทวีปพวกเจ้า ราคาก็จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเป็นพันเท่าหรือมากกว่านั้น ตรงท่าเรือของแคว้นหนันเจี้ยน แก้วไก่ชนของแคว้นไฉ่อีก็คือหนึ่งในสินค้าสำคัญที่ต้องนำขึ้นเรือไป”
สีหน้าของบัณฑิตแซ่หลิวค่อนข้างจะลำพองใจ เขาพยักหน้ารับกล่าวว่า “ปราณวิญญาณอะไรพวกนั้น ข้าไม่เข้าใจหรอก รู้แค่ว่าปรมาจารย์ในยุทธภพของแคว้นไฉ่อีพวกเราชอบนำสิ่งนี้มาหาความบันเทิง หลังจากกรอกเหล้าเข้าไปแล้ว พวกเขาแค่ใช้สองนิ้วคีบก็สามารถทำให้แก้วไก่ชนมีชีวิต จากนั้นพวกมันก็จะต่อสู้กันไม่หยุด จนกระทั่งรู้แพ้รู้ชนะ ส่วนข้อที่ว่าทำไมมันถึงมหัศจรรย์เพียงนี้ ข้าเคยอ่านเจอบันทึกตอนหนึ่งจากในอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ท้องถิ่น บอกว่าดินห้าสีที่นำมาเผาเป็นแก้วไก่ชนคือวัตถุที่น่าสนใจซึ่งมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองโดยเฉพาะ อีกทั้งยังเล่าลือกันว่าหากดินนี้ออกไปจากพื้นที่ของแคว้นไฉ่อี ก็จะเปลี่ยนรสชาติในเวลาสั้นๆ กลายเป็นว่าไม่ต่างอะไรจากดินทั่วไป ดังนั้นถึงเป็นเหตุให้แก้วไก่ชนกลายมาเป็นเครื่องปั้นที่มีเฉพาะในแคว้นไฉ่อีของพวกเรา”
นักพรตจางซานจุ๊ปากชื่นชม ในใจคิดว่าหากใครสามารถผูกขาดดินที่ใช้ในการเผาแก้วไก่ชนก็ไม่เท่ากับว่ามีเงินมีทองไหลมาเทมา ร่ำรวยเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืนเลยหรอกหรือ?
เฉินผิงอันเชื่อในคำกล่าวนี้ เพราะว่าสำหรับธาตุของดินนั้น เนื่องจากเฉินผิงอันเคยเป็นช่างเผาเครื่องปั้นจึงมีประสบการณ์ในด้านนี้อย่างลึกซึ้ง บรรพบุรุษช่างเผาเครื่องปั้นของเมืองหลงเฉวียนล้วนเป็นช่างเผาเครื่องปั้นกันมาทุกรุ่นทุกสมัย การเผาเครื่องปั้นจำเป็นต้องทำความรู้จักกับดิน ดังนั้นเฉินผิงอันจึงได้ยินความลับต่างๆ มาไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นผู้เฒ่าเหยาเคยบอกว่า เมื่อดินพ้นจากพื้น สุดท้ายถูกปั้นกลายมาเป็นรูปปั้นดินพระโพธิสัตว์ คอยกินควันธูป ไม่ก็เผาเป็นเครื่องเคลือบส่งเข้าไปในวังหลวง หรือไม่ก็กลายมาเป็นขวดแตกไหผุในหมู่ชาวบ้าน หนีไม่พ้นต้องถูกไฟเผาถูกน้ำเซาะ ต่างก็มีรากเหง้า ต่างมีชะตาชีวิตเป็นของตัวเอง ไม่ต่างจากคน
บัณฑิตแซ่หลิวดื่มเหล้าไปสองสามจอกก็หน้าแดงก่ำ กำลังเมากรึ่มได้ที่ เป็นช่วงเวลาที่อารมณ์ฮึกเหิมถึงขีดสุด เขาส่ายหน้าน้อยๆ ถามยิ้มๆ ว่า “ท่านนักพรตสะพายกระบี่ไม้ท้อไว้ด้านหลัง แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นกลุ่มคนในบรรดาเทพเซียน สามารถทำให้แก้วไก่ชน ‘มีชีวิต’ ขึ้นมาได้หรือไม่? หากทำได้ ไม่สู้พวกเรามาวางเดิมพันกัน หาเรื่องสนุกให้ทำ แค่เดิมพันเล็กๆ น้อยๆ เท่ากัน พวกเราจะเดิมพันอะไรกันดี?”
บนใบหน้าของบัณฑิตคนนี้มีประกายสดชื่นแตกต่างไปจากยามปกติ เห็นได้ชัดว่าดื่มเหล้าหรือไม่ดื่มจะเป็นสองคนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งยังชอบเล่นพนันไม่มากก็น้อย
บัณฑิตแซ่ฉู่ถอนหายใจ เอ่ยเกลี้ยกล่อมเบาๆ “พี่หลิว ดื่มเหล้าไปครึ่งจินแล้วก็รีบไปพักผ่อนเถอะ”
นักพรตจางซานเองก็รีบกล่าวว่า “แก้วไก่ชนใบหนึ่งมีค่าไม่น้อย เหตุใดต้องเอามาใช้สิ้นเปลืองให้เสียเปล่าด้วย”
บัณฑิตแซ่หลิวดื่มเหล้าในจอกรวดเดียวหมด แล้วโบกมือขว้างแก้วเหล้าที่อยู่ในมือไปกระแทกผนังอย่างแรงจนมันแตกละเอียด หัวเราะเสียงดัง “นับแต่โบราณกาลมาปราชญ์เมธีล้วนมีชีวิตเงียบเหงา มีเพียงอาศัยสุราแต่งกลอนถึงจะทิ้งชื่อเสียงงดงามเอาไว้ได้บ้าง ทว่าผู้ที่ทิ้งชื่อเสียงเอาไว้สุดท้ายก็ล้วนตายสิ้น มีเพียงวัตถุที่คงอยู่นับร้อยนับพันปี เหลวไหลสิ้นดี แก้วไก่ชนใบเดียว ในแคว้นไฉ่อีจะมีค่าสักกี่แดงกันเชียว? ก็แค่หนึ่งถึงสองตำลึงเท่านั้น จิ้นซื่อคนหนึ่งมีค่ากี่แดงกันเชียว? นั่นน่ะแพงนักล่ะ ถึงอย่างไรข้าหลิวเจินก็ซื้อไม่ไหว…”
สีหน้าของบัณฑิตแซ่ฉู่กระอักกระอ่วนเล็กน้อย เอ่ยอธิบายว่า “พอดื่มเหล้าเมา พี่หลิวชอบพูดเหลวไหล ขอท่านนักพรตและคุณชายโปรดให้อภัยด้วย”
เฉินผิงอันส่งยิ้มไปให้แล้วดื่มเหล้าของตัวเองเงียบๆ
สุดท้ายหลิวเจินที่เมาแล้วพูดไม่หยุดปากก็ถูกสหายประคองกลับไป จางซานเดินไปส่งถึงหน้าประตู
เฉินผิงอันชำเลืองมองไปทางหน้าประตู ไม่มีท่าทีจะลุกขึ้นขยับตัว
……
ท่ามกลางสายฝนเทกระหน่ำ มือดาบที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราคนหนึ่งเดินผ่านม่านฝนหนาหนักก้าวยาวๆ มาถึงหน้าจวน แล้วเคาะประตูใหญ่
หญิงชรายืนอยู่ตรงธรณีประตูด้านใน ถามเสียงแหบ “มีธุระอะไร?”
ชายฉกรรจ์ตะโกน “หลบฝน!”
หญิงชรากล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาด “บุรุษอย่างเจ้าพูดจาเปี่ยมไปด้วยพลัง ไม่ใช่คนที่จำเป็นต้องหลบฝน”
ชายฉกรรจ์กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำไม จวนใหญ่โตโอ่อ่าขนาดนี้จะไม่มีแม้แต่ที่ให้พักเท้าเลยหรือ?!”
หญิงชราหัวเราะหึหึ “ที่พักเท้าน่ะมี เพียงแต่ว่าลมปราณของชายฉกรรจ์อย่างเจ้าอุดมสมบูรณ์เกินไป เกรงว่าเจ้านายของข้าคงไม่ค่อยชอบเท่าไหร่นัก หากทำให้เจ้านายข้าที่เป็นคนเจ้าอารมณ์โมโห อย่าว่าแต่ที่พักเท้าเลย ต่อให้เป็นที่เก็บเนื้อสดๆ หนึ่งร้อยเจ็ดแปดจินก็มีให้วางเหมือนกัน”
หนวดเคราที่รกรุงรังเต็มใบหน้าของมือดาบคนนั้นแข็งกระด้างดุจง้าวดุจทวน มือข้างหนึ่งของเขากำไว้ที่ด้ามดาบ เบิกตาถลึงมองประตูใหญ่ “หยุดพูดเหลวไหลเสียที! รีบเปิดประตู ฝนนี่เต็มไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้าย ข้าจะไม่หลบได้อย่างไร วันหน้าจะยังไปเที่ยวหอโคมเขียวอีกได้อย่างไร จะไม่ถูกปีศาจน้อยเชี่ยวชาญการทรมานคนเหล่านั้นหัวเราะเยาะตายหรือ?”
ประตูใหญ่เปิดออกช้าๆ หญิงชราถอนหายใจเบาๆ “ถูกคนอื่นหัวเราะเยาะตายอย่างไรก็ดีกว่าต้องตายจริงๆ”
มือดาบหน้าหนวดตะลึงเล็กน้อย แต่ไม่นานก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เรือนกายนี้ของข้าผู้อาวุโสสั่งสมปราณหยางมาแล้วสามสิบกว่าปี จะกลัวอะไร! อย่าว่าแต่ภูตผีปีศาจเลย ต่อให้บรรพบุรุษของพวกมันพบข้าก็ยังต้องเป็นฝ่ายหลีกทางให้”
ชายฉกรรจ์ท่าทางหยาบกระด้างเดินเข้าไปในบ้าน พอเห็นกำแพงบังตาตรงหน้าก็ขมวดคิ้ว
หญิงชราปิดประตูบานใหญ่ลงอีกครั้ง
เสียงเพล้งดังขึ้นหนึ่งครั้ง ที่แท้ศีรษะของสิงโตหินตัวหนึ่งที่อยู่นอกประตูก็หล่นลงพื้น แตกกระจายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย
ความเคลื่อนไหวเล็กน้อยเพียงเท่านี้ถูกเสียงฝนที่ดังกระหน่ำกลบทับไปนานแล้ว
……
ในตระกูลใหญ่ของบางแคว้นทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีป หญิงสาวส่วนใหญ่ต้องอยู่อาศัยในหอซิ่วโหลว (สถานที่ที่มีไว้ให้ผู้หญิงเรียนงานฝีมือโดยเฉพาะของประเทศจีนในสมัยโบราณ ไม่ว่าจะเป็นเรียนงานเย็บปักถักร้อย พักผ่อนหย่อนใจ หรือเรียนศิลปะต่างๆ ก็ล้วนอยู่ในซิ่วโหลว) ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ชนเผ่าที่ประเพณีนิยมในตระกูลมีเงื่อนไขเข้มงวดถึงขั้นถอดบันไดสำหรับเดินขึ้นลงออก สตรีที่อยู่ในห้องถูก ‘พันธนาการกลางหอสูง’ ไม่ต่างจากหนังสือเล่มหนึ่ง รอวันที่จะได้ออกเรือน
ลานบ้านชั้นสุดท้ายนี้ก็มีหอซิ่วโหลวอยู่แห่งหนึ่ง ท่ามกลางม่านราตรีหนาหนัก บนระเบียงสาวงาม (ระเบียงที่ยื่นออกมารอบหอสูง มีพนักพิงโค้งยื่นออกไปด้านหลังเพื่อสะดวกแก่การนั่งพิง) ชั้นสองกลับมีบุรุษกำลังเขียนคิ้วแต่งหน้าให้กับสตรี เขาตวัดพู่กันเขียวคิ้วในมือวาดลงบนใบหน้าของสตรีเบาๆ ผิวหนังของสตรีผู้นั้นเน่าเปื่อยผุพังจนแยกไม่ออกว่าไหนเลือดไหนเนื้อ พื้นที่ส่วนใหญ่บนใบหน้าเผยให้เห็นกระดูกขาวโพลน บางจุดถึงขั้นมีหนอนไต่ยุบยับ แต่กลับพอจะมองเห็นใบหน้าแต้มยิ้มของนางได้เลือนราง
—–
บทที่ 216.1 ลงมือ
โดย
ProjectZyphon
จางซานมองส่งบัณฑิตสองคนที่เดินไปยังห้องตรงข้าม เขายืนอยู่กลางระเบียง ยื่นมือออกไปข้างนอก รองรับน้ำฝนไว้เกือบครึ่งฝ่ามือ ชั่งน้ำหนักอยู่ครู่หนึ่งก็พลิกมือเทน้ำทิ้ง เดินกลับเข้าไปในห้อง พอปิดประตูแล้วก็ใช้มือข้างที่แห้งสนิทหยิบยันต์กระดาษเหลืองธรรมดาใบหนึ่งออกมา จางซานเอ่ยเบาๆ ว่า “สถานที่แห่งนี้มีปัญหาจริงๆ น้ำฝนค่อนข้าง ‘หนักและอึมครึม’ มีความเป็นไปได้มากว่าจะซุกซ่อนปราณชั่วร้ายเอาไว้ ยันต์แผ่นนี้ของข้าผู้เป็นนักพรตมีชื่อว่ายันต์จุดไฟเผาความชั่วร้าย ธรรมดามาก แต่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เพราะว่ามันสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความชั่วร้ายได้ดีที่สุด…”
นักพรตหนุ่มใช้สองนิ้วคีบกระดาษยันต์ ปากท่องคาถาเบาๆ จากนั้นก็พลันใช้ฝ่ามือของมือข้างที่เปียกโชกแนบติดกับยันต์อย่างรวดเร็ว ยันต์สีเหลืองติดไฟลุกไหม้ขึ้นกลางฝ่ามือของจางซาน เพียงไม่นานก็กลายเป็นเถ้าถ่าน นักพรตหนุ่มสีหน้าหนักอึ้ง ปัดขี้เถ้าทิ้งลงไปในกระถางไฟ
เฉินผิงอันเอยถาม “ยันต์แผ่นนี้ ราคาเท่าไหร่?”
จางซานตอบคำถามอย่างจริงจังโดยไม่รู้สึกว่ามีอะไรแปลกประหลาดตรงไหน “ยันต์ประเภทนี้ไม่เข้าขั้นมาตรฐานอะไรทั้งนั้น หลักการเดียวกับขุนนางผู้น้อยในวงการขุนนางที่ไม่มีระดับขั้น ด้วยเหตุนี้จึงมีราคาถูกมาก ต้นทุนก็มีแค่กระดาษเหลืองแผ่นเดียว บวกกับลายมือเขียนของผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างคนหนึ่งเท่านั้น เงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญสามารถซื้อยันต์เผาความชั่วร้ายได้เกือบสามสิบแผ่น หากคิดเป็นเงินก้อนก็แผ่นล่ะประมาณสามตำลึง ไม่ถือว่าแพงจริงๆ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
สำหรับเรื่องการเขียนยันต์นี้ เขาเคยเห็นความลี้ลับของยันต์ทำลายอาคมมากับตาตัวเอง ตอนนั้นพวกเขาที่เดินทางอยู่บนทางภูเขาถูกผีสาวสวมชุดแต่งงานกลั่นแกล้ง ทุกคนจึงเดินกันอยู่บน ‘เส้นทางสู่น้ำพุเหลือง’ ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายคล้ายถูกผีบังตา หลินโส่วอีจึงควบคุมยันต์ทำลายอาคมแผ่นหนึ่งซึ่งถือเป็นยันต์ภูเขาและแม่น้ำชักนำให้ทุกคนเดินทาง
หลังจากนั้นตอนอยู่ในเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว หลี่ซีเซิ่งก็วาดยันต์ ‘ตัวอักษร’ ไว้บนผนังของเรือนไม้ไผ่ เมื่อเขียนตัวอักษรสำเร็จก็กลายเป็นยันต์ ซึ่งอันที่จริงแล้วถือว่าต้องใช้ความรู้ความสามารถและขอบเขตที่สูงอย่างถึงที่สุด สุดท้ายเขาไหว้วานให้ชุยชื่อเด็กรับใช้นำตำราพื้นฐานการเขียนยันต์ของลัทธิเต๋าเล่มหนึ่ง รวมถึงกระดาษยันต์ที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันอีกปึกใหญ่มามอบให้เฉินผิงอัน แน่นอนว่ายังมีพู่กัน ‘เหล็กหมาดลมหิมะ’ เล่มนั้นด้วย และหากเฉินผิงอันรีบร้อนต้องการเขียนยันต์ก็ไม่จำเป็นต้องใช้หมึก เพียงแค่เป่าลมใส่ปลายพู่กันก็สามารถทำให้พู่กันชุ่มชื้นได้แล้ว
แต่เฉินผิงอันพลิกอ่าน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ เล่มบางๆ นั้นอย่างละเอียดอยู่หลายรอบ พอจะเรียนรู้การเขียนยันต์แบบที่ตื้นเขินที่สุดห้าหกชนิดซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือ อีกอย่างตามที่ในตำราบอกไว้ ยันต์ที่คนในโลกนี้วาดก็คือการ ‘เขียนตำราสีชาด’ แบ่งออกเป็นเก้าชนิด ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนจะเขียนตำราสีชาด ‘สามชนิดบน’ อย่างหนึ่งสองสาม ส่วนผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางก็จะเขียนตำราสีชาดสามชนิดกลางอย่างสี่ห้าหก ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างเขียนตำราสีชาดสามชนิดล่างอย่างเจ็ดแปดเก้า แม้เฉินผิงอันจะไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณ แต่ก็สามารถอาศัย ‘ลมปราณหนึ่งเฮือก’ จากการโคจรปราณกระบี่สิบแปดหยุดเขียนยันต์พื้นฐานใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ได้ หากเป็นยันต์ระดับสูงยิ่งกว่านั้น สำหรับเฉินผิงอันในเวลานี้ถือเป็นการเพ้อฝันเกินไป
หลี่ซีเซิ่งเคยบอกว่า การเขียนยันต์ก็คือการฝึกกระบี่ นี่ก็คือเจตนาเดิมที่หลี่ซีเซิ่งไม่ได้สอนความรู้เรื่องการตกปลา แต่สอนวิธีตกปลาให้กับเฉินผิงอัน
ทว่าตลอดเส้นทางการเดินทางลงใต้ของเฉินผิงอัน เขาก็ยังหวังว่าจะทุ่มเทสมาธิให้กับการฝึกหมัด จึงทำเพียงแค่ใช้เวลาว่างหัดเขียนยันต์สามชนิด ได้แก่ยันต์ย่อพื้นที่ ยันต์ปราณหยางส่องไฟและยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจเอาไว้อย่างละสองสามแผ่น เพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดคิด
ยันต์ย่อพื้นที่สามารถช่วยให้เฉินผิงอันย่อพื้นที่ให้เล็กลงได้ในชั่วพริบตา เพียงก้าวเดียวก็สามารถออกไปยังพื้นที่ใดก็ได้ในรัศมีสิบจั้งรอบด้าน ยันต์ปราณหยางส่องไฟก็คือยันต์ภูเขาและแม่น้ำทำลายอาคมชนิดหนึ่ง หากไปอยู่ในสุสานรกร้างหรือโบราณสถานแห่งต่างๆ แล้วเจอกับเหตุการณ์ผีบังตาอีกครั้งก็สามารถเดินตามยันต์ส่องไฟออกไปจากเวทพรางตาได้อย่างราบรื่น ส่วนยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจนั้นคือยันต์ชนิดที่มีพลังการทำลายล้างค่อนข้างสูง เมื่อนำยันต์ชนิดนี้ออกมาใช้ก็จะมีเจดีย์วิเศษขนาดจิ๋วแห่งหนึ่งปรากฎขึ้นกลางอากาศ จับปีศาจขังไว้ข้างใน ด้านในมีอานุภาพจากสายฟ้าคอยโบยตีจิตวิญญาณของปีศาจ
ทั้งสามชนิดนี้ต่างก็มีบันทึกอยู่ใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ อยู่ในขอบเขตที่ธรรมดามากที่สุด คำประเมินเกี่ยวกับมันไม่สูงมากนัก เพียงแต่เพราะพวกมันเป็นต้นฉบับดั้งเดิมของยันต์บางประเภทถึงได้ถูกบันทึกไว้ในตำราเล่มนี้
นักพรตจางซานดื่มเหล้าเข้าไป เดิมทีเขาก็กินเหล้าไม่เก่งอยู่แล้ว บวกกับที่ก่อนหน้านี้ต้องการประหยัดยาหยางกลับคืนจึงถูกน้ำฝนที่หนาหนักอึมครึมกระทบร่างมาตลอดทาง เหนื่อยล้ามานานแล้ว แม้ว่าใจคิดอยากจะช่วยเฉินผิงอันเฝ้ายาม แต่กลับสะลึมสะลือหลับสนิทไปซะแล้ว
เฉินผิงอันคุ้นเคยกับการเฝ้ายามดียิ่ง เขาจิบเหล้าคำเล็กๆ ขณะที่จางซานหลับสนิทไปแล้ว เขาพลันหันขวับไปมองมุมกำแพงข้างประตู
ตรงนั้นวางร่มกันฝนที่ถูกวางเอียงๆ ซึ่งเจ้าของลืมเอาไว้
ร่มกระดาษน้ำมันคันนี้ ตอนแรกถืออยู่ในมือของบัณฑิตแซ่หลิว พอเข้ามาในเรือนแห่งนี้ บัณฑิตแซ่ฉู่เป็นคนถือเอาไว้
ร่มวางพิงอยู่ตรงมุมกำแพงนิ่งๆ ปลายร่มทิ่มลงพื้น ด้ามร่มหงายขึ้นด้านบน
ต่อให้จะวางร่มไว้อย่างนี้ แต่บนพื้นกลับไม่มีคราบน้ำเลยแม้แต่น้อย
นี่ไม่ปกติ
อีกอย่างเฉินผิงอันยังสัมผัสได้ถึงปราณที่เยียบเย็นเสี้ยวหนึ่งซึ่งทำให้คนเสียวสันหลังวาบ
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงลุกขึ้นยืน เดินโซเซไปมาคล้ายคนที่ดื่มเหล้าจนเมามาย เดินไปด้วยบ่นไปด้วย “มีใครเขาวางร่มหัวทิ่มแบบนี้บ้าง หากอยู่ที่บ้านเกิด กล้าทำแบบนี้ต้องถูกพวกผู้ใหญ่ด่าตายแน่…”
เดินมาถึงมุมกำแพง เฉินผิงอันยังเรอดังเอิ้กหนึ่งที ยื่นมือไปคว้าด้ามร่มเตรียมจะวางสลับกลับด้าน เพียงแต่ว่าในเสี้ยววินาทีนั้นยันต์แผ่นหนึ่งกลับไหลพรวดออกมาจากชายแขนเสื้อของเขา สีหน้าของเฉินเปลี่ยนมาเป็นดุดัน ไหนเลยจะเหลือความเมามายอยู่อีก นิ้วทั้งสองคีบยันต์กระดาษเหลืองซึ่งก็คือยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจแผ่นนั้นไว้อย่างรวดเร็ว แล้วตบลงบนด้ามร่ม เจดีย์แก้วเจ็ดสีหลังหนึ่งลอยขึ้นกลางอากาศ รัศมีศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมไปทั่วร่มกระดาษน้ำมันอย่างพอดิบพอดี ลวดลายบนผิวร่มบิดเบือน ส่งเสียงดังฉี่ๆ เป็นระลอกราวกับเสียงเนื้อที่ผัดอยู่ในกระทะ
แสงสว่างของเจดีย์วิเศษที่ลอยอยู่กลางอากาศพลันหม่นมัว เพียงไม่นานก็สลายหายไป
เฉินผิงอันไม่ยอมเลิกรา เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้พลาดโอกาสอันดีเนื่องจากฝีมือของตนไม่แกร่งกล้ามากพอหรือระดับของยันต์ต่ำเกินไป จึงเรียกยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจอีกสองแผ่นที่เหลือออกมาพร้อมกัน แล้วแปะติดลงบนผิวร่มกระดาษน้ำมันด้วยความเร็วดุจสายฟ้าแลบ จากนั้นไม่จำเป็นต้องรวบรวมลมปราณ เฉินผิงอันที่วิถีวรยุทธ์อยู่ในขอบเขตสามขั้นสูงสุดก็สามารถโคจรลมปราณได้ตามใจปรารถนา ปณิธานหมัดระเบิดตูมออกมา ปล่อยหมัดรัวติดกันบนยันต์สยบปีศาจสามแผ่นในระยะประชิดด้วยพลังการทำลายล้างสูงสุด พายุหมัดไม่สามารถทำลายตัวร่มได้ แต่ปณิธานแห่งหมัดกลับไหลกรากแทรกซึมเข้าไปด้านในของร่มทั้งหมด
นี่ก็คือความต่างราวฟ้ากับเหวระหว่างผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามทั่วไปกับขอบเขตสามที่ผู้เฒ่าแซ่ชุยเป็นคนสอน
หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ เฉินผิงอันก็ยื่นมือไปกำน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เอาไว้แน่น เตรียมพร้อมที่จะเรียกชูอีกับสืออู่ออกมารับมือศัตรูทุกเมื่อ
ทว่าหลังจากที่ร่มคันนั้นสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่งก็มีควันดำเหม็นคาวลอยขึ้นมา แล้วค่อยๆ สลายหายไปโดยสิ้นเชิงอย่างเงียบเชียบ
เฉินผิงอันมึนงงเล็กน้อย แค่นี้เองหรือ?
ร่มกระดาษน้ำมันประหลาดที่ต้องซุกซ่อนความลับเอาไว้คันนี้จะไม่มีกระบวนท่าสังหารตามมาเลยหรือ?
ยกตัวอย่างเช่นควันดำซัดตลบอบอวล เสียงคำรามเดือดดาลดังสะเทือนฟ้า จากนั้นก็ตามมาด้วยสิ่งชั่วร้ายท่าทางดุดันน่าหวาดกลัว?
ผีสวมชุดเจ้าสาวที่เจอระหว่างทางสายเล็กบนภูเขาตอนนั้นสร้างความทรงจำอันลึกล้ำให้แก่เฉินผิงอัน นางคอยจูงจมูกพวกเขาเดิน ขนาดนักพรตเต๋าตาบอดที่เชี่ยวชาญเวทลับสายฟ้าก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง หากไม่เป็นเพราะเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะใช้หนึ่งกระบี่ทำลายม่านอาคม เผยฝีมือของเซียนกระบี่ให้เห็น เกรงว่าตอนนั้นเฉินผิงอันคงถูกบีบให้ต้องใช้ปราณกระบี่สองกลุ่ม แล้วก็คงไม่มีโอกาสคุมเชิงกับเด็กหนุ่มชุยฉานบนปากบ่อน้ำในภายหลังแล้ว
เฉินผิงอันนั่งยองอยู่บนพื้น จ้องมองร่มกระดาษน้ำมันเขม็ง หลังจากดื่มเหล้าอีกหนึ่งคำก็ไม่ลืมหยิบร่มขึ้นมาสลัดสองสามที ด้านในร่มเกิดเสียงแผ่วเบาเหมือนมีกองขี้เถ้าร่วงพรูลงมา
เฉินผิงอันนั่งเกาหัวอยู่ตรงนั้น ดื่มเหล้าไปพลางรู้สึกว่าใจวูบโหวงแปลกๆ ตอนอยู่ในเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่วเคยชินกับการฝึกฝนแบบเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายทุกวัน ตอนนี้กลับเหมือนคนที่…ดื่มเหล้าจนชินแล้วกลับไปดื่มน้ำเปล่าอีกครั้ง?
เฉินผิงอันบอกกับตัวเองเงียบๆ ว่า ไม่ว่าร่มกระดาษน้ำมันคันนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับบัณฑิตคนไหน หรือเพิ่งจะถูกวัตถุชั่วร้ายสิงสู่หลังจากเข้ามาในบ้านหลังนี้แล้ว แต่ความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ ในร่มคันนี้ต้องเป็นแค่ขุนพลข้ามแม่น้ำที่ถูกส่งมาหยั่งเชิงเส้นทางเท่านั้น ดังนั้นเขาจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด เฉินผิงอันจึงลุกขึ้นยืน เดินไปนั่งลงข้างโต๊ะ อาศัยแสงไฟเรียกเหล็กหมาดลมหิมะออกมาจากวัตถุฟางชุ่น เป่าลมใส่ปลายพู่กันหนึ่งครั้งแล้วเริ่มวาดยันต์ ยันต์ที่วาดยังคงเป็นยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจ แต่กระดาษยันต์ไม่ใช่กระดาษสีเหลืองแล้ว คราวนี้เปลี่ยนมาเป็นกระดาษยันต์เนื้อสีทองแผ่นหนึ่งแทน
วาดเสร็จหนึ่งแผ่น เฉินผิงอันก็ยกน้ำเต้าบรรจุเหล้าที่วางไว้ข้างมือกระดกเหล้าดื่มอึกใหญ่ด้วยความเคยชิน หยุดพักไปชั่วขณะ รอจนลมหายใจกลับมามั่นคงดีแล้วถึงได้กล้ายกพู่กันขึ้นเขียนอีกครั้ง
ท่ามกลางราตรีที่มีลมพายุฝน เฉินผิงอันที่ดื่มเหล้าจนกรึ่มๆ เล็กน้อยตวัดพู่กันลมหิมะว่องไวดุจมีเทพช่วย
ข้างมือมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีชาดหนึ่งลูก และกำจัดปีศาจปราบมารสองกระบี่ในกล่องไม้
แน่นอนว่ายังมีเสียงกรนของนักพรตจางซานที่นอนอยู่บนเตียงอยู่เป็นเพื่อนเขาด้วย
……
ลมฝนพัดกระโชก บางครั้งม่านราตรีก็ถูกฉีกกระชากด้วยประกายสายฟ้า บนเนินเขาขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่ห่างจากบ้านโบราณออกมา มีนักพรตเต๋าวัยกลางคนผู้หนึ่งที่สีหน้ามืดทะมึนถือแส้ปัดฝุ่นไว้ในมือ พอแบมืออกดู เหรียญทองสัมฤทธิ์ลักษณะโบราณเรียบง่ายเหรียญหนึ่งพลันแตกหัก สีหน้าของนักพรตวัยกลางคนเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ข่มกลั้นความเสียดายในใจ โยนมันทิ้งไปด้วยท่าทางราวกับว่าไม่สนใจ แค่นเสียงกล่าวว่า “คู่สุนัขชายหญิงที่จะเป็นคนก็ไม่ใช่เป็นผีก็ไม่เชิง แม้จะอาศัยชัยภูมิอันได้เปรียบต่อต้านอย่างเหนียวแน่น ก็มีแต่จะเพิ่มความเจ็บปวดให้ตัวเองเท่านั้น”
ข้างกายของนักพรตวัยกลางคนคือชายร่างสูงใหญ่ คิ้วเข้มตาโต สวมเสื้อผ้าบางๆ คนหนึ่ง เขาปล่อยให้น้ำฝนกระทบทั่วร่างตัวเอง บางครั้งในดวงตาก็มีประกายแสงสีทองเป็นเส้นๆ พุ่งผ่าน ตรงเอวห้อยกล่องตราประทับขนาดเท่ากำปั้นไว้หนึ่งกล่อง เมื่อเห็นว่านักพรตเต๋าขโมยไก่ไม่สำเร็จกลับยังต้องเสียข้าวสารไปอีกหนึ่งกำมือ สูญเสียขุนพลที่รักตัวหนึ่งไปอย่างเสียเปล่าก็หัวเราะหยันอย่างหงุดหงิด “หากยังจะฝืนบุกเข้าไป หลังจบเรื่องก็คงไม่ได้แบ่งกันคนละห้าสิบห้าสิบแล้ว!”
นักพรตเต๋าไม่คิดจะถกเถียงเรื่องนี้ จึงหันหน้ามาถามว่า “มือดาบเครายาวคนนั้นเป็นเทพเจ้าจากฝ่ายใด ทำไมถึงมาเยี่ยมเยือนบ้านโบราณในคืนนี้พอดี?”
บุรุษร่างสูงใหญ่หัวเราะพรืด “ได้ยินว่าเป็นจอมยุทธ์พเนจรต่างถิ่นที่มาเยือนแคว้นไฉ่อีเมื่อปลายปีก่อน อาศัยว่าตัวเองมีดาบที่ดีจัดการกับพวกสิ่งชั่วร้ายไร้ฝีมือแถบชายป่าไปแค่ไม่กี่ตัว ชื่อเสียงก็โด่งดัง ดูจากสีหน้าท่าทางที่เขาแสดงออกมาขณะเดินอยู่ท่ามกลางพายุฝนคืนนี้ อย่างมากสุดก็น่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่ หากไปอยู่ที่อื่นอาจจะน่ากริ่งเกรงอยู่บ้าง แต่ตอนนี้มาอยู่ในถิ่นของข้าก็ไม่มีค่ามากพอให้พูดถึง ถึงเวลานั้นเจ้าและข้าช่วยกันจัดการ เจ้าสามารถเอาตัวเขาไปทำเป็นหุ่นเชิดได้ ข้าจะไม่ขัดขวาง แต่ดาบของเขาต้องเป็นของข้า”
นักพรตวัยกลางคนสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ไอหมอกก็ลอยขึ้นมาจากทั่วร่าง ชุดคลุมเต๋าที่เปียกน้ำฝนแห้งสนิทในเสี้ยววินาที เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้”
บุรุษร่างสูงใหญ่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังถามว่า “ที่พึ่งของเจ้าของบ้านโบราณหลังนั้น สูญเสียอำนาจในสำนักโองการเทพไปแล้วจริงๆ หรือ?”
นักพรตวัยกลางคนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “การข่าวของเทพภูเขาอย่างเจ้าล่าช้าไปหน่อยไหม”
สีหน้าชายร่างสูงใหญ่ดำคล้ำ พูดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ก็เพราะการปรากฏตัวของบ้านหลังนั้นไม่ใช่หรือไง เพราะมันใช้ค่ายกลเฮงซวยที่ไม่แพร่งพรายของสำนักโองการเทพมากลืนกินปราณวิญญาณในรัศมีร้อยลี้ไปทีละนิด ทำให้ตลอดร้อยปีมานี้ร่างทองของข้าค่อยๆ ผุพัง ตอนนี้ใครจะยังเต็มใจมองข้าเป็นเทพภูเขา สภาพการณ์ของข้ายังสู้เทพเจ้าที่ของสถานที่แห่งอื่นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ หากแค้นนี้ไม่ชำระก็ยากจะคลายความอาฆาตในใจของข้าได้!”
นักพรตเต๋าวัยกลางคนพยักหน้าเอ่ยว่าเห็นด้วย จากนั้นก็เอ่ยปลอบใจเขาอีกพักหนึ่ง
—–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น