อัจฉริยะสมองเพชร 2142-2149

 ตอนที่ 2142 ยกระดับพละกำลัง

ทุกคนพยักหน้ารับ


ตราบใดที่ปรมาจารย์ขงยังไม่ได้เป็นเทพเจ้า พละกำลังที่พวกเขามีก็พอจะทำให้ต่อสู้กับอีกฝ่ายได้ ปรมาจารย์ขงคงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม


เพียงแต่แผนการนี้มีจุดอ่อนที่เห็นได้ชัดเจน


หลังจากได้รับรังสีสวรรค์แล้ว ขั้นตอนต่อไปของปรมาจารย์ขงก็คือหาที่เหมาะๆที่ไม่มีใครตามตัวเขาเจอ และตั้งต้นฝึกฝนวรยุทธ ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะทิ้งเงื่อนงำใดๆที่นำไปสู่ตัวเขา เป็นไปได้ว่าต่อให้บริวารที่เขาไว้วางใจที่สุดก็คงไม่รู้ว่าตอนนี้ปรมาจารย์ขงกบดานอยู่ที่ไหน


จางเซวียนนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ข้อสอง เราต้องยกระดับพละกำลังของตัวเองให้สูงพอที่จะรับมือกับเทพเจ้า นั่นคือวิธีเดียวที่จะต่อสู้กับอันตรายที่รอเราอยู่…”


หากพวกเขาตามตัวปรมาจารย์ขงไม่เจอและไม่อาจนำรังสีสวรรค์กลับคืนมาได้ หนทางเดียวที่มีก็คือยกระดับการป้องกันตัว


ถ้าพวกเขาสามารถติดตั้งค่ายกลที่มีประสิทธิภาพระดับที่แม้เทพเจ้าก็ไม่อาจหนีรอด จางเซวียนอาจสังหารปรมาจารย์ขงได้ด้วยหน้าหนังสือสีทองที่เขามีอยู่ และคงกำจัดภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากอีกฝ่ายได้สำเร็จ


แต่หน้าหนังสือสีทองจะทรงพลังพอที่จะสังหารเทพเจ้าหรือเปล่า?


จางเซวียนก็ยังไม่แน่ใจ


แน่นอนว่าหน้าหนังสือสีทองเป็นอาวุธที่ทรงพลังและเคยช่วยชีวิตเขาไว้หลายครั้ง แต่ประสิทธิภาพของมันก็ดูจะขึ้นกับพละกำลังของสรวงสวรรค์ในโลกที่เขาพำนักอยู่


เรื่องนี้เหมือนกับการที่สรวงสวรรค์ของทวีปแห่งปรมาจารย์ไม่อาจสังหารเขาได้อีกต่อไป อย่างมากที่สุดก็ทำได้แค่ขับเขาให้พ้นจากโลกใบนั้น


หอสมุดเทียบฟ้าในเวลานี้ก็ได้รับพละกำลังจากสรวงสวรรค์ของมิติเบื้องบน ซึ่งหมายความว่าหน้าหนังสือสีทองสามารถเล่นงานนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์คนไหนก็ตามได้อย่างง่ายดาย แต่หากคู่ต่อสู้เป็นเทพเจ้า เป็นผู้ที่อยู่เหนือกว่ามิติเบื้องบน…โอกาสของการประสบความสำเร็จก็มีน้อยมาก


เหตุผลที่เขาสังหารเทพเจ้าที่ลงมาจากมิติเบื้องบนในครั้งนั้นได้อย่างง่ายดายก็เพราะอีกฝ่ายเป็นแค่นักรบระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 4 นั่นคือวรยุทธระดับสูงสุดที่นักรบในทวีปแห่งปรมาจารย์ได้รับอนุญาตให้เข้าถึง วรยุทธขั้นสูงกว่านั้นถือว่าเป็นไปไม่ได้


แต่แน่นอนว่านี่เป็นแค่การคาดเดาของเขา คงจะดีที่สุดถ้าหน้าหนังสือสีทองใช้การได้ แต่เขาก็ไม่คิดจะเดิมพันทุกอย่างด้วยความหวังเดียว


จางเซวียนไม่ชอบฝากชีวิตของเขาไว้กับโชคชะตา


ที่สำคัญกว่านั้น ปรมาจารย์ขงรู้เรื่องมลทินสวรรค์ของเขา จึงมีโอกาสที่อีกฝ่ายจะรู้ว่าเขามีไม้ตายชนิดไหน ถ้าปรมาจารย์ขงทุ่มสุดตัวเพื่อรับมือกับมัน จางเซวียนก็ไม่แน่ใจว่าจะใช้หน้าหนังสือสีทองได้อย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่หรือเปล่า


ถ้าไม่ใช่เพราะคิดแบบนี้ จางเซวียนคงใช้หน้าหนังสือสีทองไปแล้วเมื่อตอนที่ปะทะกับปรมาจารย์ขงนอกหอเทพเจ้า ตอนนั้นเขายั้งมือไว้เพราะเพราะปรมาจารย์ขงอยู่ไกล ซึ่งจะลดทอนโอกาสของการประสบความสำเร็จให้น้อยลงมาก


“ยกระดับพละกำลัง? เรื่องนั้นไม่ง่ายเลย แต่ผมคิดว่าเป็นไปได้ถ้าท่านอาจารย์สามารถเข้าถึงระดับเทพเจ้า ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็น่าจะรับมือกับหัวหน้าขงได้!” หานเจี้ยนชิวพูด


คำพูดนั้นทำให้จางเซวียนยิ้มเจื่อนๆ


เขาไม่มีรังสีสวรรค์อยู่กับตัว อีกทั้งไม่มีเทคนิควรยุทธที่เหมาะสมสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธด้วย


เขาเพิ่งเป็นนักรบขั้นกี่งสรวงสวรรค์ได้เพียงวันเดียวหลังจากทำความเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง คงต้องใช้เวลาสักระยะกว่าจะฝ่าด่านวรยุทธได้อีกครั้ง


“ท่านอาจารย์ คุณบอกว่าคุณช่วยชีวิตหัวหน้าตู้ไว้ไม่ใช่หรือ ทำไมผมไม่เห็นเธอเลย เธอพอมีความรู้เรื่องเทพเจ้าอยู่บ้าง น่าจะพอมีหนทาง” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนพูด


“อ้อ ผมลืมไป!” จางเซวียนตาโตเมื่อนึกได้


พริบตาต่อมา ตู้ชิงหย่วนก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน


จางเซวียนมัวกังวลกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าจนลืมนำตัวตู้ชิงหย่วนออกจากมิติลี้ลับ


“คารวะหัวหน้าตู้!”


หานเจี้ยนชิวเล่าปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่อย่างรวบรัดก่อนจะตั้งคำถาม “หัวหน้าตู้ คุณพอ มีหนทางอื่นที่จะทำให้นักรบสักคนกลายเป็นเทพเจ้าไหม นอกเหนือจากการใช้รังสีสวรรค์?”


“ถ้าตำหนักคว้าดาวมีความรู้เรื่องนั้น คงมีเทพเจ้าในหมู่พวกเราไปนานแล้ว” ตู้ชิงหย่วนตอบสั้นๆ


ได้ฟังคำตอบของเธอ ทุกคนมีสีหน้ากระอักกระอ่วน


ก็จริง ถ้ามีหนทางอื่นในการเข้าถึงระดับเทพเจ้า เหล่าอัจฉริยะของตำหนักคว้าดาวคงทำไปนานแล้ว พวกเขาคงไม่ต้องจนปัญญาเมื่อเผชิญหน้ากับหัวหน้าขง


“นี่เราไม่มีหวังเลยหรือ?” หานเจี้ยนชิวตั้งคำถามอย่างร้อนใจ นัยน์ตาแดงก่ำ


นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์คนใหม่ปรากฏตัวขึ้นใน 4 สำนักใหญ่ และจำนวนของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากการถ่ายทอดแก่นสารของเจตจำนงของเทพเจ้าจากจางเซวียน ทุกคนคิดว่าสิ่งนี้จะนำพายุคสมัยแห่งความรุ่งเรืองให้มาถึงอีกครั้ง เพราะบรรดานักรบพัฒนาตัวเองจนยิ่งใหญ่กว่าเดิม แต่ถ้าพวกเขารับมือกับหัวหน้าขงไม่สำเร็จ…ทุกอย่างจะกลายเป็นแค่ประวัติศาสตร์


“ไม่มีวิธีไหนที่ทำได้หรอก เว้นเสียแต่…”


ตู้ชิงหย่วนหยุดพูดไปครู่หนึ่งขณะพลันเกิดความคิดบางอย่าง


“เว้นเสียแต่อะไร?”


ตู้ชิงหย่วนมีสีหน้าลังเล ก่อนในที่สุดจะพูดขึ้น “ถ้าเราพบต้นกำเนิดของบรรยากาศเสื่อมถอยในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย ก็มีโอกาสที่จะได้รังสีสวรรค์บางส่วนมา”


“ต้นกำเนิดของบรรยากาศเสื่อมถอย เอามาทำอะไรได้?” จางเซวียนตั้งคำถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


เขาเคยเข้าสู่เมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายมาแล้วครั้งหนึ่ง รู้ดีว่าบรรยากาศเสื่อมถอยที่นั่นน่าสะพรึงแค่ไหน ขนาดพลังปราณเทียบฟ้าของเขาก็ยังกำจัดมันไม่ได้ทั้งหมด สิ่งเดียวที่ยับยั้งมันได้คือซุปไก่ของไก่น้อย


มันคือพละกำลังที่แม้แต่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ก็ไม่อาจขับมันออกจากร่างกายของพวกเขาได้ ถ้าตอนนั้นจางเซวียนไม่อยู่ เจียงเหยาคงกลายเป็นศพไปนานแล้ว…


ทำไมตู้ชิงหย่วนถึงอยากให้เขาแกะรอยไปสู่ต้นกำเนิดของบรรยากาศเสื่อมถอย?


“ตำนานกล่าวไว้ว่าเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายไม่ใช่เมืองดั้งเดิมของทวีปที่ถูกลืม…แท้ที่จริงแล้ว มันเป็นเมืองที่ถูกขับออกจากสรวงสวรรค์ มีศพของเทพเจ้ามากมายฝังอยู่ในนั้น!” ตู้ชิงหย่วนตอบ


“เมืองที่ถูกขับออกจากสรวงสวรรค์?” จางเซวียนถึงกับผงะ


หานเจี้ยนชิวกับคนอื่นๆก็ชะงัก นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้รู้เรื่องนี้


ตลอดเวลาที่ผ่านมา เมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับนักรบทั่วไป ไม่มีใครคาดถึงว่าแท้ที่จริงแล้วมันคือเมืองจากสรวงสวรรค์!


“ว่ากันว่าเมืองนั้นถูกขับออกจากสรวงสวรรค์ตั้งแต่หลายพันปีก่อน ในครั้งนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนพากันเข้าขุดค้นซากปรักหักพัง หวังว่าจะพบทรัพย์สมบัติของเทพเจ้า แต่คุณคงพอคาดเดาได้นะ ทุกคนตายหมด” ตู้ชิงหย่วนพูด


“ในทวีปที่ถูกลืม ไม่มีใครแล้วที่รู้ว่าต้นกำเนิดที่แท้จริงของเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายมาจากไหน ฉันก็บังเอิญได้ยินจากที่เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณพูด…”


“เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ?” จางเซวียนตัวเกร็งขึ้นเล็กน้อย


“ใช่ เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณเงียบไปครู่ใหญ่ตอนที่เธอได้ฟังเรื่องของเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายในทวีปที่ถูกลืมเป็นครั้งแรก จากนั้น เธอก็เปรยว่าเมืองนั้นถูกขับออกจากสรวงสวรรค์เพราะที่นั่นเกิดสงคราม เทพเจ้ามากมายต้องสังเวยชีวิต เธอยังอธิบายด้วยว่าบรรยากาศของการเสื่อมถอยคือผลพวงของรังสีสวรรค์ที่ศพเน่าเปื่อยของเหล่าเทพเจ้าปลดปล่อยออกมา รังสีนั้นทำปฏิกิริยากับสภาพแวดล้อมของทวีปที่ถูกลืม เกิดเป็นหายนะ ถ้าเราแกะรอยไปถึงต้นกำเนิดของบรรยากาศของการเสื่อมถอยได้ ก็น่าจะพบรังสีสวรรค์ที่สามารถนำมาใช้เพื่อการฝ่าด่านวรยุทธ” ตู้ชิงหย่วนพูด


“เพราะฉะนั้น คุณกำลังจะบอกว่านั่นคือรังสีสวรรค์เหมือนกันใช่ไหม?”


จางเซวียนนำเศษเสี้ยวของบรรยากาศของการเสื่อมถอยที่เขาเก็บไว้ในขวดหยกออกมาพิจารณา จากนั้นก็ตั้งข้อสังเกตอย่างตื่นเต้น


เขาเก็บบรรยากาศของการเสื่อมถอยไว้ส่วนหนึ่งเมื่อครั้งที่เข้าสู่เมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย ทั้งยังใช้มันสังหารนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์จากหอเทพเจ้า


ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้เขาจะรู้สึกว่ามันแปลกประหลาดที่มีบางอย่างในมิติที่ถูกลืมที่แม้แต่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ก็ไม่อาจรับมือกับมันได้ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพราะถึงอย่างไร บางครั้งธรรมชาติก็พิสดารพันลึกอย่างเหลือเชื่ออยู่แล้ว แต่ถ้าสิ่งที่ตู้ชิงหย่วนพูดมาเป็นความจริง ทุกอย่างก็จะลงตัว


เป็นความจริงที่รู้กันดีว่านักรบจะหมดสภาพทันทีที่ซึมซับบรรยากาศของการเสื่อมถอยเข้าสู่ร่างกาย และไม่มียาชนิดไหนรักษาได้ ต่อให้พลังปราณเทียบฟ้าของจางเซวียนที่มีอานุภาพครอบจักรวาล ก็ยังไม่อาจชำระล้างบรรยากาศของการเสื่อมถอยได้อย่างหมดจด


เพียงเท่านี้ก็ชัดเจนแล้วว่าบรรยากาศของการเสื่อมถอยเป็นบางอย่างที่เหนือชั้นกว่าระดับของมิติเบื้องบน ดังนั้น จึงฟังดูสมเหตุสมผลดีที่มันจะมีต้นกำเนิดที่แท้จริงจากรังสีสวรรค์


มีแต่เทพเจ้าเท่านั้นที่สามารถกำจัดนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์-สรวงสวรรค์ได้โดยอีกฝ่ายไม่มีทางสู้


“นี่คือเรื่องที่ฉันบังเอิญได้ฟังจากเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ จึงไม่อาจยืนยันความถูกต้อง ต่อให้มันเป็นเรื่องจริง ก็มีโอกาสที่ต้นกำเนิดของบรรยากาศเสื่อมถอยจะถูกทำลายไปแล้ว อีกอย่าง ฉันเชื่อว่าพวกคุณทุกคนคงรู้ดีว่าบรรยากาศของการเสื่อมถอยนั้นน่าสะพรึงแค่ไหน สัมผัสมันเพียงน้อยนิดก็อาจจบชีวิตได้แล้ว…นี่คือเหตุผลที่ฉันไม่อาจยืนยันความถูกต้องได้เมื่อได้รับข้อมูลมาเพียงส่วนเดียว”


ตู้ชิงหย่วนพูด


“ผมเชื่อลั่วชิง ถ้าเรื่องนี้ออกจากปากของเธอ ก็มีโอกาสสูงที่จะเป็นความจริง” จางเซวียนพูดขึ้น


ลำพังแค่ความจริงที่ว่ามีบางอย่างแปลกๆเกี่ยวกับบรรยากาศเสื่อมถอยยังไม่หนักแน่นพอจะยืนยันได้ว่าต้นกำเนิดของมันคือรังสีสวรรค์ แต่เขารู้จักนิสัยของลั่วชิงดี เธอไม่ใช่คนชนิดที่จะพูดอะไรออกมาทั้งที่ยังไม่แน่ใจ น่าจะต้องมีหลักฐานสนับสนุนคำกล่าวอ้างของเธอ


ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็คุ้มค่าหากจะเสาะหาต้นกำเนิดของบรรยากาศเสื่อมถอย


“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ผมจะเดินทางเข้าสู่เมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายพร้อมกับหัวหน้าตู้ ส่วนพวกคุณที่เหลือ ผมขอมอบหมายภาระสำคัญ คือเตรียมการสู้รบครั้งสุดท้ายในกรณีที่พวกเราล้มเหลว” จางเซวียนสั่งการ


แม้จะเสี่ยง แต่นี่ก็เป็นการเดินทางที่พวกเขาต้องไป


จางเซวียนไม่ได้ทำแบบนี้เพียงเพื่อจะได้รับมือกับปรมาจารย์ขง ที่สำคัญกว่าก็คือเขาอยากเข้าถึงระดับของเทพเจ้าให้ได้เพื่อจะได้ขึ้นสู่สรวงสวรรค์


และเมื่อถึงตอนนั้น ก็จะได้พบหลัวลั่วชิง…


ตอนที่ 2143 ผมคิดว่าเราควรลองแบบนี้…

“วางใจเถอะ ท่านอาจารย์ ทุกอย่างจะเรียบร้อยเมื่อคุณกลับมา!” หานเจี้ยนชิวประกาศชัดเจน


“ท่านอาจารย์?” หัวหน้าตู้แปลกใจกับคำเรียกขานที่หานเจี้ยนชิวใช้เรียกจางเซวียน “หานเจี้ยนชิว เมื่อครู่นี้คุณเรียกจางเซวียนว่าอะไรนะ? นี่คุณ…รับจางเซวียนเป็นอาจารย์แล้วหรือ?”


เพราะทุกคนหารือกันอย่างเคร่งเครียดทันทีที่เธอปรากฏตัว ตู้ชิงหย่วนจึงยังไม่รู้ว่าเจ้าสำนักคนอื่นๆได้ยอมรับจางเซวียนเป็นอาจารย์ของพวกเขาแล้ว


“ใช่ คุ่ยเฉี่ยว ฉิงหย่วน กับผม…ยอมรับเจ้าสำนักจางเป็นอาจารย์ของพวกเราแล้ว” หานเจี้ยนชิวตอบยิ้มๆ


ไม่เคยมีมาก่อนที่ผู้นำกลุ่มอำนาจใหญ่อย่างพวกเขาจะยอมรับชายหนุ่มที่มีอายุเพียง 20 ต้นๆเป็นอาจารย์ แต่ทุกคนก็ไม่เสียใจกับการตัดสินใจนั้น เพราะถ้าไม่ใช่คำสอนของชายหนุ่ม ทุกคนคงไม่อาจฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์-สรวงสวรรค์ได้อย่างง่ายดายแบบนี้


“พวกคุณก็เหมือนกันหรือ?” ตู้ชิงหย่วนงุนงงอย่างหนัก


ใครๆก็รู้ว่าเจ้าสำนักทั้ง 3 คือนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปที่ถูกลืม แต่กลับยอมลดเกียรติและศักดิ์ศรีลงมาเพื่อยอมรับจางเซวียนเป็นอาจารย์


เธอรู้ดีว่าจางเซวียนคนนี้มีบางอย่างที่ไม่ธรรมดา แต่หากจะให้เธอยอมรับเขาด้วย ก็ออกจะมากเกินไป


เห็นความตกตะลึงของตู้ชิงหย่วน จางเซวียนยิ้มออกมา “ผมไม่รังเกียจหรอกนะถ้าคุณจะรับผมเป็นอาจารย์”


คงจะดีที่สุดหากตู้ชิงหย่วนทำให้เขาได้หน้าหนังสือสีทองอีกสักหน้า เพราะถึงอย่างไรเขาก็แค่รับเธอเป็นศิษย์ธรรมดา ไม่ใช่ศิษย์สายตรง จึงไม่จำเป็นต้องลังเลอะไรมากมาย


“เอ่อ คงไม่ล่ะ” ตู้ชิงหย่วนชะงักกับข้อเสนอที่ได้รับอย่างกะทันหัน เธอรีบส่ายหน้าและปฏิเสธโดยไม่ลังเล แต่แล้วก็คิดได้ว่าอาจเป็นการแสดงกิริยาไม่สุภาพ จึงรีบเสริม “ขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจ”


ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอเองก็หวั่นไหวเล็กน้อยกับข้อเสนอนั้น เธอรู้ดีว่าจางเซวียนคือคนรักของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ และไม่สงสัยเลยว่าในอนาคตเขาจะต้องประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่แน่


เพียงแต่เธอรับไม่ได้ที่จะต้องยอมรับใครสักคนที่อายุน้อยกว่าเธอมากมายเป็นท่านอาจารย์


“ไม่เป็นไร ออกเดินทางสู่เมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายกันเถอะ”


จางเซวียนรู้ดีว่าหน้าหนังสือสีทองไม่มีทางปรากฏหากตู้ชิงหย่วนไม่เต็มใจ จึงไม่เซ้าซี้ เขาออกเดินทาง มุ่งหน้าสู่เมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย มีตู้ชิงหย่วนตามไปติดๆ


หลังจากทำความเข้าใจเวทนาสวรรค์แล้ว ความเร็วของจางเซวียนก็เร็วกว่าแต่ก่อนมาก คราวที่แล้วเขาใช้เวลาราวครึ่งวันกว่าจะถึงทะเลทรายที่อยู่เหนือเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย แต่คราวนี้ใช้เวลาเพียง 4 ชั่วโมง


ไม่ช้าจางเซวียนก็พบทางเข้าและมุดลงไปใต้ผืนทราย


เขาเดินตามรอยเท้าของตัวเองไป ในที่สุดก็มาถึงบริเวณที่เคยช่วยชีวิตเจียงเหยาไว้


ตู้ชิงหย่วนมองไปรอบๆก่อนจะตั้งข้อสังเกต “ไม่ใช่ที่นี่หรอก เราต้องหาศูนย์กลางของเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายให้เจอ”


อันที่จริง เธอไม่เคยเข้าสู่เมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายมาก่อน แต่เหล่าบรรพบุรุษของตำหนักคว้าดาวเคยมาที่นี่ และคนเหล่านั้นก็บันทึกเรื่องราวการเดินทางและการสำรวจของพวกเขาไว้ ด้วยบันทึกนี้ เจียงเหยาจึงสามารถล่อฟู่เฉิงสื่อกับคนอื่นๆให้มาติดกับและเกือบสังหารคนเหล่านั้นได้สำเร็จ


ทั้งสองเดินหน้าต่อไป


ด้วยพละกำลังอันเหนือชั้นของเขา จางเซวียนรับมือกับอสูรเสื่อมถอยที่ขวางทางอยู่ได้อย่างง่ายดาย ตลอดเส้นทางที่เดินไป ไม่มีสิ่งใดทำอันตรายเขาได้อีก


ตู้ชิงหย่วนที่ตามหลังชายหนุ่มไปติดๆออกจะลังเลเล็กน้อยกับภาพของชายหนุ่มที่รับมือกับสิ่งมีชีวิตพิลึกพิลั่นเหล่านั้นได้สบาย ซึ่งตัวเธอไม่เคยแม้แต่จะกล้าเข้าใกล้มัน


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอได้เห็นพละกำลังของจางเซวียนกับตา แต่ก็ยังอัศจรรย์ใจกับความทรงพลังของเขา เธออดสงสัยไม่ได้ว่าเขาฝึกฝนวรยุทธจนแข็งแกร่งขนาดนี้ภายในระยะเวลาอันสั้นได้อย่างไร


ทั้งคู่สำรวจพื้นที่ต่อไปอีกราว 2 ชั่วโมง แต่ก็ไม่พบสิ่งที่กำลังตามหา


รู้ดีว่าคงเสียเวลาเปล่าหากสำรวจเมืองใหญ่ขนาดนี้โดยไร้จุดหมาย ในที่สุดจางเซวียนก็หยุด “มัวทำแบบนี้ เราหาต้นกำเนิดของบรรยากาศเสื่อมถอยไม่พบหรอก”


“แล้วคุณคิดอย่างไร?” ตู้ชิงหย่วนถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


ความเข้าใจของเธอที่มีต่อสถานที่แห่งนี้ก็ถูกจำกัดอยู่แค่บันทึกของเหล่าบรรพบุรุษ จึงเป็นธรรมดาที่จะอับจนปัญญา ไม่รู้ว่าจะตามหาต้นกำเนิดของบรรยากาศการเสื่อมถอยได้อย่างไร


ไม่อย่างนั้น เธอคงไม่ปล่อยให้ตัวเองค้นหาไปทั่วอย่างสะเปะสะปะ


จางเซวียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “ผมคิดว่าเราควรลองแบบนี้…”


ฟึ่บ!


ตัวโคลนปรากฏตรงหน้าเขา


ด้วยพละกำลังของเขาในตอนนี้ ไม่น่ามีจะมีใครในมิติเบื้องบนทำร้ายเขาได้อีก ดังนั้น หากจะเปิดเผยการมีอยู่ของตัวโคลนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่


“นั่นตัวโคลนของคุณหรือ?” ตู้ชิงหย่วนถึงกับงง


เธอไม่เข้าใจว่าจางเซวียนคิดจะทำอะไร ตัวโคลนของเขามีความสามารถใดที่จะช่วยเขาได้ในสถานการณ์แบบนี้?


“ยืนนิ่งๆนะ!” จางเซวียนสั่งการขณะชักดาบถงซังออกมา จากนั้นก็ฟันฉับลงไปที่ท่อนแขนของตัวโคลนโดยไม่ลังเล


ฟิ้ววววว!


ทันทีที่ตัวโคลนได้รับบาดเจ็บ บรรยากาศของการเสื่อมถอยก็กรูเข้ามาอย่างโกรธเกรี้ยว ความเข้มข้นของมันทำให้เกิดหมอกสีเทาปกคลุมโดยรอบ


“ต้นกำเนิดของบรรยากาศเสื่อมถอยควรจะมีปริมาณของบรรยากาศเสื่อมถอยที่เข้มข้นกว่านี้” จางเซวียนอธิบายการกระทำของเขา


เมื่อเข้าใจความคิดของจางเซวียน หัวหน้าตู้ตาโตขณะอุทานอย่างตื่นเต้น “คุณพูดถูก!”


แต่แน่นอนว่าสำหรับเรื่องนั้น การพูดง่ายกว่าทำ เมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายเป็นพื้นที่ปิด และตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา บรรยากาศของการเสื่อมถอยก็ซึมซาบออกไปยังบริเวณใกล้เคียง ดังนั้น พวกเขาจึงจำเป็นต้องสำรวจบรรยากาศเสื่อมถอยในบริเวณโดยรอบด้วยกว่าจะตรวจจับความแตกต่างบางอย่างได้


“ทางนั้น!” ตู้ชิงหย่วนรีบชี้นิ้วไป


จางเซวียนพยักหน้า เขากับตัวโคลนมุ่งหน้าไป


หลังจากนั้น ทุกครั้งที่พวกเขาไม่แน่ใจ จางเซวียนก็จะใช้ดาบฟันตัวโคลนเพื่อจับทิศทาง จนเมื่อถึงครั้งที่ 8 ตัวโคลนก็แทบระเบิดด้วยความโมโห แต่โชคดีที่วิหารเก่าแก่แห่งหนึ่งปรากฏตรงหน้าพวกเขาเสียก่อน


แม้จะถูกทำลายจนแทบจะเหลือแต่เศษซาก แต่วิหารแห่งนี้ก็ยังมีอาณาบริเวณทอดยาวออกไปมากกว่า 10 ลี้ ทำให้ยากจะจินตนาการได้ว่ามันเคยโอ่อ่าอลังการแค่ไหนก่อนจะถูกทำลาย ด้วยฤทธิ์กัดกร่อนของบรรยากาศเสื่อมถอย เศษอิฐหินปูนทรายที่กระจัดกระจายจึงมีความมืดมิดชั้นบางๆปกคลุมอยู่


พื้นที่นั้นแห้งแล้งและว่างเปล่า ไม่มีสีเขียวให้เห็นแม้แต่น้อย ลมรุนแรงเกรี้ยวกราดพัดมาเป็นระยะ ทำให้ทุกคนตัวสั่นด้วยความขยะแขยง


“ที่นี่หรือ?” ตู้ชิงหย่วนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย


ด้วยธรรมชาติอันแปลกประหลาดพิสดารของบรรยากาศเสื่อมถอย น่าจะมีพืชพิเศษบางชนิดที่งอกงามได้ในภูมิอากาศแบบนี้ ไม่อยากเชื่อเลยว่าต้นกำเนิดของบรรยากาศเสื่อมถอยจะอยู่ในสถานที่แห้งแล้งว่างเปล่าอย่างที่เห็น


“น่าจะเป็นที่นี่แหละ…” จางเซวียนตอบ


จนถึงตอนนี้ บาดแผลบนร่างของตัวโคลนก็ยังมีเลือดไหลอยู่ ด้วยความเข้มข้นของบรรยากาศเสื่อมถอยที่รู้สึกได้ พวกเขาน่าจะอยู่ที่ต้นกำเนิดของมันแล้ว ไม่มีสถานที่อื่นใดในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายที่จะให้ความรู้สึกไม่สบายตัวเท่ากับที่นี่


“เราควรรีบค้นหานะ” ตู้ชิงหย่วนไม่อยากอยู่ตรงนี้ให้นานเกินไป เธอรีบสำรวจซากปรักหักพังอย่างถี่ถ้วน เกรงว่าจะพลาดรายละเอียดปลีกย่อย


แต่จางเซวียนดูจะไม่รีบร้อน เขาสบตากับตัวโคลนขณะสำรวจบริเวณโดยรอบอย่างละเอียด


ครู่ต่อมา พวกเขาก็เดินไปถึงพื้นที่ที่มีแต่ซากปรักหักพัง


จางเซวียนยกมือขึ้น ด้วยคลื่นทรงพลังจากฝ่ามือของเขา เศษซากปรักหักพังบนพื้นถูกกวาดออกไปด้านข้าง เผยให้เห็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อ


รอยแยกดำมืดพาดผ่านพื้นที่นั้น บ่งบอกถึงร่องรอยของพละกำลังทำลายล้างที่เคยเกิดขึ้น


จางเซวียนชักดาบถงซังและตัดก้อนหินที่พื้นออกมาเสี้ยวหนึ่ง เขาพิจารณาหินก้อนนั้นอย่างถี่ถ้วน และเห็นว่าแม้แต่ด้านในของมันก็ถูกฉาบด้วยความมืดมิด ผิวหน้าของมันเปล่งประกายแปลกประหลาดออกมา ให้ความรู้สึกราวกับมีอสูรตัวหนึ่งกำลังจับจ้องและพร้อมจะกลืนกินจิตวิญญาณของอีกฝ่ายหากจ้องมันนานเกินไป


จางเซวียนใช้นิ้วแตะก้อนหินอย่างระมัดระวัง


วิ้งงงง!


หนังสือเล่มหนึ่งถูกประมวลขึ้นในหอสมุดเทียบฟ้า


“หินโลหิตเทพเจ้า ก่อตัวขึ้นจากการซึมซับโลหิตของเทพเจ้า…”


นี่คือคำอธิบายส่วนหนึ่งที่ปรากฏในหนังสือ


“เรามาถูกที่แล้ว…” จางเซวียนพยักหน้าก่อนจะเริ่มย่นหน้าผาก


ครั้งแรกที่พบก้อนหิน เขารู้สึกคุ้นตากับมันอย่างน่าประหลาด เพียงแต่สีสันของมันผิดเพี้ยนไป จึงตัดมันออกมาเสี้ยวหนึ่งเพื่อใช้หอสมุดเทียบฟ้าตรวจสอบ และมันก็ยืนยันความคิดของเขา


ถ้านี่คือหินโลหิตเทพเจ้า รอยแยกสีดำบนพื้นดินก็น่าจะเกิดจากการไหลของโลหิตเทพเจ้า


แต่ข้อสงสัยเดียวของเขาก็คือ…ทำไมหินโลหิตเทพเจ้าก้อนนี้ถึงดูหยาบและเทอะทะ ราวกับไม่เคยผ่านการขัดเกลา มันไม่เหมือนกับหินโลหิตเทพเจ้าที่เกิดจากเลือดของหลัวลั่วชิง


หรือว่าหินโลหิตเทพเจ้าก็มีระดับขั้น?


จางเซวียนสะบัดข้อมือ เขานำหินโลหิตเทพเจ้าที่ได้จากทะเลพลัดดาวออกมาเปรียบเทียบกัน ความแตกต่างนั้นราวกับนำหินฝนหมึกมาเทียบกับอัญมณี


ทั้ง 2 ก้อนทำจากวัตถุเดียวกัน แต่หน้าตาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หากไม่พิจารณาอย่างถี่ถ้วน ก็ไม่มีทางรู้เลยว่าแท้ที่จริงคือสิ่งเดียวกัน!


“หินโลหิตเทพเจ้าก่อตัวขึ้นเมื่อโลหิตเทพเจ้าซึมซาบเข้าสู่ก้อนหิน ซึ่งหากเป็นอย่างนั้น…ศพของเทพเจ้าก็น่าจะอยู่แถวนี้”


จางเซวียนลุกขึ้นยืน เขากวัดแกว่งดาบถงซังจนเศษซากปรักหักพังบริเวณนั้นถูกกวาดไปด้านข้าง บนพื้นที่ว่างนั้น เขาพบก้อนหินอีกจำนวนหนึ่งที่มีหน้าตาเหมือนกันกับหินโลหิตเทพเจ้าสีดำ


พูดอีกอย่างก็คือ โลหิตเทพเจ้าซึมซาบไปทั่วทั้งบริเวณ


“หัวหน้าตู้!” จางเซวียนร้องเรียก


ตู้ชิงหย่วนรีบบินเข้ามา


เธอเองก็ไม่พบอะไรมากนักจากการสำรวจ


“คุณพบมันแล้วหรือ?”


“ยังหรอก แต่ผมคิดว่าร่องรอยสีดำพวกนี้น่าจะเป็นเงื่อนงำที่บอกเราได้ว่าศพของเทพเจ้าอยู่ไหน…” จางเซวียนพูดขณะชี้นิ้วไปที่พื้นดิน


ตู้ชิงหย่วนมองตาม


รอยแยกสีดำเหล่านั้นดูจะมีบางอย่างแปลกๆ ดูเหมือนพวกมันจะเก็บงำความลึกลับบางอย่างไว้ เมื่อมองดูใกล้ๆ ก็ไม่ต่างกับอักษรจารึกที่ปรากฏบนโขดหินสมอสวรรค์


หลังจากขมวดคิ้วและมองไปรอบๆได้ครู่หนึ่ง ตู้ชิงหย่วนก็ตาโตและอุทานออกมา “มันดูเหมือน…พิธีกรรม!”


ตอนที่ 2144 ระวังตัวด้วย!

“พิธีกรรม?”


“ฉันเชื่อว่าอักษรจารึกพวกนี้ถูกจารึกด้วยเลือดสดๆ เป็นไปได้ว่าเมืองนี้ถูกขับออกจากสรวงสวรรค์ตอนที่พวกเขากำลังอยู่ระหว่างการประกอบพิธีกรรมขนาดใหญ่” ตู้ชิงหย่วนแจกแจงการวิเคราะห์ของเธอด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“ฮะ…” จางเซวียนใจเต้นตึกตัก


โดยทั่วไป การประกอบพิธีกรรมจะใช้ของล้ำค่าและทรัพย์สมบัติต่างๆเป็นเครื่องบรรณาการ แต่พิธีกรรมบางอย่างที่โหดร้ายจะต้องใช้ชีวิตผู้คนและเลือดสดๆ ถึงจะดำเนินการได้สำเร็จ


ในครั้งนั้น อำมาตย์เฉินหลิงสังหารลูกน้องของเขาไปกว่าแสนคนเพื่อเรียกเทพเจ้าจากมิติเบื้องบนลงมาให้ช่วยเยียวยาอาการบาดเจ็บของเขา


หรือว่า…ใครสักคนกำลังพยายามทำแบบนั้น?


คงจะง่ายเกินไปหากสรุปว่าเหตุการณ์ที่เมืองนี้ถูกขับเกิดขึ้นโดยบังเอิญระหว่างการประกอบพิธีกรรม เป็นไปได้ว่าทั้งเมืองน่าจะถูกสรวงสวรรค์ปฏิเสธหลังจากจับได้ว่าพวกเขาประกอบพิธีกรรมอันโหดเหี้ยม


แต่พิธีกรรมที่ใช้การสังเวยชีวิตย่อมมีพละกำลังมาก ยากจะจินตนาการได้ว่าต้องใช้พลังมากมายมหาศาลขนาดไหนถึงขับทั้งเมืองออกจากสรวงสวรรค์ในระหว่างการประกอบพิธีกรรมได้


“ขอแค่เราเจอจุดศูนย์กลางของพิธีกรรม ก็น่าจะพบต้นกำเนิดของบรรยากาศเสื่อมถอย” ตู้ชิงหย่วนพูด


เธอใช้พลังปราณกวาดเศษอิฐหินดินทรายที่อยู่ในรัศมี 100 เมตร เผยให้เห็นประตูสีดำขนาดใหญ่อยู่ด้านล่าง


“ประตูนี้อยู่บริเวณใจกลางของอักษรจารึก เข้าไปดูข้างในกันเถอะ” ตู้ชิงหย่วนพูดขณะเดินตรงไปผลักประตู


เธอกำลังจะเข้าไป แต่จู่ๆจางเซวียนก็ห้ามไว้


เขาสูดหายใจลึกและเดินเข้าไปก่อน


ดูเหมือนวิหารนี้จะกินพื้นที่บริเวณใต้ดินด้วย ทุกอย่างที่อยู่ด้านบนพังทลายไปหมดแล้ว แต่พื้นที่ด้านล่างยังอยู่ในสภาพดีตลอดหลายปีที่ผ่านมา บ่งบอกว่ามันถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา


ฟิ้ววววว!


ทันทีที่เข้าไป จางเซวียนพลันรู้สึกถึงกระแสดาบฉีนับไม่ถ้วนที่พุ่งเข้าใส่ เขากวัดแกว่งดาบถงซังอย่างว่องไว ปัดป้องกระแสดาบฉีโดยรอบออกไปได้ทั้งหมด


หัวใจเส้นด้ายสอดประสานพันปม!


รู้ดีว่ามีอันตรายมากมายอยู่ในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย จางเซวียนจึงไม่ยั้งมือ


พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!


ร่างสีดำจำนวนหนึ่งเลือนหาย กลายเป็นเงามืด


“พวกมันคืออสูรเสื่อมถอยเช่นกัน แต่ดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าที่เราเคยเจอด้านบน…” ตู้ชิงหย่วนตั้งข้อสังเกตด้วยเสียงแหบพร่า


จางเซวียนพยักหน้า


อสูรเสื่อมถอยเหล่านี้ไม่ต่างจากลำแสงที่อ้อยอิ่งอยู่ในความมืดยามค่ำคืน พร้อมจะงาบเหยื่อที่กล้าเข้ามาในอาณาบริเวณของพวกมัน


ตลอดทางที่ผ่านมา จางเซวียนสังหารอสูรเสื่อมถอยไปแล้วมากมาย ซึ่งพวกมันมีวรยุทธแค่อมตะขั้นสูง แต่ก็น่าประหลาดใจที่กลุ่มที่เขาเพิ่งเจอมีวรยุทธถึงขั้นกึ่งสรวงสวรรค์


ถ้าเป็นคนอื่น คงไม่อาจเอาชีวิตรอดได้ตั้งแต่การโจมตีครั้งแรก ทั้งร่างคงสูญสลายจนเหลือแต่กระดูก


“ดูเหมือนบรรยากาศเสื่อมถอยจะมาจากที่นั่น…” ตู้ชิงหย่วนชี้นิ้วไปอย่างร้อนใจ


จางเซวียนมองตาม เขาเห็นรอยแยกสีดำรวมตัวกันที่บริเวณใจกลางห้องใต้ดิน


จางเซวียนเดินหน้าเข้าไปอย่างระมัดระวัง


มีแท่นบูชาขนาดเล็กอยู่เหนือบริเวณที่เป็นต้นกำเนิดของรอยแยกสีดำเหล่านั้น


“เอ่อ…” จางเซวียนชะงัก


แม้มันจะมีขนาดเล็ก แท่นบูชาอันนี้ก็ไม่ต่างกับแท่นบูชาของตำหนักคว้าดาว ความแตกต่างเดียวก็คือแท่นบูชาที่อยู่ตรงหน้าดูจะมีระดับขั้นสูงกว่า


ถ้าแท่นบูชาที่หวู่เฉินใช้มาจากทวีปที่ถูกลืมและอันที่ตู้ชิงหย่วนใช้มาจากมิติเบื้องบน แท่นบูชาที่อยู่ตรงหน้าเขาก็จะต้องมาจากสรวงสวรรค์!


จางเซวียนดูไม่ออกว่ามันทำจากอะไร แต่ทั้งๆที่ถูกกลบฝังมาหลายพันปี ก็ยังดูไม่ทรุดโทรมสักนิด อันที่จริง มันแทบจะเรืองแสงออกมาเสียด้วยซ้ำ


“หรือว่า…” ตู้ชิงหย่วนกำหมัดแน่นด้วยความตื่นเต้น


มีเพียงเหตุผลเดียวที่ทำให้เมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายมีแท่นบูชาที่แทบจะเหมือนกันเป๊ะกับของล้ำค่าสำหรับการอารักขาของตำหนักคว้าดาว เรื่องนี้ออกจะทำใจให้เชื่อได้ยาก แต่หลักฐานที่เห็นอยู่ก็นำไปสู่ทิศทางนั้น


น่าจะเป็นอย่างที่เธอได้ฟังจากหัวหน้าตำหนักคว้าดาวคนก่อน เป็นไปได้ว่าประชากรบนเกาะคว้าดาวมีต้นกำเนิดจากสรวงสวรรค์จริงๆ


“สิ่งที่เขาพูดน่าจะเป็นเรื่องจริง…” จางเซวียนพยักหน้ารับ


ในตอนนั้น หลังจาก ‘ช่วยชีวิต’ เขา ปรมาจารย์ขงตัวปลอมก็อธิบายเรื่องต้นกำเนิดของทั้ง 6 สำนักใหญ่ เขาบอกไว้ว่าผู้ที่อาศัยอยู่บนเกาะคว้าดาวนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นเหล่าเทพเจ้าที่ถูกเนรเทศ


เห็นความสับสนของตู้ชิงหย่วน จางเซวียนเล่าเรื่องที่เขาได้ฟังจากปรมาจารย์ขงตัวปลอมให้เธอรับรู้


ตู้ชิงหย่วนส่ายหน้า “ข้อมูลนี้อาจถูกถ่ายทอดกันมาปากต่อปากจากหัวหน้าตำหนักแต่ละรุ่น ฉันไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเป็นจริงได้ แต่คราวนี้…”


อีก 5 สำนักใหญ่ของทวีปที่ถูกลืมต่างก็กล่าวอ้างว่าพวกเขาคือเหล่าเทพเจ้าที่ถูกเนรเทศ และเมื่อเวลาผ่านไป เรื่องโกหกเหล่านั้นก็ได้รับการเชื่อถือเป็นจริงเป็นจัง


ไม่มีทางที่จะรู้ได้ว่าเรื่องโกหกพวกนั้นแพร่กระจายออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่และเพราะอะไร แต่วันเวลาก็ล่วงเลยไปเนิ่นนานเกินกว่าจะสืบเสาะหาความจริง


แต่ตอนนี้ ทุกอย่างได้กลายเป็นข้อเท็จจริงที่เชื่อถือกันทั่วไปในทวีปที่ถูกลืม ไม่มีใครพยายามตั้งคำถามถึงความถูกต้องของมันอีก


ต่อให้จางเซวียนเปิดเผยเรื่องจริงต่อทุกคนในมิติเบื้องบน ก็คงมีผู้คนเพียงน้อยนิดที่เชื่อถือคำพูดของเขา


แต่ก็นั่นแหละ ตอนนี้เรื่องจริงไม่มีความหมายอีกต่อไป เพราะไม่มีใครในทวีปแห่งปรมาจารย์ที่สามารถเข้าถึงระดับของเทพเจ้า เรื่องโกหกเหล่านั้นจึงไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่าคำพูดที่มีไว้ปลอบประโลมจิตใจ


จางเซวียนเดินตรวจรอบๆแท่น แต่ก็ยังไม่พบอะไรผิดสังเกต เขาถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ดูเหมือนที่นี่ไม่มีอย่างอื่นนอกจากแท่นบูชา ถึงมันจะถูกวางไว้บริเวณใจกลางพิธีกรรม แต่ก็ไม่น่าจะเป็นต้นกำเนิดของบรรยากาศเสื่อมถอย”


ออกจะแปลกอยู่สักหน่อยที่บรรยากาศของการเสื่อมถอยเบาบางลงทันทีเมื่อมาถึงบริเวณรอบๆแท่นบูชา ถ้าเขาไม่รู้แน่ชัดว่าตัวเองอยู่ในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย คงเข้าใจว่าถูกส่งทะลุมิติกลับไปยังมิติเบื้องบนด้วยวิธีใดสักอย่าง


แต่ตู้ชิงหย่วนเห็นต่างกับจางเซวียน “จะต้องมีเหตุผลที่ทำให้แท่นบูชาถูกวางไว้ที่นี่ ฉันคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงทีเดียวแหละที่รังสีสวรรค์จะอยู่ตรงนี้”


“อย่างนั้นหรือ?”


“ในเมื่อแท่นบูชาอันนี้เหมือนกับที่เรามีในตำหนักคว้าดาว ฉันจะลองดูว่าจะใช้สายเลือดของฉันซึมซับมันได้หรือไม่”


ตู้ชิงหย่วนใช้กระแสดาบฉีเฉือนข้อมือของเธอก่อนจะหยดเลือดลงไปบนรอยแยกสีดำที่อยู่บริเวณรอบๆพิธีกรรม


เลือดสดๆไหลไปตามรอยแยกสีดำนั้น ไม่นานก็กลายเป็นสีแดงก่ำ หลังจากนั้น ค่ายกลก็ดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมา ลำแสงเจิดจ้าพุ่งออกไป


ครืนนนนน!


แท่นบูชาเริ่มสั่นสะท้าน


ตู้ชิงหย่วนหน้าซีด แต่ก็ยังปล่อยให้เลือดไหลเป็นทางจากข้อมือ เมื่อใช้เลือดของเธอเป็นเครื่องบรรณาการ ลำแสงนั้นเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ


เมื่อไหร่ก็ตามที่บาดแผลของเธอเริ่มแห้ง ตู้ชิงหย่วนก็จะใช้เล็บสะกิด เธอสร้างบาดแผลไว้บนข้อมือของเธอถึง 3 รอย


โชคดีที่บริเวณนี้แทบไม่มีบรรยากาศของการเสื่อมถอย ไม่อย่างนั้นเธอคงเหลือแต่กระดูกเสียก่อนที่จะได้ใช้หยดเลือด


ฟึ่บ!


ขณะที่ตู้ชิงหย่วนใกล้หมดความอดทน แท่นบูชาก็สว่างเจิดจ้าขึ้นทันที


จางเซวียนกับตู้ชิงหย่วนเกิดความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคย ก่อนจะรู้ตัวว่าถูกส่งทะลุมิติไปยังอีกพื้นที่หนึ่งที่มืดมิดกว่าเดิม


ทั่วทั้งบริเวณถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา บดบังทัศนียภาพ


“ระวังตัวด้วย!”


จางเซวียนรีบป้อนซุปไก่ขวดหนึ่งให้ตู้ชิงหย่วนพร้อมกับยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ สุดท้ายเธอก็ฟื้นตัวจากความอ่อนเพลีย


ดูเหมือนพวกเขาร่วงลงมาอยู่ในถ้ำลึก มีกลิ่นที่ไม่คุ้นเคยอบอวลอยู่ในอากาศ


“เรายังอยู่ในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายหรือเปล่า?” ตู้ชิงหย่วนตั้งคำถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


จางเซวียนตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ผมก็ไม่รู้ แต่ผมคิดว่าเราน่าจะมาถึงต้นกำเนิดของบรรยากาศเสื่อมถอยแล้วล่ะ”


เขารู้สึกได้ถึงพละกำลังมหาศาลอันน่าสะพรึงที่อบอวลอยู่ในพื้นที่มืดมิดที่พวกเขายืนอยู่


อย่าว่าแต่พละกำลังที่มีอยู่ตอนนี้ จางเซวียนรู้สึกว่าต่อให้เขากลายเป็นเทพเจ้า ก็คงรับมือกับพละกำลังระดับนี้ไม่ไหว


การที่เขารู้สึกถึงความกดดันหนักหน่วงย่อมหมายความว่ามีเทพเจ้าตัวจริงซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางความมืดมิดแห่งนี้ เหมือนกับที่พวกเขาเคยรู้มาก่อน


“ผมหิว ผมหิว ผมอยากกิน…” เสียงเล็กๆดังก้องในหัวของจางเซวียน


มันคือไก่น้อย


“หุบปากเถอะ” จางเซวียนตอบด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด


พวกเขากำลังยืนอยู่ตรงหน้าอะไรสักอย่างที่แสนจะน่าพรั่นพรึง แต่ทั้งหมดที่ไก่น้อยตัวนี้คิดได้คือเรื่องกิน…จะมีอะไรน่าเบื่อน่ารำคาญกว่านี้ได้อีกไหม?


เขาไม่เคยพบเทพเจ้าตัวจริงมาก่อน แต่แม้คนระดับไอ้โหดก็ยังฟื้นคืนชีพได้หลังจากถูกสังหารไปแล้ว ไม่ว่าสิ่งที่รอคอยอยู่ในความมืดแห่งนี้จะตายไปแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่ อีกฝ่ายก็คือผู้ที่เก่งกาจขนาดที่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อย่างตัวเขาก็ไม่อาจเอาชนะได้


“แต่ผมหิวนี่…” ไก่น้อยร่ำร้อง


“กินยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์พวกนี้รองท้องไปก่อน” จางเซวียนพูดขณะโยนยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ขวดหนึ่งเข้าไปในกระสอบอสูร


ไก่น้อยเดินเตาะแตะเข้ามาอย่างดีอกดีใจ ก่อนจะเก็บมันไป


เมื่อเห็นว่าตอนนี้ไก่น้อยคงไม่วุ่นวายแล้ว จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินลึกเข้าไปพร้อมกับตู้ชิงหย่วน


ป้ายหินฝังศพขนาดใหญ่ปรากฏตรงหน้า


มีถ้อยคำจารึกอยู่บนนั้น มันแผ่รังสีสง่างามออกมา ทำให้ผู้พบเห็นไม่กล้าเดินเข้าไป


จางเซวียนตั้งต้นพิจารณาป้ายหินฝังศพ


อักษรจารึกบนป้ายหินฝังศพนั้นเหมือนกับที่สะพานเบื้องบน ทำให้แทบไม่เข้าใจความหมายของมัน


“นะ-นี่…”


ตู้ชิงหย่วนที่อยู่ข้างตัวเขาสั่นสะท้านขึ้นมาทันที


“คุณอ่านคำพวกนี้ออกหรือ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


ตู้ชิงหย่วนพยักหน้า สีหน้าซีดเผือด เสียงของเธอสั่นเครือ “มันอ่านว่า…หลุมฝังศพของราชันย์ผู้ไม่มีวันตาย!”


“หลุมฝังศพของราชันย์ผู้ไม่มีวันตาย?” จางเซวียนผงะ


“ว่ากันว่าเขาคือผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงพลังที่สุดคนหนึ่งของสรวงสวรรค์ อยู่คู่สรวงสวรรค์กับโลก เขาคือผู้ที่ไม่มีใครสังหารเขาได้ ว่าแต่…เขาตายแล้วจริงๆหรือ?” ตู้ชิงหย่วนแทบไม่เชื่อ


“อยู่คู่สรวงสวรรค์กับโลก?” จางเซวียนหรี่ตา


เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่ตู้ชิงหย่วนพูดเป็นความจริงหรือไม่ แต่ลำพังแค่ชื่อของอีกฝ่าย ‘ราชันย์ผู้ไม่มีวันตาย’ ก็บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งและความเก่งกาจของเขาแล้ว


แล้วชายผู้ได้รับการขนานนามว่า ‘ไม่มีวันตาย’ ต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่…


เกิดอะไรขึ้นกับเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายกันแน่?


ตอนที่ 2145 คืนผมมานะ!

“ใครกันที่บังอาจบุกเข้ามาที่นี่?”


จางเซวียนกำลังพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เห็นตรงหน้า ก็พอดีกับที่มีเสียงห้วนๆดังขึ้นกลางอากาศ ท่ามกลางความมืดมิดอันลึกลับที่อบอวลอยู่บริเวณนั้น ร่างหนึ่งเดินเข้ามาช้าๆ


จางเซวียนกำดาบถงซังไว้แน่นขณะมองผู้ที่กำลังตรงเข้ามาอย่างหวาดระแวง


พริบตาต่อมา โครงกระดูกสีดำก็ปรากฏต่อหน้าต่อตา


โครงกระดูกสีดำนั้นมีรูปร่างสูง สีดำสนิทเป็นประกายฉาบทั่ว มันแผ่แรงกดดันหนักหน่วงออกมา บ่งบอกถึงพละกำลังมหาศาลที่ไม่มีใครกะประมาณได้


นี่เป็นครั้งแรกที่จางเซวียนรู้สึกถูกคุกคามอย่างรุนแรง


แม้เมื่อครั้งที่เขาพบหัวใจของไอ้โหดเป็นครั้งแรกในถ้ำใต้ดิน ก็ยังไม่รู้สึกขนลุกขนพองเท่านี้เลย


“พวกเราไม่ได้จะรบกวนคุณ…” ตู้ชิงหย่วนรีบยกมือขึ้นเพื่ออธิบาย


“นี่ไม่ใช่สถานที่ที่พวกคุณควรเข้ามา แต่ในเมื่อเข้ามาแล้ว ทำไมไม่อยู่เป็นเพื่อนผมก่อน?”


โครงกระดูกสีดำลั่นกราวขณะยกมือขึ้นและชี้มาที่ทั้งคู่


พลั่ก!


พริบตาต่อมา จางเซวียนกับตู้ชิงหย่วนรู้สึกราวกับถูกโลกถล่มใส่ แรงกดดันมหาศาลถาโถมเข้าบีบพวกเขาจนทั้งร่างแทบจะแหลกเป็นผุยผง


“นี่คือความแข็งแกร่งของเทพเจ้า…” จางเซวียนนึกได้


รู้ดีว่าไม่มีเวลาให้พูดอะไร เขารีบชักดาบถงซังออกมาและสำแดงศิลปะเพลงดาบที่แข็งแกร่งที่สุด


ด้วยการปลดปล่อยเจตจำนงเพลงดาบ จางเซวียนสร้างปราการตาข่ายขึ้นล้อมรอบตัวเขากับตู้ชิงหย่วนอย่างรวดเร็วเพื่อบรรเทาแรงกดดันนั้น


เมื่อตาข่ายสัมผัสกับนิ้วของโครงกระดูกสีดำ แรงบีบที่ถาโถมเข้าใส่ก็ลดน้อยลงทันที


“ศิลปะเพลงดาบของคุณน่าทึ่งไม่เบา คุณมาจากน่านฟ้าดาบสวรรค์หรือ?” โครงกระดูกชะงักและตั้งคำถาม


แต่ครู่ต่อมา มันก็ส่ายหัวและตอบคำถามของตัวเอง “ไม่น่าใช่ เป็นไปไม่ได้หรอกที่ใครสักคนจากน่านฟ้าดาบสวรรค์จะมาอยู่ที่นี่ อีกอย่าง ศิลปะเพลงดาบของพวกนั้นก็คมกริบและดุเดือด บ่งบอกถึงความอดทนมุ่งมั่น ทำให้การโจมตีของพวกเขาหนักหน่วงและชัดเจน…”


“แต่ศิลปะเพลงดาบของคุณดูจะเปี่ยมด้วยอารมณ์และความรู้สึก เป็นธรรมชาติที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับน่านฟ้าดาบสวรรค์ คุณทำความเข้าใจกระบวนท่าที่ทรงพลังขนาดนั้นได้ในพื้นที่ที่แสนจะอัตคัดพลังจิตวิญญาณ ถือว่าคุณปราดเปรื่องมาก ไม่ต่างกับคนก่อนที่ลงจากสรวงสวรรค์มาสู่ที่นี่”


“แต่ก็ตามนั้นแหละ หลุมฝังศพของนายท่านของผมไม่ใช่สถานที่ที่คนนอกจะเข้าออกได้ตามใจ แต่เห็นแก่การที่คุณต้องเหนื่อยยากมากมายกว่าจะสำเร็จวรยุทธระดับที่เป็นอยู่ ผมจะละเว้นให้และปล่อยให้คุณกลับไปเดี๋ยวนี้” โครงกระดูกโบกมือให้ทั้งคู่ออกไป


“ผู้อาวุโส เรามาที่นี่เพื่อตามหารังสีสวรรค์ที่จะทำให้เข้าถึงระดับของเทพเจ้า ผมขอวิงวอนให้คุณยอมรับคำขอร้องของพวกเราด้วย!” เมื่อเห็นว่าในที่สุดโครงกระดูกสีดำก็หยุดโจมตี จางเซวียนรีบลดทีท่าระแวดระวังลงและเอ่ยปากร้องขอ


สถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นที่เดียวในทวีปที่ถูกลืมที่เขาจะตามหารังสีสวรรค์ได้ ดังนั้น ต่อให้มีอันตราย เขาก็ไม่อาจกลับไปมือเปล่า


“คุณอยากตายหรือ? ถ้าไม่อยากตายก็ไสหัวไป!” โครงกระดูกสีดำคำราม


“ผู้อาวุโส…”


จางเซวียนกำลังจะพูดต่อ แต่โครงกระดูกสีดำโบกมืออย่างหมดความอดทน ทำให้กระแสพลังงานขนาดใหญ่ระเบิดออกมาราวกับสึนามิ


จางเซวียนหน้าดำคร่ำเครียดขึ้นมาทันที ดูเหมือนทุกอย่างกำลังบีบเขาให้เข้าตาจน


เขารีบนำของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ทุกชิ้นที่ได้จากขุมสมบัติของหอนิรันดร์ออกมาต้านทานแรงปะทะนั้น


พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!


แรงปะทะทำให้จางเซวียนกระอักเลือดออกมา เขาร่วงลงไปกระแทกพื้นอย่างแรง พร้อมกันนั้น ของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่มีอยู่ในมือก็หมดเรี่ยวแรงและร่วงผล็อยลงกับพื้น


จางเซวียนรีบขับเคลื่อนพลังปราณเทียบฟ้าเพื่อเรียกพละกำลังกลับคืนมาขณะกัดฟันอดกลั้นความเจ็บปวดแสนสาหัสในร่างกายเอาไว้ เขากระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน


“ผมไม่ได้คิดจะทำร้ายคุณ…ผู้อาวุโส แต่พวกเราต้องการรังสีสวรรค์จริงๆ” จางเซวียนพูด


“ถึงอย่างไรก็จะเสี่ยงใช่ไหม?” โครงกระดูกสีดำคำราม


พริบตาต่อมา จางเซวียนก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันหนักหน่วงอีกระลอกหนึ่งที่ถาโถมเข้าใส่เขาจากด้านบน พยายามจะเล่นงานเขาให้บี้แบน


ขณะที่จางเซวียนกำลังจะหมดความอดทน จี้สีแดงก่ำที่เขาห้อยไว้รอบลำคอก็เปล่งพลังอบอุ่นออกมา แรงกดดันมหาศาลนั้นสลายตัวไปทันที


เมื่อรู้สึกได้ว่าพลังของจี้ขจัดแรงกดดันออกไป จางเซวียนกำลังจะใช้โอกาสนี้หว่านล้อมโครงกระดูกสีดำอีกครั้ง ก็พอดีกับที่รู้สึกถึงแรงดึงที่ลำคอ


ยังไม่ทันที่เขาจะรู้ตัว จี้สีแดงก่ำก็ลอยละลิ่วเข้าสู่มือของโครงกระดูกสีดำ


“คืนผมมานะ!”


จางเซวียนตกใจ เขาพุ่งเข้าใส่โครงกระดูกสีดำเพื่อคว้าจี้คืน แต่ดูเหมือนจะมีพละกำลังบางอย่างตรึงเขาให้อยู่กับที่ ไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้


โครงกระดูกสีดำถือจี้สีแดงก่ำไว้ตรงหน้าเบ้าตาว่างเปล่าของมัน จากนั้นก็พินิจพิจารณาอย่างถี่ถ้วนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโยนคืนให้จางเซวียน


ฟึ่บ!


พละกำลังที่พันธนาการร่างของเขาหายวับไป จางเซวียนอ้าปากหอบหายใจ


โครงกระดูกมองหน้าจางเซวียนและตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่หลงเหลือความเป็นปฏิปักษ์แบบเดิม “คุณบอกว่าคุณต้องการรังสีสวรรค์?”


เห็นโครงกระดูกสีดำเปลี่ยนทีท่าไปอย่างสิ้นเชิงหลังจากได้เห็นจี้ จางเซวียนรู้ทันทีว่าโอกาสที่เขาจะทำสำเร็จมาถึงแล้ว จึงรีบประสานมือและตอบว่า “ใช่แล้ว ผู้อาวุโส และผมหวังว่าผู้อาวุโสจะยอมรับคำขอร้องของผม!”


“ผมไม่มีรังสีสวรรค์หรอก แต่สิ่งนี้ใช้แทนกันได้”


โครงกระดูกกำมือ จากนั้นบรรยากาศเสื่อมถอยก็มารวมตัวกันรอบตัวมัน ภายใต้พละกำลังบางอย่างที่มีความหนักหน่วงรุนแรง บรรยากาศเสื่อมถอยถูกบีบอัดเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นกระแสสีดำที่ล้อมรอบโครงกระดูกไว้


ภาพนั้นทำให้จางเซวียนชะงัก


เขารู้สึกได้ว่ากระแสสีดำนั้นบริสุทธิ์และได้รับการขัดเกลาอย่างดียิ่งกว่าบรรยากาศการเสื่อมถอย อันที่จริง มันแผ่แรงกดดันที่ไม่อาจต้านทานได้ออกมา ไม่ต่างจากรังสีสวรรค์ที่เขาเคยพบ


ความแตกต่างเดียวคือรังสีสวรรค์มีสีทองและไม่มีคุณสมบัติของการเสื่อมถอย ถ้าจางเซวียนได้รับกระแสสีดำนั้นแม้เพียงเสี้ยวเดียว ต่อให้มีซุปไก่ของไก่น้อย เขาก็น่าจะถูกกัดกร่อนจนเหลือแต่โครงกระดูก


“ผมไม่คิดว่าผมจะใช้รังสีสวรรค์ที่คุณนำออกมาได้หรอก…” จางเซวียนเอ่ยอย่างลังเล


ถ้าเขาบังอาจซึมซับมัน ก็มีโอกาสที่จะตายเสียก่อนที่จะได้ยกระดับวรยุทธ


“ผมรู้ว่าคุณหมายถึงอะไร โดยปกติรังสีสวรรค์เป็นสีทอง แต่มันจะมีลักษณะแตกต่างออกไปเมื่ออยู่ในโลกใบนี้” โครงกระดูกสีดำพูด


“ลักษณะแตกต่างออกไป?” จางเซวียนงง


“พลังจิตวิญญาณในโลกใบนี้ขุ่นข้นและไม่บริสุทธิ์ เมื่อเวลาผ่านไป รังสีสวรรค์ก็ถูกปนเปื้อนจนสูญเสียประกายสีทองของมัน” โครงกระดูกสีดำอธิบายพร้อมกับส่ายหน้า


ก็เหมือนกับการที่พลังจิตวิญญาณในมิติเบื้องบนมีความบริสุทธิ์และละเอียดกว่าพลังจิตวิญญาณในทวีปแห่งปรมาจารย์มาก สถานการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นกับสรวงสวรรค์และมิติเบื้องบนเช่นกัน รังสีสวรรค์มีความบริสุทธิ์อย่างน่าทึ่ง แต่เมื่ออยู่ในพื้นที่ที่มีสิ่งปนเปื้อน สุดท้ายก็จะเปลี่ยนสภาพไป กลายเป็นบรรยากาศของการเสื่อมถอย


จางเซวียนมีสีหน้าไม่สู้ดี


เขาคิดว่าเมื่อมาที่นี่ ก็จะได้พบรังสีสวรรค์ที่มีความบริสุทธิ์ แต่ทุกอย่างกลับกลายเป็นบรรยากาศของการเสื่อมถอย ต่อให้ได้มาก็ไร้ประโยชน์


เขาไม่มีทางซึมซับมันได้ นับประสาอะไรกับการฝ่าด่านวรยุทธ!


“ผู้อาวุโส มีวิธีชำระล้างรังสีสวรรค์ที่ปนเปื้อนไหม?” จางเซวียนตั้งคำถาม


เขาต้องหาวิธีทำสิ่งที่ตั้งใจจนสำเร็จให้ได้


ไม่อย่างนั้น ไม่เพียงแต่จะไม่ได้พบหลัวลั่วชิง ปรมาจารย์ขงตัวปลอมอาจฉีกกระชากหอสมุดเทียบฟ้าออกจากร่างของเขาด้วย ซึ่งนั่นย่อมหมายถึงความตาย


และจางเซวียนก็รู้ดีว่าเหยื่อรายต่อไปถัดจากเขาจะต้องเป็นเหล่าศิษย์สายตรงและเจ้าสำนักที่เหลือ


ไม่ใช่ว่าเขาไม่มียุทธวิธีอื่นๆ แต่ทุกอย่างคือการรับมือในขั้นสุดท้าย มันจะเป็นการต่อสู้ที่เกิดขึ้นเพื่อดิ้นรนเอาชีวิตรอด


เพื่อไม่ให้ทุกอย่างเข้าสู่สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดแบบนั้น เขาจะต้องกลายเป็นเทพเจ้าให้ได้


“ก็พอมีวิธี แต่ไม่ง่ายนะ” โครงกระดูกสีดำตอบ


เมื่อได้ยินว่ามีวิธี จางเซวียนแอบถอนหายใจเฮือกใหญ่และรีบพูดต่อ “ผู้อาวุโส ขอวิงวอนให้คุณชี้แนะด้วย”


“พิธีกรรมที่ใช้พละกำลังของจิตวิญญาณสามารถชำระรังสีสวรรค์ที่ปนเปื้อนได้ แต่จะต้องใช้เจตจำนงจำนวนมากมายที่รวมกันเป็นหนึ่งในคราวเดียวเพื่อตั้งความปรารถนาอย่างจริงใจให้ทุกอย่างสำเร็จ ถ้ามีเจตจำนงแม้แต่ดวงเดียวที่ไม่ยอมร่วมมือกับดวงอื่นๆที่เหลือ พิธีกรรมก็จะล้มเหลว” โครงกระดูกสีดำพูด


“ผู้อาวุโส ได้โปรดถ่ายทอดวิธีการประกอบพิธีกรรมให้ผมด้วยเถอะ” จางเซวียนพูดขณะถอนหายใจอย่างโล่งอก


ฟึ่บ!


โครงกระดูกสีดำยกนิ้วขึ้นและเคาะตรงหน้าเบาๆ เจตจำนงเสี้ยวหนึ่งของมันถูกถ่ายทอดเข้าสู่หัวสมองของจางเซวียนกับตู้ชิงหย่วน


“เอ่อ…”


จางเซวียนเลิกคิ้วเมื่อเห็นรายละเอียด


เป็นอย่างที่โครงกระดูกสีดำพูดไว้ พิธีกรรมนี้ต้องใช้ผู้คนมากมายที่ยอมรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว


ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีโอกาสที่จะเกิดการบูชายัญด้วย


“การชำระรังสีสวรรค์คือขั้นตอนที่จำเป็นในการก้าวสู่ความเป็นเทพเจ้า ขั้นตอนนี้ไม่ยากเย็นอะไรหากอยู่บนสรวงสวรรค์ แต่เมื่อเป็นที่นี่ ก็ไม่ต่างอะไรกับความพยายามก้าวข้ามอำนาจสวรรค์ จึงเป็นธรรมดาที่ใครสักคนจะต้องยอมเป็นเครื่องบรรณาการ…ถ้าคุณคิดว่าคุณทำได้ ก็ลองดู เพราะผมก็ไม่มีวิธีอื่นให้คุณแล้วเหมือนกัน” โครงกระดูกสีดำพูด


มันเคาะนิ้วเบาๆ จากนั้นก็ปล่อยลูกทรงกลมที่ก่อตัวขึ้นจากพลังงานสีดำเข้าหาจางเซวียน


จางเซวียนใช้พลังปราณรับลูกทรงกลมนั้นไว้อย่างระมัดระวังก่อนจะเก็บไว้ในขวดหยก


“ผมมีให้คุณเท่านี้แหละ อย่ารบกวนการพักผ่อนของผมอีก ผมไม่สนหรอกว่าคุณมาจากน่านฟ้าดาบสวรรค์หรือน่านฟ้าเสรี แต่ถ้าคุณกล้าเหยียบย่างเข้ามาที่นี่อีกครั้งล่ะก็ อย่าหวังว่าผมจะปรานี!”


โครงกระดูกสีดำทรุดตัวลงนั่งกับพื้นก่อนจะสงบนิ่ง


จางเซวียนเก็บขวดหยกไว้ในแหวนเก็บสมบัติ จากนั้นก็โค้งคำนับอย่างงามให้โครงกระดูกสีดำ “ขอบคุณมาก ผู้อาวุโส”


แม้อีกฝ่ายจะไม่มีรังสีสวรรค์สีทองอย่างที่เขาต้องการ แต่ก็ให้ความหวังและบอกแนวทางที่ชัดเจน


ขอแค่เขาทำตามที่โครงกระดูกพูด ก็มีโอกาสที่ทุกอย่างจะสำเร็จ


“ผมขอกินโครงกระดูกสีดำนั่นทั้งตัวได้ไหม?”


ขณะที่จางเซวียนกับตู้ชิงหย่วนกำลังจะออกไป ไก่น้อยที่อยู่ในกระสอบอสูรก็โพล่งออกมา


“อย่าพูดไร้สาระน่ะ!” จางเซวียนเกือบลมจับเมื่อได้ยินคำพูดนั้น


ตอนที่ 2146 ข่าวร้าย

จนถึงตอนนี้ วรยุทธของเจ้าไก่นี่ก็หยุดนิ่งอยู่แค่ระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ ในเมื่อมันยังไม่สำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ แล้วจะกลืนกินเทพเจ้าตัวจริงได้อย่างไร?


ฝันกลางวันชัดๆ!


อีกอย่าง แม้โครงกระดูกสีดำจะทำตัวเป็นปฏิปักษ์ในตอนแรก แต่ก็ชี้ทางออกให้กับปัญหาที่เขาเผชิญอยู่


“เชอะ ขี้เหนียว…”


ไก่น้อยพึมพำอย่างขัดใจ ขณะจิกยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ของมันต่อไป


หลังจากจัดการไก่น้อย จางเซวียนเดินกลับออกไปตามเส้นทางที่เขาเข้ามา ก็พอดีกับที่พลันนึกบางอย่างได้ เขานำจี้สีแดงก่ำออกมาและหันไปประสานมือให้โครงกระดูกสีดำอีกครั้ง “ขออภัยด้วยเถอะที่ต้องรบกวนคุณ แต่ผมขอถามคำถามสุดท้าย ผู้อาวุโส…คุณรู้ที่มาของจี้อันนี้ไหม?”


จางเซวียนจำได้ว่าโครงกระดูกสีดำพูดถึงบางอย่างเกี่ยวกับน่านฟ้าดาบสวรรค์และน่านฟ้าเสรี แม้เขาจะไม่เข้าใจว่าคำเหล่านั้นหมายความว่าอะไร แต่ก็แน่ใจว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับสรวงสวรรค์แน่


อีกอย่าง ตอนแรกโครงกระดูกสีดำก็จงใจทำร้ายพวกเขาแต่หลังจากได้เห็นจี้สีแดงก่ำที่คล้องคอจางเซวียนอยู่ ก็เปลี่ยนทีท่าทันที นั่นหมายความว่ามันจดจำจี้สีแดงก่ำอันนี้ได้ จึงมีความเป็นไปได้สูงที่โครงกระดูกตัวนี้จะรู้จักมักคุ้นกับหลัวลั่วชิง!


แต่โครงกระดูกสีดำก็ยืนเฉย ไม่ยอมพูดอะไร


รู้ดีว่าต่อให้เขาซักไซ้มากกว่านี้ โครงกระดูกก็คงไม่ปริปาก จางเซวียนส่ายหัวก่อนจะถอยออกจากพื้นที่นั้น


ทั้งคู่กลับมาที่จุดเดิม หลังจากเผชิญกับความรู้สึกที่ไม่คุ้นชินครู่หนึ่ง ก็มาปรากฏตัวเหนือแท่นบูชาอีกครั้ง


“กลับกันเถอะ”


ถึงรังสีสวรรค์ที่เขาได้มาจะไม่บริสุทธิ์ แต่ก็ยังพอมีทางชำระมันได้ด้วยการประกอบพิธีกรรมที่โครงกระดูกสีดำถ่ายทอดให้


4 ชั่วโมงต่อมา พวกเขาก็มาอยู่ที่ตำหนักคว้าดาว


หานเจี้ยนชิวกับคนอื่นๆกำลังเดินวนเป็นหนูติดจั่นตอนที่จางเซวียนกับตู้ชิงหย่วนมาถึง ทุกคนหันมาจับจ้องทั้งคู่อย่างร้อนใจ


“หวู่เฉิน เตรียมแท่นบูชา!” จางเซวียนสั่งการขณะถ่ายทอดกระบวนการประกอบพิธีกรรมให้อีกฝ่าย


หลังจากศึกษารายละเอียดทั้งหมด หวู่เฉินย่นหน้าผากอย่างเคร่งเครียด “ผมเกรงว่าการประกอบพิธีกรรมแบบนี้คงไม่อาจสำเร็จโดยง่าย…”


“แล้วต้องใช้อะไร?” หานเจี้ยนชิวถาม


“พิธีกรรมนี้ต้องการการมีส่วนร่วมของนักรบขั้นอมตะตัวจริงถึง 100,000 ชีวิต พวกเขาจะต้องปล่อยใจ เปิดจิตวิญญาณ ห้ามแสดงอาการขัดขืนต่อต้านแม้แต่น้อย!” หวู่เฉินตอบพร้อมกับส่ายหน้า


การเปิดใจและกระโจนเข้าใส่ความศรัทธาในสิ่งใดสิ่งหนึ่งย่อมหมายความว่าผู้นั้นจะอ่อนแอและเปราะบางอย่างสิ้นเชิง ไม่ต่างอะไรกับการไว้วางใจฝากชีวิตไว้ในมือคนอื่น ถ้าใครสักคนในค่ายกลมีเจตนาร้ายต่อพวกเขา ก็หมายถึงจุดจบ


แม้จางเซวียนจะเป็นผู้นำของสี่สำนักใหญ่ เป็นไอดอลของชายหนุ่มมากมายนับไม่ถ้วนในทวีปที่ถูกลืม แต่ก็ไม่ได้มีอิทธิพลมากพอจะหว่านล้อมผู้คนจำนวนมากขนาดนั้นให้ยอมทำเพื่อเขา


ไม่มีมนุษย์คนไหนปราศจากความเห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง นับประสาอะไรกับคนเป็นแสน!


“ผมรู้ว่าไม่ง่าย แต่เราก็ต้องลอง” จางเซวียนตอบหนักแน่น


เขาหันไปมองหานเจี้ยนชิว คุ่ยเฉี่ยว และฉิงหย่วนก่อนจะถามว่า “เหล่าศิษย์สายตรงและผู้อาวุโสของสำนักดาบเมฆเหิน สำนักดาวเจ็ดดวง และหอนานาอสูรมาพร้อมกันที่นี่แล้วหรือยัง?”


เมื่อความขัดแย้งระหว่างเขากับปรมาจารย์ขงตัวปลอมปะทุ จางเซวียนก็รีบสั่งการให้หานเจี้ยนชิวกับคนอื่นๆรวบรวมบรรดาศิษย์สายตรงและผู้อาวุโสในสำนักของพวกเขา ให้คนเหล่านั้นมารวมตัวกันที่เกาะคว้าดาว เขารู้ดีว่าต้องใช้พละกำลังมากที่สุดเท่าที่จะหาได้เพื่อรับมือกับหอนิรันดร์และปรมาจารย์ขงผู้ทรงพลัง


เขาออกคำสั่งตั้งแต่เมื่อ 1 เดือนก่อน ป่านนี้พวกนั้นคงมาถึงแล้ว


“พวกเขามาถึงแล้ว และพร้อมทำตามคำสั่งของคุณ” หานเจี้ยนชิวตอบ “แต่เรารวบรวมนักรบขั้นอมตะตัวจริงขึ้นไปได้เพียง 20,000 คนเท่านั้น”


ปัญหาใหญ่ที่สุดในเวลานี้ของพวกเขาไม่ใช่การรวบรวมจิตใจของนักรบทั้งหนึ่งแสนคนให้เป็นหนึ่งเดียว แต่คือการที่ยังไม่อาจรวบรวมนักรบขั้นอมตะตัวจริงในจำนวนมากมายขนาดนั้นได้!


ทั้ง 4 สำนักใหญ่มีผู้เชี่ยวชาญอยู่มากมาย แต่มีเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่เข้าถึงวรยุทธขั้นอมตะตัวจริง ใครๆก็รู้ว่ามีแต่นักรบขั้นอมตะตัวจริงขึ้นไปเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเพียงพอจะได้เป็นศิษย์สายตรงหรือผู้อาวุโสขั้นสูงสุดในสำนักของพวกเขา


แม้ทั้งสี่สำนักใหญ่จะมีมรดกตกทอดที่ถ่ายทอดกันมาหลายพันปี ทั้งยังรวมเอาบริวารและกลุ่มอำนาจที่แฝงตัวอยู่เข้ามาด้วย ก็ยังหาสมาชิกที่มีวรยุทธระดับอมตะตัวจริงได้เพียง 20,000 คนเท่านั้น


ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงยังไม่บรรลุเงื่อนไขที่กำหนดว่าจะต้องมีนักรบอมตะตัวจริงจำนวนนับแสนในการประกอบพิธีกรรม


อันที่จริง ก็ยังน่าสงสัยอยู่ว่าทั่วทั้งทวีปที่ถูกลืมจะมีนักรบอมตะตัวจริงมากขนาดนั้นหรือเปล่า


“นักรบอมตะตัวจริง 20,000 คน?” จางเซวียนมีสีหน้าเคร่งเครียด


ตัวเขากับหวู่เฉินเพิ่งมาถึงทวีปที่ถูกลืมได้ไม่นาน ความรู้ความเข้าใจที่มีต่อทวีปแห่งนี้จึงยังคงอ่อนด้อย พวกเขามัวกังวลอยู่กับคำถามที่ว่าจะรวบรวมเจตจำนงของทุกคนให้เป็นหนึ่งเดียวได้หรือไม่ จนละเลยปัญหาสำคัญที่สุดที่จ่ออยู่ตรงหน้า นั่นคือจะหานักรบอมตะตัวจริงจำนวน 100,000 คนได้อย่างไร?


ใครๆก็รู้ว่าจำนวนนักรบอมตะตัวจริงที่มีอยู่ในมิติเบื้องบนก็จำกัดพอๆกับจำนวนนักปราชญ์โบราณที่มีอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ เหตุผลเดียวที่จางเซวียนรวบรวมมาได้มากขนาดนี้ก็เพราะเขามีเส้นสายกับ 4 สำนักใหญ่ซึ่งเป็นศูนย์รวมของผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดในทวีปที่ถูกลืม


ลำพังแค่รวบรวมนักรบอมตะตัวจริงได้ 20,000 คนก็ยากพอแล้ว นับประสาอะไรกับจำนวนนับแสน!


“เจ้าสำนักจาง ข่าวร้าย!”


ขณะที่ทุกคนกำลังครุ่นคิด ผู้อาวุโสจ้าวเยว่ก็พรวดพราดเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าตื่นตระหนก


จางเซวียนหันมามอง


“เผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏตัวขึ้นรอบเกาะคว้าดาว ฉันเกรงว่าด้วยพละกำลังของพวกเราในเวลานี้ การขับไล่พวกมันออกไปคงทำได้ยาก!” ผู้อาวุโสจ้าวเยว่อุทานอย่างร้อนใจ


“อสูร?” จางเซวียนชะงักกับคำบอกเล่าปุบปับนั้น


เขารีบออกจากห้องโถงใหญ่พร้อมตู้ชิงหย่วนกับคนอื่นๆ เห็นทั้งผืนน้ำและท้องฟ้ารอบเกาะคว้าดาวคลาคล่ำไปด้วยอสูรทุกขนาด


ปู หอย ปลาหมึก ปลา ล็อบสเตอร์ เม่นทะเล…


“ผมหิว…” ไก่น้อยที่จู่ๆก็ปรากฏตัวบนบ่าของจางเซวียนกลืนน้ำลายอึกใหญ่และพึมพำออกมา


“….” จางเซวียน


นี่มันไม่ใช่เวลาเลย!


มีข้าศึกมากมายกว่าที่เขาคิดไว้ มากกว่ากองกำลังที่พวกเขามีอยู่หลายเท่า


แน่นอนว่าในบรรดาอสูรเหล่านี้ ไม่มีตัวไหนสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ ซึ่งทำให้พวกเขายังถือไพ่เหนือกว่า แต่หากลงไปตะลุมบอนกับอสูรในเวลานี้ อาจเอาชนะได้ก็จริง แต่ก็ยับเยิน ด้วยสถานการณ์คับขันที่พวกเขาเผชิญอยู่ ทุกคนไม่อาจปล่อยให้ตัวเองอ่อนแอกว่านี้ได้อีก


“นายท่าน ผมเกณฑ์เผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำที่เชี่ยวชาญการต่อสู้มาไว้ที่นี่แล้ว!”


ขณะที่จางเซวียนกำลังขบคิดหาวัตถุประสงค์ของอสูรเหล่านี้ ฉลามสามพี่น้องและเต่าตัวมหึมาก็โผล่พรวดขึ้นจากก้นมหาสมุทร


พวกมันคืออสูรของเขา!


จางเซวียนยกมือทาบอกอย่างโล่งใจขณะพลันนึกขึ้นได้


เขาสั่งการให้อสูรทั้งสี่รวบรวมกองกำลังอสูรใต้น้ำมาที่เกาะคว้าดาวเพื่อรับมือกับปรมาจารย์ขงและหอเทพเจ้า เพียงแต่มัวหมกมุ่นกับปัญหาตรงหน้าจนหลงลืมเรื่องนี้ไป


“มาได้เวลาพอดี!” จางเซวียนตาโตและเกือบหัวเราะลั่นด้วยความยินดีปรีดา


เขายังลำบากใจอยู่ว่าจะหานักรบอมตะตัวจริงหนึ่งแสนชีวิตมารวมตัวกันในที่เดียวได้อย่างไร ก็พอดีกับที่เผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำเหล่านี้ปรากฏตัว บางทีพวกมันอาจช่วยให้เขาบรรลุเงื่อนไขของการมีนักรบอมตะตัวจริงนับแสนได้!


เมื่อคิดขึ้นได้ จางเซวียนถามฉลามหมายเลข 1 “ตรงนี้มีเผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำที่สำเร็จวรยุทธอมตะตัวจริงอยู่กี่ตัว?”


“นายท่าน เรามีอสูรใต้น้ำราวสี่หมื่นตัวที่สำเร็จวรยุทธอมตะตัวจริงขึ้นไป” ฉลามหมายเลข 1 ตอบ


“แค่สี่หมื่นหรือ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


พูดกันตามตรง จำนวนเท่านี้ถือว่าน่าทึ่งแล้ว เพราะขนาด 4 สำนักใหญ่ก็ยังมีนักรบอมตะตัวจริงแค่สองหมื่นคนเท่านั้น


ไม่น่าแปลกใจแล้วที่เผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำกล้ารวมหัวกันโค่นล้มอำนาจของ 6 สำนักใหญ่ เพราะลำพังแค่จำนวนนักรบอมตะตัวจริงที่มีอยู่ในหมู่พวกมันก็เพียงพอจะเล่นงานสำนักไหนๆได้สบาย


แปลว่าตอนนี้จำนวนนักรบอมตะตัวจริงที่พวกเขามีอยู่ก็ตกราวหกหมื่น ยังห่างไกลนักกับเป้าหมายที่หนึ่งแสน


“กำลังพลของเรายังไม่พอ จะหานักรบอมตะตัวจริงมากกว่านี้ได้จากที่ไหน?” หวู่เฉินถาม


“นี่คือปัญหาใหญ่” จางเซวียนพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง


เขาขมวดคิ้วและครุ่นคิดหนักครู่หนึ่งก่อนจะถ่ายทอดคำสั่งใหม่ “เกณฑ์นักรบทุกคนของ 4 สำนักใหญ่และทะเลพลัดดาวที่สำเร็จวรยุทธขั้นเสมือนอมตะให้มารวมตัวกันที่นี่”


“ได้!”


แม้จะไม่รู้ว่าจางเซวียนคิดอะไร แต่หานเจี้ยนชิวกับคนอื่นๆก็ทำตามคำสั่งของเขาทันที


2 ชั่วโมงต่อมา บรรดานักรบและเผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำอีกจำนวนหนึ่งก็มาปรากฏตัวในอาณาเขตของเกาะคว้าดาว


“พวกเรารวบรวมนักรบขั้นเสมือนอมตะได้สองแสนคน และอสูรขั้นเสมือนอมตะได้อีกสี่แสนตัว ในจำนวนนี้ มีอยู่ราวแปดหมื่นชีวิตที่สำเร็จวรยุทธเสมือนอมตะสรวงสวรรค์แล้ว” หานเจี้ยนชิวเดินเข้ามารายงานตัวเลขกับจางเซวียน


“ราวแปดหมื่น?” จางเซวียนพยักหน้า “คงจะดีถ้ามีมากกว่านี้ แต่เท่านี้ก็พอไหว”


หานเจี้ยนชิวยังไม่เข้าใจว่าจางเซวียนคิดอะไร เขามองหน้าอีกฝ่ายอย่างลังเลขณะตั้งคำถาม “ท่านอาจารย์ คุณมีเหตุผลอะไรถึงต้องรวบรวมนักรบขั้นเสมือนอมตะมากมายมาไว้ที่นี่? แล้วพวกเราจะช่วยอะไรได้อีกไหม?”


“ได้สิ ผมอยากให้คุณนำธงค่ายกล 10,000 อันมาให้ผมโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้” จางเซวียนตอบ


“ธงค่ายกล 10,000 อัน?” หานเจี้ยนชิวออกจะแปลกใจ เขาหันไปพูดกับผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยว “สำนักของเราไม่สามารถรวบรวมธงค่ายกลมากขนาดนั้นได้ในระยะเวลาอันสั้นหรอก ดูเหมือนต้องพึ่งพาสำนักดาวเจ็ดดวงของคุณแล้วล่ะ!”


“ได้สิ ไม่มีปัญหา” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวหัวเราะหึๆอย่างมั่นใจ เขารีบนำตราหยกสื่อสารออกมาอันหนึ่งและถ่ายทอดคำสั่งลงไป


ไม่ช้า ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวก็นำแหวนเก็บสมบัติมาให้จางเซวียนแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์ นี่คือธงค่ายกล 100,000 อันที่คุณต้องการ”


ด้วยทรัพยากรบวกกับช่องทางการสื่อสารและการขนส่งของสำนักดาวเจ็ดดวง การรวบรวมธงค่ายกลหนึ่งแสนอันให้ได้ภายในระยะเวลาอันสั้นจึงไม่ได้ยากเย็นอะไรสำหรับผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยว


“คุณได้รับความสำนึกในบุญคุณจากผม!”


ตอนที่ 2147 เจ้าสำนักจางคิดจะ…

ในเมื่อทั่วทั้งทวีปที่ถูกลืมกำลังตกอยู่ในอันตราย มีพิธีรีตองมากไปก็ไม่มีประโยชน์ จางเซวียนรับแหวนเก็บสมบัติไว้และกระโจนขึ้นสู่กลางอากาศ เขาพุ่งสูงขึ้นไปราวหมื่นเมตร ก่อนจะหยุดตรงนั้น


เขาสะบัดข้อมือ


ฟึ่บ!


ธงค่ายกลหนึ่งแสนอันลอยอยู่กลางอากาศ ด้วยการโบกมือของจางเซวียน พวกมันก็พุ่งฉิวลงสู่พื้น เกิดเป็นภาพอันแปลกตาของห่าฝนที่ทำจากธง


“เอ่อ…”


หานเจี้ยนชิวกับคนอื่นๆพูดไม่ออกกับภาพที่เห็น เช่นเดียวกันกับบรรดาเผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำและศิษย์สายตรงของทั้ง 4 สำนัก


โดยทั่วไป ผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลส่วนใหญ่จะใช้เวลาระยะหนึ่งในการปักธงค่ายกลเพื่อติดตั้งค่ายกลให้เป็นรูปร่างขึ้นมา แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีโอกาสสูงที่จะเกิดการผิดเพี้ยนบางอย่างในการติดตั้งที่ทำให้พวกเขาต้องค่อยๆตรวจสอบและแก้ไขมันให้ถูกต้อง


ผู้ที่สามารถปักธงค่ายกลพร้อมกันทีเดียวถึง 10 อันก็ถือเป็นบรมครูด้านค่ายกลแล้ว ส่วนผู้ที่สามารถปักธงค่ายกลพร้อมกันทีเดียวถึง 20 อัน ก็เรียกว่าเป็นบรมของบรมครูด้านค่ายกล


แต่จางเซวียนปักธงค่ายกลได้พร้อมกันทีเดียวถึง 100,000 อัน!


นี่คือหนึ่งในปรากฏการณ์ที่ทำให้พวกเขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ให้นึกสงสัยว่ากำลังฝันไปหรือเปล่า ไม่มีใครกล้าคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเป็นไปได้จริง


ต่อให้ผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลที่เก่งกาจที่สุดของทวีปที่ถูกลืมก็ทำแบบนี้ไม่ได้!


“ขอดูหน่อยเถอะว่าเป็นค่ายกลแบบไหน ถ้าเป็นค่ายกลแบบเรียบง่าย ก็พอเป็นไปได้ที่จะทำแบบนี้” ผู้อาวุโสผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลคนหนึ่งที่อยู่ในฝูงชนพึมพำกับตัวเอง


ขณะที่ผู้อาวุโสกำลังครุ่นคิด ธงค่ายกลก็ร่วงลงสู่พื้นและทะเลพลัดดาว จากนั้นชายหนุ่มที่อยู่กลางอากาศก็กระทืบเท้าเบาๆ


วิ้งงงง!


ค่ายกลมีชีวิตขึ้นมาทันที ประกาย 7 สีแผ่ซ่านออกไปโดยรอบ บริเวณนั้นเป็นประกายวาววับราวกับฟองสบู่


“มันคือค่ายกลตรึงจิตวิญญาณเจ็ดสี…หนึ่งในค่ายกลชั้นยอดของทวีปที่ถูกลืม!”


“ไม่เพียงเท่านั้นนะ ดูเหมือนจะมีค่ายกลรวบรวมพลังจิตวิญญาณ ค่ายกลสงบใจ และค่ายกลชนิดอื่นๆอีกมากมายอยู่ในนั้นด้วย อย่างน้อยก็น่าจะมีสิบกว่าชนิดทับซ้อนกัน!”


“เขาติดตั้งค่ายกลขนาดใหญ่ที่ซับซ้อนแบบนั้นได้ในชั่วพริบตาหรือ?”


คำเดียวที่บรรยายความรู้สึกของทุกคนในเวลานั้นได้ไม่ใช่ ‘ตกตะลึง’ แต่เป็น ‘พรั่นพรึง’


ความยากในการติดตั้งค่ายกลผสมผสานนั้นยากกว่าการติดตั้งค่ายกลทั่วไปหลายเท่า ซึ่งความพยายามในการผนวกค่ายกล 2 ชนิดเข้าด้วยกันก็เพิ่มความยากขึ้นมากมายแล้ว แต่จางเซวียนติดตั้งค่ายกลผสมผสานที่ซับซ้อนถึงสิบกว่าชั้น แผ่รัศมีการทำงานออกไปหลายร้อยลี้


นี่คือสิ่งที่เกินกว่าจินตนาการของพวกเขา!


“ความสามารถแบบนี้ คงมีแต่เทพเจ้าเท่านั้นที่ทำได้…” ตู้ชิงหย่วนพึมพำกับตัวเองด้วยนัยน์ตาเบิกโพลง


ปกติเธอก็ยำเกรงในความเก่งกาจของชายหนุ่มอยู่แล้ว แต่ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้พูดไม่ออก


ไม่แปลกใจแล้วที่ชายหนุ่มเอาชนะใจเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณได้


เขาคือคนที่ไม่ธรรมดาจริงๆ


จางเซวียนที่อยู่กลางอากาศเริ่มรู้สึกอ่อนล้าหลังจากติดตั้งและเปิดใช้งานค่ายกล แม้จะดูเหมือนว่าเขาจัดการทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย แต่การติดตั้งค่ายกลขนาดใหญ่และซับซ้อนแบบนี้ก็ทำให้เสียแรงไปมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเขาทำความเข้าใจเวทนาสวรรค์ได้สำเร็จและเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์แล้ว คงหมดพลังและร่วงลงจากกลางอากาศเสียก่อนที่จะทันได้เปิดใช้งานค่ายกล


จางเซวียนสูดหายใจลึกขณะขับเคลื่อนพลังปราณเทียบฟ้าให้เข้าไปเยียวยาสภาพร่างกายของเขา หลังจากฟื้นตัวได้ระดับหนึ่ง ก็ก้าวเข้าไปในค่ายกลและสะบัดข้อมือ


ฟึ่บ!


ศพของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ 12 คนปรากฏรอบตัวเขาทันที ทุกคนมาจากหอนิรันดร์สำนักงานใหญ่


“ปล่อยพลัง!” จางเซวียนพูดพร้อมกับดีดนิ้ว


บึ้มมมม!


ทั้ง 12 ศพระเบิดทันที แต่ไม่เหมือนกับการระเบิดโดยทั่วไป พลังงานนั้นถูกควบคุมไว้ คลื่นความสั่นสะเทือนของแรงระเบิดไม่มากพอจะทำอันตรายนักรบคนอื่นๆที่อยู่บริเวณนั้น


เพียงครู่เดียว นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ทั้ง 12 คนก็ปลดปล่อยพลังจากวรยุทธของพวกเขาออกมา เติมเต็มค่ายกลขนาดใหญ่ด้วยพลังงานนั้น


“เจ้าสำนักจางคิดจะ…เพิ่มความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณในอากาศหรือ?”


“แต่นั่นจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปหน่อยไหม หรือไง?”


“ใหญ่แน่ล่ะ! ทวีปที่ถูกลืมมีนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ตั้งมากมาย ว่ากันว่าถ้าขัดเกลาพลังงานที่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เหล่านั้นปลดปล่อยออกมา พลังงานนั้นก็จะถูกซึมซับได้ง่ายขึ้นอีกมาก!”


“ก็คงเป็นอย่างนั้นแหละ แต่ช่องว่างระหว่างวรยุทธเสมือนอมตะกับอมตะตัวจริงนั้นห่างกันเกินกว่าจะก้าวข้าม นักรบคนหนึ่งจะต้องปราดเปรื่องมากพอถึงจะสำเร็จวรยุทธอมตะตัวจริงได้ เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ…”


“ผมว่าคุณพูดถูก ถ้ามีความปราดเปรื่องไม่พอ ต่อให้ได้ทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธที่มีคุณภาพดีขนาดไหน ก็ไม่ช่วยอะไร!”


หลังจากได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ฝูงชนพากันตาโต ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่าจางเซวียนกำลังพยายามทำอะไร


เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการฝ่าด่านวรยุทธให้กับบรรดานักรบขั้นเสมือนอมตะที่กำลังจะก้าวไปสู่ขั้นอมตะตัวจริง


ด้วยการใช้พลังจากศพของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ 12 คนบวกกับวรยุทธของศพเหล่านั้นเพื่อช่วยเหลือทุกคนให้ฝ่าด่านวรยุทธ…นี่เป็นเรื่องใหญ่โตที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในทวีปที่ถูกลืม


อันที่จริง ใช้คำว่า ‘ใหญ่โต’ ก็ออกจะน้อยไป… ‘ฟุ่มเฟือย’ น่าจะเป็นคำที่เหมาะสมกว่า!


ในแง่ของวรยุทธ สำหรับนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์คนหนึ่งที่เสียชีวิตไปแล้ว ก็ยังจัดว่าเหนือชั้นกว่านักรบขั้นเสมือนอมตะทั้งหมดที่มารวมตัวกัน


ยิ่งไปกว่านั้น แม้จะเป็นความคิดที่ไม่เลวในการยกระดับวรยุทธให้กับนักรบขั้นเสมือนอมตะด้วยวิธีนี้ แต่ปัญหาก็คือมันไม่น่าจะเป็นวิธีแก้ไขที่ดีพอ


ทั้ง 6 สำนักใหญ่ต่างทุ่มเททรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธให้เฉพาะกับบรรดาศิษย์สายตรงที่ปราดเปรื่องที่สุดเท่านั้น ก็เพราะกระบวนการดังกล่าวเป็นเรื่องสิ้นเปลืองมาก การพิสูจน์โดยใช้เวลาเนิ่นนานนับไม่ถ้วนบ่งบอกชัดว่านักรบคนหนึ่งจะไปได้ไกลกว่าวรยุทธพื้นฐานของตัวเองก็เพราะความปราดเปรื่องของเขาเท่านั้น


ต่อให้อยู่ภายใต้คำชี้แนะของครูบาอาจารย์ระดับโลก ในโลกนี้ก็มีเหรียญทองเพียงเหรียญเดียว


หากมีความปราดเปรื่องไม่พอ ต่อให้ขยันหมั่นเพียรหรือมีทรัพยากรมากแค่ไหน ก็จะมีเพดานล่องหนคอยสกัดกั้นความก้าวหน้าของนักรบคนหนึ่งอยู่


ในบรรดานักรบขั้นเสมือนอมตะจำนวน 80,000 ชีวิตที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่ เป็นไปได้ว่าชั่วชีวิตของพวกเขา คงมีผู้ที่ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จไม่ถึง 1 ใน 10 เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ความหวังของจางเซวียนจึงไม่น่าจะเป็นจริงได้


แต่ก็นั่นแหละ ทุกอย่างมาถึงทางตันแล้ว ลองสักตั้งย่อมดีกว่านั่งเฉยๆอย่างสิ้นหวัง


ขณะที่ฝูงชนพากันส่ายหน้ากับสถานการณ์ที่ทำท่าจะสูญเปล่า จางเซวียนทรุดตัวลงนั่งกลางอากาศ ประกายระยิบระยับสีทองโอบล้อมร่างของเขา ในเวลานั้น เขาดูเหมือนพระพุทธเจ้า!


“เอาล่ะ ผมจะถ่ายทอดหัวใจของการเข้าถึงวรยุทธขั้นอมตะตัวจริงให้กับพวกคุณ”


เสียงของจางเซวียนดังก้องเข้าหูนักรบทุกชีวิตที่อยู่ตรงนั้น ราวกับเข้าไปกระซิบข้างหูเลยทีเดียว


หวู่เฉินหรี่ตาขณะฟังคำบรรยายของจางเซวียนจากด้านล่าง “นี่มัน…ถ้อยคำเรียบง่ายแห่งภูมิปัญญาล้ำลึกของปรมาจารย์ขง?”


นายน้อยเป็นปรมาจารย์ ความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ของเขาให้คนอื่นๆจึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องตั้งคำถาม แต่ความพยายามที่จะบรรยายให้นักรบ 80,000 ชีวิตฟังพร้อมกันในคราวเดียวก็ไม่ใช่งานง่าย นักรบแต่ละคนมีแนวคิดและสภาวะเฉพาะตัวของตัวเอง ดังนั้น เมื่อเปิดการบรรยายให้คนกลุ่มใหญ่ฟัง ผู้บรรยายจึงต้องปรับเนื้อหาของการบรรยายให้กว้างและครอบคลุมกว่าเดิมเพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้ฟังทุกคน แต่เมื่อทำแบบนั้น การจะหว่านล้อมให้ผู้ฟังดื่มดำกับคำพูดของเขาก็ย่อมยากขึ้น


ด้วยเหตุนี้ หากต้องการแก้ไขปัญหาของตัวเอง บรรดานักรบในทวีปแห่งปรมาจารย์จึงพอใจจะรับคำชี้แนะตัวต่อตัวจากเหล่าปรมาจารย์มากกว่า


หวู่เฉินไม่รู้ว่าในยุคสมัยของปรมาจารย์ขง อีกฝ่ายเคยเปิดการบรรยายให้นักรบถึง 80,000 ชีวิตฟังพร้อมกันในคราวเดียวหรือไม่ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นภาพอันยิ่งใหญ่นี้กับตา


ถ้อยคำเรียบง่ายแห่งภูมิปัญญาล้ำลึกแทรกตัวผ่านพลังจิตวิญญาณที่อยู่กลางอากาศลงมาจากท้องฟ้า ซึมซาบเข้าสู่ร่างของนักรบทุกชีวิต


ฝูงชนออกอาการตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆขณะซึมซับทุกถ้อยคำของจางเซวียน ความร้อนรนเข้าเกาะกุมหัวใจขณะที่ร่างของพวกเขาสั่นสะท้าน


เผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำส่วนใหญ่คิดว่าการบรรยายนี้คงไม่มีความหมายกับพวกมัน เพราะสภาวะร่างกายของพวกมันแตกต่างจากมนุษย์มาก แต่หลังจากฟังไปสักครู่ ก็รู้สึกถึงความสั่นสะท้านที่ไล่ไปตามกระดูกสันหลัง ขณะที่รูขุมขนและทางเดินพลังปราณของพวกมันเปิดออก พร้อมรับกระแสพลังจิตวิญญาณอันเข้มข้นนั้น


สิ่งที่จางเซวียนกำลังถ่ายทอดไม่ใช่เทคนิควรยุทธ แต่เป็นชุดความคิดที่สามารถถอดรหัสและทำลายปราการที่ขวางกั้นระหว่างวรยุทธขั้นเสมือนอมตะกับอมตะตัวจริงได้


มันคือตรรกะหนึ่งเดียวของโลก!


เมื่อสามารถทำความเข้าใจและก้าวข้ามทุกปราการได้ ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตชนิดไหนก็จะฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นอมตะตัวจริงได้สำเร็จ


กรงเล็บหลากสี, เป็นชื่อของกุ้งชนิดหนึ่งที่อยู่ในหมู่เผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำ ชื่อของมันมาจากกรงเล็บสีสดใสคู่หนึ่งที่มันมีอยู่


กรงเล็บหลากสีสำเร็จวรยุทธเสมือนอมตะสรวงสวรรค์มาหลายสิบปีแล้ว แต่แต่อุบัติเหตุครั้งหนึ่งทำให้รากฐานวรยุทธของมันชะงักงัน และหลังจากนั้น มันก็ไม่อาจยกระดับวรยุทธได้อีกเลย


ผู้ที่ทำร้ายมันในครั้งนั้นคือศิษย์สายตรงคนหนึ่งจาก 6 สำนักใหญ่ที่มีวรยุทธขั้นอมตะตัวจริง หมอนั่นกับพรรคพวกพยายามจับตัวมันโดยใช้ผงชนิดหนึ่งที่มีฤทธิ์เผ็ดร้อน แต่มันหนีไปได้โดยได้รับบาดเจ็บสาหัส


มันเสียกรงเล็บไปข้างหนึ่ง ทางเดินพลังปราณหลายเส้นถูกทำลาย ถือเป็นปาฏิหาริย์แล้วที่มันยังรักษาระดับวรยุทธที่มีอยู่ไว้ได้


เมื่อไม่นานมานี้ สามราชันย์เรียกรวมพลเผ่าพันธุ์อสูรให้มาที่เกาะคว้าดาว มันคิดว่านี่คือโอกาสที่จะได้เล่นงานหมอนั่นให้เป็นชิ้นๆและนำไปต้มยำทำแกงให้สาแก่ใจ แต่ยังไม่ทันที่จะได้พบตัวอีกฝ่าย เจ้านายของสามราชันย์ก็เปิดการบรรยายเสียก่อน


ตอนที่ 2148 คุ้มกันเจ้าสำนัก!

ตอนแรก มันไม่ได้ใส่ใจการบรรยาย เพราะรู้ดีว่าในสภาพที่เป็นอยู่นี้ คงไม่มีทางยกระดับวรยุทธได้อีกแล้ว แต่หลังจากฟังไปสักครู่ กระดองของมันก็ค่อยๆเรืองแสงสีแดงก่ำออกมาขณะที่กระแสพลังจิตวิญญาณซึมซาบเข้าสู่ร่างกาย กว่ามันจะรู้ตัว วรยุทธของมันก็พุ่งพรวด!


ฟึ่บ! อมตะตัวจริง!


“เราฝ่าด่านวรยุทธได้แล้ว…” กรงเล็บหลากสีปล่อยโฮออกมา


“…เราไม่ต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวว่าจะถูกจับหรือเอาไปต้มยำทำแกงอีก!”


ด้วยวรยุทธขั้นอมตะตัวจริง มันเก่งกาจพอที่จะปกป้องตัวเองได้แล้ว


“ในเมื่อเขาคือเจ้านายของสามราชันย์ ก็ถือเป็นเจ้านายของเผ่าพันธุ์กรงเล็บหลากสีด้วย นับจากวันนี้ไป เราจะมอบความจงรักภักดีให้และสวามิภักดิ์ต่อเขา ต่อให้เขาพยายามฆ่าเราและนำเราไปปรุงกับหัวหอม เราก็จะยอมรับชะตากรรม…”


กรงเล็บหลากสีตัวน้อยจ้องมองร่างที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศขณะตัดสินใจเด็ดเดี่ยว


ภาพแบบเดียวกันเกิดขึ้นกับเผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำชนิดอื่นๆ


หอยบุปผา หอยตลับ หอยนางรม…พวกมันล้วนฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จเช่นกัน


“ผมหิวววววว…”


ไก่น้อยพึมพำขณะจับจ้องเผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำและน้ำลายยืดออกมา “น่าทึ่งจริงๆ…”


เพียงไม่ถึง 1 ชั่วโมง กว่าครึ่งของผู้ที่เคยเป็นแค่นักรบเสมือนอมตะสรวงสวรรค์ก็ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ ทำให้หานเจี้ยนชิวกับคนอื่นๆตกตะลึงเกินกว่าจะพูดอะไร


ความสามารถในการพัฒนาวรยุทธของนักรบคนอื่นๆนั้นถือว่าน่าสะพรึงมาก การบรรยายเพียงครั้งเดียวทำให้นักรบเสมือนอมตะสรวงสวรรค์กว่า 40,000 ชีวิตฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะตัวจริงได้…


นี่คือวีรกรรมที่พวกเขาไม่นึกไม่ฝันว่าจะเป็นไปได้จริง แต่ก็เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาแล้ว


เมื่อเห็นว่าในที่สุดก็ได้จำนวนตามที่ต้องการ จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก เขากล้ำกลืนฝืนความอ่อนล้าไว้ แล้วถ่ายทอดคำสั่งใหม่


“เอาล่ะ รวบรวมพวกที่ฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จแล้วเข้ากับนักรบอมตะตัวจริงคนอื่นๆ หวู่เฉิน, เตรียมแท่นบูชา เราจะประกอบพิธีกรรมเร็วๆนี้!”


พลังปราณของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์มีความบริสุทธิ์มาก ถึงขนาดที่ซึมซับเข้าไปเพียงเสี้ยวเดียวก็เกินพอจะทำให้นักรบเสมือนอมตะสรวงสวรรค์ฝ่าด่านวรยุทธได้แล้ว ซึ่งจางเซวียนใช้ศพของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ถึง 12 คนเพื่อการนี้ พลังเหล่านั้นได้รับการขัดเกลาและส่งต่อผ่านทางค่ายกล


ด้วยการยอมทุ่มทุนของจางเซวียน จึงยากที่นักรบเสมือนอมตะสรวงสวรรค์จะฝ่าด่านวรยุทธไม่สำเร็จ!


แต่แน่นอนว่าการถ่ายทอดความรู้ของจางเซวียนก็มีส่วนสำคัญ เพราะต่อให้นักรบเสมือนอมตะสรวงสวรรค์เหล่านั้นได้รับพลังงานมากพอ ก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายปีกว่าจะฝ่าด่านวรยุทธได้


การบรรยายของเขาช่วยย่นระยะเวลาที่นำไปสู่ความสำเร็จนั้นได้มาก และที่สำคัญกว่าก็คือได้รับความภักดีจากนักรบทั้ง 40,000 ชีวิตด้วย


จางเซวียนรีบเพ่งสมาธิเข้าสู่มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงเพื่อเยียวยาความอ่อนล้า แต่ก็ยังต้องใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะฟื้นตัว


ในช่วงเวลาดังกล่าว หานเจี้ยนชิวกับคนอื่นๆเรียกรวมพลนักรบอมตะตัวจริงทั้งหมด และหวู่เฉินก็จัดเตรียมแท่นบูชาสำหรับการประกอบพิธีกรรมเรียบร้อยแล้วเช่นกัน


“เริ่มกันเถอะ!”


แม้การจัดเตรียมจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่จางเซวียนก็ยังไม่รีบร้อนประกอบพิธีกรรม เขาลอยตัวอยู่กลางอากาศและเปิดการบรรยายอีกชุดหนึ่ง


“สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้คือวิธีการฝึกฝนเทคนิคการต่อสู้…”


ถ้าเขาอยากรวบรวมจิตใจของนักรบทุกชีวิตให้เป็นหนึ่งเดียวกันให้ได้ ก็จะต้องเอาชนะใจของพวกเขาให้ได้เสียก่อน


ซึ่งจางเซวียนคิดว่าไม่มีวิธีไหนดีไปกว่าการถ่ายทอดความรู้ให้นักรบเหล่านั้น ถ้าเขาสามารถเอาชนะใจและได้รับความสำนึกในบุญคุณอย่างสูงสุด พวกนั้นก็น่าจะยิ่งกว่าเต็มใจให้ความช่วยเหลือในการชำระรังสีสวรรค์ที่ปนเปื้อน


“วิธีฝึกฝนเทคนิคการต่อสู้?”


เพราะได้เห็นปาฏิหาริย์ที่จางเซวียนเพิ่งสร้างขึ้นมากับตา ฝูงชนจึงหูผึ่ง คอยฟังว่าเขาจะพูดอะไร ความคาดหวังและความตื่นเต้นอบอวลไปทั่ว


“กุญแจของเทคนิคการต่อสู้อยู่ที่…”


เมื่อเห็นว่าดึงดูดความสนใจของทุกชีวิตได้ จางเซวียนยิ้มน้อยๆขณะบรรยายต่อ


ทุกคำที่เขาพูดออกมาดูจะอ้อยอิ่งอยู่กลางอากาศ เติมเต็มบรรยากาศนั้นด้วยคลื่นความถี่อันแปลกประหลาดที่ไม่เคยมีมาก่อน มันเป็นความรู้สึกที่สอดคล้องกับโลก เป็นความกลมกลืนกับธรรมชาติและสภาพแวดล้อมที่อยู่โดยรอบ


“คุณไม่คิดบ้างหรือว่าการยกระดับประสิทธิภาพการต่อสู้ในเวลานี้น่ะมันสายเกินไป?”


เสียงหนึ่งดังกึกก้อง


ท้องฟ้าสั่นสะท้านขณะที่ร่างหนึ่งปรากฏต่อหน้าต่อตาทุกคน


อีกฝ่ายเป็นชายร่างสูง สวมเสื้อคลุมที่กำลังโบกสะบัด แววตาของเขาปราศจากความเมตตาปรานี


“คุณ…” จางเซวียนหรี่ตา เขาหยุดการบรรยายและลุกขึ้นยืน


ผู้ที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากชายที่หายตัวไปหลังจากฉกฉวยรังสีสวรรค์ไปจากเขา…ปรมาจารย์ขง!


รังสีของปรมาจารย์ขงดูจะหายวับไปโดยสิ้นเชิง หรือถ้าจะพูดให้ชัดเจน อีกฝ่ายปกปิดมันไว้มิดชิดจนไม่อาจหยั่งถึงระดับวรยุทธของเขาได้ แต่ดวงตาคู่นั้นยังคมกริบดังเดิม ทำให้ผู้ที่เผชิญหน้ากับเขารู้สึกอับจนหนทาง


เรื่องนี้มีความเป็นไปได้เพียงข้อเดียว…ปรมาจารย์ขงเข้าถึงระดับของเทพเจ้าแล้ว!


“คุ้มกันเจ้าสำนัก!” หานเจี้ยนชิวตะโกน


นักรบอมตะขั้นสูงจากทั้ง 4 สำนักและเผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำรีบโผขึ้นสู่กลางอากาศเพื่อขวางระหว่างจางเซวียนกับปรมาจารย์ขง เกิดเป็นกำแพงอันแข็งแกร่ง


“เปล่าประโยชน์น่ะ!” ปรมาจารย์ขงคำรามขณะยกมือขึ้น


ฟึ่บ!


ผู้เชี่ยวชาญมากมายเดินออกมาจากมิติที่บิดเบี้ยวอยู่ด้านหลังตัวเขา มีนักรบชื่อดัง 2 คนรวมอยู่ในกลุ่มนั้น คือไป่ซวนเฉิงจากสำนักป้อมปราการกระจกดำ และกู้จุ้ยอวิ๋นจากสำนักอมตะเลือนหาย


ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีนักรบอมตะขั้นสูงอีกกว่าหลายร้อยคน เป็นกองกำลังที่อาจต้านทานได้แม้ต้องเผชิญกับการผนึกกำลังกันของ 4 สำนักใหญ่กับเผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำ


“มีนักรบอมตะขั้นสูงของทั้งสองสำนัก และจากหอนิรันดร์ด้วย…”


ทุกคนรู้สึกหายใจหายคอไม่ออก


หอนิรันดร์คือสุดยอดของทวีปที่ถูกลืมตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา ในเมื่อพวกเขามีนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์กว่า 20 คน จึงไม่แปลกอะไรที่จะมีนักรบอมตะขั้นสูงถึง 500 คน


เมื่อรวมกับนักรบอมตะขั้นสูงจากอีก 2 สำนัก ก็เกิดเป็นกองกำลังที่น่าสะพรึงเกินกว่าจะประเมินได้


หลังจากนำกองกำลังของเขาออกมา ปรมาจารย์ขงก็ไม่แยแสหานเจี้ยนชิวกับคนอื่นๆ เขาจับจ้องอยู่ที่จางเซวียน จากนั้นก็เหยียดริมฝีปากก่อนจะตั้งข้อสังเกต “คุณคงตั้งหน้าตั้งตารอคอยผมสินะ ถึงกับเตรียมแท่นบูชาไว้ที่นี่”


เป้าหมายต่อไปของเขาหลังจากเข้าถึงระดับเทพเจ้าแล้วก็คือช่วงชิงมลทินสวรรค์ที่อยู่ภายในร่างของจางเซวียน


ด้วยพละกำลังที่เขามีอยู่ในเวลานี้ ก็สามารถใช้วิธีอื่นดึงเศษเสี้ยวของสวรรค์มาได้ แต่นั่นจะทำให้ร่างกายบอบช้ำอย่างหนัก อะไรๆจะง่ายขึ้นมากหากเขามีแท่นบูชาอยู่กับตัว


“หานเจี้ยนชิว คุณนำกองกำลังผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดที่มีวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงขึ้นไปออกไปรับมือกับพวกเขา ส่วนการบรรยายของพวกเราที่เหลือจะดำเนินต่อไป” จางเซวียนตะโกนก้อง


จากนั้นเขาก็หันไปมองนักรบอมตะตัวจริงทั้งหนึ่งแสนชีวิตที่อยู่ด้านล่างและพูดต่อ “แก่นสารของเทคนิคการต่อสู้…”


น้ำเสียงของเขามั่นคงและไม่รีบร้อน แม้จะเกิดการปะทะขึ้น แต่บรรดานักรบอมตะตัวจริงก็รู้สึกได้ว่าสภาวะจิตของพวกเขาค่อยๆสงบลงขณะตั้งใจฟังการบรรยาย


จางเซวียนรู้ดีว่าการตัดสินใจของเขาจะส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายมากมาย เพราะไม่มีใครต้านทานพละกำลังของปรมาจารย์ขงได้นอกจากตัวเขา ซึ่งวิธีเดียวที่จะถ่วงเวลาได้ก็คือต้องแลกด้วยชีวิต


แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่น เขารู้ตัวว่าในเวลานี้ยังสู้กับปรมาจารย์ขงไม่ได้ หากยืนหยัดต่อสู้ไปก็มีแต่จะจบเห่


จางเซวียนจึงได้แต่แบกรับความหนักอึ้งของการตัดสินใจครั้งนี้ไว้และดำเนินการบรรยายต่อไป


“ไม่สนใจผมงั้นสิ ใช่ไหม? ผู้ที่ได้รับเลือกจากสวรรค์นี่ช่างโอหังเหลือเกิน!” ปรมาจารย์ขงหน้าดำคร่ำเครียดขณะคำราม


ฟิ้วววว!


เขายกมือขึ้น แล้วไป่ซวนเฉิง กู้จุ้ยอวิ๋น และนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อีกจำนวนหนึ่งจากหอเทพเจ้าก็พุ่งออกมา บรรดานักรบอมตะขั้นสูงก็เคลื่อนไหวเช่นกัน


“คุ้มกันเจ้าสำนัก!” หานเจี้ยนชิวตะโกนออกมาขณะพุ่งทะยานออกไปเผชิญหน้ากับศัตรู


เขาขับเคลื่อนเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้า ทำให้ทั่วท้องฟ้าเต็มไปด้วยกระแสดาบฉี


การสู้รบดำเนินไป นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ปะทะกับนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ ขณะที่นักรบอมตะขั้นสูงก็โรมรันกับนักรบอมตะขั้นสูง มันคือสงครามเต็มรูปแบบที่ทั้งสองฝ่ายกระเหี้ยนกระหือรือจะฉีกฝ่ายตรงข้ามให้เป็นชิ้นๆ


เพียง 2-3 อึดใจหลังจากการสู้รบปะทุขึ้น นักรบอมตะขั้นสูงก็ล้มตายไปทีละคนสองคน ทำให้ศพร่วงลงมาจากกลางอากาศราวกับห่าฝน


นักรบอมตะขั้นสูงผู้สูงส่งในทวีปที่ถูกลืมกำลังล้มตายเป็นใบไม้ร่วงราวกับมนุษย์ธรรมดาสามัญ


ในแง่ของปริมาณนักรบ, 4 สำนักและเผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำยังด้อยกว่าสำนักป้อมปราการกระจกดำ สำนักอมตะเลือนหาย และหอนิรันดร์ แต่ในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ ทั้ง 4 สำนักได้เปรียบกว่ามาก


ด้วยเหตุนี้ การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายจึงยังไม่มีผลแพ้ชนะ ทิศทางของการต่อสู้ยังไม่เอนเอียงไปที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง


“เพื่อเจ้าสำนัก! เพื่อทวีปอันยิ่งใหญ่ของพวกเรา!”


อดีตศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดหมายเลข 1 ของสำนักดาบเมฆเหิน, เหอจิ้งชวน พุ่งเข้าใส่ศัตรู


แม้ไป๋เหรินชิงจะคว้าตำแหน่งของเขาไปหลังจากที่เธอยอมรับจางเซวียนเป็นอาจารย์ แต่เหอจิ้งชวนก็ตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนวรยุทธไม่หยุดหย่อน ถึงวรยุทธของเขาจะยังหยุดอยู่ที่นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ แต่ประสิทธิภาพการต่อสู้ก็เทียบชั้นได้กับนักรบอมตะขั้นสูงส่วนใหญ่


“ฆ่าพวกมันคนหนึ่ง เราเสมอกัน, ฆ่าพวกมันสองคน เราได้กำไร!”


ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดอีกคนหนึ่ง, หลิวยู่เหลียน พุ่งเข้ามาขณะคำรามกร้าว


เกิดเป็นภาพที่ตัดกันอย่างรุนแรงกับบุคลิกนุ่มนวลอ่อนโยนของเธอ


“เพื่อนายท่านของสามราชันย์!” ฝูงปู กุ้ง และสิ่งมีชีวิตใต้น้ำชนิดอื่นๆรวมพลังกัน


ประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกมันลดลงมากเมื่อไม่ได้อยู่ในน้ำ แต่ปริมาณที่มีมากมายก็ช่วยชดเชยความเสียเปรียบข้อนี้ได้ อีกอย่าง เผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำส่วนใหญ่ยังมีกระดองแข็งที่เป็นเกราะป้องกันตามธรรมชาติด้วย


ตอนที่ 2149 นั่นคงจะยากเกินไป!

เมื่อทั้งสองฝ่ายทัดเทียมกันแทบจะทุกด้าน การสู้รบครั้งนี้จึงโหดร้ายและยืดเยื้อยาวนาน


“ถึงตาเราแล้ว…”


ปรมาจารย์ขงไม่แยแสการรบราฆ่าฟันที่เกิดขึ้น เขาก้าวพรวดออกไปทีเดียว ครอบคลุมระยะทางหลายสิบลี้ในชั่วพริบตา ยังไม่ทันที่ใครจะรู้ตัว เขาก็ไปยืนจังก้าอยู่ตรงหน้าจางเซวียน


แต่พริบตาต่อมา ค่ายกลที่สร้างขึ้นจากธงค่ายกลหนึ่งแสนอันก็ปล่อยเสียงหึ่งเบาๆออกมา เกิดปราการแสงขนาดใหญ่ล้อมรอบร่างของจางเซวียนกับนักรบอมตะตัวจริงทั้งหนึ่งแสนชีวิตเอาไว้


ค่ายกลนี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพียงเพื่อป้องกันพลังจิตวิญญาณไม่ให้รั่วไหลออกสู่บรรยากาศ แต่เพื่อปกป้องผู้ที่อยู่ภายในด้วย ต่อให้นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ก็ไม่อาจฝ่าเข้าไปได้โดยง่าย


ฟึ่บ!


ปรมาจารย์ขงกระดิกนิ้ว เขาสร้างรอยแยกและก้าวเข้าไป ปราการนั้นไม่อาจยับยั้งปรมาจารย์ขงไว้ได้แม้เพียง 1 วินาที


หลังจากเข้าสู่ค่ายกล ปรมาจารย์ก็จับจ้องที่แท่นบูชาทันที


กิริยานั้นทำให้หวู่เฉินสูญเสียการควบคุมแท่นบูชา มันสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ราวกับพร้อมจะลอยละลิ่วเข้าหาปรมาจารย์ขงได้ทุกเมื่อ


หวู่เฉินรีบกัดนิ้วและหยดเลือดของเขาลงไปบนแท่นบูชา


แท่นบูชาที่กำลังสั่นสะท้านค่อยๆสงบลงเมื่อได้เลือดเป็นบรรณาการ แม้จะยังสั่นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่รุนแรงแบบเดิม


“หัวหน้าตู้ ช่วยผมที!” หวู่เฉินร้องออกมาด้วยใบหน้าซีดเผือด


ตู้ชิงหย่วนที่กำลังต่อสู้กับนักรบอมตะขั้นสูง 2-3 คนรีบผละจากคู่ต่อสู้เพื่อเข้ามาถ่ายทอดพลังปราณเข้าสู่แท่นบูชา


เมื่อเธอทำแบบนั้น แท่นบูชาจึงสงบนิ่ง


ปรมาจารย์ขงไม่แยแส เขาหันไปพูดกับจางเซวียน “คุณจะนำมันออกมาเอง หรือต้องให้ผมจัดการ? รู้ไว้ด้วยนะว่าจบไม่สวยแน่ถ้าผมต้องลงมือ”


ฟึ่บ!


แม้จะดูเหมือนปรมาจารย์ขงไม่ได้ทำอะไร แต่จางเซวียนก็รู้สึกว่ามิติที่อยู่รอบตัวเขาหนักอึ้ง เกิดเป็นปราการที่กักขังเขาไว้ ไม่อาจหลบหนีออกไปได้


แม้จะเป็นอย่างนั้น จางเซวียนก็ยังดำเนินการบรรยายของเขาต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


ต่อให้ปรมาจารย์ขงฝ่าปราการเข้ามา พยายามฉกฉวยแท่นบูชาไป และเปิดการโจมตีใส่เขา การบรรยายของเขาก็จะไม่มีวันหยุดชะงัก


นักรบอมตะตัวจริงทั้งหนึ่งแสนชีวิตยังคงดื่มด่ำกับคำบรรยาย ถึงจุดที่ไม่แม้แต่จะรับรู้ว่าอันตรายใหญ่หลวงกำลังเข้าประชิดตัว


“การถ่ายทอดลิขิตสวรรค์ ถ้อยคำเรียบง่ายแห่งภูมิปัญญาล้ำลึก…ลูกไม้ตื้นๆที่ล่อลวงหัวจิตหัวใจของพวกงี่เง่าให้ยอมสวามิภักดิ์และทอดกายรับใช้ นั่นคือวิธีการที่เขาชื่นชอบและช่ำชอง ซึ่งดูเหมือนคุณก็เชี่ยวชาญไม่เบานะ แต่นั่นแหละ มันสายไปแล้ว” ปรมาจารย์ขงคำรามขณะเงื้อมือขึ้น เตรียมเล่นงานจางเซวียน


“คุ้มกันเจ้าสำนัก!”


หวู่เฉินกับตู้ชิงหยวนพุ่งปราดเข้ามาอย่างพรั่นพรึงเพื่อปกป้องจางเซวียน แต่พริบตาต่อมา ลำแสงมากมายก็ระเบิด ขวางทางปรมาจารย์ขง


“ถ้าคุณคิดจะทำร้ายท่านอาจารย์ของเราล่ะก็ ข้ามศพของพวกเราไปก่อน!” พละกำลังมหาศาลของวัยรุ่น 11 คนแทบจะฉีกกระชากท้องฟ้าให้ขาดออกจากกัน


พวกเขาคือจ้าวหย่า เจิ้งหยาง และคนอื่นๆ!


ศิษย์สายตรงทั้ง 11 คนของจางเซวียนสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์แล้ว และต่างก็มีของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่ท่านอาจารย์มอบให้ ด้วยการผนึกกำลังกันอย่างไร้ที่ติ พวกเขาจึงทำได้แม้แต่ปัดป้องพละกำลังจากฝ่ามือของปรมาจารย์ขง


“หวู่เฉิน เริ่มพิธีกรรม!”


ด้วยการกระดิกนิ้ว รังสีสวรรค์ที่จางเซวียนได้มาจากเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายก็พุ่งลงสู่แท่นบูชา


“โอ เทพเจ้าผู้สูงส่ง ผม, หวู่เฉิน ขอมอบความจงรักภักดีและความศรัทธาอย่างจริงใจของจิตวิญญาณทั้ง 100,000 ดวง ขอวิงวอนให้ช่วยชำระรังสีสวรรค์นี้ให้บริสุทธิ์…”


สองเสียงประสานกันอย่างพร้อมเพรียง-หวู่เฉินกับตู้ชิงหย่วน คนหนึ่งยืนอยู่ทางซ้ายของแท่นบูชา ขณะที่อีกคนอยู่ทางขวา ทั้งคู่ชูนิ้วชี้ขึ้นสู่สรวงสวรรค์ขณะปล่อยเลือดให้หยดลงสู่แท่นบูชา ลำแสงเจิดจ้าส่องสว่างออกไปโดยรอบขณะที่พลังจิตวิญญาณเข้มข้นเข้าโอบล้อมนักรบอมตะตัวจริงทั้งหนึ่งแสนชีวิตไว้


ฟึ่บ!


เปลวเพลิงสีเหลืองนวลลุกโพลงขึ้นเหนือแท่นบูชา ลามเลียรังสีสวรรค์ที่มีสีดำสนิท แต่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับรังสีสวรรค์สีดำนั้นเลย


“ในบรรดานักรบอมตะตัวจริงทั้งหนึ่งแสนชีวิต มีบางส่วนที่ยังไม่ได้เปิดใจเต็มที่” ตู้ชิงหย่วนกัดฟันพูด “เปลวเพลิงจะต้องเปลี่ยนเป็นสีทอง ถึงจะชำระรังสีสวรรค์ให้ปลอดจากองค์ประกอบของการเสื่อมถอยได้!”


เพราะได้รับการถ่ายทอดกรรมวิธีการประกอบพิธีกรรม เธอจึงรู้ดีว่าเงื่อนไขที่จะทำให้ประสบความสำเร็จคืออะไร


เมื่อจิตวิญญาณของนักรบอมตะตัวจริงทั้งหนึ่งแสนชีวิตรวมกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างแท้จริงเท่านั้น เปลวเพลิงบนแท่นบูชาถึงจะเปลี่ยนเป็นสีทองอร่าม การที่เปลวเพลิงยังคงเป็นสีเหลืองนวลบ่งบอกว่าจิตวิญญาณของพวกเขาเพิ่งรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น!


“ถ้าผมมีเวลามากกว่านี้สักหน่อย…” จางเซวียนพึมพำพร้อมกับส่ายหน้า


ในบรรดานักรบอมตะตัวจริง 100,000 ชีวิต มีเพียง 50,000 ชีวิตเท่านั้นที่อยู่เคียงข้างเขา และนั่นรวมถึงนักรบเสมือนอมตะสรวงสวรรค์ 40,000 ชีวิตที่เพิ่งฝ่าด่านวรยุทธไปเมื่อครู่นี้ด้วย ไม่ใช่เพราะการบรรยายของเขาไม่อาจดึงดูดใจนักรบเหล่านั้น แต่เวลาที่เขาใช้ยังสั้นเกินไป!


ความเชื่อถือและความไว้วางใจต้องการเวลาในการบ่มเพาะ


ต่อให้เป็นความผูกพันอันลึกซึ้งระหว่างพ่อแม่กับลูก ถ้าไม่ใช่เพราะการบ่มเพาะดูแลด้วยความเอาใจใส่และการอยู่เคียงข้าง ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็คงเป็นไปอย่างตื้นเขิน


เรื่องนี้ย่อมเป็นความจริงที่ชัดเจนขึ้นอีกเมื่อเป็นความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์


ความผูกพันระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์อาจลึกซึ้งได้ แต่ต้องการระยะเวลาในการบ่มเพาะอย่างเอาใจใส่ นั่นคือสิ่งหนึ่งที่ตอนนี้จางเซวียนยังขาดไป


ถ้าเขามีเวลาอีกสัก 1 ชั่วโมง คงไม่ต้องเสี่ยงอันตรายแบบนี้


“นั่น…รังสีสวรรค์จากเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย? เจ้าโครงกระดูกสีดำงี่เง่ามอบมันให้คุณจริงๆหรือนี่? ไอ้สารเลว! ทำไม? ทำไม?”


ปรมาจารย์ขงที่กำลังรับมือกับจ้าวหย่าและพรรคพวกเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้านล่าง และเข้าใจความมุ่งหมายของจางเซวียนทันที นัยน์ตาของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธเกรี้ยว


ในฐานะผู้ที่มีชีวิตอยู่มาหลายพันปี เขาเองก็รู้ความลับของเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย


อันที่จริง เขาเคยเข้าสู่พื้นที่นั้นเพื่อเสาะหาสมุนไพรบางชนิด แต่แล้วหลายอย่างก็เกิดขึ้น


ทั้งสองครั้งที่เขาสำรวจลึกเข้าไปในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย เขาได้พบกับโครงกระดูกสีดำตัวหนึ่ง แต่หมอนั่นทำตัวเป็นปฏิปักษ์อย่างรุนแรง โจมตีเขาโดยไม่ลังเล อย่าว่าแต่จะได้รังสีสวรรค์เลย เขายังเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่นั่น!


ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องล่อลวงจางเซวียนให้เข้าท้าทายหอเทพเจ้าเพื่อให้ได้รังสีสวรรค์มา แทนที่จะลงมือทำเอง


ว่าแต่…ทำไม?


โลกนี้ขัดขวางเขามาตลอด แต่กลับปล่อยให้ชายหนุ่มคนนี้ทำทุกอย่างที่เขาไม่เคยทำได้!


นี่มันไม่ยุติธรรม! ปรมาจารย์ขงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวและปล่อยพลังจากฝ่ามือ


การโจมตีครั้งนี้แข็งแกร่งกว่าครั้งก่อนเป็น 2 เท่า ทำให้ค่ายกลสั่นสะท้านอย่างรุนแรงขณะที่มิติโดยรอบแหลกสลายเพราะแรงกดดันนั้น


“สกัดกั้นไว้!” จ้าวหย่าร้องออกมาขณะรับมือกับกระแสดาบฉีที่พุ่งลงมาเป็นห่าฝนเพื่อยับยั้งการโจมตีของปรมาจารย์ขง ราวกับเสาหินที่ยืนหยัดค้ำยันสรวงสวรรค์


เจิ้งหยางพรวดออกมาและจ้วงแทงหอกเข้าใส่มิติที่แตกสลาย พยายามผลักดันการโจมตีนั้นกลับไป


เว่ยหรูเหยียน ขงซือเหยา หลิวหยาง หวังหยิ่ง ตั้นเฉี่ยวเทียน ลู่ชง ไป๋เหรินชิง จางจิ่วเซี่ยว และหยวนเทาก็ทำแบบเดียวกัน


ศิษย์สายตรงทั้ง 11 คนของจางเซวียนไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อยทั้งที่ตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน ทุกคนขับเคลื่อนพละกำลังจนเต็มพิกัดและรักษาความมั่นคงของมิติไว้ได้แม้ความวอดวายจะถาโถมเข้าใส่อย่างไม่ลดละ


“พวกนั้นต้านทานไว้ได้ไม่นานหรอก จับตาดูให้ดี!”


เห็นหวู่เฉินนิ่งอึ้งด้วยความตกตะลึง จางเซวียนรีบส่งโทรจิตหาอีกฝ่ายขณะบรรยายต่อไป


ขณะที่การบรรยายดำเนินไปเรื่อยๆ สีของเปลวเพลิงสีเหลืองนวลบนแท่นบูชาก็เข้มขึ้น ค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นสีทอง


“นายน้อย ถ้าเป็นแบบนี้ เรายังต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 15 นาทีกว่าจะรวบรวมจิตใจของพวกเขาให้เป็นหนึ่งเดียวได้ ผมเกรงว่าพวกนั้นจะยื้อไว้ได้ไม่นานพอ!” หวู่เฉินพูดอย่างวิตก


เปลวเพลิงสีเหลืองนวลเปลี่ยนสีไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ดูเหมือนพวกเขาไม่น่าจะทำสำเร็จได้ทันเวลา


ด้วยความแข็งแกร่งและอดทนของจ้าวหย่ากับพรรคพวก ก็น่าจะสกัดกั้นปรมาจารย์ขงผู้ทรงพลังอย่างล้นเหลือไว้ได้หลายอึดใจ แต่หากต้องยื้อให้ได้ถึง 15 นาที…


นั่นคงจะยากเกินไป!


ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่าไม่ต่างอะไรกับการหวังให้เกิดปาฏิหาริย์!


“ผมรู้ แต่เราต้องต้านทานไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้” จางเซวียนตอบอย่างเคร่งเครียด


การบรรยายเดินหน้าต่อไปโดยไม่หยุดยั้ง เหล่านักรบที่อยู่ด้านล่างดูจะไม่รับรู้อย่างสิ้นเชิงถึงนรกบนดินที่อยู่รอบตัวพวกเขา ทุกคนขับเคลื่อนพลังปราณอย่างไม่ลดละขณะที่ความเข้าใจในเทคนิคการต่อสู้ล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ


การโจมตีของปรมาจารย์ขงรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ถึงจุดที่ไม่อาจยับยั้งได้


รอยแยกแห่งมิติเริ่มทำลายมิติที่เคยมั่นคง จ้าวหย่ากับพรรคพวกกระเด็นไปอย่างแรง ทุกคนกระอักเลือดออกมา


การปะทะเมื่อครู่ทำให้พวกเขาบอบช้ำสาหัส


ปรมาจารย์ขงเป็นผู้ไร้เทียมทานในบรรดานักรบระดับเดียวกันกับเขาอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับความจริงที่ว่าตอนนี้เขาได้ฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ความเป็นเทพเจ้า ในฐานะผู้เป็นสุดยอดของมิติเบื้องบน เขาไม่ใช่คนที่จ้าวหย่ากับคนอื่นๆจะเล่นงานได้


“คนอย่างพวกคุณน่ะไม่เก่งกาจพอจะชำระรังสีสวรรค์หรอก หากอยู่ในมือของผม จะมีประโยชน์มากกว่า”


หลังจากสอยจ้าวหย่ากับพรรคพวกกระเด็นไป ปรมาจารย์ขงยื่นมือเข้าหาแท่นบูชา


รู้ดีว่าไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากกระโจนเข้าสู้ จางเซวียนชักดาบถงซังออกมาเพื่อสำแดงเจตจำนงเพลงดาบพร้อมกับดำเนินการบรรยายของเขาต่อไป


จางเซวียนพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่เคลื่อนไหวเพื่อไม่ให้การบรรยายถูกขัดจังหวะ พิธีกรรมอาจล้มเหลวได้หากมีสิ่งใดผิดพลาด


ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องแสดงตัว


ตาข่ายขนาดมหึมาปรากฏขึ้นครอบคลุมทั่วทั้งท้องฟ้า เกิดเป็นปราการขนาดใหญ่ที่ขวางฝ่ามือของปรมาจารย์ขงไว้


“ถ้าผมยังฝ่าด่านวรยุทธไม่สำเร็จ กระบวนท่านี้ของคุณคงทำให้ผมลังเลอยู่บ้าง…แต่คุณคิดจริงๆหรือว่าทำแบบนี้แล้วจะยับยั้งผมได้?” ปรมาจารย์ขงหัวเราะหึๆขณะปล่อยพลังจากฝ่ามือต่อไป


ครืดดดด!


รอยร้าวปรากฏบนตาข่าย


หัวใจเส้นด้ายสอดประสานพันปม


มันคือกระบวนท่าที่เหนือชั้นยิ่งกว่าศิลปะเพลงดาบเทียบฟ้า ทำให้จางเซวียนกลายเป็นผู้ไร้เทียมทานในบรรดานักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ด้วยกัน แม้เทพเจ้าทั่วไปก็คงจนปัญญา…


แต่คู่ต่อสู้ของเขาคือปรมาจารย์ขง!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)