ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 214-229

 ตอนที่ 214 ทำลายค่ายกล

โดย

Ink Stone_Fantasy

ต่งไทเฮากล่าวอย่างราบเรียบ จากนั้นก็ขยับแขนชี้นิ้วไปทางม่านแสง


เสียงดัง “หวึ่ง!” ขึ้นมาในทันที จากนั้นรอยแตกสีขาวก็ม้วนตัวในชั้นม่านแสงสีฟ้า พริบตาเดียวมันก็ฟืนคืนกลับมาเป็นปกติ


เมื่อนางทำทุกอย่างนี้เสร็จ นางก็ไม่สนใจผู้คนที่อยู่นอกม่านแสง จากนั้นก็ลอยลงด้านล่างท่ามกลางองครักษ์ที่รุมล้อมเป็นจำนวนมาก


ผู้บัญชาการแขกจิตวิญญาณทองคำทั้งสามกับผู้ฝึกฝนของราชวงศ์เหล่านั้น ยืนสังเกตผู้คนนอกม่านแสงอยู่ที่เดิม


ผู้ฝึกฝนระดับสูงที่รวมตัวเป็นพันธมิตรกัน ต่างก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้


……


“เป็นอย่างไรบ้างเสด็จแม่! ผู้ฝึกฝนเหล่านั้นจะหยุดโจมตีพระราชวังไหม?” พอเท้าทั้งคู่ของต่งไทเฮาเหยียบลงใจกลางพระราชวัง เสวียนจื้อที่ยืนกระสับกระส่ายอยู่บริเวณนั้นก็พุ่งเข้ามา และถามอย่างเป็นกังวล


ข้างกายเขายังมีชายฉกรรจ์ร่างยักษ์กับหญิงวัยกลางคนใบหน้าธรรมดาคนหนึ่ง


ทั้งสองก็คือจวี้เจิงกับหลินเส่านั่นเอง!


“วางใจเถอะ! แม้ว่าคนเหล่านี้จะร่วมมือกัน แต่ก็เป็นแค่การรวมตัวของกลุ่มอิทธิพลหลายกลุ่มๆ หลังจากที่ข้าแสดงพลังอันแข็งแกร่งออกไป ได้สร้างความยุ่งยากให้พวกเขาไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง พวกเขาย่อมไม่กล้าเอาชีวิตเข้าเสี่ยงแล้ว อีกอย่างถ้าพวกเขาจะโจมตีต่อไป ข้าจะใช้ชั้นจำกัดสั่งสอนอย่างโหดเหี้ยมจนต้องถอยออกไปเอง ว่าแต่ขุนนางใหญ่เหล่านั้น จัดการเรียบร้อยแล้วใช่ไหม? ถึงแม้คนเหล่านี้จะอ่อนแออย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่มันมีอิทธิพลต่อมนุษย์ธรรมดาเป็นอย่างมาก เพียงแค่ปราบพวกเขาให้อยู่มือ ภายหน้ามันจะเป็นผลดีต่อเราในการจัดการกับมนุษย์ธรรมดาในแคว้นค้าเสวียนเป็นอย่างมาก” ต่งไท่เฮากล่าวอย่างสบายๆ


“เสด็จแม่วางใจได้! ตอนนี้ขุนนางใหญ่เหล่านั้นต่างก็ถูกป้อนสุราเมาร้อยวัน ถ้าไม่ได้โอสถมาถอนก็ไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้” เสวียนจื้อกล่าวด้วยความผ่อนคลาย


“อย่างนี้ก็ดี หลินเส่า ครั้งนี้เจ้าสามารถปล่อยกงซุนหลง และคนอื่นๆ ที่ฝึกฝนสำเร็จออกจากการเก็บตัวก่อนเวลาที่กำหนด นับว่าได้สร้างผลงานยิ่งใหญ่ กลับเผ่าไปแล้ว ข้าจะให้ท่านพ่อเลื่อนตำแหน่งให้เจ้า” ต่งไทเฮาหันมากล่าวกับหญิงวัยกลางคนที่อยู่ด้านข้างด้วยความพอใจ


“มิกล้า! ข้าน้อยเพียงใช้วิธีการเล็กน้อยทำให้พวกเขาออกมาก่อนกำหนดเท่านั้น ตอนนี้พวกเขาแต่ละคนต่างก็ฝึกพลังปีศาจที่คุณหนูให้จนพลังก้าวหน้าไปอีกขั้น แต่จะเป็นหรือตายล้วนอยู่ในกำมือของคุณหนูแล้ว อีกอย่างเมื่อเวลาผ่านไป จิตรับรู้ของพวกเขาก็จะค่อยๆ เลอะเลือน ในที่สุดก็จะกลายเป็นหุ่นเชิดที่ไร้ซึ่งจิตใจและสติปัญญา” หลินเส่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม


“นี่เป็นผลมาจากปราณโลหิตปีศาจที่ท่านพ่อมอบให้ขวดนั้น มิเช่นนั้นต่อให้พวกเขาจะฝึกพลังปีศาจดังกล่าว แต่ก็ไม่สามารถเห็นผลได้รวดเร็วเช่นนี้ เวลาที่เหลือ พวกเราเพียงแค่ค่อยๆ รอต่อไป ใช่สิ! การกระตุ้นค่ายกลสี่สมุทรพลิกฟ้า ทำให้พวกเราถูกตัดขาดการติดต่อกับภายนอก ข้าจำได้ว่าแผนการเดิมที่นัดหมายไว้ อีกสองเดือนข้างหน้าธิดาเทพเผ่าเกล็ดแดงจะมารวมตัวกับพวกเราที่เสวียนจิง นับดูเวลาแล้ว พวกเขาคงใกล้จะลงมือกับแคว้นไห่เยวี่ยแล้วใช่ไหม!” ต่งไทเฮาพลันนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้จึงถามออกไป


“มันเป็นเช่นกัน แต่เผ่าเกล็ดแดงไม่ถูกกับเผ่าเกล็ดเขียวเรามาโดยตลอด ไม่รู้ว่าทำไมเบื้องบนถึงส่งนางมาเสวียนจิง” หลินเส่ากล่าวอย่างนอบน้อม


“ง่ายมาก! ตามที่ตกลงกันของทั้งสามเผ่า แคว้นต้าเสวียนจะเป็นของเผ่าเกล็ดแดงครึ่งหนึ่ง เพื่อการพิจารณาที่เป็นธรรม ธิดาเทพเผ่าเกล็ดแดงย่อมอยากมาเสวียนจิงเองสักครั้ง เอาล่ะ! เรื่องเกี่ยวกับเผ่าเกล็ดแดงไม่ต้องไปคิดมาก บิดาข้าและคนอื่นๆ ย่อมแย่งชิงผลประโยชน์ดีๆ ที่เพียงพอให้กับเผ่า อีกอย่าง เมื่อนางมาถึงเสวียนจิงจริงๆ เรื่องใหญ่ทั้งหมดก็สงบลงแล้ว ตอนนี้ข้าหวังว่าจะต้องเปิดฉากเรื่องใหญ่ให้ตรงเวลา มิเช่นนั้นพวกเราคงได้สนุกกันใหญ่แน่” ต่งไทเฮาหัวเราะอย่างเยือกเย็น และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย


“คุณหนูวางใจได้! พวกเราทั้งสามเผ่าเริ่มวางแผนนี้มานานหลายสิบปี วันเปิดฉากสำคัญเช่นนี้ จะเปลี่ยนแปลงง่ายๆ ได้อย่างไร” ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์กล่าวอย่างนอบน้อม


“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น เวลาที่เหลือข้าต้องไปควบคุมค่ายกล เรื่องอื่นๆ ต้องมอบให้เจ้ากับจวี้เจิงดูแลแล้ว ใช่สิ! จวี้เจิง! ครั้งก่อนชิวหลงจื่อหนีพ้นเงื้อมมือเจ้าไปได้ ถ้าเกิดเรื่องผิดพลาดอะไรขึ้นมาอีกล่ะก็ อย่าโทษที่ข้าลงโทษตามกฎของเผ่าก็แล้วกัน” ต่งไทเฮากล่าวกับชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น


“ทราบ! ข้าน้อยจะไม่ทำผิดอีก! ครั้งก่อนข้าคิดไม่ถึงว่าชิวหลงจื่อจะบ่มเพาะแมลงจิตวิญญาณตามที่ร่ำลือไว้ มันถึงได้โชคดีหนีออกจากวังไปได้ จะต้องไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองอย่างเด็ดขาด” ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ตอบกลับด้วยความตกใจ


ต่งไทเฮาก็พยักหน้าโดยไม่กล่าวอะไรออกมา


……


ช่วงเวลาในหลายวันต่อมา กลุ่มอิทธิพลที่ร่วมมือกันก็พากันโจมตีชั้นจำกัดนอกพระราชวังอีกหลายครั้ง แต่ใครก็มองออกว่า ถึงแม้คนจะไม่เปลี่ยน แต่พลังในการโจมตีแต่ละครั้งกลับลดลงไปเรื่อยๆ


จนถึงการโจมตีครั้งสุดท้าย ในบรรดาผู้ฝึกฝนเกือบพันคนนั้น มีกว่าครึ่งหนึ่งที่ไม่ยอมออกพลัง


ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่ตำหนิ และทะเลาะกันไปรอบหนึ่งแล้ว ผู้ฝึกฝนระดับสูงหลายคนก็สลายตัวกันไปด้วยความไม่พอใจ


กลุ่มพันธมิตรก็เหลือไว้เพียงแค่ชื่อเท่านั้น


แน่นอนว่าไม่มีใครเริ่มพูดคำว่ายกเลิกพันธมิตรออกมา เพราะถ้าอีกสองเดือนให้หลังชั้นจำกัดนี้ยังอยู่ล่ะก็ พวกเขาก็อาจต้องมารวมตัวเป็นพันธมิตรกันอีกครั้ง


เสวียนจิงที่ดูเหมือนคลื่นใต้น้ำที่ไหลทะลักในช่วงเวลาหนึ่ง กลับดูเงียบสงบเป็นพิเศษ


ครึ่งเดือนผ่านไป


เรือกระดูกขนาดยักษ์ที่มีไอสีดำพวยพุ่งเป็นเกลียวก็มาถึงน่านฟ้าที่อยู่ห่างจากเสวียนจิงไม่ถึงเจ็ดแปดลี้


ชายฉกรรจ์แซ่เหลยกับหลินไฉอวี่ยืนเคียงบ่าอยู่ที่ส่วนหน้าของเรือ พวกเขากำลังมองม่านแสงยักษ์สีฟ้าที่อยู่ไกลๆ ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม


“คลื่นพลังวารีอันน่าตกใจเช่นนี้ ดูท่าทางด้านเผ่าเจ้าสมุทรคงลงมือแล้ว” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยค่อยๆ กล่าวออกมา


“ในเมื่อเผ่าเจ้าสมุทรเหล่านี้ใช้ชั้นจำกัด เห็นได้ชัดว่าอาศัยแค่พลังของตัวเองไม่อาจรับมือกับผู้ฝึกฝนอิสระในเสวียนจิงได้ ดังนั้นคงจะยังไม่เกิดเรื่องร้ายแรงอะไรขึ้น แต่เห็นได้ชัดว่าชั้นจำกัดนี้ไม่ได้สร้างมาจากค่ายกลธรรมดาของเผ่าเจ้าสมุทร ต่อให้พวกเราอยากจะทำลายมัน เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ” หลินไฉอวี่ขมวดคิ้วกล่าว


“ในเมื่อศิษย์พี่เหลยกับศิษย์พี่หลินต่างก็คิดว่าชั้นจำกัดนี้ไม่สามารถทำลายได้ง่ายๆ ถ้าอย่างนั้นไม่สู้รอคนนิกายจันทราสวรรค์มาแล้วค่อยลงมือดีไหม?” น้ำเสียงเบิกบานดังมาจากด้านหลังของทั้งสอง


ผู้พูดเป็นชายผิวดำมี่ทีอายุราวๆ สามสิบกว่าปี เขาอ้าปากเผยให้เห็นฟันสีขาวที่มีอยู่เต็มปาก


และด้านข้างชายผู้นี้ กลับมีผู้อาวุโสที่มีรอยเหี่ยวย่นเต็มใบหน้า สวมชุดคลุมลายนกกระสา ในมือถือไม้เท้าหัวกะโหลก ผอมกระหร่องก่องจนดูเหมือนจะปลิวไปกับลม


“ศิษย์น้องเว่ยไม่รู้อะไร ก่อนออกเดินทางศิษย์พี่ท่านประมุขได้สั่งไว้ว่า จะต้องใช้พลังที่มีอานุภาพจัดการปัญหาในเสวียนจิงให้เร็วที่สุด ถ้ายืดเยื้อไว้นานเกินไปล่ะก็ เกรงว่าจะทำให้นิกายเราดูอ่อนแอไร้ความสามารถ!” หลินไฉอวี่อธิบายด้วยรอยยิ้ม


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้าว่าแล้ว แค่เผ่าเจ้าสมุทรจำนวนหนึ่ง ทำไมต้องให้อาจารย์จิตวิญญาณอย่างพวกเราลงมือพร้อมกันทั้งสี่คนด้วย” ชายผิวดำกล่าวด้วยความแปลกใจ


“ศิษย์น้องเติ้ง เจ้ามีความรู้ทางด้านค่ายกล อีกสักครู่คงต้องให้เจ้าออกแรงแล้ว” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยกล่าวกับผู้อาวุโสที่ใส่ชุดคลุมลายนกกระสา


“ศิษย์พี่เหลยวางใจเถอะ! ศิษย์น้องจะทำอย่างสุดความสามารถ อีกอย่างต่อให้เป็นค่ายกลที่ร้ายกาจ แต่ถ้าไม่มีคนควบคุมที่มีพลังเหมาะสมล่ะก็ จะไม่สามารถกระตุ้นอานุภาพออกมาได้มาก” ผู้อาวุโสชุดคลุมลายนกกระสากระแอมไอเบาๆ แล้วกล่าวด้วยความมั่นใจ


ชายฉกรรจ์แซ่เหลยและคนอื่นเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นมา จากนั้นก็กระตุ้นเรือเหาะพุ่งตรงไปยังม่านแสงสีฟ้าทันที จนเมื่อเหาะมาอยู่ห่างลี้กว่าๆ ถึงได้หยุดลงกลางอากาศ


ขณะนี้ผู้อาวุโสชุดคลุมลายนกกระสาได้หยิบแผ่นควบคุมค่ายกลออกมาจากอก และเริ่มร่ายคาถาแสดงวิชาออกมา


ชายฉกรรจ์แซ่เหลยและคนอื่นๆ ต่างก็รออยู่บนเรืออย่างเงียบๆ


เวลาค่อยๆ ผ่านไป จนเมื่อเวลาผ่านไปราวๆ สามชั่วยาม ผู้อาวุโสชุดคลุมลายนกกระสาถึงได้ถอนหายใจออกมายาวๆ และหยุดการแสดงวิชา


“ข้ารู้แล้วว่านี่คือค่ายกลอันใด คิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นค่ายกลสี่สมุทรพลิกฟ้าอันเลื่องชื่อของเผ่าเจ้าสมุทร!”


“ค่ายกลสี่สมุทรพลิกฟ้า! ข้าเองก็เคยได้ยินชื่อค่ายกลนี้ นี่เป็นหนึ่งในค่ายกลป้องกันที่มีชื่อเสียงของเผ่าเจ้าสมุทร ศิษย์น้องเติ้งมีวิธีทำลายมันไหม?” หลินไฉอวี่ได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป


“ศิษย์พี่วางใจเถอะ! ถ้ามีอาจารย์จิตวิญญาณเผ่าเจ้าสมุทรควบคุมอยู่ล่ะก็ ค่ายกลนี้จะทำลายได้ยากนัก แต่ถ้าเป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณล่ะก็ ภายในห้าวันข้าจะต้องทำลายมันให้ได้!” ผู้อาวุโสชุดคลุมลายนกกระสากล่าวด้วยความมั่นใจเป็นอย่างมาก


“ห้าวัน? ใช้เวลานานไปหน่อย ต่อให้ต้องเสียค่าตอบแทนเล็กน้อย ก็ต้องทำลายค่ายกลให้ได้ภายในสามวัน!” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยฟังมาถึงจุดนี้ ก็ส่ายหน้าแล้วกล่าวออกมา


“ถ้าทำลายค่ายกลภายในสามวันล่ะก็ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ข้าต้องยืมอาวุธจิตวิญญาณประจำตัวของศิษย์พี่เหลยมาใช้ด้วย” ผู้อาวุโสลังเลซักพักแล้วกล่าวสีหน้าเคร่งขรึม


“อาวุธจิตวิญญาณประจำตัวข้า! เรื่องนี้ไม่มีปัญหา!” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยตอบรับในทันที


“ดีมาก! ต่อไปหวังว่าศิษย์น้องเว่ยกับศิษย์พี่หลินจะให้ความร่วมมือกับข้าสักหน่อย ข้าจะเริ่มเตรียมวิธีทำลายค่ายกลแล้ว” ผู้อาวุโสกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง


ชายผิวดำกับหลินไฉอวี่ได้ยินเช่นนี้ ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะไม่ทำตาม


ดังนั้นเวลาต่อมา พวกเขาก็บังคับให้เรือเหาะร่อนลงไปทันที และในที่สุดก็มาจอดอยู่ในป่าที่เขียวชอุ่มเป็นดง


ช่วงเวลาหลายวันที่เหลือ ภายใต้การชี้แนะของผู้อาวุโสชุดคลุมลายนกกระสา คนจำนวนหนึ่งก็ขี่เรือกระดูกยักษ์ไปวางค่ายสะท้อนกลับตามที่ต่างๆ รอบเมืองเสวียนจิง


เมื่อถึงวันที่สาม แท่นหินยักษ์สูงสิบกว่าจั้งได้ผุดขึ้นมาหน้าประตูเมืองทางทิศตะวันออกของเสวียนจิง


ภายใต้การคุ้มกันของอาจารย์จิตวิญญาณอีกสามคน ผู้อาวุโสชุดคลุมนกกระสาได้ปรากฏตัวบนแท่นหินแห่งนี้


พอผู้อาวุโสสะบัดแขนเสื้อ ธงค่ายกลสีแดงจำนวนมากก็พุ่งยิงออกไป และปักอยู่รอบๆ แท่นหิน จากนั้นก็เปลี่ยนรูปร่างเป็นค่ายกลแปลกประหลาดหลังหนึ่ง


ผู้อาวุโสยืนอยู่กลางค่ายกล เพียงแค่เขาทำท่ามือด้วยมือเดียว ธงค่ายกลรอบด้านก็ส่งเสียงหวึ่งๆ ออกมาพร้อมกัน กลิ่นไอร้อนแผดเผาม้วนตัวออกจากใจกลาง และกลายเป็นเมฆอัคคีสีแดงจางๆ ภายในพริบตา


ภายใต้การปล่อยพลังเวทย์เข้าใส่อยู่ไม่หยุดของผู้อาวุโส เมฆอัคคีก็เริ่มกลิ้งไปมาและขยายใหญ่อย่างบ้าคลั่ง


ชั่วเวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งมื้อข้าว มันก็มีขนาดใหญ่หมู่กว่าๆ จนเกือบจะปกคลุมแท่นหินไว้ได้ทั้งหมด


……………………………………….


ตอนที่ 215 โจวเทียนเหอ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ไม้เท้าในมือผู้อาวุโสถูกยกขึ้นในทันที จากนั้นเขาก็ขีดเขียนอะไรบางอย่างไปยังเมฆอัคคีอย่างรวดเร็ว


ผ่านไปไม่นาน อักขระขนาดใหญ่แต่ละตัวลอยออกมาจากเมฆอัคคี หลังจากที่มันหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้ว ก็หายไปบนฟ้าอย่างไร้ร่องรอย


ครู่ต่อมา ค่ายกลที่ถูกวางรอบเมืองเสวียนจิงก็ถูกกระตุ้นพร้อมกัน ค่ายกลแสงสีแดงปรากฏตัวเหนือม่านแสงสีฟ้าเป็นจำนวนมาก และรวมตัวกันเป็นค่ายกลขนาดใหญ่พิเศษ


ค่ายกลนี้เพียงแค่หมุนตัวติ้วๆ และเกาะตัวออกมาเป็นกลุ่มเมฆอัคคีจำนวนมาก มันปกคลุมไปทั่วฟ้าเหนือเมืองเสวียนจิง และพอส่องสะท้อนกับม่านแสงสีฟ้าตรงด้านล่าง ก็ปรากฏเป็นภาพสวยงามน่าหลงใหล


พอคนธรรมดากับบรรดาผู้ฝึกฝนอิสระในเสวียนจิงเห็นเช่นนี้ ต่างก็ตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง


ทันใดนั้นก็มีเสียงฟ้าแลบฟ้าผ่าดังขึ้น สายฟ้าสีเงินเส้นหนึ่งปรากฏตัวท่ามเมฆอัคคี และบิดเบี้ยวไปมาอย่างบ้าคลั่ง พริบตาเดียวก็กลายเป็นอสรพิษอัสนียักษ์ยาวร้อยกว่าจั้ง ดวงตาทั้งสองเยือกเย็นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แสงสายฟ้าสีเงินปกคลุมไปทั่วตัว มันเพียงแค่อ้าปากไปทางด้านล่าง สายฟ้าเส้นหนึ่งก็ผ่าลงไปทันที


แสงสายฟ้าจำนวนมากกระเด็นไปทั่วทิศ


ม่านแสงสีฟ้าสั่นไหวในทันที พื้นผิวกระเพื่อมเป็นวงกลมจนเกิดเป็นระลอกคลื่นสีฟ้า


และในขณะเดียวกัน เมฆอัคคีกลางอากาศก็กลิ้งมารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว อักขระจำนวนมากทะลักออกมาจากในนั้น จากนั้นก็พุ่งยิงไปยังด้านล่างราวกับสายฝน


อักขระแต่ละตัวที่ตกลงบนม่านแสงสีฟ้านี้ไร้ซึ่งสุ้มเสียง แต่มันก็ทำให้พลังของค่ายกลลดลงไปอย่างมาก!


ขณะนี้ อสรพิษอัสนีบนอากาศกลับสั่นหัวกระดิกหางพุ่งลงมาจากที่สูง และใช้หัวพุ่งชนเข้าใส่ม่านแสงอย่างรุนแรง


บังเกิดเสียงสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วปฐพี!


เสวียนจิงทั้งเมืองสั่นสะเทือนขึ้นมาทันที จนกระทั่งบ้านเรือนที่สร้างไม่ค่อยแข็งแรง ต่างก็พากันพังทลายลงมา ไม่รู้ว่ามันทับคนธรรมดาไปมากมายเท่าไหร่


ทั่วทั้งเสวียนจิงวุ่นวายขึ้นมาทันที ผู้ฝึกฝนจำนวนมากพุ่งขึ้นไปบนอากาศ และจ้องมองแสงสีน้ำเงินกับแสงสีแดงที่ผสมปนเปกันด้วยสีหน้าประหลาดใจ


ขณะเดียวกัน ต่งไทเฮาที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับแห่งหนึ่งของพระราชวัง ก็อ้าปากกระอักโลหิตออกมาในฉับพลัน และร้องออกมาด้วยความตกใจระคนโมโห


“เป็นไปไม่ได้ อาจารย์จิตวิญญาณกำลังโจมตีค่ายกลอยู่ ทั้งยังมีผู้เชี่ยวชาญค่ายกลวางแผนโจมตีจุดอ่อนของค่ายกลโดยเฉพาะ ไม่ได้การแล้ว ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็จะประคองค่ายกลทั้งหลังไว้ได้ไม่นาน จำเป็นต้องละทิ้งชั้นจำกัดนอกเมืองเสวียนจิงไปก่อน”


พอกล่าวจบต่งไทเฮาก็หยิบแผ่นค่ายกลตรงหน้าขึ้นมาทันที จากนั้นก็อ้าปากพ่นโลหิตใส่มัน และปล่อยพลังใส่มันอยู่ไม่หยุด


ขณะเดียวกัน ม่านแสงสีฟ้าที่ปกคลุมเสวียนจิงก็ถูกอสรพิษอัสนีพุ่งชนสองสามครั้ง จากนั้นมันก็เปล่งประกายอย่างบ้าคลั่งก่อนที่จะสลายกลายเป็นจุดๆ และหายไป


แต่ม่านแสงที่ปกคลุมพระราชวังอยู่กลับดูหนาขึ้นมาสี่ห้าเท่า ขณะเดียวกันอักขระหลากสีก็ทะลักออหมาจากม่านแสงอย่างแปลกประหลาด และปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ของม่านแสง


ชั้นจำกัดนอกพระราชวังยิ่งดูแปลกประหลาดขึ้นมา


พริบตาที่ม่านแสงนอกเสวียนจิงหายไปนั้น ผู้อาวุโสที่แสดงวิชาอยู่บนแท่นหินกลับมีสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะก่อนกล่าวกับตนเอง


“คิดไม่ถึงว่าคนเผ่าเจ้าสมุทรที่ควบคุมค่ายกลนี้จะเป็นคนเด็ดขาดมาก รู้ว่าข้าหาจุดอ่อนของค่ายกลนี้พบ และใช้พลังของชั้นจำกัดธาตุตรงกันข้ามควบคุมไว้ได้ คนผู้นั้นก็ละทิ้งชั้นจำกัดด้านนอกไป และนำพลังทั้งหมดไปป้องกันชั้นจำกัดที่อยู่ด้านใน”


“ความหมายของศิษย์น้องคือ ค่ายกลนี้ยังไม่ถูกทำลายโดยสมบูรณ์ และคนเผ่าเจ้าสมุทรผู้นั้นรีบชิงทิ้งชั้นจำกัดด้านนอกไปก่อน ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ จะทำลายชั้นจำกัดด้านในได้ยากขึ้นใช่หรือไม่?” ชายแซ่เหลยเองก็โบกมือไปบนอากาศ อสรพิษอัสนีตัวนั้นเคลื่อนไหวทีเดียวก็หล่นลงมาบนมือของเขา และกลายเป็นดาบสั้นสีเงิน ขณะเดียวกันเขาก็ขมวดคิ้วถามออกไป


“อันนี้ข้าก็ไม่แน่ใจมากนัก ข้าต้องเห็นชั้นจำกัดด้านในกับตาตัวเองถึงจะตัดสินได้” ผู้อาวุโสกล่าว


“ถ้าเช่นนั้น พวกเราก็เข้าไปก่อนเถอะ! ใช่สิ! ศิษย์น้องเว่ย เจ้าแจ้งข่าวศิษย์หลานไป๋ให้มาหาพวกเราสักหน่อย! มีเรื่องบางอย่างที่ต้องสอบถามจากตัวเขาเล็กน้อย” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้จึงกล่าวออกไป


“ไม่มีปัญหา ข้าจะส่งข่าวให้ศิษย์หลานไป๋เดี๋ยวนี้” ชายผิวดำได้ยินก็กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ


จากนั้นก็หยิบแผ่นค่ายกลกลมๆ ออกมาจากตัว หลังจากที่ใช้มือข้างหนึ่งวาดอะไรบางอย่างลงไปบนนั้นแล้ว ก็เก็บมันเข้าไปอย่างไม่รู้ไม่ชี้


ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงที่กำลังนั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่ในห้องลับ พลันได้ยินเสียงดังหวึ่งๆ


เขาลืมตาทั้งสองขึ้นมาทันที พอสะบัดแขนเสื้อออกไป แผ่นค่ายกลก็ปรากฏอยู่บนมือ มันค่อยๆ สั่นไหวอยู่ไม่หยุด ขณะเดียวกันก็มีอักขระสีเงินปรากฏออกมาบนพื้นผิวของมัน


หลิ่วหมิงมองไปไม่กี่ที ก็แสดงสีหน้าดีใจออกมา จากนั้นก็เก็บแผ่นค่ายกลพร้อมกับลุกขึ้นผลักประตูแล้วเดินออกไปจากห้องลับ


แต่พอเขาเดินเข้ามาในห้องโถง ก็เห็นหูชุนเหนียงเดินออกมาจากห้องนอนด้วยความตกใจระคนดีใจ และกำลังเดินเข้ามาหาเขา


“ศิษย์น้องไป๋ ผู้อาวุโสนิกายจันทราสวรรค์มาถึงเสวียนจิงแล้ว ข้าเตรียมจะไปรับพวกเขา” พอนางเห็นหลิ่วหมิงก็กล่าวออกมาอย่างไม่ลังเล


“ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้ ข้าเองก็เพิ่งได้รับข่าวว่ากำลังสนับสนุนของนิกายศาจก็มาถึงแล้ว ในเมื่อพวกเราสามารถรับข่าวได้ แสดงว่าชั้นจำกัดของเผ่าเจ้าสมุทรถูกทำลายไปแล้ว” หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่พอคิดใคร่ครวญดูแล้วก็พอเข้าใจขึ้นมาบ้าง


“คงเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นพวกเราออกไปพร้อมกันเถอะ!” หูชุนเหนียงได้ยินก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย และนางก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม


เวลาต่อมา หลังจากหลิ่วหมิงกำชับเฉียนหรูผิงไปสองสามประโยคแล้ว เขากับหูชุนเหนียงก็ออกไปจากถ้ำที่พัก โดยคนหนึ่งสวมหมวกคลุมสีดำ อีกคนใช้ผ้าบางไปปิดใบหน้าที่แท้จริงไว้


ด้านหน้าพระราชวังที่มีม่านแสงแวววาวปกคลุมอยู่ เรือกระดูกสีขาวโพลนที่มีไอสีดำพวยพุ่งเป็นเกลียว กับรถเหาะทองเหลืองคันหนึ่งกำลังจ้องมองกันอยู่ไกลๆ


ชายฉกรรจ์แซ่เหลย และคนอีกสามคนยืนเคียงไหล่อยู่ด้านหน้าของเรือกระดูก


และบนรถทองเหลืองที่อยู่ตรงข้าม มีหญิงสองคนกับชายหนึ่งคนยืนอยู่ หญิงทั้งสองนั้น คนหนึ่งมีอายุราวๆ ยี่สิบเจ็ดถึงยี่สิบแปดปี อีกคนอายุราวๆ สามสิบกว่าปี ใบหน้าสวยสดงดงาม ทั้งสองต่างก็สะพายกระบี่ยาวสีเหลืองกับสีดำอยู่ตรงหลัง และชายผู้นั้นดูเหมือนจะมีอายุสี่สิบกว่าปี เขาสวมชุดคลุมขาวทั้งตัว รัดเข็มขัดหยกตรงเอว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก


“โจวเทียนเหอ เจ้ามาได้ทันเวลาพอดี พวกข้าเพิ่งจะทุ่มเทพลังทำลายค่ายกลของเผ่าเจ้าสมุทรไปได้ นิกายจันทราสวรรค์ของพวกเจ้าก็ตามมาถึงพอดี” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยกล่าวกับฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่สะทกสะท้าน


ในขณะที่พวกเขาทั้งสี่มาถึงบริเวณพระราชวังท่ามกลางสายตาเคารพและยำเกรงของคนในเสวียนจิงจำนวนมาก และกำลังคิดจะโหมพลังทำลายชั้นจำกัดนั้น อาจารย์จิตวิญญาณของนิกายจันทราสวรรค์ทั้งสามคนก็นั่งรถเหาะพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว


และคนที่นำมาก็เป็นอาจารย์จิตวิญญาณที่มีชื่อเสียงที่สุดของนิกายจันทราสวรรค์อย่าง ‘โจวเทียนเหอ’


สิ่งนี้ย่อมทำให้ชายฉกรรจ์แซ่เหลยและคนอื่นๆ ระมัดระวังเป็นธรรมดา


“ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าสหายเหลยจะมาถึงเร็วเพียงนี้ เดิมทีข้าคิดว่าข้ากับศิษย์น้องทั้งสองจะมาถึงก่อนพวกเจ้าก้าวหนึ่ง เอาอย่างนี้เถอะ! ในเมื่อพี่เหลยและคนอื่นๆ ออกแรงทำลายชั้นจำกัดข้างนอกไปแล้ว ชั้นจำกัดตรงหน้านี้ก็มอบให้นิกายจันทราสวรรค์ของเราจัดการดีไหม? ข้าได้พกอัสนีเก้าดารามาด้วยพอดี คิดว่ามันคงรับมือกับชั้นจำกัดนี้ได้อย่างเหลือเฟือ” ชายชุดคลุมสีขาวของนิกายจันทราสวรรค์กลับอมยิ้มแล้วกล่าวออกมา


“อัสนีเก้าดารา!” พอได้ยินชื่อนี้ ต่อให้เป็นคนอย่างชายฉกรรจ์แซ่เหลย ก็สูดหายใจด้วยความรู้สึกเย็นใจสะท้านอย่างอดไม่ได้


หลินไฉอวี่ และคนอื่นๆ ยิ่งรู้สึกตกใจมากกว่า


“ได้! ข้าเองก็เคยได้ยินชื่อเสียงของอัสนีนี้มานาน ว่ากันว่าสามารถต้านทานพลังการโจมตีทั้งหมดของผู้ฝึกฝนระดับผลึกได้ ถ้าอย่างนั้นข้าจะเช็ดหน้าเช็ดตารอดูแล้วกัน” สีหน้าชายฉกรรจ์แซ่เหลยเปลี่ยนไปมาสองสามที จากนั้นก็พยักหน้าช้าๆ


“เฮ่อๆ! ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว” โจวเทียนเหอหัวเราะแล้วหยิบกล่องหยกสีดำจางๆ ออกจากแขนเสื้อทันที บนนั้นมียันต์สีทองติดอยู่สองสามผืน


และขณะที่เขากำลังคิดจะเปิดหล่องหยกนั้น ท้องฟ้าที่อยู่ไกลๆ ก็เกิดการผันผวนขึ้นมา จากนั้นเมฆสีดำขาวสองก้อนก็เหาะเข้ามา


“ดูท่าศิษย์ตรวจตราเสวียนของนิกายข้ากับเจ้าจะมาแล้ว ไม่สู้ฟังพวกเขาพูดอะไรก่อน แล้วค่อยลงมือดีไหม?”


ชายชุดคลุมสีขาวเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็ค่อยๆ หยุดการกระทำลง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ทำตามที่ท่านบอกเลย ข้าไม่มีอะไรคัดค้าน” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยกวาดสายตามองเงาร่างบนก้อนเมฆแล้วกล่าวออกมา


คนที่มาทั้งสองก็คือหลิ่วหมิงกับหูชุนเหนียงนั่นเอง


ทันทีที่หลิ่วหมิงปรากฏตัวบนเรือกระดูก เขาก็โค้งคารวะชายฉกรรจ์แซ่เหลย และคนอื่นๆ ก่อนกล่าวออกมา


“ศิษย์ไป๋ชงเทียน คารวะอาจารย์อาทั้งสี่!”


“ศิษย์หลานไป๋ ครั้งนี้นับว่าเจ้าสร้างผลงานชิ้นใหญ่ให้กับนิกาย แต่ข่าวที่เจ้าส่งมามีบางจุดที่ค่อนข้างคลุมเครือ ตอนนี้เจ้าเล่าเรื่องที่ค้นพบเผ่าเจ้าสมุทรให้พวกข้าทั้งสี่ฟังอย่างละเอียดอีกรอบ ถ้าหากมันเป็นจริงล่ะก็ ข้าจะเป็นตัวแทนของนิกายมอบรางวัลให้เจ้าอย่างงาม” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยมองหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้วกล่าวออกมาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก


“ทราบ! หลังจากที่ศิษย์มาถึงเสวียนจิง ก็เข้าไปเป็นแขกจิตวิญญาณของเรือนร้อยวิญญาณ หลังจากนั้นไม่นาน……” พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็เริ่มเล่าออกมาอย่างไม่ลังเล


“สุดท้ายหลังจากที่ศิษย์ฆ่าเผ่าเจ้าสมุทรทั้งสองที่คืนร่างแล้ว จึงได้เก็บหางของไว้อันหนึ่ง ตอนนี้ข้ากับศิษย์พี่หูแห่งนิกายจันทราสวรรค์ถึงยืนยันได้ว่า พระราชวังถูกเผ่าเจ้าสมุทรครอบครองแล้ว จากนั้นก็ส่งข่าวกลับนิกายอย่างเร็วที่สุด จนถึงตอนนี้ศิษย์ยังเก็บเกล็ดสีเขียวกับหางมัจฉานั้นไว้กับตัวมาโดยตลอด เชิญอาจารย์อาทุกท่านดูได้!”


พอหลิ่วหมิงกล่าวจบ ก็หยิบยันต์เก็บของแบบง่ายๆ ออกมาผืนหนึ่ง เพียงแค่ขยี้มันตามแรงลม เกล็ดสีเขียว และหางปลาสีเขียวที่แห้งเหี่ยวและปกคลุมไปด้วยเกล็ดก็หล่นลงมาท่ามกลางแสงสีขาวที่เปล่งประกาย


ชายฉกรรจ์แซ่เหลยเขม้นตาขึ้นมา พอพลิกมือข้างหนึ่งไปในอากาศ มันก็ดูดของทั้งสองอย่างเข้ามาในมือ หลังจากที่ตรวจสอบดูอย่างละเอียด ก็ส่งของทั้งสองอย่างนี้ให้กับหลินไฉอวี่และผู้อาวุโสชุดคลุมลายนกกระสา โดยไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา


“ไม่ผิด! เป็นหางของเผ่าเจ้าสมุทรอย่างแน่นอน และถูกตัดออกมาได้เดือนกว่าๆ แล้ว”


“แม้ว่ากลิ่นไอบนเกล็ดจะอ่อนมาก แต่ยังหลงเหลือกลิ่นไอของเผ่าเจ้าสมุทรอยู่”


ครู่ต่อมา หลินไฉอวี่กับผู้อาวุโสชุดคลุมลายนกกระสา ต่างก็พยักหน้ายอมรับออกมา


“ดีมาก เอาป้ายประจำตัวของเจ้ามาเถอะ เพื่อเป็นรางวัลของการสร้างผลงานในครั้งนี้ ทางนิกายจะมอบแต้มคุณูปการให้เจ้าห้าพันแต้ม ขณะเดียวกันก็จะมอบยันต์คุ้มครองชีวิตให้หนึ่งผืนด้วย” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยหยิบกระบองสั้นสีทองออกมาจากแขนเสื้อ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าปกติ


……………………………………….


ตอนที่ 216 หงซาน

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ยันต์คุ้มครองชีวิต? หลิ่วหมิงได้ยินก็อึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็มีปฏิกิริยาตอบสนองในทันที ก่อนที่จะยื่นแผ่นป้ายออกไป


ชายฉกรรจ์แซ่เหลยเพียงแค่แตะแผ่นป้ายเบาๆ จากนั้นก็เก็บกระบองสั้นเข้าไป และหยิบยันต์สีทองออกมามอบให้หลิ่วหมิงผืนหนึ่ง


“นี่คือยันต์แสงสีทอง เป็นยันต์หลบหลีกที่พบเจอได้น้อยมาก ถ้าหากพบศัตรูที่แข็งแกร่งเพียงแค่หยิบมันมาใช้ ก็สามารถหลบหลีกได้ด้วยความเร็วที่น่าตกใจ แม้แต่อาจารย์จิตวิญญาณโดยทั่วไปก็ไม่อาจไล่ตามได้ทัน” หลิ่วหมิงได้ยินเสียงที่ส่งมาของชายฉกรรจ์แซ่เหลยดังอยู่ข้างหู


“ขอบคุณอาจารย์อา!”


พอหลิ่วหมิงได้ยินก็มองออกไปด้วยความดีใจ จากนั้นถึงเก็บยันต์สีทองเข้าไปอย่างระมัดระวัง และไปยืนข้างๆ อย่างนอบน้อม


ทางด้านหูชุนเหนียงในเวลานี้ หลังจากที่นางตอบคำถามโจวเทียนเหอกับคนอื่นๆ อีกสองคนแล้ว ก็หยิบแขนอันแห้งเหี่ยวออกมา


โจวเทียนเหอตรวจสอบดูแขนข้างนั้นอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ทันใดนั้นหญิงอายุสามสิบกว่าปีก็เอานิ้วจิ้มแขนอันแห้งเหี่ยวก่อนที่เปลวเพลิงสีแดงจะลุกไหม้ขึ้นมา


ท่อนแขนอันแห้งเหี่ยวเผาไหม้ท่ามกลางเปลวเพลิงอันคุโชน แต่ผ่านไปไม่นานฉากอันน่าแปลกใจก็ได้บังเกิดขึ้น


ท่อนแขนที่ดูเหมือนใกล้จะกลายเป็นเถ้าถ่าน พลันส่งเสียงดัง “ฟู่!” ขึ้นมา สีของเปลวไฟกลายเป็นสีเขียวจางๆ


“สหายเหลย ดูท่าคนเผ่าเจ้าสมุทรเหล่านี้คงจะมีสถานะไม่ธรรมดา ในแขนของเผ่าเจ้าสมุทรท่อนนี้ มีสายโลหิตของเชื้อพระวงศ์อยู่ ถ้าหากสถานที่แห่งนี้มีคนเผ่าเจ้าสมุทรทีมีเชื้อพระวงศ์ล่ะก็ ดูท่าพวกเราคงต้องเปลี่ยนแผนแล้ว!” หลังจากเห็นเหตุการณ์เหล่านี้ โจวเทียนเหอก็กล่าวกับชายฉกรรจ์แซ่เหลยด้วยสีหน้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนไป


“เชื้อพระวงศ์! มันช่างเหนือความคาดหมายยิ่งนัก แต่ในเมื่อมาถึงสถานที่อย่างเสวียนจิง และทำภารกิจอันตรายระดับนี้ ต่อให้จะเป็นเชื้อพระวงศ์ของเผ่าเจ้าสมุทร ก็คงไม่ใช่คนที่สำคัญเท่าไหร่” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยได้ยิน ก็ขมวดคิ้วถามออกไป


“มันก็อาจเป็นไปได้ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ พวกเราไม่อาจเสี่ยงได้ เอาอย่างนี้เถอะ! เดิมทีพวกเราทั้งสองนิกายคิดจะสังหารเผ่าเจ้าสมุทรไปทั้งหมด โดยไม่คิดจะปล่อยให้รอดไปแม้แต่คนเดียว ไม่สู้เปลี่ยนเป็นจัดการเผ่าเจ้าสมุทรธรรมดาทั้งหมด แต่เว้นชีวิตผู้นำไม่กี่คนไว้ เพื่อดูว่าจะสอบถามอะไรจากพวกเขาได้บ้าง?” ชายชุดคลุมสีขาวลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึม


“ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามนี้เถอะ!” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยค่อยๆ กล่าวออกมา


“ดี! งั้นข้าจะใช้อัสนีเก้าดาราทำลายค่ายกลนี้ก่อน” โจวเทียนเหอมีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นมามาก จากนั้นก็ยกกล่องหยกขึ้นมาเปิด


ยันต์สีเหลืองบนหล่องหยกกลายเป็นจุดแสงสีทองก่อนจะสลายไป จากนั้นฝากล่องหยกก็ถูกเปิดอก เผยให้เห็นมุกสีเงินขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือวางอยู่ในนั้น


มุกกลมเม็ดนี้มีผิวแวววาว พื้นผิวของมันถูกปกคลุมด้วยแสงประหลาดจางๆ แต่พอจ้องมองอย่างละเอียด ก็ค้นพบว่ามีอักขระสีเงินเล็กๆ ที่ไม่สามารถมองได้ด้วยตาเปล่าได้อยู่เต็มไปหมด และทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ


โจวเทียนเหอถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะหยิบมุกกลมๆ นี้ออกมาจากกล่องหยก และยกมันขึ้นมา


พริบตานั้น มุกสีเงินก็เริ่มหมุนวนอยู่ในฝ่ามือของเขาช้าๆ แสงสีเงินสลัวค่อยๆ สว่างขึ้นมา ขณะเดียวกันกลิ่นไออันน่าตกใจก็ม้วนตัวออกและลอยขึ้นไปด้านบน


พอผู้ฝึกฝนอิสระที่แอบมองอยู่ด้านล่าง ได้สัมผัสถึงกลิ่นไออันน่ากลัวนี้ ต่างก็พากันหลบห่างออกไปด้วยความตกใจ


เมื่อแสงสีเงินขยายขนาดใหญ่เท่าปากถ้วย โจวเทียนเหอก็สะบัดข้อมือ จากนั้นมุกก็กลายเป็นลูกแสงสีเงินก่อนพุ่งยิงไปยังม่านแสงสีฟ้า


ไม่ว่าจะเป็นหลิ่วหมิง ชายฉกรรจ์แซ่เหลย หรืออาจารย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ ต่างก็เบิกตากว้างโดยไม่ตั้งใจ และเขม้นมองออกไป


เมื่อลูกแสงสีเงินเคลื่อนไหวสองสามที และใกล้จะชนม่านแสงสีฟ้านั้น ม่านแสงตรงหน้าก็พลันสั่นไหวขึ้น เงาร่างราวกับเส้นสีดำบิดตัวออกมา เขาเพียงแค่ขยับแขน ฝ่าสีมือสีแดงขนาดใหญ่จั้งกว่าๆ ก็คว้าเอาลูกแสงสีเงินไว้


“ตู๊ม!”


ลำแสงสีเงินระเบิดตัวท่ามกลางฝ่ามือยักษ์สีแดง จุดแสงสีเงินม้วนตัวกระจายไปทั่วทิศ ไม่เพียงแต่เรือกระดูกกับรถเหาะที่ถูกพัดจนโซซัดโซเซ แม้แต่ม่านแสงสีฟ้าก็เปล่งประกายอยู่ไม่หยุด จนดูเหมือนจะแตกสลายไปได้ตลอดเวลา


“ผู้ใดกัน!”


ได้เห็นฉากเช่นนี้ ชายฉกรรจ์แซ่เหลย และอาจารย์จิตวิญญาณนิกายปีศาจคนอื่นๆ ต่างก็ตกใจจนต้องทำท่าเตรียมรับมือไว้ ส่วนทางด้านโจวเทียนเหอและอาจารย์จิตวิญญาณอีกสองคนต่างก็ชักกระบี่ยาวด้านหลังออกมา


“ฮึ! กะอี่แค่มนุษย์ชั้นต่ำไม่กี่คน แต่กล้าลงไม้ลงมือต่อหน้าข้า ช่างไม่กลัวตายหรือไง!”


เมื่อผ่ามือยักษ์สีแดงสลายไปแล้ว เงาร่างคนผู้นั้นก็บิดตัวกลายเป็นชายวัยกลางคนรูปผอมแห้ง ขนคิ้วสีเหลืองซีด


ชายผู้นี้สวมเกราะหนังสีฟ้า มือทั้งสองสวมใส่ถุงมือสีดำ แต่ระหว่างคิ้วมีผลึกหินสีแดงขนาดเท่าเมล็ดถั่วเลี่ยมฝังอยู่ เขากำลังมองมาด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น


“เผ่าเจ้าสมุทรระดับผลึก!”


พอหลินไฉอวี่เห็นผลึกสีแดงระหว่างคิ้วของชายร่างผอมแห้งอย่างชัดเจน ก็หลุดปากพูดออกมา จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว ไอสีดำพวยพุ่งออกจากพื้นผิวของเรือกระดูก ม่านแสงสีดำปรากฏออกมา เรือกระดูกทั้งลำถูกปกคลุมไว้ในนั้น


อีกด้านหนึ่ง พอโจวเทียนเหอเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็สูดหายใจด้วยความเยือกเย็น และพลันอ้าปากพ่นกระบี่เล็กสีเขียวอ่อนแวววาวออก มันหมุนวนรอบตัวเขาหนึ่งรอบ จากนั้นก็กลายเป็นสายรุ้งยาวหลายจั้ง และดูดหูชุนเหนียงกับหญิงทั้งสองคนเข้าไปในนั้นก่อนที่จะพุ่งออกไปไกลๆ ด้วยเสียงอันดัง


“วิชาขี่กระบี่! มนุษย์ชั้นต่ำ เจ้าคิดว่าความสามารถแค่นี้ จะสามารถหลบพ้นฝ่ามือข้าไปได้หรือ?” ชายที่เพิ่งปรากฏตัว แสดงสีหน้าเหยียดหยามออกมา หลังจากขยับแขน นิ้วทั้งห้าก็แยกออกจากกัน และคว้าออกไปด้านหน้า


“ฟู่!”


สายรุ้งอันน่ากลัวเปล่งประกายออกมา ฝ่ามือสีแดงข้างนั้นปรากฏออกมาอีกครั้ง นิ้วทั้งห้าแยกออกจากกันก่อนที่จะช้อนไปยังด้านล่าง


แม้ว่าสายรุ้งสีเขียวจะพยายามเปล่งประกายหลบหลีกอย่างบ้าคลั่ง แต่กลับมีพลังดึงดูดไร้รูปจากฝ่ามือยักษ์สีแดงม้วนตัวลงไป จนทำให้มันเคลื่อนไหวได้ไม่กี่ครั้งแล้วก็หยุดนิ่งอยู่กับที่


จากนั้นแสงบนสายรุ้งก็ดับไป เผยให้เห็นร่างของโจวเทียนเหอและคนอื่นๆ ซึ่งแต่ละคนมีสีหน้าตกใจเป็นอย่างมาก


พอชายร่างผอมแห้งเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าดุร้ายขึ้นมามากกว่าเดิม นิ้วมือทั้งห้างอเข้าหากัน เพื่อจะบี้สายรุ้งกับคนในนั้นให้แหลกละเอียด


แต่ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงดังกังวานมาจากอากาศบริเวณนั้น แสงสีเงินแสบตาพุ่งเข้ามา มันพันรอบฝ่ามือยักษ์สีแดงหนึ่งรอบ จากนั้นก็ฟันลงบนนิ้วทั้งสาม


ฝ่ามือยักษ์พร่ามัวสลายไป


ชายร่างผอมทำเสียงฮึดฮัด


นิ้วทั้งสามที่ยื่นออกจากฝ่ามือถูกตัดออกไปอย่างไร้สุ้มเสียง แต่ตรงปากแผลไม่มีโลหิตไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว และพริบตาเดียวแสงสีเขียวก็รวมตัวกัน แล้วงอกนิ้วทั้งสามออกมา


“ใคร! โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้!”


ชายร่างผอมโมโหสุดขีด เขาหันมืออีกข้างไปยังทิศทางที่แสงสีเงินพุ่งมา


“ตู๊ม!” พลังไร้รูปมหาศาลพุ่งออกไปราวกับจะทุบอากาศให้แหลกละเอียดในหมัดเดียว


แต่พลันมีเสียงกังวานดังมาจากอากาศทางนั้น กระบี่บินสีเงินเล่มหนึ่งปรากฏออกมา มันหมุนติ้วๆ ก่อนจะพ่นแสงกระบี่สีเงินออกมา และโบกสะบัดอย่างบ้าคลั่ง


พลังมหาศาลอันน่าตกใจฟันแสงกระบี่อย่างบ้าคลั่ง พริบตาเดียวก็อันตรธานหายไป


ขณะเดียวกัน แสงกระบี่ก็ดับลงแล้วกลายเป็นกระบี่บินสีเงินจางๆ


คลื่นอากาศสั่นไหวด้านหลังกระบี่บิน หญิงสวมชุดชาววังสีเงิน ดวงตาแวววาวปรากฏออกมาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก


“อาจารย์อาเย่!”


พอโจวเทียนเหอเห็นใบหน้าที่แท้จริงของหญิงนางนี้ ก็ต้องเผลอหลุดปากออกมาทันที หญิงนิกายจันทราสวรรค์อีกสองคนก็โค้งคารวะด้วยความดีใจ


หญิงนางนี้ก็คือเย่เทียนเหมย ผู้อาวุโสระดับผลึกของนิกายจันทราสวรรค์ที่สังหารปีศาจหนูที่อยู่นอกประตูนิกายปีศาจในตอนนั้น!


“ผู้ฝึกฝนระดับผลึก!”


พอชายร่างผอมแห้งสัมผัสได้ถึงกลิ่นไออันน่าตกใจบนตัวของเย่เทียนเหมย ก็หดม่านตาลงทันที


ถ้าจะบอกว่าสถานะของเขาโดดเด่นเท่าผู้ฝึกระดับผลึกที่เป็นมนุษย์ธรรมดาล่ะก็ ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกกระบี่ระดับผลึกที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา น่าหวาดกลัวกับผู้ฝึกที่เป็นมนุษย์ระดับเดียวกันมากนัก


“ข้าน้อยเย่เทียนเหมยจากนิกายจันทราสวรรค์! ท่านคงมีระดับการฝึกฝนที่ไม่เบาในเผ่าเจ้าสมุทร สามารถบอกชื่อท่านได้หรือไม่?” เย่เทียนเหมยจ้องมองชายร่างผอมแห้ง และถามอย่างเยือกเย็น โดยสีหน้าของนางไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย


“เย่เทียนเหมย! เจ้าคือผู้อาวุโสของนิกายจันทราสวรรค์ที่เพิ่งเข้าสู่ระดับผลึกในร้อยปีมานี้! ข้าถูกจัดอยู่อันดับสามในเผ่าเกล็ดแดง เจ้าสามารถเรียกข้าว่าหงซาน!” ชายร่างผอมแห้งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นถึงกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“ที่แท้ก็เป็นสหายเผ่าเกล็ดแดง ไม่ทราบว่าท่านมาแคว้นต้าเสวียนของพวกเราทำไม คิดจะรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าหรือ?” เย่เทียนเหมยขมวดคิ้วแล้วถามออกไปอย่างไม่สะทกสะท้าน


“อันนี้……” ชายร่างผอมแห้งได้ยินก็ชะงักไปทันที เขาไม่อาจพูดออกมาตรงๆ ได้


เพราะเรื่องที่เผ่าเจ้าสมุทรของพวกเขาวางแผนแฝงตัวในเสวียนจิง ย่อมไม่สามารถพูดออกมาอย่างเปิดเผยได้


“ผู้อาวุโสท่านนี้ ที่ข้าน้อยกับอาสามมาที่นี่ก็เพราะว่ามารับคนเผ่าดียวกันที่ตกหล่นอยู่ที่นี่มาหลายปี เหตุที่ท่านอาสามลงมือเมื่อครู่ ก็เพียงแค่ล้อพวกท่านเล่นด้วยความดีใจเท่านั้น ไม่ได้คิดที่จะลงมือทำร้ายจริงๆ”


พอน้ำเสียงนี้สิ้นสุดลง ก็มีแสงสีขาวเปล่งประกายออกมาจากขอบฟ้าไกลๆ เรือหยกสีขาวแวววาวไปทั้งลำกำลังพุ่งมาด้วยเสียงดังกระหึ่ม มันแค่เคลื่อนไหวพร่ามัวไม่กี่ที ก็มาปรากฏตัวอยู่บนอากาศเหนือพระราชวัง


ด้านหน้าสุดของเรือหยก มีหญิงสวมชุดชาววังสีขาวยืนอยู่ ไกลออกไปด้านหลังเล็กน้อยก็มีชายหนุ่มสุภาพเรียบร้อย อายุ 20 ปี กับผู้อาวุโสร่างบึกบึนคนหนึ่ง


“เจ้าเป็นใคร! ที่นี่ใช่สถานที่ผู้น้อยอย่างเจ้าจะมาสอดแทรกได้?” พอเย่เทียนเหมยได้ยินเช่นนี้ ก็ตะคอกใส่ด้วยสีหน้าดุร้ายในทันที จากนั้นกลิ่นไออันน่าตกใจก็แผ่ออกมา และพุ่งไปกดดันเรือหยกสีขาว


……………………………………….


ตอนที่ 217 นัดสู้

โดย

Ink Stone_Fantasy

สีหน้าหงซานเปลี่ยนไปเมื่อเห็นเช่นนี้ และคิดจะยื่นมือเข้าช่วย แต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว


แต่ขณะนี้เอง ชุดบนตัวหญิงสาวพลันเปล่งประกายแสงสีฟ้าออกมา ร่างของนางหมุนตัวติ้วๆ อยู่กลางอากาศแล้วกลายร่างเป็นผู้อาวุโสครึ่งมนุษย์ครึ่งมัจฉา บนหัวของนางมีมงกุฏสีแดงสวมอยู่ สวมผ้าคลุมยาวสีเขียวหยก พอนางหรี่ตา และสะบัดแขนเสื้อกลิ่นไออีกแบบหนึ่งก็พวยพุ่งออกมาเป็นจำนวนมาก


“ฟู่!”


กลิ่นไอทั้งสองพุ่งปะทะกันจนทำให้อากาศบริเวณนั้นส่งเสียงดังกระหึ่มออกมา ขณะเดียวคลื่นสั่นสะเทือนก็ม้วนพัดเรือหยกจนร่นถอยออกไปอยู่ไม่หยุด


ถึงแม้สีหน้าของหญิงสวมชุดชาววังสีขาวและคนอื่นๆ จะเปลี่ยนไปมาก แต่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ


“บนตัวมียันต์คุ้มกันที่มีพลังของผู้ฝึกฝนระดับผลึกคนอื่นอยู่ ดูท่าเจ้าคงไม่ได้เป็นผู้น้อยธรรมดาในเผ่าเจ้าสมุทร” พอการโจมตีแบบไม่ใส่ใจของเย่เทียนเหมยไม่ประสบความสำเร็จ นางก็ไม่คิดที่จะลงมือต่อ แต่กลับมองหญิงสวมชุดชาววังสีขาวด้วยแววตาเคร่งขรึมโดยไม่รู้ตัว


“ฮึ! โชคดีที่เซิ่งจีหลานสาวข้าไม่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีเมื่อครู่ มิเช่นนั้นนิกายจันทราสวรรค์ของพวกเจ้ากับเผ่าเกล็ดแดงของเราคงได้เห็นดีกัน” พอเห็นว่า ‘เซิ่งจี’ ไม่เป็นอะไร หงซานก็กล่าวอย่างโล่งอก


จากนั้นร่างของเขาก็เคลื่อนไหวจนดูพร่ามัวก่อนมาปรากฏตัวบนเรือหยกราวกับปีศาจ เห็นได้ชัดว่าเป็นการป้องกันเผื่อเย่เทียนเหมยจะลงมือกับธิดาเทพอีก


หญิงสาวชุดชาววังสีขาวก็รีบก้าวมาคารวะชายร่างผอมแห้งอย่างรวดเร็ว


“เซิ่งจี? หรือว่านางเป็นธิดาเทพเผ่าเกล็ดแดงของพวกเจ้า?” พอเย่เทียนเหมยได้ยินเช่นนี้ ก็ดูเหมือนจะแปลกใจเล็กน้อย


“ข้าน้อยคือเซิ่งจีจริงๆ คิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสเย่จะเคยได้ยินชื่อของข้าด้วย ข้ารู้สึกเป็นเกียรติมากนัก” เดิมทีธิดาเทพรู้สึกตกใจกับการลงมือของเย่เทียนเหมย แต่พอหงซานมาปรากฏตัวบนเรือหยก นางก็รู้สึกใจกล้าขึ้นมามาก


“ฮึ! จำไว้ให้ดี! ข้าไม่สนว่าเจ้าจะทำเรื่องอะไรกับผู้ฝึกฝนอิสระในแคว้นไห่เยวี่ย แต่ถ้าเล่นลูกไม้อะไรในแคว้นต้าเสวียนของพวกเราล่ะก็ ต่อให้จะเป็นธิดาเทพของเผ่าเกล็ดแดง ข้าก็จะฆ่าให้ตายในกระบี่เดียว” เย่เทียนเหมยทำเสียงฮึดฮัดก่อนกล่าวออกมา


“ดูเหมือนว่าสหายเย่จะพูดข่มขู่ต่อหน้าข้า” แม้ว่าหงซานจะหวาดกลัวเย่เทียนเหมย แต่พอได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกโมโหอย่างอดไม่ได้


“ไม่ได้ข่มขู่ แต่หวังว่าเผ่าเกล็ดแดงของพวกเจ้าอย่าทำกับแคว้นต้าเสวียนเหมือนสถานที่ธรรมดาอย่างแคว้นไห่เยวี่ยก็พอ อีกอย่างเมื่อครู่เซิ่งจีหลานสาวของเจ้าพูดว่า จะมารับคนในเผ่าที่อยู่เสวียนจิงอะไรซักอย่าง? คิดว่านิกายทั้งห้าอย่างพวกเราตาบอดหรือไง? คำพูดหลอกเด็กเช่นนี้ยังบังอาจมาพูดต่อหน้าข้า ในเมื่อข้ามาถึงนี่แล้ว คิดจริงๆ หรือว่าคำพูดลมๆ แล้งๆ ไม่กี่ประโยค จะพาสามารถพาคนไปได้” คิ้วของเย่เทียนเหมยค่อยๆ เหยียดตรงขึ้นมา


พอได้ยินคำพูดไม่เกรงใจของเย่เทียนเหมย สีหน้าของธิดาเทพกับหงซานก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป แต่หลังจากมองหน้ากันทีหนึ่งแล้ว ชายร่างผอมแห้งก็หัวเราะเฮ่อๆ ก่อนกล่าวออกมา


“ในเมื่อสหายเย่คิดที่จะฉีกหน้ากันจริงๆ ข้าก็จะขอถามตามตรงว่า ทำอย่างไรถึงจะพาคนเผ่าเดียวกันออกไปได้ สหายเย่อย่าคิดว่าที่นี่เป็นดินแดนของมนุษย์แล้วจะเรียกร้องอะไรมากได้ ถ้าข้าพยายามอย่างสุดชีวิตล่ะก็ สามารถสร้างความโกลาหลอลหม่านในแคว้นต้าเสวียนของพวกเจ้าได้” หงซานกล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม


“คิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกที่มีชื่อเสียงของเผ่าเจ้าสมุทรจะพูดเช่นนี้ ได้! อย่างที่เจ้าพูด ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีผู้ฝึกฝนระดับผลึกท่านอื่นๆ ปรากฏตัวออกมา ข้ากับเจ้าต่างก็หวาดกลัวซึ่งกันและกัน ใครก็ไม่อยากให้เกิดสงครามใหญ่ ณ สถานที่แห่งนี้ ซึ่งมันจะกระตุ้นให้เกิดสงครามระหว่างเผ่าที่แท้จริง เช่นนี้เถอะ! จะได้ไม่หาว่าข้าไม่ไว้หน้าสหายหง คนของเผ่าเจ้าที่อยู่ในวังนั้น จะใช้การประลองตัดสินว่าพาไปได้หรือไม่ แต่สามารถพาไปได้แค่สามคนเท่านั้น คนอื่นๆ ต้องฆ่าตัวตายต่อหน้า เพราะว่าเรื่องนี้เผ่าเจ้าสมุทรของเจ้าเป็นคนก่อเรื่องขึ้นมาก่อน พวกเราทั้งห้านิกายไม่อาจไม่ฆ่าเพื่อเป็นสิ่งเตือนใจพวกที่กระทำผิดได้” เย่เทียนเหมยเงียบไปซักพักแล้วกล่าวออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน


“อะไรนะ! ความหมายของสหายคือให้ข้าบีบให้คนของเผ่าตัวเองฆ่าตัวตาย!” หงซานได้ยินก็โมโหขึ้นมา


“ถ้าไม่รับปากล่ะก็ ข้ากับสหายคงต้องทำสงครามกันแล้ว ถ้าสหายเอาแต่หลบไม่ทำสงคราม แต่กลับลงมือกับผู้น้อยล่ะก็ข้าเย่เทียนเหมยสาบานว่า ถ้าสหายฆ่าผู้น้อยของนิกายทั้งห้าไปหนึ่งคน ข้าจะบุกไปน่านน้ำมหาสมุทรเพื่อฆ่าเผ่าเจ้าสมุทรที่อยู่ในระดับเดียวกันสิบคน” เย่เทียนเหมยเปล่งประกายตาอันเยือกเย็นออกมา และกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก


ใครก็ฟังเจตนารมณ์อันยิ่งใหญ่ที่แฝงอยู่ในนั้นออก


พอหงซานได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก


หากมีผู้ฝึกฝนกระบี่ระดับผลึกไปฆ่าล้างบางเผ่าเจ้าสมุทรธรรมดาที่น่านน้ำมหาสมุทรล่ะก็ เกรงว่าการบาดเจ็บล้มตายจำนวนนี้เขาไม่อาจรับผิดชอบได้ไหว


“ใยผู้อาวุโสเย่ต้องโมโหด้วยเล่า อาสามข้ายังไม่ได้บอกว่าจะไม่รับปากซักหน่อย แต่การประลองที่ท่านบอกว่าสามารถพาคนไปได้สามคนนั้น ไม่ทราบว่าหมายความว่าอย่างไร?” ธิดาเทพขมวดคิ้วแล้วถามออกไปเบาๆ


“ง่ายมาก อีกประเดี๋ยวพวกเจ้าก็เลือกคนที่อยากพาไปออกมาสามคน ให้พวกเขาประลองกับศิษย์นิกายของพวกเราที่อยู่ในระดับเดียวกัน ถ้าพวกเจ้าชนะพวกเจ้าก็พาคนไปได้ แต่ถ้าแพ้ก็ให้อยู่ที่นี่ตลอดไป” เย่เทียนเหมยกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก


“สามคนไม่พอ ต้องสิบคน” เทพธิดาพยากรณ์ทำหน้าราวกับคิดอะไรอยู่ จากนั้นก็กล่าวออกไปอย่างไม่ลังเล


“สิบคนไม่ได้ ข้ายอมได้มากสุดแค่ครั้งเดียว พวกเจ้าสามารถเลือกได้ห้าคน มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว” เย่เทียนเหมยขมวดคิ้วกล่าวอย่างเยือกเย็น


“ห้าคนก็ห้าคน แต่ไม่ต้องประลองแยกกัน ให้พวกเขาลงไปประลองหมู่พร้อมกันเลย” ธิดาเทพคิดใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วก็รับปากออกไป


“ประลองหมู่! เจ้าคงคิดว่าถ้าห้าคนนี้ตายก็ให้ตายไปด้วยกัน ถ้ารอดก็รอดไปด้วยกัน ดี! ตกลงตามนี้”


“เซิ่งจี ทำไมเจ้าถึงรับปากเรื่องนี้ ถ้าหากพวกเขา……ได้! ในเมื่อเป็นการประลองหมู่ ก็ตกลงตามนี้” เดิมทีหงซานมีสีหน้าอึมครึม แต่พอได้ยินเสียงที่ส่งมาของธิดาเทพไม่กี่ประโยค ก็รีบตอบรับในฉับพลัน


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าสามารถส่งคนเข้าไปในวังได้หนึ่งคน ให้ผู้น้อยเหล่านั้นคลายชั้นจำกัดซะ หลังผ่านไปหนึ่งก้านธูป ให้พวกเขาต่อสู้กันนอกวังเถอะ” แม้เย่เทียนเหมยจะรู้สึกว่าท่าทีของหงซานดูแปลกประหลาดไปหน่อย แต่มาถึงเวลานี้ก็ไม่อาจกลับคำอะไรได้ อีกอย่างนางก็ค่อนข้างมั่นใจในศึกครั้งนี้มาก


ต่อมาธิดาเทพก็เหาะเข้าไปในวังด้วยตนเอง และหยิบสิ่งของที่สีลักษณะคล้ายป้ายคำสั่งออกมาจากตัว จากนั้นก็โบกไปทางม่านแสง และร่างของนางก็หายวับเข้าไปในนั้น


ภายในม่านแสง มีองครักษ์เผ่าเจ้าสมุทรจำนวนมากมาคอยอย่างนอบน้อมตั้งนานแล้ว และเหาะนำทางไปยังส่วนในของพระราชวัง


ขณะเดียวกัน เย่เทียนเหมยก็เหาะลงบนรถเหาะทองเหลือง


โจวเทียนเหอ และคนอื่นๆ ก็รีบตามกลับไป และทำการคารวะผู้อาวุโสระดับผลึกผู้นี้


ชายฉกรรจ์แซ่เหลยที่อยู่อีกฝั่งก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก และสั่งให้กระตุ้นเรือเหาะเหาะเข้าไปใกล้


“ศิษย์คารวะอาจารย์อาเย่ ถ้าครั้งนี้อาจารย์อาเย่ไม่ยืนมือเข้าช่วย เกรงว่าพวกข้าคงถูกผู้ฝึกฝนระดับผลึกของเผ่าเจ้าสมุทรผู้นั้นทำร้ายแล้ว”!ชายฉกรรจ์แซ่เหลยโค้งคารวะเย่เทียนเหมยจากที่ไกลๆ และกล่าวออกมา


เรื่องราวเกี่ยวกับเย่เทียนเหมยผู้นี้ สามารถกล่าวได้ว่าเป็นอีกตำนานหนึ่งของแคว้นต้าเสวียนในช่วงเกือบพันปีที่ผ่านมา นางก้าวเข้าสู่ระดับผลึกในช่วงเวลาไม่ถึงร้อยปี ทั้งยังฝึกฝนไปทางสายกระบี่ที่ยากกว่าเส้นทางการฝึกฝนสายอื่นๆ


ด้วยเหตุนี้แม้ว่าชายฉกรรจ์แซ่เหลยจะเป็นผู้ที่มีนิสัยใจร้อนและดุร้ายมาโดยตลอด แต่พอมาอยู่ต่อหน้าหญิงสาวที่ดูเหมือนอายุยี่สิบกว่าปี เขาก็แสดงออกด้วยท่าทีที่นอบน้อม


ตอนนี้หลิ่วหมิงก็คารวะหญิงสาวชุดชาววังสีเงินตามชายฉกรรจ์แซ่เหลย แต่ก็รู้สึกตกตะลึงพรึงเพริดที่จำได้ว่า นางคือผู้ที่สังหารอสูรหนูขนเขียว และยังเป็นหญิงสาวลึกลับที่มอบโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ให้เขาในวันนั้น แต่อย่างไรก็ตามเขากลับไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย


“ศิษย์หลานเหลย ไม่ต้องมากพิธี ที่ข้ามาครั้งนี้เป็นเพราะว่าศิษย์พี่เหลิ่งเยวี่ยกับสหายเยี่ยนได้สื่อสารกัน และป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิดจึงส่งข้ามา! แต่ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าเผ่าเจ้าสมุทรจะส่งผู้ฝึกฝนระดับผลึกมาด้วย” เย่เทียนเหมยกวาดสายตามองชายฉกรรจ์แซ่เหลยและคนอื่นๆ หลังจากชะงักอยู่ที่หลิ่วหมิงครู่หนึ่งแล้ว ก็กล่าวออกมาอย่างราบเรียบ


“ที่แท้ก็เป็นแผนการที่รอบคอบของอาจารย์อาเยี่ยนกับอาวุโสเหลิ่งเยวี่ย แต่เผ่าเจ้าสมุทรเหล่านี้กลับส่งผู้ฝึกฝนระดับผลึกมา ดูท่าคนที่ถูกขังอยู่ในวังคงเป็นคนที่สำคัญมาก ว่าแต่ที่พวกเขาเสนอให้ประลองพร้อมกันห้าคน คงไม่มีแผนอะไรซ่อนอยู่ในนั้นใช่ไหม!” หลินไฉอวี่กล่าวด้วยความนอบน้อมเป็นอย่างมาก


“ในเมื่อพวกเขาเสนอการต่อสู้หมู่ออกมา จะต้องมีแผนอยู่อย่างแน่นอน แต่ที่ข้าเสนอการประลองนี้ขึ้นมา ข้าย่อมมีความเชื่อมั่นของข้า ‘ซิ่วเหนียง’ เจ้าออกมาเถอะ!” เย่เทียนเหมยยิ้มบางๆ จากนั้นก็แตะมือข้างหนึ่งไปยังอากาศตรงหน้า ทันใดนั้นแสงสีขาวเป็นจุดก็สลายออกไป เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่มีลักษณะห้าวหาญ และสะพายกระบี่ยาวหิมะขาวนางหนึ่ง


นางก็คือจางซิ่วเหนียงที่มีร่างสื่อสารจิตวิญญาณกระบี่นั่นเอง!


ที่แท้ก่อนหน้านั้นนางถูกเย่เทียนเหมยแสดงวิชาซ่อนตัวไว้ จนถึงตอนนี้ถึงได้คลายวิชาให้นางปรากฏร่างออกมา


“ซิ่วเหนียงคารวะอาจารย์อา อาจารย์ลุง!” พอนางปรากฏตัวออกมาก็รีบคารวะอาจารย์จิตวิญญาณทั้งหลาย


“คิดไม่ถึงว่าศิษย์หลานจางจะอยู่ที่นี่ด้วย ถ้าอย่างนั้นการประลองในครั้งนี้จะต้องชนะอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแต่ไม่ใช่ว่าศิษย์หลานจางเตรียมเก็บตัวอยู่หรือ อีกไม่นานก็จะทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณแล้วใช่ไหม ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่กับอาจารย์อาเย่ได้?” หญิงอายุสามสิบกว่าปีของนิกายจันทราสวรรค์กล่าวด้วยความดีใจ จากนั้นก็แสดงสีหน้างุนงงออกมา


“ข้าพาซิ่วเหนียงออกมาในครั้งนี้ เพราะได้ยินว่าเมื่อไม่นานมานี้ มีไอปีศาจบริสุทธิ์พลังดาราสวรรค์ปรากฏที่เสวียนจิงชุดหนึ่ง และอยากจะดูมาดูว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า มันเหมาะสมกับคุณสมบัติของซิ่วเหนียงหรือไม่ ถ้าเหมาะสมล่ะก็ ซิ่วเหนียงก็ใช้ไอปีศาจบริสุทธิ์นี้ควบแน่นเป็นปราณแกร่ง” เย่เทียนเหมยกล่าวด้วยสีหน้าสงบ


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เรื่องเกี่ยวกับไอปีศาจบริสุทธิ์ อีกประเดี๋ยวให้ศิษย์หลานหูจัดการให้ก็ได้แล้ว นางเป็นศิษย์ตรวจตราในเสวียนจิง สามารถหาเบาะแสของไอปีศาจบริสุทธิ์ได้ง่ายมาก” โจวเทียนเหอได้ยินก็กล่าวอย่างนอบน้อม


“เจ้าเป็นคนค้นพบเผ่าเจ้าสมุทรในเสวียนจหรือ? อ๋อ! เจ้าเป็นลูกพี่ลูกน้องของซิ่วเหนียงนั่นเอง! ดีมาก ถ้าเจ้าหาเบาะแสของไอปีศาจบริสุทธิ์พลังดาราสวรรค์ได้ ข้าจะให้เจ้าเป็นศิษย์ประคองกระบี่ของข้าเป็นเวลาสองปี นอกจากนี้ การประลองในครั้งนี้ก็นับเจ้าเข้าไปด้วยแล้วกัน” พอเย่เทียนเหมยได้ยินเสียงที่จางซิ่วเหนียงส่งมา นางก็กวาดสายตามองหูชุนเหนียงที่อยู่ด้านข้าง และกล่าวออกมาด้วยความอ่อนโยนเป็นครั้งแรก


……………………………………


ตอนที่ 218 การต่อสู้หมู่ (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ขอบคุณปรมาจารย์เย่ที่เมตตา ศิษย์จะทำอย่างสุดความสามารถ” หูชุนเหนียงย่อมรู้ว่าจางซิ่วเหนียงพูดเกี่ยวกับตนในทางที่ดี นางจึงรีบคารวะออกไปด้วยความดีใจ


สำหรับนางแล้ว ถ้าได้เป็นศิษย์ประคองกระบี่ของปรมาจารย์เย่ท่านนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างมาก


“การประลองในครั้งนี้ นอกจากหูชุนเหนียงกับซิ่วเหนียงแล้ว ศิษย์อีกสามคนก็ให้เป็นของนิกายปีศาจแล้วกัน เพราะครั้งนี้เทียนเหอไม่ได้พาศิษย์ของตนเองมาด้วย” เย่เทียนเหมยหันมากล่าวกับชายฉกรรจ์แซ่เหลย


“ผู้อาวุโสเย่โปรดวางใจ ครั้งนี้นอกจากนิกายเราจะพาอาจารย์จิตวิญญาณมาสี่คนแล้ว ยังพาศิษย์จิตวิญญาณมาสิบกว่าคน ซึ่งต่างก็มีพลังที่ไม่เลว” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยกล่าวด้วยความรู้สึกเย็นยะเยือก


“ดีมาก ถ้าอย่างนั้นก็เลือกผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาสามคน อีกประเดี๋ยวให้ออกไปประลองพร้อมกันกับจางซิ่วเหนียงและหูชุนเหนียงเถอะ” เย่เทียนเหมยกล่าวโดยไม่ต้องคิด


ชายฉกรรจ์แซ่เหลยตอบรับในทันที จากนั้นหันไปสั่งศิษย์ที่อยู่ด้านหลัง


ผ่านไปไม่นาน ศิษย์สิบกว่าคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ก็ก้าวออกมายืนเรียงเป็นแถวด้วยท่าทีองอาจ


ศิษย์เหล่านี้มีอายุแตกต่างกันไป อายุน้อยสุดยี่สิบกว่าปี มากสุดก็สี่สิบห้าสิบปี แต่ต่างก็มีกลิ่นไอที่ไม่ธรรมดา


หลังจากหลิ่วหมิงกวาดสายตามองออกไป กลับค้นพบว่าหนึ่งในนั้นมีคนที่เขารู้จักด้วย ซึ่งนั่นก็คือตู้ไห่นั่นเอง


ตู้ไห่เองก็มองเห็นหลิ่วหมิงเช่นกัน แต่เขาเพียงแค่โค้งศีรษะเล็กน้อยแล้วก็ไม่แสดงท่าทีใดๆ ออกมา


“พวกเจ้าได้ก็ยินกันหมดแล้ว การประลองในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับเราทั้งสองนิกาย ข้าจะต้องเลือกผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดไปประลอง เฝิงหลง ตู้ไห่ ไป๋ชงเทียน พวกเจ้าออกไปประลองก็แล้วกัน!” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยกวาดตามองศิษย์ตรงหน้า แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ยากจะอธิบายได้


หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ฟังแล้ว ก็รีบก้าวไปโค้งตัวคารวะและตอบรับในทันที


ศิษย์ที่ชื่อเฝิงหลง เป็นชายฉกรรจ์อายุสี่สิบกว่าปี ฟังจากน้ำเสียงที่ไม่ตื่นตระหนกของเขา เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ศิษย์ธรรมดา


แต่หลิ่วหมิงกลับแอบถอนหายใจออกมา


เดิมทีคิดว่ารอกำลังสนับสนุนจากนิกายมาถึงแล้ว ตนเองก็ไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องอีก กลับคิดไม่ถึงว่าแม้แต่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกก็ปรากฏตัวออกมาด้วย และเขายังต้องยื่นมือเข้าไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้


“พวกเจ้าทั้งสามฟังให้ดี การประลองกับเผ่าเจ้าสมุทรในครั้งนี้ ถ้าคนใดแสดงออกได้โดดเด่น ทางนิกายจะมอบรางวัลตอบแทนให้อย่างไม่เสียดาย แต่ถ้าหวาดกลัวตัวตาย ทำให้เสียหน้านิกาย ข้าจะลงโทษตามกฎนิกายอย่างไม่ปราณี” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยกล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม


หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกเย็นยะเยือกในใจ และรีบตอบรับอย่างรวดเร็ว


จากนั้นทั้งสามก็เหาะขึ้นไปบนรถเหาะทองเหลืองภายใต้การนำของชายฉกรรจ์แซ่เหลย


“นี่คือศิษย์สามคนที่นิกายปีศาจของพวกเจ้าส่งมาหรือ อืม! ล้วนเป็นศิษย์จิตวิญญาณระดับปลาย นับว่าไม่เลว! ภารกิจของพวกเจ้าง่ายมาก คือพยายามยื้อเวลาโดยก่อกวนคู่ต่อสู้คนอื่นๆ ไว้ ซิ่วเหนียงจะได้จัดการเผ่าเจ้าสมุทรเหล่านี้ทีละคน” เย่เทียนเหมยกวาดสายมองหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ก่อนกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ


แม้ตู้ไห่กับเฝิงหลงจะไม่รู้ว่าจางซิ่วเหนียงที่กล่าวถึงคือใคร แต่ภายใต้การจ้องมองของเย่เทียนเหมยผู้ฝึกฝนระดับผลึกผู้นี้ ทำให้พวกเขาไม่กล้ากล่าวคำว่า ‘ไม่’ ออกมา


หลิ่วหมิงก็พยักหน้าอย่างเงียบๆ


“เอาล่ะ! ได้เวลาได้ พวกเจ้าสงบจิตก่อน อีกสักครู่ก็จะเริ่มประลองแล้ว” เย่เทียนเหมยกล่าวออกไป จากนั้นก็ไม่ได้สนใจคนทั้งห้าอีก แต่กลับมองไปทางชายร่างผอมแห้ง


ผู้ฝึกฝนระดับผลึกของเผ่าเจ้าสมุทรผู้นี้ กำลังนั่งขัดสมาธิ หลับตาสงบจิตอยู่ด้านหน้าของเรือหยก สีหน้าเขาดูมีความมั่นใจกับการประลองที่จะเกิดขึ้นมาก


เย่เทียนเหมยเห็นเช่นนี้ ก็เพียงแค่หัวเราะอย่างเยือกเย็นออกมาเบาๆ


ขณะนี้ ม่านแสงสีฟ้าที่ปคลุมพระราชวังก็พร่ามัวกลายเป็นจุดแสงก่อนที่มันจะสลายไป


จากนั้นก็มีเงาร่างเคลื่อนไหวด้านใน เงาร่างคนหกคนขี่เมฆพุ่งทะยานขึ้นมา และเหาะพุ่งตรงมายังเรือหยก


หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งสอง เพื่อมองดูเงาร่างเหล่านั้นให้ชัดเจน


หนึ่งในนั้นเป็นธิดาเทพผู้นั้น ส่วนที่เหลืออีกห้าคน คนหนึ่งเป็นหญิงสวมเครื่องประดับเต็มศีรษะ คนหนึ่งเป็นข้ารับใช้ใบหน้าธรรมดา คนหนึ่งเป็นชายฉกรรจ์ร่างยักษ์สูงสองจั้ง และอีกคนเป็นชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมผ้าแพร คนสุดท้ายกลับเป็นเงาร่างพร่ามัวที่ถูกแสงสีเลือดปกคลุมไว้


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกใจเต้นเล็กน้อย


คนอื่นๆ เขาไม่รู้จัก แต่ต่งไทเฮากับจักรพรรดิเสวียนจื้อนั้นเขาจำได้ในทันที


เพราะเป็นคนที่ต้องให้ความสนใจมากที่สุดในเสวียนจิง เขาจึงได้เห็นรูปวาดของทั้งสองจากข้อมูลที่เกี่ยวข้องตั้งแต่แรกแล้ว


“คารวะอาสาม!”


พอต่งไทเฮาลงมาบนเรือหยกทก็รีบคารวะหงซานเป็นการใหญ่


“ฮึ! เจ้าเด็กตระกูลต่ง ครั้งนี้เจ้าทำพลาดเป็นอย่างมาก ถ้าไม่ใช่ว่าเจ้าเคยส่งข่าวบอกว่าเสวียนจื้อมีสายโลหิตของเชื้อพระวงศ์อยู่ล่ะก็ เผ่าเกล็ดแดงอย่างพวกเราจะไม่เข้ามายุ่งเรื่องของเผ่าเกล็ดเขียวอย่างพวกเจ้าโดยเด็ดขาด ว่าแต่ที่เจ้าพูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริงใช่ไหม ในตัวของเจ้าเด็กนี่มีสายโลหิตของเชื้อพระวงศ์อยู่จริงๆ หรือ?” หงซานค่อยๆ กล่าวออกมา


“ท่านอาหงซานโปรดวางใจ ชีพจรเผ่าเจ้าสมุทรเหมือนกัน หลานจะกล้ารายงานเท็จได้อย่างไร เสวียนจื้อ ยื่นแขนของเจ้าออกมา” ต่งไทเฮากล่าวอย่างนอบน้อม จากนั้นก็หันไปสั่งเสวียนจื้อ


แม้ว่าใบหน้าเสวียนจื้อจะซีดขาวเล็กน้อย แต่พอได้ยินก็รีบยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมา


แสงเย็นสะท้านเปล่งประกายขึ้นบนมือต่งไทเฮา จากนั้นนางก็ใช้กระบี่แวววาวเล่มเล็กๆ กรีดลงบนแขนของเสวียนจื้อจนเกิดเป็นแผลเล็กๆ ทันใดนั้นโลหิตจำนวนหนึ่งก็พุ่งออกจากปากแผล และถูกพลังเวทย์ห่อหุ้มจนกลายเป็นมุกก่อนตกในมือของนาง จากนั้นนางก็ประคองสองมือยื่นของสิ่งนี้ให้ชายร่างผอมแห้ง


หงซานคว้าเอาโลหิตกลุ่มนี้มา และอ้าปากเลียเล็กน้อย หลังจากนั้นสีหน้าเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป


“ไม่ผิด มีสายโลหิตของเชื้อพระวงศ์อยู่ในนั้น แม้ว่าจะเป็นโลหิตผสม และไม่ค่อยบริสุทธิ์มากนัก แต่มันก็คุ้มค่าต่อการมาในครั้งนี้ เรื่องราวเกี่ยวกับการประลองในครั้งนี้เซิ่งจีคงได้กล่าวกับเจ้าแล้วใช่ไหม?” หงซานกล่าวด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง


“น้องเซิ่งจีได้พูดไปแล้ว ต้องประลองกับผู้ฝึกฝนที่เป็นมนุษย์ก่อน จึงจะสามารถออกไปได้ และวิธีการเอาชนะนางก็ได้บอกไปแล้ว เช่นนี้ล่ะก็ หลานก็ไม่มีข้อคิดเห็นใดๆ และจะทำตามที่ท่านอาหงซานสั่ง แต่น่าเสียดายคนธรรมดาในเผ่าที่มาพร้อมกับข้า” ต่งไทเฮาพยักหน้าแล้วกล่าวอย่างอาลัยอาวรณ์


“มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะเรื่องของพวกเจ้าถูกเปิดเผยแล้ว ทั้งยังถูกฝ่ายตรงข้ามขังอยู่ที่นี่ แต่การสละชีพของคนในเผ่าเหล่านี้นับว่าไม่เสียเปล่า เพราะสามารถพาคนที่มีเชื้อพระวงศ์กลับไปได้ นับว่าทดแทนความล้มเหลวได้ เอาล่ะ! ได้เวลาแล้ว เจ้ากับคนอื่นๆ ลงไปประลองก่อนเถอะ แต่จะต้องรักษาความปลอดภัยของเจ้าเด็กเสวียนจื้อไว้” หงซานกล่าวอย่างราบเรียบ


“ทราบ! ข้าน้อยรู้แล้วว่าควรจะทำอย่างไร” ต่งไทเฮาได้ยินก็ทำความเคารพอีกครั้งแล้วลุกขึ้นมา


จากนั้นพวกเขาทั้งห้ากับธิดาเทพก็ปรึกษากันเล็กน้อย ก่อนที่จะพากันเหาะไปยังด้านหน้าของพระราชวัง


ขณะเดียวกันจางซิ่วเหนียงและคนอื่นๆ ก็พากันกระโดดลงด้านล่าง


คนอื่นๆ ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม


“ข้าจะไม่พูดกฎการประลองอะไรมากมายนัก นอกเสียจากว่าในระหว่างการประลอง ทั้งสองฝ่ายห้ามออกไปจากลานหน้าพระราชวังไปเด็ดขาด และไม่จำกัดวิธีการต่อสู้ หรืออาวุธอื่นๆ เพียงแค่สามารถโจมตีฝ่ายตรงข้ามหรือฆ่าฝ่ายตรงข้ามได้ทั้งหมด ก็นับว่าชนะแล้ว! สหายเย่คงไม่มีอะไรคัดค้านใช่ไหม!” พอชายร่างผอมแห้งเห็นว่า ทั้งสองฝ่ายต่างก็ยืนอยู่บนลานหน้าพระราชวังแล้ว จึงกล่าวกับเย่เทียนเหมย


“ได้! ข้าไม่มีข้อคัดค้านใดๆ!” เย่เทียนเหมยกระตุกหางคิ้วแล้วกล่าวโดยไม่ต้องคิด


“ถ้าเช่นนี้ ก็เริ่มประลองกันเถอะ” ชายร่างผอมแห้งหัวเราะก่อนกล่าวออกมา


แม้ว่าเสียงของเขาจะไม่ดัง แต่กลับทำให้หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ได้ยินอย่างชัดเจนราวกับพูดอยู่ข้างหู


จากนั้นไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของชายฉกรรจ์แซ่เหลย หรือเผ่าเจ้าสมุทรบนเรือหยก ต่างก็กวาดสายตาลงมาด้านล่าง


หลิ่วหมิง จางซิ่วเหนียง และคนอื่นๆ ต่างก็ยืนเรียงแถวอยู่ที่นั้น และต่างก็สังเกตคู่ต่อสู้ตรงหน้า


“ดูๆ แล้วคนผู้นั้นน่าจะอันตรายที่สุด มอบให้ข้าจัดการเถอะ!” จางซิ่วเหนียงกวาดสายตามองต่งไทเฮาและคนอื่นๆ เมื่อมองเห็นเงาร่างพร่ามัวที่ถูกแสงสีเลือดปกคลุมอยู่ นางก็กล่าวออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน


จากนั้นนางก็ชักกระบี่ยาวหิมะขาวตรงหลังออกมา แล้วก้าวยาวๆ ไปยังเงาร่างสีเลือด


หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ย่อมไม่มีข้อคัดค้านใดๆ จากนั้นก็มองไปยังคู่ต่อสู้ที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด


ห่างจากตรงหน้าหลิ่วหมิงไปไม่ไกล เป็นชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ที่สูงสองจั้งผู้นั้น


พอชายฉกรรจ์ร่างยักษ์เห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามา ก็แสดงสีหน้าโหดเหี้ยม และสะบัดแขนเสื้อในฉับพลัน ทันใดนั้นเขาก็หยิบโอสถออกมาจากอกเม็ดหนึ่ง และโยนเข้าไปในปาก


“โอสถโลหิตเผาไหม้!”


แม้จะอยู่ห่างกันเช่นนี้ แต่หลิ่วหมิงยังคงมองเห็นลักษณะของโอสถนี้อย่างชัดเจน จนทำให้รู้สึกตกใจเล็กน้อย


“ไม่คิดว่าเจ้าจะรู้ชื่อของโอสถนี้ด้วย ดูท่าข้าคงไม่ต้องพูดอะไรมาก เจ้าไปตายก่อนเลยละกัน” ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์กลืนโอสถลงไป ทันใดนั้นเส้นเอ็นตามผิวหนังก็เคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่ง เส้นเลือดพองตัวขึ้นมาโดยฉับพลัน ขณะเดียวกันกลิ่นไออันน่าตกใจก็ระเบิดออกมาจากตัวเขา


ชายฉกรรจ์นร่างยักษ์เพียงแค่ควงแขนข้างหนึ่งออกไปด้านหน้า กระบองยาวสีเลือดเล่มหนึ่งก็ปรากฏออกมา เมื่อเขาขยับแขนทั้งสองมันก็กลายเป็นพายุบ้าระห่ำม้วนตัวเข้ามา


หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว ภายใต้การขยับตัว ร่างของเขาก็ลอยขึ้นตามลมราวกับใบหลิว


อีกด้านหนึ่ง หูชุนเหนียง ตู้ไห่ ต่างก็แยกกันไปสู้กับต่งไทเฮา และข้ารับใช้วัยกลางคน


มือทั้งสองของหูชุนเหนียงต่างถือกระบี่สั้นแวววาว นางเพียงแค่โบกสะบัด มันก็กลายเป็นเงากระบี่ฟันออกไปอย่างบ้าคลั่ง


มือข้างหนึ่งของต่งไทเฮาถือโล่สีเหลืองที่ดูเหมือนทองแต่ไม่ใช่ทอง เหมือนไม้แต่ไม่ใช่ไม้ อีกด้านถือคทาหยกสีขาวไร้ตำหนิ


ทั้งสองอย่างเปล่งประกายม่านแสงสีเหลืองเข้มออกมา เพียงแค่โบกสะบัดคทาเล็กน้อย ก็มีเงาร่างบุปผาสีขาวปรากฏออกมาเป็นจำนวนมาก ที่แท้สิ่งของทั้งสองอย่างต่างก็เป็นอาวุธจิตวิญญาณประเภทคุ้มกันนั่นเอง เพียงแค่หมุนเวียนกันกระตุ้นมัน ก็สามารถต้านทานเงากระบี่จำนวนมากได้


ตู้ไห่ดึงดาบยาวตรงหลังออกมา ร่างของเขาแยกเป็นเงาร่างจางๆ สี่ห้าเงา และล้อมฟันหญิงรับใช้วัยกลางคนอยู่ไม่หยุด


หญิงรับใช้ยกกระดองเต่าสีเขียวจางๆ ขึ้นมาด้วยมือข้างหนึ่ง มันปล่อยม่านแสงหนาๆ คุมกันร่างของนางไว้ ไม่ว่าแสงดาบจะฟันเข้ามาทั้งสี่ด้าน แต่นางกลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน


ส่วนชายวัยกลางคนที่ชื่อเฝิงหลงผู้นั้น กำลังต่อสู้กับอดีตจักรพรรดิแคว้นต้าเสวียนอย่างเสวียนจื้อ


แต่ยังไม่ทันที่เฝิงหลงจะยกมือปล่อยแท่งกระดูกดำสามแท่งออกไป เสวียนจื้อที่อยู่ตรงหน้ากลับโยนยันต์ที่มีแสงสีเงินเปล่งประกายมาทางเขา


“ตู๊ม!” แผ่นยันต์ดูพร่ามัว จากนั้นก็กลายเป็นเงาร่างฉลามขาวสีเงินจางๆ และอ้าปากงับมาทางเฝิงหลงอย่างโหดเหี้ยม


ภายใต้ความตกใจ เฝิงหลงได้แต่กระตุ้นแท่งกระดูกให้กลายเป็นกลุ่มแสงสีดำปกคลุมร่างเขาไว้ เพื่อให้มันต้านทานเงาร่างฉลามขาวอันดุร้ายนี้ไว้ก่อน


……………………………………….


ตอนที่ 219 การต่อสู้หมู่ (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

เงาร่างฉลามขาวหมุนวนอยู่ไม่หยุด มันรวดเร็วกว่าฉลามขาวจริงๆ หลายเท่านัก หลังจากที่มันพุ่งปะทะเข้าไปหนึ่งครั้ง แสงสีดำก็เปล่งประกายอยู่ไม่หยุด


ภายใต้ความหวาดผวา เฝิงหลงกระตุ้นพลังเวทย์ภายในอย่างบ้าคลั่ง นิ้วทั้งสิบแตะไปยังอากาศอยู่ไม่หยุด ทำให้แท่งกระดูกดำทั้งสามขยายใหญ่ขึ้นมาหลายเท่า จึงสามารถต้านทานการโจมตีของฉลามขาวไว้ได้


การต่อสู้แบบเผชิญหน้าของทั้งสี่คู่ ไม่ว่าจะเป็นเย่เทียนเหมยหรือหงซานต่างก็ไม่ได้เหลือบดูเลยแม้แต่น้อย แต่กลับจ้องมองไปยังเงาร่างของหญิงสาวลักษณะห้าวหาญที่กำลังเดินไปยังเงาร่างสีเลือดนั้น


เย่เทียนเหมยไม่ต้องพูดถึง นางย่อมรู้ถึงพลังแฝงอันยอดเยี่ยมของศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายผู้นี้ดี นางจึงค่อนข้างมั่นใจพลังของศิษย์ผู้นี้มาก


ด้วยพลังจิตของผู้ฝึกฝนระดับผลึกอย่างชายร่างผอมแห้ง แวบแรกที่เขามองเห็นจางซิ่วเหนียง ย่อมสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอกระบี่อันร้ายกาจได้ มันทำให้เขารู้สึกตกใจมาก จนไม่อาจละสายตาไปดูคนอื่นๆ ได้


ทั้งสองต่างก็รู้ดีว่า จุดสำคัญของการประลองด้านล่าง ชัยชนะส่วนมากขึ้นอยู่กับหญิงสาวนางนี้


ขณะนี้จางซิ่วเหนียงถือกระบี่เดินอยู่ห่างจากเงาร่างสีเลือดไม่ถึงเจ็ดแปดจั้ง และได้หยุดฝีเท้าลงในทันที ดาบยาวหิมะขาวในมือส่งเสียงดังหวึ่งๆ ออกมาในพริบตา จากนั้นไอเย็นสะท้านก็รพุ่งตลบอบอวลออกจากตัวกระบี่


พื้นหินสีดำตรงหน้า เริ่มมีน้ำค้างแข็งมาเกาะอย่างเงียบๆ


หงซานมองเห็นจุดนี้ สีหน้าเขาก็ดูไม่ได้ขึ้นมาในทันที ทันใดนั้นเขาก็แหงนหน้าไปกล่าวกับเย่เทียนเหมย


“คิดไม่ถึงว่าจะเป็นอาวุธจิตวิญญาณประเภทน้ำแข็ง ที่ใช้ควบคุมความสามารถของเผ่าเจ้าสมุทรเราโดยเฉพาะ ดูจากกลิ่นไอกระบี่ที่อยู่ในร่างของนาง คงจะต้องเป็นศิษย์แกนนำที่ทางนิกายบ่มเพาะมาอย่างดีแน่นอน ดูท่าสหายเย่จะวางแผนไว้เป็นอย่างดีตั้งแต่แรกแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่นำศิษย์คนสำคัญมาปรากฏตัว ณ สถานที่แห่งนี้”


“ไม่อาจกล่าวได้ว่าวางแผนไว้แต่แรก! ข้าพาเด็กคนนี้มา เพียงแค่อยากให้เขามาหาประสบการณ์ในโลกภายนอกเท่านั้น กลับคิดไม่ถึงว่าต้องมาพบกับสหายและคนอื่นๆ พอดี ว่าแต่ทางด้านสหายเริ่มฝึกฝนพลังศาจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน กลิ่นไอปีศาจอันรุนแรงนี้ ไม่ทราบว่าเป็นพลังปีศาจแบบใด?” เย่เทียนเหมยกลับจ้องมองเงาร่างในแสงสีเลือด และกล่าวด้วยสีหน้าแคลงใจ


“พลังแบบใดนั้น ใยต้องให้ข้าต้องพูดมากด้วยเล่า อีกประเดี๋ยวสหายก็จะรู้เอง” หงซานกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย


เย่เทียนเหมยเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็หรี่ตาทั้งสองลงและไม่กล่าวอะไรกับฝ่ายตรงข้ามอีก


ตอนนี้จางซิ่วเหนียงได้สะบัดข้อมือจนเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นขึ้น แสงกระบี่อันครั่นคร้ามสิบกว่าลำโผล่ออกมา และฟันพุ่งไปยังเงาร่างสีเลือด


พอเงาร่างในแสงสีเลือดเผชิญกับการโจมตีอันรุนแรงนี้ กลับแผดเสียงแปลกประหลาดออกมา จากนั้นก็พุ่งมายังแสงกระบี่เหล่านี้


เขาเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก เหมือนว่าเคลื่อนไหวแค่ทีเดียวก็มาได้ครึ่งทางแล้ว


การกระทำอันแปลกประหลาดของฝ่ายตรงข้าม ต่อให้เป็นศิษย์ร่างสื่อสารจิตวิญญาณกระบี่อย่างจางซิ่วเหนียว ก็รู้สึกตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ แต่ดีที่นางไม่ใช่คนธรรมดา จึงได้ขยับเท้าในทันที จากนั้นก็ร่นถอยออกไปหลายก้าวอย่างเงียบๆ ขณะเดียวกันกระบี่ยาวก็วาดออกไปด้านหน้า


แสงกระบี่สิบกว่าลำหดตัวกลายเป็นตาข่ายร่วงลงมาในทันที และปกคลุมเราร่างสีเลือดที่พุ่งเข้ามาได้ทันท่วงที


แสงเย็นสะท้านเปล่งประกายบนวตาข่ายกระบี่ฟันเงาร่างสีเลือดออกเป็นสิบกว่าชิ้น และเผยให้เห็นใบหน้าของเงาร่างที่อยู่ในนั้น เขาดูคล้ายชายอายุยี่สิบกว่าปีทั่วไป แม้ว่าร่างกายส่วนล่างจะยังไม่ได้กลายเป็นหางมัจฉา แต่ลำตัวส่วนบนกลับเต็มไปด้วยเกล็ดสีเขียว ดวงตาทั้งสองแดงก่ำขึ้นมาราวกับเลือด


ศัตรูตัวฉกาจที่ดูเหมือนจะรับมือได้ยาก แต่กลับถูกฆ่าโดยง่ายเช่นนี้ ทำให้จางซิ่วเหนียงรู้สึกอึ้งไปเลยทีเดียว


แต่ขณะนั้นเองก็มีเสียงดัง “ฟู่!” มาจากเศษซากศพ โลหิตกลุ่มหนึ่งดีดตัวออกมา จากนั้นในก็พร่ามัวกลายเป็นกลุ่มโลหิตพุ่งยิงมายังหลิ่วหมิง


จางซิ่วเหนียงรู้สึกตกตะลึง แต่ก็รีบควงกระบี่ยาวหิมะขาวไปด้านหน้า จากนั้นมันก็กลายเป็นม่านกระบี่อันแวววาวต้านทานโลหิตเหล่านี้ไว้


แต่ขณะนั้นเอง กลุ่มโลหิตที่พุ่งเข้ามาพลันสั่นไหวก่อนที่จะแตกกระจายออกไป จากนั้นก็กลายเป็นอักขระสีเลือดจำนวนมากลอยวนไปมาอย่างบ้าคลั่ง


พอจางซิ่วเหนียงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อักขระเหล่านี้ก็ก่อตัวเป็นค่ายกลสีเลือดขนาดใหญ่หลายจั้งอย่างเงียบๆ และกักขังนางไว้ในนั้น


นางรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมา จากนั้นก็ตวัดกระบี่เพื่อผสานร่างกับกระบี่แล้วพุ่งออกไปจากค่ายกล


แต่มันก็สายไปเสียแล้ว


พริบตาที่อักขระก่อตัว มันเปล่งประกายม่านแสงสีเบือดเป็นชั้นๆ ออกมาพร้อมกับส่งเสียงดังหวึ่งๆ และกักขังนางไว้ในนั้น


ขณะเดียวกันจางซิ่วเหนียงก็รู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้ง พลังไร้รูปของชั้นจำกัดส่งผลกระทบต่อร่างของนางในทันที ทำให้การเคลื่อนไหวของนางช้าลงสิบกว่าเท่า จนดูเหมือนกับว่าจะกระดิกนิ้วก็ต้องใช้พลังเป็นอย่างมาก


สีหน้าหญิงสาวเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก แต่ก็รีบกระตุ้นพลังเวทย์ในร่างทันที กระบี่ยาวในมือขยายใหญ่ครึ่งจั้ง และหันไปยังม่านแสงสีเลือดอย่างไม่ลังเล


“ตู๊ม!”


ม่านแสงสีเลือดสั่นไหวไปมาไม่กี่ที ราวกับว่ามันไม่ได้ผลกระทบใดๆ จากการโจมตีนี้เลยแม้แต่น้อย


“นี่คือค่ายกลอักขระโลหิต! เมื่อครู่เป็นแค่ศพปลอมเท่านั้น ไม่ใช่คนเผ่าเจ้าสมุทรโดยทั่วไป สหายหง เจ้าควรจะอธิบายเรื่องนี้กับข้าหน่อยไหม?” พอเย่เทียนเหมยเห็นฉากนี้ก็หดม่านตาลง และพลันกล่างกับหงซานด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น


“เมื่อครู่หลานเซิ่งจีบอกกับสหายว่าต้องการจำนวนคนต่อสู้ห้าคน แต่ไม่ได้บอกว่าการต่อสู้ในครั้งนี้จะต้องใช้คนในเผ่าทั้งห้าคน การต่อสู้ในครั้งนี้พวกเราส่งไปแค่สี่คน ศพปลอมนี้เป็นแค่สิ่งควบคุมโดยหนึ่งในสี่คนนั้นเท่านั้น อย่างนี้ไม่ทราบว่าทำผิดสัญญาก่อนหน้าตรงไหนหรือ?” พอหงซานเห็นจางซิ่วเหนียงถูกค่ายกลอักขระโลหิตขังไว้ ก็รู้สึกดีใจมาก แต่ก็ไม่แสดงสีหน้าแปลกใจออกมาแต่อย่างใด


พอเย่เทียนเหมยได้ยินคำตอบเช่นนี้ คิ้วทั้งคู่ก็เหยียดตั้งขึ้นมา แต่พอกวาดสายตามองค่ายกลอักขระโลหิตด้านล่างแล้ว ไม่รู้ว่านางคิดอะไรขึ้นมาได้ ถึงได้ดูสงบลงในพริบตา


“ถ้าข้าดูไม่ผิดล่ะก็ ศพปลอมนี้คงยังไม่ได้ปรับแต่งจนสำเร็จ มิเช่นนั้นค่ายกลอักขระโลหิตที่สร้างขึ้นมา ต่อให้เป็นอาจารย์จิตวิญญาณทั่วไปก็ไม่อาจหลุดออกมาได้ ตอนนี้หรือของที่ยังปรับแต่งไม่สำเร็จนี้ เกรงว่าแม้แต่หนึ่งในสามของพลังที่แท้จริงก็ไม่สามารถสำแดงออกมาได้ สหายคิดว่าค่ายกลระดับนี้จะสามารถขังผู้น้อยคนนี้ได้หรือ?”


“จริงหรือ ข้ากลับคิดว่าค่ายกลระดับนี้ มีพลังขังศิษย์ของท่านได้อย่างเหลือเฟือ นอกเสียจากว่านางจะฝึกฝนวิชาขี่กระบี่ได้สำเร็จ มิเช่นนั้นล่ะก็……” ชายร่างผอมแห้งกลับไม่มีท่าทีว่าจะเชื่อเลยแม้แต่น้อย แต่พอพูดออกไปได้แค่ครึ่งเดียว ค่ายกลอักขระโลหิตด้านล่างก็ส่งเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นออกมา


จางซิ่วเหนียงร่ายคาถาออกมา ทันใดนั้นนางก็ลุกขึ้น และกลายเป็นสายรุ้งหิมะขาวฟันเข้าใส่ม่านแสงสีเลือด จนทำให้พื้ผิวของมันค่อยๆ แตกร้าวออกมา



“วิชาขี่กระบี่!” พอชายร่างผอมเห็นฉากนี้ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปในทันที


แต่พอเขาเห็นสายรุ้งหิมะขาวหมุนวนหนึ่งรอบ และร่อนลงพื้นก่อนที่จะกลายร่างเป็นจางซิ่วเหนียง และนางก็ยังไม่ได้ทำการโจมตีต่อในทันที แต่กลับนั่งขัดสมาธิกำหนดลมหายใจอยู่ สิ่งนี้ทำให้เขาหัวเราะออกมาอีกครั้ง


“คิดไม่ถึงว่าศิษย์ของนิกายท่านผู้นี้ จะฝึกฝนวิชาขี่กระบี่ได้สำเร็จตั้งแต่ยังเป็นศิษย์จิตวิญญาณ ข้าช่างนับถือพรสวรรค์ของนางจริงๆ แต่ด้วยพลังเวทย์ของนางในเวลานี้ คงไม่อาจทำลายค่ายกลได้โดยง่าย และถ้ายิดเวลานายเข้า ผลการประลองอื่นๆ คงรู้ผลกันแล้ว”


พอชายร่างผอมแห้งกล่าวจบ ก็กวาดสายตามองไปยังคู่ต่อสู้คนอื่นๆ


เย่เทียนเหมยไม่ได้พูดอะไรต่อ และกวาดสายตามองไปยังคนอื่นๆ เช่นกัน


ชั่วเวลาที่ผ่านไปไม่นานนี้ ก็พอจะเห็นผลการต่อสู้อย่างเด่นชัดแล้ว


ในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นหูชุนเหนียงหรือเฝิงหลงที่ต่อสู้กับต่งไทเฮาและเสวียนจื้อ ล้วนตกเป็นเบี้ยล่างทั้งคู่


ไม่รู้ว่าแผ่นโล่ในมือของต่งไทเฮาถูกเก็บไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่คทาหยกกลับโบกสะบัดด้วยสองมือของนาง จนแสงบุปผาสีขาวที่พุ่งออกมาขยายใหญ่เท่าปากชาม และเริ่มเปลี่ยนจากอาวุธคุ้มกันเป็นอาวุธโจมตี พายุบ้าระห่ำพุ่งไปยังด้านล่างของหูชุนเหนียงอยู่ไม่หยุด


แม้ว่าหูชุนเหนียงจะกระตุ้นกระบี่สั้นทั้งสอง ให้กลายเป็นแสงเย็นสะท้านบาดตาจนเหงื่อเปียกโชก และวางม่านกระบี่เป็นชั้นๆ ไว้บริเวณนั้น แต่พอแสงบุปผาสีขาวเหล่านั้นพุ่งชนเข้ามา ร่างของนางก็สั่นสะเทือนอยู่ไม่หยุด ราวกับว่าบุปผาสีขาวแต่ละดอกมีน้ำหนักเป็นอย่างมาก ทำให้นางรับมือได้อย่างยากเย็น


แน่นอนว่าขณะนี้เฝิงหลงไม่ได้เผชิญแค่เงาร่างฉลามขาวแล้ว แต่กลับมีกุ้งยักษ์สีฟ้าขนาดยาวจั้งกว่าๆ เพิ่มขึ้นมาตัวหนึ่ง


ภายใต้การโจมตีอย่างบ้าคลั่งของอสูรทั้งสอง เขาได้แต่ป้องกันตัวด้วยสีหน้าซีดเผือด


ส่วนตู้ไห่จับดาบด้วยสองมือ และฟันปราณดาบออกไปเป็นสายๆ มันฟันม่านแสงสีเขียวอยู่ไม่หยุด ดูเหมือนจะเป็นฝ่ายได้เปรียบกว่า แต่สีหน้าดูไม่ได้เป็นอย่างมาก


หญิงรับใช้วัยกลางคน เพียงแค่ใช้มือข้างหนึ่งยกกระดองเต่าขึ้นมา อีกด้านหนึ่งก็ทำท่ามือร่ายคาถาอะไรบางอย่างไปด้วยไม่หยุด โดยยังไม่เริ่มทำการโจมตีใดๆ เลย


ถ้ามีสังเกตอย่างละเอียดล่ะก็ จะค้นพบว่าในขณะที่หญิงรับใช้วัยกลางคนร่ายคาถาไปด้วยนั้น รอยร้าวของม่านแสงที่กักขังจางซิ่วเหนียงอยู่ ค่อยๆ ผสานเข้าหากัน


คิดไม่ถึงว่า ‘ศพปลอม’ ที่กล่าวถึงในก่อนหน้านั้น จะถูกควบคุมโดยหญิงรับใช้วัยกลางคนผู้นี้


มิน่าล่ะ! นอกจากเขาจะปล่อยม่านแสงออกมาป้องกันการโจมตีของตู้ไห่แล้ว ก็ไม่ได้ทำการโจมตีใดๆ ออกไปเลย


ส่วนคู่ต่อสู้สุดท้ายกลับดูแปลกออกไป


เมื่อชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ทานโอสถโลหิตเผาไหม้เข้าไป ระดับการฝึกฝนของเขาก็เพิ่มขึ้นเกือบครึ่งหนึ่ง อาวุธที่ดูหนักอย่างที่เปรียบไม่ได้ กลับดูเบาราวกับไม้จิ้มฟันเมื่ออยู่ในมือเขา สถานที่ที่กระบองยักษ์ตวัดผ่าน จะก่อให้เกิดพายุบ้าระห่ำขึ้นมา


แต่มือข้างหนึ่งของหลิ่วหมิงกลับถือแค่กระบี่สั้นสีเขียวเล่มเดียว บนแขนมีโล่แสงสีเหลืองเปล่งประกายออกมา ร่างกายเบาราวกับไร้น้ำหนัก และเคลื่อนไหวไปกับแรงพายุ เงากระบองตรงหน้าดูเหมือนจะหลบหลีกได้ยาก แต่เขากลับบิดตัวราวกับขนนกจนหลบหลีกได้อย่างรวดเร็วราว


ภายในระยะเวลาสั้นๆ ก็ทำให้ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์หงุดหงิดจนอยากกระอักเลือดออกมา เขาโบกสะบัดกระบองด้วยความฮึกเหิมมากกว่าเดิม เพื่อที่จะฟาดให้โดนหลิ่วหมิง จะได้ทุบให้เละเป็นน้ำไปเลย


พอเย่เทียนเหมยกับหงซานเห็นสถานการณ์ด้านล่าง ต่างก็มีสีหน้าที่แตกต่างกันไป


ตอนแรกที่ชายร่งผอมมองเห็นการต่อสู้ด้านล่าง เขารู้สึกดีใจมาก แต่พอสายตากวาดมองไปทางด้านหลิ่วหมิง ก็มีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมา


เย่เทียนเหมยเห็นการแสดงออกของหลิ่วหมิงแล้ว กลับค่อยๆ ขมวดคิ้วแล้วร้อง “เอ๊ะ!” ออกมา


……………………………………….


ตอนที่ 220 การต่อสู้หมู่ (3)

โดย

Ink Stone_Fantasy

แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การต่อสู้กลุ่มในด้านล่างก็เปลี่ยนไป!


ทันใดนั้น ต่งไทเฮาก็โบกสะบัดคทาหยกปล่อยแสงบุปผาสีขาวออกมาเป็นจำนวนมาก จนทำให้หูชุนเหนียงร่นถอยออกไปไกลหลายก้าว จากนั้นร่างของนางก็เคลื่อนไหวไม่กี่ที แล้วไปปรากฏตัวอยู่ข้างตัวเสวียนจื้อ


“ลูกจื้อ ดูเหมือนว่าถ้าไม่ใช่วิธีนั้นจะไม่ได้แล้ว รีบแสดงออกมาเถอะ! ถ้าช้าไปล่ะก็ เกรงว่าหลินเส่าจะไม่สามารถยืนหยัดได้นาน” ต่งไทเฮารีบพุ่งมาหาเสวียนจื้อแล้วด้วยท่าทีรีบร้อน


“เสด็จแม่ ข้าต้องใช้เคล็ดวิชานี้จริงๆ หรือ! ดูเหมือนจะยังไม่ถึงขนาดต้องใช้มัน และถ้าข้าใช้มันล่ะก็ จะมีผลข้างเคียงไม่น้อย” เสวียนจื้อทำท่ามือด้วยสองมือ เพื่อควบคุมอสูรสองตัวให้ล้อมโจมตีอยู่ไม่หยุด พอได้ยินเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าลังเลออกมาอย่างอดไม่ได้


“เจ้าโง่! เจ้าดูไม่ออกหรือ อีกไม่นานเจ้าเด็กที่เก่งที่สุดคนนั้นก็จะทำลายค่ายกลและออกมาได้แล้ว คู่ต่อสู้ของจวี้เจิงก็ไม่ธรรมดา ไม่สามารถจัดการได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ ถ้าพลาดโอกาสอันดีตรงรงหน้านี้ไป พวกเราแม่ลูกก็จะตายอย่างไร้ที่ฝัง เจ้าไม่ต้องกังวลว่าแสดงวิชาออกมาแล้วอายุขัยจะลดลง กลับไปเผ่าแล้วข้าจะบอกปู่จะของเจ้าให้ใช้โอสถจิตวิญญาณช่วยฟื้นฟูกลับมาดังเดิม” ต่งไทเฮาขมวดคิ้วกล่าว


พอเสวียนจื้อได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกเย็นยะเยือกในใจ เขากวาดสายตามองไปด้านค่ายกลอักขระโลหิตกับทางด้านหลิ่วหมิงทีหนึ่ง แล้วค้นพบว่าที่ต่งไทเฮาพูดนั้นเป็นเรื่องจริง ถึงได้กัดฟันตอบรับกลับไป


“ได้! ถ้าอย่างนั้นลูกจะแสดงมันเดี๋ยวนี้!”


พอกล่าวจบ เสวียนจื้อก็ดึงกริชที่แผ่ไอเย็นสะท้านออกมาจากเอว และกรีดลงบนแก้มทั้งสองอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นโลหิตก็ม้วนตัวออกมาจากผิวหนัง


“ดีมากลูกรัก! ข้าจะช่วยเจ้าอีกแรง!” ต่งไทเฮารู้สึกดีใจมาก นางหยิบยันต์สีต่างๆ ออกมาจากอก และแปะลงบนตัวเสวียนจื้อภายในอึดใจเดียว


ทันใดนั้นแสงหลากสีก็แผ่ออกมาจากร่างเสวียนจื้อ มันคือยันต์คุ้มกันจำนวนหนึ่ง


เมื่อเสวียนจื้อเก็บกริชเข้าไป ก็ใช้นิ้วทั้งสิบจุ่มโลหิตแล้ววาดอักขระรูปสี่เหลี่ยมประหลาดๆ บนหน้าผากอย่างชำนาญ ขณะเดียวกันปากก็ร่ายคาถาโบราณที่ไม่รู้ชื่อออกมา


เวลาต่อมา อักขระที่อยู่บนหน้าผากของเสวียนจื้อก็เปล่งประกาย ขณะเดียวกันกล้ามเนื้อก็นูนขึ้นมา จนทำให้ทั่วทุกส่วนของร่างกลายเป็นสีแดงไปทั้งหมด


“ฟู่!”


เสวียนจื้อกลายร่างเป็นเผ่าเจ้าสมุทรที่มีรูปร่างครึ่งคนครึ่งมัจฉา ขณะเดียวกันโลหิตจำนวนมากก็พุ่งออกมาจากทั่วทุกส่วนของร่างกาย ราวกับว่ามันเป็นฝนโลหิต และในขณะเดียวกัน กลิ่นไอป่าเถื่อนวังเวงอย่างบอกไม่ถูก ก็ทะลักออกมาจากอักขระสีเลือดบนหน้าผากเขา และเต็มไปด้วยอานุภาพน่าเกรงขามอย่างไม่มีที่สิ้นสุด


ขณะนี้เสวียนจื้อยกแขนขึ้นมา และชี้นิ้วไปทางต่งไทเฮา


ทันใดนั้นกลิ่นไออันป่าเถื่อนวังเวงบนร่างเขาก็ทะลักออกมา และพุ่งไปยังร่างของต่งไทเฮาราวกับม้าที่บังเหียนหลุด


พริบตาที่ร่างของหญิงใบหน้างดงามที่ถูกโลหิตรดไปทั่วตัว ได้สัมผัสกับกลิ่นไออันป่าเถื่อนวังเวงนี้ นางก็ส่งเสียงร้องแหลมออกมา หลังจากกลิ้งไปตามพื้นแล้ว ก็กลายร่างเป็นเผ่าเจ้าสมุทร ครึ่งมนุษย์ครึ่งมัจฉา


แต่ต่งไทเฮาที่กลับคืนรูปร่างเดิมภายใต้ผลกระทบของกลิ่นไอที่น่าเกรงขามนี้ กลับขยายร่างอยู่ไม่หยุด พริบตาเดียวก็มีขนาดใหญ่มหึมา และก็ดีดตัวขึ้นมายืนอีกครั้ง


หญิงใบหน้างดในตอนนี้ แม้จะพอมองออกว่าเป็นต่งไทเฮาอยู่บ้าง แต่เกล็ดบนร่างกลายเป็นสีเงินจางๆ ขณะเดียวกันก็มีดวงตาปีศาจดวงที่สามโผล่มาระหว่างคิ้ว


“ฮ่าๆ นี่คือการเปลี่ยนร่างเป็นไห่เจีย ที่แท้ก็แข็งแกร่งกว่าที่เล่าลือมาก ข้าแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านั้นไม่รู้ตั้งเท่าไหร่” ไห่เจียที่ต่งไทเฮากลายร่างมา ยื่นสองแขนออกไปดู แล้วแหงนหน้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง


หูชุนเหนียงที่เพิ่งจะจัดการกับแสงบุปผาสีขาวตรงหน้าได้ ก็คิดจะพุ่งเข้ามาหาต่งไทเฮา แต่พอได้เห็นฉากนี้ ก็ชะลอฝีเท้าลงด้วยความรู้สึกเย็นสะท้าน


และหลังจากที่เสวียนจื้อแสดงวิชาออกมาสำเร็จ อสูรสองตัวที่ไม่มีคนควบคุมก็ถูกเฝิงหลงใช้แท่งกระดูกดำทั้งสามโจมตีอย่างบ้าคลั่ง ในที่สุดมันก็โจมตีจนทั้งสองสลายไป


แต่พอเขาเห็นรูปร่างขนาดใหญ่ของต่งไทเฮาในตอนนี้ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป ทันใดนั้นก็ถอยตัวไปอยู่ข้างหูชุนเหนียง


ทั้งสองเพียงแค่สบตากันทีหนึ่ง ก็ตัดสินใจร่วมมือกันจัดการศัตรู จากนั้นจึงมองมาที่สัตว์ประหลาดยักษ์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“เสด็จแม่ ที่เหลือคงต้องให้ท่านจัดการแล้ว ลูกไม่สามารถยืนหยัดต่อไปได้อีก” ขณะเดียวกันเสวียนจื้อที่แสดงวิชาเสร็จ ก็ยิ้มอย่างขมขื่นแล้วมองไปยังต่งไทเฮาก่อนกล่าวออกมา หลังจากนั้นก็ล้มลงไปนั่งกับพื้น


ในขณะเดียวกัน ฝนโลหิตมี่พุ่งออกจากตัวเขาก็หยุดลง กลิ่นไออันป่าเถื่อนวังเวงที่เหลือก็หายไปจนหมดสิ้น


“วางใจเถอะ! ตอนนี้ข้าเปลี่ยนร่างตามคำเล่าลือได้สำเร็จแล้ว อีกไม่นานต่อให้มนุษย์เล็กๆ เหล่านี้จะรวมตัวกัน ก็ไม่อาจต้านทานข้าได้” ต่งไทเฮากล่าวด้วยความมั่นใจเป็นอย่างมาก จากนั้นมือทั้งสองก็ตบไปยังด้านหน้า


“ตู๊ม!”


คลื่นทะเลสีน้ำเงินพุ่งออกจากมือทั้งสอง หลังจากที่มันรวมตัวกันภายในพริบตาเดียว ก็กลายเป็นตรีศูลสีน้ำเงินขนาดใหญ่อันหนึ่ง


ต่งไทเฮาคว้าเอาตรีศูลมาถือไว้ พอโบกมันเล็กน้อย แสงสีฟ้าก็ปรากฏขึ้นบริเวณนั้น พริบตาเดียวก็กลายเป็นน้ำทะเลหมุนวนอยู่รอบตัวนาง


หูชุนเหนียงกับเฝิงหลงเห็นเช่นนี้ก็สะดุ้งโหยง และลงมือพร้อมกันในทันที


หูชุนเหนียงโยนกระบี่สั้นทั้งสองไปบนอากาศ และชี้มือทั้งสองไปอย่างรวดเร็ว กระบี่สั้นแต่ละเล่มพร่ามัวจากหนึ่งกลายเป็นสอง จากสองกลายเป็นสี่ ก่อให้เกิดเป็นเงากระบี่จางๆ สิบกว่าเงา


หญิงสาวตะคอกเสียงอ่อนนุ่มออกมา เงากระบี่ทั้งหมดพุ่งยิงออกไปด้วยเสียงอันดัง


ทางด้านเฝิงหลงก็อ้าปากพ่นโลหิตออกมา แท่งกระดูกดำทั้งสามพุ่งไปรวมกับกลุ่มโลหิต และกลายเป็นแท่งแหลมๆ ยาวครึ่งจั้ง พื้นผิวเต็มไปด้วยอักขระสีเลือด โชยกลิ่นคาวเลือดออกมา


พอต่งไทเฮาเห็นเช่นนี้ ก็ยิ้มร้ายออกมา หลังจากนั้นก็โบกตรีศูลในมือก่อนที่คลื่นทะเลจะม้วนตัวออกไป


ทั้งสามแสดงวิชาออกมาพร้อมกัน


การเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจของต่งไทเฮา ไม่เพียงแต่ทำให้เย่เทียนเหมยที่ดูอยู่รู้สึกตกตะลึง และแสดงสีหน้าออกมาราวกับคิดอะไรอยู่เท่านั้น แม้กระทั่งหลิ่วหมิงที่กำลังต่อสู้กับชายฉกรรจ์ร่างยักษ์อยู่ก็เหลือบไปดูด้วยความรู้สึกเย็นยะเยือก


ในความคิดเขา เขาไม่อยากแสดงตัวโดดเด่นมากนัก เพื่อไม่ให้ผู้ที่แข็งแกร่งมาสนใจเขา แต่ตอนนี้จางซิ่วเหนียงถูกขังอยู่ในค่ายกลอักขระโลหิต และฝ่ายตรงข้ามยังเปลี่ยนต่งไทเฮาเป็นสัตว์ประหลาดอันน่าตกใจอีกด้วย


ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ หากเขาไม่แสดงฝีมือที่แท้จริงออกมา เกรงว่าคงต้องแพ้กลับไปอย่างแน่นอน และถ้าผลออกมาเป็นเช่นนี้ ด้วยกฎของนิกายปีศาจ ชายฉกรรจ์แซ่เหลยคงไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่ดีแก่เขาแน่นอน


พอหลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ จิตเขาฟุ้งซ่านเล็กน้อย ทำให้ร่างกายที่หมุนล่องลอยอยู่เคลื่อนไหวช้าลง จนชายฉกรรจ์ร่างยักษ์จับช่องโหว่ได้


เขาโบกกระบองยักษ์ในมือด้วยตาที่เป็นประกาย มันพร่ามัวกลายเป็นอสรพิษวารีโปร่งแสง และอ้าปากพุ่งมางับคอหลิ่วหมิง จากนั้นเขาก็อ้าปากพ่นเสาวารีสีขาวโพลนออกมา ไม่นานมันก็กลายเป็นศรวารีจำนวนมากพุ่งยิงออกไป จนดูเหมือนจะปกคลุมไปทั่วร่างของหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงไม่สนใจศรวารีเหล่านี้แม้แต่น้อย แต่อยู่ๆ กระบองยักษ์ก็เปลี่ยนเป็นสิ่งมีชีวิต สิ่งนี้เหนือความคาดหมายของเขามาก


แต่เมื่อหลิ่วหมิงได้สติแล้ว ก็ทำเสียงฮึดฮัดออกมาในทันที ทันใดนั้นแสงสีฟ้าก็เปล่งประกายออกจากแขนเสื้อ ธงเล็กสีฟ้าอันหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของเขา เพียงแค่โบกมันไปด้านหน้า แสงสีฟ้าก็พวยพุ่งออกมา


ไม่ว่าจะเป็นอสรพิษวารี หรือว่าศรวารีล้วนจมเข้าไปในนั้น และต่างก็สลายรูปร่างไปอย่างเงียบๆ


ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์เห็นเช่นนี้ กลับหลุดปากออกมา


“ธงวารีบริสุทธิ์! เจ้าฆ่าเว่ยอวี้แล้วชิงเอาอาวุธจิตวิญญาณของเขามา! ที่แท้เจ้าก็เป็นหนึ่งในสองคนที่ทำเรื่องใหญ่เราพัง”


ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์หลุดปากออกมา และพลันโมโหขึ้นมามากกว่าเดิม หลังจากแสงสีฟ้าเปล่งประกาย เขาก็กลายร่างเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งมัจฉา และยังดึงกระเป๋าหนังตรงเอวโยนไปทางหลิ่วหมิงอย่างแรง


แสงเย็นสะท้านเปล่งประกายขึ้นมาในแววตาของหลิ่วหมิง หลังจากแกว่งธงในมือแล้ว ก็หยิบกระบี่สั้นสีเขียวออกมา พอเขาขยับแขนปราณกระบี่อันครั่นคร้ามก็ม้วนตัวออกไป และฟันลงบนถุงหนังอย่างรุนแรง


“ตู๊ม!”


ถุงหนังระเบิดออกมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่มีแสงสีเงินเปล่งประกายออกมา แสงสีเงินพุ่งยิงมาทางหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้น ไม่คิดจะหลบหลีกเลยแม้แต่น้อย แต่กลับตวัดกระบี่สั้นในมือ ปล่อยแสงสีเขียวยาวหลายฉื่อฟันเข้าใส่แสงสีเงิน


เสียงกระทบกันดัง “เต๊ง!”


แสงสีเงินถูกปราณกระบี่สีเขียวฟันเข้าใส่จนกระเด็นออกไป แต่กลับมีพลังมหาศาลออกมาจากแสงสีเงิน จนทำให้ร่างหลิ่วหมิงสั่นสะท้านจนต้องร่นถอยออกไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัว


และขณะนั้นเอง แสงสีเงินที่กระเด็นออกไปกลับวกกลับในทันที และพุ่งตรงไปยังหน้าอกของหลิ่วหมิงด้วยความเร็วที่เร็วกว่าก่อนหน้านั้นมาก


หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ยังไม่ทันตั้งตัวได้มั่นคง เขาก็รีบตวัดกระบี่สั้นในมือ ทันใดนั้นเงากระบี่สั้นสีเขียวก็พุ่งออกไปอย่างบ้าคลั่ง


พอมีเสียงดังออกมา แสงสีเงินก็พุ่งทะลุเงากระบี่ภายในอึดใจเดียว จากนั้นถึงถูกกระบี่สั้นสีเขียวฟันจนกระเด็นกลับไป


ขณะนี้ หลิ่วหมิงได้เขม้นตามองจนได้เห็นสภาพที่ชัดเจนของแสงสีเงิน


มันคือมัจฉาบินที่ยาวไม่ถึงครึ่งฉื่อ


แต่มัจฉาตัวนี้มีแสงสีเงินเปล่งประกายไปทั่วตัว ปากและหัวแหลมคมราวกับกระบี่ มันกินพื้นที่ครึ่งหนึ่งของลำตัว อีกครึ่งที่เหลือมีปีกโปร่งแสงคู่หนึ่งติดอยู่ มันเพียงแค่มันกระพือปีกราวกับผึ้ง แล้วก็หมุนตัวพุ่งมาหาหลิ่วหมิงอีกครั้ง


“นี่คือมัจฉาปีศาจอะไรกัน ทำไมถึงได้ร้ายกาจเช่นนี้!” พอหลิ่วหมิงเห็นกระบี่จันทราหยกไม่สามารถฆ่ามัจฉาตนนี้ได้ และมันยังไม่เป็นอะไรเลย ทั้งยังพุ่งมาเขาอีกรอบ มันทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย


ขณะนี้ ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ตรงหน้าก็พลันเอาหางฟาดพื้น และพุ่งตัวขึ้นไปด้านบน แขนทั้งสองอ้าออกแล้วกลายเป็นก้ามยักษ์หนีบมาทางหลิ่วหมิง


……………………………………….


ตอนที่ 221 ต่อสู้กับไห่เจีย (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อหลิ่วหมิงเผชิญกับการโจมตีอันเฉียบคมเช่นนี้ เขาก็รีบตบถุงหนังบนเอวทันที ทันใดนั้นไอสีดำก็ม้วนตัวพวยพุ่งไปยังทิศทางที่แสงสีเงินพุ่งยิงเข้ามา ขณะเดียวกันกระบี่จันทราหยกในมือก็หมุนติ้วๆ แล้วฟันเงากระบี่ไปทางชายฉกรรจ์ร่างยักษ์


หลังจากมีเสียงระเบิดดังออกมา ร่างของชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ก็โซซัดโซเซ และถูกเงากระบี่ที่ตัดสลับกันจู่โจมจนต้องกระเด็นกลับไป


ขณะเดียวกัน มัจฉาประหลาดสีเงินก็ปะทะเข้ากับแมงป่องกระดูกขาวที่กระโจนออกมาจากไอดำพอดี จากนั้นทั้งสองก็ตกลงบนพื้น และต่อสู้กันอย่างอุตลุด


แมงป่องกระดูกขาวยกก้ามยักษ์ทั้งสองโจมตีมัจฉาประหลาดสีเงินอย่างบ้าคลั่ง


แม้ว่ามัจฉาประหลาดจะไม่มีขา แต่ลำตัวส่วนหน้าของมันแหลมคมราวกับคมมีด มันสะบัดหัวไปมาอย่างบ้าคลั่งจนต้านทานการโจมตีกว่าครึ่งหนึ่งของแมงป่องกระดูกขาวไว้ได้ มีบางครั้งที่มันถูกโจมตี แต่ก็แค่แฉลบผ่านเกล็ดสีเงินของมันไป


ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มัจฉาประหลาดก็ต้านทานได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น!


เมื่อหางตะขอตรงหลังแมงป่องกระดูกขาวกลายเป็นเส้นสีดำสิบกว่าเส้นและเข้าไปร่วมโจมตี ทำให้มัจฉาประหลาดหลบหลีกไม่ทัน จนเกิดรูบนลำตัวเป็นจำนวนมาก และโลหิตสีดำก็พุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง


ภายใต้สถานการณ์ที่มัจฉาประหลาดถูกพิษรุนแรงเช่นนี้ มันก็ไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไป ทำได้เพียงแต่กระพือปีกทั้งสองเพื่อหลบหลีกอย่างบ้าคลั่ง


แต่ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์กลับไม่สนใจอันตรายที่มัจฉาประหลาดเผชิญอยู่


เพราะว่าในตอนนี้ มือข้างหนึ่งของหลิ่วหมิงฟาดพันเงากระบี่สีเขียวออกไปติดต่อกัน ส่วนมืออีกข้างก็ปล่อยคมวายุออกไปราวกับไม่ต้องใช้พลังเวทย์


ตอนแรกๆ คมวายุแต่ละเส้นก็กระเด็นออก แต่พอผ่านไปไม่นาน มันก็พุ่งยิงออกไปพร้อมกันสองถึงสี่เส้น


แม้ว่าก้ามยักษ์สีทองทั้งสองของชายฉกรรจ์ร่างยักษ์จะร้ายกาจ จนแม้แต่ปราณกระบี่ก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้ แต่เมื่อถูกโจมตีอย่างถี่ยิบเช่นนี้ ก็ได้แต่โบกสะบัดก้ามยักษ์ไปยังด้านหน้าจนก่อเกิดเป็นแสงสีทอง ถึงพอจะรับมือไว้ได้อย่างยากเย็น แต่ก็ยังถูกคมวายุจำนวนมากเฉือนผ่านไหล่จนเกิดเป็นแผลลึกๆ จำนวนมาก จากนั้นโลหิตสีเขียวอ่อนก็ทะลักออกมา


ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ทั้งตกใจทั้งโมโห เขาย่อมไม่ยอมถูกโจมตีโดยไม่เอาคืนอย่างแน่นอน


ทันใดนั้นเขาก็สะบัดหางมัจฉายักษ์ออกไป จนเกิดเป็นจุดแสงสีฟ้ามารวมตัวกัน ครู่เดียวก็กลายเป็นน้ำทะเลพวยพุ่งออกมา แม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับน้ำทะเลที่ต่งไทเฮาควบคุมอยู่ แต่มันก็เพียงพอที่จะปกป้องร่างของเขาไว้ได้ทั้งหมด


พอคมวายุพุ่งมายังด้านหน้าเขา พลังของมันก็ถูกน้ำทะเลลดทอนไปมาก พลังที่เหลือก็ถูกแผ่นเกล็ดสีเขียวต้านทานไว้ได้ ทิ้งไว้เพียงรอยจางๆ เท่านั้น


แต่ขณะนั้นเอง คมวายุกับเงากระบี่ตรงหน้าหลิ่วหมิงก็หายไป แทนที่ด้วยลูกเปลวไฟลูกหนึ่ง แรกๆ มันก็มีขนาดแค่ปากถ้วย แต่พอมันหมุนติ้วๆ ก็ขยายใหญ่เท่าอ่างล้างหน้า


“ไป!”


หลิ่วหมิงคำรามเสียงต่ำออกมา พอสะบัดมือทั้งสอง ลูกเปลวไปยักษ์ก็พุ่งออกไปท่ามกลางเสียงดังสนั่น


จวี้เจิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็รู้สึกเย็นยะเยือกในใจ เขาย่อมไม่กล้าเสี่ยงรับมือกับการโจมตีระดับนี้ จึงขยับตัวเพื่อที่จะหลบไปยังด้านข้าง


แต่ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงก็กระทืบเท้าข้างหนึ่งลงพื้นอย่างรุนแรง และร่างของเขาก็พุ่งยิงไปฝั่งตรงข้ามราวกับลูกธนู


พอชายฉกรรจ์หลบลูกเปลวไฟนี้ได้อย่างหวุดหวิด ก็รู้สึกว่ามีอะไรเคลื่อนไหวตรงหน้า ซึ่งหลิ่วหมิงมาปรากฏตัวอยู่ห่างจากเขาไม่ถึงสองจั้งกว่าๆ และยกกระบอกเหล็กสีแดงจ่อเล็งหน้าเขาไว้


“แย่แล้ว!”


ชายฉกรรจ์แอบร้องออกมา คิดจะหลบหลีกก็ไม่ทันเสียแล้ว


พอได้ยินเสียงดัง “พลั่ก!” ตาข่ายไหมแวววาวก็ถูกพ่นออกจากในนั้น และปกคลุมตัวเขาไว้ได้พอดี


ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์เพียงแค่รู้สึกเย็นสะท้าน ชั่วพริบตาที่ตาข่ายแวววาวโดนตัวเขานั้น น้ำทะเลที่ปกป้องเขาอยู่ก็เริ่มเกาะตัวเป็นน้ำแข็ง


แต่เขาก็คำรามเสียงออกมาในทันที ก้ามสีทองทั้งสองฟาดฟันอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นน้ำแข็งบนตัวก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ


แต่ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงที่อยู่ห่างจากเขาไปไม่ไกลกลับมีสีหน้าประหลาดใจ และขยับตัวถอยออกไปอย่างไร้สุ้มเสียงในทันที


ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์รู้สึกตกตะลึง ขณะที่ยังไม่ทันเข้าใจว่าเป็นเพราะอะไร ก็พลันรับรู้ได้ถึงไอร้อนระอุที่ม้วนตัวมาทางด้านหลัง จากนั้นแสงเปลวไฟก็สว่างขึ้นบนตัวเขา ลูกเปลวไฟยักษ์ที่เดิมทีเขาหลบมันพ้นแล้ว ได้หมุนตัวพุ่งยิงกลับมา และปะทะเข้าใส่ร่างเขาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว


เสียงดังสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วฟ้าและปฐพี!


ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์เปล่งเสียงออกมาอย่างเวทนา จากนั้นก็จมเข้าไปในเปลวไฟอันคุโชน ร่างของเขาได้แต่ดิ้นเพียงไม่กี่ครั้ง ไม่นานก็กลายเป็นเถ้าถ่านท่ามกลางเปลวไฟรูปดอกเห็ด


เกือบจะในเวลาเดียวกัน เป็นเพราะมัจฉาประหลาดสีเงินตัวนั้นมีจิตเชื่อมกับชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ เมื่อนายของมันตายไป ร่างของมันก็สั่นสะท้าน และถูกแมงป่องกระดูกขาวที่กระโจนลงพื้นอีกครั้ง ใช้ก้ามยักษ์ทั้งสองกดทับไว้ แมงป่องกระดูกขยับหางตะขอตรงหลังจนเกิดเป็นเส้นดำๆ จำนวนมาก ขณะเดียวมันก็ทนพิษไม่ไหวจนระเบิดตัวออกมา


มัจฉาปีศาจน่าสงสารตัวนี้ เดิมทีนับว่าเป็นอสูรสมุทรที่หาได้ยาก ตอนนี้ลำตัวของมันถูกเจาะทะลุจนเป็นรูมากมาย ลำตัวสีเงินกลายเป็นสีดำ และละลายไปอย่างรวดเร็ว


หลังจากผ่านการต่อสู้อันดุเดือด ในที่สุดหลิ่วหมิงก็สามารถจัดการศัตรูตัวฉกาจอย่างชายร่างยักษ์นี้ได้


แต่ตอนนี้ใบหน้าเขาขาวซีดเล็กน้อย เขาใช้นิ้วมือแตะขมับทั้งสองข้างอย่างรวดเร็ว จากนั้นสีหน้าเขาถึงได้ดูดีขึ้นเล็กน้อย


ที่เขาเป็นเช่นนี้ เพราะว่าการควบคุมลูกเปลวไฟให้วกกลับในก่อนหน้านั้นทำให้เขาสิ้นเปลืองพลังจิตไปมาก


แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะเคยลองใช้วิธีควบคุมระยะไกลเช่นนี้มาหลายรอบ แต่มันเป็นแค่ลูกเปลวไฟกับคมวายุธรรมดา และเปลี่ยนทิศทางการโจมตีเล็กน้อยเท่านั้น แต่เป็นครั้งแรกที่ควบคุมลูกเปลวไฟยักษ์นี้


แม้ว่าเขาจะค่อนข้างพอใจในผลลัพธ์ แต่ใช้พลังจิตมากกว่าที่คาดคิดไปหน่อย


แต่ในตอนนั้น เขาจำเป็นต้องทำเช่นนั้น


เพราะว่าในตอนนี้ การต่อสู้อีกฝั่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลก็เห็นผลแพ้ชนะแล้ว


หลังจากมีเสียงหัวเราะดังออกมา เงาร่างเล็กๆ ก็ม้วนตัวพุ่งออกจากน้ำทะเลที่หมุนวนอย่างบ้าคลั่ง


นางก็คือหูชุนเหนียงนั่นเอง


พอนางพุ่งออกมาได้ไกลสิบกว่าจั้งก็โซเซเล็กน้อย จากนั้นก็สลบลงไปกับพื้น บนตัวนางมีบาดแผลราวกับถูกคมมีดกรีดฟันเป็นจำนวนมาก กระบี่สั้นในมือเล่มหนึ่งมีรอยบิ่นสิบกว่าที่ อีกเล่มหนึ่งก็หักเป็นสองส่วน


และน้ำทะเลที่หมุนอย่างบ้าคลั่งก็แยกตัวออกในทันที เผยให้เห็นร่างไห่เจียขนาดมหึมาที่กลายร่างมาจากต่งไทเฮา


ตอนนี้นางมีสีหน้าดุร้าย ร่างของเฝิงหลงศิษย์นิกายปีศาจถูกแขวนอยู่บนตรีศูลที่ถืออยู่ในมือนาง


ร่างของชายวัยกลางคนถูกตรีศูลอันแหลมคมเจาะทะลุจุดสำคัญ ร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลอ่อนยวบยาบ และลู่ต่ำลง โลหิตไหลออกมาเป็นสาย เห็นได้ชัดว่าไม่มีโอกาสรอดแล้ว


พอหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ดวงตาทั้งสองก็เปล่งประกายเยือกเย็นออกมา


ไห่เจียที่ต่งไทเฮาแปลงร่างมาคิดจะกระตุ้นน้ำทะเลเพื่อจู่โจมหูชุนเหนียงที่สลบอยู่อีกครั้ง แต่ดูเหมือนจะรับรู้อะไรบางอย่างได้ จึงหันตัวมาทันที และเจอกับหลิ่วหมิงเข้าพอดี รูม่านตาของนางค่อยๆ หดลงอย่างช่วยไม่ได้


ตอนนี้นอกจากนางจะมองเห็นสภาพระเกะระกะทางด้านหลิ่วหมิงแล้ว ชายฉกรรจ์ที่เป็นคู่ต่อสู้ก็อันตรธานหายไปจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงแค่ร่างของมัจฉาประหลาดที่กำลังย่อยสลายอย่างช้าๆ


หลิ่วหมิงเดินเข้าไปหาคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง


ในขณะเดียวกัน ดูเหมือนว่าแมงป่องกระดูกขาวก็รับรู้ได้โดยนัย มันจึงรีบมุดลงพื้นในทันที


ไห่เจียที่กลายร่างมาจากต่งไทเฮากลับทำเสียงฮึดฮัดออกมา จากนั้นก็อ้าปากพ่นไอเย็นใส่ร่างเฝิงหลง เพื่อทำศพให้กลายเป็นก้อนน้ำแข็ง


นางค่อยๆ โบกสะบัดอาวุธในมือจนก้อนน้ำแข็งแตกกระจายออกมา


หญิงเผ่าเจ้าสมุทรที่กลายร่างเป็นไห่เจียมีสีหน้าอึมครึมอย่างถึงที่สุด ประจักษ์ชัดว่านางรับรู้ได้ว่าหลิ่วหมิงไม่ธรรมดา นางมองเขาเป็นศัตรูตัวฉกาจคนหนึ่ง


อีกด้านหนึ่ง ตู้ไห่ยังคงโจมตีหญิงวัยกลางคนที่อยู่ในม่านแสงอยู่ไม่หยุด


แต่ตอนนี้ม่านแสงหดเล็กลงกว่าก่อนหน้านั้นเกือบครึ่งหนึ่ง สีหน้าของหญิงรับใช้วัยกลางคนที่อยู่ในนั้นก็ไม่สงบเหมือนอย่างตอนแรกแล้ว หยาดเหงื่อผุดออกมาเต็มศีรษะ ขณะเดียวกันไอร้อนระอุก็พุ่งออกจากแผ่นหลังอย่างไม่ขาดสาย


ที่เป็นเช่นนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการโจมตีของตู้ไห่ อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะจางซิ่วเหนียงที่ใช้วิชาขี่กระบี่โจมตีค่ายกลอักขระโลหิตอยู่หลายครั้ง


แม้นางจะปล่อยพลังเวทย์ใส่ค่ายกลอักขระโลหิตอย่างสุดชีวิต แต่ก็ยังคงไม่สามารถซ่อมแซมรอยร้าวบนม่านแสงสีเลือดได้ทัน


ม่านแสงสีเลือดในตอนนี้ มีรอยร้าวสิบกว่าแห่ง และรอยร้าวก็ลึกและกว้างขึ้นกว่าเดิม


ชายร่างผอมแห้งที่เดิมทียิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่กลางอากาศ กลับมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา สายตาเขาจ้องมองร่างของหลิ่วหมิงกับต่งไทเฮาอยู่ไม่หยุด เหมือนกับว่ากำลังประเมินความสามารถของทั้งคู่อยู่


เย่เทียนเหมยกลับยืนอยู่บนรถเหาะทองเหลืองด้วยสีหน้าดังเดิม


ไม่ว่าเฝิงหลงจะถูกต่งไทเฮาใช้ตรีศูลแทงทะลุร่าง หรือว่าหลิ่วหมิงควบคุมลูกเปลวไฟยักษ์โจมตีจนชายฉกรรจ์ร่างยักษ์กลายเป็นขี้เถ้า ก็ไม่อาจทำให้สีหน้านางเปลี่ยนไปได้เลยแม้แต่น้อย


แต่โจวเทียนเหอ ชายฉกรรจ์แซ่เหลย และอาจารย์จิตวิญญาณอีกสองคนที่ยืนดูอยู่ข้างๆ กลับมีสีหน้าประหลาดใจกับเหตุการณ์ด้านล่างเป็นอย่างมาก


“พี่เหลย ศิษย์ผู้นี้เป็นใครกัน? คิดไม่ถึงว่าเป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณก็สามารถใช้พลังจิตอันแข็งแกร่งเช่นนี้ควบคุมวิชาได้แล้ว พลังจิตอันแข็งแกร่งเช่นนี้ เกรงว่าคงอยู่ในสิบอันดับแรกของบรรดาศิษย์จิตวิญญาณในนิกายทั้งห้า” ในที่สุดโจวเทียนเหอก็หันมาถามกับชายฉกรรจ์แซ่เหลยอย่างอดไม่ได้


“ศิษย์ผู้นี้เป็นศิษย์แกนนำอับดับต้นๆ คนใหม่ของนิกายปีศาจ และยังได้สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ให้กับนิกายในตอนที่อยู่แดนลึกลับ ดังนั้นเขาจึงมีพลังไม่ธรรมดา ส่วนชื่อของเขานั้น สหายไม่ต้องถามข้า เพียงแค่กลับไปสืบเล็กน้อยก็จะรู้เอง” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยหัวเราะฮาๆ แล้วกล่าวออกมาอย่างคลุมเครือ


“ที่แท้ศิษย์นิกายท่านผู้นี้ก็ค่อนข้างมีภูมิหลัง แต่ศิษย์แกนนำระดับนี้ ทำไมไม่ฝึกฝนอยู่ในนิกายเพื่อเตรียมทะลวงอาจารย์จิตวิญญาณ แต่กลับมารับตำแหน่งศิษย์ตรวจตราที่เสวียนจิงเช่นนี้ ช่างน่าเสียดายจริงๆ” โจวเทียนได้ยินเช่นนี้ก็พลันยิ้มออกมา


……………………………………….


ตอนที่ 222 ต่อสู้กับไห่เจีย (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เฮ้อ! นิกายเราทำเช่นนี้ ย่อมมีเหตุผลของตนเอง ไม่ลำบากให้สหายโจวเข้ามาก้าวก่ายหรอก!” ในขณะที่ชายฉกรรจ์แซ่เหลยเงียบไปสักพักนั้น หลินไฉอวี่ที่อยู่ข้างๆ พลันกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เป็นข้าที่ละลาบละล้วงเกินไปหน่อย แต่ข้าก็ยังรู้สึกเสียดายอยู่ดี” โจวเทียนเหอพยักหน้าแล้วกล่าวออกมา


ชายฉกรรจ์แซ่เหลยได้ยินก็ขมวดคิ้วขึ้น และขณะที่กำลังจะพูดอะไรออกมา พลันมีเสียงดังสนั่นมาจากการต่อสู้ด้านล่าง จนทำให้คลื่นอากาศบริเวณนั้นม้วนตัวออกมา


ภายใต้ความตกใจ คนทั้งหมดมองลงไปด้านล่าง และลืมเรื่องที่กำลังสนทนาไปสิ้น


ตอนนี้มือทั้งสองของหลิ่วหมิงจับกระบี่แสงสีเขียวยาวจั้งกว่าๆ ไว้แน่น และกำลังปะทะกับตรีศูลที่ต่งไทเฮาถืออยู่อย่างรุนแรง


ผลลัพธ์คือคนหนึ่งร่นถอยออกไปเจ็ดแปดก้าว ส่วนอีกคนก็ตีลังกากระเด็นออกไปสองจั้ง คิดไม่ถึงว่าทั้งสองต่างก็มีพลังพอฟัดพอเหวี่ยงกัน


แต่หลิ่วหมิงที่ตั้งหลักได้ เพียงแค่สะบัดกระบี่แสงในมือ โดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย


และต่งไทเฮากลับลุกขึ้นมาท่ามกลางเกลียวคลื่นน้ำทะเลที่หมุนวนรอบตัว และมีสีหน้าตกใจเป็นอย่างมาก


แม้จะไม่นับว่านางมีพลังที่แข็งแกร่ง แต่ความแข็งแกร่งหลังจากกลายร่างเป็นไห่เจียนั้น มันเหนือความคาดหมายของคนทั่วไปมากนัก


มิเช่นนั้นเฝิงหลงกับอีกคนในก่อนหน้านั้น คงไม่ปราชัยโดยที่นางยังไม่ทันได้แสดงความสามารถใดๆ ออกมา ซึ่งใช้เพียงแค่ตรีศูลก็เอาชนะทั้งสองได้


แต่ขณะนี้ ร่างของหลิ่วหมิงก็พร่ามัวกลายเป็นเงาร่างห้าหกเงา และพุ่งโจมตีต่งไทเฮา


แม้ต่งไทจะรู้สึกสงสัยพลังของหลิ่วหมิงเป็นอย่างมาก แต่พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้นางก็ทำเสียงฮึดฮัดออกมา และวาดตรีศูลไปยังด้านหน้า ทันใดนั้นน้ำทะเลก็ส่งเสียงดัง และม้วนตัวเป็นคลื่นยักษ์พุ่งออกไปด้านหน้า


“ซู่!”


คลื่นยักษ์โหมซัดสาดออกไป เงาร่างกว่าครึ่งหนึ่งถูกทำลาย หนึ่งในเงาร่างนั้นกลับพุ่งเข้าไปในคลื่นทะเล เพียงแค่ขยับดาบแสงสีเขียว ปราณกระบี่ยักษ์ยาวจั้งกว่าๆ ก็ฟันออกไปอีกครั้ง


ต่งไทเฮากระตุกหางคิ้ว และสะบัดตรีศูลใส่ปราณกระบี่ยักษ์อย่างแรง


หลังจากมีเสียงดังสนั่นออกมา ปราณกระบี่ยักษ์ก็ถูกโจมตีจนสลายไป


แต่ในช่วงระหว่างเวลานั้น หลิ่วหมิงกลับบิดตัวราวกับไร้น้ำหนักพุ่งมาอยู่ห่างจากต่งไทเฮาไม่ถึงจั้งกว่าๆ พอเขายกมือข้างหนึ่งขึ้น คมวายุก็พุ่งออกไปสามเส้นด้วยเสียงดัง “ฟิ้วๆ!” มืออีกข้างก็ถือกระบี่สั้นฟันปราณกระบี่ม้วนตัวออกไปสองสาย


เกือบจะในเวลาเดียวกัน มีเงาร่างแวบผ่านด้านล่างของต่งไทเฮา แมงป่องกระดูกขาวกระโจนขึ้นมาจากพื้น ก้ามยักษ์ทั้งสองหนีบขาทั้งสองของนางไว้ ขณะเดียวหางตะขอก็ส่ายไปมาจนกลายเป็นเส้นสีดำสิบกว่าเส้นก่อนจะพุ่งยิงออกไป


นับว่าหลิ่วหมิงกับแมงป่องกระดูกขาวร่วมมือกันได้อย่างดีเยี่ยม ศิษย์จิตวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบธรรมดาไม่อาจหลบหลีกได้ทัน!


แต่ต่งไทเฮาที่เผชิญหน้ากับการโจมตีระดับนี้ กลับแผดเสียงออกมาอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นตรีศูลในมือก็พร่ามัวกลายเป็นธงยักษ์สีดำขนาดใหญ่สูงสี่จั้ง บนธงด้านหนึ่งมีอักขระสีเงินจารึกอยู่ลางๆ เป็นจำนวนมาก


ต่งไทเฮาสะบัดธงทันที ทันใดนั้นคลื่นอักขระสีดำจำนวนมากได้กระเพื่อมออกมาจากในนั้น


ฉากที่ไม่คาดคิดได้บังเกิดขึ้นแล้ว


พื้นที่ที่คลื่นอักขระสีดำวิ่งผ่าน ไม่ว่าจะเป็นน้ำทะเล คมวายุ ปราณกระบี่ และการโจมตีอื่นๆ ต่างก็หยุดชะงักและแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ


แมงป่องกระดูกขาวร้องอย่างเวทนา และถูกคลื่นอักขระสีดำโจมตีจนกระเด็นออกไป


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจมาก เขารีบพุ่งถอยหลังอย่างรวดเร็ว


แต่ต่งไทเฮากลับตะคอกเสียงอ่อนหวานออกมา ธงในมือตั้งขวางไปยังด้านหน้า และชี้ไปทางหลิ่วหมิง


ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงรู้สึกเพียงแค่ว่ามีอากาศอัดแน่นรอบตัว พลังไร้รูปบางอย่างโอบรัดร่างเขาไว้ ทำให้การเคลื่อนไหวเขาหยุดชะงักไป


จากนั้นต่งไทเฮาได้เผยใบหน้าอันดุร้ายออกมา และคว้ามือข้างหนึ่งออกไปด้านหน้า น้ำทะเลใต้ร่างนางซัดสาดไปรวมกันตรงหน้า จนกลายเป็นมือยักษ์สีฟ้าใหญ่หลายจั้ง ก่อนที่จะคว้าเข้าใส่หลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงหน้าเปลี่ยนสีในทันที แต่มีแสงสีฟ้าเปล่งประกายออกมาจากแขนเสื้อ มันคือธงวารีบริสุทธิ์ที่พุ่งยิงออกมา พอมันเปล่งประกายก็หายวับเข้าไปในร่างหลิ่วหมิง


เสียงดัง “ตู๊ม!”


มือยักษ์สีฟ้าคว้าตัวหลิ่วหมิงไว้ และคิดจะใช้นิ้วทั้งห้าบีบให้แหลกละเอียด


แต่ร่างหลิ่วหมิงกลับพร่ามัวกลายเป็นของเหลวโปร่งแสง หลังจากบิดตัวทีเดียว ก็ไถลหลุดจากฝ่ามือยักษ์โดยไม่ต้องใช้แรงแม้แต่น้อย


จากนั้นเขาเคลื่อนไหวอีกสองสามทีก็ออกมาอยู่ห่างสิบกว่าจั้ง และอ้าปากพ่นธงเล็กสีฟ้าออกมา จากนั้นร่างกายก็กลับมาเป็นเช่นเดิม


“ธงวารีบริสุทธิ์! เจ้าเป็นคนฆ่าเว่ยอวี้?” พอต่งไทเฮาเห็นสถาพเช่นนี้ ก็ส่งเสียงแหลมออกมา น้ำเสียงดูตกใจระคนดีใจ


พอหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ตอนแรกก็รู้สึกตกตะลึง แต่ครู่เดียวก็โยนกระบี่สั้นสีเขียวออกไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และทำท่ามือร่ายคาถาใส่กระบี่สั้นทันที มืออีกข้างก็ค่อยๆ ยกขึ้น จุดแสงสีฟ้าก็ค่อยๆ เปล่งออกมาท่ามกลางเสียงร่ายคาถา แท่งวารีสีฟ้ายาวหลายฉื่อกำลังก่อตัวขึ้นอย่างลางๆ


ต่งไทเฮาเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกเย็นยะเยือกในใจ นางชี้ธงมาทางหลิ่วหมิงอีกครั้งอย่างไม่ลังเล


แต่พอนางเริ่มเคลื่อนไหว หลิ่วหมิงก็ขยับไปอยู่อีกที่หนึ่งอย่างรวดเร็วราวกับปีศาจ


หลังจากใช้ธงโจมตีใส่หลิ่วหมิงติดต่อกันหลายครั้ง สีหน้าของต่งไทเฮาก็ดูไม่ได้ขึ้นมา นางตะคอกเสียงในฉับพลัน และพุ่งเข้าใส่หลิ่วหมิงพร้อมกับน้ำทะเลที่โหมซัดสาด


แต่ขณะนั้นเอง มีเงาร่างสีดำเคลื่อนไหวตรงด้านล่าง แมงป่องกระดูกขาวกระโจนเข้าหาต่งไทเฮาท่ามกลางไอหมอกสีม่วงที่พวยพุ่งรอบตัว


“ไสหัวไป!”


ต่งไทเฮาเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก นางโบกสะบัดธงในมือก่อนที่แสงสีดำจะม้วนตัวออกมา


แต่ดวงตาทั้งคู่ของแมงป่องกระดูกขาวกลับเปล่งประกายแสงสีเขียว จากนั้นมันก็อ้าปากพ่นเปลวเพลิงสีม่วงออกมา


“ฟู่!”


พอเปลวเพลิงสีม่วงสัมผัสกับไอสีดำ มันก็ลุกไหม้ราวกับไม้แห้งที่เจอเปลวเพลิง


ไม่คิดว่าแมงป่องกระดูกขาวจะพุ่งออกจากเปลวเพลิงสีม่วงได้ ขณะเดียวกันไอหมอกสีม่วงดำบนตัวมันก็ม้วนตัวออกไปปะทะกับน้ำทะเลตรงหน้าอย่างแรง


ฉากอันน่าตกใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว


ส่วนหนึ่งของน้ำทะเลที่สัมผัสกับไอหมอกสีม่วงดำ เปลี่ยนเป็นสีดำราวกับหมึก ขณะเดียวกันกลิ่นคาวก็ได้แผ่กระจายออกมา ทั้งยังแผ่กระจายไปด้วยความเร็ว อันน่าตกใจ


ต่งไทเฮาที่เดิมทีจะถือโอกาสสะบัดธงโจมตีแมงป่องกระดูกขาวให้กระเด็นออกไป กลับรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากที่ได้เห็นฉากนี้


นางรีบวาดธงไปยังน้ำทะเลด้านล่างทันที


“ตู๊ม!”


น้ำทะเลสีดำบางส่วนตกลงพื้นทันที แต่แมงป่องกระดูกขาวกลับโจมตีมายังด้านข้างต่งไทเฮา พอขยับหางตะขอตรงหลัง มันก็กลายสภาพเป็นเส้นสีดำเบลอๆ เจาทะลุเข้ามา


หลังจากได้เห็นพิษอันน่ากลัวของแมงป่องกระดูกขาวแล้ว ต่งไทเฮาจะยอมให้มันมาสัมผัสโดนตัวได้อย่างไร นางเพียงแค่คลี่ธงสีดำไปยังด้านหน้า อักขระสีเงินจำนวนมากก็ทะลักออกจากในนั้น หลังจากมันหมุนติ้วๆ รวมตัวกันก็กลายเป็นโล่สีเงินอันหนึ่ง


พอหางตะขอสีดำปะทะกับโล่ ก็มีเสียงฟ้าผ่าดังออกมา สายฟ้ายักษ์สีเงินหลายเส้นหมุนวนเป็นเกลียว พริบตาเดียวก็โจมตีลงบนตัวแมงป่องกระดูกขาว


พอร่างปีศาจที่น่าสงสารตนนี้สั่นไหว มันก็หล่นลงมาพร้อมด้วยกลิ่นไหม้เกรียม


แต่ชั่วพริบตาที่แมงป่องกระดูกขาวต้านทานไว้ได้ หลิ่วหมิงก็ทำทุกอย่างเสร็จแล้ว


หลังจากเขาตะโกนอกไปแล้ว นิ้วมือนิ้วหนึ่งก็ชี้ไปในอากาศ จากนั้นจันทราหยกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางจั้งกว่าๆ ก็หมุนวนอย่างบ้าคลั่ง จนพร่ามัวหายไปอย่างไร้ร่องรอย


แขนอีกข้างของเขาเคลื่อนไหวจนเกาะผลึกแท่งวารียักษ์ได้ยาวหลายฉื่อ หลังจากนั้นก็พุ่งยิงมันออกไป


ครู่ต่อมา มีคลื่นสั่นไหวเหนือศีรษะของต่งไทเฮา จันทราหยกปรากฏออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง และพุ่งลงด้านล่าง


ขณะเดียวกันแท่งวารีสีฟ้าก็เคลื่อนไหว และแผ่ไอเย็นมาถึงต่งไทเฮาที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงจั้งกว่าๆ


ต่งไทเฮาเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็รู้สึกเย็นยะเยือกในใจ นางโยนธงสีดำขึ้นฟ้าทันที จากนั้นมันก็กลายเป็นหมอกสีดำปกป้องอยู่เหนือศีรษะของนาง ขณะเดียวกันก็มีเสียงดังมาจากในนั้น สายฟ้าจำนวนมากหมุนวนเป็นเกลียวออกมา นางคว้ามืออีกข้างไปด้านหน้า ทันใดนั้นน้ำทะเลบริเวณรอบๆ ก็ทะลักขึ้นมากลายเป็นมือยักษ์อีกครั้ง และคว้าไปทางแท่งวารี


“ตู๊ม!”


จันทราหยกตกลงบนไอหมอกสีดำได้ประเดี๋ยวเดียว มันก็เข้าไปพัวพันกับสายฟ้าสีเงินอย่างบ้าคลั่ง ทำให้แยกแยะไม่ออกว่าใครอยู่เหนือใครไปชั่วขณะ


และพริบตาที่มือยักษ์สีฟ้าคว้าแท่งวารีไว้แน่นนั้น ตาหลิ่วหมิงกลับเปล่งประกายอันเยือกเย็น จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว แล้วตะโกนคำว่า “ระเบิด” ออกมา


หลังจากมีเสียงดังขึ้น แท่งวารียักษ์ก็ระเบิดตัวออกมา ไอเย็นประหลาดม้วนตัวเกาะผนึกฝ่ามือยักษ์จนกลายเป็นน้ำแข็ง


และพริบตานั้นเอง แสงสีเขียวก็ดีดออกมาจากแท่งวารียักษ์ และพุ่งไปยังระหว่างคิ้วของต่งไทเฮา


แม้ว่าต่งไทเฮาจะมีพลังน่าตกใจ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าภายใต้สถานการณ์ที่หลิ่วหมิงควบคุมอาวุธจิตวิญญาณไว้หนึ่งชิ้น จะยังสามารถควบคุมชิ้นที่สองได้พร้อมกัน เมื่อนางคิดจะหลบหลีกก็ไม่ทันแล้ว ทำได้แต่ตะโกนออกมาแล้วส่งพลังเวทย์ทั้งหมดไปรวมตัวกันที่ระหว่างคิ้ว ทันใดนั้นเกล็ดสีเงินหนาๆ ก็ปรากฏขึ้นบนหน้า และนางพยายามส่ายศีรษะหลบอย่างสุดชีวิต


“ฟิ้ว!”


ลำแสงสีเงินปะทะใส่ศีรษะของต่งไทเฮา แต่ภายใต้การต้านทานที่แข็งแกร่งของเกล็ดสีเงิน แม้ว่ามันจะจมหายเข้าไปในนั้น แต่ก็ทะลุกระดูกได้เพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น ไม่สามารถแทงทะลุไปได้


แต่ความเจ็บปวดของมันก็ยากที่จะรับรู้ได้!


ต่งไทเฮาร้องออกมาอย่างเวทนา แต่ก็ยังวาดมือข้างหนึ่งไปที่บริเวณศีรษะทันที นางเอาฝ่ามือแปะตรงบาดแผลและใช้พลังเวทย์ดูดเอาเข็มแหลมเล็กสีเขียวหยกออกมา


เข็มแหลมเล็กเล่มนี้บิดตัวอยู่ในมือของนางไม่หยุด จนถูกแสงฟ้าโอบล้อมไว้ทำให้ไม่สามารถดิ้นรนได้ไปชั่วขณะ


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าหนักอึ้งเล็กน้อย


ความร้ายกาจของศัตรูที่อยู่ตรงหน้า ช่างเหนือความคาดหมายของเขามากนัก แต่เขาก็ไม่เชื่อว่าหลังจากโดนพิษประหลาดในเข็มเงาหยกแล้ว ฝ่ายตรงข้ามยังจะสามารถยืนหยัดได้นาน


พอคิดมาถึงจุดนี้ เขาก็ชี้ไปยังจันทราหยกที่อยู่ไกลๆ อย่างไม่ลังเล


……………………………………….


ตอนที่ 223 กวาดล้างเสวียนจิง

โดย

Ink Stone_Fantasy

จันทราหยกที่เดิมทีพัวพันอยู่กับหมอกดำจนแยกแยะไม่ออก พลันส่งเสียงกังวานออกมา จากนั้นก็ระเบิดตัวอย่างบ้าคลั่ง ปราณกระบี่เกือบร้อยสายทะลวงออกมาเกือบจะพร้อมกัน ทุกสิ่งที่กีดขวางอยู่บริเวณนั้นล้วนแตกกระจายไปหมด มันกลายเป็นแสงเย็นสะท้านน่าสะพรึงกลัวก่อนจะม้วนตัวลงด้านล่าง


ต่งไทเฮาแหงนหน้ามาเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ ถึงแม้จะรู้สึกเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด แต่ก็รู้ว่าหากไม่ดิ้นรนในตอนนี้ล่ะก็ เกรงว่าจะต้องตายจริงๆ แล้ว


ดังนั้นนางจึงกระแทกหางมัจฉาใส่น้ำทะเลและพุ่งออกไป ขณะเดียวกันก็อ้าปากพ่นควันสีแดงคล้ายโลหิตออกมา มันดูเหมือนจะเป็นแค่ชั้นบางๆ แต่พอมันลอยออกจากปากก็มีขนาดใหญ่หลายจั้ง คิดไม่ถึงว่าชั่วเวลาประเดี๋ยวเดียวก็ทำให้แสงกระบี่ด้านล่างค่อยๆ หยุดชะงักลง และไม่ได้ตกลงไปในทันที


ต่งไทเฮาอาศัยโอกาสนี้ กระโดดติดต่อกันสองที ก็สามารถกระโดดออกจากรัศมีที่ปกคลุมของแสงกระบี่ได้


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็สูดหายใจลึกๆ เข้าไป และกะจะใช้พลังทั้งหมดกระตุ้นเข็มเงาหยก มันจะได้หลุดออกมาโจมตีต่งไทเฮาจนถึงแก่ชีวิต


แต่ขณะนั้นเอง พลันมีเสียง “ตู๊ม!” ดังมาจากสถานที่ที่อยู่ไม่ไกล


ม่านแสงทางด้านค่ายกลอักขระโลหิต ถูกแสงกระบี่หิมะขาวโจมตีจนแตกกระจายในพริบตา


จากนั้นแสงกระบี่ก็หมุนวนหนึ่งรอบ ก่อนพุ่งออกไปในแนวขวางไกลสิบกว่าจั้งราวกับสายรุ้งอันน่าสะพรึง และทะลุผ่านหลังของต่งไทเฮาก่อนที่จะพันร่างขนาดมหึมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ฟันร่างของนางออกเป็นสองส่วน


แสงกระบี่หิมะขาวไม่ได้รามือแค่นี้ แต่กลับส่งเสียงกังวานออกมา และกลายเป็นแสงกระบี่จำนวนมากปกคลุมร่างทุกส่วนไว้ พริบตาเดียวร่างของต่งไทเฮาก็กลายเป็นฝนโลหิตกับเนื้อบด


และเมื่อแสงกระบี่หิมะขาวเคลื่อนไหวและดับไป เผยให้เห็นหญิงสาวใบหน้าไร้ความรู้สึกยืนอยู่ที่นั่น นางก็คือจางซิ่วเหนียงศิษย์นิกายจันทราสวรรค์นั่นเอง


พอหลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็ตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง แต่หลังจากกะพริบตาแล้ว ก็โบกมือข้างหนึ่งไปยังศพของต่งไทเฮา


“ฟิ้ว!” แสงสีเขียวหยกดีดตัวออกมาจากเนื้อบดเหล่านั้น และพุ่งเข้าแขนเสื้อหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็ว


จางซิ่วเหนียงจ้องมองหลิ่วหมิงอย่างเฉยชา แล้วยกมือไปอีกด้านหนึ่งก่อนที่แสงกระบี่หิมะขาวจะม้วนตัวออกมา มันฟันร่างระโหยโรยแรงของข้ารับใช้หญิงที่กักขังนางจนต้องกระอักเลือดหลายครั้งออกเป็นสองส่วน


ส่วนม่านแสงที่ปกคลุมอย่างเบาบาง ก็ถูกแสงกระบี่เจาะทะลุในพริบตาโดยไม่สามารถต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย


เดิมทีตู้ไห่ดีใจที่เห็นข้ารับใช้หญิงได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็รู้สึกตกตะลึงเมื่อได้เห็นฉากนี้ และพอเห็นว่าเป็นการลงมือของจางซิ่วเหนียง เขาก็ได้แต่เอามือลูบจมูกแล้วยิ้มออกมาอย่างขมขื่น


ด้วยเหตุนี้ นอกจากเสวียนจื้อที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าขาวซีด และไม่สามารถเคลื่อนไหวได้แล้ว เผ่าเจ้าสมุทรที่ต่อสู้ทั้งหมดก็ถูกสังหารจนหมดเกลี้ยง


การะประลองในครั้งนี้นับว่าปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์


ชายร่างผอมแห้งที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเรือหยกมีสีหน้าอึมครึมอย่างถึงที่สุด แต่หลังจากตาเป็นประกาย เขาก็ดีดนิ้วลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ


“ฟิ้ว!”


เสวียนจื้อที่นั่งขัดสมาธิอยู่ร้องออกมาอย่างเวทนา วายุไร้รูปเจาะทะลุศีรษะเขาไป ขณะเดียวกันก็มีเปลวเพลิงลุกไหม้จนศพของเขากลายเป็นขี้เถ้าภายในพริบตา


“สหายหง นี่หมายความว่าอย่างไร?”


เย่เทียนเหมยที่เดิมทีเผยรอยยิ้มออกมาหลังจากเห็นศิษย์ทั้งสองนิกายเอาชนะได้ แต่พอได้เห็นฉากนี้ กลิ่นไอบนตัวก็เย็นยะเยือกจนเสียดกระดูกในทันที


“ไม่มีอะไร ในเมื่อเจ้าเด็กนี่มีเชื้อพระวงศ์ ก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ในเงื้อมมือของเผ่าอื่นได้ ตอนแรกพวกเราก็ได้พูดอย่างชัดเจนแล้ว พวกเขาต้องชนะเท่านั้นถึงจะพาพวกเขาไปได้ แต่ในเมื่อตอนนี้แพ้แล้ว ย่อมไม่มีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตอยู่ ที่ข้าทำเช่นนี้มันก็สมเหตุสมผลแล้ว” ชายร่างผอมแห้งหัวเราะก่อนกล่าวออกมา แต่สายตามองไปยังสถานที่ที่เสวียนจื้อเสียชีวิตด้วยความเสียดาย


แม้เสวียนจื้อจะเป็นแค่โลหิตผสม แต่เชื้อพระวงศ์ในเผ่าเจ้าสมุทรเกิดได้ยากนัก เมื่อต้องลงมือฆ่าด้วยตนเองเช่นนี้ เป็นเรื่องที่สะเทือนใจเป็นอย่างมาก!


แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าเขาเป็นสายโลหิตบริสุทธิ์ของเชื้อพระวงศ์ล่ะก็ เขาคงไม่กกล้าถือวิสาสะสังหารเช่นนี้


เมื่อชายร่างผอมแห้งกล่าวจบ ก็กระทืบเท้าลงบนเรือหยก จากนั้นก็กลับหัวเรือพาธิดาเทพและคนอื่นๆ จากไปด้วยสีหน้าซับซ้อน


เย่เทียนเหมยจ้องมองเรือเหาะที่จากไปด้วยสีหน้าเช่นเดิม หลังจากลังเลเล็กน้อยแล้ว ก็ไม่ได้มีท่าทีขัดขวางแต่อย่างใด


“อาจารย์อาเย่ ให้ศิษย์ไปดูในวังหน่อยไหม ดูว่ายังมีเผ่าเจ้าสมุทรรอดชีวิตอยู่หรือไม่?” โจงเทียนเหอก้าวออกไปกล่าว


พอเห็นหงซานจากไปอย่างเด็ดขาดเช่นนี้ ใครก็คาดเดาได้ว่าเผ่าเจ้าสมุทรในวังต่างก็เสียชีวิตไปหมดแล้ว แต่ชายนิกายจันทราสวรรค์ผู้นี้ยังอดที่จะคาดหวังไม่ได้


“ได้! เจ้ากับศิษย์หลานหลินเข้าไปดูพร้อมกันเถอะ อีกอย่าง ถือโอกาสดูว่าในวังยังมีเชื้อพระวงศ์คนอื่นที่โชคดีรอดชีวิตหรือไม่ จากนั้นเลือกจักรพรรดิที่เหมาะสมมาคนหนึ่ง โลกมนุษย์ในแคว้นต้าเสวียนมีความสำคัญกับนิกายทั้งห้าของเรามาก จะให้เกิดความโกลาหลไม่ได้โดยเด็ดขาด” เย่เทียนเหมยสั่งอย่างไม่ลังเล


โจวเทียนเหอกับหลินไฉอวี่โค้งตัวตอบรับในทันที จากนั้นก็กลายเป็นลำแสงลองลำพุ่งยิงลงไป


“ส่วนศิษย์หลานเหลย และคนอื่นๆ ข้ามีรายชื่อผู้มีอิทธิพลกับผู้ฝึกฝนอิสระอยู่ชุดหนึ่ง พวกเจ้าแยกย้ายกันออกไปจับพวกเขามาสังหารให้หมด อีกประเดี๋ยวข้าจะใช้อาวุธเวทย์ปิดผนึกเสวียนจิงไว้สามวัน ระยะเวลานานเช่นนี้คงเพียงพอให้พวกเจ้าจัดการเรื่องนี้แล้ว” แผ่นหยกโผล่ขึ้นในมือเย่เทียนเหมย และโยนให้ชายฉกรรจ์แซ่เหลยอย่างไม่ใส่ใจ


ชายฉกรรจ์แซ่เหลยรับแผ่นหยกมา ถึงแม้จะรู้สึกตกใจ แต่ก็ตอบรับอย่างนอบน้อม จากนั้นก็พาอาจารย์จิตวิญญาณทั้งสองนิกายที่เหลือพุ่งไปยังอีกทิศทางหนึ่ง


ตอนนี้เย่เทียนเหมยกลับพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา ผ้าสีเทาหนาๆ โผล่ขึ้นในมือ นางโยนมันขึ้นไปในอากาศแล้วทำท่ามือชี้ออกไป


ทันใดนั้นกลิ่นไอผู้ฝึกฝนระดับผลึกก็ระเบิดออกมาจากตัวนางโดยไม่มีสิ่งใดปิดบังได้ จากนั้นก็พุ่งทะลุเมฆขึ้นไป


ผู้ฝึกฝนอิสระบางส่วนที่ใจกล้าแอบดูการต่อสู้หน้าพระราชวัง และมีการฝึกฝนอยู่ในระดับต่ำ ต่างก็รู้สึกว่ามีเสียงดัง “หวึ่งๆ!” ข้างหู จากนั้นก็หน้ามืดล้มลงไปกับพื้น


ผู้ที่อยู่ไกลออกไปหน่อย และมีระดับการฝึกฝนค่อนข้างสูง ก็รู้สึกหายใจอึดอัด มือเท้าอ่อนยวบยาบจนล้มลงบนพื้น และไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีก


แต่ในชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ ทั่วทั้งเมืองเสวียนจิงก็ถูกตาข่ายสีเทาที่ดูเบาบางเป็นพิเศษปกคลุมไว้


พอได้เห็นสถานการณ์เช่นนี้ กลุ่มอิทธิพลใหญ่ที่เดิมทีเป็นเต่าหดตัวในกระดอง เพราะรู้ว่ามียอดฝีมือระดับสูงของนิกายมา ต่างก็รู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง


แต่คนฉลาดจำนวนหนึ่ง นึกถึงข่าวร้ายที่ได้ยินมาไม่นานในทันที ทันใดนั้นพวกเขาต่างก็พาคนไปโจมตีตาข่ายสีเทาอย่างบ้าคลั่ง


แต่ในเมื่อตาข่ายนี้เป็นอาวุธเวทย์ที่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกอย่างเย่เทียนเหมยปล่อยออกมา พลังของมันจึงเหนือกว่าค่ายกลสี่สมุทรพลิกฟ้าเป็นอย่างมาก ผู้ฝึกฝนอิสระเหล่านี้จะทำลายมันได้อย่างไร


แต่เป็นเพราะคนเหล่านั้นโจมตีอย่างดุเดือด จึงถูกพลังของตาข่ายโจมตีกลับในทันที


ตาข่ายส่งเสียงดังหวึ่งๆ ทันใดนั้นแสงเย็นสะท้านจำนวนมากก็ม้วนตัวออกมา ผู้ฝึกฝนอิสระจำนวนมากที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็ถูกฟันออกเป็นหลายชิ้น


เหตุการณ์เช่นนี้ ทำให้ผู้ฝึกฝนอิสระที่เหลืออยู่ตกใจจนขวัญกระเจิง ตอนนี้พวกเขาเพิ่งรู้ว่าการกระทำของตนเองเป็นเรื่องรนหาที่ตายเท่านั้น จากนั้นก็พากันไปหลบซ่อนอยู่ในเสวียนจิง


และขณะนั้นเอง ชายฉกรรจ์แซ่เหลยและคนอื่นๆ ก็ทำการฆ่าล้างบางในเสวียนจิงแล้ว!


……


หนึ่งวันผ่านไป หลิ่วหมิงยืนอยู่บนรถเหาะอย่างนอบน้อม


ตอนนี้ไม่ได้มีแค่เขาเท่านั้น หูชุนเหนียง และจางซิ่วเหนียงต่างก็ยืนอยู่มุมอื่นๆ ของรถเหาะ


และใจกลางรถเหาะ เย่เทียนเหมยนั่งขัดสมาธิอยู่บนพรมสีขาวสะอาด ด้านหน้าของนางมีกระดานไม้จันทน์วางอยู่ เม็ดหมากสีดำขาววางตัดสลับกันอยู่บนนั้นอย่างหนาแน่น มือข้างหนึ่งของนางถือหมากดำ อีกข้างถือหมากขาว ไม่คิดว่านางจะเล่นหมากราวกับเป็นคนสองคน


ด้านหน้าของเย่เทียนเหมย มีหลินไฉอวี่กับโจวเทียนเหอยืนอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“พูดอย่างนี้ก็หมายความว่า เผ่าเจ้าสมุทรในวังต่างก็กินยาพิษฆ่าตัวตายไปหมดแล้ว ทั้งยังกระตุ้นเคล็ดวิชาไว้ล่วงหน้า เพื่อให้วิญญาณทั้งหมดแตกสลาย จนไม่สามารถหาเจอได้แม้แต่เศษเสี้ยวเดียว” เย่เทียนเหมยวางหมากสีขาวลงบนกระดาน แล้วกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ


“ถูกต้อง อาจารย์อาเย่ ข้ากับท่านเซียนหลินได้ตรวจสอบดูทั้งในและนอกวังแล้ว และยังดำลงไปค้นหาใต้ดินลึกหลายสิบจั้ง ก็ไม่พบว่ามีคนเผ่าเจ้าสมุทรอยู่ในวังแม้แต่คนเดียว ส่วนขุนนางใหญ่กับองครักษ์ธรรมดาเหล่านั้นต่างก็ปลอดภัยดี เพียงแค่ถูกคนทำให้สลบไปชั่วขณะ และถูกขังเอาไว้เท่านั้น ปัญหายุ่งยากเพียงหนึ่งเดียวก็คือ หาเชื้อพระวงศ์ไม่เจอเลยแม้แต่คนเดียว ศิษย์ได้สืบมาแล้ว หลังจากที่เผ่าเจ้าสมุทรพ่ายแพ้ กลุ่มอิทธิพลจำนวนหนึ่งในเสวียนจิงก็แอบจัดการเชื้อพระวงศ์เหล่านี้อย่างลับๆ ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ที่หาเจอก็เป็นแค่เชื้อพระวงศ์หญิงที่มีสายโลหิตห่างๆ เพียงไม่กี่คนเท่านั้น” โจวเทียนเหอรีบก้าวไปกล่าวอย่างนอบน้อม


“ฮึ! ผู้ฝึกฝนนอกรีตเหล่านี้รนหาที่ตายกันจริงๆ ดูท่าคงต้องกวาดล้างเสวียนจิงอีกหลายรอบถึงจะได้ ในเมื่อหาได้แค่เชื้อพระวงศ์หญิง งั้นก็เลือกคนที่มีประวัติขาวสะอาดมาคนหนึ่ง ให้นางเป็นจักรพรรดินีของแคว้นต้าเสวียนเถอะ! ส่วนองค์ชาย และอ๋องเหล่านั้น ไม่ว่าจะหาเจอในภายหลังหรือไม่ ก็ทำเหมือนกับว่าพวกเขาไม่ได้มาปรากฏตัวก็แล้วกัน” เย่เทียนเหมยหัวเราะอย่างเยือกเย็น และวางหมากดำลงบนกระดาน


“ทราบ! ศิษย์หลานรู้แล้วว่าควรทำอย่างไร” โจวเทียนเหอรีบตอบอย่างรู้งาน


“อาจารย์อาเย่ เมื่อครู่ศิษย์พี่เหลยส่งข่าวมาว่า ได้กวาดล้างกลุ่มอิทธิพลที่มีชื่อบนบัญชีรายชื่อไปหมดแล้ว กลุ่มผู้ฝึกฝนนอกรีตก็ถูกฆ่าล้างบางไปกว่าครึ่งหนึ่ง แต่ยังมีบางคนที่ซ่อนตัวอย่างลึกลับ เกรงว่าต้องรออีกวันสองวันถึงจะกำจัดได้หมดสิ้น” ขณะนี้หลินไฉอวี่ก็โค้งตัวกล่าวออกมา


“เพียงแค่พวกเขาทำภารกิจได้สำเร็จภายในสามวัน เรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องรายงานข้าแล้ว” เย่เทียนเหมยกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ


……………………………………….


ตอนที่ 224 กลิ่นไอกระบี่

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ทราบ! ขอบคุณผู้อาวุโสที่เมตตา ใช่สิ! ที่ผู้อาวุโสให้ข้าพาศิษย์หลานไป๋มาหา ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุอันใด?” หลินไฉอวี่เผยสีหน้าดีใจออกมา แต่ก็ถามออกไปด้วยความแปลกใจ


“ไม่มีอะไร ชัยชนะในครั้งนี้ ศิษย์นิกายปีศาจของพวกเจ้าผู้นี้ได้สร้างผลงานไว้มาก นับว่ารักษาหน้าข้าไว้ได้ ข้าเลยถือโอกาสมอบสิ่งดีๆ ให้เขาหน่อย! มิเช่นนั้นต่อไปถ้าเจอหน้าเฒ่าประหลาดเยี่ยน ข้าคงถูกเหน็บแนมไม่ใช่น้อย” เย่เทียนเหมยกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ


“ขอบคุณผู้อาวุโส นับเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่หากศิษย์หลายไป๋ได้รับคำชี้แนะจากท่าน” ตอนแรกหลินไฉอวี่รู้สึกตกใจ แต่ก็รีบกล่าวออกมาด้วยความดีใจ ขณะเดียวกันก็กวักมือเรียกหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่ก็รีบก้าวไปกล่าวขอบคุณด้วยความดีใจ


หูชุนเหนียงกับจางซิ่วเหนียงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตกตะลึงเช่นกัน


จางซิ่วเหนียงไม่เท่าไหร่ แต่สีหน้าหูชุนเหนียงเต็มไปด้วยความอิจฉา


“ที่แท้เจ้าก็ชื่อไป๋ชงเทียน จะว่าไปแล้ว นี่นับเป็นครั้งที่สองที่เราเจอกัน ดูท่าระหว่างเราคงมีวาสนาต่อกันไม่ใช่น้อย ตอนนี้เจ้าอยากได้อะไรจากข้า? พูดออกมาเลย แต่สิ่งที่เจ้าอยากได้ต้องสมเหตุสมผลกับผลงานของเจ้า ถ้าหากละโมบจนเกินไปข้าจะไม่รับปากเจ้า” เย่เทียนเหมยวางหมากในมือลง แล้วหันมาสังเกตหลิ่วหมิงอย่างละเอียดเป็นครั้งแรก


“ศิษย์หลานไป๋กับผู้อาวุโสเย่เคยเจอกันมาก่อนหรือ?” หลินไฉอวี่ได้ยินเช่นนี้ ย่อมรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก


โจวเทียนเหอ จางซิ่วเหนียง และคนอื่นๆ ได้ยิน ก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา คิดไม่ออกว่าศิษย์ระดับนี้รู้จักกับผู้แข็งแกร่งระดับเย่เทียนเหมยได้อย่างไร


“ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับผู้อาวุโสที่นี่ เดิมทีคิดว่าผู้อาวุโสลืมข้าไปแล้วซะอีก! ไม่ทราบว่านอกจากความละโมบเกินตัวแล้ว ยังมีข้อจำกัดอื่นๆ หรือไม่?” หลิ่วหมิงคิดวกไปมาอย่างรวดเร็ว แล้วกล่าวออกมาตามตรง


“เพียงแค่ข้อเรียกร้องของเจ้าไม่ทำให้ข้ารู้สึกไม่พอใจ ก็ไม่มีปัญหาอะไร” เย่เทียนเหมยยิ้มเล็กน้อย แต่คำตอบของนางทำให้หลิ่วหมิงแอบแสยะปาก และตำหนิอยู่ในใจไม่หยุด


อะไรที่เรียกว่าไม่ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจ มันไม่คลุมเครือไปหน่อยหรือ!


ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลิ่วหมิงก็คิดวกไปมาอยู่ไม่หยุด และเริ่มพิจารณาว่าต้องเรียกร้องอะไรถึงจะคุ้มค่าที่สุด และทำให้ผู้อาวุโสตรงหน้าไม่อาจปฏิเสธได้


เย่เทียนเหมยเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้เร่งรัดแต่อย่างใด นางเพียงแค่จ้องมองหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนยิ้ม


“ไม่ทราบว่าในมือของผู้อาวุโสมีไอปีศาจบริสุทธิ์ที่เหมาะสมกับข้าหรือไม่?” หลิ่วหมิงคิดอยู่พักใหญ่ๆ แล้วถามหยั่งเชิงออกไป


“ไอปีศาจบริสุทธิ์? ข้ามีอยู่ไม่กี่ชุด แต่ส่วนมากมีเจ้าของแล้ว ที่เหลือก็ธรรมดาไปหน่อย เจ้าอยากได้หรือไม่?” เย่เทียนเหมยไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด แต่ตอบกลับอย่างเนิบนาบ


“ไม่ทราบว่าไอปีศาจบริสุทธิ์ธรรมดาเหล่านี้ เป็นไอปีศาจบริสุทธิ์ชนิดเดียวกันหรือไม่?” หลิ่วหมิงฉุกคิดอย่างรวดเร็วแล้วถามออกไป


“มันไม่เป็นเช่นนั้น ไอปีศาจบริสุทธิ์เหล่านี้มีแค่อย่างละชุดเท่านั้น” เย่เทียนเหมยกล่าวอย่างไม่รีบร้อน


หลิ่วหมิงได้ยิน ก็แสดงสีหน้าผิดหวังออกมา แต่หลังจากฉุกคิดอย่างรวดเร็วก็เอ่ยปากถามออกไปอีกครั้ง


“ในเมื่อไอปีศาจบริสุทธิ์ในมือผู้อาวุโสไม่เหมาะสมกับข้า ถ้าอย่างนั้นผู้อาวุโสมีเหล็กทมิฬหรือไม่?”


“เหล็กทมิฬ! เจ้าได้ยินชื่อวัสดุชิ้นนี้มาจากที่ใด ของสิ่งนี้เป็นวัสดุชั้นสูงในการหลอมกระบี่บิน นอกจากผู้ฝึกฝนกระบี่แล้ว มีคนน้อยมากที่รู้เรื่องนี้? แต่ข้าไม่มีของสิ่งนี้หรอก ถึงจะมีเจ้าก็อย่าได้คิดฝันว่าจะได้มันไป ดูท่าเจ้าคงยังไม่ค่อยรู้จักวัสดุชิ้นนี้ ข้าจะอนุญาตให้เจ้าบอกสิ่งที่ต้องการอีกครั้ง แต่ถ้าไม่ได้อีกล่ะก็ คำรับปากข้าจะเป็นโมฆะทันที” คิ้วของเย่เทียนเหมยขมวดเข้าหากัน นางเผยสีหน้าเบื่อหน่ายออกมาเป็นครั้งแรก


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ขอบคุณผู้อาวุโสที่เมตตา ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ศิษย์สามารถฝึกฝนเส้นทางสู่การฝนกระบี่ได้หรือไม่?” หลิ่วหมิงยิ้มอย่างขมขื่น ในที่สุดก็เสนอข้อเรียกร้องที่คิดว่าได้ผลออกมา


โจวเทียนเหอ หลินไฉอวี่ และคนอื่นๆ ที่ได้ยินต่างก็รู้สึกประหลาดใจมาก


“เส้นทางสู่การฝึกฝนกระบี่? หรือเจ้าอยากฝึกฝนสายกระบี่? ผู้ฝึกฝนที่มีความคิดเช่นนี้ ข้าก็เคยพบเห็นมาไม่น้อย แต่ส่วนมากก็ละทิ้งไประหว่างทาง มีส่วนน้อยที่ฝึกฝนได้สำเร็จ แต่เทียบกับการฝึกฝนกระบี่ที่แท้จริงแล้วมันต่างกันมาก เจ้าแน่ใจว่าจะมาเรียนกับข้า! ที่จริงแม้เจ้าไม่เรียนกับข้า ก็สามารถซื้อวิชาสู่เส้นทางการฝึกฝนจากตลาดได้ เจ้าคิดดีแล้วหรือที่จะใช้ข้อเรียกร้องนี้ไปกับของสิ่งนี้!” เย่เทียนเหมยได้ยินเช่นนี้ ดวงตาก็เปล่งประกายออกมา


“ความรู้เข้าสู่เส้นทางสายกระบี่ในตลาดเหล่านั้น ข้าก็เคยอ่านมาแล้ว แต่ข้าเชื่อว่าวิชาการฝึกฝนของผู้อาวุโสจะต้องแตกต่างจากในตลาดอย่างแน่นอน หวังว่าผู้อาวุโสจะส่งเสริมข้าเล็กน้อย!” ครั้งนี้หลิ่วหมิงกลับกล่าวออกมาอย่างไม่ลังเล


“ดีมาก! ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว เรื่องนี้ข้าสามารถรับปากเจ้าได้ แต่ข้าชี้แนะได้แค่ความรู้การฝึกฝนเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้สอนการฝึกฝนที่เป็นรูปธรรม” เย่เทียนเหมยกล่าวอย่างราบเรียบ


“ไม่เป็นไร! แค่ความรู้การเข้าสู่เส้นทางการฝึกฝนกระบี่ก็พอแล้ว!” หลิ่วหมิงกล่าวโดยไม่ต้องคิด


“ดีมาก! เจ้ารอสักครู่!” เย่เทียนเหมยพยักหน้าแล้วหยิบแผ่นหยกออกมาจากอกแผ่นหนึ่ง เพียงแค่นำมันไปไว้บนหน้าผากซักพัก แล้วก็โยนไปให้หลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงรับแผ่นหยกด้วยความดีใจ เย่เทียนเหมยกลับกล่าวด้วยสีหน้าเยือกเย็น


“ความรู้ที่ข้าได้รับตอนที่ยังอยู่ในเขตแดนศิษย์จิตวิญญาณ ล้วนบันทึกอยู่ในนั้นแล้ว แม้จะไม่มีวิธีการฝึกฝนที่เป็นรูปธรรม แต่อาศัยแค่ความรู้เหล่านี้ กับอุปนิสัยที่ไม่เลว และสามารถหาเคล็ดการฝึกฝนที่เป็นรูปธรรมได้ คงพอที่จะเข้าสู่เส้นทางสายนี้ได้ แต่จำไว้ให้ดี แผ่นหยกนี้ถูกข้าแสดงวิชาไว้ เจ้ามีเวลาท่องจำแค่หนึ่งคืน ผ่านไปหนึ่งคืนแล้วมันก็จะแตกสลายไป แม้ว่าความรู้ที่ข้าให้เจ้านี้จะไม่ใช่ของสำคัญอะไร แต่ก็ไม่อยากให้คนรู้มากนัก ถ้าข้ารู้ว่าเจ้าถ่ายทอดให้คนอื่นๆ ล่ะก็ ข้าไม่เพียงแค่จะฆ่าเจ้าทิ้ง ถ้ามีคนที่เคยอ่านความรู้เหล่านี้หนึ่งคน ข้าจะฆ่าทิ้งหนึ่งคน มีสิบคนก็จะฆ่าทิ้งสิบคน มีร้อยคนก็จะฆ่าทิ้งร้อยคน” เย่เทียนเหมยกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน


“ข้าน้อยมิกล้า! ข้าจะไม่ถ่ายทอดความรู้นี้ให้คนอื่นอย่างเด็ดขาด” หลิ่วหมิงรู้สึกเย็นยะเยือกในใจ และกล่าวออกมาอย่างนอบน้อม


“ดี! เจ้าไปได้แล้ว” เมื่อเย่เทียนเหมยทำทุกอย่างนี้เสร็จ ก็โบกมือให้กับหลิ่วหมิงและหลินไฉอวี่


“ถ้าอย่างนั้นข้าขอพาศิษย์หลานไป๋ลาท่านไปก่อน ถ้าผู้อาวุโสเย่มีเรื่องอะไรให้รับใช้ก็ส่งข่าวมาได้เลย”


หลินไฉอวี่โค้งตัวคารวะอย่างนอบน้อมในทันที


จากนั้นนางก็พาหลิ่วหมิงเหาะพุ่งไปยังเรือเหาะกระดูก


แต่ในระหว่างทาง หลินไฉอวี่กลับสังเกตดูหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าแปลกใจเป็นอย่างมาก


เห็นได้ชัดว่านางไม่เพียงแต่แปลกใจที่เห็นหลิ่วหมิงรู้จักกับเย่เทียนเหมย แต่ยังรู้สึกแปลกใจกับข้อเรียกร้องในตอนท้ายของเขามากกว่า


ขณะเดียวกัน บนรถเหาะทองเหลือง ในที่สุดโจวเทียนเหอก็ถามออกมาอย่างอดไม่ได้


“อาจารย์อา ท่านนำความรู้การฝึกฝนของท่าน ถ่ายทอดให้ศิษย์นอกนิกายธรรมดาคนหนึ่งหรือ?”


“ทำไมล่ะ! เรื่องของข้าต้องให้เจ้ามาสอดแทรกด้วยหรือ?”


“มิกล้า! ศิษย์หลานเพียงแค่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยเท่านั้น!”


คำพูดเบาๆ ของเย่เทียนเหมย กลับทำให้โจวเทียนเหอ รีบโค้งตัวขอโทษอย่างรวดเร็ว


“ช่างเถอะ! เจ้าแค่รู้ว่าที่ข้าทำเช่นนี้ย่อมมีจุดมุ่งหมายของข้า อีกอย่างที่มอบให้เขาก็เป็นแค่ความรู้ในการเข้าสู่เส้นทางการฝึกฝนกระบี่เท่านั้น ไม่นับว่าเป็นของล้ำค่าอะไร ไม่แน่มันอาจจะทำให้ข้าพิสูจน์เรื่องบางอย่างได้?” เย่เทียนเหมยกล่าว ขณะเดียวก็แสดงสีหน้างุนงงออกมาเป็นครั้งแรก


พริบตาที่เจอหน้าหลิ่วหมิง นางก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นไอกระบี่จางๆ บนตัวเขา แต่กลิ่นไอนี้เดี๋ยวก็ปรากฏ เดี๋ยวก็หาย ซึ่งมันอ่อนมากจนเกือบจะรับรู้ไม่ได้


นี่เป็นเพราะว่ากลิ่นไอกระบี่ที่นางฝึกฝนนั้นพิเศษ และยังบริสุทธิ์เป็นอย่างมาก จนแม้แต่เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ก็ไม่อาจเทียบได้ หากเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ระดับผลึกโดยทั่วไปล่ะก็ เกรงว่าคงไม่อาจค้นพบเรื่องนี้ได้


ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางก็ยังรู้สึกสงสัยว่ากลิ่นไอกระบี่นี้มีอยู่จริงหรือไม่ หรือว่าเป็นเรื่องที่นางคิดไปเอง


อย่างที่รู้ๆ ผู้ที่สามารถฝึกฝนกลิ่นอายกระบี่ออกมาได้ ต้องเป็นศิษย์ผู้มีพรสวรรค์ที่เดินบนเส้นทางการฝึกฝนกระบี่ที่แท้จริง ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นไกล ศิษย์ในนิกายจันทราสวรรค์ที่สามารถฝึกฝนกลิ่นไอกระบี่ออกมาได้ ก็มีแค่จางซิ่วเหนียงเท่านั้น ทั้งยังต้องฝึกฝนอย่างยากลำบากมาหลายปี จนเข้าสู่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายถึงได้เกาะผลึกออกมาได้


ด้วยเหตุนี้ ศิษย์นิกายปีศาจธรรมดาๆ คนหนึ่ง ทำไมถึงมีกลิ่นไอกระบี่อยู่บนตัวเล่า


นางมั่นใจว่าครั้งแรกที่เจอศิษย์นิกายปีศาจผู้นี้ เขาไม่มีกลิ่นไอนี้อย่างแน่นอน


และนางได้ใช้เคล็ดวิชากวาดดูทั่วตัวหลิ่วหมิงอย่างเงียบๆ แล้ว ซึ่งนอกจากจะรับรู้ได้ถึงกลิ่นไอกระบี่อ่อนๆ จากตัวเขา และอาวุธที่พกมาไม่กี่อย่างแล้ว ก็ไม่ค้นพบความผิดปกติใดๆ


สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกแปลกใจมากขึ้นกว่าเดิม


มิเช่นนั้น ด้วยสถานะระดับนางจะเรียกศิษย์ต่างนิกายเข้าพบได้อย่างไร และยิ่งไม่ใจกว้างถึงขนาดถ่ายทอดความรู้การเข้าสู่เส้นทางการฝึกฝนกระบี่ให้เขา


นางเชื่อว่าเพียงแค่ฝ่ายตรงข้ามอ่านความรู้การฝึกฝนกระบี่นางนาง และเพิ่มการฝึกฝนเล็กน้อย เมื่อเจอกับเจ้าเด็กนี้ในครั้งหน้า ก็จะสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนแล้ว


เย่เทียนไม่คิดจะอธิบายเรื่องนี้ให้กับโจวเทียนเหอและคนอื่นๆ และถึงแม้เรื่องนี้จะทำให้นางค่อนข้างสนใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่คิดที่จะใส่ใจมันมากนัก


เพราะหลิ่วหมิงเป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณ และกลิ่นไอกระบี่ก็อ่อนมาก


……


หลิ่วหมิงกลับถึงเรือกระดูก ก็หาห้องสงบในเรือก่อนจะนั่งขัดสมาธิลงไป และใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งกดไปยังจุดตันเถียนเบาๆ สีหน้าเขาเปลี่ยนไปมาอยู่ไม่หยุด


ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่า ตั้งแต่ตัวอ่อนจิตวิญญาณกระบี่ในร่างเขาได้พบกับผู้อาวุโสระดับผลึกของนิกายจันทราสวรรค์ มันก็เกิดความผิดปกติขึ้นเล็กน้อย


ตัวอ่อนกระบี่ที่เดิมทีไร้ความรู้สึก พอได้เข้าใกล้เย่เทียนเหมย ก็ทำให้บริเวณจุดตันเถียนค่อยๆ ร้อนขึ้นมา


เป็นครั้งแรกที่กระบี่ตัวอ่อนเป็นเช่นนี้


……………………………………….


ตอนที่ 225 เงาปีศาจในจวนอ๋อง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ถึงหลิ่วหมิงจะไม่ทราบสาเหตุ แต่ก็รู้สึกอยากปลีกตัวออกห่าง ‘ผู้อาวุโสเย่’ ผู้นี้ แม้ว่าจะเคารพนับถือก็ตาม


เพราะในร่างของเขายังมีฟองอากาศแปลกประหลาดที่ลึกลับกว่าแฝงอยู่ ถ้าถูกผู้ฝึกฝนระดับผลึกค้นพบเข้าล่ะก็ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้าง


สำหรับเขาแล้ว ถึงแม้ไม่รู้ว่ามันส่งผลดีหรือร้าย แต่อาศัยที่มันสามารถทำพลังเวทย์ให้บริสุทธิ์ และนำจิตรับรู้เข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับได้ มันจะต้องเป็นสิ่งที่มีภูมิหลังอันยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน ดังนั้นย่อมไม่อาจให้คนอื่นรู้ได้เป็นอันขาด


แม้ว่าครั้งนี้เขาจะไม่ได้สิ่งที่อยากได้จากเย่เทียนเหมย แต่ในเมื่อมีความรู้การฝึกฝนกระบี่ของนางแล้ว ต่อไปไม่ว่าจะเป็นการเกาะผลึกตัวอ่อนจิตวิญญาณกระบี่ของตนเอง หรือการฝึกฝนกระบี่ที่แท้จริง คงต้องเดินบนเส้นทางที่คดเคี้ยวเป็นจำนวนมาก


เพราะว่าเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งในมือเขา มันล้ำลึกจนเกินไป อีกอย่างนอกจากวิธีการฝึกฝนที่เป็นรูปธรรมแล้ว ก็ไม่มีความรู้ด้านประสบการณ์บันทึกอยู่เลย


ตอนนี้เขามีความรู้การฝึกฝนกระบี่ของเย่เทียนเหมย บวกกับคัมภีร์ต่างๆ ที่รวบรวมมาจากตลาด มันคงทำให้เขาเดินเข้าสู่เส้นทางการฝึกฝนกระบี่ได้อย่างราบรื่นแล้ว


อย่างที่รู้กันว่า หลิ่วหมิงเลื่อมใสวิชากระบี่บินมาโดยตลอด ตอนนี้มีโอกาสฝึกฝนเส้นทางสายนี้ เขาย้อมไม่อาจละทิ้งไปได้


ปัญหายุ่งยากเพียงหนึ่งเดียวก็คือเหล็กทมิฬที่เขาต้องใช้ในการหลอมตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่ง เป็นวัสดุระดับสูงในการหลอมกระบี่บิน ดูท่าใช้วิธีการธรรมดาคงไม่อาจได้มันมา ต้องใช้วิธีการพิเศษบางอย่างถึงจะหามันมาได้


ครั้งนี้เขาได้สร้างผลงานในการต่อสู้กับเผ่าเจ้าสมุทรมาไม่ใช่น้อย ชายฉกรรจ์แซ่เหลยก็ได้มอบโอสถจิตวิญญาณหลายขวดกับแต้มคุณูปการสามพันแต้มให้เขาอย่างไม่เสียดาย


แม้ว่าตู้ไห่จะได้รับรางวัลเหมือนกัน แต่เทียบกับของเขาแล้วมันห่างกันมาก


เวลาต่อมาหลิ่วหมิงก็นั่งฝึกฝนอยู่เงียบๆ


ชายฉกรรจ์แซ่เหลย หลินไฉอวี่ และอาจารย์จิตวิญญาณนิกายปีศาจคนอื่นๆ ไม่ได้มอบหมายภารกิจอะไรให้เขา


จนเมื่อสองวันผ่านไป ชายฉกรรจ์แซ่เหลยก็กลับถึงเรือกระดูก และเรียกพบเขาอีกครั้ง


แต่ชายฉกรรจ์แซ่เหลยแค่สั่งเขาไม่กี่ประโยค และมอบรายชื่อผู้ฝึกฝนนอกรีตให้แผ่นหนึ่ง จากนั้นก็ให้เขากลับไปยังถ้ำที่พักของตนเอง


หนึ่งวันผ่านไป หลิ่วหมิงได้ยินเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น จึงออกจากถ้ำแล้วมองขึ้นไปบนฟ้า ตาข่ายยักษ์สีเทาที่ปกคลุมเสวียนจิงได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว


ไม่เพียงแต่เท่านี้ ต่อมาเขาได้รับข่าวว่าเย่เทียนเหมย ชายฉกรรจ์แซ่เหลยและคนอื่นๆ ต่างก็กลับไปนิกายตนเองแล้ว


และเสวียนจิงในตอนนี้ กลุ่มอิทธิพลใต้ดินที่ค่อนข้างใหญ่ก็ถูกสลายไปจนหมดสิ้น ดูเหมือนว่าผู้ฝึกฝนอิสระหนึ่งในห้าส่วนถูกทั้งสองนิกายกวาดล้างไปจนหมด หลังจากชั้นจำกัดบนท้องฟ้าหายตัวไป คนที่เหลืออยู่กว่าครึ่งหนึ่งก็พากันออกไปจากเสวียนจิง ไม่กล้าอยู่ในเสวียนจิงต่อไปอีก


ด้วยเหตุนี้ ผู้ฝึกฝนที่เหลืออยู่ในเสวียนจิงมีแค่ราวๆ หนึ่งในสี่ของก่อนหน้านั้น และไม่มีใครกล้าเสี่ยงก่อเรื่องไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง


ในช่วงระยะเวลาหนึ่งเดือนหลังจากเรื่องนี้ เรื่องราวเกี่ยวกับอดีตจักรพรรดิสิ้นพระชนม์ และข่าวเกี่ยวกับจักรพรรดินีพระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ก็กระจายไปทั่วเสวียนจิง


หลิ่วหมิงเป็นศิษย์ตรวจตรา ย่อมไปปะปนกับผู้คนในวันทำพิธี เพื่อสังเกตดูพิธีการขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดินี


ภายใต้การคุ้มครองของแขกจิตวิญญาณทองคำ พิธีการใหญ่จึงดำเนินไปอย่างราบรื่น


และ ‘จักรพรรดินี’ ที่กล่าวถึง เป็นแค่หญิงสาวอายุราวๆ สิบสามสิบสี่ปีเท่านั้น ใบหน้ายังอ่อนเยาว์มาก


แต่ที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจก็คือ เขาได้พบกับผู้บัญชาการแขกจิตวิญญาณทองคำอย่างชิวหลงจื่อในงานพิธี ซึ่งเดิมทีหลิ่วหมิงคิดว่าเขาตายไปแล้ว


ชิวหลงจื่อในตอนนี้ นอกจากมีสีหน้าซีดขาวเล็กน้อยแล้ว ตามร่างกายก็ไม่มีบาดแผลใดๆ อีก ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเสวียนจิงมากนัก แต่กลับดูจิตใจฮึกเหิมและองอาจห้าวหาญเป็นอย่างมาก


หลิ่วหมิงย่อมไม่เป็นฝ่ายไปพบผู้บัญชาการแขกจิตวิญญาณทองคำผู้นี้ก่อน หลังพิธีการใหญ่เสร็จสิ้นแล้ว เขาก็กลับถ้ำไปอย่างเงียบๆ


พิธีขึ้นครองราชย์เสร็จสิ้นไปไม่กี่วัน หูชุนเหนียงก็มาหาเขาที่ถ้ำ และสุดท้ายก็พาเฉียนหรูผิงไป


จากคำพูดก่อนไปของนาง ตอนนี้ภารกิจศิษย์ตรวจตราของนางสิ้นสุดลง และได้เวลากลับนิกายแล้ว ด้วยเหตุนี้ถึงได้มาที่นี่เพื่อบอกลาเขา และพาเด็กหญิงไปด้วย


เมื่อถึงเวลาที่เฉียนหรูผิงต้องไปจากหลิ่วหมิงจริงๆ นางก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์อย่างถึงที่สุด


จนถึงกระทั่งตอนนี้ พอหลิ่วหมิงหลับตาก็ยังเห็นภาพที่เด็กหญิงหันกลับมามองเขาด้วยน้ำตาคลอเบ้า


แต่เด็กหญิงแสดงความสามารถทางด้านค่ายกลออกมาได้ดี บวกกับได้ไปนิกายอันดับหนึ่งของแคว้นต้าเสวียน คิดว่าในภายหน้า ถึงแม้ไม่ได้กลายเป็นศิษย์จิตวิญญาณ แต่คงได้รับการคุ้มครองที่ดี


เช่นนี้ นับว่าเขาได้ทำตามคำสัญญาที่ให้กับอาเฉียนในปีนั้นแล้ว


ช่วงระว่างเวลานี้ เขายังไปดูจวนเฉียนกับทางด้านฝานไป๋จื่อด้วย


การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเสวียนจิงมีผลกระทบต่อพวกเขาน้อยมาก


ทางด้านจวนเฉียน ในช่วงที่เสวียนจิงเริ่มเกิดความวุ่นวาย พวกเขาได้เรียกคนทั้งหมดมารวมกัน และปิดประตูใหญ่ไว้อย่างแน่นหนาโดยไม่สนใจเรื่องราวภายนอกเลยแม้แต่น้อย เถ้าแก่เฉียนกับผู้อาวุโสเหมี่ยนก็สามารถพ้นเคราะห์ครั้งนี้ไปได้อย่างปลอดภัย


ส่วนฝานไป๋จื่อเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่มีชื่อเสียง กลุ่มอิทธิพลใหญ่ต่างๆ กับการกวาดล้างของชายฉกรรจ์แซ่เหลย ต่างไม่กระเทือนถึงเขาเลยแม้แต่น้อย ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ ผู้นี้ยังเตือนให้เขามาเรียนวิชาปรุงโอสถให้ตรงเวลาด้วย


หลิ่วหมิงย่อมตอบรับกลับไปอย่างเต็มปากเต็มคำ


วันนี้หลิ่วหมิงกำลังตรวจสอบกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่ในห้องลับภายในถ้ำ บนกระดาษมีชื่อคนและคำบรรยายส่วนหนึ่งอยู่ลางๆ


และหลิ่วหมิงกำลังจ้องมองรายชื่อคนสองคนที่เขียนต่อจากคำว่า ‘พรรควิญญาณมืด’


ทั้งสองคนคือสองในสามผู้บังคับบัญชาการใหญ่ของพรรควิญญาณมืด และเป็นทูตหมายเลขหนึ่งกับหมายเลขสองของพรรควิญญาณมืด


ในขณะที่ชายฉกรรจ์แซ่เหลยกับอาจารย์จิตวิญญาณของสองนิกายกวาดล้างรังลึกลับของพรรควิญญาณมืดนั้น ทั้งสองคนนี้ไม่เคยโผล่หน้าออกมาเลย แต่ฑูตหมายเลขสามนั้น หลบหนีไม่ทันจึงถูกชายฉกรรจ์แซ่เหลยสังหารตายคาที่


แต่สถานะที่แท้จริงของทูตหมายเลขหนึ่งกับหมายเลขสอง ถูกหาเจอโดยใช้วิธีการค้นจิตจากคนสนิทของทั้งสองแล้ว


พวกเขาคือผู้ฝึกฝนนอกรีตสองคนที่ชายฉกรรจ์แซ่เหลย สั่งให้หลิ่วหมิงจัดการก่อนที่เขาจะจากไปนั่นเอง


มาถึงเวลานี้แล้ว พวกเขามั่นใจแล้วว่าศิษย์ตรวจตราคนก่อนถูกพรรควิญญาณมืดทำร้ายอย่างแน่นอน แม้แต่ศพก็กลายเป็นกองขี้เถ้าไปด้วย


ส่วนที่ว่าทำไมพรรควิญญาณมืดถึงได้กล้าทำเช่นนี้ ผู้คนต่างก็พากันพูดไปต่างๆ นานา ว่าแม้แต่พรรควิญญาณมืดเองยังไม่รู้จักคนในพรรค คงมีแค่สามผู้นำใหญ่เท่านั้นที่รู้


แต่น่าเสียดายที่ทูตหมายเลขสาม ตายในเงื้อมมือของชายฉกรรจ์แซ่เหลยเร็วไปหน่อย จึงไม่ทันจับเป็นเขา มิเช่นนั้นถ้าได้ค้นดูจิตเขาล่ะก็ ไม่แน่ทุกอย่างอาจจะกระจ่างขึ้นมาก็ได้


หลิ่วหมิงกลับไม่ค่อยสนใจคนทั้งสองเท่าไหร่


เพียงแค่พรรควิญญาณมืดไม่ฟื้นคืนอิทธิพล ผู้ฝึกฝนนอกรีตสองคนนี้จะก่อเรื่องอะไรขึ้นมาได้


แต่ตอนนี้จวนอ๋องสามว่างแล้ว ที่เขาอดทนไม่ทำการใดๆ มาโดยตลอด เพราะกลัวว่าถ้าหลับหูหลับตาบุกเข้าไป หลังจากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเสวียนจิงเพิ่งจะผ่านพ้นไม่นาน อาจมีคนสงสัยเอาได้


ตอนนี้ผ่านไปเดือนกว่าๆ แล้ว จวนอ๋องแต่ละแห่งก็ถูกจักรพรรดินีองค์ใหม่ตรวจสอบและอายัดไว้หมดแล้ว อีกไม่นานก็จะมอบให้กับขุนนางใหญ่คนอื่นๆ


ด้วยเหตุนี้ ถ้าเขาไม่ดำเนินการในตอนนี้ล่ะก็ คงจะไม่ได้แล้ว


หลิ่วหมิงเก็บแผ่นกระดาษในมือ และตัดสินใจอย่างรวดเร็ว


เวลาค่อยๆ ผ่านไป พริบตาเดียวก็ถึงเวลายามสาม!


เงาร่างจางๆ พุ่งออกจากตรอกบางแห่ง หลังจากเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไม่กี่ที ก็ลอยผ่านกำแพงจวนอ๋องสามไป และลอยลงในลานขนาดไม่เล็กมากนัก โดยไร้ซึ่งสุ้มเสียงใดๆ


เวลานี้รอบด้านเงียบสงัด พื้นที่ทั่วทุกแห่งในจวนล้วนมืดสลัวๆ ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามีแสงจันทราส่องสว่างลงมาจากฟ้า เกรงว่ายื่นมือไปก็คงมองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้าของตนเอง


แน่นอนว่าเงาร่างที่บุกเข้ามาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง!


หลังจากเขากวาดสายตามองไปรอบด้านแล้ว ก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว ทันใดนั้นดวงตาเขาก็ค่อยๆ สว่างขึ้นมา ภาพที่ดูสลัวๆ กลับชัดเจนขึ้นมามาก


จากนั้นหลิ่วหมิงก็ตบถุงหนังบนเอว “ซู่!” แสงสีดำม้วนตัวออกมา จากนั้นแมงป่องกระดูกขาวก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า


ครั้งนี้แมงป่องกระดูกขาวส่ายหางแล้วมุดหายเข้าไปใต้ดิน โดยที่เขาไม่ต้องสั่งอะไรเลย


หลิ่วหมิงล้วงแผนที่ออกจากแขนเสื้อมาผืนหนึ่ง แล้วมองดวงดาวบนท้องฟ้า หลังจากทำความเข้าใจทิศทางเล็กน้อยแล้ว ก็พุ่งผ่านสิ่งก่อสร้างแต่ละแห่งของจวนอ๋องสามไป


ชั่วเวลาหนึ่งเค่อผ่านไป ไม่รู้ว่าหลิ่วหมิงอาศัยวิธีการอะไรหามุมบางแห่ง ที่อยู่หน้าต้นไม้ยักษ์ที่ไม่ทราบอายุได้


“ดูท่าคงจะเป็นต้นไม้ต้นนี้ เวลาก็พอๆ กัน” หลิ่วหมิงเดินวนต้นไม้ยักษ์อยู่หลายรอบ และกวาดสายตามองพื้นบริเวณนั้นอยู่หลายที ในที่สุดก็กล่าวออกมาด้วยความดีใจ จากนั้นก็เคลื่อนตัวไปอยู่บนต้นไม้ยักษ์ และก้มมองดูเงาไม้จางๆ ใต้แสงจันทร์


เวลาค่อยๆ ผ่านไป เงาต้นไม้พร่ามัวเริ่มเคลื่อนย้ายไปยังทิศทางบางแห่ง และค่อยๆ ยืดยาวออกไป


ทันใดนั้น พื้นที่บางแห่งของเงาไม้ มืดดำขึ้นมาทันที และรวมตัวเข้าด้วยกันจนดูคล้ายกระบี่สีดำยาวจั้งกว่าๆ อย่างน่าประหลาดใจ


หลิ่วหมิงตาเป็นประกายเมื่อเห็นเช่นนี้ สายตาเขามองตามทิศทางที่กระบี่ชี้ไปร้อยกว่าก้าว


ผลลัพธ์คือหอที่ดูไม่เตะตาแห่งหนึ่ง ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกล


ขณะที่เขากำลังจะลอยลงไปจากต้นไม้ยักษ์ด้วยความดีใจนั้น สีหน้าพลันเปลี่ยนไปทันที เขาค่อยๆ หดตัวจนหายไปในใบไม้ ขณะเดียวกันกลิ่นไอบนตัวก็ถูกระงับไว้ จนดูเหมือนจะไม่มี


ผ่านไปไม่นานก็มีเสียงดังก้องฟ้า เงาร่างคนสองคนแฉลบเข้ามา คนหนึ่งสูง คนหนึ่งอ้วน และเคลื่อนไหวมาหยุดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่


“รีบลงมือเร็วหน่อย ดูสิว่าของสิ่งนี้ยังอยู่ไหม?” ทั้งสองมองดูรองด้านอย่างระมัดระวัง จากนั้นชายร่างสูงก็ตะคอกเสียงต่ำกับคู่หูในทันที


“ข้ารู้แล้ว มอบให้ข้าเถอะ!” เงาร่างที่ค่อนข้างอ้วนได้ยินเช่นนี้ ก็นำแผ่นกลมๆ ออกมาจากแขนเสื้อแล้วนำไปแปะลำต้นของต้นไม้ใหญ่ในทันที มืออีกข้างก็ทำท่ามืออย่างรวดเร็ว


“ฟู่!”


เมื่อแผ่นกลมๆ เปล่งแสงสว่างออกมา เงาร่างอ้วนก็ขยับแขนสอดมือข้างหนึ่งเข้าไปในแผ่นกลมๆ และควักเอาสิ่งของดำๆ ออกมาอย่างหนึ่ง


……………………………………….


ตอนที่ 226 สมบัติของราชวงศ์ก่อน

โดย

Ink Stone_Fantasy

มันคือผลึกหินสีแดงเลือดขนาดเท่ากำปั้น และพอนำออกมา มันก็กลิ่นคาวเลือดอย่างเข้มข้น


“เยี่ยมไปเลย! ของสิ่งนี้ยังอยู่ และยังไม่ถูกผู้แข็งแกร่งของนิกายเหล่านั้นค้นพบ หมายเลขสอง ไม่เสียทีที่พวกเราซ่อนมันไว้ที่นี่” เงาร่างสูงใหญ่เห็นเช่นนี้ก็กล่าวด้วยความดีใจ


พอหลิ่วหมิงที่แอบซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ได้ยินคำว่า ‘หมายเลขสอง’ ก็รู้สึกตกตะลึงในทันที เขาแอบคิดในใจว่ามันคงไม่บังเอิญขนาดนี้หรอก คิดไม่ถึงว่าจะพบปลาที่หลุดจากแหไปได้ในสถานที่แห่งนี้


“เฮ่อๆ! มันแน่อยู่แล้ว ผลึกโลหิตก้อนนี้หล่อหลอมมาจากโลหิตขององค์ชายและอ๋องเหล่านั้น ครั้งนี้จะสามารถเปิดกรุสมบัติได้หรือไม่นั้น ต้องอาศัยของสิ่งนี้แล้ว จะว่าไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวว่ามีคนหลอกใช้อำนาจของเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ เพื่อตามหาเบาะแสขององค์ชายและพระนัดดาเหล่านั้น จนพวกเราต้องนำของสิ่งนี้มาซ่อนไว้ที่นี่ล่ะก็ คงไม่ต้องรอเวลาเป็นเดือนกว่าๆ เช่นนี้” เงาร่างอ้วนประคองผลึกโลหิตในมือ และกล่าวอย่างหงุดหงิด


“ชั้นกำจัดบดบังนี้ ข้าใช้เวลาครึ่งปีถึงวางมันได้สำเร็จ ต่อให้อาจารย์จิตวิญญาณเหล่านั้นจะแสดงวิชาออกมาเอง ก็ไม่สามารถรับรู้ถึงความผิดปกติของสถานที่แห่งนี้ได้ จะว่าไปแล้ว ถ้าไม่นำมันมาซ่อนไว้ที่นี่ ตอนที่ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นเยื้องกรายมาถึง พวกเราก็คงไม่มีใครกล้าพกมันติดตัว” เงาร่างสูงใหญ่กล่าวออกมา


“มันก็ใช่ แต่นี่ก็ยืนยันได้ว่าหมายเลขสามไม่ได้เผยความลับของเราออกไป น่าเสียดายจริงๆ! เดิมทีเขาก็คิดจะหลบซ่อนตัวเหมือนกัน แต่ไม่คิดว่าผู้แข็งแกร่งของนิกายเหล่านั้นจะลงมืออย่างรวดเร็ว จนเขาต้องจนมุมอยู่ในรังเช่นนี้ ข้าเองก็ออกมาก่อนหมายเลขสามครึ่งชั่วยามกว่าๆ เท่านั้น มิเช่นนั้นสมบัติของราชวงศ์ก่อนคงตกอยู่ในมือหมายเลขหนึ่งท่านคนเดียวแล้ว” เงาร่างค่อนข้างอ้วนพยักหน้า และถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา


“หมายเลขสอง พวกเราไม่ใช่ปลอดภัยแล้วหรอกหรือ ใยต้องกล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมาด้วยเล่า แต่ข้ากลับแปลกใจยิ่งกว่า ทำไมเจ้าถึงรู้ว่าเชื้อพระวงศ์ในปัจจุบันเป็นสายโลหิตเดียวกับราชวงศ์ก่อน เรื่องเกี่ยวกับสมบัติที่ซ่อนอยู่ ก็เป็นเจ้าที่เป็นฝ่ายบอกพวกเราทั้งสองก่อน จากนั้นถึงได้รวมตัวกันก่อตั้งพรรควิญญาณมืดขึ้นมา แต่ก่อนข้ากับหมายเลขสามถามเจ้า เจ้าก็ไม่เคยเปิดเผยเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้หมายเลขสามก็ไม่อยู่แล้ว เจ้าคงเปิดเผยกับข้าได้แล้วนะ” ตอนแรกชายร่างสูงใหญ่ก็ตอบกลับไปอย่างราบเรียบ หลังจากนั้นถึงได้ถามออกไปด้วยตาที่เป็นประกาย


“ฮึ! หมายเลขหนึ่ง เจ้ามีความอยากรู้อยากเห็นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว คงไม่อาจปิดบังได้ เพราะว่าในร่างของข้ามีโลหิตที่แท้จริงของราชวงศ์ก่อนอยู่ ที่จริงแล้วเชื้อพระวงศ์ในตอนนี้ ก็เป็นแค่ทายาทของราชนิกูลจำนวนหนึ่งของราชวงศ์ก่อนหน้าเท่านั้น และมีสายโลหิตค่อนข้างห่างกัน ในปีก่อนที่นิกายทั้งห้าค้นพบว่าราชสำนักคิดจะฝึกฝนอาจารย์จิตวิญญาณของตนเอง ถึงได้เปลี่ยนราชวงศ์ และสนับสนุนเจ้าคนทรยศนี้ มิเช่นนั้น ลำพังแค่กำลังของพวกเขาจะยึดครองบัลลังก์จักรพรรดินี้ได้อย่างไร สมบัติที่ซ่อนอยู่นี้ถูกทิ้งไว้เพื่อป้องกันเหตุที่คาดไม่ถึง เดิมทีขอแค่เป็นลูกหลานเชื้อพระวงศ์โดยตรง ก็สามารถใช้โลหิตบนตัวของคนผู้นั้นเปิดผนึกชั้นสุดท้ายได้อย่างเหลือเฟือ แต่น่าเสียดายที่เวลาในตอนนี้ห่างจากราชวงศ์ก่อนนานเกินไป โลหิตในร่างข้าก็ไม่ค่อยบริสุทธิ์ ดังนั้นมันจึงได้ผลลัพธ์ไม่ค่อยมาก ตอนนี้คงต้องยืมโลหิตขององค์ชายและพระนัดดาทั้งหลายแล้ว!” ชายร่างอ้วนเงียบไปพักหนึ่งก่อนกล่าวออกมา


“ที่แท้เจ้าก็เป็นทายาทของราชวงศ์ก่อน มิน่าเล่า! แต่ฟังจากน้ำเสียงของเจ้า ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจกับการถูกโค่นล้มอำนาจของราชวงศ์ก่อน ทั้งยังนำสมบัติของราชวงศ์ก่อนมาแบ่งให้คนนอกอย่างพวกเรา” เงาร่างสูงใหญ่ได้ยินแล้วก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปมา แต่ในที่สุดก็ยิ้มแห้งๆ และกล่าวออกมา


“ฮึ! พวกโง่ในราชวงศ์ก่อนนั้นไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งของนิกาย คิดไม่ถึงว่าจะอาศัยแค่พลังของคนธรรมดาทำการโค่นล้มนิกายทั้งห้า ช่างรนหาที่ตายแท้ๆ แล้วใยข้าต้องแค้นเคืองด้วยเล่า อีกอย่างเวลาผ่านมานานเช่นนี้ สำหรับข้าแล้วการกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณเป็นเรื่องสำคัญที่สุด น่าเสียดายที่พลังของข้าแค่คนเดียวไม่อาจคลายชั้นจำกัดนี้ได้ จึงต้องให้พวกเจ้ามาช่วย แม้ต้องแบ่งสมบัติเหล่านี้กับพวกเจ้าเท่าๆ กันข้าก็เต็มใจ เอาล่ะ! ข้าได้บอกความลับสุดยอดให้เจ้าแล้ว เจ้าคงวางใจได้แล้วสินะ หมายเลขหนึ่ง ไปกันเถอะ! พวกเราโอ้เอ้อยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว หลังจากนำสมบัติออกมาแบ่งกันเสร็จ พวกเราต่างก็ควรแยกย้ายไปทางใครทางมัน” ชายร่างอ้วนกล่าวอย่างราบเรียบ


“เฮ่อๆ! ได้! เพียงแค่มีหินจิตวิญญาณที่เพียงพอ ข้ากับเจ้าก็สามารถซื้อไอปีศาจได้ ต่อให้จะอายุมากแล้ว แต่ถ้าลองดูหลายๆ ครั้ง จะต้องมีความหวังในการกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณอย่างแน่นอน” ครั้งนี้เงาร่างสูงใหญ่ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่พูดจาไม่กี่ประโยคแล้วก็ลอยนำหน้าออนอกจวนอ๋องไปก่อน


เงาร่างหมายเลขสองเห็นเช่นนี้ ก็เก็บผลึกโลหิตในมือแล้วขยับตัวตามไปติดๆ


บังเกิดเสียงดังเบาๆ!


ดูเหมือนว่าหลิ่วหมิงจะลอยลงมาจากใบไม้บนต้นไม้ยักษ์ เขามองไปยังทิศทางที่ทั้งสองนั้นจากไป และหันกลับไปมองหอที่อยู่ไม่ไกลทีหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเขามีความลังเลอยู่เล็กน้อย แต่หลังจากคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็พูดกับตัวเองเบาๆ


“ช่างเถอะ! ไหนๆ ก็รอมานานขนาดนี้แล้ว รออีกสักวันครึ่งวันจะเป็นไรไปเล่า ตามสองคนนี้ไปดูก่อนว่าสมบัติของราชวงศ์ก่อนคืออะไรแล้วค่อยว่ากัน”


เมื่อพูดจบ หลิ่วหมิงควักยันต์สีเหลืองออกมาผืนหนึ่งแล้วแปะลงบนตัว ทันใดนั้นอักขระสีเทาก็ปรากฏออกมาก่อนที่จะหายวับเข้าไปในตัวของเขา


ยันต์ผืนนี้ไม่ใช่ยันต์ซ่อนตัวธรรมดาทั่วไป แต่เป็นยันต์ที่สามารถอำพรางจิตรับรู้ของศิษย์จิตวิญญาณทั่วไปได้ แม้ว่าจะไม่อาจซ่อนตัวได้จริงๆ แต่สามารถระงับกลิ่นไอให้อยู่ในระดับที่ต่ำสุดได้ ขณะเดียวกันร่างกายก็ถูกปกคลุมด้วยภาพมายามหัศจรรย์ และกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป


เพียงแค่เขารักษาระยะห่างที่แน่นอนกับศิษย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ ไว้ และเพิ่มความระมัดระวังให้มากหน่อย ก็ไม่ต้องกังวลว่าฝ่ายตรงข้ามจะสังเกตเห็น


ครู่ต่อมาร่างของหลิ่วหมิงก็ดำมืดขึ้นมา ก่อนที่จะกลายเป็นเงาสีเทาจางๆ จนเกือบจะกลืนไปกับความมืด


หลิ่วหมิงขยับตัวตามไปโดยไร้สุ้มเสียง


สองคนตรงหน้าระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก พอออกจากจวนอ๋องก็รีบแสดงวิชาซ่อนตัวทันที จากนั้นก็เดินไปตามทางเปลี่ยวเล็กๆ


หากไม่ใช่เพราะว่าหลิ่วหมิงเป็นคนที่มีจิตรับรู้แข็งแกร่งมากเป็นพิเศษล่ะก็ คงคลาดกับคนทั้งสองไปหลายครั้งแล้ว


ชั่วเวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งมื้อข้าว หลิ่วหมิงก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา


ดูเหมือนว่าทิศทางที่ทั้งสองไปนั้น จะเป็นเขาเซียนทอแสงที่เขาจากมา


หรือว่า ‘สมบัติของราชวงศ์ก่อน’ ที่พูดถึงจะอยู่ในเขาเซียนทอแสง แต่พอคิดๆ ดูแล้ว เขาเซียนทอแสงเป็นสถานที่เหมาะสมสำหรับผู้ฝึกฝนในเสวียนจิงมากที่สุด ถ้าสมบัติของราชวงศ์ก่อนถูกซ่อนอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่


หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังระมัดระวังตัวอยู่ทุกขณะ


โชคดีที่ทั้งสองไม่กล้าเหาะในเสวียนจิง มิเช่นนั้นคงไม่สามารถตามติดได้เช่นนี้


แต่พอหลิ่วหมิงเห็นยอดเขาสูงใหญ่บนเขาเซียนทอแสงแล้ว เงาร่างทั้งสองก็หายวับเข้าไปในบ้านที่ไม่ค่อยเตะตาในบริเวณนั้น


ตอนแรกหลิ่วหมิงก็ตกตะลึง แต่ก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว


เขาไม่รีบเข้าไป แต่กลับยกเท้าขึ้นกระทืบพื้น ทันใดนั้นแสงสีดำก็เปล่งประกายออกมา และแมงป่องกระดูกขาวก็มุดขึ้นจากพื้น


“ไปดูหน่อยว่า ทั้งสองคนยังอยู่ข้างในไหม?”


หลิ่วหมิงสั่งแบบง่ายๆ ไปแค่ประโยคเดียว


หลังจากที่แมงป่องกระดูกขาวตามติดเขามาชั่วระยะเวลาหนึ่ง ถึงแม้ไม่ได้ใช้เคล็ดวิชาในการสื่อสารโดยตรง มันก็ยังสามารถฟังคำสั่งง่ายๆ ของเขาได้


แมงป่องกระดูกขาวส่ายหาง แล้วมุดลงดินอีกครั้ง


ไม่นานจิตรับรู้ของหลิ่วหมิงก็ได้ข่าวจากแมงป่องกระดูกขาว จากนั้นเขาก็ลอยเข้าไปในบ้านหลังนั้นอย่างไร้สุ้มเสียง


ผ่านไปไม่นาน หลิ่วหมิงมาปรากฏตัวในห้องที่ดูธรรมดามาก


และแมงป่องกระดูกขาวก็นอนคว่ำอยู่ข้างตัวเขา ดวงตาคุโชนด้วยเปลวไฟสีเขียวของมัน จ้องมองตู้สีดำที่ค่อนข้างหนักอึ้ง


“เจ้าบอกว่ากลิ่นไอของทั้งสองหายไปในนี้ ช่างน่าสนใจจริงๆ ให้ข้าตรวจสอบก่อนแล้วค่อยว่ากัน” หลิ่วหมิงจ้องมองตู้สีดำ และกล่าวออกมาด้วยตาที่เป็นประกาย


จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว และปล่อยพลังจิตกวาดดูในตู้


“ไม่มีคลื่นสั่นไหวของชั้นจำกัด ดูท่าคงเป็นกลไกธรรมดาเท่านั้น นับว่าพวกเขาฉลาดเป็นอย่างมาก อย่างน้อยก็ทำให้ผู้ฝึกฝนไม่ได้สังเกตถึงสถานที่แห่งนี้” หลิ่วหมิงพูดกับตนเอง แล้วเดินไปเปิดตู้อย่างไม่เกรงใจ


ด้านในล้วนว่างเปล่า ไม่มีสิ่งของใดๆ อยู่เลย


แต่คนระดับหลิ่วหมิงเพียงแค่กวาดสายดูมองผนังรอบด้านเล็กน้อย ก็ค้นพบว่ากำแพงด้านที่ติดกับตนเองมีร่องรอยลึกอยู่เล็กน้อย


เขากระตุกหางคิ้ว และหยิบกระบี่จันทราหยกออกมา พอแสงเย็นสะท้านเปล่งประกายขึ้น เขาก็วาดวงกลมขนาดใหญ่บนผนังด้านนั้น


ต่อมาหลิ่วหมิงก็เก็บกระบี่สั้น นิ้วทั้งห้าวางลงบนวงกลม พอออกแรงก็มีเสียงดัง “ฟู่!”


รูดำๆ ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นตรงหน้าตู้


บันไดหินสีดำทอดยาวลงไปด้านล่าง


หลิ่วหมิงหัวเราะอย่างขมขื่น หลังจากที่สั่งแมงป่องกระดูกขาวไปทีหนึ่งแล้ว ก็ลอยเข้าไปอย่างไร้สุ้มเสียง


ผ่านไปไม่นาน หลิ่วหมิงก็มาอยู่ในชั้นใต้ดินลึกหลายสิบจั้ง และเดินตามเส้นทางที่เรียบง่ายสายหนึ่ง มุ่งหน้าไปยังทิศทางเขาเซียนทอแสงอย่างเงียบๆ


เลยจากด้านหน้าหลิ่วหมิงไปไกลหลายจั้ง มียันต์ผืนหนึ่งลอยนำหน้าไปอยู่


หลังจากไม่รู้ว่าเดินไปนานเท่าไหร่ ก็มีเสียงดัง “เพล้ง!” ออกมา ยันต์ตรงหน้าระเบิดตัวในทันที


“ไม่ผิดจากที่คาดไว้จริงๆ ทั้งสองคนนี้วางชั้นจำกัดแจ้งเตือนเอาไว้ แต่ชั้นจำกัดเรียบง่ายเช่นนี้ สร้างความยุ่งยากให้ข้าไม่ได้หรอก” หลิ่วหมิงชะงักฝีเท้า และไม่ได้แสดงสีหน้าตกใจออกมา แต่กลับยิ้มแล้วกล่าวกับตนเอง


จากนั้นเขาก็หรี่ตาทั้งสองลง และทำท่ามือร่ายคาถา ดวงตาของเขาเปล่งประกายออกมาในทันที ขณะเดียวกันพลังจิตอันแข็งแกร่งก็ม้วนออกมาจากในนั้น


พริบตาเดียว ค่ายกลแสงจางๆ ขนาดใหญ่จั้งกว่าๆ ก็ปรากฏขึ้นมา มันขวางทางเดินไว้พอดี


หลิ่วหมิงเอากระบี่สั้นสีเขียวฟันใส่ผนังหินบริเวณนั้นอย่างบ้าคลั่ง


ชั่วเวลาแค่อึดใจ หลิ่วหมิงก็เบิกทางเล็กๆ อีกทางได้ และเดินอ้อมด้านหลังของค่ายกลแสงไป


หลิ่วหมิงหยิบยันต์ออกมาอีกผืนหนึ่งแล้วโยนให้มันล่องลอยอยู่บนอากาศตรงด้านหน้า จากนั้นก็เดินหน้าไปอย่างไม่รีบร้อน


……………………………………….


ตอนที่ 227 เงาร่างปีศาจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เดินไปอีกประมาณหลายลี้ ขณะที่หลิ่วหมิงคาดว่าตนเองคงจะมาถึงด้านล่างของเขาเซียนทอแสงแล้วนั้น เส้นทางก็เริ่มมุ่งไปสู่ด้านบน


ครั้งนี้เขาไม่ได้เผชิญกับชั้นจำกัดใดๆ หลังจากผ่านไปไม่นานก็มองเห็นปลายทางที่อยู่ด้านหน้า ตรงนั้นมีประตูหินสีดำที่เปล่งประกายแสงสีขาวอยู่


บนพื้นผิวประตูหินมีอักขระมีเงินกระจายอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ตัวบานประตูหายไปเกือบครึ่งหนึ่ง และพิงอยู่ตรงทางออก ราวกับว่าถูกคนใช้พลังมหาศาลกระแทกมันออกมา


พอหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันที เขาโบกมือข้างหนึ่งไปยังด้านหน้าเพื่อเก็บยันต์ที่ลอยอยู่ และหยิบยันต์อีกผืนมาแปะบนร่างตัวเอง


“ฟู่!” ร่างของเขาถูกแสงสีเหลืองจางๆ ปกคลุมไว้ จากนั้นก็เคลื่อนตัวจมหายไปในผนังหินด้านหนึ่ง


เขาใช้ยันต์ดำดินค่อยๆ เข้าไปใกล้ประตูหินโดยไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา


ผ่านไปไม่นานหลิ่วหมิงก็หยุดเคลื่อนไหว หลังจากทำท่ามือด้วยมือเดียวแล้วก็ปล่อยพลังจิตอันแข็งแกร่งออกไป


ชั่วพริบตานั้นจิตรับรู้ของเขาก็ทะลุออกจากชั้นดินหนาๆ ไป ปรากฏภาพแจ่มชัดเป็นพิเศษในทะเลจิตรับรู้ของเขา


ด้านหลังประตูหิน เป็นห้องโถงใหญ่ที่กว้างสี่สิบถึงห้าสิบจั้ง มีเพดานสูงสิบกว่าจั้ง


ห้องโถงใหญ่ทั้งห้องปูด้วยก้อนอิฐที่ราบเรียบเสมอกัน รอบด้านมีเสาหินขนาดใหญ่ ซึ่งต่างก็ถูกทำลายจนเปลี่ยนสภาพไปหมดสิ้น มีเพียงไม่กี่เสาที่ยังรักษาสภาพเดิมไว้


สิ่งที่ทำให้คนตกใจยิ่งกว่าก็คือ มีร่างคนชุดดำใส่หน้ากากล้มอยู่บนพื้นสิบกว่าคน แต่ละคนผอมแห้งผิดปกติ ไร้ซึ่งลมหายใจ เห็นได้ชัดว่าไม่รู้ตายไปนานเท่าไหร่แล้ว


นอกจากนี้แล้ว ตรงมุมห้องโถงยังมีหุ่นแกะสลักสีขาวเทาที่สภาพไม่สมบูรณ์จำนวนหนึ่ง กับศพของสัตว์ประหลาดที่ดูเหมือนคนก็ไม่ใช่วัวก็ไม่เชิง


และตรงข้ามกับประตูหินสีดำ มีประตูทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่กว่าตั้งอยู่บานหนึ่ง มันดูโบราณและเรียบง่าย บนพื้นผิวของมันมีค่ายกลอักขระแวววาวที่ดูลึกลับเป็นอย่างมากจารึกอยู่ รอบด้านล้วนเป็นอักขระหลากสีจำนวนมาก มันเปล่งประกายลำแสงที่ดูอันตรายออกมา


ด้านหน้าประตูทองสัมฤทธิ์บานนี้ มีคนชุดดำสวมหน้ากากยืนอยู่สองคน คนหนึ่งสูง คนหนึ่งอ้วน


คนที่อ้วนกำลังเอาผลึกโลหิตใส่เข้าไปในรอยเว้าที่อยู่ใจกลางประตู


พอผลึกโลหิตเข้าไปในนั้นประตูทั้งบานก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ ออกมา ผลึกโลหิตเริ่มเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง แสงสีเลือดฟุ้งไปทั่วค่ายกลอักขระแวววาว


ประตูทองสัมฤทธิ์ที่เดิมดูโบราณและเรียบง่ายดูน่าหลงใหลขึ้นมาทันที


คนชุดดำทั้งสองเห็นเช่นนี้ ต่างก็ตกใจจนถอยออกไปหลายก้าว และตั้งท่าเตรียมพร้อมไว้


ขณะนั้นเอง แสงสีเลือดบนประตูทองสัมฤทธิ์ก็เปล่งประกายออกมา ค่ายกลอักขระแวววาวลอยออกมาจากในนั้น และหมุนติ้วๆ ในอากาศอย่างรวดเร็ว


ทุกการหมุนวนในแต่ละรอบ จะทำให้แสงสีเลือดบนนั้นเข้มข้นขึ้น


แต่ดูเหมือนว่าชั่วอึดใจเดียว แสงสีเลือดก็ดูเหนียวข้นราวกับโลหิต มันสะเทือนใจผู้ที่พบเห็นจนรู้สึกถึงความโหดร้ายโดยไม่รู้ตัว


ดีที่คนชุดดำทั้งสองเป็นผู้ฝึกฝน ถึงแม้จะแอบตกใจที่เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้สติหลุดลอยแต่ย่างใด แต่กลับจ้องมองประตูทองสัมฤทธิ์อย่างไม่ละสายตา


“แอ๊ด!” ในที่สุดประตูทองสัมฤทธิ์ที่ปิดสนิทก็ค่อยๆ แง้มออกมา


“สำเร็จแล้ว”


คนชุดดำร่างสูงใหญ่กล่าวด้วยความดีใจ


แต่พอเขากล่าวจบ ค่ายกลอักขระแวววาวที่เดิมหมุนวนอย่างรวดเร็วก็ค่อยๆ ช้าลง ขณะเดียวกันแสงสีเลือดบนนั้นก็จางลง ประตูทองสัมฤทธิ์ชะงักลง จากนั้นก็ค่อยๆ ปิดตัวลง


“แย่แล้ว! โลหิตบริสุทธิ์ในผลึกโลหิตไม่เพียงพอ!” คนชุดดำร่างอ้วนเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกตกใจมาก หลังจากกล่าวด้วยน้ำเสียงอันหนักอึ้ง เขาก็รีบก้าวไปด้านหน้าทันที แสงสีเงินเปล่งประกายขึ้นบนมือ ไม่คิดว่าเขาจะกรีดข้อมือของตนเอง จากนั้นก็กระตุ้นพลังเวทย์อย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นโลหิตบริสุทธิ์ก็พุ่งเข้าใส่ค่ายกลอักขระ


พริบตาที่โลหิตสัมผัสลงบนค่ายกลอักขระ มันก็หายวับไปจนหมดสิ้น


ค่ายกลอักขระเริ่มหมุนวนอีกครั้ง!


ประตูทองสัมฤทธิ์ค่อยๆ เปิดออกมาท่ามกลางแสงสีเลือดอันเข้มข้น


บังเกิดเสียงดังออกมา!


ค่ายกลอักขระแวววาวระเบิดตัวแตกกระจายในทันที พอแสงสีเลือดหายไป ประตูทองสัมฤทธิ์บานใหญ่ก็ค่อยๆ เปิดออก จากนั้นม่านแสงสีขาวโพลนก็ปรากฏขึ้น ทำให้มองเห็นไม่ชัดเจนว่ามีอะไรอยู่ข้างในนั้น


พอคนชุดดำหยุดปล่อยพลังเวทย์ โลหิตบนข้อมือก็หยุดพุ่ง จากนั้นเขาก็หยิบยันต์อีกผืนออกมาแปะลงบนตัว


ทันใดนั้นรอยบาดแผลก็สมานกันอย่างรวดเร็วจนกลับมาเป็นปกติ


แต่ดวงตาทั้งคู่ของชายร่างอ้วนมืดสลัวเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าสูญเสียพลังไปไม่ใช่น้อย


“หมายเลขสอง เจ้าทำได้ดีมาก ถ้าครั้งนี้ไม่มีเจ้าข้าคงทำไม่สำเร็จ” คนร่างสูงเห็นเช่นนี้ก็กล่าวอย่างโล่งอก


“ฮึ! ครั้งนี้ข้าเสียหายไปมาก หวังว่าสมบัติในนั้นคงจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง ด้านในคงไม่มีชั้นจำกัดที่ร้ายกาจอะไรหรอกนะ พวกเราเข้าไปกันเถอะ” คนชุดดำร่างอ้วนทำเสียงฮึดฮัดออกมา จากนั้นก็ก้าวเข้าประตูทองสัมฤทธิ์ไป


ชายร่างสูงจ้องมองแผ่นหลังชายร่างอ้วนด้วยแววตาชั่วร้าย แต่ไม่รู้ว่าคิดอะไรขึ้นมาอีก แววตาถึงได้กลับมาเป็นเช่นเดิม หลังจากนั้นเดินตามไปอย่างไร้สุ้มเสียง


ทั้งสองเดินหายเข้าไปในม่านแสงสีขาว โดยไม่มีอะไรมาขัดขวางไว้


ผ่านไปไม่นาน แสงสีเหลืองจางๆ ก็เปล่งประกายบนผนังมุมหนึ่งของห้องโถงใหญ่ จากนั้นร่างหลิ่วหมิงก็ปรากฏออกมา


เขากวาดสายตามองสถานการณ์ในห้องโถงใหญ่ และมองม่านแสงสีขาวที่อยู่ไม่ไกลทีหนึ่ง จากนั้นก็แสดงสีหน้าลังเลออกมาเล็กน้อย


ขณะนั้นเอง มีเรียงร้องอย่างเวทนาดังมาจากม่านแสงสีขาว ตามติดด้วยเสียงตกใจระคนโมโห


“เจ้า……ไม่คิดว่าเจ้าจะลงมือกับข้า!” ฟังจากน้ำเสียงแล้วเป็นคนชุดดำเหล่านั้น


“เฮ่อๆ! ในเมื่อหาสมบัติเจอแล้ว เจ้าก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป ข้าคิดว่าการใช้สมบัตินี้เพียงคนเดียวจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า อ๊าก……เจ้าพกของสิ่งนี้มาด้วย……” ชายร่างสูงใหญ่กล่าวได้เพียงไม่กี่ประโยคก็ต้องร้องออกมาอย่างเวทนา น้ำเสียงของเขาดูโมโหเป็นอย่างมาก


“ในเมื่อข้าไม่อาจได้สมบัติเหล่านี้ เจ้าก็อย่าหวังจะได้มันไปเลย เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้าที่นี่ตลอดไปก็แล้วกัน” ชายชุดดำร่างอ้วนกัดฟันกล่าวออกมา


จากนั้นก็มีเสียงต่อสู้ปะปนกับเสียงกร่นด่าดังขึ้นในม่านแสง


พอมีเสียงดังขึ้น เสียงทั้งหมดก็หยุดชะงักไป!


ข้างในม่านแสงเงียบสงัดไร้ซึ่งสุ้มเสียง


พอหลิ่วหมิงฟังมาถึงจุดนี้ดวงตาก็หรี่ลงเล็กน้อย และตบถุงหนังบนเอวทันที ไอสีดำพวยพุ่งออกมารวมตัวเป็นศีรษะผู้ชายที่มีผมยาวเต็มศีรษะ


มันคือหัวบินนั่นเอง!


“ไป”


เขาสะบัดแขนเสื้อไปทางม่านแสงสีขาว


พอหัวบินได้ยินก็แสดงสีหน้าดุร้ายออกมา และหายวับไปในม่านแสงทันที


ครู่ต่อมา มีเสียงแผดร้องดังขึ้นจากด้านใน เหมือนจะเป็นเสียงร้องประหลาดของหัวบินดังมาแว่วๆ


“แย่แล้ว! ไม่รู้ว่าพวกเขาค้นพบข้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!”


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าแปลกใจมากนัก แต่กลับกล่าวพึมพำกับตัวเอง


จากนั้นเขาถึงกลายร่างเป็นเงาพุ่งเข้าไปในม่านแสง


พอแสงสีขาวตรงหน้าหายไป หลิ่วหมิงก็เห็นทุกอย่างชัดเจน


ที่เหนือความคาดหมายก็คือ สิ่งที่เห็นตรงหน้าไม่ใช่ห้องที่มีสมบัติมากมายก่ายกอง แต่เป็นถ้ำเปียกชื้นที่มีขนาดหมู่กว่าๆ แม้จะดูเล็กกว่าห้องโถงข้างนอกไม่เท่าไหร่ แต่สิ่งที่อยู่ข้างในนอกจากจะมีโลงไม้ธรรมดากับตะเกียงหมื่นปีขนาดใหญ่แล้ว ก็ไม่มีของสิ่งใดอีก


และบริเวณใจกลางถ้ำ หัวบินกำลังบินพ่นเปลวเพลิงสีเขียวออกมาอย่างบ้าคลั่ง ขณะเดียวกันเส้นผมบนหัวก็กลายเป็นตาข่ายปกป้องตัวเองไว้


คนชุดดำทั้งสองไล่โจมตีหัวบินอยู่ไม่หยุด คนหนึ่งถือกระจกทองเหลืองซึ่งพ่นเพลิงสายฟ้าออกมาเป็นจำนวนมาก อีกคนถือกระบี่กระดูกสองเล่ม ปล่อยไอสีดำออกมาโจมตีอย่างบ้าคลั่ง


ไม่เพียงแค่เท่านี้ สิ่งที่ร่วมโจมตียังมีค้างคาวสีดำขนาดยาวฉื่อกว่าๆ ตัวหนึ่ง มันปล่อยคมวายุสีเทาออกมาเป็นจำนวนมาก


ถึงแม้ว่าการโจมตีของคนสองคนกับหนึ่งอสูรจะโหดเหี้ยมราวกับมรสุมที่โหมกระหน่ำ แต่ภายใต้การตั้งรับของหัวบิน พวกเขาไม่อาจทำอะไรมันได้


แต่พอหลิ่วหมิงปรากฏตัวในถ้ำ สีหน้าชายร่างสูงใหญ่ก็เคร่งขรึมขึ้นมา และรีบเป่าปากในทันที


พอค้างคาวดำตัวนั้นได้ยิน ก็หมุนตัวพุ่งเข้าใส่หลิ่วหมิงราวกับพายุบ้าระห่ำ


เกือบจะในเวลาเดียวกัน มีเคลื่อนสั่นไหวข้างตัวหลิ่วหมิง เงาร่างกึ่งโปร่งแสงปรากฏออกมา และพุ่งเข้ามาอย่างโหดเหี้ยม


มีเสียงฮึดฮัดดังออกมา!


ปราณกระบี่จำนวนมากม้วนตัวออกจากแขนเสื้อหลิ่วหมิง ขณะเดียวกันลูกเปลวไฟสีแดงก็พุ่งออกจากมืออีกข้าง


“เพล้ง!” “เพล้ง!”


เงาร่างกึ่งโปร่งแสงถูกปราณกระบี่ม้วนตัวโจมตีจนกระเด็นออกไป เงาร่างนี้เป็นวิญญาณของหญิงที่มีใบหน้าซีดขาว นิ้วทั้งสิบแหลมคมเป็นอย่างมาก


ปีศาจค้างคาวขยับตัวหลบลูกเปลวไฟไปได้


ครู่ต่อมา ลูกเปลวไฟก็สั่นสะเทือนจนระเบิดออกมา แสงสีเขียวพุ่งออกมาจากเปลวไฟที่เผาไหม้ และพุ่งไปยังศีรษะค้างคาว


ค้างคาวดำส่งเสียงร้องแหลมออกมา จากนั้นก็ร่วงหล่นลงพื้น และไม่สามารถกระดิกตัวได้อีก


และในโอกาสนี้ หลิ่วหมิงได้สะบัดกระบี่สั้นสีเขียวอีกครั้ง และปล่อยเงากระบี่ออกไปฟันเงาร่างปีศาจกึ่งโปร่งแสง


“สหายโปรดยั้งมือ พวกเราสามารถเจรจากันก่อนได้” ชายร่างสูงใหญ่เห็นเช่นนี้ก็ตะคอกเสียงต่ำออกมา และขณะเดียวกันก็หยุดโจมตีหัวบินไปด้วย


ชายร่างอ้วนเห็นเช่นนี้ก็ลดการโจมตีลง


แต่หลิ่วหมิงทำเหมือนกับไม่ได้ยิน ไม่เพียงแต่จะไม่หยุดกระบี่สั้นในมือเท่านั้น หลังจากเข็มเงาหยกพุ่งมาถึงบริเวณเงาร่างปีศาจสาวแล้ว มันก็พร่ามัวกลายเป็นเงาเข็มจำนวนมากพุ่งยิงออกไป


เดิมทีเงาร่างปีศาจนี้ก็ถูกปราณกระบี่โจมตีจนมือไม่พัลวันอยู่แล้ว และภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทันป้องกันตัว จึงถูกเงาเข็มแทงทะลุระหว่างคิ้วไป


มีเสียงร้องอย่างเวทนาดังขึ้น!


เงาร่างปีศาจสาวกลายเป็นควันสีเขียวก่อนสลายไป เหลือทิ้งไว้เพียงมุกสีเขียวหยกที่ไร้ซึ่งประกายแสงหล่นอยู่บนพื้น


……………………………………….


ตอนที่ 228 ภาพปีศาจกับวิชาผสานร่างปีศาจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ดรุณีราตรี! ข้าจะฆ่าเจ้า ข้าจะสับเจ้าเป็นหมื่นๆ ชิ้น ข้าจะถกหนังดึงเอ็นของเจ้า!” พอชายชุดดำรูปร่างสูงใหญ่ เห็นเงาร่างหญิงสาวถูกฆ่าภายในพริบตา ก็ทำให้เขาที่ไม่คิดไปช่วยตั้งแรกต้องร้องออกมาด้วยความโมโห


“เจ้าบ้าไปแล้ว! แค่วิญญาณรับใช้ตนหนึ่งเท่านั้น อย่าให้มันทำลายเรื่องใหญ่ของเรา อสูรจิตวิญญาณของข้าก็ถูกมันฆ่าไปแล้วมิใช่หรือ” ชายชุดดำรูปร่างสูงใหญ่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็รีบเตือนสหายด้วยความตกใจ


และหัวบินอาศัยโอกาสนี้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เพื่ออ้อมวงกลมขนาดใหญ่ไปหาหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงยกแขนเสื้อขึ้นมา ทำให้เข็มเงาหยกจมหายเข้าไปในนั้น และจ้องมองทั้งคู่ด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก


“เจ้าจะรู้อะไร ดรุณีราตรีเป็น……ช่างเถอะ พูดเรื่องนี้กับเจ้าก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้ข้าอยากถามเจ้าว่าจะยอมช่วยข้าจัดการเจ้าเด็กคนนี้หรือไม่?” ชายเงาร่างสูงใหญ่ดึงผ้าบนใบหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าโหดเหี้ยมของชายวัยกลางคนที่กำลังพูดอยู่


“คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กคนนี้เป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายก็สามารถควบคุมอาวุธจิตวิญญาณได้สองชิ้น เกรงว่าต่อให้ข้าร่วมมือด้วยก็ไม่อาจฆ่ามันได้ คุยกับเขาก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ชายชุดดำร่างอ้วนตาเป็นประกาย และเริ่มอยากให้อีกคนมาช่วย


“ฮึ! เพียงแค่ช่วยข้าฆ่าเจ้าเด็กนี่ได้ ข้าจะเอาสมบัติแค่หนึ่งในสาม ส่วนที่เหลือจะเป็นของเจ้า” ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่กัดฟันกล่าวออกมา


“เป็นเรื่องจริงหรือ?”พอชายร่างอ้วนได้ยิน ตาทั้งสองก็เป็นประกายขึ้นมา


“เจ้ากับข้าร่วมมือกันมานานเช่นนี้ ข้าเคยผิดคำพูดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เจ้าไม่ต้องไม่ต้องปิดบังอีกต่อไปแล้ว แสดงฝีมือที่ซ่อนไว้ออกมาเถอะ ระดับฝึกฝนของเจ้าสู้ข้าไม่ได้ แต่ยังกล้ามาเปิดกรุสมบัติกับข้าที่นี่ จะต้องมีที่พึ่งอย่างแน่นอน” ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่กล่าวด้วยสีหน้าหนักอึ้ง


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะรับปากเจ้า เดิมทีสมบัติก็ได้มาจากสถานที่อันตรายอยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้ข้าแสดงฝีมือที่แท้จริงออกมาล่ะก็ เจ้าก็งัดไม้ตายของเจ้าออกมาด้วยเถอะ มิเช่นนั้น……” รอยยิ้มของหายร่างอ้วนหายไปก่อนที่กล่าวออกมา


“เจ้าไม่ต้องบอกข้า ข้าจะไม่ยั้งมือโดยเด็ดขาด” ชายรูปร่างสูงใหญ่กล่าวออกมาด้วยความเคียดแค้น จากนั้นก็ฉีกชายเสื้อด้านหน้าออก เผยให้เห็นหน้าอกสีแดงที่เปลือยโล่งแจ้ง


ชายร่างอ้วนกวาดสายตามองดูแล้วก็ต้องสูดหายใจเข้าด้วยความเย็นสะท้าน


หลิ่วหมิงเขม้นมองแล้วก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย


บนหน้าอกของชายรูปร่างสูงใหญ่มีรูปปีศาจน่าเกลียดน่ากลัวประทับอยู่


ปีศาจหน้าดำฟันยื่นในรูปนั่งอยู่บนพื้น และกำลังฉีกทึ้งท่อนขาที่มีโลหิตสดๆ ไหลออกมา ศพสภาพไม่สมบูรณ์ของผู้หญิงวางอยู่บนพื้น


รูปภาพราวกับมีชีวิต ทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกเย็นสะท้านโดยไม่รู้ตัว


“ภาพปีศาจ! เจ้าช่างกล้าใช้วิญญาณของญาติมาทำเป็นเคล็ดวิชาที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวโลหิตเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวนางไม่ได้เกิดใหม่หรือ?” หลิ่วหมิงค่อยๆ พูดถึงที่มาของภาพปีศาจ


นิกายปีศาจเป็นนิกายใหญ่ที่ฝึกฝนพลังเกี่ยวกับปีศาจ ดังนั้นเคล็ดวิชาปีศาจอันโหดเหี้ยมต่างๆ ย่อมมีบันทึกอยู่


ถึงแม้ว่าพลังประเภทนี้จะมีอานุภาพเป็นอย่างมาก แต่วิธีการฝึกฝนนั้นเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง และยังมีผลข้างเคียงไม่สิ้นสุด ดังนั้นทางนิกายปีศาจย่อมไม่ให้ศิษย์ในนิกายฝึกฝนวิชานี้


“เจ้าเด็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะรู้จักวิชาภาพปีศาจด้วย! ข้าเพียงแค่อยากได้สิ่งที่ต้องการในชาตินี้ ไม่สนใจหรอกว่าใครจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร” ชายรูปร่างสูงใหญ่หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็อ้าปากพ่นหมอกโลหิตลงบนหน้าอกตนเอง


ฉากอันน่าตกใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว


พริบตาที่หมอกโลหิตโดนหน้าอก ภาพปีศาจน่าเกลียดน่ากลัวที่ดูราวกับสิ่งไร้ชีวิตก็เริ่มเคลื่อนไหวขึ้นมา


จากนั้นหมอกโลหิตก็ม้วนตัวออกมา


“ตู๊ม!”


ปีศาจยักษ์ที่มีสีแดงเลือดไปทั้งตัว มีเขาสูงสามจั้งตนหนึ่งได้ปรากฏออกมาตรงหน้าชายรูปร่างสูงใหญ่ ในมือของมันยังถือท่อนขาของผู้หญิงอยู่ และปากก็เคี้ยวอยู่ไม่หยุด


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ทำเสียงฮึดฮัด และจับกระบี่จันทราหยกในมือให้แน่นมากขึ้นกว่าเดิม


“วิเศษจริงๆ! คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะฝึกฝนวิชาภาพปีศาจ ได้ยินมาว่าเมื่อฝึกฝนวิชานี้จนถึงขั้นสุดแล้ว สามารถสร้างราชาปีศาจขึ้นมาได้! เฮ่อๆ! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าเองก็จะไม่ปกปิดอีกต่อไป”


ชายร่างอ้วนรู้สึกตกใจมาก และหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็ไม่เห็นเขาแสดงวิชาอะไรออกมา แต่ไหล่ข้างหนึ่งได้นูนขึ้น หลังจากมีเสียงตะคอกออกมาอย่างเจ็บปวดแล้ว หัวพยัคฆ์ที่นองไปด้วยเลือดก็ปรากฏขึ้นบนไหล่ข้างหนึ่ง


ขณะเดียวกัน เสื้อผ้าส่วนล่างของเขาก็ฉีกขาดออกมา แขนสองข้างที่เต็มไปด้วยขนปุกปุยยื่นออกมาจากในนั้น


“วิชาผสานร่างอสูร”


พอหลิ่วหมิงเห็นฉากเช่นนี้ ก็คิ้วขมวดมากขึ้นกว่าเดิม


แม้เขาจะรู้ว่าผู้นำของพรรควิญญาณมืดทั้งสองคน ต่างก็ไม่ใช่ผู้ฝึกฝนนอกรีตธรรมดา แต่ก็คาดไม่ถึงว่าทั้งสองจะฝึกฝนวิชาประหลาดเช่นนี้


“เฮ่อๆ! เจ้าเด็กน้อย เดิมทีข้าก็ไม่อยากใช้วิธีนี้ แต่ดูเจ้าลงมืออย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ ทั้งยังควบคุมหัวบินในตำนานได้ด้วย ข้าจึงต้องทำเช่นนี้” ผ้าปิดหน้าของชายร่างอ้วนที่มีสี่แขนสองหัวในตอนนี้ ได้หลุดออกมาในพริบตาที่เปลี่ยนร่าง เผยให้เห็นใบหน้าอ้วนกลมที่ดูสุภาพอ่อนโยน แต่หลังจากที่ศีรษะใหม่ขยับตัวแล้ว ก็เอ่ยปากที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดออกมา


“วิชาผสานร่างอสูร! วิเศษไปเลยหมายเลขสอง เช่นนี้เจ้าเด็กนี่จะต้องตายอย่างแน่นอน ลงมือกันเถอะ” พอชายรูปร่างสูงใหญ่เห็นคู่หูแสดงวิชาออกมาก็ยิ่งดีใจมากกว่าเดิม แต่หลังจากทำเสียงฮึดฮัดออกมา มือทั้งสองก็เริ่มกระตุ้นเคล็ดวิชาในทันที


ปีศาจสีแดงโยนท่อนขาในมือทิ้งทันที มันย่อขาทั้งสองลง จากนั้นก็กระโดดขึ้นมาด้วยเสียงอันดัง ร่างขนาดมหึมาราวกับเขาลูกเล็กพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง


อีกด้านหนึ่ง ชายร่างอ้วนที่มีสองหัวสี่ขาก็หมุนตัวจนพร่ามัว และพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงราวกับลูกข่าง


หลิ่วหมิงมองดูชายร่างอ้วนแค่ทีเดียว จากนั้นหัวบินที่ลอยอยู่เหนือศีรษะก็บินพุ่งออกไปพร้อมเสียงหัวเราะแปลกประหลาด พริบตาเดียวก็เข้าไปต่อสู้กับชายร่างอ้วนที่แปลงร่างแล้ว


ส่วนปีศาจยักษ์ที่พุ่งเข้ามาในอากาศ หลิ่วหมิงเพียงแค่ขยับเท้าทั้งสองก็สามารถหลบหลีกได้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็สะบัดกระบี่สั้นในมือเพื่อฟันใส่ปีศาจยักษ์


แต่ในขณะนั้นปีศาจยักษ์กลับเข้ามาโจมตีมือทั้งสองของหลิ่วหมิงก่อน


หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึง ยังไม่ทันเข้าใจสาเหตุที่ปีศาจยักษ์ทำเช่นนี้ ก็พลันมีเสียงดัง “ฟู่!” “ฟู่!” จากนั้นศีรษะหินสีเทาสองหัวก็พุ่งออกมาจากฝ่ามือของปีศาจยักษ์ และพุ่งหาหลิ่วหมิงราวกับพายุบ้าระห่ำ


“วิชากระสุนศิลา!”


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกตกใจอย่างอดไม่ได้ หลังจากบิดตัวหินทั้งสองก็แฉลบผ่านข้างตัวไป แต่ขณะเดียวกันกระบี่สั้นสีเขียวของเขาก็ปล่อยปราณกระบี่เข้าใส่ปีศาจยักษ์เป็นจำนวนมาก


แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาก็คือ พอปีศาจยักษ์หล่นถึงพื้นก็มีแสงสีเหลืองเปล่งประกายออกมาจากตัว จากนั้นก็จมหายเข้าไปใต้ดิน


ปราณกระบี่ได้แต่ฟาดฟันพื้นดินจนเป็นรอยจางๆ เท่านั้น


หลิ่วหมิงมีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมา แต่ก็ไม่รั้งรอให้เท้าทั้งสองสัมผัสพื้น เขาสะบัดแขนเสื้อในทันที โซ่สีเงินเส้นหนึ่งหวดเข้าใส่ชายรูปร่างสูงใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า


เขารู้ดีว่าที่ปีศาจยักษ์ร้ายกาจเช่นนี้ เป็นเพราะฝ่ายตรงข้ามที่ควบคุมมันอยู่ เพียงแค่จัดการปัญหานี้ได้ ปีศาจที่มาจากภาพปีศาจนี้ก็จะหายไปเอง


แต่ขณะนั้นเอง มีเสียงคำรามดังมาจากด้านล่างของเขา ปีศาจยักษ์กระโจนขึ้นจากใต้ดิน มันอ้าแขนทั้งสองและพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงอย่างโหดเหี้ยม


แต่หลิ่วหมิงก็บิดตัวหลบหลีกไปได้ทุกครั้ง


ขณะนี้เอง ชายรูปร่างสูงใหญ่ตรงหน้าได้ยกมือข้างหนึ่งขึ้น จากนั้นยันต์ผืนหนึ่งก็ลอยขึ้นมา และกลายเป็นม่านน้ำแข็งแวววาวปกป้องตัวเขาไว้


พอโซ่สีเงินหวดลงบนม่านน้ำแข็ง ก็มีแสงเย็นสะท้านเปล่งประกายออกมา แต่กลับไม่สามารถทำอะไรมันได้เลย


ปีศาจยักษ์เคลื่อนไหวติดต่อกัน ปรากฏตัวขาดๆ หายๆ บนพื้น เพื่อตามติดหลิ่วหมิงอย่างไม่ลดละ ถึงแม้มันจะถูกปราณกระบี่ฟันเป็นครั้งคราว แต่หลังจากร่างของมันพร่ามัวแล้ว ก็ฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็ว


สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงร้องทุกข์ออกมาอยู่ไม่หยุด


ส่วนหัวบินมีไอศาจพวยพุ่งรอบตัว และกำลังต่อสู้กับชายร่างอ้วนโดยที่ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าใครอยู่เหนือใคร


แต่พอปีศาจยักษ์พุ่งขึ้นจากใต้ดินอีกครั้ง กระบี่สั้นสีเขียวของหลิ่วหมิงก็หายไปแล้ว และถูกแทนที่ด้วยกระบอกสีแดงอันหนึ่ง


“แกร๊ก” ตาข่ายแวววาวแผ่คลุมออกมา


ปีศาจยักษ์ไม่ทันได้ป้องกัน ถึงคิดจะหลบหลีกก็ทันไม่การแล้ว


หลังจากมันคำรามออกมาด้วยความโมโห ก็ถูกตาข่ายปกคลุมไว้อย่างแน่นหนา ขณะเดียวกันไอเย็นสะท้านได้ม้วนตัวออกมา และน้ำแข็งก็ปรากฏขึ้นบนพื้นผิว ทำให้มันเคลื่อนตัวได้ยากขึ้น


หลิ่วหมิงดีใจที่เห็นเช่นนี้ พอเขายกแขนเสื้อขึ้น โซ่สีเงินก็ดีดออกไปอีกครั้ง หลังจากที่มันพร่ามัว ก็รัดพันปีศาจยักษ์ไว้อย่างแน่นหนา


ต่อมาเขาทำท่ามือด้วยมือเดียว ลูกเปลวไฟสีแดงพวยพุ่งขึ้นมาในมือ และขยายใหญ่เท่าอ่างน้ำในพริบตาก่อนที่จะเล็งเข้าไปหาปีศาจยักษ์ที่ถูกรัดพันไว้


พอชายร่างสูงใหญ่ที่อยู่ไกลๆ เห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก เขารีบทำท่ามือในทันที ม่านน้ำแข็งตรงหน้าสลายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น ธนูเล็กสีแดงกับลูกธนูจำนวนมากปรากฏออกมา และเขาก็ยกขึ้นยิงหลิ่วหมิงติดต่อกัน


แต่ขณะนั้นเอง เงาร่างสีดำก็กระโดดออกมาจากพื้นตรงด้านหลังเขา มันขยับก้ามยักษ์หนีบขาข้างหนึ่งของเขาไว้ ขณะเดียวกันหางตะขอตรงหลังก็สั่นไหว เส้นสีดำสิบกว่าเส้นกระพริบผ่านไป และเจาทะลุขาข้างหนึ่งของเขา


มีเสียงร้องอย่างน่าเวทนาดังขึ้นมา!


ชายรูปร่างสูงใหญ่ก้มมองด้วยความตกใจระคนโมโห รูสีดำเล็กๆ สิบกว่ารูโผล่ขึ้นบนขา ไอดำกลุ่มหนึ่งม้วนตัวจากพื้นอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันอาการคันแปลกประหลาดก็ลุกลามขึ้นมาจากขา


ด้วยระดับความรู้ของชายรูปร่างสูงใหญ่ ทำไมจะไม่รู้ว่าตนเองโดนพิษแปลกประหลาดเข้าแล้ว และในช่วงเวลานั้นก็ไม่มีโอสถใดๆ ที่สามารถรักษาได้


แต่ก็นับว่าเขาเป็นสิงห์ร้ายที่มีความเห่อเหิมทะเยอทะยาน หลังจากที่สีหน้าเขาเปลี่ยนไป เขาก็ขยับแขนในทันที เล็บอันแหลมคมงอกออกจากนิ้วมือนิ้วหนึ่ง จากนั้นก็กรีดลงบนหัวเข่าอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ


……………………………………….


ตอนที่ 229 ผีดิบเกราะเหล็ก

โดย

Ink Stone_Fantasy

ขาสีดำหลุดออกภายในพริบตา โลหิตสดๆ พุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง!


ขณะเดียวกัน ชายรูปร่างสูงใหญ่ก็พุ่งออกไปราวกับลูกธนู ยันต์ผืนหนึ่งถูกแปะลงบนขาอย่างรวดเร็ว แสงสีเขียวเป็นจุดๆ เปล่งประกายออกมา โลหิตหยุดไหลในทันที ขณะเดียวกันบาดแผลก็สมานอย่างรวดเร็ว


ขณะนั้นเอง แมงป่องกระดูกขาวได้ตามมาติดๆ ดูเหมือนมันไม่คิดที่จะปล่อยคู่ต่อสู้ไปเลยแม้แต่น้อย


ชายรูปร่างสูงใหญ่ร่วงลงพื้นด้วยความเจ็บปวด พอได้เห็นฉากนี้ก็รู้สึกตกใจและโมโหมาก พอเขาสะบัดแขนเสื้อ กระจกทองเหลืองก่อนหน้านั้นก็โผล่ออกมาอีกครั้ง เขาเพียงโบกมันไปทางแมงป่องกระดูกขาว ทันใดนั้นเพลิงอัสนีสีเลือดกลุ่มหนึ่งก็พุ่งออกไป


แต่แมงป่องกระดูกขาวกลับบิดตัว ภายใต้หมอกสีม่วงที่พวยพุ่งอย่างบ้าคลั่ง จนสามารถหลบหลีกเพลิงอัสนีได้ จากนั้นหางตะขอตรงหลังได้กลายเป็นเส้นสีดำสิบกว่าเส้นก่อนที่จะพุ่งยิงออกไป แต่มันถูกชายรูปร่างสูงใหญ่ใช้เพลิงอัสนีโจมตีจนต้องถอยออก


ขณะนั้นเอง มีเสียงสะเทือนเลือนลั่นดังมาจากทางด้านหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงโยนลูกเปลวไฟยักษ์ในมือใส่ปีศาจยักษ์ที่ถูกรัดพันอยู่อย่างโหดเหี้ยม


ปีศาจตนนี้คำรามออกมาด้วยเสียงอันดัง จากนั้นก็จมหายไปในหมอกเพลิงรูปดอกเห็ด และกลายเป็นขี้เถ้าภายในพริบตา


ชายรูปร่างสูงใหญ่กำลังใช้กระจกทองเหลืองเผชิญหน้ากับแมงป่องกระดูกขาวอยู่ ภาพปีศาจบนหน้าอกเขากลายเป็นสีแดงราวกับเลือด ขณะเดียวกันมันก็พร่ามัว และมุดเข้าช่องทรวงอกของชายรูปร่างสูงใหญ่


ชายรูปร่างสูงใหญ่ร้องออกมาในทันที กระจกทองเหลืองในมือถูกโยนทิ้ง และล้มลงไป มือทั้งสองกุมศีรษะกลิ้งไปมาอย่างบ้าคลั่ง ขณะเดียวก็เปล่งเสียงร้องอย่างเวทนาอยู่ไม่หยุด ราวกับว่าได้รับความเจ็บปวดที่ยากจะทนได้


แมงป่องกระดูกขาวเห็นเช่นนี้ ย่อมไม่ละทิ้งโอกาส มันกระโจนเข้าใส่ชายรูปร่างสูงใหญ่ ก้ามยักษ์ทั้งสองกับหางตะขอโจมตีราวกับพายุฝนกระหน่ำ พริบตาเดียวก็ฉีกฝ่ายตรงข้ามออกเป็นชิ้นๆ โดยไม่มีสิ่งใดมาต้านทานไว้


โลหิตสีดำไหลทะลักออกมาจากซากศพ


หลิ่วหมิงเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ถึงได้รู้สึกโล่งใจขึ้นมา จากนั้นก็ร่อนลงไปยังการต่อสู้อีกฝั่งหนึ่ง


ขณะนี้ ชายร่างอ้วนใช้หัวพยัคฆ์พ่นเปลวเพลิงคุโชนต่อสู้กับหัวบินอยู่ พอเขาเห็นคู่หูของตนเองพ่ายแพ้ภายในพริบตาก็รู้สึกตกใจอย่างช่วยไม่ได้ หัวพยัคฆ์พ่นเสาเพลิงใส่หัวบินจนถอยออกไปหลายก้าว จากนั้นก็กลายเป็นเงากระโจนไปยังโลงศพสีดำ


“ขวางเขาไว้!” หลิ่วหมิงสั่ง


เงาร่างสีดำอีกกลุ่มหนึ่งพุ่งยิงเข้ามา มันปะทะกับชายร่างอ้วนเข้าอย่างจัง


มันคือแมงป่องกระดูกขาวนั่นเอง


และในช่วงระหว่างเวลานี้ หัวบินก็ส่งเสียงหัวเราะแปลกประหลาดออกมา ผมยาวเต็มศีรษะม้วนตัวออกมาอีกครั้ง


แมงป่องกระดูกขาวเองก็อ้าปากพ่นหมอกสีม่วงออกไป


พริบตานั้นเอง ชายร่างอ้วนก็ตกอยู่ในวงล้อมการโจมตีของแมงป่องกระดูกขาวกับหัวบิน แม้ว่าหัวพยัคฆ์จะพ่นเปลวเพลิงออกมาอยู่ไม่หยุด มือทั้งสี่ต่างก็ถือกระบี่กระดูกโจมตีกลับอย่างไม่ลดละ แต่ก็ตกเป็นเบี้ยล่างอย่างรวดเร็ว


ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงสะบัดกระบี่สั้นในมือก่อนที่ปราณกระบี่สีเขียวจะพุ่งเข้าไปร่วมโจมตี


เช่นนี้แล้ว ชายร่างอ้วนย่อมไม่สามารถต้านทานได้ พอเขาหลบหลีกไม่พ้น หัวไหล่ก็ถูกหางตะขอของแมงป่องกระดูกขาวเจาะทะลุไป ทันใดนั้นอาการคันแบบประหลาดๆ ก็ลุกลามมาจากปากแผล


“โปรดยั้งมือ ข้ายอมแพ้แล้ว! ถ้าไม่มีข้า เกรงว่าสหายคงไม่อาจหาสมบัติที่แท้จริงได้” ชายร่างอ้วนตะโกนออกมาในทันที


“สมบัติที่แท้จริง!” พอหลิ่วหมิงฟังถึงจุดนี้สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป


“ไม่ผิด! สหายคงไม่คิดว่าสมบัติของราชวงศ์ก่อนจะอยู่ในโลงศพเหล่านี้จริงๆ ใช่ไหม? ที่นี่เป็นแค่สมบัติธรรมดาเท่านั้น สมบัติที่แท้จริงจะอยู่ในที่ที่ลึกลับกว่านี้” ชายร่างอ้วนต้านทานการโจมตีของหัวบินกับแมงป่องกระดูกขาวอย่างยากลำบาก ขณะเดียวกันก็ตะโกนพูดออกไป


ชั่วเวลานั้นเอง เขารู้สึกว่าหัวไหล่เกิดอาการชาอย่างถึงที่สุด แม้แต่มือทั้งสองที่อยู่ทางด้านนั้นก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถต้านทานการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามได้แล้ว ในใจเขารู้สึกหวาดผวาจนยากจะรู้ได้


หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา พอเห็นว่าเขาไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ หัวบินกับแมงป่องกระดูกขาวก็หยุดการโจมตีในทันที จากนั้นก็ถอยออกไปหลายก้าว


ชายร่างอ้วนเห็นเช่นนี้ ถึงได้รู้สึกโล่งใจขึ้นมา เขารีบหยิบขวดใบเล็กๆ ออกมาจากอก จากนั้นก็เทโอสถออกมาเจ็ดแปดเม็ดและทานทั้งหมดภายในอึดใจเดียว


ชั่วเวลาสั้นๆ นี้ เขารู้สึกว่าร่างกายเกิดอาการชาไปครึ่งซีก ในใจเขารู้สึกหวาดผวาจนยากจะรู้ได้


“ไม่มีประโยชน์หรอก แมงป่องกระดูกขาวตนนี้เป็นปีศาจกลายพันธุ์ โอสถถอนพิษทั่วไประงับพิษได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ถ้าอยากจะถอนพิษออกให้หมดล่ะก็ ภายในระยะเวลาสั้นๆ อย่าได้คิดฝันไปเลย เจ้าจัดการวิชาผสานร่างปีศาจก่อน มิเช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจที่จะจัดการเจ้า หลังจากนั้นค่อยๆ ตามหาสมบัติที่ว่า” หลิ่วหมิงค่อยๆ เดินเข้ามาและกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน


“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะทำตามที่สหายบอก” ชายร่างอ้วนกัดฟันกล่าว จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว หัวพยัคฆ์กับแขนอสูรตรงชายโครงหดตัวลงในทันที ก่อนที่หายไปในพริบตา ขณะเดียวกันกลิ่นไอบนตัวก็อ่อนลงไปมาก


“ถ้าไม่ใช่เพราะว่าการทำลายชั้นจำกัดในก่อนหน้านั้น ทำให้ข้าสูญเสียโลหิตไปมากจนไม่อาจแสดงพลังที่แท้จริงของวิชาผสานร่างปีศาจออกได้ล่ะก็ ข้าคงไม่พ่ายแพ้รวดเร็วเช่นนี้” ชายร่างอ้วนหยุดการแสดงวิชา และแสดงสีหน้าหงุดหงิดออกมา


“ถ้าเจ้าไม่ยอม ก็รีบไปอยู่เป็นเพื่อนเขาได้” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก สายตามองไปที่ซากศพของชายรูปร่างสูงใหญ่


ช่วงเวลาที่คำพูดนี้ออกมาจากปาก แมงป่องกระดูกขาวกับหัวบินก็เริ่มเคลื่อนไหว


“ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น สหายอย่าได้จริงจังไป” ชายร่างอ้วนเห็นเช่นนี้ย่อมรู้สึกตกใจจนต้องรีบกล่าวออกมา


“ข้าไม่สนว่าเจ้าจะพูดเล่น หรือแกล้งพูดเล่น! รีบบอกข้ามาว่าสมบัติที่แท้จริงซ่อนอยู่ที่ไหน? อย่าได้คิดถ่วงเวลา ถ้าข้ารู้สึกว่าเจ้าคิดจะทำเช่นนี้ล่ะก็ จะให้พวกมันทั้งสองลงมือในทันที” หลิ่วหมิงจ้องมองชายร่างอ้วนแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น


“ข้าจะคิดเช่นนี้ได้อย่างไร ความจริงสมบัติที่แท้จริงอยู่ใต้ถ้ำแห่งนี้ ทั้งยังถูกค่ายกลอีกหลังปิดผนึกไว้ แต่มีข้าคนเดียวเท่านั้นที่รู้วิธีการเปิดผนึก” ชายร่างอ้วนยิ้มอย่างขมขื่นก่อนกล่าวออกมา


“ถ้าอย่างนั้นบอกข้าหน่อยว่าสมบัติที่แท้จริงคืออะไร?” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป


“ถ้าข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ สมบัติที่แท้จริงคงจะเป็นหลุมปีศาจ!” ครั้งนี้ชายร่างอ้วนลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างไม่มีทางเลี่ยง


“หลุมปีศาจ!”


แม้หลิ่วหมิงจะเป็นคนสุขุมเยือกเย็นมาโดยตลอด แต่พอได้ยินเช่นนี้ก็ต้องหลุดปากออกมา


“ไม่ผิด! แม้จะไม่ใช่หลุมปีศาจขนาดใหญ่มากนัก แต่ในเมื่อไม่มีคนเปิดมานานขนาดนี้ ในนั้นคงมีไอปีศาจสะสมอยู่ไม่น้อย” ในเมื่อชายร่างอ้วนเผยความลับนี้ออกมาแล้ว เขาก็ไม่คิดจะปิดบังอะไรอีก


“ดีมาก ถ้าอย่างนั้นให้ข้าดูหน่อยว่าที่เจ้าพูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริงหรือไม่? แต่ก่อนอื่นข้าต้องทำเรื่องอีกอย่างก่อน” หลิ่วหมิงระงับความตื่นเต้นไว้ และกล่าวออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน


“อะไรนะ ความหมายของสหายคือ……” ชายร่างอ้วนถามด้วยความตกตะลึง


แต่เขายังไม่ทันได้ตอบสนองใดๆ หัวบินที่อยู่ด้านข้างก็ส่ายหัวด้วยเสียงอันดัง จากนั้นเส้นผมก็ตั้งตรงก่อนจะพุ่งยิงเข้ามา


สีหน้าชายร่างอ้วนเปลี่ยนไปเมื่อเห็นเช่นนี้ แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นแมงป่องกระดูกขาวที่มีอารมณ์คึกคัก เขาก็ยิ้มอย่างขมขื่นและยืนนิ่งอยู่ที่เดิม


“ฟู่!” ผมยาวจมหายเข้าร่างไปในพริบตา และยังค่อยๆ รัดพันหัวใจที่กำลังเต้นอยู่ ทำให้เขารู้สึกสะดุ้งโหยงอย่างช่วยไม่ได้


“ตอนที่ท่านเปิดผนึกอย่าได้คิดตุกติก มิเช่นนั้นข้าจะสั่งให้หัวบินบีบหัวใจเจ้าให้ละเอียด เอาล่ะ! ตอนนี้เจ้าไปเปิดผนึกเถอะ!” พอหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ถึงได้มีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นมา


“ได้! สหายรอสักครู่! แต่การเปิดผนึกนั้น ข้าจำต้องหยิบอาวุธบางอย่างจากโลงศพเหล่านี้ก่อน” ชายร่างอ้วนก้มมองผมยาวตรงอก ใบหน้าอ้วนกลมเผยรอยยิ้มประจบสอพลอออกมา ราวกับว่าเป็นคนธรรมดาที่สุภาพอ่อนโยนคนหนึ่ง


“เจ้าจะหยิบอาวุธอะไร อยู่ในโลงศพใบนั้นหรือ?” หลิ่วหมิงถามออกไปอย่างไม่สะทกสะท้าน เขาย่อมไม่หลงเล่ห์กลรอยยิ้มตื้นๆ นี้


ฝ่ายตรงข้ามเป็นถึงผู้นำหมายเลขสองของพรรควิญญาณมืด และบัญชาการผู้ฝึกฝนนอกรีตมามากขนาดนี้ ถ้าจะบอกว่าเขาไม่ใช่คนใจคอโหดเหี้ยม เล่ห์เพทุบายแพรวพราวล่ะก็ คงไม่มีคนเชื่อ


“เป็นป้ายเหล็กอันหนึ่ง คงจะอยู่ในโลงศพที่มีดอกเก๊กฮวยสีเงินประทับอยู่ตรงมุม” พอชายร่างอ้วนเห็นว่าหลิ่วหมิงไม่ยอมให้เขาไปเอาสิ่งของในทันที เขาก็ลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็ชี้ไปยังโลงศพสีดำใบหนึ่ง และกล่าวออกมา


หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ถึงได้กวาดสายตามองออกไปจนเห็นโลงศพใบนั้นอย่างชัดเจน


มันคือใบที่ชายร่างอ้วนคิดจะหลบหนีเข้าไปในก่อนหน้านั้น


หลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะสะบัดกระบี่สั้นสีเขียวในมือ ปราณกระบี่สีเขียวม้วนตัวออกไป


“เต๊ง!”


ปราณกระบี่ฟันลงบนโลงศพ คิดไม่ถึงว่ามันจะทิ้งไว้แค่รอยกระบี่จางๆ และไม่สามารถฟันให้ขาดได้


“สหาย โลงศพเหล่านี้ ทำมาจากไม้ดำหมื่นปี ตัวมันเองก็นับว่าเป็นสมบัติชิ้นหนึ่ง” หางตาชายร่างอ้วนกระตุกเล็กน้อยเมื่อเห็นเช่นนี้ และรีบอธิบายออกมา


“จริงหรือ? อย่างนี้ถ้าทำลายมันก็น่าเสียดายไปหน่อย” พอหลิ่วหมิงได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไป เขาเก็บกระบี่สั้นในมือ และทุบหมัดข้างหนึ่งไปในอากาศ


“ตู๊ม!”


ครั้งนี้พลังมหาศาลปะทะกับฝาโลงจนกระเด็นออกไป ขณะเดียวกันกลิ่นเน่าเหม็นของศพก็โชยออกมา


หลิ่วหมิงขมวดคิ้วและค่อยๆ ลอยไปยังโลงศพใบนั้น และหยุดอยู่กลางอากาศที่สูงสองสามจั้ง เขาก้มสังเกตดูโลงศพด้านล่างสองสามที และเผยแววยิ้มเยาะออกมา จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ เพื่อปล่อยลูกเปลวไฟพุ่งยิงติดต่อกันออกไป


“เพล้ง!” เปลวไฟคุโชนระเบิดตัวอยู่ในโลงศพ และเสาเพลิงต้นหนึ่งก็ม้วนตัวขึ้นมา


ครู่ต่อมา มีเสียงร้องแปลกประหลาดดังขึ้นจากในโลง ผีดิบสวมเกราะเหล็กสีดำตัวหนึ่งกระโดดออกจากในนั้น


หน้าอกของมันมีป้ายเหล็กขนาดเท่าฝ่ามือห้อยด้วยเชือกเส้นเล็กๆ แขวนอยู่ มันกระโดดออกจากเปลวเพลิงอันคุโชนมาสิบกว่าเก้า จากนั้นหัวของมันก็ถูกคมวายุยักษ์ที่พุ่งยิงเข้ามาฟันจนหลุดไป


……………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)