ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 214-221

ตอนที่ 214 เหยียนเฉียวหลัว

 

สายพระเนตรของจีเฉวียนยังคงจับจ้องอยู่ที่กล่องใบนั้นอยู่อีกนาน


 


 


สักพักใหญ่จึงได้ตรัสออกมาประโยคหนึ่ง ” จัดการอย่างลับๆ จะดีกว่า “


 


 


” พะยะค่ะ ” คนชุดดำรับคำครั้งหนึ่ง ก็หายตัวไปท่ามกลางความมืดมิด


 


 


จีเฉวียนทรงทอดพระเนตรมองดูกล่องใบนั้นอีกนาน ยามที่พระหัตถ์ใหญ่หนายกขึ้นมานั้น หมอกสีดำก็เหมือนกับหยดน้ำที่ร่วงลงสู่ท้องทะเล ซึมเข้าไปในร่างกายของพระองค์อย่างรวดเร็ว


 


 


ไอหยินที่เข้มข้น ทำให้พระวรกายเย็นปานห้องน้ำแข็งใต้ดิน ทั้งๆ ที่ตอนนี้ก็ใกล้จะถึงฤดูร้อนอยู่แล้ว แต่ร่างกายของพระองค์ยังคงเย็นจัดประหนึ่งมีน้ำแข็งฉาบอยู่ชั้นหนึ่งดังเดิม


 


 


ผ่านไปอีกนานพักใหญ่น้ำแข็งบนร่างจึงค่อยๆ ละลายลง


 


 


ดวงเนตรหงส์ยิ่งฉายแววเย็นยะเยือกขึ้นมา


 


 


 


 


…………………………………


 


 


 


 


สถานการณ์น้ำในลี่โจวกลับสู่ความสงบ หวงกุ้ยเฟยก็ทรงครรภ์ ประชาชนในเมืองหลวงจึงเบิกบานดั่งดอกไม้


 


 


ดูสิ ฝ่าบาททรงได้รับการคุ้มครองจากสรวงสวรรค์อย่างแท้จริง พอสำเร็จงานใหญ่ สวรรค์ก็ประทานพระโอรสองค์โตมาให้ ช่างสมกับที่เป็นผู้ซึ่งสวรรค์เลือกสรรแล้วจริงๆ อนาคตของต้าโจวเมื่ออยู่ในพระหัตถ์ของฮ่องเต้พระองค์นี้ ต่อไปก็ย่อมจะต้องรุ่งเรืองอย่างไม่สิ้นสุดแน่นอน


 


 


ประกอบกับด้านเป่ยเจียงก็ใกล้จะถูกพิชิต คิดๆ ดูแล้วอีกเพียงไม่นานแผนที่ชายแดนของต้าโจวต่อมาต้องขยายออกไปอีกแน่


 


 


 


 


ในเมืองหลวง ถนนตงต้าเจีย (ถนนตะวันออก)


 


 


เฟิ่งไหลโหลว (โรงเตี้ยมหงส์ร่อน)


 


 


เมื่อเป็นถึงโรงเตี้ยมอันดับหนึ่งของเมืองหลวง กิจการวันนี้ก็ยังคงคับคั่งแน่นขนัดเหมือนดังเก่า


 


 


ผู้คนต่างก็กำลังพูดคุยกันถึงเรื่องที่เทพธิดาสำแดงองค์ในเมืองลี่โจวและข่าวที่หวงกุ้ยเฟยทรงพระครรภ์


 


 


ในห้องรับรองห้องหนึ่งของโรงเตี้ยมเฟิ่งไหลโหลว หญิงสาวในชุดกระโปรงสีเขียวนั่งอยู่ที่ริมหน้าต่าง นางคาดผ้าโปร่งบนใบหน้า เผยให้เห็นแค่ดวงตาที่สวยงามคู่หนึ่ง


 


 


เพียงแค่ดวงตาคู่นั้น ก็นับว่างดงามอย่างที่สุดแล้ว


 


 


รูปร่างของหญิงสาวสูงโปร่ง บนร่างยังมีกลิ่นอายของความสูงศักดิ์ที่ไม่ธรรมดากำจายออกมา


 


 


ในมือของนางมีจอกสุรา สุราดื่มไปเพียงครึ่งเดียว จอกในมือก็ถูกกระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรง


 


 


” ก็แค่สนมคนหนึ่งตั้งท้องมิใช่หรือไร จะคลอดออกมาได้หรือเปล่าก็ยังไม่แน่เลย ก็เริ่มจะยินดีปรีดากันแล้วหรือ? “


 


 


เสียงของนางไม่ได้ดัง แต่ก็ทำให้สีหน้าของบุรุษที่อยู่ข้างกายเปลี่ยนไปเล็กน้อย ” องค์หญิงอาหลัว ที่นี่คือเมืองหลวงของต้าโจว บางคำพูดไม่อาจกล่าวอย่างเหลวไหล “


 


 


” ที่ข้าพูดล้วนแต่เป็นความจริง สถานที่อย่างวังหลังที่ผ่านมาล้วนมีแต่เจ้าหลอกมาข้าก็ลวงกลับ มีองค์ชายองค์หญิงตั้งเท่าไรที่ต้องสิ้นไปตั้งแต่ยังเยาว์ หากว่าสามารถรักษาชีวิตองค์ชายใหญ่ผู้นั้นไว้ได้สิถึงจะประหลาด ” หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าอาหลัวยิ้มอย่างเย็นชา ” ซิว เจ้าไม่รู้อะไร ยิ่งได้รับความรักจากฮ่องเต้มาก ยิ่งต้องทนรับแรงกดดันที่ไม่อาจรับไหว? “


 


 


” ความโปรดปรานเช่นนี้ มีแต่จะทำให้หวงกุ้ยเฟยผู้นั้นเกิดปัญหาอย่างไม่มีสิ้นสุด เจ้าคอยดูไปเถอะ ไม่แน่ว่าอีกเพียงไม่กี่วันก็อาจจะมีข่าวที่ว่านางแท้งเสียแล้วออกมาก็ได้ “


 


 


บุรุษที่นั่งอยู่ข้างกายนางมิได้กล่าววาจา เขาเพียงแต่หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอกไก่ชิ้นหนึ่งให้กับนาง ” องค์หญิงทรงคุ้นเคยกับจีเฉวียนมาแต่ยามเยาว์ แต่อย่าได้ทรงลืมว่ายามนี้เขาเป็นถึงฮ่องเต้แห้งต้าโจวไปแล้ว มิใช่จีเฉวียนคนเดิมอีกแล้ว พวกเรามายังต้าโจวครั้งนี้ ไม่ว่าจะทำเรื่องใดก็ต้องรักษาความระมัดระวังไว้”


 


 


” ต่อให้เขาจะเปลี่ยนไปเช่นไร ก็เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าเขาเคยไปเป็นตัวประกันอยู่ที่แคว้นต้าเหยียนของข้าไม่ได้ ” สายตาของหญิงสาวเย็นชา ” หากว่าไม่ได้ผ่านการฝึกฝนจากแคว้นตาเหยียนของข้ามานานหลายปี เขาจะกลายเป็นฮ่องเต้ของต้าโจวได้อย่างไร “


 


 


ดวงตาของบุรุษผู้นั้นมืดครึ้มลง เขามองออกไปรอบๆ พอมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงของนางแล้ว ก็ลุกขึ้นมา ปิดหน้าต่างของห้องรับรองเอาไว้อย่างแน่นหนา


 


 


” ซิว เจ้าไปเตรียมการสักหน่อย พรุ่งนี้พวกเราจะเข้าวังกัน ไม่ได้พบจีเฉวียนมาตั้งนานหลายปีแล้ว พอเขาได้เห็นข้าจะต้องแปลกใจและยินดีเป็นแน่ใช่ไหม? “


 


 


หญิงสาวพูดพลาง ก็จับปลางคางไปด้วย นางคล้ายกับว่าย้อนนึกไปถึงบางสิ่ง ทั้งหัวคิ้วและหางตาจึงโค้งขึ้นมา อารมณ์ก็พลอยดีขึ้นด้วย


 


 


หน้าต่างอีกข้างหนึ่งไม่ได้ถูกปิด พอลมพัดเข้ามาก็ทำให้ผ้าโปร่งของนางหลุดออก นางยื่นมือออกไปคว้า แต่ว่าผ้าผืนนั้นกลับลอดจากปลายนิ้วปลิวจากหน้าต่างลงไป


 


 


ผ้าโปร่งสีเขียวอ่อนแสนจะบางเบา บนนั้นยังมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวของหญิงสาวอยู่ด้วย และด้วยความบังเอิญอย่างที่สุดจึงตกลงไปบนศีรษะของบุรุษชุดขาวผู้หนึ่ง


 


 


บุรุษชุดขาวยกมือขึ้นมาดึงผ้าออกไป เขากวาดตามองไปรอบด้าน สุดท้ายจึงเงยหน้ามองขึ้นมาที่ชั้นบนของเฟิ่งไหลโหลว


 


 


สายตาของเขาสบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น


 


 


คุณชายผู้นั้นก็นำผ้าโปร่งเข้าไปในเฟิ่งไหลโหลว


 


 


เพียงแค่ครู่เดียว ประตูของห้องรับรองก็ถูกเขาเคาะ


 


 


คุณชายชุดขาวมองเข้าไปในห้อง ก็เห็นเพียงหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี บุรุษสูงใหญ่กำยำ ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย สตรีรูปโฉมงดงามชุดกระโปรงที่นางสวมใส่ก็ยังเป็นสีเขียวอมดำแบบเดียวกันกับที่น้องเล็กชอบใส่อยู่เสมอ


 


 


” ซิว เจ้าให้เงินไปสักหน่อยแล้วก็ไล่ไป ถือเสียว่าเป็นค่าตอบแทนที่เก็บผ้าคลุมหน้าของข้าได้ ” สตรีผู้นั้นมิได้หันมาเหลือบมองคุณชายชุดขาวเลยสักนิด


 


 


ซิวล้วงเงินจำนวนหนึ่งออกมา ส่งให้คุณชายชุดขาว ” แทนคำขอบคุณของคุณหนูของข้า”


 


 


พูดจบแล้วก็รับผ้าคลุมหน้าในมือนั่นไป


 


 


ไหนเลยจะรู้ว่าคุณชายชุดขาวผู้นั้นจะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ดวงตาที่เป็นประกายราวหยดน้ำจดจ้องไปยังสตรีนางนั้น เขากระชับผ้าคลุมหน้าในมือ ” แน่ใจหรือว่านี่เป็นของเจ้า? “


 


 


” หากไม่ใช่ของข้าแล้วยังจะเป็นของใครได้อีก? ” สตรีผู้นั้นคร้านจะเสวนากับเขา โดยทั่วๆ ไปแล้วบุรุษที่เก็บผ้าคลุมหน้าของสตรีกลับมา มากกว่าครึ่งย่อมคิดจะมาสานสัมพันธ์ได้คืบเอาศอกกันทั้งนั้น


 


 


โดยเฉพาะเมื่อได้พบเจอกับโฉมสคราญเช่นนาง


 


 


ก็แค่พวกช่างตื้อเท่านั้น หากว่าเขาไม่รู้จักลงจากเวทีไป ก็ให้ซิวลงมือสักรอบก็ใช้ได้แล้ว


 


 


นางเตรียมการรับมือกับการตามตื้อของคุณชายชุดขาวผู้นั้นเอาไว้แล้ว แต่กลับเห็นเขาถือผ้าคลุมนั้นด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว หันมาเล่นงานนาง ” พี่สาว ข้าคงต้องพูดกับท่านหน่อยแล้ว ท่านไม่รู้หรือไงว่าการเขวี้ยงข้าวของลงจากชั้นบนมันเป็นอันตรายมาก? “


 


 


” รอบนี้ท่านโยนผ้าคลุมหน้า โยนจนติดเป็นนิสัย ครั้งต่อไปโยนอิฐหรือไง? ที่นี่เป็นย่านที่คึกคัก ชั้นล่างมีคนผ่านไปมาจำนวนมาก เขวี้ยงอะไรลงไปก็อาจทำคนถึงตายได้! “


 


 


สตรีชุดเขียวตกตะลึงไป ที่นางเผอิญเจออยู่ในตอนนี้ใช่พวกตามตื้อที่ไหนกัน เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นพวกโรคประสาท


 


 


แล้วยังมาเรียกว่าพี่สาว? นางดูแล้วแก่มากหรือยังไง?


 


 


นางพึ่งจะผ่านวันเกิดครบรอบยี่สิบปีมาแท้ๆ ดูยังไงก็อายุแค่พอๆ กันกับเขาเท่านั้นเถอะ


 


 


” ประสาท” นางกลอกตาบน ส่งสัญญาณให้ซิวรีบไล่คนบ้าผู้นี้ออกไป


 


 


” ยังไม่รู้สำนึกแก้ไขอีก! ” คราวนี้คุณชายชุดขาวโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว ไม่รอให้บุรุษที่ชื่อซิวมาไล่เขาออกไป เขาก็บุกเข้าไปในห้องรับรอง เดินไปตรงหน้านางอย่างช้าๆ


 


 


‘พรึ่บ’ เขาสะบัดผ้าคลุมหน้าผืนนั้นตรงหน้านาง ” ดูจากท่าทางของท่าน ไม่ใช่ชาวต้าโจวเช่นพวกเรา ท่านรู้หรือไม่ว่าการกระทำของท่านถือว่าฝ่าฝืนและผิดกฎของพวกเราชาวต้าโจว? “


 


 


คราวนี้นางถึงกับพูดอะไรไม่ออกแล้ว นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า พอมาถึงต้าโจวก็จะได้พบกับเรื่องประหลาดเช่นนี้


 


 


ก็แค่ทำผ้าคลุมหน้าหล่นมิใช่หรือ ถึงกับผิดกฎหมายด้วย?


 


 


จีเฉวียนเป็นฮ่องเต้ที่เข้มงวดถึงเพียงนี้เชียว?


 


 


” เห็นแก่ที่ท่านพึ่งจะทำผิดเป็นครั้งแรก ครั้งนี้จะเพียงตักเตือนด้วยวาจาเท่านั้น หากยังมีครั้งต่อไป จะต้องจับท่านไปที่ว่าการแน่ ” คุณชายชุดขาวยังกล่าวต่อไม่ยอมจบ


 


 


เขาคลายมือออก ทิ้งผ้าคลุมหน้าผืนนั้นลงบนโต๊ะ แล้วก็หันมาจ้องนาง ดวงตาคู่นั้นกวาดมองดูนางอย่างจดจำ ” ชื่ออะไร? “


 


 


สตรีผู้นั้นตกตะลึง จึงตอบกลับไปอย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว ” เหยียนเฉียวหลัว “


 


 


” เอาละ ชื่อของท่านถูกบันทึกเอาไว้ในบัญชีบุคคลอันตรายของเมืองหลวงแคว้นต้าโจวแล้ว ภายในหนึ่งปีหากว่าไม่พบการกระทำที่ไม่สมควรอีก ก็จะถูกลบออกไปเอง พี่สาว ทำตัวให้ดีๆ แคว้นต้าโจวของพวกเรายังคงต้อนรับท่านอยู่ “ 

 

 


ตอนที่ 215 สมบัติเทพของแคว้นเซอปี่ซือ

 

เหยียนเฉียวหลัว “…..” นี่นางต้องมาเจอกับเรื่องตลกอะไรกัน? 


 


 


คราวนี้ นางถึงได้หันไปมองดูคุณชายชุดขาวอย่างละเอียด หน้าตาหรือก็ดีเป็นผู้เป็นคนอยู่หรอก แต่ว่าสมองไม่สมประกอบ 


 


 


หายากเหลือเกินที่ตู๋กูเจวี๋ยจะไม่อยากพูดกับนางขึ้นมา พอกล่าวจบ เขาก็สะบัดชายเสื้อก้าวยาวๆ ออกไปจากห้องรับรอง 


 


 


เขาไม่ได้กลับมาเมืองหลวงถึงครึ่งปี ไม่ว่าที่ใดก็อยากจะผ่านไปดูสักรอบหนึ่งด้วยตนเอง 


 


 


เขาเป็นขุนนางอวี้สื่อ [1] ของเมืองหลวง มีหน้าที่ดูแลรักษาความรักษาความสงบสุขของประชาชนในเมืองหลวง ภายใต้หนังตาของเขาจะต้องไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องที่เป็นอันตรายต่อชีวิตคนขึ้นมาได้ 


 


 


ต่อให้เป็นอุปนิสัยที่ทำให้เกิดอันตรายก็ไม่ได้! 


 


 


น้องเล็กอยู่ในวัง เขาย่อมไม่อาจเข้าวังไปดูแลนางได้บ่อยๆ ทั้งยังอยู่ๆ ก็เกิดความหงุดหงิดขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ 


 


 


หรือจะเป็นเพราะตอนที่อยู่เมืองลี่โจวถูกทรมานมามาก พอกลับมาถึงเมืองหลวง ก็ใช้ชีวิตสงบสุขเกินไป ถึงได้เกิดความรู้สึกว่าไม่ชินเสียแล้ว 


 


 


……………………………………….. 


 


 


 


 


 


เช้าวันรุ่งขึ้น ในเมืองหลวงก็เกิดข่าวแพร่สะพัดออกมา องค์หญิงจากแคว้นต้าเหยียนเสด็จมาเยือนด้วยพระองค์เอง 


 


 


เมื่อพูดถึงแคว้นต้าเหยียน เหล่าขิงแก่ในวังหลวงต่างก็รู้กันเป็นอย่างดี ตอนนั้นหลังจากที่ฉางซุนฮองเฮาสิ้นไป ไม่ถึงสองปี องค์ชายสี่จีเฉวียนที่มีพระชันษาเพียงเจ็ดขวบก็ถูกส่งไปเป็นองค์ประกันที่แคว้นต้าเหยียน 


 


 


ในตอนนั้น แคว้นต้าโจวก่อตั้งมาได้เพียงสองรัชสมัย ถึงแม้จะได้เป็นถึงหนึ่งในสามแคว้นใหญ่ที่แข็งแกร่งในแผ่นดินนี้ แต่ก็เป็นแคว้นที่อ่อนแอที่สุดในสามแคว้น 


 


 


และในช่วงเวลานั้น ในแว่นแคว้นยังเกิดความวุ่นวายด้วยฝีมือของกบฏจี้อ๋อง ก่อให้เกิดความเสียหายคั่งค้างภายในแคว้นอย่างรุนแรง 


 


 


แคว้นต้าฉินที่เป็นผู้นำในสามแคว้นถือโอกาสส่งกำลังมารุกรานต้าโจว จึงเกิดศึกทั้งภายในและภายนอก เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์กับแคว้นต้าเหยียนพันธมิตรเก่า อดีตฮ่องเต้จึงส่งองค์ชายในฮองเฮาไปเป็นองค์ประกันที่ต้าเหยียนด้วยพระองค์เอง 


 


 


นับตั้งแต่นั้นมา องค์ชายสี่จีเฉวียนก็ได้เริ่มใช้ชีวิตในแคว้นต้าเหยียนและเติบโตขึ้นในฐานะตัวประกันยาวนานถึงสิบปี 


 


 


กระทั่งเขาอายุได้สิบเจ็ดปีถึงได้กลับมายังต้าโจวอีกครั้ง 


 


 


เขาที่แต่เดิมเคยเป็นถึงองค์ชายสายตรงที่สูงศักดิ์ที่สุดในต้าโจว แต่เพราะอดีตฮ่องเต้ไม่ทรงโปรด จึงต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนไปนานถึงสิบปี ประสบการณ์ที่ได้รับในช่วงนั้น หลังจากที่กลับมาแล้วองค์ชายสี่ก็มิเคยได้เอ่ยกับผู้ใดเลยสักคน 


 


 


เพียงแต่เมื่อเขากลับมาแล้ว คนก็กลายเป็นเย็นชาดั่งภูเขาน้ำแข็งอยู่ตลอดเวลา 


 


 


ตลอดพระองค์มีแต่กลิ่นอายที่กีดกันไม่ให้ผู้คนเข้าใกล้อยู่เสมอ 


 


 


ยามที่อยู่ในแคว้นต้าเหยียนเขาต้องใช้ชีวิตเช่นไร คิดๆ ดูแล้วก็คงจะมีแต่ท่านราชครูที่รู้กระมัง 


 


 


องค์หญิงแห่งต้าเหยียนผู้นี้ ฟังมาว่านางคือพระธิดาองค์เล็กของฮ่องเต้แห่งต้าเหยียน เป็นผู้ที่ฮ่องเต้แห่งต้าเหยียนทรงโปรดปรานที่สุด 


 


 


ไม่รู้ว่าครั้งนี้นางจะมาที่ต้าโจวด้วยเหตุอันใด 


 


 


ในวังยังไม่ทันจะมีความเคลื่อนไหว ทั่วเมืองหลวงก็มีข่าวลือแพร่สะพัดออกไปก่อนแล้ว 


 


 


ต่างก็ลือกันไปว่าองค์หญิงแห่งแคว้นเหยียนกับฮ่องเต้ทรงเติบโตขึ้นมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก ที่มาในครั้งนี้ ก็คงจะมาสานพรหมลิขิตกับฮ่องเต้เป็นแน่ 


 


 


เขาเล่ากันว่าตอนที่ฝ่าบาททรงอยู่ในแคว้นเหยียนก็ได้องค์หญิงดูแลอยู่เสมอ 


 


 


ประกอบกับที่ต้าโจวและต้าเหยียนเป็นพันธมิตรกันมาก่อน ดูๆ แล้วทั้งสองฝ่ายก็คงจะยินดีที่ได้ผูกสัมพันธ์กันให้แนบแน่นกว่าเดิมละมั้ง 


 


 


ดังนั้นหากว่าองค์หญิงทรงอภิเษกกับฝ่าบาท สำหรับทั้งสองแคว้นแล้วย่อมมีข้อดีมากมายนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว 


 


 


ประชาชนในเมืองหลวงต่างก็ตั้งตารอ หวังให้ฮ่องเต้ทรงอภิเษกองค์หญิงเข้ามาโดยเร็ว เช่นนี้ต้าโจวก็จะเป็นเสมือนกับพยัคฆ์ติดปีก 


 


 


 


 


 


………………………….. 


 


 


ภายในวัง ครั้งนี้ฮ่องเต้มิได้ทรงจัดงานเลี้ยงรับรององค์หญิงแห่งต้าเหยียน 


 


 


เพียงแต่เชิญเสด็จมาที่พระตำหนักตี้หัว เพื่อร่วมเสวยด้วยกันสักมื้อหนึ่ง 


 


 


ทั้งยังทำแค่ตั้งโต๊ะเสวยที่บริเวณหนึ่งในส่วนหน้าของพระตำหนักตี้หัว อาหารก็ยึดเอาตามรสนิยมของคนต้าเหยียนเป็นหลัก 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวสวมชุดสีเขียวอ่อนตลอดร่าง นั่งอยู่ที่ด้านข้างพระองค์ นางถอดผ้าคลุมหน้าออก คอยมองดูจีเฉวียนอยู่ตลอดเวลา 


 


 


” ฝ่าบาท คิดไม่ถึงเลยว่าผ่านมานานหลายปีแล้ว พระองค์ยังทรงจำได้ว่าข้าชอบกินอะไร ” ใบหน้าของนางมีรอยยิ้ม กริยาการวางตัวทั้งสูงส่งและเปิดเผยสง่างาม 


 


 


จีเฉวียนประทับบนพระที่นั่ง ทอดพระเนตรมองดูเครื่องเสวยที่วางอยู่จนเต็มโต๊ะ ” เราจำไม่ได้ ของพวกนี้เป็นห้องเครื่องทำมา “ 


 


 


เหยีนเฉียวหลัว “……..” เขายังคงไม่รู้จักพูดจาเหมือนแต่ก่อนไม่มีผิด 


 


 


นางยิ้มอย่างเก้อเขิน “พวกห้องเครื่องก็คงต้องมาถามไถ่พระประสงค์ก่อน ถึงได้ทำออกมา โอ้ ดูขนมบัวลอยข้าวหมักบนโต๊ะนี้สิ สุราเป็นสุราดอกท้อของต้าเหยียนเรา ดูก็รู้แล้วว่าเป็นความใส่ใจ “ 


 


 


” ที่ผ่านมาห้องเครื่องล้วนจัดการเองทุกเรื่อง ไม่จำเป็นจะต้องมารอถามความเห็นจากเรา “ 


 


 


รอยยิ้มของเหยียนเฉียวหลัวยิ่งแข็งค้างกว่าเดิม 


 


 


นางรีบเปลี่ยนเป็นกล่าวเปิดประเด็นว่า ” ฝ่าบาท พวกเราไม่ได้พบกันนานหลายปี พระองค์ในยามนี้ยิ่งดูสง่างามองอาจอย่างไม่ธรรมดายิ่งกว่าเมื่อก่อน เมื่อครู่ตอนที่ข้ามองเห็นในแวบแรก ข้ายังเกือบจะจำไม่ได้เลย “ 


 


 


นางพูดพลาง ก็ตักบัวลอยข้าวหมักช้อนหนึ่งใส่ลงในชามของเขา ” ตอนนั้นที่ท่านยังอยู่ในต้าเหยียน ก็ชอบรับประทานสิ่งนี้ “ 


 


 


จีเฉวียน ” เจ้าจำผิดแล้ว เราไม่ชอบ “ 


 


 


ตรัสจบ เขาก็ยกชามที่อยู่ข้างหน้าตัวเองใบนั้นออกไป ว่ากันตามจริง อาหารมื้อนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ฮ่องเต้ยังไม่ได้เสวยเลยสักคำเดียว 


 


 


สีพระพักตร์ก็ราวกับไม่พอพระทัย ราวกับว่ามีใครติดค้างหนี้เขาอยู่หลายเมืองก็ไม่ปาน 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวไม่รู้แล้วว่าจะชวนเขาพูดคุยอย่างไรดี ไม่ได้พบกันมาตั้งนาน เขาไม่คิดถึงนางเลยสักนิดหรือ? 


 


 


นางไม่อาจสัมผัสได้ถึงความยินดีที่ได้กลับมาเจอกันจากตัวของเขาเลย 


 


 


 


 


 


ราวกับว่านางจะมาหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรชีวิตของเขาสักนิดเดียว 


 


 


” ฝ่าบาท พระองค์จะไม่ทรงถามหรือว่า จุดประสงค์ที่ข้ามาที่นี่คืออะไร? ” ผ่านมาก็พักใหญ่แล้ว ในที่สุดเหยียนเฉียวหลัวถึงได้เปิดหัวข้อขึ้นมา 


 


 


” มีเรื่องอะไรเจ้าก็รีบว่ามา ” จีเฉวียน บุรุษตัวโต ภูเขาน้ำแข็งของแท้ที่จะตรัสสักคำยังแพงกว่าทอง 


 


 


” พระบิดาของข้าได้รับข่าวสารมา ในที่สุดก็ค้นพบสมบัติเทพของแคว้นเซอปี่ซือ แคว้นต้าฉินเองก็ได้ส่งคนนำไปก่อนแล้ว ” เหยียนเฉียวหลัวเล่าต่อไป ” ข้าเห็นแก่ความสัมพันธ์ในวัยเยาว์ของพวกเรา ถึงได้นำเรื่องสำคัญเช่นนี้มาบอกท่าน “ 


 


 


แคว้นเซอปี่ซือ นี่ยังเป็นแคว้นที่เก่าแก่ยิ่งกว่าแคว้นกู่เย่วเสียอีก 


 


 


แคว้นนี้ไม่เหมือนกับแคว้นกู่เย่ว แคว้นกู่เย่วนั้นถูกต้าโจวทำลายไป แคว้นเซอปี่ซือกลับล่มสลายไปเอง 


 


 


เรื่องเล่าลือเกี่ยวกับแคว้นนี้ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับความมั่งคั่งและสมบัติที่มีเหลือคณานับ และคนในแคว้นที่มีอายุขัยยืนยาว คนทั่วไปอายุถึงร้อยปีก็นับว่ามากแล้ว แต่คนของแคว้นเซอปี่ซือกลับสามารถมีอายุได้ถึงห้าหกร้อยปี 


 


 


คนแคว้นเซอปี่ซือยังมีนิสัยเจ้าปัญหาอย่างหนึ่ง นั่นก็คือชอบสะสมสิ่งของมีค่า 


 


 


นอกจากสะสมของมีค่าแล้ว พวกเขาก็ไม่คิดจะทำสิ่งใดอีก ดังนั้นต่อมาถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีทรัพย์สมบัติสะสมเอาไว้มาก แต่กลับขาดแคลนพืชพันธุ์ธัญญาหาร จนถึงขั้นไม่เพียงพอกับการดำรงชีวิต ทั้งคนในชาติยังเกียจคร้านอย่างที่สุด 


 


 


จึงกลายเป็นชาติที่ต้องอดยากจนตาย 


 


 


หลังจากที่แคว้นเซอปี่ซือล่มสลายไปแล้ว ก็ถูกกระแสลมและดินทรายกลบทับ ตลอดหลายปีมานี้ มีประมุขแคว้นและขุมอำนาจจำนวนไม่น้อยที่สละเลือดเนื้อเพื่อไปตามหาขุมทรัพย์ของแคว้นเซอปี่ซือ 


 


 


แม้กระทั่งอดีตฮ่องเต้ทั้งสองพระองค์ของต้าโจวเอง ก็ไม่เคยละความพยายามที่จะตามหากรุสมบัติของแคว้นเซอปี่ซือ 


 


 


พอมาถึงรุ่นของเขาถึงได้พักเอาไว้ก่อน สำหรับจีเฉวียน หากนำมาเปรียบเทียบกันแล้ว การจะต้องไปวิ่งไล่ไขว่คว้าสิ่งที่เป็นเพียงคำเล่าลือที่สัมผัสอะไรไม่ได้ ก็มิสู้มุ่งมั่นตั้งใจสร้างขึ้นมาใหม่ให้ประชาชนทั้งหลายได้อยู่ดีมีสุขดีกว่า 


 


 


แต่ในเมื่อตอนนี้มีข่าวคราวส่งมาถึงหน้าประตู เขาก็ไม่คิดที่จะปฎิเสธ 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวขยับเข้ามาใกล้เขาอีกหน่อย กระซิบเสียงเบาที่ข้างพระกรรณว่า ” ฟังมาว่ากรุสมบัติของแคว้นเซอปี่ซือมีของล้ำค่าอยู่มากมายนับไม่ถ้วน ทั้งยังมียาวิเศษที่ทำให้ผู้คนสามารถมีอายุยืนยาวโดยไม่แก่ชรา ฮ่องเต้ต้าฉินเองก็ทรงพระชนมายุมากแล้ว เขามุ่งมั่นค้นหายาอายุวัฒนะไม่ยอมหยุด ดังนั้นในบรรดาผู้ที่ค้นหาสมบัติของเซอปี่ซือ นับว่าแคว้นต้าฉินโดดเด่นที่สุด คิดไม่ถึงว่าในที่สุดก็ถูกพวกเขาหาจนเจอ “ 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวพูดพลาง ก็ล้วงเอาแผนที่กรุสมบัติครึ่งใบออกมาจากในอก 


 


 


นางมิได้ถวายให้กับจีเฉวียนในทันที แต่กลับถือเอาไว้ในมือ ” ฝ่าบาท ข้าสามารถมอบแผนที่ครึ่งใบนี้ให้แก่ท่าน แต่ท่านต้องยอมรับเงื่อนไขของข้าข้อหนึ่ง “ 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


คุยกันนิดนึง: เอาล่ะค่ะความโลภมาเยือนแล้ว 


 


 


ตอนต่อไปชื่อ ” คนในดวงใจของเราคือสมบัติที่ล้ำค่ามากที่สุด 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] 御史ตุลาการสูงสุด/ผู้ตรวจการ 

 

 

 


ตอนที่ 216 คนในดวงใจของเราคือสมบัติที...

 

ไม่รอให้จีเฉวียนได้ทรงรับปาก ก็ได้ยินเหยียนเฉียวหลัวกล่าวด้วยความเชื่อมั่นในตนเองว่า ” ข้าต้องการเป็นฮองเฮาของท่าน “ 


 


 


” แผนที่สมบัติครึ่งใบนี้ ข้าขโมยมาจากพระบิดา คิดดูแล้วด้วยความฉลาดเฉลียวของท่าน อย่าว่าแต่มีแผนที่เพียงครึ่งใบเลย ท่านจะต้องตามหาสมบัติเจออย่างแน่นอน “ 


 


 


” เมื่อข้าได้เป็นฮองเฮาของท่านแล้ว ข้าจะช่วยดูแลวังหลังให้ท่านเป็นอย่างดี เป็นพระมารดาของแผ่นดิน เป็นฐานกำลังสนับสนุนท่าน เมื่อต้าเหยียนและต้าโจวร่วมมือกัน การจะรวบรวมแผ่นดิน ให้เป็นปึกแผ่นไยมิใช่เรื่องช้าหรือเร็วเท่านั้น “ 


 


 


หลี่กงกงที่เฝ้าอยู่ด้านนอก ย่อมได้ยินหลายประโยคนี้เข้าพอดี 


 


 


เดิมที่เขากำลังง่วงเหงาหาวนอน ทันทีที่ได้ยินสิ่งที่องค์หญิงแห่งต้าเหยียนตรัสออกมา คนก็สะดุ้งจนตื่นตัว 


 


 


มารดาข้าเอ๋ย! บนโลกนี้ยังมีสตรีที่กล้ายื่นข้อเสนอกับฝ่าบาทอยู่ด้วย! 


 


 


ที่ข้างกายของเขา คือบุรุษที่ติดตามเหยียนเฉียวหลัวมา ‘ซิว’ 


 


 


ตอนที่เห็นเขายืนอยู่ด้านนอก รูปร่างองอาจบึกบึนกว่าพวกองครักษ์ภายในวังมากนัก ใบหน้านั้นราวกับปฏิมากรรมที่ไร้รอยยิ้ม 


 


 


ถึงแม้ว่าจะได้เตรียมใจมาแล้วตั้งแต่แรก แต่เมื่อได้ยินองค์หญิงตรัสว่าต้องการจะเป็นฮองเฮาของต้าโจวเข้ากับหู หัวใจของเขาก็ยังกระตุกไปวูบหนึ่ง 


 


 


องค์หญิงทรงชื่นชมฮ่องเต้แห่งต้าโจวที่สุด 


 


 


นางชอบเขามาตั้งแต่เด็กแล้ว 


 


 


ตลอดหลายปีมานี้ก็ไม่เคยเปลี่ยน 


 


 


 


 


 


แต่ว่าสีพระพักตร์ของจีเฉวียนกลับมิได้เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด เขายังคงนั่งอย่างสง่างามเช่นเดิม เพียงแต่ในดวงเนตรหงส์นั้นเปล่งประกายขึ้นมา 


 


 


ผ่านไปอีกครู่ พระองค์จึงทรงหันมาทอดพระเนตรเหยียนเฉียวหลัวด้วยความสนใจกว่าเดิม 


 


 


เหยียนฉียวหลัวเห็นเขาให้ความสนใจ ความมั่นใจในตนเองก็ยิ่งเพิ่มพูน นางรู้จักคุ้นเคยกับจีเฉวียนมานานหลายปี ตนเองรู้ดีว่าเขาเป็นคนเช่นไร 


 


 


เพื่อเป้าหมายแล้วเขาสามารถลงมือได้ทุกรูปแบบ ในเมื่อนางต้องการตำแหน่งฮองเฮา แต่ที่มอบให้เขานั้นไม่เพียงแค่สมบัติเทพของแคว้นเซอปี่ซือ แต่ยังรวมถึงความเป็นไปได้ที่จะรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่น การค้าขายเช่นนี้สำหรับเขาแล้วมีแต่ได้ไม่มีเสีย แล้วไยเขาจะไม่รับปากกัน 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นนางกับจีเฉวียนก็ยังมีความผูกพันที่เติบโตขึ้นมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ให้นางเป็นฮองเฮาของเขานับว่าเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดแล้ว 


 


 


ต่อให้จีเฉวียนไม่มีความรักฉันท์ชายหญิงให้กับนาง นางก็ไม่กลัว การจะสยบบุรุษผู้หนึ่งแม้ว่าจะยากลำบาก แต่อาศัยความงามและความเฉลียวฉลาดของนาง ผ่านไปนานปีเข้า เขาก็จะต้องยอมเปลี่ยนใจอย่างแน่นอน 


 


 


บุรุษผู้นี้เป็นหินแกร่งก้อนหนึ่ง จะต้องใส่ความรักความประนีประนอมและไหวพริบที่ชาญฉลาดอย่างไม่ขาดช่วง จึงจะสามารทำให้เขาละลายลงได้ 


 


 


ตอนแรกที่อยู่ในแคว้นต้าเหยียน นางก็ตั้งใจจะเลือกเขามาเป็นราชบุตรเขยอยู่แล้ว แต่พลาดไปนิดเดียว ขาดไปนิดเดียวจริงๆ เขาก็จะกลายเป็นราชบุตรเขยของนาง 


 


 


ต่อให้รู้ดีว่าเขาไม่ได้ชื่นชอบนางสักนิด นั่นก็ไม่อาจหักห้ามความต้องการของนางที่จะเข้าใกล้เขา 


 


 


ตอนนี้นางอายุยี่สิบแล้ว อายุยี่สิบยังไม่ได้แต่งงาน ไม่ว่าเป็นแคว้นต้าเหยียนหรือต้าโจว ก็ถือว่าเป็นวัยของสาวใหญ่แล้ว 


 


 


ที่นานถึงเพียงนี้นางก็ยังไม่แต่งกับใคร ยังมิใช่เพราะว่าครุ่นคิดถึงเขาอยู่ตลอดหรอกหรือ 


 


 


ครั้งนี้นางกล้าไล่ตามมาถึงต้าโจว ก็เพราะว่านางมีความมั่นใจอยู่อย่างเต็มเปี่ยม เมื่อมีแผนที่ครึ่งใบนี้แล้ว นางก็เชื่อว่าจีเฉวียนจะต้องรับปากนางอย่างแน่นอน 


 


 


นางจดจ้องมองดูจีเฉวียน และได้สบตากับเขาอย่างเต็มที่เข้าพอดี 


 


 


ใจของนางสั่นไหว รู้สึกตื่นเต้นอย่างที่สุด 


 


 


จ้องมองอยู่นาน ในที่สุดจีเฉวียนถึงได้เอ่ยปากตรัสขึ้นมา ” ฮองเฮาของเรา มีแต่ผู้ที่อยู่ในใจของเราเท่านั้นจึงจะเป็นได้ “ 


 


 


ในวังหลังของเขา สามารถมีสนมมากมายนับไม่ถ้วน สตรีเหล่านี้เขาจะจดจำใบหน้าของพวกนางไม่ได้ หรือจำชื่อไม่ได้ก็ไม่เป็นไร 


 


 


แต่ว่าฮองเฮาของเขา จะต้องเป็นผู้ที่เป็นที่สุดในใจของเขาเท่านั้น 


 


 


ฮองเฮาคือภรรยา ที่เหลือก็แค่นางบำเรอ 


 


 


” คนในดวงใจ? ” เหยียนเฉียวหลัวขมวดคิ้วมุ่น ” ฝ่าบาทมีนางในดวงใจแล้ว? “ 


 


 


จริงอยู่ นางสามารถยอมรับให้เขามีสนมได้มากมายนับไม่ถ้วน แต่ไม่อาจทนยอมให้เขามีคนพิเศษได้เด็ดขาด 


 


 


ตอนที่อยู่ในแคว้นต้าเหยียน นางใช้เวลาไปถึงห้าปีก็ยังไม่อาจละลายหัวใจก้อนหินของเขาลงได้ ต้าโจวมีสตรีเช่นไรกัน ถึงได้เข้าไปอยู่ในใจของเขาได้? 


 


 


” เรามีนางในดวงใจแล้ว แต่ไม่ใช่เจ้า ” ฮ่องเต้ทรงตอบอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน สมองของพระองค์ก็คิดไปถึงนางผู้นั้น บรรยายกาศรอบพระองค์เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลงไม่น้อย 


 


 


แม้แต่มุมพระโอษฐ์ก็ยังมีรอยยิ้มปรากฎ 


 


 


โอ้ เพราะความรักน่าตายนั่น! 


 


 


สีพระพักตร์ของเหยียนเฉียนหลัวซีดเซียวไปในทันที หัวใจของนางเจ็บปวดอย่างที่สุด พระหัตถ์ทั้งสองกำเข้าหากันจนบีบแน่น 


 


 


นางคิดถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา ก็ถามออกไปทันที ” ซูหวงกุ้ยเฟยหรือ? “ 


 


 


นับตั้งแต่ที่นางมาถึงต้าโจวก็ได้ยินผู้คนพูดคุยกันถึงหวงกุ้ยเฟยผู้นี้ บอกว่านางตั้งครรภ์มังกร ขอเพียงนางให้กำเนิดองค์ชายใหญ่ ก็เท่ากับว่าจับจองตำแหน่งฮองเฮาเอาไว้อย่างมั่นคง 


 


 


คิดถึงตรงนี้ หัวใจของนางก็ทนไม่ไหว 


 


 


นางเข้าใจในตัวจีเฉวียนเป็นอย่างดี หากมิใช่ว่าเขาชื่นชอบหวงกุ้ยเฟยผู้นั้นจริงๆ ก็ย่อมไม่มีทางปล่อยให้นางตั้งครรภ์ 


 


 


สตรีพวกนั้น ไม่ดีพอจะให้กำเนิดองค์ชายของเขา! 


 


 


 


 


 


จีเฉวียนมิได้ทรงตอบนาง เพียงแต่ยกน้ำชาขึ้นมาอย่างช้าๆ จิบลงไปคำหนึ่ง ยังคงตอบอย่างบุรุษปากเสียที่สามารถทำให้คนฟังต้องโมโหตายได้ ” เอาเป็นว่าไม่ใช่เจ้าแล้วกัน “ 


 


 


เดิมทีเหยียนเฉียวหลัวเหมือนถูกแทงไปแล้วดาบหนึ่ง ตอนนี้กลับถูกแทงซ้ำสองในที่เดิม ยามนี้นางถึงกับย่ำแย่ไปหมดแล้ว 


 


 


หากว่าซูหวงกุ้ยเฟยผู้นั้นอยู่ตรงหน้านางในตอนนี้ นางไม่กล้ารับประกันเลยว่าตนเองจะห้ามใจไม่ให้ลุกขึ้นไปแทงเข้าใส่สักสองดาบหรือไม่ 


 


 


จนนานอีกพักใหญ่ เหยียนเฉียวหลัวถึงได้ค่อยๆ กล้ำกลืนลมหายใจลงไปได้ นางคลายหมัดออก แต่รอยยิ้มบนใบหน้าแม้สักนิดก็ไม่หลงเหลือแล้ว 


 


 


” ไม่เป็นไร ข้ารู้ว่า ในพระทัยของฝ่าบาทนั้นห่วงใยแผ่นดินที่สุด นางในดวงใจต่อให้สำคัญเช่นไร แต่ก็ไม่มีทางจะไปเปรียบเทียบกับกรุสมบัติของแคว้นเซอปี่ซือไปได้หรอก “ 


 


 


นางหยิบแผนที่สมบัติครึ่งใบโบกไปมาตรงหน้าของเขา ” ฝ่าบาทจะทรงเป็นผู้รวบแผ่นดินที่เหนือกว่าประมุขแห่งแคว้นใดๆ ในอดีต ย่อมไม่ทรงถูกฉุดรั้งด้วยเรื่องของชายหญิง ในเมื่อฝ่าบาททรงทำพระทัยเย็นฟังข้ากล่าวมาได้ตั้งมากมาย ก็แสดงว่าได้ทรงทำการตัดสินพระทัยเอาไว้แล้ว “ 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวหยุดพักหายใจ นางเข้าใจบุรุษผู้นี้เป็นอย่างดี ต่อให้นางในดวงใจของเขาตายลงไปต่อหน้าในตอนนี้ เขาก็ต้องเลือกสมบัติอย่างแน่นอน 


 


 


ความมั่นใจนี้ นางมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม 


 


 


จีเฉวียนทรงแย้มสรวลออกมาในทันที ยิ้มจนทำเอาหัวใจของเหยียนเฉียวหลัวสะท้านด้วยความหวั่นไหว 


 


 


นางยกหัตถ์อีกข้างขึ้นมา คิดจะระงับหัวใจของตนเองเอาไว้ นางรู้จักจีเฉวียนมานานหลายปี เห็นเขายิ้มทั้งหมดรวมกันยังนับได้ไม่ครบสิบนิ้ว 


 


 


ยามที่เขายิ้มออกมา ต่อให้ดอกไม้ทั่วทั้งฤดูใบไม้ผลิเบ่งบาน ก็ยังคงเทียบกับเขาไม่ได้ 


 


 


เห็นไหม นางว่าแล้วอย่างไร เขาจะต้องรับปากแน่นอน 


 


 


ขณะที่ความมั่นใจของนางกำลังเต็มเปี่ยมขึ้นมา ก็ได้ยินจีเฉวียนเอ่ยพระโอษฐ์ตรัสว่า ” นางสำคัญอย่างยิ่ง เป็นยอดดวงใจของเรา ต่อให้เจ้าเอาแผนที่ขุมทรัพย์สักสิบแห่งมาก็ไม่ขอแลก ตัวนางเองก็คือขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่ ที่เราใช้ทั้งชีวิตก็ชื่นชมไม่เพียงพออยู่แล้ว “ 


 


 


เหยียนเฉียวหลัว “…….” หัวใจของนางเดิมก็บาดเจ็บมากอยู่แล้ว ยามนี้ยังถูกแทงลงไปอีกดาบหนึ่ง ทำเอานางแทบจะกระอักเลือกคั่งออกมา 


 


 


นางเคยบอกว่าเขาไม่รู้จักการพูดจา แต่พอเขาเอ่ยเรื่องความรักขึ้นมา ก็ทำให้คนแทบจะเยิ้มตาย! 


 


 


ต่อให้จับคนยัดลงไปในกองน้ำตาลทรายก็ยังไม่กลายเป็นน้ำเชื่อมถึงเพียงนี้! 


 


 


นางอิจฉาจนแทบจะเป็นบ้า หัวใจเหมือนถูกแมวตะกุยจนได้แต่ทรมาน 


 


 


ความจงเกลียดจงชังทั้งหมดพุ่งไปยังซูหวงกุ้ยเฟย รอให้ออกไปจากพระตำหนักตี้หัวก่อน นางจะต้องไปดูหน้าสตรีผู้นั้นสักหน่อย ดูสิว่าเป็นนางปีศาจจิ้งจอกขนาดไหน ถึงได้ทำให้คนที่มีหัวใจเป็นเหล็กอย่างจีเฉวียน หลงใหลจนถึงขนาดนี้! 


 


 


ตู๋กูซิงหลันและตู๋กูเจวี๋ยพึ่งมาถึงพระตำหนักตี้หัวด้วยกัน ทั้งสองอยู่ที่ด้านนอกก็ประจวบเหมาะได้ยินคำว่า ‘ยอดดวงใจของเรา สมบัติที่ล้ำค่าที่สุด’ เข้าพอดี 


 


 


ทั้งสองมีสีหน้าพะอืดพะอม จนเกือบจะอาเจียนออกมา  

 

 


ตอนที่ 217 น่าอับอายแทบตายแล้ว!

 

ในใจของตู๋กูเจวี๋ยสับสนวุ่นวาย เขาหันไปมองดูน้องสาวของตนเองด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยประกายหยดน้ำแห่งความสงสารจนปวดใจ


 


 


ต้องมาทนฟังกับหูว่าคนที่ปักใจอยู่มีนางในดวงใจแล้ว ทั้งยังรักถนอมราวกับสมบัติล้ำค่า น้องเล็กคงจะต้องเจ็บปวดแทบเป็นแทบตายเลยใช่ไหม?


 


 


เฮ่อ พวกเขาช่างมาได้ไม่ถูกจังหวะเลยจริงๆ ทำไมต้องมาบังเอิญได้ยินฮ่องเต้ตรัสเช่นนี้ด้วยนะ?


 


 


” น้องเล็ก หากว่าเจ้าอยากร้องไห้ละก็ บ่าของพี่รองสามารถให้เจ้าซบได้เสมอ ” ตู๋กูเจวี๋ยลูบศีรษะของนางเบาๆ จากนั้นก็ตบไหล่นางอีกหลายครั้ง ” บ่าของพี่รองแม้จะไม่แกร่งหนาเท่าพี่ใหญ่ แต่ว่าก็มั่นคง เจ้าร้องจบแล้ว พี่รองจะไปถกกับเขาให้รู้เรื่อง! “


 


 


จะไปถามฮ่องเต้ต่อหน้ากันไปเลยว่านี่มันเรื่องอะไรกัน?


 


 


จะทอดทิ้งน้องสาวที่งดงามจนเจิดจ้าของเขา ไปคว้าเอาคนอื่น?


 


 


น้องเล็กชอบเขา ก็ถือเป็นเพราะผลบุญที่พระองค์ได้สั่งสมมาแล้วแปดชาติ รู้ไหม?


 


 


เขาจะต้องไปพูดกับพระองค์ให้รู้สำนึก ดูซูเม่ยที่เอาแต่เป็นสตรีหว่านเสน่ห์ยั่วยวนนั่นสิ มีตรงไหนที่เทียบกับเส้นผมของน้องสาวเขาได้กัน?


 


 


ตอนนี้ตู๋กูซิงหลันถึงกับหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ทำไมกันนะทั้งที่มีพ่อและแม่คนเดียวกันแท้ๆ แต่พี่รองถึงกับเป็นเอามากเช่นนี้?


 


 


นางส่ายศีรษะ ” พี่รอง ข้าเพียงแต่รักฮ่องเต้ดั่งมารดารักบุตร ท่านอย่าได้กล่าวอะไรเหลวไหล “


 


 


” เสี่ยวหลันที่น่าสงสาร พี่ชายจะกอดๆ นะ ดูสิตัวล้ำค่าของบ้านเรากลับต้องมาทนต่อความอยุติธรรมเช่นนี้ ” ตู๋กูเจวี๋ยพูดแล้วก็คว้านางเข้าไปในอ้อมแขน ลูบศีรษะให้อย่างปลอบประโลม


 


 


นับตั้งแต่กลายเป็นไทเฮา น้องเล็กก็เติบโตขึ้นมาก มิว่าจะเป็นเรื่องใดก็เก็บเอาไว้กับตัวคนเดียว


 


 


นี่เป็นเพราะพวกเขาไร้ความสามารถ ไม่อาจจัดการปัญหาคราวเรื่องปีนเตียงมังกรให้จบสิ้นไป ถึงได้ทำให้นางต้องไปลำบากอยู่ในตำหนักเย็น จนบ่มเพาะกลายเป็นนิสัยที่ยอมทนเช่นนี้ขึ้นมา


 


 


เขากอดแน่นๆ อยู่หลายครั้ง จากนั้นตู๋กูเจวี๋ยก็ตัดสินใจพุ่งเข้าไปในตำหนักตี้หัวก่อนก้าวหนึ่ง


 


 


พอเห็นสีหน้าที่โมโหโกรธาอย่างชัดเจนของเขา หลี่กงกงก็รั้งเอาไว้ไม่อยู่


 


 


ทั้งยังไม่กล้ารั้งเอาไว้ มีแต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่า คุณชายผู้นั้นสามารถอาละวาดจิกกัดเขาได้จนถึงเพียงไหน


 


 


หากเปรียบเทียบกับคุณชายใหญ่ที่ถือดาบฆ่าคนแล้ว คุณชายรองที่สามารถจิกกัดคนได้ผู้นี้ยังรับมือได้ยากกว่ามากนัก


 


 


ถ้าเผลอไปสะกิดเข้า สะบัดไม่หลุดเลยทีเดียว!


 


 


 


 


ในพระตำหนักตี้หัว เหยียนเฉียวหลัวที่ยังคงไม่ได้สติจากการถูกฮ่องเต้หักหน้า ก็เห็นตู๋กูเจวี๋ยเดินผ่านเข้ามา


 


 


เขายกมือขึ้นมาถวายคำนับจีเฉวียนครั้งหนึ่ง ” กระหม่อมตู๋กูเจวี๋ย ถวายพระพรฝ่าบาท “


 


 


ฮ่องเต้เงยพระพักตร์ขึ้นมามองหน้าเขาแว่บหนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองดูตู๋กูซิงหลันที่อยู่ด้านหลังของเขา


 


 


นางยังคงแต่งกายด้วยชุดสีดำอมเขียวเช่นเดิม ด้านนอกของกระโปรงเป็นผ้าโปร่งบางๆ ชั้นหนึ่ง เป็นแบบเดียวกับที่เหล่าคุณหนูสูงศักดิ์ทั้งหลายนิยม ไหนเลยจะดูคล้ายลักษณะของไทเฮา


 


 


ตอนที่ตู๋กูเจวี๋ยปรากฎตัวขึ้นมานั้น ดวงตาของเหยียนเฉียวหลัวก็พลันกระตุก ยิ่งพอได้เห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน มุมปากของนางก็ถึงกับเหวอออกมา


 


 


นางยกจอกน้ำชาในมือขึ้นมา ก้มศีรษะดื่มลงไปอึกหนึ่งเพื่อสงบจิตใจ


 


 


ก่อนที่นางจะมายังต้าโจวก็ทำการสืบค้นข้อมูลมาแล้วอย่างดี ตั้งแต่ก่อนที่จีเฉวียนจะขึ้นครองราชย์ ตระกูลตู๋กูนี้ก็เป็นตระกูลใหญ่ในแคว้นต้าโจว ที่ไม่อาจโยกคลอนโดยง่ายอยู่แล้ว


 


 


นางไหนเลยจะรู้ว่า คนประสาทเสียที่ได้พบกันอย่างบังเอิญผู้นี้จะเป็นคนของตระกูลตู๋กู


 


 


ไม่ต้องรอให้เรียกตัวเขาก็สามารถบุกเข้ามาในพระตำหนักของฮ่องเต้ได้ ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่าจะต้องมีฐานะไม่ต่ำต้อย


 


 


สายพระเนตรของจีเฉวียนจับจ้องอยู่บนร่างของตู๋กูซิงหลันอยู่ตลอดเวลา เห็นนางเอาแต่รักษาสีหน้าสงบนิ่ง ไม่รู้ว่าที่เขาพูดไปเมื่อครู่นางจะได้ยินบ้างหรือไม่


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยถวายบังคมแล้ว ก็ยืดตัวขึ้นตั้งตรง ” ฝ่าบาท ที่กระหม่อมมาวันนี้ นอกจากการรายงานสถานการณ์ประจำวันในเมืองหลวงแล้ว ก็มีเรื่องคิดอยากจะขอพระกรุณาสอบถาม “


 


 


จีเฉวียนมิได้รู้สึกโกรธเคืองที่เขาบุกเข้ามา ทรงวางจอกชาในพระหัตถ์ลงเบาๆ ตรัสช้าๆ ว่า “เจ้าถามมาสิ “


 


 


“มิทราบว่าในพระทัยของฝ่าบาท น้องสาวของกระหม่อมอยู่ในฐานะเช่นไร? ” ตู๋กูเจวี๋ยสอบถามอย่างตรงไปตรงมา ยามปกติเขาพูดมาก แต่คราวนี้กลับเด็ดขาดราวตัดเหล็ก


 


 


ดูเผินๆ เขาเหมือนพวกลูกแกะที่ร้องแบะๆๆ อยู่ตลอดเวลา แต่ว่าที่จริงในกระดูกก็มีความแกร่งอยู่เหมือนกัน


 


 


น้องสาวของตนเองได้รับความอยุติธรรม ย่อมไม่อาจปล่อยให้นางต้องทนรับต่อไปโดยไม่มีความกระจ่างเช่นนี้


 


 


พอฮ่องเต้ทรงได้ฟังแล้ว ก็หันสายพระเนตรไปทางตู๋กูซิงหลัน “หืม?”


 


 


“น้องสาวของกระหม่อมสูงส่งและล้ำค่า ของเพียงเป็นสิ่งที่นางปรารถนา ไม่ว่าจะเป็นอะไร ข้าที่เป็นพี่ชายจะต้องใช้ความพยายามทั้งหมดทั้งมวลนำมาให้นางให้จงได้” แม้ว่าตู๋กูเจวี๋ยจะไม่ชอบบุรุษตระกูลจี แต่พอคิดว่าเป็นความต้องการของน้องสาวแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ได้แต่ยอมรับ


 


 


พอจีเฉวียนทรงได้ฟัง สีพระพักตร์ที่เย็นชาเป็นภูเขาน้ำแข็งยามเมื่ออยู่กับเหยียนเฉียวหลัว ก็พลันเปลี่ยนเป็นหลอมละลายลง ตรัสถามว่า “ดังนั้น นางชอบอะไรเล่า?”


 


 


ประโยคนี้แม้จะถามกับตู๋กูเจวี๋ย แต่ว่าสายพระเนตรกลับตกลงบนร่างของตู๋กูซิงหลัน


 


 


พระองค์เองก็ไม่ทรงทราบว่าในพระทัยกำลังคาดหวังสิ่งใดอยู่


 


 


คาดหวังให้คนที่นางชอบ ก็คือตนเอง?


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยอ้าปากขึ้น แต่คราวนี้ยังไม่ทันได้ส่งเสียงออกมา ก็เห็นในมือของตู๋กูซิงหลันเขวี้ยงยันต์สีเหลืองออกมาแผ่นหนึ่ง ยันต์สีเหลืองแทรกซึมเข้าไปในแผ่นหลังของเขา


 


 


“อู้ อู้ อู้ ……” คำพูดที่ออกจากปากของตู๋กูเจวี๋ยทั้งหมดกลายเป็นเสียงอู้อี้ที่ฟังไม่รู้เรื่อง


 


 


เขาตาโตขึ้นมา สีหน้าตกตะลึงอย่างไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น


 


 


ต่อมาค่อยเห็นว่าน้องสาวเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างกาย


 


 


นางคลี่ยิ้มจางๆ ให้กับฮ่องเต้ “ที่เราชมชอบย่อมต้องเป็นแคว้นต้าโจวรุ่งเรือง ปวงประชาสงบสุขร่มเย็น”


 


 


“พี่รองชอบกล่าววาจามากเกิน คอยแต่จะเอาความตั้งใจของเราประกาศออกมาให้ได้จึงจะพอใจ เป็นที่น่าอับอายแทบตายแล้ว”


 


 


พูดแล้ว สายตาของนางก็หันไปกวาดมองบนร่างของเหยียนเฉียวหลัว


 


 


พอสายตาของนางมองออกไป ในสมองก็พลันปรากฎคำสามคำขึ้นมา ‘แฝดสีเหมือน’


 


 


คนหนึ่งสีดำอมเขียว อีกคนก็ดำครามเขียว แทบจะไม่มีความแตกต่างกันสักเท่าไร แถมกระโปรงชั้นนอกของทั้งสองคนก็ยังมีผ้าโปร่งชั้นหนึ่งเหมือนกันอีก


 


 


เหยียนเฉียวหลัวมองดูนาง แล้วก็ก้มศีรษะลงมองดูเสื้อผ้าของตนเอง


 


 


ในแคว้นต้าเหยียนของพวกนาง สีเขียวครามเช่นนี้แสดงถึงความสูงศักดิ์ ในภาพจิตรกรรมของแคว้นต้าเหยียนล้วนแล้วแต่เป็นมังกรเขียว ดังนั้นในแคว้นต้าเหยียนจึงมีแต่คนในราชวงค์เท่านั้นที่จะใส่สีเขียวได้


 


 


สีดำอมเขียวเช่นนี้ก็คือส่วนหนึ่งเช่นกัน


 


 


โดยปกติแล้วมีแต่ฮ่องเต้และองค์ชายองค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานจึงจะมีสิทธิ์สวมใส่


 


 


ตลอดชีวิตที่ผ่านมานางไม่เคยเจอคนที่ใส่สีเดียวกันมาก่อนเลย คิดไม่ถึงว่ามาถึงวังของต้าโจวเพียงแค่วันแรก ก็จะเจอเข้าเต็มๆ เช่นนี้แล้ว


 


 


ประเด็นที่สำคัญก็คือฝ่ายตรงข้ามที่ใส่สีเดียวกัน…..งดงามจนน่าตื่นตะลึง!


 


 


แม้แต่นางที่เป็นหญิงเหมือนกันก็ยังรู้สึกเลยว่าความงดงามเช่นนี้ออกจะล้ำเลิศเกินไป จนถึงขั้นสร้างความริษยาไปทั้งแผ่นดินแล้ว


 


 


ในเมื่อเรียกแทนตนเองเป็นเรา นางก็คงจะเป็นไทเฮาน้อยที่เล่าลือกันว่างามจนทำให้อดีตฮ่องเต้ถึงกับสิ้นไปคนนั้น?


 


 


เหยียนเฉียวหลัวหรี่เนตรจดจ้องดูนาง ยิ่งทอดพระเนตรดูก็ยิ่งรู้สึกว่าความงดงามนี้ทำเอาตนเองรู้สึกหลอนขึ้นมา


 


 


ก่อนหน้านี้นางคิดว่าคำเล่าลือล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเกินจริง วันนี้ได้เห็นด้วยตาของตาเอง ถึงได้รู้สึกว่าไม่เกินไปเลยสักนิด


 


 


ตู๋กูซิงหลันเองก็มองดูนางอยู่หลายรอบ แต่ที่ทำให้รู้สึกว่าน่าสนใจมากที่สุด ก็คือแผนที่กรุสมบัติครึ่งใบในมือของเหยียนเฉียวหลัว


 


 


นางกวาดตามองเพียงสองครั้ง ก็ถูกกลิ่นอายที่ซ่อนอยู่ในแผนที่นั้นดึงดูดเข้าไปแล้ว


 


 


“นั่นคือ?” แม้แต่วิญญาณทมิฬยังกระโดดออกมาดู มันใช้มือสั้นๆ ของตนเองนวดดวงตา “กลิ่นอายของหยกสรรพชีวิต?!”


 


 


ไม่เพียงแต่มีกลิ่นอายของหยกแต่ยังมี……พลังที่ลึกลับและแปลกประหลาดบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก


 


 


ที่จริงแผนที่แผ่นนั้นเก่าจนเป็นสีเหลืองแล้ว แต่ว่ายังสามารถมองเห็นรูขุมขนด้านบนได้ มองดูแล้ว…..เหมือนกับเป็นหนังคน


 


 


ทั้งที่เป็นเพียงแค่แผนที่ครึ่งแผ่นเท่านั้น แต่กลับกำจายไอแค้นที่เข้มข้นออกมา 

 

 


ตอนที่ 218 จะต้องเป็นโอกาสดีอันยิ่งให...

 

นี่เป็นหนังคนที่ถูกสักทั้งเป็น


 


 


เจ้าของหนังแผ่นนี้ยามที่ยังมีชีวิตอยู่คงจะได้รับความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง ถึงทำให้แม้จะตายไปนานขนาดนี้แล้วก็ยังคงมีไอแค้นหลงเหลืออยู่


 


 


เห็นนางเอาแต่จดจ้องมองแผนที่สมบัติในมือของตนเอง เหยียนเฉียวหลัวก็รีบเก็บแผนที่เข้าไปในอก


 


 


สายตาของนางสาดประกายขุ่นเคือง


 


 


ไทเฮาแห่งต้าโจว นอกจากรูปโฉมภายนอกที่ดูงดงามแล้ว ก็ไม่มีมารยาทพื้นฐานเลยสักนิด


 


 


นางไม่รู้หรืออย่างไรว่า ข้าวของของผู้อื่นไม่ควรถือวิสาสะมาชมดู?


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น นี่ก็ยังเป็นถึงกรุสมบัติล้ำค่า ที่นางจะใช้ต่อรองแลกเปลี่ยนตำแหน่งฮองเฮากับจีเฉวียนอีกต่างหาก


 


 


กริยาของนางไม่ได้ทำให้ตู๋กูซิงหลันขุ่นเคือง นางเพียงแต่เก็บสาบตากลับมาค่อยหันไปมองดูเหยียนเฉียวหลัวอีกครั้งหนึ่ง “องค์หญิงแห่งต้าเหยียน หากว่าเราเป็นเจ้า ก็จะไม่เก็บสิ่งของอัปมงคลนี้เอาไว้กับตัวหรอก”


 


 


“ของอัปมงคล?” เหยียนเฉียวหลัวหัวเราะออกมา “สิ่งนี้เป็นของล้ำค่า เกรงว่าแม้แต่ไทเฮาแห่งต้าโจวก็คงยังจะนึกไม่ถึง ท่านพูดพล่อยๆ ว่าเป็นของอัปมงคล เพราะคิดจะให้ข้านำมันออกมาถวายด้วยตนเอง?”


 


 


เกี่ยวกับเรื่องของไทเฮาแห่งต้าโจว นางเองก็ได้ยินมาบ้าง สถานะของคนผู้นี้ไม่ดีนัก งดงามจนทำให้พระบิดาของจีเฉวียนต้องสิ้นไป ตอนนี้ก็หันมาหมายตาจีเฉวียนอีก คิดว่าที่นางพูดออกมาเช่นนี้ คงเพราะคิดจะเอาหน้ากับจีเฉวียนเป็นแน่


 


 


ในวังหลัง มีวิธีการแย่งชิงความโปรดปรานอยู่มากมายนับไม่ถ้วน ตอนนี้จีเฉวียนมีนางในดวงใจแล้ว ดังนั้นต่อให้ไทเฮาน้อยผู้นี้งดงามเป็นนางเซียน เขาก็คงจะไม่เหลียวแลสักนิดอยู่ดี จึงได้แต่ใช้ฝีไม้ลายมือต่างๆ มาดึงดูดความสนใจจากจีเฉวียนเท่านั้น


 


 


แต่ว่า นางเล่นผิดคนเสียแล้ว


 


 


คนอย่างตนเหยียนเฉียวหลัว ไม่ใช่พวกหญิงโง่ๆ ที่มีอยู่เต็มวังหลัง เบื้องหลังของนางคือแคว้นต้าเหยียนทั้งแคว้น นางคือองค์หญิงแห่งต้าเหยียนที่มีทั้งความงดงามและความเฉลียวฉลาด ต่อให้เป็นไทเฮาน้อยแห่งต้าโจวนางก็ยังไม่กลัว


 


 


ตู๋กูซิงหลันก็ไม่คิดที่จะอธิบายรายละเอียดอะไรกับนาง สิ่งของเช่นนี้หากคนธรรมดาเก็บเอาไว้กับตัว ไม่ช้าก็เร็วย่อมจะต้องเกิดเรื่อง


 


 


ในเมื่อนางพูดก็พูดไปแล้ว องค์หญิงแห่งต้าเหยียนผู้นี้อยากทำอย่างไรก็ทำไปแล้วกัน


 


 


คราวนี้ตู๋กูเจวี๋ยถึงได้สังเกตเห็นเหยียนเฉียวหลัวขึ้นมาบ้าง พอกวาดตามองไปมองมาอยู่หลายรอบ ริมฝีปากคู่นั้นก็ส่งเสียงอู้ๆ อี้ๆ ออกมา


 


 


แต่น่าเสียดายที่ยันต์สาปของตู๋กูซิงหลันยังไม่เสื่อมฤทธิ์ ไม่ว่าเขาจะโยกศีรษะชักสีหน้าอย่างไรก็มีเพียงแค่เสียงอู้อี้ออกมาเท่านั้น


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยส่งเสียงอู้อี้อยู่พักหนึ่ง ค่อยหุบปากลง หันกลับไปมองดูน้องสาวด้วยสายตาคับแค้น


 


 


มีวาจาอยู่เต็มท้อง แต่กลับไม่สามารถกล่าวออกมาได้ช่างอึดอัดคับข้องสุดชีวิต


 


 


ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในลี่โจวก็ได้เห็นความเก่งกาจของนางมาแล้ว น้องสาวที่สามารถควบคุมได้กระทั่งดวงจิตของเทพผู้นี้ หากคิดจะทำให้เขาปิดปากก็นับว่าง่ายดายอย่างยิ่ง


 


 


ในเมื่อน้องสาวบอกว่าสิ่งของนั่นอัปมงคล เช่นนั้นก็ต้องอัปมงคลอย่างแน่นอน


 


 


ช่างเถอะ ถึงอย่างไรเสียองค์หญิงแห่งต้าเหยียนผู้นั้นก็เป็นบุคคลอันตราย ในเมื่อนางคิดอยากจะหาเรื่องตาย เช่นนั้นก็อย่าไปห้ามเลย


 


 


ฮ่องเต้ยังทรงประทับอยู่ที่เดิมดวงเนตรหงส์คู่นั้นยังคงจับจ้องไปยังตู๋กูซิงหลัน


 


 


เรื่องที่เมืองลี่โจว เขายังไม่ได้ซักไซร้ถามไถ่นางเลยสักคำ


 


 


แต่ไม่ต้องถามก็ทราบได้เลยว่า นางจะต้องลากอู๋เจินออกมาเป็นเกราะกำบังแน่นอน ดังนั้นหลายวันมานี้ เขาจึงเพียงแต่จับตาดูอย่างเงียบๆ เท่านั้น


 


 


ยามนี้สายพระเนตรหงส์คู่นั้นคล้ายจะสามารถมองดูนางจนทะลุปรุโปร่ง


 


 


ตู๋กูซิงหลันจึงรีบหาเรื่องมาลดทอนความสนใจในสายตาของเขา


 


 


“พี่รองพอตื่นเต้นขึ้นมาก็จะร้องอู้ๆ อี้ๆ ออกมาบ่อยๆ เราจะพาตัวเขาไปตรวจที่สำนักแพทย์หลวง ทูลลาแล้ว”


 


 


พูดจบ นางก็ลากแขนเสื้อของพี่รองออกไปจากพระตำหนักตี้หัว


 


 


กระทั่งเดินออกมาจนไกลแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็ยังรู้สึกว่าแผ่นหลังเย็นวาบ ช่วงนี้ยิ่งทีนางยิ่งรู้สึกว่าไม่อยากจะไปเจอหน้ากับจีเฉวียนแล้ว นางรู้สึกว่าจิ้งจอกเฒ่าผู้นี้มองอะไรออก


 


 


แต่ว่าเขากลับไม่ได้พูดอะไรออกมา เอาแต่จ้องมองนางโดยไม่พูดจา ไม่รู้ว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่ในใจ


 


 


ในพระตำหนักตี้หัว เหยียนเฉียวหลัวไม่ปล่อยให้ความเคลื่อนไหวของจีเฉวียนคลาดสายตาไปเลยแม้แต่น้อย แม้แต่แววตาของเขาก็ตาม


 


 


ไม่รู้ว่านางจะรู้สึกเข้าใจผิดไปหรือไม่ ถึงได้รู้สึกว่าสายตาของเขายามมองดูไทเฮาน้อยนั้น ไม่ธรรมดา


 


 


ราวกับเป็นพญาเหยี่ยวในยามราตรีที่รอจังหวะจะคว้าเหยื่อเข้ามาในกรงเล็บอย่างไรอย่างนั้น


 


 


ทั้งยังดูราวกับหมาป่าตัวหนึ่ง ที่กำลังเฝ้ามองลูกแกะรสล้ำเลิศ


 


 


จีเฉวียนกับไทเฮาน้อย ตกลงแล้ว?


 


 


…………….


 


 


ยามดึกครึ่งคืนหลัง ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าใบหน้าของนางคันยุบยิบ พอลืมตาขึ้นมามองดู ก็เห็นเจ้าไก่ดำขนฟูตัวโตเกือบเท่านกกระจอกเทศมากระพือปีกอยู่ข้างกายนาง


 


 


หงอนไก่สีแดงบนหัวของมันเริ่มก่อตัวเป็นรูปร่างกว่าเดิม ดวงตาของมันเป็นประกายเจิดจ้า เมื่อจับจ้องมองผู้คนยังดูบาดตายิ่งกว่าแสงเอ็กซเรย์เสียอีก


 


 


ตู๋กูซิงหลันลุกขึ้นมานั่ง เห็นเจ้าไก่ขนฟูขยับปีกครั้งหนึ่งก็โยนแผนที่หนังคนครึ่งใบมาทางนาง


 


 


แล้วก็หันมาส่งเสียงร้องอย่างอ่อนหวานกับนางครั้งหนึ่ง “กะ กะ กะต๊าก~”


 


 


พี่สาวตัวน้อย พวกเราไปตามหาสมบัติกันเถอะ


 


 


ว่าแล้วมันก็กระพือปีกอีก พลางใช้ปลายขนเส้นที่ยาวที่สุดทำเป็นวงวนรอบแผนที่อยู่ไปมา


 


 


แล้วก็หันมาส่งเสียงกับนางอีกครั้ง “กะ กะกะต้าก ~”


 


 


ที่นี่แหละใช่เลย จะต้องมีโอกาสดีอันยิ่งใหญ่อยู่แน่นอน!


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองดูแผนที่หนังคนแผ่นนั้น สายตาของนางหยุดลงตรงจุดที่เจ้าติ๊งต๊องใช้ปีกวาดเป็นวงกลม บนมุมหนึ่งของแผนที่กรุสมบัติหนังคนที่มีอยู่เพียงครึ่งเดียว


 


 


นั่นคือภูเขาลูกหนึ่ง บนยอดเขามีทะเลสาบหนึ่งแห่ง


 


 


แผนที่สมบัติขาดหาย ดังนั้นภูเขาจึงมีอยู่เพียงครึ่งลูก ทะเลสาบก็มีเพียงครึ่งเดียว


 


 


ดูจากฮวงจุ้ยแล้ว สถานที่เช่นนี้เรียกว่าสระสวรรค์ โดยมากเป็นแหล่งสะสมชีพจรมังกร ถือเป็นฮวงจุ้ยชั้นเลิศ


 


 


“กะ กะ กะต๊าก!” เจ้าไก่ขนฟูกระพือปีกใส่นางอีกครั้ง ดวงตาของมันทอประกาย


 


 


นับตั้งแต่ที่ครั้งก่อนได้ต่อสู้กับงูยักษ์ในลี่โจว มันรู้แล้วว่าตนเองมีฝีมือยอดเยี่ยมเพียงไร


 


 


หากว่าครั้งนี้ได้ไปที่นี่อีก ไม่แน่ว่าอาจจะได้เจอเข้ากับมังกรสักตัวก็ได้นะ?


 


 


กินงูยักษ์เข้าไปยังทำให้มันเปลี่ยนแปลงไปมากมายขนาดนี้ หากว่าได้กินเนื้อมังกรสักหลายคำ มิใช่ว่ามันอาจจะลอยขึ้นฟ้าไปได้เลยหรือ!


 


 


แผนที่สมบัติครึ่งเดียวแผ่นนี้ มีกลิ่นอายอาฆาตแค้นอย่างเข้มข้น ทั้งยังมีกลิ่นอายของหยกสรรพชีวิตอยู่อีกด้วย นี่จะต้องเป็นของที่อยู่ในมือขององค์หญิงแห่งต้าเหยียนผู้นั้นเป็นแน่ ไม่รู้ว่าถูกเจ้าติ๊งต๊องไปฉกมาได้อย่างไร


 


 


นับตั้งแต่ที่มันสามารถเปล่งแสงสีทองได้ เจ้าติ๊งต๊องก็เพิ่มพูนความสามารถขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือไปมาอย่างไร้ร่องรอย


 


 


ช่วงนี้มันมักจะหอบหิ้วอะไรมากมายหลายอย่างมาให้นาง หนึ่งในนั้นก็ยังมีรัดเกล้าของจีเฉวียนอยู่ด้วย


 


 


ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพวกอัญมณีล้ำค่าทั้งนั้น!


 


 


ดูเหมือนว่ามันค่อนข้างจะเพ่งเล็งไปที่ข้าวของของจีเฉวียน ทุกครั้งเป็นต้องเลือกเอาชิ้นที่แพงที่สุดกลับมาโยนทิ้งไว้ในตำหนักเฟิ่งหมิง


 


 


ตอนแรกๆ นางก็ยังกังวลอยู่บ้าง แต่ว่าทางตำหนักตี้หัวกลับไม่ได้มีความเคลื่อนไหวใดๆ ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ไม่มีข่าวคราวว่ามีหัวขโมยออกมาเลยสักนิดเดียว


 


 


คาดว่าคงเป็นเพราะจีเฉวียนทรงต้องการรักษาชื่อเสียงของตำหนักตี้หัวถึงได้ปิดเรื่องนี้เอาไว้


 


 


เงินที่พี่ใหญ่ทิ้งเอาไว้ให้ก็เหลืออยู่ไม่มากแล้ว ตู๋กูซิงหลันกำลังจนจริงๆ!


 


 


เดิมทีนางยังคิดจะแกะพวกอัญมณีออกมาและแอบเอาไปขายข้างนอก แต่ว่ามีอยู่คืนหนึ่งกลับพบว่ามีเงาคนหลายเงาเหาะจากตำหนักของนางออกไป ตู๋กูซิงหลันจึงต้องระงับความตั้งใจที่จะออกไปเคลื่อนไหวของตนเองเอาไว้ก่อน


 


 


จีเฉวียนวางเหล่าองครักษ์ลับไว้ที่ข้างตัวนาง ไม่ใช่เพียงแค่คนเดียว


 


 


เกรงว่าวันๆ นางตดกี่ครั้ง เรอเสียงดังไปกี่หน ทางตำหนักตี้หัวก็คงจะทราบอย่างชัดเจน


 


 


สุดท้ายนางจึงได้แต่ยอมรับ เอารัดเกล้าของจีเฉวียนเหล่านั้นไปคืนแต่โดยดี


 


 


หลังจากคืนไปคืนมาอยู่หลายรอบ เจ้าติ๊งต๊องก็ชักจะเข้าใจเจตนาของนางขึ้นมา จึงไม่ไปขโมยของของจีเฉวียนอีก คิดไม่ถึงว่ามันกลับย้ายความสนอกสนใจมาไว้ที่นี่


 


 


ตู๋กูซิงหลันหยิบแผนที่สมบัติครึ่งใบขึ้นมา ขณะที่กำลังลังเลใจไปมาอยู่นั้น


 


 


วิญญาณทมิฬก็โผล่ออกมาชี้นำท่ามกลางความสับสนของนางในทันที “ย่อมต้องไป บนนี้มีกลิ่นอายของหยกสรรพชีวิต หากว่าเจ้าอยากจะกลับไปโลกปัจจุบัน ย่อมต้องอาศัยขุมกำลังของหยก หรือว่าเจ้าไม่คิดจะกลับไปแล้ว?” 

 

 


ตอนที่ 219 พวกหมูคิดจะกินเสือ! หมาไนใ...

 

หรือว่าเจ้าไม่คิดจะกลับไปแล้ว? 


 


 


เพียงแค่ประโยคนั้นประโยคเดียว ก็เหมือนกับว่าตู๋กูซิงหลันถูกแทงเข้าไปดาบหนึ่ง 


 


 


นางหยิบแผนสมบัติที่มีอยู่ครึ่งแผ่นนั้นขึ้นมา ตกตะลึงจนใจลอย ในสมองมีแต่ประโยคสุดท้ายของวิญญาณทมิฬ 


 


 


โลกปัจจุบันจึงจะเป็นบ้านของนาง ไยนางจึงไม่คิดที่จะกลับไปเล่า? 


 


 


เพียงแต่ว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาก็ชักจะคุ้นเคยกับฐานะของไทเฮาน้อยขึ้นมาแล้ว รู้สึกว่าคนในบ้านของนางก็คือครอบครัวของตนเองขึ้นมาจริงๆ จนถึงกลับมีช่วงหนึ่งที่ไม่คิดจะกลับไปโลกปัจจุบันนั้นแล้ว 


 


 


นางไม่ทันได้รู้สึกตัวเลย ตอนแรกๆ ยังมีหลายสิ่งที่ทำให้ไม่คุ้นเคยกับฐานะของไทเฮาอยู่บ้าง แต่ว่าตอนนี้กลับแยกไม่ขาดไปเสียแล้ว 


 


 


ในโลกมิตินี้ นางก็คือตู๋กูซิงหลัน ไทเฮาแห่งต้าโจว 


 


 


“ข้าจะเตือนเจ้าประโยคหนึ่งนะ เจ้าเป็นลูกศิษย์สุดรักสุดหวงของชื่อม่อ ข้าคาดเดาว่าพอเจ้าหายไป ชื่อม่อที่อยู่ในโลกปัจจุบันคงคุ้มคลั่งไปแล้ว เจ้ามันคนไร้น้ำใจ อย่าได้พอพบเห็นหนุ่มหน้าสวย ก็ลืมเลือนตาแก่ผู้นั้นไปเสียล่ะ” วิญญาณทมิฬแคะจมูกไปพลางก็กล่าวพลางย้อนคิดถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นขึ้นมาด้วย 


 


 


“เจ้ามันเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้งตั้งแต่เด็ก เป็นชื่อม่อที่เก็บเจ้ากลับบ้าน ให้ความรักเลี้ยงดูดั่งดวงใจ เจ้าจึงได้เป็นปรมจารย์นักพรตที่ทั้งเยาว์วัยและเจ๋งที่สุดในสำนักหุบเขาภูติ  


 


 


ตู๋กูซิงหลันลูบใบหน้ากลมๆ ของมันเบาๆ ไม่รู้ว่ามันไปโดนโรคติดต่อมาจากพี่รองหรืออย่างไร ถึงได้พอกล่าวก็เป็นพูดจาพร่ำเพื่อขึ้นมา 


 


 


เห็นนางเป็นคนลืมบุญคุณอาจารย์ไปได้อย่างไร? 


 


 


ก่อนหน้านี้ต้องคอยวางแผนเพื่อรักษาชีวิตอยู่ตลอดไม่เห็นหรือ? 


 


 


อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีหนทางจะรักษาชีวิตให้ได้เสียก่อน ถึงจะไปตามหาเศษหยกสรรพชีวิตชิ้นอื่นๆ ได้เถอะ 


 


 


นี่ก็นับว่าประหลาดอยู่เหมือนกัน ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นมันให้ความสนอกสนใจท่านอาจารย์เลยสักนิด ทำไมพอตอนนี้ถึงได้เอาแต่คอยมากระซิบเรื่องอาจารย์กับนางไม่มีหยุด? 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความคิดถึงอาจารย์ของตนเอง…. 


 


 


เอาเถอะ นางทิ้งเขาไม่ลงจริงๆ 


 


 


คราวนี้นางจึงกวาดตาลงไปมองดูแผนที่กรุสมบัติอีกหลายรอบ จดจำรายละเอียดทุกอย่างบนนั้นลงไปในสมอง 


 


 


ที่จริงช่วงนี้ก็นับว่าไม่มีปัญหาติดขัดอะไรอีกแล้ว ในเมื่อสนมซูคนงามตั้งครรภ์ ช่วงนี้จีเฉวียนก็สมควรจะหันเหความสนอกสนใจทั้งหมดไปยังซูเม่ย ในเมื่อจัดส่งองครักษ์ลับมาจับตาดูนางเอาไว้แล้ว ตัวเขาเองก็คงจะไม่ค่อยได้สนใจนางสักเท่าไหร่ 


 


 


ครั้งก่อนที่ไปลี่โจว นางสั่งให้เชียนเชียนแต่งตัวเป็นนางแล้วหมกตัวอยู่แต่ในตำหนักเฟิ่งหมิง แต่การจะไปตามหาสมบัติครั้งนี้เกรงว่าจะต้องใช้เวลามากกว่าคราวที่ไปลี่โจวเสียอีก 


 


 


แค่รอบแรกก็ทำเอาเชียนเชียนตกอกตกใจแทบตายแล้ว หากจะให้มีอีกรอบที่สองเกรงว่าถึงตายนางก็คงไม่ยอมปลอมเป็นตนเองอีกแน่ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดไปมา ก็กะว่าจะไปขอให้หยวนเฟยน้อยช่วยเหลือ 


 


 


หาข้ออ้างประมาณว่าซูหวงกุ้ยเฟยตั้งครรภ์แล้ว ไทเฮาทรงปลาบปลื้มพระทัยอย่างยิ่ง จึงมีพระดำริจะเสด็จไปยังอารามเทียนเก๋อกวนเพื่อขอพรแทนนางกับโอรสในครรภ์ โดยจะเสด็จไปทรงถือศีลกินเจที่อารามเทียนเก๋อกวนสักระยะหนึ่งเพื่อสวดมนต์ให้องค์ชายใหญ่ประสูติออกมาอย่างปลอดภัยและแข็งแรง 


 


 


หยวนเฟยมีไหวพริบยอดเยี่ยม หากมีนางอยู่ข้างกายเชียนเชียนก็คงหมดเรื่องไปกว่าครึ่ง 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น ที่อารามเทียนเก๋อกวนยังมีคนคุ้นเคยของนางอย่างอู๋เจินน้อย สามคนนี้พอร่วมมือกันช่วยนางปิดบังความจริงสักระยะหนึ่ง ย่อมสำเร็จได้อย่างง่ายดาย 


 


 


พอตัดสินใจเสร็จเรียบร้อย ตู๋กูซิงหลันก็เก็บแผนที่สมบัติลงไป นางกะจะเล็ดลอดเข้าไปในที่ประทับขององค์หญิงแห่งต้าเหยียนแอบเอาสิ่งของกลับไปคืนอย่างลับๆ เสียก่อน ค่อยไปหาหยวนเฟยน้อย 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวประทับอยู่ที่ตำหนักหยู่เฉียนกง ตำหนักที่ฉีผินและเหลียงไฉหรินเคยอยู่เมื่อก่อนหน้านี้ 


 


 


ยามที่ตู๋กูซิงหลันไปที่นั่นอีกครั้ง ในสมองของนางก็เต็มไปด้วยภาพที่ตนเองหล่นลงมาจากบนหลังคา แล้วเหยียบลงไปบนร่างเหลียนไฉเหรินจนนางมีแต่อึทะลักออกมา 


 


 


พอคิดย้อนกลับไปก็รู้สึกราวกับว่าเป็นเหตุการณ์เพียงไม่กี่วันก่อนนี้เอง 


 


 


นางยังจดจำสีพระพักตร์ที่น่าชิงชังของเจ้าฮ่องเต้ลูกชายได้เป็นอย่างดี สายพระเนตรที่ราวกับป่าน้ำแข็งนั้นดูคล้ายว่าสามารถสังหารผู้คนได้เลยทีเดียว 


 


 


จะว่าไป ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้พบกับเสี่ยวลี่มาช่วงหนึ่งแล้ว นับตั้งแต่ที่ตนเองกลับเข้าวังมาก็ยังไม่ได้พบกับนางเลย 


 


 


ตู๋กูซิงหลันคิดย้อนกลับไปอยู่ครู่หนึ่งก็ค่อยดึงแผนที่ครึ่งใบนั้นออกมา 


 


 


พอพึ่งจะหยิบออกมาเท่านั้น ก็ได้ยินซุ่มเสียงของสตรีร้องออกมาด้วยความขุ่นเคือง 


 


 


“แผนที่สมบัติของข้าล่ะ? ใครกันบังอาจมาขโมย?!” น้ำเสียงของเหยียนเฉียวหลัวดังก้องกังวาน ทำเอาคนทั่วทั้งตำหนักหยู่เฉียนกงถูกนางปลุกขึ้นมา 


 


 


ที่จริงตอนนี้เป็นยามดึกสงัด แต่ไฟในตำหนักหยู่เฉียนกงกลับสว่างพรึ่บขึ้นมาอย่างรวดเร็ว 


 


 


ตู๋กูซิงหลันคุกเข่าอยู่บนหลังคา แอบมองลงมา ก็เห็นเหยียนเฉียวหลัวถือขนไก่สีดำเส้นหนึ่งเอาไว้ในมือ “นี่เป็นสิ่งที่หัวขโมยผู้นั่นทิ้งเอาไว้ จงออกไปตามหาให้ข้า สมบัติของเราผู้เป็นถึงองค์หญิงแห่งต้าเหยียนสูญหายไปในวังหลวงแห่งต้าโจวเช่นนี้จะใช้ได้อย่างไรกัน?” 


 


 


น้ำเสียงของนางพึ่งจะขาดหาย ซิวที่ติดตามนางมาด้วยกันก็รับขนไก่เส้นนั้นไป แล้วออกตามหาในทันที 


 


 


นางกำนัลคนอื่นๆ ก็มีสีหน้าร้อนรุ่มขึ้นมา 


 


 


องค์หญิงแห่งต้าเหยียนผู้นี้มิใช่เจ้านายที่สามารถจะขัดใจนางได้ ใครจะไปรู้ว่าอยู่ดีๆ แผนที่สมบัติแผ่นนั้นก็จะมาหายไป? 


 


 


ตู๋กูซิงหลันขมวดหัวคิ้วเบาๆ เจ้าไก่ขนฟูตัวนั้นถึงแม้จะชื่อว่าติ๊งต๊อง แต่ว่ามันก็ไม่ได้ติ๊งต๊องไปจริงๆ 


 


 


มันขโมยรัดเกล้าของจีเฉวียนมาตั้งมากมายหลายครั้ง แต่ไม่เคยทิ้งร่องรอยหรือหลักฐานเอาไว้ 


 


 


ยามนี้พอขโมยแผนที่สมบัติของเหยียนเฉียวหลัวออกมา ก็ถึงกับทิ้งขนเอาไว้ทั้งเส้น? 


 


 


ตู๋กูซิงหลันรู้สึกถึงบางสิ่งที่กำลัง….. 


 


 


นางงัดแผ่นกระเบื้องหลังคาออกมาแผ่นหนึ่ง คิดจะนำแผนที่สมบัติแผ่นส่งกลับไป แต่พอขยับตัว ก็เห็นแส้เส้นหนึ่งฟาดมาถึง 


 


 


แส้เส้นนั้นแหวกอากาศออกมา พุ่งเข้าใส่นางในทันที 


 


 


ตู๋กูซิงหลันขยับตัววูบหนึ่ง หันหน้ากลับไปดู ก็เห็นคนใส่ผ้าคลุมที่ตนคุ้นเคยผู้นั้น 


 


 


ในมือของเขามีแส้เหล็กที่แหลมคม พอพบเห็นตู๋กูซิงหลันก็แสยะยิ้มเย็นออกมา กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบต่ำว่า “ในที่สุดก็เสาะหาเจ้าพบแล้ว” 


 


 


ตู๋กููซิงหลันไม่ได้หันไปกล่าวอะไรกับเขา นางรีบหลบออกจากตำหนักหยู่เฉียนกง ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ไม่สมควรจะไปกระตุ้นให้เหลียนเฉียวหลัวเกิดความสนอกสนใจขึ้นมา 


 


 


แต่น่าเสียดายที่เรื่องราวไม่เป็นไปดังวาดหวัง ซิว องครักษ์ที่อยู่ข้างกายของเหยียนเฉียวหลัวติดตามมาอย่างรวดเร็ว 


 


 


เขาไล่ตามคนชุดดำในผ้าคลุมหน้าออกมาหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง ด้วยความเร็วประหนึ่งสายฟ้าฟาดในยามราตรี ดูแล้วอีกเพียงไม่กี่อึดใจก็คงสามารถไล่ตามมาถึงเบื้องหน้าของนางได้แล้ว 


 


 


ตู๋กูซิงหลันหรี่ตาลง ในมือเพิ่มยันต์ขึ้นมาใบหนึ่ง ทันใดนั้นก็เจ็บหน้าอกขึ้นมา 


 


 


ราวกับว่ามีอะไรกัดลงไปในหัวใจของนาง 


 


 


นางหันมาเหลือบตาลงมองดูครั้งหนึ่งก็เห็นว่าที่แท้แล้วรูปภาพบนแผนที่กรุสมบัติครึ่งใบนั้นได้กลายเป็นใบหน้าที่ซีดขาวของคนผู้หนึ่ง 


 


 


ใบหน้านั้นมองดูนางทั้งยังแสยะยิ้มให้อย่างชั่วร้าย มัน อ้าปากกว้างกัดลงตรงที่หัวใจของนาง 


 


 


กัดลงไปคำหนึ่ง ก็จมลึกลงไปในผิวเนื้อ 


 


 


ราวกับว่าจะฉีกผิวหนังของนางออกมาจากร่างทั้งเป็น พอกัดหลายครั้งเข้าบนอกของตู๋กูซิงหลันก็เต็มไปด้วยเลือด 


 


 


ไอแค้นบนร่างของมันแทกซึมเข้าสู่หัวใจของนาง กลายเป็นดาบเล็กๆ นับพันนับหมื่นเล่มที่พยายามจะเฉือนเอาตราประทับของหยกที่ผนึกอยู่บนดวงจิตของนางออกมา 


 


 


วิญญาณทมิฬพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เจ้าถวนจื่อตัวดำกลายร่างเป็นสุนัขป่าสีดำตัวน้อยขนาดเพียงฝ่ามือ คมเขี้ยวที่แหลมคมกัดเข้าใส่หนังคนแผ่นนั้นในทันควัน 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเจ็บปวดจนแทบไม่ไหว สีหน้าซีดเผือกไปในทันที ในมือของนางยังคงถือยันต์แผ่นนั้นเอาไว้ในมือ พอคนทั้งสองไล่ตามมากระชั้นเข้าก็เขวี้ยงออกไป 


 


 


แม่เอ๋ย! ไอ้พวกหมูคิดจะกินเสือ! หมาไนในพุ่มหญ้า! 


 


 


ลวงนางไม่สำเร็จก็หันไปหลอกล่อไก่ของนางแทน ไอ้พวกไร้ยางอาย! 


 


 


ตู๋กูซิงหลันปาดเช็ดเลือดที่มุมปาก นัยตาสาดประกายเย็นยะเยือกออกมา 


 


 


 


 


 


——


 


 


คุยกันนิดนึง: อาหลันติดกับเสียแล้ว งานนี้ลำบากแน่นอนค่ะ 

 

 


ตอนที่ 220 สาวน้อยใต้แสงจันทรา

 

นับตั้งแต่ที่คนชุดคลุมหน้าผู้นั้นปรากฎตัวขึ้นมา นางก็รู้แล้วว่าตนเองติดกับ


 


 


ที่เจ้าติ๊งต๊องไปขโมยแผนที่สมบัติมาได้ ดูท่าคงจะเป็นเพราะถูกคนวางแผนไว้


 


 


หรืออาจบอกว่า มีคนตั้งใจชักนำมันไปขโมย


 


 


และเพราะก่อนหน้านี้เจ้าติ๊งต๊องไปก่อเรื่องที่พระตำหนักตี้หัวสำเร็จไปหลายครั้ง ดังนั้นนางจึงละเลยเรื่องเหล่านี้ไป


 


 


ติ๊งต๊องจะอย่างไรก็เป็นเพียงแค่ไก่ตัวหนึ่ง สมองหรือก็มีแค่นั้น ไหนเลยจะสู้กับคนที่เจ้าเล่ห์เจ้ากลได้กัน ดูท่าต่อให้ถูกเอาตัวไปขายก็ยังช่วยเขานับเงินด้วยซ้ำ


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่โทษว่ามัน เพียงโทษตัวเองที่ประมาทผู้อื่นเกินไป


 


 


เพราะใจคิดแต่ว่าไม่อยากจะให้เป็นเรื่องใหญ่ จึงกะจะนำแผนที่มาคืนอย่างเงียบๆ คิดไม่ถึงว่าคนอื่นวางแผนขุดหลุมรอนางเอาไว้อยู่แล้ว


 


 


แม้กระทั่งแผนที่แผ่นนี้ก็ยังมีกับดัก


 


 


คำสาปอาฆาต


 


 


สิ่งของที่แต่เดิมก็มีความอาฆาตแค้นฝังลึกอยู่แล้วเช่นนี้ เมื่อผนึกคำสาปอาฆาตลงไปยิ่งเสริมความรุนแรงขึ้นอีกเป็นพันเท่า จนทำให้มันกลายเป็นอสุรกายขึ้นมา พอถูกนำมาใช้โจมตีในระยะประชิดเช่นนี้ ก็สามารถผลักนางลงหลุมมรณะได้เลยทีเดียว!


 


 


หัวใจของนางเจ็บปวดจนด้านชาที่ร้ายกาจที่สุดก็คือถูกฉีกกระชากตราประทับศักดิ์สิทธิ์บนดวงจิตของนางออกมา ความเจ็บปวดนี้ไม่ต่างอะไรกับถูกถลกหนัง


 


 


คิดจะเอาสิ่งของของเจ้ ก็ต้องดูว่าพวกเจ้ามีปัญญาหรือไม่!


 


 


คนอย่างตู๋กูซิงหลันนั้นไม่ธรรมดา นางทั้งอึดและทน โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับความตายตรงหน้า นางก็จะสู้ชนิดที่ต่อให้ปลาตายแหขาด ก็ไม่ขอนั่งรอความตายอยู่กับที่ ให้ฝ่ายตรงข้ามมาตัดศีรษะไปง่ายๆ อย่างเด็ดขาด


 


 


 


 


แต่แผนการหมูกินเสือเช่นนี้ ก็สามารถผลักนางไปจนถึงเส้นตายได้จริงๆ ตู๋กูซิงหลันได้แต่ต้องทุ่มเทพลังทั้งหมดออกมา นางเพิ่มกริชในมือ กรีดลงไปบนฝ่ามือในทันที โลหิตสดไหลทะลักออกมา


 


 


มืออีกข้างกวาดวาดยันต์โลหิต ริมฝีปากก็ร่ายคาถา ปลุกพลังของหยกที่ถูกฉีกออกขึ้นมา นางถ่ายเทพลังทั้งหมดลงไปในยันต์โลหิตของตนเอง


 


 


ท่ามกลางราตรีที่มืดมิด ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจมองเห็นรูปลักษณ์ของนางได้อย่างชัดเจน เห็นเพียงเส้นผมของนางปลิวกระจาย ร่างในชุดสีดำลอยคว้างอยู่ในอากาศ


 


 


 


 


พลังของหยกสรรพชีวิตและโลหิตของนางก่อกำเนิดเป็นยันต์โลหิต กลายเป็นยันต์ทำลายล้างที่จะระเบิดศัตรูให้กลายเป็นผุยผง!


 


 


วิญญาณทมิฬไม่ได้ห้ามปรามนาง ตอนนี้มันได้แต่ทุมเทพลังไปสกัดใบหน้าหนังมนุษย์ที่กัดอยู่บนหัวใจของตู๋กูซิงหลัน


 


 


หนังมนุษย์ชิ้นนี้มีแรงพยาบาทรุนแรง เมื่อได้รับคำสาปพยาบาทก็ยิ่งกระตุ้นแรงอาฆาตไปอีกร้อยพันเท่า ถือเป็นคู่มือที่เผ็ดร้อนของมัน


 


 


ดูท่าฝ่ายตรงข้ามมิได้ประมาท ถึงกับใช้เลือดเนื้อมาสร้าง มิว่าอย่างไรก็ต้องคว้านเอาหยกสรรพชีวิตในกายของตู๋กูซิงหลันออกมาให้ได้


 


 


จากนั้น……ก็เอาชีวิตนางไปด้วย!


 


 


ช่างชั่วร้ายนัก!


 


 


ทันทีที่ยันต์โลหิตของตู๋กูซิงหลันสำแดงฤทธิ์ออกไป ท้องฟ้าทั่วตำหนักหยู่เฉียนกงก็กลายเป็นสีแดงดุจเลือด


 


 


คืนนี้เดิมทีเป็นข้างขึ้นสิบห้าค่ำ ตอนแรกยังมีหมู่เมฆบดบังแสงจันทร์อยู่ แต่ทันทีที่ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดง เมฆทั้งหลายก็ยังกระจายหายไป


 


 


เหลือเพียงดวงจันทร์กลางฟ้าที่ถูกย้อมจนกลายเป็นสีแดงฉานเท่านั้น


 


 


ที่เบื้องหน้าของดวงจันทร์ มีสาวน้อยนางหนึ่งที่มีหมอกโลหิตกำจายอยู่รอบตัว เส้นผมยาวของนางปลิวไสว ทั่วทั้งร่างเปล่งประกายด้วยแสงสีแดงดุจเลือด


 


 


เงาหลังของนางคล้ายปรากฎเป็นร่างจำแลงสีแดงดำโอบล้อมตัวนางเอาไว้ และจดจ้องลงมายังศัตรูอย่างโหดเ**้ยม


 


 


พวกเขาไม่อาจมองเห็นใบหน้าของนางได้อย่างชัดเจน เห็นเพียงเงาคนอันเลือนลางที่อยู่ในหมอกทึบเท่านั้น!


 


 


ภายใต้ดวงจันทราสีเลือด นางดูประหนึ่งเป็นนางมารที่ก้าวออกมาจากโลกปีศาจ


 


 


ดูลึกลับและน่ากลัวจนต้องหวาดผวา


 


 


บรรยากาศรอบด้านตกอยู่ในห้วงลี้ลับ ผู้คนทั้งหลายราวกับโดนมนต์สะกด ไม่มีใครกล้าขยับหรือส่งเสียงร้อง ได้แต่เฝ้ามองอย่างแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น ราวกับกำลังชมดูจิตรกรรมอันล้ำเลิศในพิภพ


 


 


คนชุดดำใต้ผ้าคลุมเองก็ตกตะลึงไป ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นศพมีชีวิต แต่เมื่อต้องเผชิญกับพลังของยันต์โลหิตที่สร้างขึ้นจากพลังของหยกสรรพชีวิต เขาเองก็ยังหวาดกลัวขึ้นมา


 


 


ในมือของเขากำแส้เอาไว้ ได้แต่แอบถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างเงียบๆ


 


 


ตั้งแต่ก่อนที่จะไปเมืองลี่โจว เขาก็ร่วมมือกับอันหร่วนสืบหาฐานะของสาวน้อยผู้นี้อย่างเงียบๆ มาตลอด รวมถึงเรื่องที่ในวังนี้มีกลิ่นอายของหยกสรรพชีวิตด้วย


 


 


สืบหาอย่างละเอียดละอออยู่หลายรอบ ในที่สุดก็เป็นจริงดังคาด นางไม่เพียงแต่เป็นสาวน้อยที่คลุมหน้านางนั้น ทั้งยังมีหยกสรรพชีวิตอยู่ในร่าง


 


 


ตอนที่องค์หญิงแห่งต้าเหยียนมาที่นี่ด้วยเรื่องของแผนที่กรุสมบัติ พวกเขาจึงได้คิดแผนนี้ออกมา


 


 


ตอนแรกก็ล่อลวงเจ้าไก่โง่ๆ นั่นไปขโมยข้าวของของฮ่องเต้ พอฮ่องเต้มิได้ทรงเอาความ ไทเฮาน้อยก็ลดความระแวดระวังลง


 


 


ดังนั้นเมื่อเจ้าไก่ดำขนฟูนั่นไปขโมยแผนที่สมบัติ ไทเฮาน้อยจึงตกหลุมพรางอย่างง่ายดาย


 


 


พวกเขาวางเบ็ดเอาไว้ รอให้นางมาติดกับได้สำเร็จ


 


 


ถึงอย่างไรนางก็อายุยังน้อย ทั้งวันทั้งคืนมัวแต่ระแวดระวังฮ่องเต้ ทั้งยังต้องป้องกันว่าจะมีคนลอบลงมือจัดการนาง สมาธิและพลังย่อมมีอย่างจำกัด


 


 


หากมิใช่ว่าพวกเขาวางแผนการเอาไว้เช่นนี้ ปลาใหญ่อย่างนางจะมาติดเบ็ดง่ายๆ ได้อย่างไร?


 


 


เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า ไทเฮาน้อยผู้นี้จะเคี้ยวยากถึงเพียงนี้


 


 


มาจนถึงขั้นนี้แล้ว ก็ยังไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว


 


 


ทำให้เขาย้อนคิดไปถึงยามก่อนหน้านางคิดจะ’ แยกร่างถอดดวงจิต’ ออกมาจัดการกับเขา


 


 


คนทั่วไปคงไม่อาจเชื่อว่าไทเฮาน้อยที่ยามปกติอ่อนแอบอบบาง ที่จริงแล้วร้ายกาจจนน่าตระหนกเช่นนี้


 


 


ทันใดนั้นดวงตาทั้งคู่ของตู๋กูซิงหลันก็สาดหมอกสีแดงออกมา ดวงหน้าที่งดงามกลายเป็นเยือกเย็นประหนึ่งจอมมารจากขุมนรก นางยกข้อมือขึ้นมา กระดิกนิ้วเรียวยาวเพียงเบาๆ ก็เห็นยันต์โลหิตสีแดงที่อยู่ตรงหน้าแผ่พลังกดดันลงมา


 


 


“ตูม บรึม บรึม!” ผู้คนทั้งหมดได้ยินเสียงฟ้าผ่าสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นจากดวงจันทราสีเลือดฟาดเปรี้ยงลงมา


 


 


ตำหนักหยู่เฉียนกงก็สั่นสะเทือนไปทั้งหลังในทันที


 


 


เศษกระเบื้องปลิวกระจายว่อน ร่วงหล่นลงบนพื้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กำแพงตำหนักแตกกราวลงมาแรงกดมหาศาลบดขยี้ลงไปราวกับจะบี้ตำหนักหยู่เฉียนกงทั้งหลังให้แหลกลาญ


 


 


สาวน้อยผู้อยู่ใต้เงาจันทราผู้นั้น ดูราวกับจอมมาร!


 


 


พอนางยกมือขึ้นมาอีกครั้ง ก็บังคับให้ยันต์โลหิตนั่นส่งพลังกดทับลงไปอีก


 


 


ใต้ยันต์โลหิต คนชุดดำใต้ผ้าคลุมรู้สึกราวกับถูกภูเขาขนาดใหญ่กดทับลงมาเหนือศีรษะ เขากวาดแส้ในมือออกไป คิดจะทำลายยันต์โลหิตแผ่นนั้นให้แหลกเป็นชิ้นๆ


 


 


แต่ว่าแส้ยังไม่ทันจะตวัดไปถึงยันต์โลหิตก็ถูกหมอกสีแดงลายล้อมเอาไว้จนไม่อาจขยับ


 


 


เขาได้ยินเสียง “เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ” จากตัวแส้อยู่ไม่กี่ครั้ง ก็เห็นแส้เส้นนั้นถูกหมอกสีแดงทำลายจนกลายเป็นผุยผง!


 


 


ชายผู้นั้นตกตะลึงไป! แส้โครงกระดูกของเขาสามารถกล่าวได้ว่าแข็งแกร่งอย่างที่สุด ตลอดหลายปีมานี้ก็ไม่เคยเกิดริ้วรอยขึ้นมาแม้แต่น้อย แต่ว่าวันนี้กลับถูกหมอกสีแดงของนางทำลายไปแล้วกว่าครึ่ง?


 


 


เขาไม่อยากจะเชื่อ


 


 


แต่ตู๋กูซิงหลันไม่ให้เวลาเขาได้ครุ่นคิดเลยสักนิด ยันต์สีแดงแผ่นนั้นแผ่ขุมพลังบดขยี้ลงมาอย่างต่อเนื่อง


 


 


ชุดคลุมสีดำบนร่างของชายผู้นั้นถูกแรงกดอัดจนแหลกสลายเผยให้เห็นศีรษะที่ล้านโล้นสีดำ


 


 


บนหนังศีรษะของเขามีภาพอักขระที่แปลกประหลาดและซับซ้อน ใบหน้าที่ปราศจากสีเลือดนั้นปูดโปนไปด้วนเส้นเอ็นสีดำจนทั่วทั้งใบหน้า แค่เห็นก็ทำให้คิดไปถึงศพโบราณที่ตายไปแล้วเป็นร้อยเป็นพันปีที่ถูกขุดออกมาจากสุสาน


 


 


ภายใต้แสงสีแดงที่เจิดจ้าคนในบริเวณรอบตำหนักหยู่เฉียนกงล้วนมองเห็นสภาพของเขาได้ในทันที แต่ละคนตกใจกลัวจนเกือบจะฉี่ราด


 


 


กลางดึกคืนนี้ พวกเขาถึงกับเจอผีเข้าแล้วจริงๆ!


 


 


ปีนี้เป็นปีที่ภูติผีปีศาจออกอาละวาดหรือไร? ถึงกลับกล้าบุกเข้ามาถึงในรั้วในวัง ไม่รู้หรือไงว่าฮ่องเต้ของพวกเขาได้รับการปกป้องคุ้มครองจากสวรรค์ เป็นผู้ที่สวรรค์เลือกแล้ว


 


 


 


 


——


 


 


คุยกันนิดนึง: คิดเหมือนกันไหม? อาหลันจะตายแล้ว พี่เต้หายไปไหนนน


 


 


(โทรตามด่วนๆ) 

 

 


ตอนที่ 221 ตัวก่อปัญหา!

 

เศษอิฐเศษหินปลิวว่อนไปทั่วตำหนักหยู่เฉวียนกง ผู้คนต่างก็รีบหนีออกไปนอกตำหนัก พอพึ่งจะออกมาได้ก็ได้เสียงโครมครามดังกึกก้องติดๆ กัน


 


 


ในตอนนั้น ปีกตำหนักด้านหนึ่งก็ทลายลงมา ใต้ซากที่ถล่มยังมีร่างของศพคืนชีพ


 


 


ก้อนหินขนาดมหึมามากมายถูกถมลงไปบนร่างของเขา หินแต่ละก้อนมีหมอกสีแดงโอบล้อมอยู่ เขาตวัดแส้ครึ่งท่อนในมือออกไปไม่ยอมหยุด แต่ก็ไม่อาจฟาดก้อนหินเหล่านั้นออกไปได้


 


 


หมอกสีแดงบนก้อนหินแต่ละก้อนรวมตัวกันจนเป็นร่างเงา ลายล้อมอยู่โดยรอบ ทั้งยังกดทับเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา


 


 


องครักษ์ประจำตัวของเหยียนเฉียวหลัวเองก็ตกอยู่ในรัศมีการโจมตีไปด้วย แขนข้างหนึ่งมีเลือดไหลโทรม ยังดีที่ยันต์โลหิตของตู๋กูซิงหลันมิได้พุ่งเป้ามาที่เขา เขาหอบเอาแขนที่บาดเจ็บหลบออกมา กลับไปยังข้างกายของเหยียนเฉียวหลัว


 


 


แล้วรีบลากเหยียนเฉียวหลัวที่ยังคงยืนดูด้วยความตกตะลึงให้หลบหนีไปยังจุดที่ปลอดภัย


 


 


สาวน้อยที่อยู่ใต้เงาจันทร์ผู้นั้น ยังคงสาดประกายตาเย็นยะเยือกออกมา เส้นผมยาวสลวยทั่วทั้งศีรษะโบยบิน ชุดกระโปรงตัวหลวมกว้างเบ่งพองอยู่ท่ามกลางสายลม มุมปากของนางยังคงมีเลือดไหล รอยยิ้มของนางทั้งน่าหวาดผวาและดูลึกลับ


 


 


ร่างของนางลอยขึ้นสูงประหนึ่งกำลังเหยียบอยู่บนดวงจันทราสีเลือด มือของนางถูกยกขึ้นสูงแต่ละทีที่กดลงมาอย่างหนักตำหนักหยู่เฉียนกงกว่าครึ่งหลังก็ต้องรับเคราะห์ แรงอัดบดขยี้ลงไปบนศีรษะที่ดำและโล้นของคนชุดดำจนเขาไร้แรงจะต้านทาน


 


 


ยามนี้ ผู้คนในวังทั้งหมดต่างตกอยู่ในความตื่นตระหนก ตัวตำหนักหยู่เฉียนกงคล้ายเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ ความสั่นสะเทือนรุนแรงเสียจนแม้แต่ตำหนักที่อยู่ใกล้เคียงก็ยังโยกคลอนไม่ยอมหยุด


 


 


ต้าโจวก่อตั้งแว่นแคว้นมานานหลายปี แต่ว่าก็ไม่เคยเกิดเหตุแผ่นดินไหวมาก่อน


 


 


คราวนี้กลับรุนแรงจนถึงขนาดที่ว่าผู้คนกว่าครึ่งวังหลวงต่างก็ออกมาชมดูกันจนหมดแล้ว


 


 


“โอ้ ในวังมีศพคืนชีพปรากฎตัว ท่านเซียนกำลังกำราบมันอยู่”


 


 


“จริงด้วย จริงด้วย ฝ่าบาททรงสวดขอให้เทพยาดาฟ้าดินคุ้มครองอย่างยากลำบาก พวกเราสมควรรู้สำนึกตนให้ดี จะต้องให้ความเคารพนอบน้อมต่อท่านเซียน”


 


 


คนในตำหนักหยู่เฉียนกงต่างก็พากับจับกลุ่มชมดูอยู่รอบๆ


 


 


“อ้ายย่าห์ พวกเจ้าไม่เห็นหรือยังไงว่าศพคืนชีพชราผู้นั้นน่ากลัวขนาดไหน ดูรูปร่างหน้าตานั้นสิ สามารถทำให้คนตกใจตายได้จริงๆ”


 


 


“จริงด้วย เมื่อครู่ข้าอยู่ใกล้ๆ จึงเห็นได้อย่างชัดเจน หากมิใช่ว่ามันถูกท่านเซียนกำราบเอาไว้ ก็ไม่รู้ว่าวันนี้ในตำหนักหยู่เฉียนกงจะเกิดเภทภัยอะไรขึ้นมาบ้าง”


 


 


มีบางคนถามขึ้นมาว่า “อยู่กันดีๆ ทำไมตำหนักหยู่เฉียนกงถึงเกิดมีปีศาจออกมาอาละวาทเช่นนี้ได้กัน?”


 


 


เนื่องเพราะก่อนหน้านี้เคยมีเหตุที่พบว่าเสียนไท่เฟยที่จริงก็คือศพคืนชีพ เรื่องราวโด่งดังจนคนรู้กันไปทั่วทั้งเมืองหลวง ดังนั้นยามนี้เมื่อได้เผชิญกับศพคืนชีพผู้นี้อีกคน พวกเข้าจึงมิได้ประหลาดใจจนเกินไป


 


 


เพียงแต่พากันหวาดกลัวเท่านั้น


 


 


“ศพคืนชีพชราผู้นี้เกี่ยวข้องอันใดกับเสียนไท่เฟยหรือไม่?”


 


 


ผู้คนในวังต่างก็อดจะแสดงความสงสัยออกมาไม่ได้


 


 


“เขามาที่ตำหนักหยู่เฉียนกง หรือว่าเพื่อเอาสมบัติล้ำค่าขององค์หญิงแห่งแคว้นเหยียน?”


 


 


พวกคนในตำหนักหยู่เฉียนกงต่างรีบอธิบายออกไป “แผนที่สมบัติขององค์หญิงแห่งแคว้นเหยียนหายไปแล้ว เมื่อครู่ยังตามหากันไปทุกที่อยู่เลย เรื่องนี้เจ้าศพคืนชีพชราผู้นั้นจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน”


 


 


ทันใดนั้นหยวนเฟยแห่งตำหนักฉางซินกงก็รุดมาถึง ดึกดื่นป่านนี้แล้วกระทั่งรองเท้านางก็ยังไม่ทันจะได้สวมให้ดี ส้นเท้าหลังยังออกมาด้านนอกครึ่งหนึ่ง นางรีบเงยหน้าขึ้นไปมองดูสถานการณ์เหนือตำหนักหยู่เฉียนกงในทันที


 


 


พอกวาดตามองขึ้นไป นางก็เกือบจะหัวใจวายตาย


 


 


สาวน้อยที่อยู่ใต้แสงจันทร์ผู้นั้น ถึงแม้ว่าไม่อาจจะมองเห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจน และเห็นเพียงเค้าโครงของใบหน้าที่เลือนลาง แต่ด้วยความคุ้นเคย ก็ทำให้นางคิดถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาได้ในทันที


 


 


นางรีบสะกดหัวใจที่ตื่นตระหนกลงไป แล้วหันไปมองดูศพคืนชีพชราที่ถูกกดทับเอาไว้ จุดประเด็นขึ้นมาว่า “ข้าเห็นว่านี่จะต้องเป็นฝีมือของศพคืนชีพที่คิดจะฉวยโอกาสก่อเรื่อง เขาขโมยแผนที่กรุสมบัติขององค์หญิง คิดจะใส่ความแคว้นต้าโจวอย่างอยุติธรรม ไม่แน่ว่าอาจจะมีแผนร้ายใดๆ ตามมาอีกก็ได้!”


 


 


พอเห็นหยวนเฟยกล่าวเช่นนี้ หัวใจของผู้คนที่กำลังเกิดข้อสงสัยต่างก็ได้รับคำตอบไปในทางเดียวกัน


 


 


ศพคืนชีพชราผู้นี้เป็นพวกเดียวกันกับเสียนไท่เฟย คิดจะก่อปัญหาขึ้นในต้าโจว!


 


 


เหยียนเฉียวหลัวที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองของซิวก็เดินเข้ามาใกล้


 


 


ทันทีที่มองเห็นหยวนเฟยสายตาของนางก็ทอประกายรังเกียจออกมา นางเคยไปยังดินแดนหนานเจียง ที่นั่นมีแต่คนพื้นเมืองหยาบกระด้าง ไม่แบ่งชนชั้นวรรณะ เป็นบ้านป่าแดนเถื่อนขนานแท้


 


 


ก่อนที่จะมายังเมืองหลวง เรื่องที่จีเฉวียนมีพระสนมอยู่เท่าไหร่ ฐานะเบื้องหลังของพระสนมแต่ละคนเป็นเช่นไร นางล้วนทำการสืบเสาะมาแล้วอย่างละเอียด


 


 


รวมไปถึงภาพของพวกนางแต่ละคน นางก็ผ่านตามาหมดแล้ว


 


 


ยามนี้พอได้เห็นหน้าหยวนเฟย ก็ย่อมรู้จักฐานะของนาง ว่ากันตามจริงแล้ว ในวังหลังของจีเฉวียนมีสนมอยู่อย่างมากมาย แต่ที่ไม่เหมาะสมกับฐานะของเขามากที่สุดก็คือหยวนเฟยผู้นี้


 


 


ก็แค่หญิงเถื่อนแดนใต้คนหนึ่ง มีคุณสมบัติอะไรเหมาะสมจะมาเป็นพระสนมของแคว้นต้าโจวกัน?


 


 


พอมาถึงก็กระโดดเข้าร่วมวงในทันที หยวนเฟยผู้นี้คิดสิ่งใดอยู่ในใจกันแน่?


 


 


นางไม่สนใจหรอกว่าคนชุดดำนั้นจะเป็นศพคืนชีพหรือตัวอะไรเพราะว่าระหว่างพวกนางก็มีแค่ความร่วมมือกันเท่านั้น


 


 


นางตั้งใจจะเป็นฮองเฮาของจีเฉวียนให้ได้ ยอมไม่อาจปล่อยให้ข้างกายของเขามีสตรีอื่นที่โดดเด่นกว่าตนเอง หวงกุ้ยเฟยซูเม่ยกลายเป็นยอดดวงใจของจีเฉวียน ตอนนี้นางไม่อาจแตะต้องได้ชั่วคราว ถ้าเช่นนั้นก็ได้แต่หันมาลงมือกับตัวอันตรายหมายเลขสองก่อนก็แล้วกัน


 


 


ตู๋กูซิงหลัน ไทเฮาน้อยที่งดงามเสียจนสวรรค์อุธรณ์ผู้คนเดือดร้อนเช่นนี้ เมื่อมีใจคิดจะมาพัวพันจีเฉวียน หากไม่กำจัดออกไป จะช้าเร็วก็ต้องกลายเป็นหนามชิ้นใหญ่ในใจอย่างแน่นอน ดังนั้นเมื่อคนชุดดำผู้นั้นมาหานางถึงที่เพื่อขอความร่วมมือ นางย่อมตอบตกลง


 


 


 


 


แต่ว่าน่าเสียดายที่นางประมาทไทเฮาน้อยผู้นี้ไปเสียหน่อย นางมีความสามารถล้ำเลิศถึงเพียงนั้นจริงๆ? ตาเฒ่าศพคืนชีพนั่นจะว่าอย่างไรก็เป็นตัวประหลาดที่ไม่ธรรมดา ทั้งยังกลิ้งกลอกมากเล่ห์ แต่ก็ยังถูกนางบดขยี้จนถึงเพียงนี้ ทำให้ตนต้องประหลาดใจเข้าแล้วจริงๆ


 


 


ก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่าไทเฮาน้อยผู้นี้มีอาจารย์เป็นนักพรตอู๋เจินแห่งอารามเทียนเก๋อกวน นางทั้งชาญฉลาดและมีพรสวรรค์ ฝึกฝนวิชาของนักพรตอู๋เจินจนสำเร็จถึงสามส่วน


 


 


เหยียนเฉียวหลัวมองดูคนที่เหาะอยู่กลางอากาศตรงหน้า ในสมองต้องทำความรู้จักกับคำว่า ‘สำเร็จสามส่วน’ นี้ใหม่อีกครั้ง


 


 


เช่นนั้นนักพรตอู๋เจินนั่นก็ยอดเยี่ยมถึงเพียงนั้นจริงๆ หรือ? หากว่าคืนนี้ผู้ที่ปรากฎตัวออกมาคือเขาละก็ วังหลวงจะถูกถล่มลงไปกว่าครึ่งหรือไม่?


 


 


เหยียนเฉียวหลัวหรี่ตาลง นางยิ่งอยากจะกำจัดไทเฮาแห่งต้าโจวมากกว่าเดิม


 


 


……………………


 


 


พอได้ยินเสียงหยวนเฟยกระโดดเข้าร่วมวงมา เหยียนเฉียวหลัวก็ยิ้มเย็นออกไปในทันที “พระสนมหยวนเฟย หากไม่มีหลักฐานละก็ อย่าได้พูดจาไร้สาระจะดีกว่า เราผู้เป็นองค์หญิงกลับถูกช่วงชิงแผนที่ขุมทรัพย์ออกไปจากในวังของต้าโจว เรื่องนี้หากว่าแพร่ออกไป เกรงว่าเกียรติยศของต้าโจวก็คงจะไม่มีเหลือแล้ว”


 


 


หยวนเฟย “องค์หญิง สายพระเนตรของพระองค์มีปัญหาหรือไม่ ท่านคิดว่าศพคืนชีพผู้นี้อยู่ๆ ก็ปรากฎตัวขึ้นมาในที่พักของท่านถือเป็นเรื่องดี? หากว่าไม่ได้มาขโมยของของท่าน หรือว่ามาส่งมอบของให้ท่านกัน?”


 


 


งูเขียวตัวน้อยบนข้อมือของหยวนเฟยแลบลิ้นออกมา คำพูดของนางเตือนสติของทุกผู้คน


 


 


จริงด้วย ไยพวกเขาจึงคิดไม่ถึงกัน องค์หญิงแคว้นเหยียนผู้นี้อาจจะเป็นพวกเดียวกันกับศพคืนชีพผู้นั้นก็เป็นได้?


 


 


ในเมื่อมิใช่คนแคว้นเดียวกัน ย่อมมีจุดประสงค์ที่แตกต่าง


 


 


ในเมื่อนางเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นเหยียน ถึงแม้จะมีสายสัมพันธ์ในวัยเยาว์กับฮ่องเต้ แต่เมื่อเป็นเรื่องของบ้านเมือง เกรงว่าสายสัมพันธ์ใดๆ ก็อาจจะต้องวางเอาไว้ก่อน เหยียนเฉียวหลัวถูกนางกระตุกขาเข้าเช่นนี้ ไหนเลยจะกลืนโทสะนี้ลงไปได้กัน พอคิดจะตอกกลับไปบ้างก็เห็นซิ่วจับชายแขนเสื้อของนางเอาไว้ ส่ายศีรษะให้กับนาง


 


 


“องค์หญิง ต้องพระทัยเย็นเข้าไว้”


 


 


เหยียนเฉียวหลัวสูดลมหายใจลงไปลึกๆ ผ่านไปอีกพักใหญ่นางถึงค่อยหันสายตากลับไปที่ร่างของตู๋กูซิงหลันอีกครั้ง หากมิใช่ว่านางรู้อยู่ก่อนแล้วว่าสาวน้อยผู้นั้นก็คือไทเฮาน้อย เมื่อต้องมาเจอกับสถานการณ์ในตอนนี้เกรงว่าก็คงจะจดจำนางไม่ออกอย่างแน่นอน


 


 


แต่ว่าตอนนี้ตนเองยังไม่อาจเปิดโปงนางได้เช่นกัน ในวังมีหูตาของผู้คนอยู่มากมาย หากว่านางเปิดเผยอะไรออกไปแม้แต่เพียงเล็กน้อย เกรงว่าอาจจะถูกจับพิรุธได้ในทันที

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)