ยอดหญิงสกุลเสิ่น 213.1-214.1
ตอนที่ 213-1 พระราชพิธีเสกสมรส
โหวฮูหยินฮูหยินสวี่ยุ่งจนเท้าแทบไม่ติดพื้นแล้ว นอกจากจะเตรียมธุระปะปังต่างๆ ยังต้องจัดการสินเดิมของเสิ่นเวยออกมา วันงานคือวันที่ยี่สิบหก วันแรกก็ต้องหามสินเดิมแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่าย
คนที่มามอบของขวัญแต่งงานให้เสิ่นเวยมีไม่น้อย นอกจากพี่สาวน้องสาวญาติๆ ตระกูลตนแล้ว ที่นางรู้จักก็มีท่านน้าสะใภ้ใหญ่จวนเสนาบดีสองแม่ลูก จังเข่อจงเพื่อนสนิทของนางจากจวนแม่ทัพอู่เลี่ย อ้อ ยังมีสวี่ฉู่ถงที่เพิ่งรู้จักก็มาด้วยเช่นกัน
มากกว่านี้เป็นคนที่เสิ่นเวยไม่รู้จัก ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของนางจูงมือแนะนำตัวให้นาง คนนี้คือฮูหยิน คนนั้นคือท่านย่า ทำเอาเสิ่นเวยมึนศีรษะหลงทิศ จำใครไม่ได้อยางสิ้นเชิง จึงทำได้เพียงปั้นหน้ายิ้มทักทายอย่างเชื่อฟัง
เมื่อส่งเหล่าฮูหยินคุณหนูที่มามอบของขวัญแต่งงานไปแล้ว เสิ่นเวยก็เหนื่อยจนนอนแผ่อยู่บนเตียงปักลายไม่อยากขยับตัว ผูกมิตรกับเหล่าสตรีเรือนในเหล่านี้ไม่ใช่งานถนัดจริงๆ เหนื่อยกว่านางฆ่าศัตรูในสนามรบสามเท่า เลื่อมใสท่านป้าสะใภ้ใหญ่จริงๆ หากอยู่ในยุคปัจจุบันจะต้องเป็นคนเก่งในที่ทำงานแน่นอน
ฮูหยินสวี่มองใบรายการสินเดิมของหลานสาวร่างทั้งร่างก็รู้สึกไม่ดีแล้ว ใบรายการนี้นายท่านผู้เฒ่าโหวเพิ่งจะใช้คนมาส่ง ยาวสิบหน้ากว่า นอกจากเงินเดือนในจวนแล้ว นายท่านผู้เฒ่ายังยกมรดกของตัวเองให้เวยเอ๋อร์ทั้งหมดจริงๆ ฮูหยินสวี่คิดว่าตอนแรกนายท่านผู้เฒ่าโหวเพียงแค่พูดเล่น ไม่คิดว่าเขาจะทำจริง
เห็นทรัพย์สินล้ำค่านับไม่ถ้วนที่เขียนอยู่บนใบรายการสินเดิม ยังมีเงินสินสอดสองแสนตำลึงที่เด่นชัดนั้น ความรู้สึกของฮูหยินสวี่ก็ซับซ้อน บัญชีจวนโหวทั้งจวนมีเงินได้ถึงสองแสนตำลึงหรือ นี่ยังไม่ใช่ทั้งหมด ด้วยสติปัญญาของนายท่านผู้เฒ่าโหวจะต้องไม่เขียนเงินทั้งหมดลงบนในใบรายการสินเดิมเป็นแน่ ที่ให้เวยเอ๋อร์เป็นการส่วนตัวใช่ยังมีอีกเยอะหรือไม่
เงินเหล่านี้ เห็นชัดๆ ว่าควรตกทอดสู่พวกเขาบ้านใหญ่ แต่ตอนนี้นายท่านผู้เฒ่าโหวกลับยกให้หลานสาวที่แต่งออกข้างนอกผู้นี้ทั้งหมด ในใจนางสงบสุขได้ก็แปลกแล้ว
ในใจฮูหยินสวี่สับสนกระวนกระวายต่างๆ นานา กัดฟันก็แล้วถอนหายใจก็แล้วกลับอันจนหนทางอยู่ดี แม้จะบอกว่าสามีของนางรับตำแหน่งจงอู่โหวแล้ว แต่ผู้ที่เป็นใหญ่ในจวนยังคงเป็นนายท่านผู้เฒ่าโหว ทั้งจวนโหวเป็นเขาที่สร้างขึ้นกับมือ เขาจะยกมรดกให้ผู้อื่นย่อมไม่กล้าว่าอะไร
ช่างๆๆ คิดเสียว่าทั้งหมดเป็นการลงทุนล่วงหน้า ไม่อาจคิดต่อไปได้แล้ว ยิ่งคิดจิตใจนางก็ยิ่งเจ็บปวด
ตอนนี้เสิ่นเวยกำลังอยู่ในห้องหนังสือของท่านปู่นาง กำลังอ่านใบรายการสินเดิมนี้อยู่เช่นเดียวกัน ปู่นางยังพูดอยู่ข้างๆ “เจ้าดูสิว่าน้อยไปหรือไม่ จะให้เพิ่มอีกหน่อยหรือไม่”
เสิ่นเวยได้ยินดังนั้นก็อดกระตุกมุมปากไม่ได้ สินเดิมนี้แทบจะเทียบเท่าฮ่องเต้แต่งองค์หญิงแล้ว อีกอย่าง เหล่าองค์หญิงของฝ่าบาทจะไม่มองนางด้วยความอาฆาตตายหรือ สินเดิมขององค์หญิงราชนิกุลเทียบไม่ได้แม้แต่ขุนนางหญิง คำพูดนี้ดังออกไปจะฟังได้หรือ ฝ่าบาทเองก็คงไม่ยินดีนัก ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของตัวเองและเพื่อไว้หน้าเหล่าองค์หญิงราชนิกุล ถ่อมตนสักหน่อยคงดีกว่า
นายท่านผู้เฒ่าโหวเองก็ไม่บีบบังคับ กล่าวต่อ “นอกจากเงินสินสอดสองแสนตำลึงที่เขียนอยู่ในใบรายการแล้ว ยังมีเงินแสนตำลึงที่เจ้าเก็บไว้ส่วนตัว ของเหล่านั้นที่ยังเหลืออยู่ในคลังเจ้าจะเปลี่ยนเป็นเงิน หรือว่าจะวางไว้ก่อน ปู่บอกว่าให้เจ้าก็คือให้เจ้า อยากจัดการอย่างไรเจ้าตัดสินใจเอง”
เสิ่นเวยก็ไม่พูดอ้อมค้อมบอกปัดอีก คิดครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าว “วางไว้ในเรือนท่านปู่ก่อนดีกว่า สินเดิมนี้ของหลานก็มากพอแล้ว เกิดก็ไม่ได้เอามาตายก็เอาไปไม่ได้ พอประมาณก็ได้แล้ว ของเหล่านี้ รวมถึงสินเดิมที่ยังเหลืออยู่ของท่านแม่ก็ทิ้งไว้ให้เจวี๋ยเอ๋อร์แต่งภรรยาเถอะ”
นายท่านผู้เฒ่าโหวเองก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ ความใส่ใจที่หลานสาวมีต่อเจวี๋ยเอ๋อร์เขาเองก็มองเห็น จะไม่ทิ้งของไว้ให้เขาได้อย่างไร ส่วนที่หลานสาวไม่เอ่ยถึงอี้เอ๋อร์แม้แต่ประโยคเดียว เขาก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ หลานสาวกับฮูหยินหลิวต่างก็ฉีกหน้ากันแล้ว ไม่ได้ต่างจากศัตรูคู่แค้น นางไม่โกรธจนพาลใส่เสวี่ยเอ๋อร์อี้เอ๋อร์ก็ถือว่าเมตตาแล้ว ด้วยฝีมือของเวยเอ๋อร์จัดการเสวี่ยเอ๋อร์กับอี้เอ๋อร์ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หรอกหรือ ยิ่งไปกว่านั้นเวยเอ๋อร์สองพี่น้องปฏิบัติต่ออี้เอ๋อร์ก็ไม่ได้แย่ ด้านค่าใช้จ่ายก็ไม่ขาด ทั้งยังไม่ปล่อยให้บ่าวข้างล่างกลั่นแกล้งนาย ยิ่งไม่ใช้วิธีสกปรกมาล่อลวงให้เขาเสียกาเรียน จากมุมมองของนายท่านผู้เฒ่าโหวนี่ถือว่าหาได้ยากอย่างยิ่งแล้ว นี่เองก็ทำให้นายท่านผู้เฒ่าโหวให้ความสำคัญกับเวยเอ๋อร์สองพี่น้อง
หยุดครู่หนึ่งเสิ่นเวยก็นึกอะไรขึ้นได้ “ท่านปู่ เรือนเฟิงหวานี้ต้องเก็บไว้ให้หลาน” เรือนนี้นางทุ่มเทแรงซ่อมแซม ยังอยู่ได้ไม่ถึงปีนางก็ออกเรือนแล้ว นางตัดใจทิ้งให้คนอื่นเข้ามาอยู่ไม่ได้
“ได้ เก็บไว้ให้เจ้า เจ้ากลับมาเมื่อไรก็มาพักได้” นายท่านผู้เฒ่าโหวตอบด้วยความสบายใจอย่างยิ่ง
เสิ่นเวยดีใจแล้ว “ขอบคุณท่านปู่ที่เมตตา” นางวางแผนไว้ดีแล้ว เรือนเฟิงหวาแห่งนี้เก็บไว้ให้นางพักชั่วคราว อีกไม่กี่ปีเจวี๋ยเอ๋อร์ก็ควรจะแต่งภรรยาได้แล้ว ถึงตอนนั้นก็ให้เรือนเฟิงหวาเป็นเรือนหอเขาแล้วกัน
ชั่วพริบตาก็ถึงวันที่ยี่สิบห้าเดือนสี่แล้ว วันรุ่งขึ้นก็จะเป็นวันที่เสิ่นเวยออกเรือน ทานอาหารเช้าเสร็จก็เริ่มหามสินเดิมจากจวนจงอู่โหวไปจวนจิ้นอ๋อง สินสอดของหมั้นของสวีโย่วไม่ทิ้งไว้ที่จวนจงอู่โหวแม้แต่นิดเดียว ทั้งหมดเก็บรวบรวมไปไว้ในสินเดิมของเสิ่นเวย ดังนั้นขบวนสินเดิมของเสิ่นเวยอลังการยิ่งกว่าของแม่นางเสียอีก หนึ่งร้อยยี่สิบคานหามเต็มๆ แต่ละคานหามต่างก็ใส่จนอัดเต็มกระทั่งสอดมือเข้าไปไม่ได้
เมื่อสินเดิมหามออกไปก็สร้างความตื่นตกใจ แม้ทุกคนจะไม่เห็นของให้**บ แต่สีหน้าท่าทางของเหล่าชนรุ่นหลังที่หามสินเดิมกลับหลอกคนไม่ได้ บุตรสาวตระกูลอื่นออกเรือนมีคนหามสินเดิมสองคนต่อหนึ่งคานหาม บุตรสาวจวนจงอู่โหวก็ใช้ชายหนุ่มสี่คนหามสินเดิมหนึ่งคานหาม หากทำเช่นนี้ยังกินแรงอย่างถึงที่สุด ก็สามารถนึกภาพได้ว่า**บใหญ่เพียงใด บรรจุของเต็มเพียงใด
ขณะที่ผู้คนวิจารณ์ในความร่ำรวยของจวนจงอู่โหว ก็ยังวิจารณ์ว่าเจ้าสาวผู้นี้ได้รับความโปรดปรานในจวน มีคนที่สนใจคำนวณเงียบๆ ในใจ สินเดิมของคุณหนูจวนจงอู่โหวผู้นี้อย่างน้อยที่สุดก็มีมูลค่าหลายแสนตำลึง สถิตินี้อย่างน้อยภายในสิบปีข้างหน้าก็ไม่มีใครสามารถทำลายได้
สินเดิมใช้เวลาหามหนึ่งวันเต็มๆ กระทั่งอาทิตย์ตกดินจึงขนเข้าไปในจวนจิ้นอ๋องจนหมด เพื่อที่จะวางสินเดิม สวีโย่วยังตั้งใจรื้อห้องจำนวนมาก แม้ว่าจะทำเช่นนี้ก็ยังวางไม่หมด ในลานบ้านยังวางอยู่อีกเยอะ
คนทุกระดับชั้นในเรือนสวีโย่วต่างก็ดีอกดีใจ สินเดิมว่าที่นายหญิงมากมายเช่นนี้ พวกเขาที่เป็นคนรับใช้เหล่านี้ก็รู้สึกเป็นเกียรติ แต่ละคนยืดอกเชิดหน้าช่วยคนที่มาจากจวนโหวเฝ้าสินเดิมด้วยกันอย่างมีความสุข
จะไม่เฝ้าได้หรือ คนที่ผ่านมาดูสินเดิมแต่ละกลุ่มๆ สินเดิมของว่าที่นายหญิงทั้งเยอะทั้งมีราคาแพง ถูกคนไม่ดูตาม้าตาเรือที่ไหนหยิบไปชิ้นสองชิ้นก็ไม่งามแล้ว
พระชายาจิ้นอ๋องฟังการรายงานของคนใช้แล้ว ดวงตาก็ลุกวาว สวดอมิตาพุทธกับหวังเฟยฮูหยินเต็มห้อง “ไอหยา ข้าบอกแล้วว่าคุณชายใหญ่ของพวกเรามีวาสนา ดูสิไม่ใช่ว่าแต่งเทพแห่งโชคลาภเข้ามาหรอกหรือ ข้าน่ะในที่สุดก็วางใจได้บ้างแล้ว” นางวางท่าทางเป็นแม่เลี้ยงผู้รักลูกเลี้ยง
จากนั้นก็มีฮูหยินที่หูตาไวผู้นั้นหยอกล้อสอพลอ นอกจากชมคุณชายใหญ่แล้ว ก็ยิ่งชื่นชมจิ้น
หวังเฟย พูดจาน่าฟังอย่างเช่นมารดาผู้เมตตาต่างๆ แน่นอนว่ายังมีคนที่ไม่เห็นด้วย เพียงแต่ใครบ้างในนี้ไม่ใช่ผู้มีปัญญา วันมงคลของจวนจิ้นอ๋องย่อมไม่อาจพูดจาไม่รู้กาลเทศะได้ ทำได้เพียงวางมาดดื่มชา
พระชายาจิ้นอ๋องสงบอารมณ์ได้ ลูกสะใภ้ทั้งสองของนางอู๋ซื่อกับหูซื่อกลับไม่มีความสามารถนี้ ทั้งสองหาโอกาสไปดูสินเดิมของว่าที่พี่สะใภ้ใหญ่ผู้นี้กับตาตัวเอง เห็น**บที่วางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยในลานบ้าน เครื่องประดับที่เปล่งประกายแพรวพราวนั้น อัญมณีที่ถูกเลี่ยมไว้ใหญ่พอๆ กับไข่นกพิราบ เพียงแค่ชิ้นเดียวเกรงว่าจะมีมูลค่ามากกว่าหมื่นตำลึงแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเครื่องประดับศีรษะเช่นนี้มีถึงเจ็ดแปดชิ้น อู๋ซื่อกับหูซื่อมองจนตาร้อนแล้ว
บ้านฝั่งมารดาของอู๋ซื่อคือจวนกั๋วกง นางเป็นบุตรสาวคนโตที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดในจวน ตอนนั้นที่ได้ซื่อจื่อจวนจิ้นอ๋องเป็นคู่หมั้น พี่สาวน้องสาวทั้งหลายในจวนต่างก็อิจฉานาง ในครอบครัวก็ทุ่มเทสินเดิมส่งตัวนาง หวังเฟยกับซื่อจื่อก็ให้ความสำคัญแก่นาง นางเองก็เคยภูมิใจในสินเดิมจำนวนมากของตน แต่ตอนนี้เทียบกับพี่สะใภ้ใหญ่ผู้นี้แล้ว สินเดิมสิบลี้ของนางเป็นเพียงเรื่องน่าขัน
“เสด็จแม่พูดถูกจริงๆ พี่สะใภ้ใหญ่ผู้นี้ของพวกเราเป็นเทพแห่งโชคลาภจริงๆ แต่งภรรยาเช่นนี้ได้ คุณชายใหญ่ก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลแล้ว” อู๋ซื่อกล่าวอย่างมีเลศนัย
บนใบหน้าหูซื่อก็คล้ายกำลังครุ่นคิด กล่าวด้วยความอิจฉา “ใครว่าไม่ใช่เล่า น่าอิจฉาเสียจริงๆ ข้าอดทนรอเจอพี่สะใภ้ใหญ่คนดีของพวกเราไม่ไหวแล้ว”
ทั้งสองคนมองหน้าแล้วยิ้ม ในแววตามีบางอย่างแวบผ่าน ดูเหมือนทำข้อตกลงอะไรบางอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ตกค่ำ ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ฮูหยินสวี่มาที่ห้องเสิ่นเวย จับมือนางพูดคำพูดมากมาย ท้ายที่สุดก็ล้วงหนังสือเล่มเล็กหนึ่งเล่มยัดใส่มือเสิ่นเวยด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไอเบาๆ หลายคราแล้วจึงกล่าว “เวยเอ๋อร์ คืนเข้าหอเป็นขั้นตอนที่เจ้าสาวทุกคนจะต้องผ่าน ถึงตอนนั้นเจ้าก็ฟังสามีเจ้าก็พอแล้ว อาจจะเจ็บหน่อย เจ้า เจ้าอดทนไว้ประเดี๋ยวก็ผ่านไป ผ่านคืนพรุ่งนี้ไปก็จะดีขึ้น”
การชี้แนะลูกๆ ในคืนก่อนพิธีสมรสเดิมควรจะเป็นเรื่องของมารดา แต่น้องสามีสามที่น่าสงสารผู้นั้นของนางตายก่อนวัยอันควร ฮูหยินหลิวก็…ช่างเถอะ วันมงคลอย่าได้เอ่ยถึงนางเลย ด้วยเหตุนี้เรื่องนี้จึงตกมาอยู่ที่นางผู้เป็นป้าสะใภ้ใหญ่ผู้นี้ อย่างไรเสียเวยเอ๋อร์ก็ไม่ใช่บุตรสาวแท้ๆ ของนาง นางก็ยังไม่กล้าพูดละเอียดจริงๆ
แรกเริ่มเสิ่นเวยยังไม่ค่อยเข้าใจนัก อะไรเจ็บไม่เจ็บ ทนไม่ทน นางแต่งงาน ไม่ได้ลงสู่สนามรบ แต่เมื่อได้เห็นความอึดอัดบนใบหน้าของท่านป้าสะใภ้ใหญ่ จากนั้นก็เห็นปกหนังสือเล่มเล็กในมือ ชั่วขณะก็เข้าใจแล้ว
อ้อ นี่คือการสอนเรื่องในเรือนหอก่อนแต่งงานฉบับโบราณสินะ เสิ่นเวยเป็นใคร จะไม่เข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างไร ไม่เคยกินเนื้อก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เคยเห็นหมูวิ่งมิใช่หรือ โดยเฉพาะยุคปัจจุบันหนังต่างประเทศเหล่านั้นเผยแพร่อยู่ทั่วไป
เสิ่นเวยอยากจะถามคำถามละเอียดหลายคำถาม แต่เห็นท่านป้าสะใภ้ใหญ่เอ่ยเพียงแค่สองประโยคสั้นๆ เช่นนั้นก็อึดอัดไปทั้งใบหน้า ได้ นางจะทำตัวเป็นลูกคุณหนูตัวปลอมโดยดี ไม่ทำให้คนตกใจ
ด้วยเหตุนี้เสิ่นเวยก็เกร็งหน้าตัวเองจนแดงซ่าน ก้มหน้าทำท่าทางเขินอาย แม้แต่เสียงก็เบาราวกับยุง “ทราบแล้ว ท่านป้าสะใภ้ใหญ่”
ฮูหยินสวี่เห็นท่าที ในที่สุดก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ตบไล่ของเสิ่นเวยแล้วกล่าว “เวยเอ๋อร์รีบพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องเหนื่อยทั้งวัน”
ส่งท่านป้าสะใภ้ใหญ่ไปแล้ว เสิ่นเวยกลับไปถึงห้องก็เปิดหนังสือเล่มเล็กออก จุ๊ๆ คนสองคนในภาพราวกับขนมเกลียว ภาพนับได้ว่าชัดเจนอย่างยิ่ง ดูไม่ออกว่าคนโบราณที่หัวเก่าแก่จะมีด้านที่เปิดเผยเช่นนี้ เสิ่นเวยพลิกหน้าแล้วหน้าเล่า บ้างก็ตกใจ บ้างก็ถอนหายใจ ดูด้วยความสนใจใคร่รู้
ตอนที่ 213-2 พระราชพิธีเสกสมรส
“อ่านอะไรอยู่ถึงได้ตั้งใจเพียงนั้น” จู่ๆ ข้างหูก็ได้ยินเสียงๆ หนึ่ง เสิ่นเวยซ่อนหนังสือเล่มเล็กไว้ใต้แขนเสื้ออย่างลนลานตามจิตใต้สำนึก “ไม่…ไม่ได้อ่านอะไร”
เมื่อเห็นว่าคนที่มาคือสวีโย่ว ชั่วขณะก็โมโหอย่างถึงที่สุด ไม่ใช่บอกไว้หรือว่าก่อนวันแต่งงานคนทั้งสองไม่ควรพบหน้ากัน กลางดึกหมอนี่วิ่งมาหานางที่นี่ทำไม ทั้งยังทำนางสะดุ้งตกใจ เสิ่นเวยทำหน้าดีๆ ใส่เขาได้ก็แปลกแล้ว นางหยิบหมอนบนเตียงโยนออกไปทันที กล่าวอย่างโมโห “ท่านรู้หรือไม่ว่าทำคนตกใจแทบตาย ท่านเป็นผีหรือมาไม่ให้สุ้มให้เสียง ท่านไม่อยู่ในจวนวิ่งมาที่นี่ทำไม ท่านไม่อยากได้ชื่อเสียงแต่ข้ายังมีศักดิ์ศรีลูกผู้หญิงอยู่”
เสิ่นเวยกล่าวอย่างมีเหตุผลและสัจธรรม อันที่จริงในใจกำลังคิด ศักดิ์ศรีลูกผู้หญิง นั่นมันอะไรกัน ใครเคยเห็นช่วยเอามาให้นางดูหน่อย
สวีโย่วหมดความมั่นใจเล็กน้อย กล่าวอย่างอึกอัก “ก็แค่มาดูเจ้ามิใช่หรือ”
พูดยังไม่ทันขาดคำก็ถูกเสิ่นเวยกดเสียงต่ำตะโกนแล้ว “ข้ามีอะไรให้น่าดู พรุ่งนี้ก็ได้เจอแล้วไม่ใช่หรือ ท่านรีบกลับไปดีกว่า หากทำคนอื่นแตกตื่นจะแย่เอา”
สวีโย่วคิดๆ แล้วก็ถูก เขาอยู่ในจวนเพียงแค่คิดถึงพิธีสมรสแล้วดีใจจนนอนไม่หลับ จึงมาดูเสิ่นเวย ตอนนี้คนก็เห็นแล้ว ความต้องการได้รับการสนอง เขาย่อมไม่ยืดเยื้อเสียเวลา
“อ้อจริงสิ เมื่อครู่เจ้าอ่านอะไรอยู่กันแน่” สวีโย่วเดินไปแล้วสองก้าว คล้ายจู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นได้จึงหันหลังกลับมาถาม
เสิ่นเวยใจเต้น ชูหนังสือเล่มเล็กขึ้นอย่างไม่สนใจ “ท่านหมายถึงเล่มนี้หรือ ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่านี่คืออะไร ท่านป้าสะใภ้ใหญ่เพิ่งจะให้ข้ามา ให้ข้าอ่านให้ดี บอกว่าต้องใช้ แปลกใจจริงๆ เหตุใดคนในรูปนี้เหมือนกำลังพัวพันกันอยู่เลย คุณชายใหญ่สวีท่านรู้หรือไม่คนที่เปลือยก้นผู้นี้กำลังทำอะไรอยู่” ท่าทางของเสิ่นเวยสงสัยอย่างยิ่ง ท่าทางไม่รู้สึกอายที่จะถาม
สายตาของสวีโย่วมองเห็นคนในหนังสือเล่มเล็ก ชั่วขณะใบหน้าก็ร้อนราวกับไฟเผา กล่าวในใจ นี่ก็คือการพัวพันกับราคะอยู่มิใช่หรือ เขาโตกว่าเสิ่นเวยหลายปี ซ้ำยังเป็นผู้ชาย ย่อมต้องเข้าใจว่าหนังสือเล่มนั้นคืออะไร ไม่ใช่หนังสือภาพเปลือยหรอกหรือ เขาพูดได้หรือว่าอันที่จริงเขาก็เคยซ่อนไว้หลายเล่ม
ยิ่งสวีโย่วอึดอัด เสิ่นเวยก็ยิ่งไล่ถาม “คุณชายใหญ่ นี่คืออะไรกันแน่” ท่าทางเหมือนเด็กโง่ขี้สงสัย อันที่จริงในใจหัวเราะหงายหลังแล้ว
สวีโย่วกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างยิ่ง ละสายตาออกไปอย่างอึดอัด แม้แต่ดวงตาของเสิ่นเวยก็ไม่กล้ามอง กล่าวอย่างคลุมเครือ “ไม่มีอะไร ของเหล่านี้ข้าเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก รออีกไม่นานเจ้าก็รู้เอง” พูดจบ ก็หนีไปราวกับว่าข้างหลังมีคนไล่ตามเขา
เสิ่นเวยชายตามองหัวเราะเยาะ พ่อหนุ่ม ข้าไม่เชื่อว่าจะจัดการเจ้าไม่ได้ นางโบกหนังสือเล่มเล็กในมือ คิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยัดมันลงก้น**บ เข้านอนเร็วหน่อยดีกว่า ฟังว่าแต่งงานเหนื่อยยิ่งนัก
เดิมคิดว่าจะนอนไม่หลับ ไม่คิดว่าเสิ่นเวยจะนอนหลับจนฟ้าสาง อ้อไม่ วันนี้นางไม่มีโอกาสได้นอนจนฟ้าสาง ฟ้ายังไม่สาง หลีฮวาก็เรียกนางแล้ว เสิ่นเวยง่วงจนลืมตาไม่ขึ้น ปากขานรับแต่คนกลับไม่ขยับ ดึงดันจะนอนต่ออีกครึ่งชั่วยาม หลีฮวาและคนอื่นๆ ร้อนใจจนอยากจะเข้าไปแบกนางขึ้นมา
เสิ่นเวยลงจากเตียงอย่างสะลึมสะลือ ปล่อยให้สาวใช้หลายคนอาบน้ำแต่งตัวให้นาง จากนั้นก็กินข้าว ทรมานต่อไปจนนางกระปรี้กระเปร่าเล็กน้อย
“เรียบร้อยแล้วหรือยัง เก็บกวาดเรียบร้อยแล้วหรือยัง” ข้างนอกมีเสียงของป้าสะใภ้ใหญ่ฮูหยินสวี่ดังเข้ามา
เสิ่นเวยตื่นตัว ได้สติกลับมาทันที จากนั้นก็ได้ยินหลีฮวาขานรับ “เรียนฮูหยิน เตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ รอหวีผมอยู่”
ไม่นานนัก ก็เห็นป้าสะใภ้ใหญ่เดินเข้ามาพร้อมฮูหยินมีหน้ามีตาผู้หนึ่ง เสิ่นเวยก็เข้าใจว่าคนผู้นี้คือผู้มีวาสนาครบที่มาหวีผมให้นาง
สมัยโบราณ สตรีออกเรือนต้องหาผู้มีวาสนาครบมาช่วยกวาดเกี้ยว จุดธูปในเกี้ยว วางกระจกในเกี้ยว ผู้มีวาสนาครบก็ไม่ใช่ว่าจะหาใครมาก็ได้ ต้องเป็นสตรีผู้มีวาสนาครบที่ในบ้านพ่อแม่ยังอยู่ สามีภรรยารักใคร่ มีทั้งลูกชายลูกสาว พี่น้องปรองดองกลมเกลียวจึงจะได้
“เวยเอ๋อร์ นี่คือจ้าวฮูหยินจวนเจี้ยนอั้นโหว พี่จ้าว วันนี้รบกวนท่านแล้ว” ฮูหยินสวี่มองจ้าวฮูหยินแล้วอมยิ้มกล่าว
เสิ่นเวยรีบทำความเคารพ จ้าวฮูหยินผู้นั้นคล้ายมีความสัมพันธ์ไม่เลวกับท่านป้าสะใภ้ใหญ่ เห็นนางจับมือของเสิ่นเวยด้วยท่าทีเอ็นดู ยิ้มอย่างสบายๆ “ได้หวีผมหญิงที่สวยเพียงนี้ ข้าก็ดีใจ ข้าน่ะยังต้องขอบคุณเจ้าที่ให้โอกาสนี้แก่ข้า ให้ข้าได้สัมผัสความสุขจากจวิ้นจู่เหนียงเหนียงของพวกเรา” นางกล่าวหยอกล้อ
บุตรสาวออกเรือน ล้วนแต่เป็นมารดาที่ช่วยหวีผม หร่วนซื่อไม่อยู่แล้ว ถือโอกาสให้จ้าวฮูหยินผู้มีวาสนาครบรับหน้าที่หวีผมแทนเสียเลย
เสิ่นเวยนั่งตัวตรงหน้ากระจก จ้าวฮูหยินหวีผมจากยอดศีรษะลงมาช้าๆ หวีไปพลางเอื้อนเอ่ยไปพลาง “หนึ่งหวีหวีถึงต้น ร่ำรวยไร้กังวล สองหวีหวีถึงต้น ไม่บาดเจ็บไม่ทุกข์ใจ สามหวีหวีถึงต้น มีบุตรมากอายุยืน อีกหวีหวีถึงปลาย เคารพกันซึ่งสามีภรรยา สองหวีหวีถึงปลาย ไม่มีวันแยกจากกัน สามหวีหวีถึงปลาย รักใคร่กลมเกลียวชั่วนิจนิรันดร์ มีต้นมีปลาย ร่ำรวยเงินทอง”
ในคำพูดอวยพรแต่ละครั้ง เสิ่นเวยรู้สึกเศร้าอย่างไม่มีสาเหตุ นางกำลังคิด หากหร่วนซื่อยังอยู่ ได้เห็นนางออกเรือนก็คงจะดียิ่งนัก จากนั้นจึงคิดถึงแม่ที่อยู่ไกลออกไปในอีกมิติ วันนี้เป็นวันที่ลูกออกเรือน ท่านเห็นหรือไม่
ไม่เพียงแต่เสิ่นเวยเสียใจ แม่นมกู้ก็ปาดน้ำตาอยู่นานแล้ว กลัวคนเห็นแล้วจะไม่ดี จึงหลบไปอยู่ข้างๆ เงียบๆ ฮูหยิน ท่านเห็นแล้วหรือยัง คุณหนูโตแล้ว วันนี้ออกเรือนแล้ว หากท่านมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้ก็คงจะดียิ่งนัก
จ้าวฮูหยินมองเด็กสาวโฉมงามที่เบ้าตาแดงก่ำในกระจก ดวงตามีความสงสารแวบผ่าน กล่าวเกลี้ยกล่อมอย่างเป็นมิตร “วันนี้เป็นวันดีของคุณหนูสี่ ไม่อาจร่ำไห้เป็นเม็ดถั่วทองคำได้ หากจะร้องไห้เป็นถั่วทองคำก็ต้องรอพี่น้องเจ้าหาเครื่องเรือนมารับก่อน”
คำพูดติดตลกทำให้เสิ่นเวยยกมุมปากเบาๆ ยิ้มให้นางด้วยความซึ้งใจ
แต่งหน้าแน่นอนว่ามีผู้ชำนาญการ เรื่องนี้มีสี่เหนียง[1]มาทำ ก่อนหน้านี้เสิ่นเวยบอกนางแล้ว ไม่ต้องแต่งหน้าเข้มจนเหมือนก้นลิง เดิมนางก็มีพื้นฐานดีอยู่แล้ว แต่งเบาๆ ก็พอ ภายใต้การชี้แนะของเสิ่นเวย สี่เหนียงแต่งหน้าแบบธรรมชาติให้นาง มองไม่เห็นร่องรอยการแต่งหน้า แต่กลับรู้สึกว่างามไปหมดทุกส่วน
เมื่อเสิ่นเวยหันหน้ากลับมา ทุกคนก็รู้สึกเพียงในห้องสว่างไสวสามส่วนในชั่วพริบตา เสิ่นเวยที่สวมชุดแต่งงานสีแดงฉานแต่งหน้าแต่งตัว งดงามจนราวกับนางฟ้าตกลงมาจากสวรรค์ชั้นเก้า ทำให้คนละสายตาไม่ได้
“ท่านพี่สี่งามเกินไปแล้วจริงๆ เป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดที่ข้าเคยเห็น” เหอหลินหลินอ้าปากกล่าวอย่างโง่เขลา
ทุกคนพากันพยักหน้า นี่คือเสียงในใจของคนทั้งหมด ในใจเสิ่นเสวี่ยที่ยืนอยู่ตรงมุมอิจฉามากเป็นพิเศษ เทียบกับความเย็นชาในวันที่ตนออกเรือน เสิ่นเวยออกเรือนกลับครื้นเครงอย่างถึงที่สุด นี่จะให้นางสงบจิตสงบใจได้อย่างไร นางกำหมัดแน่น แค่นเสียงหึหมุนตัวออกจากห้องไป
นางกลับอยากพูดจาถากถางหลายประโยค แต่นางไม่กล้า ก่อนหน้านี้นางแค่ปรายตามองเสิ่นเวย
สองครา ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ก็เตือนให้นางอยู่นิ่งๆ มิเช่นนั้นจะส่งนางกลับจวนหย่งติ้งโหว อีกทั้งยังให้พี่รองดูนางไว้ นางในตอนนี้ไม่อยากบุ่มบ่ามเหมือนเช่นแต่ก่อน นางรู้ดีว่าหากนางเสียบ้านฝั่งมารดาที่พึ่งนี้ไป อวี้ซื่อแม่สามีผู้ชั่วร้ายคนนั้นของนางก็สามารถกัดนางได้ ดังนั้นต่อให้นางจะไม่ยินดี ก็ไม่กล้าก่อเรื่องก่อราวที่นี่
ทุกคนออกมาหมดแล้ว ในห้องมีเพียงแม่นมมั่วกับหลีฮวาและสาวใช้คนอื่นๆ อยู่เป็นเพื่อนเสิ่นเวย เสิ่นเวยนั่งอยู่หน้าเตียง ในใจเคียดแค้นอย่างถึงที่สุด พิธีแต่งงานของคนโบราณเหตุใดจะต้องจัดขึ้นตอนพลบค่ำให้ได้ เช้าตรู่ปลุกนางมาทรมานไม่ใช่เป็นทุกข์หรอกหรือ นางไม่ต้องตื่นเช้าเพียงนั้นก็ยังได้
“คุณหนู ท่านหิวแล้วหรือยัง บ่าวไปทำอะไรท่านกินเสียหน่อย พอท่านเขยมาท่านก็กินไม่ได้แล้ว” หลีฮวาพูดพลางถอยออกไป
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง นอกประตูก็มีเสียงฝีเท้าพักหนึ่ง เสิ่นเวยคิดว่าหลีฮวากลับมาแล้ว เงยหน้ามอง กลับเห็นเสิ่นเจวี๋ยน้องชายแม่เดียวกันยืนอยู่ตรงหน้านาง เห็นเพียงเขาก้มศีรษะต่ำ ดวงตาแดงก่ำ
“เป็นอะไร น้องเจวี๋ย” เสิ่นเวยกวักมือเรียกเสิ่นเจวี๋ยเข้ามา
“ท่านพี่ ข้าไม่อยากเสียท่านไป” เสิ่นเจวี๋ยกอดเอวของเสิ่นเวยด้วยความอาลัย แนบศีรษะลงบนขานาง ในจวนนี้มีเพียงท่านพี่ที่ดีต่อเขาที่สุด เขาไม่อยากให้ท่านพี่ออกเรือน
หนึ่งประโยคทำให้หัวใจของเสิ่นเวยอ่อนลง “เด็กโง่ มีอะไรให้อาลัย จวนจิ้นอ๋องก็อยู่ไม่ไกล เจ้าคิดถึงข้าก็ไปหาข้าสิ”
“จริงหรือ” เสิ่นเจวี๋ยเงยหน้าขึ้นฉับพลัน ในดวงตาเต็มไปด้วยความดีใจ ทันใดนั้นบนใบหน้าก็มีความไม่แน่ใจหลายส่วนปรากฎอยู่ “จวนจิ้นกั๋วกงจะไม่ว่าใช่หรือไม่” แม้เขาจะอายุน้อย แต่กลับรู้ว่าเป็นพี่น้องบ้านฝั่งมารดาก็ไม่ควรไปเยี่ยมบ้านบ่อยๆ
ทว่าเสิ่นเวยกลับไม่สนใจ “จะเป็นอะไรไป พี่ไม่ได้อยู่จวนจิ้นอ๋องไปตลอด พี่เขยเจ้าได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นอ๋อง อย่างมากสามถึงห้าเดือนก็ย้ายไปที่จวนจวิ้นอ๋องแล้ว พี่เป็นเจ้านายดูแลบ้าน ต่อให้เจ้าจะเข้าไปพักก็ยังได้ ไม่มีใครว่า”
“อืมๆ” เสิ่นเจวี๋ยพยักหน้าตาลุกวาวไม่หยุด จากนั้นจึงวางศีรษะลงบนขาของพี่สาว ในใจอาวรณ์อย่างถึงที่สุด
หลีฮวาเข้ามาแล้ว ในมือถือเกี๊ยวหนึ่งถ้วย แต่ละชิ้นต่างก็มีขนาดเล็ก เสิ่นเวยอ้าปากก็กินได้หนึ่งตัว “คุณหนู เหลือเวลาไม่มากแล้ว บ่าวคาดว่าท่านเขยใกล้ถึงแล้ว ท่านรีบกินเถอะ” หลีฮวาคีบเกี๊ยวตัวเล็กส่งเข้ามาในปากเสิ่นเวย
เพิ่งจะกินไปได้สองชิ้น ก็เห็นเถาฮวาวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว “คุณหนู คุณหนู ท่านเขยมาแล้ว ใกล้จะถึงหน้าประตูใหญ่แล้ว”
เสิ่นเวยมองเกี๊ยวตัวเล็กในชามปราดหนึ่ง ชั่วขณะก็ร้อนใจเล็กน้อย ผลักเสิ่นเจวี๋ยกล่าว “น้องเจวี๋ยรีบไปกั้นประตู พี่จะกินอิ่มหรือไม่ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” จากนั้นก็สั่งเถาฮวา “เถาฮวาเด็กดี เจ้าแรงเยอะ ไปดันประตูอย่าให้ปิดออก ขอเงินอั่งเปาพวกเขา พอเมื่อไรก็เปิดประตูเมื่อนั้น”
เสิ่นเจวี๋ยกับเถาฮวาไปกั้นประตูด้วยความกระตือรือร้น เสิ่นเวยพอใจอย่างยิ่ง พ่อหนุ่ม ให้เจ้าปีนกำแพงบ้านข้าอยู่บ่อยๆ วันนี้ไม่ให้เจ้าฝ่าห้าด่านสังหารหกขุนพลก็อย่าได้คิดจะเข้ามาเลย
เสิ่นเวยกินเกี๊ยวตัวเล็กของนางอย่างไม่รีบไม่ร้อน สวีโย่วข้างนอกสวมชุดสีแดงขี่ม้าตัวสูงใหญ่นำขบวนรับเจ้าสาวมาถึงหน้าประตูใหญ่จวนจงอู่โหว สวีโย่วที่แต่ไหนแต่ไรเย็นชา วันนี้บนใบหน้ามีความสุขจางๆ ทำให้เขามองดูแล้วไม่ได้สูงส่งเกินเอื้อมเพียงนั้น
เขามองเห็นประตูใหญ่จวนโหวที่ปิดอย่างรวดเร็วมีศีรษะเล็กๆ ทั้งสองชะโงกออกมา จำได้ว่าเป็นน้องภรรยาที่เจอไม่บ่อยนักกับเถาฮวา ในใจก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาในชั่วขณะ พิธีวันนี้คล้ายใหญ่เล็กน้อย แต่ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใดเขาก็จะต้องรับคุณหนูสี่แซ่เสิ่นกลับจวนให้จงได้
[1] สี่เหนียง สตรีที่คอยทำหน้าที่ชี้แนะเจ้าสาว
ตอนที่ 214-1 รับตัวเจ้าสาวและกราบไหว้...
เสิ่นเจวี๋ยยืนอยู่บนบันไดเอ่ยคำขอต่างๆ เสียงดัง เหล่าลูกพี่ลูกน้องข้างกายเขารวมถึงชนรุ่นหลังหมู่บ้านตระกูลเสิ่นก็ตะโกนเรียกร้องขึ้นมาเช่นกัน
สวีโย่วมองเห็นอาจารย์ซูข้างกายเสิ่นเวยในฝูงชนกำลังหัวเราะหึๆ มองเขา ก็รู้สึกท่าไม่ดีทันที แม้อาจารย์ซูผู้นี้จะเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ค่อยปรากฎหน้า แต่จากที่เสิ่นเวยไปซีเจียงให้เขาดูแลความมั่นคงในเมืองหลวงก็เห็นแล้วว่านางให้ความสำคัญต่อเขา ใต้บังคับบัญชาแม่ทัพแข็งแกร่งไร้ทหารอ่อนแอ อาจารย์ซูผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
เป็นดังคาด ขณะที่เสิ่นเจวี๋ยใช้อุบายจนหมดแล้วอาจารย์ซูผู้นี้ก็เข้ามาช่วย คำถามเจ้าเล่ห์แต่ละข้อๆ เปล่งเสียงดังออกมาจากปากของเสิ่นเจวี๋ย สวีโย่วอดรู้สึกจนปัญญาไม่ได้ นี่จะให้เป็นนักกวีหรือว่าจะให้สอบแปลความหมายบทความ ยากยิ่งกว่าสอบขุนนางเสียอีก จะดีจริงๆ หรือ
คนที่ตามสวีโย่วมารับตัวเจ้าสาวนอกจากบุตรหลานในราชสำนักแล้วยังมีบุตรหลานขุนนางสูงศักดิ์ หากเป็นเรื่องกินดื่มสังสรรค์กลับเชี่ยวชาญกันทุกคน แม้จะเป็นการพนัน พวกเขาก็สามารถช่วยเจ้าได้ไม่มากก็น้อย แต่ความสามารถด้านตำราการเรียนกลับอ่อนอย่างถึงที่สุด ในนั้นมีหลายคนที่แม้แต่อักษรยังเขียนเหมือนกับไก่เขี่ย ก่อนหน้านี้ยังโห่ร้องครื้นเครง ตอนนี้กลับถูกคนอื่นทำเอาตกตะลึงแล้ว
สวีโย่วหวังพึ่งพวกเขาไม่ได้ ทำได้เพียงพยายามฝ่าอุปสรรคไปด้วยตัวเอง เขากลับอ่านหนังสือมาไม่น้อย การบ้านยังเคยได้รับคำชมจากฝ่าบาท แต่สองมือยากจะสู้สี่มือ เขาคนเดียวเผชิญหน้ากับคนหนึ่งกลุ่ม เสียเปรียบยิ่งนัก! โชคดีที่ตอนมาเขาดึงผู้ช่วยคนหนึ่งมาจากสำนักราชบัณฑิต มิเช่นนั้นด่านนี้เขาก็คงผ่านไปไม่ได้จริงๆ
ผู้ช่วยที่ถูกสวีโย่วลากมาก็คือเจียงเฉิน กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังสับสนงุนงง เขาเพียงแค่ตามไปดื่มสุรามงคลสมทบที่จวนจิ้นอ๋อง เห็นชัดๆ ว่าคุณชายใหญ่สวีผู้นี้ไม่รู้จักเขา เพียงแต่ได้ยินคนตะโกนเรียกเขาว่าราชบัณฑิตเจียงหนึ่งครา ก็หันหลังกลับสั่งให้เขาตามมารับตัวเจ้าสาวด้วย
โชคดีที่อาจารย์ซูรู้จักความหนักเบาอย่างยิ่ง เมื่อเจียงเฉินท่องกลอนไม่รู้กี่บทจบ เห็นว่าพอได้แล้ว ก็บอกเป็นนัยให้ผ่านด่านนี้ สวีโย่วถอนหายใจอย่างโล่งอก บอกเป็นนัยให้เจียงไป๋ให้ซองแดงแก่เหล่าน้องชายภรรยาของเขา เสิ่นเจวี๋ยน้องภรรยาที่ซื่อสัตย์ที่สุดย่อมได้เยอะที่สุด
ทว่าเถาฮวาที่เฝ้าประตูกลับไม่ยอมเปิดประตูเด็ดขาด โวยวายเสียงดัง “ให้ซองแดง ให้ซองแดง คุณหนูของเราบอกว่าหากให้ซองแดงไม่มากพอก็จะไม่เปิดประตูให้”
ทุกคนหัวเราะร่าพร้อมกัน สวีฉั่งคุณชายสี่จวนจิ้นอ๋องม้วนแขนเสื้อขึ้นอย่างไม่เชื่ออาสาเดินเข้าไปผลักประตู ก็แค่เด็กผู้หญิงไม่ใช่หรือ จะแรงเยอะเพียงใดกัน
ใครจะรู้เขากระทั่งใช้แรงทั้งหมดที่มี ประตูใหญ่บานนั้นก็ยังคงไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว ทุกคนก็หัวเราะครื้นเครงอีกครั้ง เถาฮวาข้างในยังคงตะโกนขอซองแดง ขอซองแดงใหญ่ๆ
สวีฉั่งอัดอั้นจนหน้าแดงก่ำแล้วก็ยังผลักประตูไม่ออก เขาเคยชินกับชีวิตคุณชายแล้ว ไม่รู้สึกขายหน้า หันหลังกลับไปถลึงตามองสหายที่หัวเราะเขา “พวกใจร้ายใจดำ เห็นข้าขายหน้าแล้วพวกเจ้ายังมีเกียรติอยู่อีกหรือ ยังไม่รีบมาช่วยอีก”
ในกลุ่มคนมีสหายสี่คนเดินเข้ามาทันที แต่พวกเขาร่วมกันออกแรง ประตูใหญ่จวนจงอู่โหวก็ยังแน่นิ่งไม่ขยับ เสียงหัวเราะข้างในก็ยิ่งดัง “เถาฮวาน้อยของพวกเราแรงเยอะ พวกท่านรีบให้ซองแดงเถอะ พยานรู้เห็นย่อมมีส่วน ให้หลายๆ ซองหน่อย”
สวีโย่วยืนมือไพล่หลังมองพวกเขาหัวเราะสนุกสนาน ตอนนี้จึงบอกเป็นนัยให้เจียงไป๋ให้ซองแดง งานมงคล งานมงคล ก็ต้องสร้างความครื้นเครงและเสียงหัวเราะจึงจะได้บรรยากาศ ไม่อาจจืดชืดเย็นชาเหมือนกับอะไรดี
เจียงไป๋แจกจ่ายซองแดงออกไปทั้งหมดสิบกว่าซองจากนั้นจึงเคาะประตู ในอ้อมอกเถาฮวากอดซองแดงเจ็ดแปดซองยิ้มจนตาปิด
“เร็วเข้าๆ ท่านเขยเข้ามาในจวนแล้ว รีบไปรายงานด้านใน” พ่อบ้านใหญ่ตะโกนเสียงดัง
สวีโย่วนำขบวนรับตัวเจ้าสาวเดินเข้าไปในจวน ทว่าเขาดีใจเร็วเกินไป หน้าประตูเรือนเฟิงหวาเหล่าชนรุ่นหลังของหมู่บ้านตระกูลเสิ่นยืนวางมาดรออยู่นานแล้ว พวกเขาสวมชุดสีดำ ช่วงเอวมัดผ้าคาดเอวสีแดง ในมือถือทวนยาวเหมือนกัน บนทวนยาวก็มีผ้าสีแดงสดผูกอยู่เช่นกัน
โอวหยางไน่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย โบกมือบัญชา ชนรุ่งหลังเหล่านี้ของหมู่บ้านตระกูลเสิ่นก็ตั้งแนวรบทันที ตะโกนเสียงดังก้องโสตประสาท พลังที่พุ่งออกมานั้น เหล่าสหายที่มารับตัวเจ้าสาวต่างก็อ้าปากค้าง พากันส่งสายตาเห็นใจไปยังเจ้าบ่าว
ทว่าสวีโย่วกลับไม่ประหลาดใจเลยแม้แต่นิดเดียว น้องสี่แซ่เสิ่นเด็กชั่วผู้นั้น จะให้เขาอุ้มหญิงงามกลับง่ายๆ ได้อย่างไร
หลีฮวายืนทำความเคารพอย่างงดงามอยู่บริเวณประตูลานบ้าน “ท่านเขย คุณหนูของเรารออยู่ในห้องเจ้าค่ะ” ความหมายนั้นไม่ต้องบอกก็รู้ อยากแต่งคุณหนูของพวกข้าเช่นนั้นก็ต้องแสดงความสามารถออกมา
เถาฮวาแทรกตัวผ่านช่องว่างอย่างคล่องแคล่ว วิ่งไม่กี่ก้าวก็เข้าไปในลานบ้านแล้ว ยังไม่ลืมที่จะหันหน้ากลับมาแลบลิ้นให้เหล่าสหายที่มารับตัวเจ้าสาวที่ยืนตะลึงงันอยู่
“คุณหนู คุณหนู ดูสิว่าข้าได้ซองแดงมาเยอะเลย” เถาฮวาหยิบซองแดงในอ้อมอกให้เสิ่นเวยดูอย่างดีใจ ดวงตาเปล่งประกาย ราวกับเด็กที่รอคำชม
เสิ่นเวยย่อมชมนางอย่างไม่งกเลยแม้แต่นิดเดียว “ทำดีมาก คราวนี้เถาฮวาก็รวยแล้ว” ไม่ต้องยื่นมือไปจับเสิ่นเวยก็รู้ว่านี่เป็นซองใหญ่ เถาฮวาเป็นคนที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดข้างกายนาง ขอเพียงแค่ตาไม่บอดใครบ้างจะกล้าปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
ถวาฮวามีความสุขมากกว่าเดิม “คุณหนู คุณหนู ข้ากั้นท่านเขยอยู่พักใหญ่ เขาอยู่นอกเรือนของพวกเรา จะให้ข้าไปปิดประตูอีกหรือไม่
เสิ่นเวยลูบศีรษะของเถาฮวา กล่าว “ไม่ต้องแล้ว เถาฮวาอยู่เป็นเพื่อนข้าในห้องเถอะ มีอาจารย์โอวหยางอยู่ เขาไม่มีทางเข้ามาได้ง่ายขนาดนั้นหรอก” มุมปากของเสิ่นเวยยกสูง อารมณ์ดียิ่งนัก
นายท่านผู้เฒ่าโหวและคนอื่นๆ ในจวนรู้เรื่องแนบรบหน้าประตูเรือนเฟิงหวาแล้ว ลุงทั้งสองของเสิ่นเวยตกตะลึงจนอ้าปากค้างเช่นเดียวกับเหล่าสหายที่มารับตัวเจ้าสาว สีหน้าของพ่อนางก็ไม่ดีอย่างยิ่งเช่นกัน “สร้างเรื่อง เวยเอ๋อร์สร้างเรื่องเกินไปแล้ว” หันหลังกลับกำลังจะเดินไปข้างนอก
“เจ้าจะไปไหน” นายท่านผู้เฒ่าโหวเหลือบตาขึ้น
“ลูกจะไปดูเสียหน่อย ให้ผู้ช่วยเด็กซนเหล่านั้นรีบๆ ออกไป” เวยเอ๋อร์ดื้อรั้นเอาแต่ใจเช่นนี้ หากท่านเขยโมโหขึ้นมาจะทำอย่างไร วันมงคล วุ่นวายแล้วคงจะไม่ดีอย่างยิ่ง
“กลับมา” นายท่านผู้เฒ่าโหววางแก้วชาลงบนโต๊ะทันที ชายตามองลูกคนที่สามปราดหนึ่งอย่างไม่ยินดีนัก กล่าวเสียงเรียบ “เวยเอ๋อร์ไหนเลยจะทำไม่ดี หลานสาวของข้าเสิ่นผิงยวนจะแต่งงานได้ง่ายๆ เพียงนั้นเชียวหรือ ไม่แสดงความสามารถออกมาก็คิดจะแต่งไข่มุกล้ำค่าในมือของข้าเสิ่นผิงยวนไปหรือ เหอะ!”
เสิ่นหงเซวียนมองใบหน้าโกรธเกรี้ยวของพ่อเขา สุดท้ายก็ไม่กล้าออกไป
สหายที่มารับตัวเจ้าสาวแม้ว่าด้านการเรียนจะไม่ปราดเปรื่องนัก แต่อย่างน้อยๆ ก็พอจะเป็นยุทธ์อยู่บ้าง ด้วยเหตุนี้หลังคนหนึ่งกลุ่มหายตกใจแล้วก็ถูฝ่ามืออยากลงประลอง วิ่งเข้าไปในลานบ้านทันที ยังไม่ทันได้แสดงหมัดมวย ก็ถูกชนรุ่นหลังหมูบ้านตระกูลเสิ่นโยนออกไปทีละคนๆ แล้ว จนตรอกยิ่งนัก
สวีโย่วเองก็ไม่ได้หวังจะพึ่งพวกเขา เขาลูบจมูก ก้าวไปข้างหน้าช้าๆ โอวหยางไน่ประจันหน้าเข้ามาทันที อันที่จริงในใจเขาก็จนปัญญา คุณหนูบอกแล้วว่า หากเขากล้าปล่อยให้เข้ามา เขาก็ต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง เพื่อที่จะไม่รับผิดชอบเขาจึงจำเป็นต้องขวาง!
ทว่าสวีโย่วกลับไม่ได้ตั้งรับกระบวนท่าของโอวหยางไน่ แต่กวาดสายตามองเจียงไป๋และคนอื่นๆ ปราดหนึ่ง เจียงไป๋และคนอื่นๆ กระโดดออกไปก่อตัวเป็นบันไดคน สวีโย่วใช้พลังที่รวดเร็วไม่อาจตั้งตัวเหยียบบันไดคนอาศัยแรงคนหลายขั้นก็ข้ามผ่านยอดศีรษะของชนรุ่นหลังหมู่บ้านตระกูลเสิ่นแล้ว เหล่าชนรุ่นหลังหมู่บ้านตระกูลเสิ่นยังไม่ทันได้สติกลับมา สวีโย่วก็กางปีกใหญ่อันงามสง่าตกลงบนพื้นแล้ว เขาหมุนตัวยกมุมปากเบาๆ ให้ทุกคน ชุดแดงทั้งร่างไม่ยับเลยแม้แต่นิดเดียว เดินเข้าไปในเรือนด้วยความผ่าเผย
ทุกคนตกใจจนคางแทบจะหล่นลงมาแล้ว ไม่ใช่ว่ากันว่าคุณชายใหญ่เป็นคนขี้โรคหรอกหรือ คนขี้โรคสามารถใช้วิชาตัวเบาที่ยอดเยี่ยมเป็นอันดับหนึ่งเพียงนี้ได้ด้วยหรือ เจ้าเชื่อหรือไม่ ทุกคนมองหน้ากันไปมา พากันส่ายหน้า
ไม่ใช่บอกว่าคุณชายใหญ่เป็นคนหน้าตายยิ้มไม่เป็นหรือ เมื่อครู่คนที่ยิ้มจนพวกเขาสั่นสะท้านผู้นั้นคือใคร
“เข้ามาแล้ว เข้ามาแล้ว ท่านเขยเข้ามาแล้ว” เหล่าสาวใช้ร้องตะโกน
ฮูหยินสวี่กับฮูหยินจ้าวที่รอต้อนรับอยู่ข้างนอกก็เร่งฝีเท้าเข้ามา “ผ้าคลุมหน้าเล่า รีบคลุมให้เวยเอ๋อร์!”
แม่นมมั่วสวมมงกุฎหงส์ลงบนศีรษะของเสิ่นเวยอย่างรวดเร็ว หลีฮวาคลุมผ้าคลุมหน้าสีแดงฉานบนศีรษะนางทันที เสิ่นรู้สึกเพียงคอถูกกด ดวงตาแดงก่ำ เอาล่ะ เหตุใดถึงไม่มีใครบอกนางว่ามงกุฎหงส์หนักเพียงนี้ แทบจะกดจนลำคอเล็กๆ ที่บอบบางของนางหักอยู่แล้ว
ตอนที่สวีโย่วเข้ามาก็มองเห็นเสิ่นเวยยืนอยู่อย่างดงามตรงนั้น สีแดงที่สะท้อนเข้ามาในม่านตาทำให้หัวใจของเขาอบอุ่น เขาก้าวเข้ามาหาเสิ่นเวยช้าๆ “ข้ามาแล้ว”
คำสามคำง่ายๆ ถูกสวีโย่วพูดออกมาได้อย่างอ่อนโยนที่สุด ใช่ ข้ามาแล้ว ข้ามเขาข้ามน้ำพันหมื่นลี้เพื่อมาแต่งเจ้า! แม่นางผู้เป็นที่รัก ข้าจะเอาความรักและชีวิตของข้ามอบให้ด้วยสองมือ ท่ามกลางความงามนับพันหมื่นเจ้าจะยอมออกไปเผชิญพร้อมกับข้าหรือไม่ นับจากนี้ไปน้ำค้างยามเช้าจะเฝ้ารอเจ้า อาทิตย์อัสดงจะร้องเพลงให้เจ้าฟัง แม่นางผู้เป็นที่รักของข้า ชั่วชีวิตนี้พวกเราจะจับมือกันเดินไปบนเส้นทางธุลีแดง
เสียงประทัดข้างนอกดังขึ้น เสิ่นเวยกับสวีโย่วถูกทุกคนติดตามไปกราบลาญาติที่เรือนใหญ่
นายท่านผู้เฒ่ากับนายหญิงผู้เฒ่านั่งตัวตรงอยู่ในห้องโถง เสิ่นเวยคุกเข่าลงกับพื้นโขกศีรษะสามครั้งอย่างตั้งใจจริง สวีโย่วเป็นจวิ้นอ๋อง ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าไหว้ แต่เขาก็ยังคงเลิกชุดคลุมนั่งคุกเข่าลงตรงหน้านายท่านผู้เฒ่าโหวเป็นเพื่อนเสิ่นเวย เขารู้ว่านายท่านผู้เฒ่าโหวเป็นคนที่ภรรยาของเขาเคารพที่สุด
นายหญิงผู้เฒ่ารู้สึกมีเกียรติมากเป็นพิเศษ รอยยิ้มบนใบหน้าก็จริงใจขึ้นหลายส่วน กล่าวกับเสิ่นเวยว่าหลังแต่งงานต้องเคารพผู้อาวุโส เชื่อฟังสามี รักใคร่กับน้องสะใภ้ต่างๆ นานาหลายประโยคด้วยใบหน้าเมตตาอ่อนโยน
ทว่านายท่านผู้เฒ่าโหวกลับมีสีหน้าเคร่งขรึมไม่พูดจา เขาไม่ยินดี ไม่ยินดีเลยแม้แต่นิดเดียว คุณชายใหญ่สวีคุกเข่าให้เขาเขาเองก็ไม่ยินดี ไข่มุกในมือที่ล้ำค่าของเขาถูกเด็กชั่วผู้นี้แต่งไปแล้ว เขาจะทำหน้าดีๆ ให้เขามองได้อย่างไร
“ท่านพ่อ วันนี้เป็นวันมงคลของเวยเอ๋อร์ ท่านสั่งเสียเวยเอ่อร์สักหน่อยเถิด” เสิ่นหงเหวินสามพี่น้องข้างๆ เป็นกังวลยิ่งนัก ท่านเขยสี่จวิ้นอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ให้เกียรติขนาดนี้แล้ว แต่ท่านพ่อกลับยังหน้าดำคร่ำเครียด พวกเขากลัวว่าท่านพ่อจะทำอะไรที่ไม่เหมาะสมออกมา
นายท่านผู้เฒ่าโหวมองลูกชายสามคนอย่างไม่พอใจปราดหนึ่ง กล้ำกลืนอยู่นานจึงกล่าวกับหลานสาวหนึ่งประโยค “หากชีวิตไม่ราบรื่นก็กลับจวน เรื่องที่ใหญ่เท่าฟ้าปู่ก็แบกรับแทนเจ้าได้”
หนึ่งประโยคแทบจะทำให้เสิ่นเวยน้ำตาไหล นางกัดริมฝีปากกล่าวเสียงเบา “เจ้าค่ะ หลานทราบแล้ว” นางโขกศีรษะด้วยความเคารพนบนอบให้ท่านปู่อีกครั้งจึงลุกขึ้น
“ท่านปู่วางใจ ไม่มีวันนั้นหรอก” สวีโย่วมองคนข้างกาย สาบานอย่างหนักแน่น
นายท่านผู้เฒ่าโหวมองเขาอย่างเย็นชา แค่นเสียงอยู่ในจมูกไม่เปล่งออกมา สายตาถลึงมองหลานเขยที่ฉกฉวยผลประโยชน์อย่างไม่ยินดี กล่าวเตือน “จำคำเจ้าไว้แล้วกัน”
สวีโย่วเลิกคิ้ว ถือเป็นคำตอบ
กราบลาปู่ย่าแล้ว ต่อไปก็กราบลาพ่อแม่ เสิ่นเวยกับสวีโย่วโขกศีรษะให้ท่านพ่อและแท่นบูชาท่านแม่สามครั้ง เทียบกับความรู้สึกที่ซับซ้อนของเสิ่นหงเซวียน ความรู้สึกของเสิ่นเวยสงบนิ่งยิ่งกว่า เดิมนางก็ไม่ได้มีความผูกพันกับบิดาผู้นี้อยู่แล้ว หวังจะเห็นนางร้องห่มร้องไห้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ข้างนอกมีเสียงครึกครื้นดังขึ้น ประทัดที่งานแต่งจุดขึ้นสามครั้งแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น