ท่านเทพมาแล้ว 213-216

 บทที่ 213 ข้าผิดเอง

โดย

Ink Stone_Romance

“เกิดอะไรขึ้น?!”


ไกลออกไปพลันมีเสียงซ่างกวนสุ่นดังมา จากนั้นอ๋าวเชินปรากฏตัวขึ้น อวิ๋นฉัวกับอาฝูก็โผล่ออกมาจากอีกฝั่งหนึ่งด้วย


เห็นภาพแบบนี้ทุกคนล้วนตะลึงงัน!


ต้นไม้ล้อมรอบป่าด้านนอกระเนระนาดไปทั้งผืน ภูเขาหลายลูกรอบด้านถูกฟันจนกลายเป็นกองหินระเกะระกะ ทั้งร่างมู่จิ่วที่อยู่กลางอากาศเต็มไปด้วยเลือด กำลังต่อสู้กับลู่ยาเหมือนเป็นอีกคน! นางต่อสู้กับลู่ยา! นาง! นางที่แม้แต่เทพเซียนยังไม่ได้เป็น!


ไม่เพียงต่อสู้กันเท่านั้น การโจมตีของนางกำลังบีบคั้นกดดันลู่ยาให้ถอยร่นไปทีละก้าว ลู่ยาถึงแม้ยังไม่เห็นลางแพ้ แต่กลับเพียงตั้งรับไม่โจมตี ไม่เพียงไม่โจมตี แม้แต่พลังลมปราณก็ไม่ได้ใช้ออกมาเต็มกำลัง!


แต่มู่จิ่วแสดงที่ท่าต้องการเข่นฆ่า นางต้องการสังหารลู่ยา!


ไม่มีใครสามารถอธิบายเหตุการณ์นี้ได้ และยิ่งไม่มีใครสามารถครุ่นคิดภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เรื่องเหนือความคาดหมายเช่นนี้มีใครเดาออกได้บ้าง?


มีคนต้องการสังหารลู่ยา ใครจะสามารถหยุดยั้งได้?


ทุกคนล้วนถูกตรึงนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ควรออกหน้าไปหรือไม่ ยิ่งไม่รู้ว่ามีความสามารถจะออกหน้าไปหรือเปล่า!


ลู่ยานั่งอยู่บนแท่นดอกบัวทองสามสิบหกชั้น มองดูกระบี่ที่ทิ่มแทงเขตพลังเข้ามาตรงๆ ไม่ขยับและไม่โจมตีกลับ


ไม่ใช่เขาหนีไม่ได้ ไม่ใช่สู้ไม่ได้ แต่นางแบกพลังลมปราณทั้งร่างมา นี่คือทั้งหมดของนางแล้ว อีกอย่างนางคือจุดอ่อนของเขา เขาไม่อาจลงมือ ไม่อาจเสี่ยงอันตราย หากมีข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อย ในฟ้าดินก็ไม่มีนางอีกแล้ว


คมกระบี่นั้นเหมือนดาวตก เหมือนฟ้าแลบ ห่างจากเขาครึ่งลี้ สิบจั้ง สามฉื่อ เขาหลับตาลง คลายพลังลมปราณทั้งร่างลง เหมือนกับลูกแกะรอถูกเชือด ยอมรับการเชือดของนาง


นี่เป็นโอกาสที่ไร้ข้อผิดพลาดเพียงหนึ่งเดียวที่เขาทำได้ ตอนคมกระบี่สัมผัสถึงผิวกาย พลังฤทธิ์ของนางต้องทะลุเข้ามาทั้งร่างเขา เขามีโอกาสในพริบตานั้นใช้พลังบำเพ็ญอันไร้ขอบเขตกลับปกคลุมนาง พลังของนางก็จะถูกเขากดกลับไป


มู่จิ่วมองใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยนี้ ในใจพลันมีความไม่พอใจอันไม่คุ้นเคย เขาไม่เหมือนลู่ยา! ไม่เหมือนเลยสักนิด! ลู่ยาใส่เสื้อสีขาวแต่เขาใส่เสื้อสีดำ ลู่ยารวบผมเขากลับปล่อยผมยาว ตาของลู่ยาเหมือนดาวตก แต่ตาของเขากลับเหมือนสระลึก ความงามของลู่ยาเหมือนดวงอาทิตย์อันอบอุ่น แต่บนร่างเขากลับมีเพียงความเย็นเยียบเหมือนน้ำแข็ง!


นางเพียงรู้ว่านางต้องการสังหารเขา นางต้องการสังหารเขา!


นางมองคมกระบี่แทงเข้าอกด้านหน้าเขาตรงๆ ไม่มีอะไรขวางกั้นแม้แต่น้อย เขาที่อยู่หน้ากระบี่เหมือนสงบนิ่งรอการแทงของนาง!


นางต้องการสังหารเขา นางต้องการสังหารเขา…


…แต่ ทำไมนางถึงอยากสังหารเขา?


เขาไม่ได้ทำผิดอะไร ทำไมนางต้องอยากสังหารเขา…


ในสมองของนางพลันปรากฏลำแสงกระจ่างวาบผ่านเข้ามา และเหมือนกับเมล็ดพันธุ์ใต้หินที่พยายามงอกเงยขึ้นมาอย่างยากลำบาก!


ใบหน้าอบอุ่นปรากฏขึ้นมาบนหน้าที่เย็นชานั้น เป็นลู่ยา เป็นลู่ยา!


“คนที่บำเพ็ญเป็นเซียนไม่ใช่เพียงเพื่อหนทางอายุยืนไม่แก่เฒ่าเท่านั้น สำคัญที่สุดคือใช้วิชาเซียนเผยแพร่สั่งสอน สร้างสุขให้สรรพสัตว์…”


“จำไว้ให้ดีว่าจงใช้สำนึกดีเป็นหนทางในการดำเนินชีวิต…”


กำไลทองบนข้อมือมีเสียงเสียดหูดังขึ้นมาเป็นคลื่นๆ กระบี่ที่อยู่ห่างจากอกลู่ยาไปหนึ่งชุ่นหยุดลง!


“อาจารย์…”


นางพึมพำ ดวงตาทั้งสองมองไปข้างหน้า อาจารย์? นางนิ่งอึ้ง วินาทีถัดมา พลังฤทธิ์ที่หยุดลงกะทันหันผลักนางไปโดยไม่อาจรักษาท่วงท่าไว้ นางร้องเสียงขึ้นจมูกและกระอักเลือด คมกระบี่พุ่งไปข้างหน้า! แต่ก่อนที่จะพุ่งไปนางรีบปล่อยมืออย่างรวดเร็ว…กระบี่ยาวร่วงลงไปใต้เมฆ นางปิดตาล้มลงไปข้างหน้า จมดิ่งลงไปเหมือนกับหิน!


“อาจิ่ว!”


ลู่ยาที่สงบใจรอโอกาสควบคุมนางหลังจากนางแทงเข้ามา คิดไม่ถึงเลยว่านางจะชักมือกลับ!


ชักมือกลับครั้งนี้ นางยังมีชีวิตอยู่ได้หรือ?!


เขาลงจากแท่นดอกบัวตามไปโดยไม่ต้องคิด ใช้ความเร็วมากที่สุดยื่นมือไปหานาง!


เสียงร้องเสือที่เต็มไปด้วยความกังวลของอาฝูก้องไปทั่วหุบเขา กระโจนตัวเข้าไปราวกับฟ้าแลบในพริบตานั้น!


เขารับตัวมู่จิ่วที่ร่วงลงได้กลางอากาศ และตอนนี้ลู่ยาใช้พลังเสวียนหมิงไร้เทียมทานสร้างเขตพลังขึ้นมาปกป้องร่างนางพอดี พลังของนางถูกพลังเสวียนหมิงกักไว้อย่างแน่นหนา ไม่มีทางพุ่งออกมาและไม่มีทางใช้ได้ เขาหมุนแท่นดอกบัว ร่อนลงไปบนพื้น กอดนางนั่งกลับลงไป จากนั้นผนึกชีพจรนาง ใช้พลังลมปราณชี้นำพลังนางให้กลับเข้าที่


แสงทองสองสายบนแท่นดอกบัวทองเกี่ยวพันและเข้าต่อสู้โรมรัน ต่อเนื่องไปครึ่งชั่วยามเต็มๆ เมฆทะมึนที่รวมตัวกันก่อนหน้านี้ค่อยๆ สลายไป แสงสว่างบนร่างมู่จิ่วหายไปทีละน้อย


รอบด้านค่อยๆ ฟื้นคืนความสงบ รวมถึงพวกอ๋าวเชินที่มองอย่างตกตะลึง


ลู่ยาเก็บมือพลางมองนางที่นั่งตัวอ่อนอยู่ข้างหน้า ไม่รู้เพราะอย่างไร เบ้าตาพลันแสบร้อนขึ้นมาบ้าง


นางตรงหน้ายังคงเป็นเด็กสาวน่ารักและโง่งมที่ชอบกระโดดโลดเต้นคนนั้นหรือไม่?


เป็นเขาที่ผิดเอง หากไม่เพราะเขามุทะลุจากไป นางจะตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ได้อย่างไร? หากไม่เพราะเขาหุนหันพลันแล่น ทั้งหมดคงไม่เป็นแบบนี้


มู่จิ่วยังคงก้มหน้านั่งขัดสมาธิอย่างไร้เรี่ยวแรงบนแท่นดอกบัว เหมือนผีดิบที่เหลือสัญญาณชีวิตเพียงแผ่วเบา


ในหัวของนางยังคงหลงเหลือความเจ็บปวด แต่เวลาเล็กน้อยเพียงครึ่งชั่วยามแบบนี้ ก็เพียงพอให้นางฟื้นคืนสติกลับมา


นางเกือบสังหารเขาแล้ว


ใช่แล้ว นางไม่รู้ว่าเขากลับมาตอนไหน และไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงกลับมา ยิ่งไม่รู้ว่าทำไมถึงเห็นเขากลายเป็นคนอื่น! รู้เพียงว่าอีกนิดเดียวก็จะแทงกระบี่ยาวเข้าอกเขาแล้ว


นางไหนเลยจะยังมีหน้าไปเผชิญกับเขา


นางไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไร รู้สึกแต่ว่าเหนื่อยยิ่งนัก


เหนื่อยจนแม้แต่ไม่มีแรงจะเสียใจและหวาดกลัว


นางไม่รู้ว่านางคือใคร? ช่างไม่คุ้นเคยนัก


นางต้องการพักผ่อนสักหน่อย คิดดีๆ สักครู่


มู่จิ่วลุกขึ้นมา โอนเอนลงจากแท่นดอกบัว มองไปรอบด้าน ก่อนเดินไปตามทางหินที่ค่อนข้างราบเรียบ “เจ้าจะไปไหน!”


ลู่ยาลุกขึ้นยืน เดินเร็วหลายก้าวไปด้านหลังนาง “ตอนนี้เจ้าเป็นแบบนี้ แม้แต่ขี่เมฆยังทำไม่ได้ แล้วจะไปไหนได้!”


มู่จิ่วยันหินก้อนใหญ่ข้างตัวให้ยืนนิ่ง คอไร้เสียงจนแม้แต่พูดก็เหมือนผลักประตูหินที่ถูกผนึกไว้พันหมื่นปี ไม่มีเสียงที่ชัดเจน


ไม่ใช่นางไม่มีคำใดจะพูด แต่ในสมองนาง คำที่อยากพูดออกมามีมากเกินไป สับสนเกินไป


ลู่ยาใจบีบรัดแน่น


เขาเดินไปตรงหน้านาง จับมือนางขึ้นมา “ข้าจะส่งเจ้ากลับไป!”


มู่จิ่วส่ายหน้า ดึงมือออกมา นางปวดหัวมาก นางต้องการสงบใจจริงๆ


ลู่ยาพูด “เป็นข้าผิดเอง ข้าไม่ควรทิ้งเจ้าไว้ ไม่ควรพูดคำเหล่านั้นให้เจ้าโกรธ!”


มู่จิ่วส่ายหน้าอีก ไม่ใช่ความผิดเขา ไม่ใช่ความผิดเขา นางเพียงแต่เหนื่อยมาก ร่างนางเหมือนกับศพเดินได้ นางไม่รู้ว่าควรพูดอะไร และก็ไม่อยากพบใครทั้งนั้น เขาต้องไม่รู้ว่านางเสียใจขนาดไหนแน่ นางเกือบโดนพลังวิญญาณขุมนั้นทรมานจนตายแล้ว!


นางต้องไปหาคำตอบ ต้องรู้ชัดเจนให้ได้ว่านางเป็นอะไร


“กัวมู่จิ่ว!”


ลู่ยาอดกลั้น ตะโกนด้วยความโกรธกริ้ว


นางหยุด เนิ่นนานกว่าจะหันกลับมา


ลู่ยากัดฟันไม่ส่งเสียง


นางลองมาหลายครั้งแล้ว สุดท้ายเปิดปากอย่างยากลำบาก “ข้าขอโทษ ลู่ยา ข้าผิดไปแล้วจริงๆ เจ้าให้อภัยข้าเถอะ”


ริมฝีปากลู่ยาสั่นเทา สีหน้าไม่น่าดูขนาดนั้นแล้ว


เขาต้องการคำขอโทษของนางหรือ? เขาไม่ต้องการ! เขาเพียงต้องการให้นางออดอ้อน ออเซาะ แบบนี้ก็ทำไม่เป็นหรือ?!


“เจ้ามานี่ มาให้ข้ากอด” เขาปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง ข่มกลั้นความเศร้าในใจขณะยื่นมือไปหานาง


…………………………………………


บทที่ 214 โลกสองใบ

โดย

Ink Stone_Romance

เขาอยู่บนเนิน นางอยู่ใต้เนิน นางไหนเลยจะยังมีกำลังปีนขึ้นไป?


แต่นางก็ยังขยับ โอนเอน เดินซวนเซเข้าไปหาเขา


ลู่ยาโอบนางไว้ในอก ดวงตาปิดลง น้ำตารินไหลลงมา


เขาจูบผมบนหน้าผากนาง คิ้วของนาง น้ำตาของนาง นางเป็นเด็กดื้อรั้น แต่อ้อมกอดของเขาว่างเปล่า มีนางถึงจะสมบูรณ์


เขาเข้าใจว่าตนเองสูงส่งจนไม่ต้องสนใจนางอีกก็ได้ แต่ชะตาชีวิตกลับชัดเจนกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก


มู่จิ่วกำเสื้อของเขาไว้แน่น พลันพูดออกมาตอนอยู่ในอ้อมกอดเขา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร?”


โผเข้ามาคือสัญชาตญาณ นางรู้โดยสัญชาตญาณว่าเขาคืออ้อมกอดที่ปลอดภัยที่สุด แต่ทั้งสมองของนางยังท่วมท้นไปด้วยความสับสน


นางเงยหน้ามองเขา ในสายตาไม่มีความดีใจ ไม่มีความตื่นเต้น มีเพียงความสงสัยและสับสน


หากเป็นแต่ก่อน บางทีนางอาจจะอาศัยโอกาสนี้ออดอ้อนออเซาะ ใช้โอกาสนี้เปิดเผยความในใจ แต่สถานการณ์ตอนนี้เอื้อให้นางหรือ?


ความขัดแย้งยังไม่คลี่คลาย


ลู่ยาชะงักมือ แต่กลับยังไม่คลายออก “เจ้าเป็นคู่หมั้นของข้า ตอนนี้สัมผัสไม่ได้ถึงพลังนั้นในร่างกายของเจ้าแล้ว ข้ายังไม่รู้ว่าพลังวิญญาณของบ่อน้ำดำก่อเรื่องขึ้นมาหรือเกิดจากร่างกายเจ้า แต่ข้ามั่นใจได้ว่า การที่มันระเบิดออกมามีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังวิญญาณในป่านี้อย่างมาก อาจิ่ว ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร เจ้าเป็นของข้า”


มู่จิ่วไม่ได้พูดสิ่งใด


ผ่านไปนาน นางจึงเอ่ย “ทำไมเจ้าถึงชอบข้า?”


สายตาลู่ยาเรียบนิ่ง ไม่พูดอะไร


คำถามนี้เขาก็เคยถามตัวเองมาก่อน แต่กลับหาคำตอบไม่เจอ


มู่จิ่วหลังชิดหิน มุมปากยกขึ้น “บางทีข้าคนนี้อาจมีพรสวรรค์อยู่บ้าง ตอนบำเพ็ญเป็นเซียนสามารถเลื่อนขั้นได้เร็วกว่าผู้อื่นหน่อย แต่ในโลกเทพโลกเซียนสองโลกนี้ แท้จริงไม่นับเป็นอะไรได้ นิสัยข้าก็ไม่ใช่ว่าดีมากนัก ทั้งยังโง่งม ข้าคิดว่าที่ตอนแรกสุดเจ้ามีความรู้สึกต่อข้า เป็นเพียงเพราะว่าเช้าจรดค่ำอยู่ด้วยกัน ทำให้เจ้าสัมผัสถึงความดีเล็กน้อยของข้า ใช่หรือไม่?”


ลู่ยาพูดไม่ออก


มู่จิ่วมองเขา “ลู่ยา เจ้ายกโทษให้ข้าแล้วจริงหรือ? หากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ หลังจากที่ข้าให้ผู้อื่นยืมกำไลไปแล้ว เจ้ายังโกรธข้าหรือไม่?”


ลู่ยายังคงไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร


เขาคงยังโกรธ สิ่งที่เขาใส่ใจคือสิ่งที่นางปฏิบัติต่อเขา นางปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างไร แท้จริงเขาเคยไม่สนใจมาก่อน


มู่จิ่วมองเขา สองตาสงบนิ่งเหมือนกับท้องฟ้าฝนตกยามค่ำคืน “เจ้ารู้หรือไม่? เมื่อครู่ในพริบตานั้นข้าคิดว่าจะเปลี่ยนเพื่อเจ้า เปลี่ยนไปเป็นแบบที่เจ้าหวัง ข้าอยากเปลี่ยนไปเห็นแก่ตัวที่ในสายตามีเพียงเจ้าคนเดียว”


“แต่สุดท้ายแล้วข้าก็ยังทำไม่ได้ อ๋าวเจียงได้รับบาดเจ็บ ข้าหวังว่าจะมีคนช่วยเขาได้ ข้าเอากำไลให้เขายืม ข้าเพียงถอดออกไปเพราะอยากให้เจ้ารู้ว่าเขาอยู่ไหน”


“หากไม่ใช่อ๋าวเจียง บางทีข้าอาจจะโดนไฟกลืนกินไปแล้วก็ได้ ธาตุทองของข้ากับธาตุน้ำของอ๋าวเจียงล้วนเป็นธาตุพิฆาตกับไฟ หากไม่ใช่เขาที่สละตนช่วยข้า เช่นนั้นข้าคงนอนตายอยู่ที่นั่นแล้ว ข้าคิดว่าในเมื่อเขาสามารถสละชีพช่วยข้าได้ ข้าก็สให้เบาะแสแก่เจ้าให้เจ้ามาช่วยเขาได้ นี่เทียบกับช่วยข้าแล้วมีอะไรต่างกัน?”


“หากข้านำมันติดตัวไป ก็ไม่แน่ว่าเจ้าจะสามารถหาข้าได้เร็วกว่านี้ ข้าไม่ได้ไม่ใช้มันติดต่อเจ้า แต่ในป่านั้นข้าไม่มีหนทางใช้พลังฤทธิ์ส่งไปได้เลย”


“ข้ารู้ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ในเมื่อข้ารับปากแล้วว่าจะไม่ถอดมันออกส่งเดช เรื่องนี้ข้ายอมรับ”


“แต่เจ้าก็รู้ว่าข้าโง่ ข้าคิดไม่ออกถึงวิธีอื่น หากคนที่ช่วยข้าตายไปเพราะข้า ถ้าเป็นเช่นนั้นข้ายินดีให้ตนเองตายมากกว่า”


“ข้ารู้ความในใจของเจ้า และข้าก็รู้ว่าเจ้าปกป้องข้าทุกอย่าง แต่ลู่ยา ข้าก็มีหลักการในการดำรงชีวิตของข้า หากตอนแรกข้าไม่ใช่คนดีพร่ำเพรื่อเช่นนี้ ข้าจะพาเจ้ากลับสวรรค์ได้อย่างไร? จะเชื่อคำโกหกของเจ้าแล้วรับเจ้าไว้ได้อย่างไร? ปีนั้นหากข้าไม่ทำตามใจออกหน้าแทนหลานศิษย์ จะพบเจอเจ้าที่ด้านล่างเขาหงชางได้อย่างไร?”


“ข้าไม่คิดว่ามีจิตใจดีเป็นเรื่องผิด ดังนั้นข้าจึงไม่อาจเปลี่ยนเป็นคนเห็นแก่ตัวเพื่อเจ้า พอพูดจากจุดนี้ ข้าคิดว่าบางทีข้าคงชอบเจ้าไม่มากพอจริงๆ ข้ายังคงใส่ใจท่าทางของข้าในสายตาเจ้ามาก หากเจ้าด่าข้า ด่าข้าว่าไม่น่าไม่รอบคอบ ข้าล้วนยอมรับ แต่หากเจ้าบอกว่าข้าเสแสร้งเป็นคนดีมีเมตตา ข้าออกจะรู้สึกเสียใจ”


“แต่เดิมข้าเป็นเพียงคนโง่ที่ทนมองคนได้รับความลำบากไม่ได้ หากข้าปล่อยอ๋าวเจียงทิ้งแล้วจากไป ข้าก็ไม่ใช่ข้าแล้ว แต่ข้ายังรู้ว่าตนมีความผิด หากข้าฉลาดหน่อย บางทีอาจคิดวิธีการที่ดีกว่านี้ หรือหากข้ามีความสามารถหน่อย ข้าคงไม่จำเป็นต้องให้อ๋าวเจียงช่วย ไม่ต้องรอให้เจ้ามาช่วยข้าคลี่คลายทุกเรื่อง”


“แต่ลู่ยา ตอนนี้ข้าสามารถทำได้แค่นี้ หากไม่พบเจอเจ้า ข้ายังคงสามารถมีชีวิตของตนเอง หากไม่ได้พบเจอเจ้า ข้าก็สามารถใช้ชีวิตในทัพสวรรค์จนครบห้าร้อยปี แต่เพราะพบเจอเจ้า ข้าถึงได้พบเจอเรื่องเหนือขอบเขตความสามารถของข้ามากมายขนาดนี้…เพราะเจ้า ข้าถึงได้เห็นโลกที่ต่างออกไป”


“ข้าใช้ความเป็นครึ่งเซียนทุ่มเทชีวิตทำเรื่องของพวกเทพเซียนเช่นเจ้า”


“ข้าทุ่มเทแรงทั้งหมด นานๆ ครั้งก็มีเวลาที่ตามพวกเจ้าไม่ทัน ข้าโง่ ข้าซื่อ ข้าด้อยปัญญา ทำได้เพียงใช้วิธีที่ข้าคิดเองว่าดีแก้ไขปัญหา ในเรื่องนี้ ถึงแม้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง สักแปดเก้าในสิบส่วนข้าก็คงไม่เปลี่ยนทางเลือก และแปดเก้าในสิบส่วนเจ้าก็คงยังโกรธ เพราะเจ้าไม่อาจเข้าใจว่าทำไมบนโลกนี้ถึงมีคนประเภทข้าที่ไม่ใส่ใจเจ้า”


“ดังนั้นถึงแม้พวกเราดีกันแล้ว ความขัดแย้งก็ยังคงอยู่”


สีหน้าลู่ยาซีดขาวอยู่บ้าง


“ลู่ยา ระยะห่างระหว่างข้ากับเจ้า ไม่ใช่ฐานะเทพเซียนกับหัวเสิน แต่เป็นตัวตนที่แตกต่างกัน ความนึกคิดของแต่ละคน ความสามารถของแต่ละคนไม่เสมอกัน ทำให้พวกเราต้องเกิดความขัดแย้งเช่นนี้ขึ้น ข้าสับสนยิ่งนัก ข้ารู้ว่าความรักคือเห็นแก่ตัว ตอนนี้ข้าสับสนมากจริงๆ ลู่ยา มิสู้เจ้าให้เวลาข้าเรียนรู้ที่จะเห็นแก่ตัว รอให้ข้าเข้าใจตัวข้าเอง แล้วข้าค่อยไปหาเจ้า”


ริมฝีปากทั้งคู่ของนางเม้มลง ประกายในดวงตากลายเป็นเส้นโค้งท่ามกลางความมืด ลงลำธารระหว่างซอกเขาไปพร้อมกับนาง


บางครั้งหากนางเย็นชาขึ้นมา แม้แต่ตัวนางเองยังกลัว


นางยับยั้งตัวเองในเรื่องของเขา คงเพราะมีลางสังหรณ์อยู่ตลอดว่าจะมีความขัดแย้งแบบนี้เกิดขึ้นกระมัง?


เขาเคยชินกับการเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง เรียกลม เรียกฝนได้ ตอนเขาอารมณ์ดีสามารถช่วยคนแบบอวิ๋นฉัวกลับขึ้นมาใหม่จากจุดจบ ตอนอารมณ์ไม่ดีสามารถริดรอนพลังบำเพ็ญหลายหมื่นปีของมู่หรงเส่าชิงได้


แน่นอนไม่มีใครกล้าพูดว่าเขาผิด ความเป็นจริงทุกเรื่องที่ทำล้วนมีเหตุผลทั้งนั้น


แต่นางไม่เห็นด้วย นางจำต้องมาเป็นทหารอยู่ที่สวรรค์ห้าร้อยปีเพื่อสะสมบุญกุศล ไม่อาจไม่แบกรับความน่ารำคาญและความน้อยใจ ไม่อาจไม่เรียนรู้หลักของการเอาตัวรอดอย่างต่อเนื่อง…แต่เขาสามารถเรียกอวี้ตี้เป็นเด็กเฝ้าประตูของหงจวินเหมือนไม่มีใครอยู่ข้างๆ ในขณะที่นางกลับต้องก้มกราบแล้วก้มกราบอีก


นางไม่ได้รู้สึกไม่ยุติธรรม


เพียงประสบการณ์ของเขากับนางไม่เหมือนกัน การเผชิญโลกไม่เหมือนกัน นี่ล้วนเป็นความจริง


หากกิ่งสูงปีนขึ้นได้ง่ายดายขนาดนั้น โลกมนุษย์คงไม่มีหญิงตรอมใจมากมาย


ดังนั้นนางไม่มีน้ำตาให้ไหลแล้ว ร้องไห้มีประโยชน์อะไร? มีความสามารถก็แก้ปัญหาไป


นางไม่อาจลืมภาพที่นางแทงกระบี่ใส่เขาเมื่อครู่ หากไม่ใช่สุดท้ายจิตใจด้านธรรมเอาชนะด้านอธรรมได้ ภัยพิบัติครั้งใหญ่คงเกิดขึ้นมาแล้ว


นางก็มีใจอกุศล…


อันดับแรกนางต้องรู้ก่อนว่านางคือใคร จากนั้นจึงค่อยคิดเรื่องต่อไปได้


ขณะที่ความคิดนางสับสนวุ่นวาย ทางที่ดีที่สุดคือแยกกันไปสงบใจก่อน


“หงิงหงิง!”


อาฝูเห็นนางเดินไปไกล จึงพุ่งตรงไปหานางราวกับลูกธนู แบกนางขึ้นไปบนหลัง ก่อนส่งเสียงร้องแล้วจากไป


…………………………………………………………


บทที่ 215 ผิดปกติเล็กน้อย

โดย

Ink Stone_Romance

ลู่ยาไม่ขยับเขยื้อน


พวกอ๋าวเชินก็ไม่กล้าขยับ แม้แต่หายใจยังไม่กล้าเสียงดัง


เมื่อแต่ละคนยืนนิ่งนานพอแล้ว ซ่างกวนสุ่นถึงได้พูดตะกุกตะกัก “เอ่อ มู่จิ่วไปแล้ว แบบนั้นข้าก็ไปล่ะ”


พูดจบเขาเรียกเมฆมาแล้วกระโดดขึ้นไป


อ๋าวเชินกำลังจะรั้งไว้ อวิ๋นฉัวที่ไม่ได้ส่งเสียงมาตลอดพลันชี้ไปยังกองหินระเกะระกะทางตะวันตกเฉียงเหนือพลางพูด “นั่นคืออะไร?”


ทุกคนล้วนมองตามไป เห็นเพียงใต้เขาที่ถล่มลงเผยถ้ำครึ่งหนึ่งออกมา ในถ้ำมีใยแมงมุมขนาดใหญ่ และบนใยแมงมุมมีบางอย่าง มันส่องแสงสว่างบางเบาภายใต้ฟ้าอันมืดมิดนี้!


“ไปดู!”


อ๋าวเชินที่อยากจะไปจากที่นี่เร็วๆ บังคับลมมุ่งหน้าเข้าไปทางนั้นก่อน


อวิ๋นฉัวเรียกความกล้าเดินไปตรงหน้าลู่ยา “ท่านเทพอาจเหนื่อยแล้ว มิสู้พวกเราค่อยมาวันหลังก็ได้”


ลู่ยานิ่งไม่ขยับอยู่นาน ตอนอวิ๋นฉัวจะล้มเลิกความตั้งใจเขาจึงหันหน้ามา ก่อนเดินช้าๆ ไปที่ถ้ำนั้น


นี่คือถ้ำที่เต็มไปด้วยฝุ่นดิน ปกคลุมไปด้วยใยแมงมุม ตอนนี้ยอดถ้ำถูกมู่จิ่วทลายลงแล้ว มีเพียงก้นถ้ำที่ถูกเผยให้เห็น ตรงกลางก้นถ้ำมีโต๊ะหินอยู่ตัวหนึ่ง ใยแมงมุมใหญ่นั้นสร้างอยู่บนโต๊ะ ขึงไปรอบด้าน บางอย่างบนใยแมงมุมคือแมงมุมแดง แต่ตอนนี้มันสัมผัสได้แล้วว่ามีคนมา แม้แต่ใยแมงมุมก็ยังถูกฉีกขาด


“แมงมุมมีสิ่งผิดปกติ!”


อ๋าวเชินพูด เสียงเจือไปด้วยความตื่นเต้น


ป่าผืนนี้แต่เดิมก็ประหลาดจนยากจะบรรยาย หากบอกว่าบึงน้ำสีดำนั้นกับมู่จิ่วที่พวกเขาพบเจอก่อนหน้านี้ยังเป็นไปได้ว่าคือพลังธรรมชาติ แบบนั้นถ้ำกับแมงมุมตัวนี้หมายถึงอะไร? โต๊ะหินชัดเจนว่ามีคนตั้งใจมาวางไว้ ใยแมงมุมก็สร้างอย่างสมบูรณ์แข็งแรงขนาดนี้ หากไม่มีวิชาควบคุมไว้ก็ไม่มีหนทางทำได้!


ลู่ยาขมวดคิ้วมอง พูดเบาๆ ว่า “นี่คือแมงมุมกลืนวิญญาณ ฆ่ามัน!”


ซ่างกวนสุ่นรับคำสั่ง เงาหนึ่งสายหนึ่งพาดผ่านไป พริบตาเดียวเขาก็ตบแมงมุมที่จะกระโดดหนีด้วยฝ่ามือเดียวจนกลายเป็นเศษเนื้อ


ทุกคนตื่นตกใจ แต่รู้เช่นกันว่าแมงมุมกลืนวิญญาณเป็นแมงมุมพิษอันดับหนึ่งในโลกปีศาจ ขณะเดียวกันก็เป็นหนึ่งในสัตว์มีพิษที่ขโมยพลังฤทธิ์ของคนมาเลี้ยงร่างตนเอง สัตว์มีพิษเช่นนี้หนึ่งตัวซ่อนอยู่ในถ้ำ ไม่รู้ว่าสูบกินพลังไปเท่าไหร่แล้ว


“ไปดูว่าใยแมงมุมมีเส้นแวงสามสิบหกเส้น เส้นรุ้งหนึ่งร้อยแปดเส้นหรือไม่”


ลู่ยาไม่ขยับ น้ำเสียงยังคงเชื่องช้าหนักแน่น


ทุกคนรีบเข้าไปนับ


ไม่นานอวิ๋นฉัวก็ถอยกลับมา “ไม่ผิด! มีแส้นแวงสามสิบหกเส้น เส้นรุ้งหนึ่งร้อยแปดเส้น!”


“ใช้ธาตุไฟของเผ่าพันธุ์หงส์เพลิงของพวกเจ้าเผามัน จากนั้นอ๋าวเจียงใช้ธาตุน้ำนำขี้เถ้าที่ถูกเผาสาดไปทั้งสี่ด้านแปดทิศ” ลู่ยาพูด “นี่คือวิชาปีศาจที่ควบคุมชะตาชีวิตของพวกเจ้าสองเผ่าบนกุญแจจันทรา แมงมุมกลืนวิญญาณดูดกลืนพลังของพวกเจ้าทั้งสองเผ่าไป และถูกคนควบคุมเพื่อบังคับชะตาชีวิตที่นี่ หากใยแมงมุมไม่ขาด พวกเจ้าก็หนีไม่พ้นเคราะห์นี้ตลอดไป”


“ตอนนี้ถึงแม้ใยแมงมุมขาดแล้ว แต่วิชาปีศาจของคนผู้นี้ถึงขั้นสามารถควบคุมชะตาชีวิตของเผ่าเทพ ต้องทำลายให้สิ้นซาก”


“หลังจากทำลายแล้ว อ๋าวเชินไปหาข้าที่วังชิงเสวียนเพื่อเอายาลดเวลาจำกัดการฟื้นฟูจิตมังกร หลังจากนั้นห้าร้อยปี รอจิตมังกรเจ้าฟื้นคืนสู่สภาพเดิมค่อยนำกุญแจจันทราหยางให้อวิ๋นฉัว ก่อนถึงเวลานี้ อวิ๋นฉัวสามารถปิดด่านใช้กุญแจจันทราหยินบำรุงวิญญาณต่อชีวิต”


อ๋าวเชินกับอวิ๋นฉัวฟังจบล้วนตื่นเต้น รับคำสั่งแล้วลงมือทันที


ลู่ยาหันหลังไปพูดกับซ่างกวนสุ่น “เจ้ารั้งอยู่ช่วยเรื่องภายหลัง คดีนี้อย่างไรก็ต้องสิ้นสุด กลับไปอาจิ่วต้องสรุปคดี พวกเจ้าช่วยนางให้ดีๆ”


ซ่างกวนสุ่นชะงักเล็กน้อย ยืนอยู่ที่เดิมขณะมองเขาหายไปในทะเลเมฆอันกว้างใหญ่


………………


ตอนมู่จิ่วตื่นมาในห้องยังมืดสนิท นางลุกขึ้นมาหยิบไข่มุกราตรีจากในห่อผ้าวางไว้บนแท่นตะเกียง ภายในห้องจึงพลันสว่างไสวขึ้นมา


ในเรือนไม่มีคน สภาพแวดล้อมเป็นอย่างที่นางคุ้นเคย กลิ่นก็เป็นกลิ่นที่นางคุ้นชิน นางนอนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนเตียง ปิดตาลงอีกครั้ง


นางนอนไปนานเท่าไหร่ก็ฝันไปนานเท่านั้น คนในภาพฝันลอยมาแล้วหายไป ไม่มีหยุดพัก


“จิ๋วจิ่ว เจ้าตื่นแล้ว?”


เสี่ยวซิงผลักประตูเข้ามา น้ำเสียงแหบแห้งอยู่บ้าง


มู่จิ่วพยักหน้า ถอนหายใจลุกขึ้นมา นั่งอยู่ริมเตียงพลางจ้องนาง


ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง พวกเขาล้วนไม่เปลี่ยน เรือนนี้ก็ไม่เปลี่ยนไป เหมือนมีเพียงนางที่เปลี่ยน


“จิ๋วจิ่วเป็นอะไรไป?”


เสี่ยวซิงเอาหลังมือลูบหน้านาง สายตาเต็มไปด้วยความกังวล


เมื่อวานทั้งวันนางรู้สึกกระวนกระวาย ยังไงก็ไม่สามารถสงบใจลงได้ ขอบฟ้าสว่างแล้วนางก็ยังไม่หลับ


เหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับนางมาก่อน นางรู้สึกว่าตนเองกำลังกังวลอะไรอยู่ แต่จะกังวลอะไรได้? นางมีเพียงมู่จิ่วเป็นคนใกล้ชิดคนเดียว จึงกังวลได้เพียงเรื่องมู่จิ่ว หรือว่าเกิดเรื่องขึ้นกับมู่จิ่ว?


นางกำลังพลิกไปมาบนเตียง อาฝูก็แบกร่างมู่จิ่วที่เต็มไปด้วยเลือดกลับมา ทำให้เสี่ยวซิงสะดุ้งตกใจ ยังดีที่สุดท้ายไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น


“ข้าเหมือนจะผิดปกตินิดหน่อย” มือทั้งสองข้างของมู่จิ่วกดเข่าเบาๆ ทั้งยังพูดอย่างอึดอัด “ข้าเกือบทำร้ายลู่ยาแล้ว”


นางไม่อยากหวนนึกถึงภาพนั้นจริงๆ แต่การหนีคือหนทางหรือ? นางในตอนนั้นน่ากลัวเกินไปแล้ว นางจะทำร้ายลู่ยาได้อย่างไร? เขาเป็นถึงเทพเซียนสูงส่งที่มีจำนวนนับนิ้วได้ในใต้หล้านี้ แน่นอนว่าตอนนี้นางจำได้แล้ว ตอนนั้นเขาตั้งใจถอยให้ แต่ถึงแม้ถอยให้ นั่นก็น่ากลัวเกินไป


“แล้วลู่ยากับซ่างกวนสุ่นล่ะ? ทำไมพวกเขายังไม่กลับมา?”


เสี่ยวซิงถามอีก อาฝูพูดไม่เป็น ทำได้เพียงรีบผลักนางไปข้างมู่จิ่ว นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเลย


“ซ่างกวนสุ่นข้าไม่รู้ ลู่ยาเขา…” มู่จิ่วปวดร้าวในใจ เหยียดขาลงจากเตียง “เขาคงไม่กลับมาแล้ว”


เสี่ยวซิงไม่รู้จะพูดอะไรดี


ความกังวลของนางกลายเป็นความจริงแล้ว ความเจ็บปวดจริงๆ ของมู่จิ่วไม่ได้อยู่ที่เลือดบนเสื้อผ้า แต่อยู่ที่หัวใจนาง


“เสี่ยวซิง” มู่จิ่วพลันหมุนตัวมา “เจ้าไปเก็บของ พวกเรากลับหงชางกัน”


เสี่ยวซิงตกใจ ยังไม่ทันได้พูด มู่จิ่วกลับกระชับเสื้อเดินออกจากประตูไป


ท้องฟ้าสว่างแล้ว เสี่ยวซิงกลัวแดดแผดเผานาง ดังนั้นจึงเพิ่มผ้าม่านไปที่หน้าต่างอีกหลายชั้น


มู่จิ่วมองไปฝั่งตรงข้ามโดยไม่รู้ตัว ประตูห้องยังปิดอยู่ กลิ่นไม้กฤษณาที่แต่ก่อนมักลอยอยู่ในอากาศเสมอ ไม่ได้เข้มข้นขนาดนั้นแล้ว


ในอ่างหินบนระเบียงทางเดินเลี้ยงปลาใหญ่เล็กไว้หลายตัว ความคิดนางชะงัก เพิ่งนึกขึ้นมาได้ นี่คือปลาที่เมื่อวานนางซื้อกลับมาตอนตามเขาไปตลาดที่ประตูสวรรค์แดนใต้ ยังไม่ทันได้ทำให้เขากิน


“ในเมื่อพวกเราต้องกลับหงชาง กลางวันต้มปลาเหล่านี้ดีหรือไม่?” เสี่ยวซิงถามอยู่ด้านหลัง


รุ่ยเจี๋ยกับอาฝูเดินมาจากใต้ต้นดอกท้อ ยืนอย่างสงบที่ด้านหน้า “พี่สาว พวกท่านต้องจากที่นี่ไปหรือ? อาจารย์ของข้าไม่กลับมาแล้ว?”


มู่จิ่วชะงัก


นางลืมไปว่าเขายังมีลูกศิษย์อยู่ที่นี่คนหนึ่ง


“ข้าต้องกลับไปหลายวัน ไว้ข้าจะส่งเจ้ากลับชิงชิว แล้วเจ้าให้พ่อเจ้าพาไปวังชิงเสวียนดีหรือไม่?” นางพูด


รุ่ยเจี๋ยส่ายหน้า “ข้าไม่ไป อาจารย์ต้องกลับมา ข้าจะรอเขาอยู่ที่นี่ พี่สาว ท่านก็อยู่รอเขาเถอะ!”


กระบอกตามู่จิ่วแสบร้อน ยกยิ้มพูด “เด็กโง่” นางยืนขึ้น ครุ่นคิดก่อนหันกลับมาพูด “หากเจ้าไม่ยอมไป ตามข้ากลับหงชางก็ได้” ยังไงถึงตอนนั้นให้หลิวหยางส่งเขาไปชิงชิวก็เหมือนกัน


…………………………………………………


บทที่ 216 เหนือกว่ายังมีอาจารย์

โดย

Ink Stone_Romance

หลังอาบน้ำเสร็จ มู่จิ่วมุ่งตรงไปหน่วยลาดตระเวน


หลิวจวิ้นกำลังอ่านหนังสือราชการ ดูท่าทางแล้วไม่ยุ่งมาก เพราะสีหน้านับว่าผ่อนคลาย


มู่จิ่วเพิ่งโผล่ไปที่ประตูเขาก็เห็นแล้ว เขาเหลือบมองนางก่อนและไม่สนใจ พริบตาเดียวก็เหลือบมองนางอีกครั้ง “เช้าตรู่ทำหน้าตึงขนาดนี้ให้ใครดู?”


มู่จิ่วไม่ได้ตอบ มุ่งตรงไปหน้าโต๊ะเขาก่อนพูด “ใต้เท้า ข้าอยากขอลาหยุดสักหลายวัน”


“ลาหยุด? ไปไหน?” หลิวจวิ้นวางเอกสารคดีลง


มู่จิ่วไม่ส่งเสียง นางไม่ได้ตั้งใจเหลาะแหละ เพียงแต่ในใจเศร้าโศก สภาวะแบบนี้ไหนเลยจะมีใจทำงาน? นางต้องการกลับหงชางไปหาหลิวหยาง หลิงหยางต้องช่วยให้นางเข้าใจชัดว่าเกิดอะไรขึ้นได้แน่


“พูดสิ!” หลิวจวิ้นพูดเร่ง


นางยังคงไม่พูด กลับกันกระบอกตาพลันเจ็บ น้ำตาไหลหยดเปาะแปะ


หลิวจวิ้นลนลาน รีบร้อนลุกขึ้นมา “นี่เจ้าเป็นอะไร? โดนรังแกที่ไหนมา? เมื่อครู่ข้ายังไม่ได้ด่าเจ้าเลย!”


มู่จิ่วก็ไม่ได้อยากร้องไห้ แต่เพียงเห็นเขาก็นึกถึงตอนแรกที่เข้าปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยบัญชาการเพื่อให้รับลู่ยาไว้ได้ ทั้งยังฝืนพูดกับหลิวจวิ้นและจางเหยี่ยนขอทำคดีชิงชิว เรื่องราวทั้งหมดในอดีตตอนนี้ดูไปแล้วล้วนสูญเปล่า จู่ๆ ก็อยากร้องไห้โดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ


หลิวจวิ้นร้อนใจอย่างกับอะไรดี ยื่นมือคิดจะหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาให้นาง แต่คิดดูแล้วไม่เหมาะสม จะยกแขนเสื้อช่วยนางเช็ดโดยตรง นี่ก็ยิ่งไม่เหมาะ! แม่เด็กน้อยผู้นี้ปกติโดนด่าโดนว่าไม่เห็นตาแดงมาก่อน วันนี้กลับร้องไห้ง่ายๆ!


“เกิดอะไรขึ้น เจ้าพูดสิ! เจ้าร้องไห้กับข้า เดี๋ยวทุกคนจะคิดว่าข้าด่าเจ้าอีกแล้ว!”


มู่จิ่วยิ่งเศร้าเสียใจ พูดสะอึกสะอื้น “ข้า ข้าอยากกลับหมู่บ้านไปกราบไหว้หลุมศพยาย”


ประวัติของนางถูกหลิวหยางแก้ไขไปแล้ว ไม่อาจบอกได้ว่ากลับสำนัก


“เรื่องนี้เอง!” หลิวจวิ้นพูดไม่ออก “เรื่องนี้มีอะไรต้องร้องไห้กัน? เจ้าลานานเท่าไหร่? หนึ่งเดือนพอหรือไม่? หรือสองเดือน? เจ้าหยุดร้อง! สามเดือน ไม่อาจนานกว่านี้แล้ว”


“เช่นนั้นสามเดือนเจ้าค่ะ”


มู่จิ่วหยุดร้องไห้ ก่อนถอนหายใจยาว ตกลงกันได้แล้ว


หลังจากออกมาจึงค่อยไปกลุ่มถิงเว่ยเพื่อแจกแจงงานให้กับรองผู้บัญชาการ จากนั้นอ้อมไปตลาดนอกประตูสวรรค์แดนใต้ ซื้อว่านสิบแสนที่จัดไว้อย่างดีสองกระถาง แล้วจึงรีบกลับบ้านนำไปห่ออย่างดี


ครึ่งชั่วยามต่อมา มู่จิ่วทิ้งจดหมายไว้ให้ซ่างกวนสุ่น จากนั้นพาเสี่ยวซิง รุ่ยเจี๋ย และอาฝูไปหงชาง


………………


ลู่ยาขี่เมฆกลับไปสวรรค์ชั้นสามสิบเก้า เมียงมองอยู่ที่ประตู จากนั้นบินตรงไปยังวังจิตกระจ่างที่อยู่ทางทิศตะวันตก


พลทหารเข้าเวรฝูอิงตรงหน้าประตูวังเห็นเขาก็รีบคุกเข่าลงไปกับขั้นบันไดหยก “คารวะเซิ่งจุน!”


“พี่รองล่ะ?” ลู่ยาถาม


“ตอบเซิ่งจุนที่สี่ เซิ่งจุนของพวกเราไปขุดดินที่สวนผักขอรับ”


ฝูอิงพูดแบบนี้ที่จริงก็รู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง เทพชั้นสูงดีๆ ผู้หนึ่งละทิ้งชีวิตสุขสบายไปปลูกผักบนพื้นที่อันศักดิ์สิทธินี้ ช่างชวนให้คิดไม่ตกจริงๆ แต่การกระทำของเซิ่งจุนล้วนมีสาเหตุ โลกของพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่ข้ารับใช้อย่างพวกตนจะเข้าใจได้ อยากจะบ่นก็ทำได้เพียงอดกลั้นไว้ในใจ


ลู่ยาฟังจบก็เดินตรงเข้าตำหนัก กอดอกเดินไปบนระเบียงทางเดิน ผ่านศาลา ผ่านสะพานหยก สุดท้ายถึงหน้าอาคารเล็กสองชั้นที่สร้างขึ้นจากหยก ผลักประตูเข้าไปเหมือนกับรู้ทิศทางชัดเจนแล้ว พอเลี้ยวซ้ายก็มาถึงหน้าชั้นวางทางตะวันตก


ในห้องนี้มีชั้นวางของเต็มไปหมด บนชั้นวางแต่ละชั้นล้วนวางของวิเศษเล็กใหญ่ไว้อย่างเป็นระเบียบ


แต่ชั้นวางทางทิศตะวันตกมีเพียงสามชั้น ชั้นต่ำสุดมีบาตรทอง ชั้นกลางมีกระบี่เฉิงอิ่ง ชั้นบนสุดมีกระดิ่งเล็กสูงแค่ครึ่งฉื่อวางอยู่


เขาเพิ่งเข้าไปถึงตรงหน้า กระดิ่งนี้ก็สะดุ้งตกใจอย่างอดไม่ได้!


พลอารักขาในวังก็ไม่กล้าขัดขวาง หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความยุ่งยาก ใครไม่รู้บ้างว่าพวกหุนคุนมองลู่ยาเป็นแก้วตาดวงใจ? เขาต้องการของอะไรหุนคุนมีหรือจะไม่ให้?


ลู่ยาหรี่ตามองกระดิ่ง ยื่นมือไป นิ้วทั้งห้าพลันเปล่งแสงทองห้าสาย แสงทองห้าสายนี้พัวพันกันหลายชั้นเป็นตาข่าย ปกคลุมกระดิ่งทันใด แม้แต่ลมหายใจเล็กน้อยก็ไม่อาจเล็ดรอดออกมาได้!


ลู่ยาถือกระดิ่งออกจากประตูไป มุ่งหน้าไปยังวังชิงเสวียนของเขา


…………….


หงชางที่อยู่ทางทิศตะวันตกเป็นสถานที่มงคล ที่นี่ติดกับผืนป่าอุดมสมบูรณ์ ทั้งปีเขียวชอุ่ม สัตว์ป่ามากมายบนเขากลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว เรียกว่าเป็นทิวทัศน์ที่งดงาม


หลิวหยางนั่งสมาธิอยู่ในห้องซงอิ๋น ด้านข้างจุดกำยาน และหลังกำยานคือม่านไม้ไผ่ที่เปิดไว้ครึ่งหนึ่ง


เรือนพักขนาดเล็กที่เขาอยู่อาศัยล้วนสร้างขึ้นจากไม้ไผ่ แต่กลับจงใจตั้งชื่อว่าซงอิ๋น (สนครวญ) ตอนแรกยังเคยโดนมู่จิ่วบ่นมาก่อน บอกว่าอาจารย์ตั้งชื่อไม่เป็น ชื่อหรูหราไม่เข้ากับสภาพ


เขาเหลือบมองนางคราหนึ่งเท่านั้น


ตั้งแต่เล็กจนโตนางทำตัวไม่เรียบร้อย แม้แต่คำบ่นว่าอาจารย์ก็กล้าพูด ปล่อยให้พวกมู่หัวตามใจจนเหลิงแล้ว


ใต้หน้าต่างพลันมีเสียงกระดิ่งดังเข้ามา มันเป็นกระดิ่งรับแขก มีคนมาแล้ว


เขาใจเต้นกระตุก เปิดตาขึ้นมาทันที


มู่หัวรายงานเบาๆ อยู่นอกประตู “อาจารย์ ศิษย์น้องเล็กกลับมาแล้ว”


หลิวหยางชะงักอยู่บนเบาะรองนั่ง ยังไม่ทันเปิดปากก็มีคนเดินเข้าประตูมา สองมือจับสายคาดเอว คางก้มลงถึงอก


“มู่จิ่วคารวะอาจารย์”


หลิวหยางมองศีรษะที่หมอบอยู่บนพรม ใจก็อ่อนยวบ ปากกลับพูดอย่างสบายๆ “ทำหน้าที่อยู่บนสวรรค์ดีๆ ทำไมถึงกลับมาแล้ว?”


มู่จิ่วพูด “ใต้เท้าของพวกเราเมตตา อนุญาตให้ข้าลางานสามเดือนเพื่อกลับมาพบอาจารย์”


หลิวหยางสำรวจนางอยู่ครู่หนึ่ง กำลังจะพูดก็มีคนสองสามคนเบียดเข้ามาจากประตู หลิวหยางเห็นเสี่ยวซิงก็แล้วไป เรื่องที่ปีศาจกระต่ายตัวนี้ไปด้วยเขารู้แล้ว แต่ตอนเห็นรุ่ยเจี๋ยเขาตกใจเล็กน้อย และตอนเห็นอาฝูยิ่งตกใจใหญ่! เขาพูด “พวกเขาคือ…”


มู่จิ่วรีบเอ่ย “ตอบอาจารย์ พวกเขาคือจิ้งจอกเก้าหางตัวหนึ่ง เสือขาวตัวหนึ่ง” ก่อนจะพูดอีก “รุ่ยเจี๋ยกับอาฝู รีบมาพบอาจารย์ข้าเร็ว!”


พูดไร้สาระ! ใครบ้างมองไม่ออกว่าพวกเขาคือจิ้งจอกเก้าหางกับเสือขาว สิ่งที่เขาถามคือพวกเขาตามนางกลับมาได้อย่างไร?


หลิวหยางมองจิ้งจอกเก้าหางที่ทำความเคารพลงบนพื้นกับเสือขาวที่สะบัดหางหมอบอยู่ข้างล่าง จากนั้นมองมู่จิ่ว ก่อนสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วกล่าว “กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”


มู่จิ่วตอบรับ ลุกขึ้นพาเหล่าตัวน้อยทั้งหมดออกไป


หลิวหยางมองแผ่นหลังของนาง หยักนิ้วทำนาย ท่าทางคร่ำเคร่งขึ้น


ไม่ว่าพูดอย่างไร กลับถึงภูเขาก็น่าดีใจอย่างมาก มู่จิ่วพาพวกเสี่ยวซิงกลับถ้ำเมฆาคล้อย ตนเองกลับไปหาพี่ใหญ่พี่รองก่อน กลุ่มศิษย์พี่ล้วนเป็นคนโสด ถามคำถามนางแปดร้อยประการเกี่ยวกับเซียนหญิงในสวรรค์ คึกคักอยู่พักใหญ่ค่อยกลับถ้ำ


ส่วนเสี่ยวซิงได้รับการช่วยเหลือจากพวกชิงจู๋ เก็บกวาดถ้ำจนเรียบร้อย


ถ้ำเมฆาคล้อยค่อนข้างกว้างขวาง บนล่างมีทั้งหมดสองชั้น


แต่ก่อนมีเพียงมู่จิ่วกับเสี่ยวซิงอาศัยอยู่ ในลานถึงแม้มีดอกไม้ใบหญ้าเหล่าปีศาจหนอนนกอยู่บ้าง กลับไม่ได้อยู่ในเรือน ตอนนี้มีอาฝูกับรุ่ยเจี๋ยเพิ่มเข้ามาจึงไม่แย่อะไร สิ่งที่ตอนนั้นนางฝากฝังไว้ พวกชิงจู๋ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ไม่เพียงห้องสะอาด แม้แต่ดอกไม้ใบหญ้ายังเติบโตอย่างดี ต้นโบตั๋นสองต้นนอกระเบียงเปิดโล่งเห็นมู่จิ่วก็ยื่นหน้าอยู่บนรั้ว ดีใจเสียจนเต้นระบำอยู่ในสายลม


พวกอาฝูไม่มีอะไรไม่สบาย


หลังอาหารค่ำ มู่จิ่วกอดว่านสิบแสนสองกระถาง ไปที่นอกห้องซงอิ๋นอีกครั้ง


………………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)