อัจฉริยะสมองเพชร 2126-2129

 ตอนที่ 2126 แม้แต่ม้าก็ทำแบบนั้น?

ซุนฉางรู้ดีว่านั่นคือช่วงเวลาที่แสนน่าจดจำในชีวิต ซึ่งเขาโหยหามันมาก


เขาไม่อยากกักขังตัวเองไว้กับชีวิตที่แสนน่าเบื่อในโลกเล็กๆใบนี้ เขาอยากติดตามนายน้อยไป ซุนฉางรู้ดีว่ามีแต่การติดตามนายน้อยเท่านั้นที่จะทำให้เขามีชีวิตสดชื่นแจ่มใสอย่างที่เคยมีมา!


“เราจะฝ่าปราการแห่งมิติเข้าสู่มิติเบื้องบนโดยตรง สิ่งนี้อันตรายเกินไปสำหรับคุณ และผมก็ไม่มั่นใจว่าจะปกป้องคุณได้ แต่ถ้าคุณอยากติดตามผมไปจริงๆ ก็สามารถเข้าสู่มิติเบื้องบนได้โดยใช้ทางเดินแห่งมิติ”


“นี่คือยา กินมันเสียก่อนที่คุณจะเข้าสู่ทางเดินแห่งมิติ มันจะช่วยเยียวยาอาการบาดเจ็บและป้องกันไม่ให้คุณสลบ”


จางเซวียนสะบัดข้อมือ จากนั้นก็นำซุปไก่ออกมาขวดหนึ่งพร้อมของล้ำค่าสำหรับการคุ้มกันก่อนจะยื่นมันให้ซุนฉาง จากนั้นก็มองหน้าซุนฉางและพูดว่า “เมื่อคุณไปถึงมิติเบื้องบนแล้ว ให้ไปที่สำนักดาบเมฆเหินและระบุชื่อของผม จะมีคนพาคุณไปหาผมเอง”


แรงกดดันของการฝ่าปราการแห่งมิติโดยตรงนั้นมีมหาศาล นักปราชญ์โบราณขั้น 4 ไม่น่าจะเอาชีวิตรอดได้ในการเดินทางแบบนี้


ซุนฉางพยักหน้าอย่างตื่นเต้น


หลังจากสั่งเสียเรื่องที่จำเป็นแล้ว จางเซวียนก็ปลดปล่อยวรยุทธของเขา ทำให้เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นกลางอากาศ


จากนั้น เขารู้สึกได้ว่าทั้งโลกปฏิเสธการมีอยู่ของเขา พละกำลังบางอย่างพยายามผลักดันเขาให้ออกจากโลกใบนี้


ฟึ่บ!


จางเซวียนปล่อยให้พละกำลังนั้นผลักดันเขาออกไปโดยไม่ขัดขืน เพียงครู่เดียวเขาก็มาอยู่ที่ปราการแห่งมิติของทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่อันตรายยังไม่สิ้นสุด


ท่ามกลางมิติที่อยู่ระหว่างโลกสองใบ จางเซวียนเห็นคลื่นความสั่นสะเทือนของมิติพุ่งเข้าหาตัวเขา พยายามจะฉีกเขาให้เป็นชิ้นๆ


เขารีบขับเคลื่อนพลังปราณเพื่อสร้างปราการคุ้มกันรอบตัวและปัดป้องคลื่นความสั่นสะเทือนแห่งมิติออกไป ในเวลาเดียวกันก็ปล่อยให้แรงผลักดันจากทวีปแห่งปรมาจารย์ผลักเขาให้เดินหน้า


ไม่ช้าแสงสว่างก็ปรากฏ เกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อย จางเซวียนถูกบีบให้กระเด็นออกจากความว่างเปล่าและมาอยู่กลางอากาศเหนือเมืองชวนเจียง


“เรากลับมาได้อย่างสบายเลย” จางเซวียนตั้งข้อสังเกตพร้อมกับหัวเราะหึๆ


เขาหันไปมองหวู่เฉิน อีกฝ่ายดูจะประหลาดใจเล็กน้อยกับเรื่องนี้


เท่าที่เห็น แม้การเคลื่อนย้ายจากโลกที่แข็งแกร่งกว่าไปสู่โลกที่อ่อนด้อยกว่าจะทำได้ยากมาก แต่การกลับจากโลกที่อ่อนด้อยมาสู่โลกที่แข็งแกร่งนั้นง่ายกว่ากันหลายเท่า


พวกเขาต้องอาศัยเครื่องรางแห่งการปลอมตัวและศิลปะการปลอมตัวของหลัวลั่วชิงเพื่อปกปิดตัวเองจากสรวงสวรรค์ของทวีปแห่งปรมาจารย์ ไม่อย่างนั้น หากทำแค่กดข่มระดับวรยุทธ ก็ไม่มีทางตบตาสรวงสวรรค์ของทวีปแห่งปรมาจารย์ได้ คงถูกผลักดันออกมาทันทีที่เข้าสู่โลกใบนั้น


“ขอผมสำรวจก่อนนะว่าจ้าวหย่ากับคนอื่นๆอยู่แถวนี้หรือเปล่า…” จางเซวียนพูดขณะขยายจิตใต้สำนึกของเขาให้แผ่ซ่านออกไปทั่วเมืองชวนเจียง


ด้วยวรยุทธที่มีอยู่ ขอแค่เขาต้องการ ก็สามารถรับรู้ได้แม้การกระพริบตาของใครก็ตามที่อยู่ในเมืองชวนเจียงแห่งนี้


“พวกเขาอยู่นั่น!”


ครู่ต่อมา จางเซวียนก็ตาโต


เขายังกังวลอยู่ว่าบรรดาศิษย์สายตรงของเขาอาจออกจากเมืองชวนเจียงไปแล้ว เพราะตอนนี้ก็ผ่านมา 9 วันแล้วนับตั้งแต่พวกนั้นมาถึง จึงดีใจมากเมื่อรู้ว่าทุกคนยังอยู่ที่นี่


จางเซวียนยังรู้ด้วยว่าบ้านพักที่ทั้งกลุ่มอาศัยอยู่กำลังจัดเตรียมอสูรบินได้ที่พร้อมใช้งาน ดูเหมือนพวกมันกำลังจะออกเดินทาง


เขาจึงรุดหน้าไปที่นั่นทันที


…..


“จางหย่วนไว่ เกิดอะไรขึ้นถึงรีบร้อนขอยืมอสูรบินได้ของผมแบบนี้ มีเรื่องสำคัญอะไรหรือเปล่า?”


ชายวัยกลางคนพุงพลุ้ยคนหนึ่งเดินเข้ามาและมองจางหย่วนไว่อย่างสงสัย


มีไม่กี่ตระกูลในเมืองชวนเจียงที่มีอำนาจและความมั่งคั่งพอจะครอบครองอสูรบินได้ แต่ชายวัยกลางคนผู้นี้, อู๋เจียงเฉิง เป็นหนึ่งในนั้น หลังจากการล่มสลายของตระกูลเฉว่ อสูรบินได้ในตระกูลของเขาก็เป็นอสูรที่รวดเร็วและแข็งแกร่งที่สุดของเมืองชวนเจียง


ก็เพราะเหตุนี้ที่ทำให้จางหย่วนไว่มาพบเขาเพื่อขอยืมอสูร


“คุณจำเด็กวัยรุ่นทั้งกลุ่มที่ผมช่วยชีวิตไว้ได้ไหม?” จางหย่วนไว่ถามยิ้มๆ


“ผมจำได้ คุณกำลังจะเสี่ยงโชคแบบตั้นเฉี่ยวเทียนหรือไง?”อู๋เจียงเฉิงหัวเราะร่วน


ความโชคดีของตั้นเฉี่ยวเทียนคงมีเพียงหนึ่งเดียวในโลก คงไม่อาจคาดหวังว่าจะทำแบบเดียวกับเขาได้ เพราะถึงอย่างไรในโลกนี้ก็คงมีเจ้าสำนักจางเซวียนเพียงคนเดียว


คนอย่างจางหย่วนไว่คงไม่ปัญญาอ่อนถึงขนาดคิดว่าจะพบทองคำเพียงเพราะช่วยคนข้างถนนไว้กลุ่มหนึ่ง ใช่ไหม?


ส้มหล่นแบบนั้นจะเกิดขึ้นง่ายๆได้อย่างไร?


ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เขาคงไม่ต้องทำอะไรอื่นแล้ว เอาเวลาไปช่วยชีวิตคนข้างถนนก็พอ!


“บอกคุณตามตรงนะ ผมคิดว่าเทพธิดาแห่งโชคลาภฉายแสงให้ผมแล้วล่ะ” จางหย่วนไว่ตอบพร้อมเผยรอยยิ้มลึกลับ


เขาสนิทสนมกับอู๋เจียงเฉิง จึงไม่คิดจะปิดบังความจริงจากอีกฝ่าย


“อย่างนั้นหรือ?” อู๋เจียงเฉิงแปลกใจเล็กน้อยที่ได้ฟังคำพูดของจางหย่วนไว่ “อย่าบอกนะว่าคุณช่วยชีวิตเจ้าสำนักหรือผู้อาวุโสสักคนไว้…ต่อให้อยากล้อเล่น ก็ควรมีขอบเขตบ้าง! บรรดาเจ้าสำนักหรือผู้อาวุโสคงไม่ตกที่นั่งลำบากแบบนั้นหรอก”


“ฮ่าฮ่า ไม่ใช่หรอกน่ะ คุณก็คิดมากไป!” จางหย่วนไว่เหลียวซ้ายขวาอย่างระแวงก่อนจะเอนตัวเข้าใกล้อู๋เจียงเฉิง “ผมแค่จะบอกคุณว่าเด็กวัยรุ่นทั้ง 9 คนที่ผมช่วยชีวิตไว้น่ะ แท้ที่จริงแล้วคือศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักจางเซวียน!”


“ศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักจางเซวียน? ฮ่าฮ่าฮ่า! คุณนี่ก็มุกเยอะนะ” อู๋เจียงเฉิงหัวเราะลั่น


“เจ้าสำนักจางเซวียนคือผู้นำของ 4 สำนักใหญ่ เป็นชายที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกใบนี้ ผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนอยากเป็นศิษย์ของเขาจนตัวสั่น แค่เดินไปตามถนน ไม่ช้าคุณก็จะพบคนกลุ่มหนึ่งที่อยากเป็นศิษย์ของเขา และอาจถึงขนาดอวดอ้างด้วยว่าเคยร่ำเรียนอะไรจากเขาสักอย่าง…คุณแน่ใจหรือว่าเชื่อถือคำพูดเหล่านั้นได้? เมื่อ 2-3 วันก่อน ผมจับม้าตัวหนึ่งได้จากในป่า เจ้านั่นใช้กีบเท้าเขียนบอกผมว่ามันเป็นลูกศิษย์ของเจ้าสำนักจางเซวียน!”


“แม้แต่ม้าก็ทำแบบนั้น?” จางหย่วนไว่ผงะ


“ก็ใช่น่ะสิ! ผมไม่ได้อยากทำลายความฝันของคุณ แต่คุณไม่ควรคาดหวังอะไรให้มากนัก รับประกันได้เลยว่าวัยรุ่นกลุ่มนั้นน่ะพยายามจะต้มตุ๋นเอาเงิน มีแต่คนโง่อย่างคุณเท่านั้นแหละที่ตกหลุมพรางของพวกเขา…” อู๋เจียงเฉิงคำราม


“ลองคิดดูนะ ในฐานะผู้นำ 4 สำนักใหญ่ ใครกันที่จะกล้าทำร้ายศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักจางเซวียนจนได้รับบาดเจ็บ? แล้วต้องบังเอิญขนาดไหนคุณถึงได้ช่วยชีวิตพวกเขา? เห็นชัดๆว่าเป็นการจัดฉาก!”


จางหย่วนไว่พูดไม่ออก สิ่งที่อู๋เจียงเฉิงพูดมีเหตุผลเสียจนเขาไม่รู้จะคัดค้านอย่างไร


เมื่อลองนึกดู เหตุผลเดียวที่เขาเชื่อว่าเด็กกลุ่มนั้นเป็นศิษย์สายตรงของจางเซวียนก็เพราะพวกเขากล่าวอ้าง…คนคนหนึ่งอาจพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้น


หรือว่าเขาถูกหลอกจริงๆ?


“ถ้าอย่างนั้นก็ไปพบพวกเขาด้วยกันเถอะ ผมจะฉีกหน้านักต้มตุ๋นพวกนั้นเอง!” เห็นสหายมีสีหน้าไม่สู้ดี อู๋เจียงเฉิงยืดตัวและแขม่วพุงพลุ้ยของเขา แม้จะไม่ก่อให้เกิดความแตกต่างอะไรมากมายก็ตาม และพูดกับจางหย่วนไว่อย่างวางมาด


“ผมรบกวนพี่อู๋ด้วยก็แล้วกัน…” จางหย่วนไว่ถอนหายใจเฮือกใหญ่


เขารีบนำทางไปจนถึงลานบ้านที่จ้าวหย่ากับพรรคพวกพรรคอยู่


“คุณคือผู้ที่กล่าวอ้างว่าเป็นศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักจางเซวียนหรือ?”


ทันทีที่เข้าสู่ลานบ้านและเห็นเด็กวัยรุ่นที่อ่อนระโหยโรยแรงกลุ่มหนึ่ง อู๋เจียงเฉิงยิ่งเชื่อมั่นในความคิดของเขามากขึ้นอีก เขาคำรามเยาะ


ส่วนจ้าวหย่ากับคนอื่นๆก็รับรู้ถึงความเป็นปฏิปักษ์ของอู๋เจียงเฉิงได้ทันที ทุกคนหน้านิ่วคิ้วขมวด


พวกเขาคือผู้ที่ทำให้ทวีปแห่งปรมาจารย์สั่นสะเทือนได้เพียงแค่กระทืบเท้า จึงไม่พอใจที่ถูกใครคนหนึ่งแสดงทีท่าหยาบคายใส่ทั้งที่เพิ่งพบกันครั้งแรก


“ทำไมพวกคุณไม่พูดอะไรล่ะ?” อู๋เจียงเฉิงจ้องหน้าพร้อมกับขมวดคิ้ว “คุณรู้ไหมว่าโทษของการอ้างตัวเป็นศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักจางเซวียนคืออะไร? อย่าว่าแต่จะเข้าสู่สำนักดาบเมฆเหินเลย ถ้าผมรายงานเรื่องของคุณให้เจ้าเมืองรับทราบตอนนี้ พวกคุณทุกคนจะถูกจับขังคุกทันที!”


คำพูดนั้นทำให้หยวนเทาผู้ใจร้อนทะลึ่งพรวด ส่วนคนอื่นๆก็จับจ้องอู๋เจียงเฉิงด้วยสายตาเย็นเยียบ ราวกับพร้อมจะซ้อมอีกฝ่ายให้จมดิน


เกรงว่าจะเกิดการปะทะขึ้นจริงๆ ขงซือเหยาลุกขึ้นยืนและประสานมือ “พวกเราไม่ได้เป็นตัวปลอม จางเซวียนคือท่านอาจารย์ของพวกเราจริงๆ”


“ใครก็พูดแบบนี้ได้ คุณมีหลักฐานพิสูจน์หรือเปล่า?” อู๋เจียงเฉิงคำราม


ขงซือเหยาเงียบกริบ


พวกเขาไม่อาจนำแหวนเก็บสมบัติหรือข้าวของอื่นใดติดตัวเพื่อเข้าสู่ทางเดินแห่งมิติ จึงไม่มีอะไรสักอย่างที่จะพิสูจน์ตัวตนในเวลานี้ หรือต่อให้นำออกมาได้ ชายผู้นี้ก็คงไม่รู้จักมัน


“เงียบทำไมล่ะ? ทำไมไม่แก้ตัว?”


อู๋เจียงเฉิงโบกมืออย่างวางมาด เสียงของเขาดังขึ้นและเฉียบขาดกว่าเดิม “พวกคุณกล้าดีอย่างไรถึงปลอมตัวเป็นศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักจางเซวียน? เก่งกาจมาจากไหนถึงกล้าทำอะไรเหลวไหลแบบนี้?”


“พวกเราเป็นศิษย์สายตรงของจางเซวียนจริงๆ” ขงซือเหยาขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด


“พอได้แล้ว! ผมไม่เหมือนจางหย่วนไว่นะที่จะตกหลุมพรางของพวกคุณง่ายๆ ถ้าพวกคุณเป็นศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักจางเซวียนจริงๆล่ะก็ ผมก็คงเป็นอาจารย์ของเขาแล้วล่ะ พวกเรา!” อู๋เจียงเฉิงคำราม


เขายกมือขึ้น จากนั้นก็เรียกเหล่าบริวารให้ตรงเข้าจับกุมกลุ่มนักต้มตุ๋นเพื่อนำตัวไปส่งที่คฤหาสน์ท่านเจ้าเมือง


แต่ในตอนนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นกลางอากาศ “คุณบอกว่าคุณเป็นอาจารย์ของผม? ทำไมผมไม่เห็นรู้เลยล่ะ?”


“ใครน่ะ?” อู๋เจียงเฉิงชะงักและรีบเงยหน้า เห็นสองร่างลอยตัวอยู่กลางอากาศ หนึ่งในนั้นกำลังจับจ้องลงมาพร้อมกับยิ้มน้อยๆ


“เจ้าสำนักจางเซวียน…”


อู๋เจียงเฉิงตัวแข็งทื่อ หัวเข่ากระทบกันด้วยความหวาดกลัว เขาแทบลมจับ


ตัวเขาเคยเฝ้าดูการไต่สวนตั้นเฉี่ยวเทียนที่มีขึ้นในคฤหาสน์ท่านเจ้าเมือง และในวันนั้นก็ได้รับเกียรติให้พบเจ้าสำนักจางเซวียนตัวเป็นๆ ผู้ที่ลอยตัวอยู่เหนือศีรษะของเขาในเวลานี้มีหน้าตาเหมือนเจ้าสำนักจางเซวียนเป๊ะ และการที่เขาลอยอยู่กลางอากาศได้ก็แปลว่าอย่างน้อยต้องเป็นนักรบอมตะขั้นสูง…


ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องพิสูจน์


“ท่านอาจารย์!”


ตรงกันข้ามกับความตกตะลึงของอู๋เจียงเฉิง เมื่อเห็นร่างที่อยู่กลางอากาศ นัยน์ตาของจ้าวหย่ากับคนอื่นๆแดงก่ำ ทุกคนรีบทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น


“อือ…พวกคุณคงลำบากไม่น้อยสินะ”


ตอนที่ 2127 เผ่าพันธุ์เสมือนมังกร

เห็นเหล่าศิษย์สายตรงของเขาเติบโตขึ้นมาก จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจ เขาโบกมือและยื่นขวดหยก 9 ใบให้ทั้งกลุ่ม


“ดื่มซะ”


“ได้ ท่านอาจารย์!”


ทั้ง 9 คนดื่มซุปไก่ลงไป ครู่ต่อมาก็รู้สึกได้ถึงพลังงานปริมาณมหาศาลอย่างน่าทึ่งที่ชำระล้างทางเดินพลังปราณของพวกเขา เพียง 2-3 อึดใจ อาการบาดเจ็บก็หายเป็นปลิดทิ้ง


“นี่…พวกเขาเป็นนักปราชญ์โบราณขั้น 4 กันหมดเลยหรือ?” อู๋เจียงเฉิงกับจางหย่วนไว่แทบลมจับด้วยความตกใจ


โดยเฉพาะอู๋เจียงเฉิง เขาแทบปล่อยโฮออกมา


ขนาดท่านเจ้าเมืองซึ่งเป็นชายผู้ทรงพลังที่สุดในเมืองชวนเจียงก็เป็นแค่นักปราชญ์โบราณขั้น 4 แต่เด็กหนุ่มสาวเหล่านี้สำเร็จวรยุทธขั้นนั้นแล้ว…


โชคดีที่เจ้าสำนักจางมาทันเวลา ไม่อย่างนั้น ด้วยสิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกไป ทั้ง 9 คนคงโกรธเกรี้ยวจนบั่นหัวเขาแน่!


จางเซวียนพิจารณาบรรดาศิษย์สายตรงของเขาอย่างตั้งใจ


สำหรับเขา เวลาเพิ่งผ่านไปเพียงเดือนเดียว แต่เป็นเวลากว่า 1 ปีแล้วสำหรับเด็กกลุ่มนี้ เขาเห็นร่องรอยของวุฒิภาวะและความมุ่งมั่นบนใบหน้าอ่อนเยาว์เหล่านั้น และในเวลาเดียวกัน ทุกคนก็ยกระดับวรยุทธได้สูงขึ้นอีกมาก


เด็กๆไม่ทำให้เขาผิดหวัง


“ไปกันเถอะ!”


จางเซวียนโบกมือ แล้วทั้ง 9 คนก็โผขึ้นสู่กลางอากาศพร้อมกัน จางเซวียนใช้นิ้วแตะกระสอบอสูรของเขาเบาๆ มังกรอสรพิษปรากฏตัวกลางอากาศ มันขยายขนาดขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับพายุใหญ่ ในชั่วพริบตาก็ยาวกว่า 100 เมตร


จางเซวียนกับศิษย์สายตรงของเขารีบปีนขึ้นไปบนแผ่นหลังของมัน


“เผ่าพันธุ์เสมือนมังกร?”


“มีตัวอะไรแบบนี้อยู่ในโลกด้วยหรือ?”


ประชากรนับไม่ถ้วนในเมืองชวนเจียงต่างมองเห็นมังกรอสรพิษ จากเริ่มแรกที่ตกตะลึง พวกเขารีบทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า


เผ่าพันธุ์เสมือนมังกรเคยปรากฏตัวเพียงครั้งเดียวตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของทวีปที่ถูกลืม ทุกคนจึงพากันคาดเดาว่าจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ตามมาแน่เมื่อมันปรากฏตัวอีกครั้ง


“เผ่าพันธุ์เสมือนมังกร…” อู๋เจียงเฉิงยิ่งอยากปล่อยโฮมากขึ้นอีก


การปรากฏตัวของมันยิ่งตอกย้ำว่าอีกฝ่ายคือชายผู้ทรงพลังที่สุดของทวีปที่ถูกลืม


เขาบังอาจสงสัยแคลงใจในตัวศิษย์สายตรงของชายหนุ่ม ไม่เพียงเท่านั้น ยังกล้าอวดอ้างว่าเป็นอาจารย์ของอีกฝ่ายด้วย!


ถึงตอนนี้ อู๋เจียงเฉิงอยากจะหาอิฐสักก้อนมาโขกศีรษะให้ตายเสียรู้แล้วรู้รอด!


อู๋เจียงเฉิงตัวสั่นด้วยความพรั่นพรึง เกรงว่าเจ้าสำนักจางเซวียนจะอาฆาตมาดร้ายตัวเขาเพราะพฤติกรรมกระด้างกระเดื่องที่ทำลงไปเมื่อครู่


ในตอนนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นกลางอากาศ “จางหย่วนไว่ คุณได้รับความสำนึกในบุญคุณจากผมที่ช่วยศิษย์สายตรงทั้ง 9 คนของผมไว้ ขอแค่ทายาทของคุณไปที่สำนักดาบเมฆเหินพร้อมกับตราสัญลักษณ์อันนี้ คุณก็วางใจได้เลยว่าพวกเขาจะได้รับทรัพยากรชั้นยอดจากสำนักของเรา”


ตราสัญลักษณ์อันหนึ่งร่วงลงมาจากกลางอากาศ เข้าสู่ฝ่ามือของจางหย่วนไว่


“ขอบคุณมาก เจ้าสำนักจาง!” จางหย่วนไว่โค้งคำนับอย่างงามด้วยความสำนึกในบุญคุณ


แน่นอนว่าตราสัญลักษณ์อันนี้จะต้องเป็นตราที่ไร้เทียมทานในเมืองชวนเจียง จะไม่มีกลุ่มอำนาจหรือตระกูลไหนกล้าหาเรื่องเขา และเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาส่งทายาทที่ผ่านการคัดเลือกเข้าสู่สำนักดาบเมฆเหินพร้อมกับตราดังกล่าว ก็ย่อมรับประกันได้ว่าตระกูลของเขาจะต้องรุ่งเรืองและยิ่งใหญ่


รู้ดีว่าตราสัญลักษณ์มีความสำคัญแค่ไหน จางหย่วนไว่กำไว้แน่นขณะแหงนมอง แต่ก็ไม่พบอะไรอยู่กลางอากาศ เผ่าพันธุ์เสมือนมังกรหายลับไปพร้อมกับคนอื่นๆ


ความดีย่อมหวนกลับมาตอบแทน เราจะต้องทำความดีและมอบพลังบวกให้โลกใบนี้มากขึ้นอีก จางหย่วนไว่คิดขณะทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นและโค้งคำนับอย่างงาม


จริงอยู่ว่าเขาช่วยชีวิตเด็กทั้ง 9 ไว้เพราะมีแรงบันดาลใจบางอย่าง แต่พูดกันตามตรง ก็นึกไม่ถึงว่าจะได้รับผลตอบแทนขนาดนี้ เพราะถึงอย่างไรเขาก็รู้ดีว่าโอกาสที่สิ่งที่เกิดกับตั้นเฉี่ยวเทียนจะมาเกิดกับเขาด้วยนั้นมีน้อยมาก


แต่สุดท้ายมันก็เกิดขึ้น ไม่นึกเลยว่าเขาจะได้รับรางวัลขนาดนี้


“น้องจาง คุณเปลี่ยนชะตาชีวิตของผมไปอย่างสิ้นเชิง นับจากวันนี้ไป ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม” อู๋เจียงเฉิงเอ่ยอย่างอิจฉาขณะมองเพื่อนสนิทของเขา


ลำพังแค่ความดีความชอบที่ช่วยชีวิตศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักจางไว้ก็เกินพอจะแผ้วถางเส้นทางสู่ความยิ่งใหญ่ให้ตัวเองแล้ว


“ผมโชคดีมาก แต่ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญกว่าสำหรับพวกเราก็คือการมีน้ำใจและทำความดีให้มากขึ้นอีก” จางหย่วนไว่ยิ้ม


เพื่อเฉลิมฉลองลาภลอยครั้งใหญ่ของเขา คืนนั้นจางหย่วนไว่จัดงานเลี้ยง และแน่นอนว่าอู๋เจียงเฉิงก็เข้าร่วมการเฉลิมฉลอง แต่เมื่อกลับถึงบ้านหลังจากเสร็จสิ้นงานเลี้ยงคืนนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่


ดูเหมือนเราจะตั้งหน้าตั้งตาแสวงหาอำนาจและความมั่งคั่งมากไป จนมองโลกด้วยความระแวงสงสัยไปหมด เราหลงลืมแก่นสารของความเป็นมนุษย์…อู๋เจียงเฉิงตั้งข้อสังเกตพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ


เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงปฏิกิริยาแรกของตัวเองหลังจากได้ฟังเรื่องราวของจางหย่วนไว่ เขาไม่คิดว่า การตั้งข้อสงสัยของตัวเขาไม่ถูกต้อง แต่รู้สึกราวกับสูญเสียความเชื่อมั่นต่อโลกที่เคยมีมาในอดีตไปทั้งหมด


หรือว่า…ถึงเวลาแล้วที่เขาต้องเปลี่ยนแปลง?


บึ้มมมม!


ขณะที่อู๋เจียงเฉิงกำลังครุ่นคิดหนัก ก็เกิดเสียงดังกึกก้องขึ้นในพุ่มไม้ที่ไม่ห่างออกไป


เขาหันขวับไปมองอย่างระแวง เห็นชายร่างอ้วนคนหนึ่งนอนแผ่อยู่กับพื้น ร่างนั้นมีหญ้าแห้งติดเต็มไปหมด


“สหายที่อยู่ตรงนั้นน่ะ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?” อู๋เจียงเฉิงรีบเข้าไปช่วยชายร่างอ้วนคนนั้น


ส่วนอีกฝ่ายก็นวดท้ายทอยขณะลุกพรวด เขาตั้งคำถามด้วยสีหน้าที่บ่งบอกความอัศจรรย์ใจ “ที่นี่คือมิติเบื้องบนใช่ไหม?”


“มิติเบื้องบน?” อู๋เจียงเฉิงกระพริบตาปริบๆ


“คุณมาจากมิติเบื้องบน เคยได้ยินชื่อสำนักดาบเมฆเหินบ้างหรือเปล่า?” ชายร่างอ้วนตั้งคำถาม


“ผมเคยได้ยิน” อู๋เจียงเฉิงพยักหน้าอย่างงงๆ ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดอะไร


“เยี่ยมเลย! ตอนนี้นายน้อยของผมเป็นเจ้าสำนักของที่นั่น ผมอยากให้คุณช่วยพาผมไปสำนักดาบเมฆเหินหน่อย ขอแค่ผมได้พบนายน้อย ก็รับรองได้เลยว่าคุณจะได้รับรางวัลตอบแทนอย่างงาม”ชายร่างอ้วนปัดฝุ่นออกจากเสื้อคลุมขณะเชิดหน้ามองอู๋เจียงเฉิง


“นายน้อยของคุณเป็นเจ้าสำนัก? หรือว่า…” อู๋เจียงเฉิงนัยน์ตาเบิกโพลงจนม่านตาขยายเป็นรูปวงกลม “คุณหมายถึงเจ้าสำนักจางเซวียนใช่ไหม?”


“ใช่เลย! ผมคือพ่อบ้านของเจ้าสำนักจาง” ชายร่างอ้วนตอบอย่างภาคภูมิใจ


เขาคือซุนฉาง ซึ่งเข้าสู่มิติเบื้องบนผ่านทางเดินแห่งมิติ เขาใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะผ่านทางเดินแห่งมิติมาได้ แต่เพราะความแตกต่างของกระแสกาลเวลา เวลาในมิติเบื้องบนจึงผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง ประกอบกับได้ดื่มซุปไก่ที่จางเซวียนมอบให้ ซุนฉางจึงรอดพ้นคลื่นความสั่นสะเทือนของมิติมาได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ


ด้วยวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 4 ถือได้ว่าเขาเป็นผู้ทรงพลังคนหนึ่งในเมืองชวนเจียง


“คุณเป็นพ่อบ้านของเจ้าสำนักจางหรือ?” อู๋เจียงเฉิงยังจับต้นชนปลายไม่ถูก


“ไม่น่าใช่นะ ผมได้ยินว่าพ่อบ้านของเจ้าสำนักจางคืออดีตจอมโจรชื่อเฉาเฉิงลี่ และจำได้ว่าเฉาเฉิงลี่ไม่ได้อ้วนท้วนแบบนี้…”


“เฉาเฉิงลี่?”


โลกของซุนฉางเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เขามีสีหน้าเจ็บปวด จากนั้นก็ยกมือกุมหน้าอกไว้และร่ำร้องกับฟ้าดิน “นายน้อย…ผ่านไปเพียงเดือนเดียวเท่านั้น คุณก็หาคนอื่นมาแทนที่ผมเสียแล้ว! ผม, ซุนฉาง ไม่มีวันยอมรับเรื่องนี้! เฉาเฉิงลี่คนนั้นอยู่ไหน? ผมจะไปจัดการเขาเดี๋ยวนี้เลย!”


“….” อู๋เจียงเฉิง


…..


ขณะที่ซุนฉางกำลังกระฟัดกระเฟียดกับการได้รู้ว่ามีใครคนหนึ่งมาแทนที่เขา จางเซวียนกับศิษย์สายตรงทั้ง 9 ก็มาถึงสำนักดาบเมฆเหิน


“ท่านอาจารย์!” ตั้นเฉี่ยวเทียนตรงเข้ามาต้อนรับ


“อือ นี่คือศิษย์พี่ของคุณ” จางเซวียนบอกตั้นเฉี่ยวเทียน จากนั้นก็หันไปพูดกับจ้าวหย่าและคนอื่นๆ “ชายหนุ่มคนนี้คือศิษย์สายตรงที่ผมรับไว้เมื่อตอนอยู่ที่นี่, ตั้นเฉี่ยวเทียน”


“ศิษย์น้อง คุณได้รับความสำนึกในบุญคุณสูงสุดจากพวกเราที่ช่วยชีวิตท่านอาจารย์!”


ระหว่างการเดินทาง จ้าวหย่ากับพรรคพวกได้ฟังเรื่องราวของจางเซวียนหลังจากที่อีกฝ่ายมาถึงมิติเบื้องบน ซึ่งถ้าไม่ใช่เพราะตั้นเฉี่ยวเทียนช่วยชีวิตท่านอาจารย์ไว้ตั้งแต่แรก ก็คงบอกได้ยากว่าตอนนี้ท่านอาจารย์จะเป็นอย่างไร


ทั้ง 9 คนจึงโค้งคำนับอย่างงามให้ตั้นเฉี่ยวเทียนเพื่อแสดงความสำนึกในบุญคุณ


“ศิษย์พี่ ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้หรอก ได้โปรด! พวกคุณเกรงอกเกรงใจเกินไปแล้ว!”


ตั้นเฉี่ยวเทียนรีบโค้งคำนับครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความตกตะลึงกับการกระทำของอีกฝ่าย


“นี่คือยาเม็ดอมตะขั้นพิเศษและหนังสือเทคนิควรยุทธ ผมออกแบบเทคนิควรยุทธที่เหมาะสมกับสภาวะร่างกายของพวกคุณแต่ละคนไว้แล้ว ตั้งใจฝึกฝนวรยุทธและก้าวเข้าสู่วรยุทธอมตะขั้นสูงให้เร็วที่สุดนะ พวกคุณจะได้ช่วยเหลือผมได้!” จางเซวียนพูดขณะนำยาเม็ดและตราหยกจำนวนหนึ่งออกมา


ด้วยสถานภาพของเขาในเวลานี้ เขาไม่ขาดแคลนทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธอีกต่อไป ขอแค่ต้องการ ก็สามารถรวบรวมยาเม็ดอมตะขั้นพิเศษจำนวนหลายร้อยเม็ดได้อย่างง่ายดาย


หลังจากได้รับคำสั่งของท่านอาจารย์ ทุกคนก็รีบเข้าที่พักเพื่อตั้งต้นฝึกฝนวรยุทธ


จ้าวหย่ากับพรรคพวกมีศักยภาพสูง ทำให้ยกระดับวรยุทธได้อย่างรวดเร็ว


หลังจากนั้นไม่นาน ไป๋เหรินชิงก็กลับถึงสำนักดาบเมฆเหินหลังจากเสร็จสิ้นการออกไปปฏิบัติภารกิจกับท่านปู่ของเธอ ในเวลานี้ วรยุทธของเธอเข้าถึงระดับอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์แล้ว


อีกเพียงก้าวเดียวก็จะเป็นนักรบอมตะขั้นสูง


จางเซวียนถ่ายทอดเทคนิควรยุทธระดับอมตะขั้นสูงที่เขาปรับปรุงใหม่ให้ไป๋เหรินชิง และสั่งการให้เธอรีบยกระดับวรยุทธให้ได้โดยเร็วที่สุด


หลังจากเสร็จสิ้นธุระกับบรรดาลูกศิษย์ จางเซวียนก็ไม่ได้รีบร้อนจะออกไปกับหวู่เฉิน เขาหาห้องเงียบๆห้องหนึ่งเพื่อฝึกฝนวรยุทธเช่นกัน


จางเซวียนได้แท่นบูชาของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นมาแล้ว ซึ่งก็หมายความว่าเขาสามารถประกอบพิธีกรรมและทะลุมิติตรงไปยังสถานที่ที่แท่นบูชาของตำหนักคว้าดาวตั้งอยู่ได้ แต่เขาไม่คิดว่าเวลานี้จะเหมาะสม


เพราะนอกจากปรมาจารย์ขง หอเทพเจ้ายังมีผู้เชี่ยวชาญระดับนั้นอีกมากมาย แถมดูเหมือนทุกคนจะมีไม้ตายอันทรงพลังในถิ่นฐานที่มั่นของตัวเองด้วย หากเขาอยากช่วยตู้ชิงหย่วนและแก้ปัญหาทั้งหมดให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด อย่างน้อยที่สุดก็จะต้องยกระดับวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ให้ได้ก่อน


ตอนที่ 2128 แบบนี้ไม่ได้การ…

มีแต่วรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เท่านั้นที่จะทำให้เขาต่อสู้กับปรมาจารย์ขงได้อย่างสมน้ำสมเนื้อและช่วยตู้ชิงหย่วนได้


แต่ตอนนี้เขายังไม่มีเทคนิควรยุทธที่เหมาะสม จำเป็นต้องเสาะแสวงหาเส้นทางของตัวเองให้พบหากอยากประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในอนาคต


แต่การเสาะแสวงหาเส้นทางของตัวเองไม่ใช่เรื่องง่าย


จางเซวียนใช้สมาธิพินิจพิจารณามหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงมาหลายวันแล้ว แต่ก็ยังมองไม่ออกว่าควรให้ความสำคัญที่จุดไหน


เฮ่อออออ!


เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็เพ่งสมาธิเข้าสู่มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงอีกครั้งพร้อมกับครุ่นคิดพิจารณาภูมิปัญญาทั้งหมดที่ได้รับมาตลอดหลายวันก่อน ไม่ช้าจางเซวียนก็ค่อยๆดำดิ่งเข้าสู่ภวังค์


เราคือนักรบผู้ฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้า ร่างกายของเราไม่อาจฝึกฝนเทคนิควรยุทธที่มีระดับขั้นอ่อนด้อยเกินไป


เทคนิควรยุทธที่อ่อนด้อยนั้น นอกจากจะขัดขวางการพัฒนากายเนื้อและวรยุทธ ยังไม่อาจช่วยยกระดับประสิทธิภาพการต่อสู้ได้มากนักด้วย


เพราะฉะนั้น เราจะทำอะไรเหยาะแหยะไม่ได้ ต่อให้เทคนิควรยุทธที่เราคิดค้นขึ้นจะยังไม่ถึงขั้น เทคนิคเทียบฟ้า แต่อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเข้าใกล้ระดับนั้น!


นี่คือนิสัยของจางเซวียน หากเขาจะทำอะไร ก็จะมุ่งมั่นทำจนสุดความสามารถเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลัง


ปรมาจารย์ขงบอกไว้ว่าตัวเขาคือผู้ครอบครองลิขิตสวรรค์ ขณะที่เรารับรู้มลทินสวรรค์ได้ ยิ่งเราใช้หอสมุดเทียบฟ้าบ่อยครั้งเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องพึ่งพามันมากขึ้นเท่านั้น และสุดท้ายเราก็จะถูกสวรรค์กลืนกิน…จางเซวียนครุ่นคิด


ถึงคำพูดนั้นจะออกจากปากศัตรู แต่เมื่อพิจารณาและใคร่ครวญให้ดี ก็ยังรู้สึกว่ามีโอกาสสูงที่จะเป็นความจริง


ก็เหมือนกับปรมาจารย์ฟ้าประทาน อำนาจสวรรค์ทำให้เขาพัฒนาตัวเองได้อย่างน่าทึ่ง แต่หากเขาอยากก้าวไปจนเหนือขีดจำกัดของสวรรค์ ในที่สุดก็จะต้องตัดความเชื่อมโยงกับมัน


ไม่อย่างนั้น การที่เขาต้องพึ่งพาสวรรค์จะยับยั้งการพัฒนาเอาไว้ สุดท้ายทุกอย่างก็จะชะงักงัน


ลิขิตสวรรค์และมลทินสวรรค์ อยากรู้จริงว่าที่เหลือคืออะไร…


ขณะที่จางเซวียนครุ่นคิด ก็ลืมเวลาไประยะหนึ่ง


ไม่ว่าเขาจะต้องพึ่งพาเคล็ดวิชาเทียบฟ้าหรือไม่ เรื่องจริงก็คือการรวบรวมหนังสือเทคนิควรยุทธให้ได้ตามที่พอใจนั้น นับวันจะยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆตามระดับวรยุทธที่สูงขึ้น อีกอย่าง เขาก็ไม่อาจปล่อยให้ไอสีเทาเพิ่มปริมาณขึ้นได้อีก ไม่อย่างนั้นล่ะก็ สุดท้ายจะต้องกลายเป็นหุ่นเชิดของสวรรค์แน่!


จางเซวียนจึงรู้ดีว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องใช้เส้นทางนี้


เขานั่งนิ่งไม่ไหวติงตลอด 3 วันถัดมา ไม่กินอาหารและไม่ดื่มน้ำ


3 วันในมิติเบื้องบนเท่ากับราว 300 วันในมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง เวลาเกือบ 1 ปีจึงผ่านไปโดยจางเซวียนไม่ทันรู้ตัว


ภายใน 1 ปีนี้ จางเซวียนไม่ได้หยุดพักเลยแม้ชั่วพริบตา ความเหนื่อยล้าทำให้ดวงตาของเขาแดงก่ำ ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้เขาเป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ ร่างกายคงรับไม่ไหว!


“แบบนี้ไม่ได้การ…”


“แบบนี้ก็ใช้ไม่ได้เหมือนกัน…”


“อีกนิดเถอะ…ทำไมเราถึงพลาดนิดพลาดหน่อยอยู่เรื่อย!”


สิ่งนี้ดำเนินไปตลอด 7 วันของมิติเบื้องบน


ในช่วงเวลานี้ จางเซวียนรวบรวมหนังสือเทคนิควรยุทธชั้นยอดไว้ได้อย่างน้อยหมื่นเล่ม แต่ทุกเล่มล้วนไม่เหมาะกับสภาวะร่างกายของเขา อีกทั้งยังมีข้อด้อยที่ทำให้ไม่พึงพอใจ สุดท้ายจางเซวียนก็ไม่มีทางเลือกนอกจากล้มเลิกและหันไปเพ่งสมาธิเข้าสู่กายเนื้อ


โลกภายนอกเพิ่งผ่านไป 10 วัน แต่เขาใช้เวลาในมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงได้เกือบ 3 ปีแล้ว


การคร่ำเคร่งฝึกฝนอย่างหนักตลอดช่วงเวลานี้ทำให้หัวสมองของจางเซวียนเหนื่อยล้า


เขารู้สึกสิ้นหวัง เพราะถ้ายังคิดค้นเทคนิควรยุทธไม่ได้ ก็ไม่มีทางฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จ และถ้าเขามุ่งหน้าสู่หอเทพเจ้าในสภาพนี้ ก็มีแต่จะรนหาที่ตาย


จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาเดินออกจากห้องเพื่อจัดการธุระเฉพาะหน้าก่อน


ไม่ช้าจางเซวียนก็พบผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักดาบเมฆเหิน เขารีบตั้งคำถาม “ผลการค้นหาเป็นอย่างไร? พวกคุณพบตัวเธอหรือยัง?”


ตอนที่กลับจากทวีปแห่งปรมาจารย์ เขาได้สั่งการให้เหล่าผู้อาวุโสของสำนักดาบเมฆเหินแจ้งข่าวต่อสำนักดาวเจ็ดดวง หอนานาอสูร และตำหนักคว้าดาวให้ค้นหาตำแหน่งที่อยู่ของหลัวฉีฉี


ในเมื่อเวลาผ่านไป 10 วันแล้ว พวกนั้นก็น่าจะพบอะไรบ้าง


“เรียนเจ้าสำนักจาง ทั้ง 4 สำนักได้ส่งศิษย์สายตรงจำนวนหลายแสนคนออกปูพรมค้นหาทั่วทุกเมืองใหญ่ในมิติเบื้องบน แต่ไม่มีใครพบเห็นหรือได้ข่าวคราวของนายหญิงหลัวฉีฉีเลย!” ผู้อาวุโสประสานมือและให้คำตอบ


“ไม่มีข่าวคราวเลยหรือ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


ในเมื่อหลัวชวนฉิงบอกว่าหลัวฉีฉีข้ามผ่านปราการแห่งมิติของทวีปแห่งปรมาจารย์เพื่อเข้าสู่โลกที่มีระดับขั้นสูงกว่าเดิม ก็มีความเป็นไปได้สูงที่เธอจะมาที่นี่…แล้วทำไมถึงไม่มีข่าวคราวของเธอ?


จางเซวียนเชื่อมั่นในศักยภาพของเครือข่ายข้อมูลข่าวสารของ 4 สำนักใหญ่ หากพวกเขาหาตัวเธอไม่พบภายใน 10 วันนี้ เธอก็น่าจะไม่ได้อยู่ในมิติเบื้องบน


แต่ถ้าเธอไม่ได้มาที่มิติเบื้องบนหลังจากที่ออกจากทวีปปรมาจารย์ แล้วจะไปที่ไหน?


ไว้ค่อยคิดทีหลังก็แล้วกัน…จางเซวียนตัดสินใจ


ตอนนี้ไม่มีอะไรที่เขาทำได้ จางเซวียนได้แต่ส่ายหัวและมุ่งหน้าสู่บริเวณที่เหล่าศิษย์สายตรงของเขากำลังฝึกฝนวรยุทธ


ตลอด 10 วันที่ผ่านมา ทุกคนพัฒนาไปมาก จ้าวหย่า เจิ้งหยางและคนอื่นๆสำเร็จวรยุทธอมตะตัวจริงแล้ว


แม้แต่หยวนเทาซึ่งมักจะล้าหลังพรรคพวกอยู่เสมอก็สำเร็จวรยุทธเสมือนอมตะสรวงสวรรค์


ส่วนไป๋เหรินชิง เธอฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ระดับอมตะขั้นสูงได้สำเร็จ ทำให้เป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุด ในบรรดานักรบรุ่นเดียวกันของสำนักดาบเมฆเหิน


เห็นทุกคนขะมักเขม้นฝึกฝนวรยุทธ จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่แล้วก็นึกหนักใจ จึงเดินกลับห้องเพื่อปลีกวิเวกต่อ ก็พอดีกับที่ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้นไม่ไกลนัก


“นายน้อย คุณต้องชดเชยความเสียหายให้ผมนะ! ผม, ซุนฉางผู้เป็นที่รักของคุณ อยู่เคียงข้างคุณมาก็หลายปี เราอยู่ด้วยกันตั้งแต่ที่อาณาจักรเทียนเซวียน คุณจะเอาเจ้าโจรสลัดหน้าด้านนี่มาแทนที่ผมไม่ได้!”


เสียงร่ำร้องที่ดูจะออกอาการเกินกว่าเหตุดังขึ้นขณะที่ชายร่างตุ้ยนุ้ยคนหนึ่งพรวดพราดเข้ามาในลานบ้าน


ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอีกฝ่ายคือซุนฉาง


ตลอด 10 วันที่ผ่านมา เขาเดินทางจากเมืองชวนเจียงจนมาถึงสำนักดาบเมฆเหิน ด้วยการใช้อาวุธของจางเซวียนเป็นเครื่องระบุตัวตน จึงเข้ามาที่นี่ได้โดยไม่ยาก แต่ลงท้ายโชคชะตาก็นำพาให้พบกับจอมโจรเฉาเฉิงลี่


ทั้งสองต่างกล่าวอ้างว่าตัวเองเป็นพ่อบ้านเพียงคนเดียวของจางเซวียน และการโต้เถียงก็เผ็ดร้อนขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งเริ่มปะทะกัน


แม้เฉาเฉิงลี่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งของมิติเบื้องบน แต่ก็เป็นแค่นักปราชญ์โบราณขั้น 4 ซึ่งเป็นขั้นเดียวกับซุนฉาง การปะทะจึงไม่อาจตัดสินผลแพ้ชนะได้


แต่ทั้งคู่ต่างก็ไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อได้รู้ว่าจางเซวียนออกจากการปลีกวิเวกแล้ว จึงรีบพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วที่ไวกว่าแสง


“นายน้อย หมอนี่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ มาอ้างตัวว่าเป็นพ่อบ้านของคุณ ไม่เพียงเท่านั้น ยังกล้าโจมตีผมด้วย!” เฉาเฉิงลี่คือผู้มีนิสัยดื้อดึงชนิดที่จะไม่ยอมล่าถอยในการโต้เถียงใดๆ


จางเซวียนที่อ่อนล้าอยู่แล้วรู้สึกเวียนหัวกับเสียงตะโกนของทั้งสองฝ่าย เขาโบกมืออย่างหงุดหงิด “ก็แค่ตำแหน่งพ่อบ้าน พวกคุณจำเป็นต้องสู้กันเรื่องนี้ด้วยหรือ? ไม่รู้สึกอับอายบ้างหรือไง?”


“อะไรๆมันไม่ง่ายแบบนั้นหรอกนะ! ในฐานะพ่อบ้าน พวกเราต้องยืนหยัดเพื่อตอบสนองทุกความต้องการของนายน้อยให้ได้ ถ้าตกลงกันไม่ได้ว่าควรทำอย่างไร แล้วจะให้เราฟังใครล่ะ?” ซุนฉางประท้วงอย่างหงุดหงิด


“นายน้อย! ผมติดตามคุณมาก็เนิ่นนาน กล้าพูดเลยว่าในโลกนี้ไม่มีใครรู้จักคุณดีกว่าผม ไม่มีทางหรอกที่เจ้าคนที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้คนนี้จะดูแลคุณได้ดีกว่าที่ผมทำ!”


“คุณ…” เฉาเฉิงลี่กัดฟันอย่างโกรธเกรี้ยว “นายน้อย มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าหมอนี่ไว้ใจไม่ได้ ในฐานะพ่อบ้าน เราต้องมองภาพรวมให้ออกเพื่อจะได้แบ่งเบาภาระของคุณ ผมไม่เชื่อหรอกว่าคนอย่างหมอนี่จะมีปัญญาทำอะไรแบบนั้น!”


เห็นทั้งคู่เริ่มเกทับกันอีกรอบ จางเซวียนได้แต่นวดขมับเพื่อบรรเทาอาการปวดหัวตุบๆ


ถ้าจะพูดตามตรง เขาไม่อยากเลือกใครสักคน!


ซุนฉางมีนิสัยคุยโวโอ้อวดที่ฝังรากลึก ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับใครหรือปัญหาแบบไหน สิ่งที่เขาให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกก็คือหาความพอใจจากการคุยโวโอ้อวด…ด้วยนิสัยไม่เกรงกลัวใครแบบนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต่อไปจะต้องเจอเรื่องยุ่งยากไม่น้อย


ส่วนจอมโจรเฉาเฉิงลี่ก็เป็นคนที่คิดแต่เรื่องใต้สะดือ สิ่งแรกที่เขาให้ความสำคัญคือการตอบสนองตัณหาของตัวเอง ทำให้ไว้ใจไม่ได้ยิ่งกว่าซุนฉางเสียอีก


เฮ่ออออ! ไม่นึกเลยว่าคนที่หนักแน่นและน่าเชื่อถือแบบเขาจะต้องรับพ่อบ้านที่แสนจะทำตัวเจ้าปัญหาไว้ถึง 2 คน…


แถมทุกอย่างยังเลวร้ายกว่าเดิมเพราะทั้งคู่เกทับกันไม่หยุดเรื่องตำแหน่งหน้าที่ของตัวเอง!


เมื่อทนหนวกหูไม่ไหว สุดท้ายจางเซวียนก็ตวาด “พอที! ซุนฉางจะเป็นพ่อบ้านของผม เข้าใจไหม?”


ถ้าเขาต้องเลือกหนึ่งในสองคนนี้จริงๆ ซุนฉางย่อมน่าไว้ใจกว่ามาก


เพราะอย่างน้อยที่สุด เจ้าอ้วนนี่ก็ไม่เคยทำให้เขาผิดหวังเรื่องการหาข้อมูลข่าวสารหรือการฉกฉวยโอกาสงามๆไว้


“ตะ-แต่ผม…” เฉาเฉิงลี่ตื่นตระหนกขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำพิพากษา


“ผมจะมอบหมายหน้าที่ให้คุณดูแลตั้นเฉี่ยวเทียนกับศิษย์สายตรงคนอื่นๆของผม” จางเซวียนพูด ครู่ต่อมาเขาก็รีบสำทับ “แต่รู้ไว้ด้วยนะว่าคุณจะต้องรับผิดชอบถ้ามีใครนอกลู่นอกทาง!”


ด้วยความเลือดร้อนของเจิ้งหยาง หยวนเทา และคนอื่นๆ คงน่าปวดหัวมากหากเฉาเฉิงลี่ชักนำพวกเขาให้ออกนอกลู่นอกทางไป!


“ขอรับ ผมเข้าใจ” เฉาเฉิงลี่พยักหน้า


ตอนนี้เขาแสนจะยินดีปรีดาที่นายน้อยไม่ได้พยายามผลักไสไล่ส่ง


จางเซวียนครุ่นคิดอีกครู่ใหญ่ก่อนจะหันไปสั่งการกับซุนฉาง “ในเมื่อคุณมาถึงที่นี่แล้ว ผมอยากให้คุณตามหาที่อยู่ของฉีฉี เท่าที่ผมรู้ เธอน่าจะมาถึงมิติเบื้องบนแล้ว”


“นายหญิงฉีฉีก็อยู่ในมิติเบื้องบนหรือ?” ซุนฉางประหลาดใจเล็กน้อยกับข่าวที่ได้รับ แต่ก็ยกมือขึ้นทาบอกอย่างมั่นใจและพูดว่า “นายน้อย ปล่อยเป็นภาระของผมเถอะ ทันทีที่เธอปรากฏตัว ผมจะพาเธอมาพบคุณทันที!”


“ดี” จางเซวียนพยักหน้า


เขารู้สึกมั่นใจกว่าเมื่อมอบหมายภาระนี้ให้ซุนฉาง ในฐานะนักธุรกิจเก่า ซุนฉางย่อมเก่งกาจเรื่องการหาข้อมูลและเชื่อมสายสัมพันธ์ต่างๆเพื่อให้ภารกิจสำเร็จลุล่วง


ตอนที่ 2129 ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น…

เมื่อรับหน้าที่แล้ว ซุนฉางก็ยังไม่จากไป เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตั้งคำถาม” นายน้อย ผมหวังว่าคุณจะไม่ตำหนิผมที่เข้าไปก้าวก่ายกิจธุระของคุณมากเกินไป แต่นายหญิงฉีฉีก็ทำอะไรเพื่อคุณมามาก…คุณไม่รู้สึกอะไรกับเธอเลยจริงๆหรือ?”


ในฐานะผู้ที่น่าจะใกล้ชิดกับจางเซวียนมากที่สุดเมื่อครั้งอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ ซุนฉางรู้ดีว่าหลัวฉีฉีคิดอย่างไรกับจางเซวียน


เพื่อจางเซวียน เธอพร้อมจะเป็นศัตรูกับสมาชิกทุกคนในตระกูล ยอมแม้เสียสละตัวเอง…แต่จางเซวียนกลับไม่แสดงอาการว่าจะตอบรับความรู้สึกของเธอเลย


จางเซวียนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าอย่างเคร่งขรึม “ผมไม่รู้สึก”


ตั้งแต่สมัยอยู่ที่อาณาจักรเทียนเซวียน มีสุภาพสตรีมากมายสนใจเขา ทั้งเสิ่นปี้หรู โม่หยู่ จ้าวเฟยอู่ หูเหยาเหย่า หยู่เฟยเอ๋อ…ทุกคนล้วนแต่งดงามชวนตะลึงและโดดเด่นสะดุดตา แต่เขาไม่รู้สึกอะไรกับสุภาพสตรีเหล่านั้นเลย


กับหลัวฉีฉีก็ไม่ต่างกัน


อาจจะดูลิเกไปสักหน่อยหากจะพูดแบบนี้ แต่ดูเหมือนหัวใจของเขาจะมีไว้เต้นเพื่อหลัวลั่วชิงเท่านั้น มีบางอย่างในตัวเธอที่ดึงดูดใจเขา แม้ทั้งคู่จะอยู่ด้วยกันเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่เขาก็ไม่อาจลืมเธอได้เลย


หัวใจของเขาไม่เหลือที่ว่างไว้ให้ใครอีก


“เธอเป็นสาวน้อยน่ารัก แต่คุณก็ไม่รู้สึกอะไรกับเธอเลย…ช่างเป็นชายที่เลือดเย็นอะไรอย่างนี้…” ซุนฉางพึมพำ


ถึงเขาจะเป็นแค่พ่อบ้านของจางเซวียน แต่ก็อดรู้สึกแย่แทนหลัวฉีฉีไม่ได้


“ชายเลือดเย็น…” จางเซวียนเลิกคิ้วด้วยความหงุดหงิดขณะถลึงตา


ความคิดหนึ่งกระทบใจเขา


หรือเขาจะเป็นชายผู้เลือดเย็นไร้ความรู้สึกจริงๆ?


แน่นอนว่าไม่!


สิ่งที่เขารู้สึกกับท่านพ่อท่านแม่อาจจะดูกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่เขาก็มีความรู้สึกนั้นอยู่ ส่วนการดูแลเอาใจใส่ที่เขามีให้บรรดาลูกศิษย์กับคนรอบตัว ก็เป็นของจริงเหมือนกัน เขาไม่ใช่คนที่ชอบแสดงออกว่ารู้สึกอย่างไร แต่ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นคนเย็นชาไร้อารมณ์


เมื่อลองนึกดู นับตั้งแต่เขาทะลุมิติมาและได้ครอบครองหอสมุดเทียบฟ้า ความปรารถนาในอารมณ์โรแมนติกก็ดูเหมือนจะมอดดับ


ในชีวิตเก่า เขาเป็นแค่บรรณารักษ์ธรรมดาๆคนหนึ่ง และตายไปทั้งที่ยังโสด อันที่จริง เขาควรจะตื่นเต้นกับการที่มีสาวสวยมากมายมาให้ความสนใจ แต่เขากลับไม่รู้สึกอะไรเลย


ยิ่งไปกว่านั้น หากไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับหลัวลั่วชิงและบรรดาศิษย์สายตรงของเขา เขาพบว่าตัวเองยังคงใช้เหตุผลได้ในทุกสถานการณ์ ไม่ใช่เพราะเขาไร้อารมณ์หรือความรู้สึก แต่อารมณ์ของเขาแทบจะไม่เคยเข้าไปก้าวก่ายการใช้เหตุผล


บ่อยครั้งที่แม้แต่ในสถานการณ์คับขัน จางเซวียนก็สามารถวิเคราะห์ทุกอย่างได้ด้วยจิตใจที่สุขุมเยือกเย็น


เขาเคยคิดว่ามันน่าจะเป็นผลจากการทำความเข้าใจสภาวะหัวใจน้ำนิ่งได้สำเร็จ แต่เมื่อดูๆไป ทุกอย่างไม่น่าจะง่ายดายอย่างที่คิด


หรือว่านี่คือผลกระทบของการครอบครองหอสมุดเทียบฟ้า?


ในโลกใบเก่าของเขามีคำพูดหนึ่งที่ว่า ‘สรวงสวรรค์คงอ่อนล้าหากพวกเขามีความรู้สึก’ ไม่ว่าจะเป็นลิขิตสวรรค์หรือมลทินสวรรค์ ก็ล้วนแต่เป็นความสามารถที่อยู่บนพื้นฐานของการใช้เหตุผลทั้งนั้น ในสรวงสวรรค์ไม่มีที่ทางให้กับอารมณ์และความรู้สึก


ธรรมชาติของสรวงสวรรค์ที่ไม่ยอมประนีประนอมเรื่องใดๆคือสิ่งที่ทำให้ทุกชีวิตมีค่าเท่ากันในสายตาของพวกเขา


ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบนโลก ก็ไม่ใช่กงการของสวรรค์ วัฏจักรธรรมชาติของโลกไม่เคยหยุดยั้งเพื่อใคร ไม่เลยสักนิด


ตลอดเวลาที่ผ่านมา จางเซวียนไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่เมื่อได้ฟังซุนฉาง ก็พลันนึกได้


มันทำให้เขานึกสงสัยว่าบางทีหอสมุดเทียบฟ้าอาจค่อยๆกัดกร่อนอารมณ์ความรู้สึกของเขาออกไปทีละน้อย เพราะถึงอย่างไรก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลัวฉีฉีได้ทำอะไรเพื่อเขามากมาย ถ้าเป็นคนอื่นที่อยู่ในสถานภาพเดียวกับเขา ป่านนี้คงใจอ่อนแล้ว แต่เขายังคงไม่หวั่นไหว ราวกับไร้อารมณ์และความรู้สึก


อันที่จริง เมื่อย้อนคิดดู ก็ดูเหมือนว่าเขามองเรื่องนี้จากมุมมองของคนนอกมาตลอด ทำให้วิเคราะห์ทุกอย่างโดยใช้แค่ตรรกะและเหตุผล


เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าอารมณ์รูปแบบอื่นจะสลายไปจากตัวเขาด้วยไหมหากไอสีเทาเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกที่เขามีต่อหลัวลั่วชิงจะมอดดับไปด้วยหรือเปล่าเมื่อเขาถูกสวรรค์กลืนกิน?


เมื่อเกิดความคิดนั้นขึ้นมา จางเซวียนก็พลันเข้าใจ


ลิขิตสวรรค์ทำให้ทุกชีวิตต้องทำตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ขณะที่มลทินสวรรค์กะเกณฑ์ให้พวกเขาล้วนแต่ไม่สมบูรณ์แบบและมีข้อบกพร่อง…มีแต่ความรู้สึกเท่านั้นที่ไม่โอนอ่อนตามหลักการและเหตุผล มันบงการให้ผู้คนทำทุกอย่างที่อยู่เหนือขอบเขตของเหตุผลไป…


โลกนี้มีอะไรมากมายที่มีระเบียบกฎเกณฑ์เฉพาะให้พวกเขาทำตาม…แต่จำเป็นด้วยหรือที่อารมณ์และความรู้สึกจะต้องเชื่อฟังกฎเกณฑ์นั้น?


แน่นอนว่าไม่!


ถ้าความรู้สึกเป็นเรื่องมีเหตุมีผล ในครั้งนั้น เมื่อทั้งโลกต้องการให้เขาแต่งงานกับหลัวฉีฉีเพื่อปกปักรักษาโลกใบนี้ไว้ เขาก็คงหลงรักเธอไปแล้ว แต่ลงท้ายเขากลับมีใจให้หลัวลั่วชิงแทน


โลกนี้มีเรื่องไร้เหตุผลมากมายที่เกิดจากอารมณ์ความรู้สึกที่ควบคุมไม่ได้ หากคนคนหนึ่งควบคุมอารมณ์ของเขาได้จริงๆ ใครเล่าจะไม่อยากรักษาความมั่นคงนั้นไว้?


แต่น่าเสียดายที่สิ่งที่ควบคุมได้ยากที่สุดในโลกก็คืออารมณ์ มันเป็นสภาวะพิเศษที่ทำให้ผู้คนอับจนปัญญาและไม่รู้จะทำอย่างไรกับมัน


อารมณ์และความรู้สึกมีข้อบกพร่องไหม? ความรักมีมลทินหรือเปล่า?


ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น…


แต่ในเวลาเดียวกัน มันก็มอบสีสันให้กับชีวิต ผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนพร้อมอุทิศตัวเพื่อไขว่คว้าตามหาความรัก พวกเขาเต็มใจสละตัวเองเพื่อหวังว่าจะได้รับการเติมเต็ม…


ถ้าอย่างนั้น บางทีก็ควรจะเรียกอารมณ์และความรู้สึกว่าสิ่งมหัศจรรย์ของชีวิต


เราเข้าใจแล้ว…


นัยน์ตาของจางเซวียนฉายแววคมปลาบ


สรวงสวรรค์คงอ่อนล้าหากพวกเขามีความรู้สึก…ถ้าความรู้สึกคือสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของสวรรค์ แล้วเราจะมัวคิดมากทำไม? แล้วเทคนิควรยุทธที่เราเสาะแสวงหามาเนิ่นนาน…


จางเซวียนใช้เวลา 3 ปีไปกับมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง แต่ลงท้ายเขาก็จนมุมกับความคิดของตัวเอง


เขาพยายามเสาะแสวงหาหนทางที่จะก้าวข้ามสวรรค์ แต่จะทำอะไรได้กับเคล็ดวิชาเทียบฟ้าที่ปราศจากข้อบกพร่อง?


ต่อให้ขัดเกลาได้ดีแค่ไหน อย่างมากที่สุดก็ทำได้แค่คิดค้นเทคนิควรยุทธที่ทัดเทียมกับมัน ไม่มีทางเหนือชั้นไปกว่าได้เลย


นี่คือเหตุผลที่ทำให้เขายังคงไม่ประสบความสำเร็จแม้จะใช้ความพยายามถึง 3 ปี


เพิ่งตอนนี้เองที่จางเซวียนรู้ตัวว่าเขาเดินผิดทางมาตั้งแต่ต้น


ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขามีสิ่งที่เหนือกว่าสรวงสวรรค์อยู่ภายใน!


มีผู้คนมากมายที่ยอมให้ความรักอยู่เหนือทุกหลักการและเหตุผล เนิ่นนานมาแล้วหลายพันปี


มีผู้คนนับไม่ถ้วนที่เต็มใจสละชีวิตเพื่อปกป้องคนที่พวกเขารัก


ความเป็นญาติพี่น้อง ความเป็นมิตรสหาย ความรัก…


หลัวฉีฉีเต็มใจมอบทุกอย่างให้เขาโดยไม่นึกเสียใจ


จางหงเทียนพร้อมมอบแม้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายเพื่อปกป้องมวลมนุษย์ไว้โดยไม่เรียกร้องสิ่งใดตอบแทน


นักปราชญ์โบราณเหยียนฮุ่ยเต็มใจสละศพของเขาเพื่อปิดตายฉนวนของทางเดินแห่งมิติที่นำไปสู่มิติเบื้องบนไว้ตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา


ไม่ว่าจะเป็นทวีปแห่งปรมาจารย์หรือมิติเบื้องบน มีการตัดสินใจมากมายในชีวิตที่เกิดขึ้นด้วยอารมณ์และความรู้สึกแทนที่จะเป็นเหตุผล


เวลาในทวีปแห่งปรมาจารย์ผ่านไปหลายหมื่นปีแล้ว แต่นั่นก็ยังไม่นานพอจะลบเลือนความยิ่งใหญ่ของปรมาจารย์ขง สวรรค์คร่าชีวิตผู้คนไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า แต่ความเคารพยกย่องอย่างล้ำลึกที่พวกเขามีให้ปรมาจารย์ขงก็ยังคงหนักแน่นไม่สั่นคลอน


แม้แต่สวรรค์ที่มีเหตุผลที่สุดก็ไม่อาจเอาชนะอารมณ์กับความรู้สึกที่ปราศจากเหตุผลได้…


บึ้มมมม!


ร่างของจางเซวียนกระตุกขณะกระแสพลังงานพวยพุ่งออกจากจุดตันเถียน เขารู้สึกได้ว่าด่านคอขวดของวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ปลดปล่อยตัวเองอย่างรวดเร็ว


“ซุนฉาง ขอบใจนะ!” จางเซวียนมองหน้าซุนฉางและหัวเราะลั่น


จากนั้นก็หันหลังกลับและเดินเข้าห้อง


“เอ่อ…”


เห็นนายน้อยขอบใจเขาแทนที่จะโกรธกริ้วกับคำพูดที่ดูจะไม่เหมาะสม ซุนฉางกระพริบตาอย่างงุนงง


หรือว่านายน้อย…เสียสติไปแล้ว?


ส่วนเฉาเฉิงลี่ก็อ้าปากค้างกับภาพที่เห็น


ในครั้งนั้น เป็นเพราะเขาทำให้นายน้อยขุ่นเคืองโดยไม่ได้เจตนา อีกฝ่ายจึงบีบบังคับให้เขาไม่มีทางเลือกนอกจากมาอยู่ที่นี่ แต่พอเจ้าอ้วนคนนี้พูดจาดูถูกนายน้อย ไม่เพียงแต่นายน้อยจะไม่ตำหนิ ยังถึงกับกล่าวขอบใจด้วย…


เมื่อลองนึกดู ก็รู้สึกเหมือนว่านายน้อยจะไม่เคยแสดงความสนใจสุภาพสตรีคนไหนเลย หรือว่า…เขามีใจให้ซุนฉาง?


เฉาเฉิงลี่หันขวับไปมองซุนฉาง แต่แล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่


นายน้อยจะต้องมีรสนิยมแบบไหนถึงชอบหมอนี่ได้!


จางเซวียนกลืนยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ลงไปเม็ดแล้วเม็ดเล่า เขาปลดปล่อยรังสีพิเศษที่ได้จากแท่นรูปวงกลมบริเวณสะพานเบื้องบนออกมา ให้มันหมุนวนรอบตัวเขาราวกับพายุทอร์นาโด


จางเซวียนนั่งนิ่งอยู่ท่ามกลางกระแสบรรยากาศหนักอึ้ง วรยุทธระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ของเขาค่อยๆขยับสูงขึ้นทีละน้อย หลังจากฝ่าด่านคอขวด จางเซวียนก็เห็นยอดเขาสูงตระหง่านอีกยอดหนึ่งปรากฏตรงหน้า มันเป็นภูเขาที่สูงลิ่วขึ้นไปถึงสวรรค์


เพราะได้ซึมซับพลังงานจากยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ จางเซวียนจึงสามารถรวบรวมพละกำลังได้มากพอที่จะปีนป่ายภูเขานั้น


ในที่สุด เมื่อเขาปีนขึ้นไปถึงยอด ก็เห็นร่างที่มีใบหน้าคุ้นตายืนอยู่ตรงหน้า-ซุนฉาง!


ซุนฉางกำลังเดินวนไปมาอยู่บนยอดเขาอย่างร้อนรน เขาติดกับและไม่อาจออกจากยอดเขานี้ได้


ความทรงจำในอดีตที่จางเซวียนเคยมีกับซุนฉางค่อยๆลอยเข้ามา


“นายท่าน คุณมาหาซื้อบ้านใช่ไหม?” นี่คือคำแรกที่ซุนฉางพูดเมื่อแรกพบกัน


“คนรับใช้ผู้ถ่อมตัวของคุณชื่อซุนฉาง คุณจะเรียกผมว่าเสี่ยวฉางก็ได้!” นี่คือคำที่ซุนฉางพูดเมื่อทั้งคู่ตกลงเป็นนายท่านและพ่อบ้านของกันและกัน


เวลาเดินหน้าไปอย่างไม่ลดละราวกับสายน้ำไหล ซุนฉางอาจไม่ใช่ลูกน้องที่ไว้วางใจได้มากที่สุด และนิสัยคุยโวโอ้อวดของอีกฝ่ายก็ขัดกับความถ่อมเนื้อถ่อมตัวของจางเซวียนมาก แต่เวลา 2 ปีที่อยู่ด้วยกันทำให้คุ้นชินกับการมีตัวตนอยู่ ทั้งยังเข้าใจอารมณ์และนิสัยของกันและกันเป็นอย่างดี


จางเซวียนหมดเวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกฝนวรยุทธ ทิ้งกิจธุระเบ็ดเตล็ดไว้ให้ซุนฉางจัดการ กว่าเขาจะรู้ตัว ความสัมพันธ์ระหว่างนายท่านกับพ่อบ้านก็กลายเป็นเรื่องที่มีความสำคัญใหญ่หลวง ไม่มีใครจะแทนที่ซุนฉางได้


จางเซวียนพึมพำ “ผมจะช่วยคุณ”


เขาเงื้อมือขึ้นและสับลงไปอย่างแรง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)