กระบี่จงมา 212.2-214.1
บทที่ 212.2 เต๋าสูงหนึ่งคืบ
โดย
ProjectZyphon
เฮ้อเสี่ยวเหลียงนั่งกลับลงไปอีกครั้ง เอ่ยถามว่า “ที่อาจารย์บอกว่าจะเก็บไว้บอกใน ‘ช่วงสุดท้าย’ หมายความว่าอย่างไร? การผูกสัมพันธ์ระหว่างศิษย์กับเฉินผิงอันก็มีความหมายที่ลึกซึ้งด้วยหรือ?”
ลู่เฉินพยักหน้ารับ “แน่นอน หากเป็นคนทั่วไป เจ้าไม่ใช่เฮ้อเสี่ยวเหลียง เขาไม่ใช่เฉินผิงอัน ถ้าเช่นนั้นการที่ข้าผู้เป็นนักพรตลำบากเป็นผู้เฒ่าดวงจันทร์เชื่อมด้ายแดงในครั้งนี้ก็จะดูไม่ฉลาดเลยแม้แต่น้อย ฉีจิ้งชุนจับคู่ยวนยางมั่วซั่วก็ต้องรับผิดชอบ หวังว่าสักวันหนึ่งเด็กคนนั้นจะสามารถใช้ใจตนแบกขุนเขาไว้บนไหล่ได้ ส่วนสองฝั่งของด้ายแดงในมือข้าผู้เป็นนักพรตก็คือคนสองคน และยิ่งเป็นกระจกที่ใสสะอาดไร้มลทินสองบานที่ส่องสะท้อนกันและกัน ไม่ใช่แค่ให้เฉินผิงอันมาแบ่งโชควาสนาของเจ้าไปเท่านั้น เฉินผิงอันยังช่วยให้เจ้าผ่านด่านความรักไปได้ด้วย”
ลู่เฉินหันไปมองยังทิศทางที่เฮ้อเสี่ยวเหลียงปรากฏตัวก่อนหน้านี้ “ใต้หล้านี้มีคนประหลาดและคนที่พิเศษหมื่นหมื่นพัน (เป็นจำนวนที่แสดงถึงปริมาณที่มากเกินกว่าจะบอกเป็นตัวเลขที่แน่ชัด) นิสัยอย่างเฉินผิงอัน ข้าผู้เป็นนักพรตก็เคยเห็นมาเป็นพันพันหมื่น เขาอาจจะไม่ได้พิเศษอะไรนัก แต่กลับมีทั้งความคล้ายคลึงและทั้งไม่คล้ายนิสัยของเจ้าเฮ้อเสี่ยวเหลียง มีการเชื่อมโยงที่มองไม่เห็นอย่างพอเหมาะพอเจาะ ดังนั้นครั้งแรกที่พวกเจ้าพบหน้ากัน คนทั้งสองต่างก็มีสถานะที่พิเศษ แต่เจ้าก็ยังคงมองออกถึง ‘วาสนาบางเบา’ ระหว่างกัน อันที่จริงไม่ใช่ว่าพวกเจ้ามีวาสนาที่น้อยนิดต่อกัน เพียงแค่เพราะตบะของเจ้ามีจำกัด จึงมองออกอย่างตื้นเขิน”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงถามเบาๆ “อาจารย์ นี่ก็คือการทดสอบอีกหรือ?”
ลู่เฉินหัวเราะร่าเสียงดัง “เจ้าเป็นลูกศิษย์ของข้าแล้ว ยังจะต้องทดสอบอะไรอีก? ทำไม อยากจะกลายเป็นผู้สืบทอดสายตรงของท่านผู้เฒ่ามรรคาจารย์เต๋า ได้นั่งทัดเทียมกับลู่เฉินในรวดเดียวถึงจะยอมเลิกราอย่างนั้นรึ?”
สายตาของเฮ้อเสี่ยวเหลียงกระจ่างใส ส่ายหน้ายิ้มๆ “ข้ามิกล้าคิดเช่นนั้นหรอก”
ลู่เฉินยิ้มตาหยี “ในเมื่อเป็นอาจารย์ ก็ควรจะมอบของขวัญพบหน้าให้กับลูกศิษย์คนใหม่สักชิ้น ของขวัญชิ้นนี้ไม่เล็ก อีกทั้งยังเป็น ‘เต๋า’ เล็กๆ น้อยๆ ที่อาจารย์ของเจ้าได้มาอย่างยากลำบากจากอาจารย์ปู่ก่อนหน้าที่จะลงมาที่นี่”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงตะลึงไปเล็กน้อย
เพิ่งจะตัดขาด ‘สะพาน’ ที่เชื่อมโยงกับเฉินผิงอันไปบนเรือคุน ตนก็กลับกลายมาเป็นเฮ้อเสี่ยวเหลียงคนที่มีพรสวรรค์ค้ำฟ้าอีกแล้วหรือ?
ดูเหมือนลู่เฉินจะมองความคิดในใจของแม่ชีสาวหน้าตางดงามออก จึงหัวเราะเสียงดัง ตบป้าบลงไปบนโต๊ะ “ข้าผู้เป็นนักพรตจะพาเจ้าไปเดินบนสะพานแห่งกาลเวลารอบหนึ่ง เดินทวนกระแสขึ้นไป!”
ต่อให้ถ้ำสวรรค์หลีจูจะห้ามใช้เวทคาถาทุกชนิด แต่ก็ยังมีกฎใหญ่ของวิถีสวรรค์ที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้ นั่นคือสี่ฤดูกาลใบไม้ผลิ ร้อน ใบไม้ร่วง หนาว และเกิดแก่เจ็บตาย
ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้วิชาอภินิหารของเจ้าลัทธิลู่เฉิน
สี่ฤดูกาลผันเปลี่ยนเป็นหนาว ใบไม้ร่วง ร้อน ใบไม้ผลิ และตาย เจ็บ แก่ เกิด
เฮ้อเสี่ยวเหลียงที่ร่างยังอยู่ในโรงเรียน แต่กลับรู้สึกเหมือนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฟ้าดินไปชั่วขณะ มองภาพต่างๆ ที่เปล่งประกายหลากหลายสีสันย้อนกลับผ่านไป สายตาของแม่ชีโฉมงามเจิดจ้าระยิบระยับ
นี่ก็คือเส้นทางที่นางอยากเดิน!
ลู่เฉินยิ้มบางๆ “เดินตามมาด้านหลังข้าผู้เป็นนักพรต ไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง จะพาเจ้าไปพบคนสองคน”
คนทั้งสองเริ่มออกเดิน ด้านหลังคือเสียงท่องหนังสือดังกังวานของเด็กนักเรียนในโรงเรียนแห่งใหม่ เด็กนักเรียนทั้งหลายต่างก็ท่องหนังสือย้อนหลัง เพียงแต่ว่าอาจเป็นเพราะพันธนาการบางอย่าง หรือฉีจิ้งชุนมีการแลกเปลี่ยนอะไรกับมรรคาจารย์เต๋า ใบหน้าของพวกเด็กๆ จึงปรากฏให้เห็นเด่นชัด เสียงที่ดังเข้าหูแจ่มชัดก้องกังวาน แต่อาจารย์สอนหนังสือที่อยู่ตรงข้ามกับพวกเขากลับไม่อยู่แล้ว ราวกับว่าหายไปในแม่น้ำแห่งกาลเวลาอย่างสิ้นเชิงแล้ว
เดินผ่านตรอกซอกซอยต่างๆ ไปตลอดทาง เฮ้อเสี่ยวเหลียงตามติดอยู่ด้านหลังนักพรตสวมกวานดอกบัว กลัวว่าหากตนเดินพลาดไปจะหลงทางอยู่ในนี้
สุดท้ายลู่เฉินหยุดเดิน บอกนางว่ารอสักครู่ เฮ้อเสี่ยเหลียงไม่กล้าขยับ จึงยืนรออยู่ที่เดิม
ลู่เฉินสะบัดชายแขนเสื้อ โลกพลิกกลับ ทุกอย่างกลับคืนมาเป็นตามขั้นตอนปกติ แม่น้ำแห่งกาลเวลาเริ่มไหลรินไปอีกครั้ง
หลังจากนั้นลู่เฉินก็พานางมาที่แผงใกล้ๆ เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่รู้ว่าทำไมอาจารย์เจ้าลัทธิท่านนี้ถึงพาตนมาที่นี่ หรือว่าแผงนี้มีอะไรผิดปกติ? เฮ้อเสี่ยวเหลียงเพ่งสายตามองไปก็เห็นว่าเป็นชายวัยกลางคนหน้าตาท่าทางซื่อๆ คนหนึ่งกำลังยืนขายถังหูลู่
แล้วเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็เห็นเด็กผอมแห้งผิวดำเกรียมคนหนึ่งเดินมาช้าๆ เขามาหยุดยืนอยู่ข้างกายนาง มองไปทางแผงที่กำลังขายดีแล้วกลืนน้ำลาย รอจนคนซาไปจากแผงนั้นแล้ว เด็กชายก็เดินจากไปเงียบๆ
ลู่เฉินดีดนิ้วหนึ่งครั้ง เวลากลางวันและม่านราตรีหมุนเวียนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
แผงนั้นยังคงทำการค้าเป็นปกติทุกวัน เด็กชายคนนั้นหากไม่กลับมาจากเก็บสมุนไพรบนภูเขา หรือกลับมาจากจับปลาริมลำธาร ไม่ก็ช่วยตักน้ำให้เพื่อนบ้าน ล้วนจะต้องเดินผ่านแผงนี้ทุกครั้ง
ในที่สุดมีวันหนึ่ง เดิมทีเด็กชายควรขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรเพื่อแลกเอาเงินมา ต่อให้จะแบกตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่เดินมาถึงหน้าตรอกหนีผิงแล้ว แต่พอคิดถึงว่าก่อนหน้านี้ตนโชคดีเก็บสมุนไพรที่มีราคามาได้หลายต้น ถังข้าวสารน้อยในบ้านมีข้าวสารบรรจุเต็มเกินครึ่งถังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหิวโหยไปอีกสิบวัน ดังนั้นเด็กชายจึงเงยหน้ามองสีท้องฟ้าที่อึมครึมราวกับกำลังบอกตัวเองว่าหากฝนตนลงมา ต่อให้ขึ้นเขา ไปได้ครึ่งทางก็คงต้องกลับมาก่อน
ดังนั้นเด็กชายจึงวิ่งกลับไปที่บ้านบรรพบุรุษ ปลดตะกร้าไม้ไผ่ลง หยิบเงินเหรียญทองแดงสองสามเหรียญมาจากไหเล็กที่วางไว้ในมุมกำแพง จากนั้นก็วิ่งตะบึงออกจากตรอกหนีผิงไปที่ร้านนั้น
ทว่าขณะที่เด็กชายขยับเข้าไปใกล้แผงขายถังหูลู่มากขึ้นทุกขณะ ฝีเท้าของเขากลับยิ่งหนักอึ้ง ยิ่งวิ่งช้าลงเรื่อยๆ เป็นเหตุให้ทั้งที่ยังอยู่ห่างจากร้านอีกไกลมาก เด็กชายก็หยุดยืนนิ่ง สีหน้าน่าขันเหมือนคนที่ความคิดในหัวตีกันยุ่งเหยิง มือเขากำเหรียญทองแดงไม่กี่เหรียญนั้นเอาไว้แน่น
สุดท้ายเด็กชายก็เดินขยับไปอีกสองสามก้าว นั่งยองลง แล้วเงยหน้ามองพุทราเชื่อมสีแดงสดปลั่งเคลือบน้ำตาลมันวาวอย่างเหม่อลอย
ลู่เฉินและเฮ้อเสี่ยวเหลียงต่างก็ยืนอยู่ข้างกายเด็กชาย
ลู่เฉินถามยิ้มๆ “หากเอาตัวไปวางไว้ในมุมของเขา เจ้าคิดว่าเด็กคนนี้กำลังคิดอะไรถึงจะเรียกว่าเป็นอารมณ์ของคนปกติ?”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงตอบอย่างไม่ลังเล “คิดว่าหากได้กินถังหูลู่โดยไม่ต้องเสียเงินก็คงดี”
ลู่เฉินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “มารอดูกัน”
หลังจากนั้นพ่อค้าแผงลอยที่ลูกค้าเพิ่งจากไป กำลังอยู่ในช่วงพักก็คล้ายจะมองเห็นเด็กชายที่เดินผ่านร้านของตนหลายครั้ง แต่กลับไม่เคยซื้อถังหูลู่เลยสักครั้ง ชายฉกรรจ์ครุ่นคิด ทรุดตัวนั่งลงบนม้านั่งเงียบๆ สุดท้ายเหมือนจะเกิดความสงสารจึงลุกขึ้นยืน กวักมือเรียกเด็กคนนั้นแล้วพูดว่า “มาๆ ข้าจะเก็บร้านกลับบ้านแล้ว ยังเหลือถังหูลู่ที่ขายไม่ออก หากเจ้าอยากกิน ข้ายกให้เจ้าไม้หนึ่งได้ ไม่คิดเงิน!”
ชายฉกรรจ์ยิ้มซื่อไร้เล่ห์เหลี่ยม ไม่ต่างจากชาวไร่ชาวนาทั่วไป เขาดึงถังหูลู่มาไม้หนึ่ง แกว่งให้เด็กชายคนนั้นดู “เอาไปเถอะ”
ทว่าเด็กชายกลับรีบลุกขึ้นยืน ส่ายหน้ายิ้มๆ แล้ววิ่งหนีไป
เฮ้อเสี่ยวเหลียงสงสัยเล็กน้อย หากนี่ก็คือเฉินผิงอันตอนเด็ก การที่เขาเลือกจะทำอย่างนี้ อันที่จริงนางก็ไม่แปลกใจนัก
ลู่เฉินชี้ไปยังชายฉกรรจ์ที่ขายถังหูลู่คนนั้น “คนผู้นี้คือคนสำนักหยินหยางที่ชื่อเสียงไม่เด่นชัดซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง แต่ในความเป็นจริงแล้วด้วยกำลังของเขาคนเดียวก็สามารถงัดข้อกับสกุลลู่สำนักหยินหยางได้ทั้งหมด นับว่าเป็นคนประหลาดที่ร้ายกาจอย่างมาก แม้แต่ศิษย์พี่ใหญ่ก็ยังไม่สามารถคาดเดาความคิดของคนผู้นี้ได้ทั้งหมด”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงยิ่งสงสัย
ลู่เฉินเอ่ยยิ้มๆ “เรื่องพวกนี้ล้วนไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ หลังจากนี้ต่างหาก”
ลู่เฉินยื่นฝ่ามือออกมาแล้วลูบปัดช้าๆ จากบนลงล่าง ข้างกายเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็มี ‘เฉินผิงอัน’ ตอนเด็กปรากฏขึ้นมาคนหนึ่ง
เด็กคนนี้วิ่งไปรับถังหูลู่ที่ไม่ต้องจ่ายเงินไม้นั้นมาแล้ววิ่งกลับตรอกหนีผิงอย่างเริงร่า มีความสุขอย่างมาก พอได้กินถังหูลู่แล้วก็ติดใจ ผ่านไปอีกไม่กี่วันก็วิ่งไปที่ร้านเป็นครั้งที่สอง แล้วก็ได้ถังหูลู่ที่ไม่ต้องจ่ายเงินมาอีกไม้ เด็กชายยากจนที่เพิ่งจะคุ้นเคยกับความยากลำบากเริ่มเกิดความเกียจคร้าน มักจะนึกถึงถังหูลู่เหล่านั้นอยู่บ่อยครั้ง ยาสมุนไพรที่เก็บมาได้ตอนขึ้นภูเขาน้อยกว่าเวลาปกติ…เป็นอย่างนี้วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า เด็กหนุ่มไม่ได้กลายมาเป็นคนเลวร้ายอะไร ทว่าในสายตาของเฮ้อเสี่ยวเหลียงเขากลับไม่ใช่เด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่เจอกันครั้งแรกบนหินหลังควายคนนั้นอีกแล้ว
หลังจากนั้นทุกอย่างก็ย้อนกลับไปที่เดิม ลู่เฉินเอาฝ่ามือปาดลงหนึ่งครั้ง ผิงอันน้อยปรากฏตัวอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ได้รับถังหูลู่มาเปล่าๆ แต่เลือกที่จะจ่ายเงินซื้อมัน และนับแต่นั้นมาเด็กชายก็ยิ่งเต็มใจทนรับกับความลำบากมากกว่าเดิมเพื่อหาเงินมาให้ได้มากๆ แต่เขากินถังหูลู่จนเบื่อแล้ว จึงหันไปชอบขนมแทน เมื่อเด็กชายคนนี้เติบโตขึ้นมาเป็นเด็กหนุ่ม ในสายตาของเฮ้อเสี่ยวเหลียง เฉินผิงอันคนนี้ก็คล้ายว่าจะไม่ปกตินัก
เมื่อลู่เฉินยกฝ่ามือขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เฮ้อเสี่ยวเหลียงก็ได้เห็นเฉินผิงอันคนแล้วคนเล่า รวมไปถึงสภาพการณ์ในชีวิตที่เกิดการเปลี่ยนแปลงแตกต่างไปหลากหลาย
ถึงท้ายที่สุดเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิด
ลู่เฉินยิ้ม “กลับกันเถอะ”
คนหนึ่งนำหน้าคนหนึ่งตามหลัง เดินไปยังโรงเรียน
ภาพเหตุการณ์ในเวลานี้ แท้จริงแล้วกลับคล้ายภาพที่ฉีจิ้งชุนเคยพาเด็กหนุ่มที่ไปที่ต้นไหวโบราณเพื่อขอใบไหวมาใบหนึ่งซึ่งเคยเกิดขึ้นจริงในแม่น้ำแห่งกาลเวลา
ลู่เฉินที่เดินสองมือไพล่หลังนำอยู่ด้านหน้าถามว่า “คิดเข้าใจแล้วหรือยัง?”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงตอบเสียงเบา “มีเพียงรักษาจิตใจดั้งเดิม ถึงจะเป็นคนคนเดิม”
ลู่เฉินอืมรับหนึ่งทีแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก
เฮ้อเสี่ยวเหลียงถาม “ศิษย์คิดผิดไป หรือว่ายังมองไม่สูงไม่ไกลมากพอ?”
ลู่เฉินพลันหันหน้ามายิ้มให้ “เปล่าสักหน่อย เจ้าคิดได้ดีมากแล้ว สิ่งเดียวที่ยังไม่พอก็คือ ลูกศิษย์อย่างเจ้าไม่ควรมองข้ามเงาดำใต้โคมไฟ มองไม่เห็นวิชาอภินิหารที่ค้ำฟ้าของอาจารย์เจ้าสิ”
……
ในขณะที่ลู่เฉินพาเฮ้อเสี่ยวเหลียงชมการเปลี่ยนแปลงที่หลากหลายของชีวิตคน ในบางช่วงบางตอนของแม่น้ำแห่งกาลเวลา หลังจากเด็กนักเรียนเลิกเรียนแล้ว ชายชาวลัทธิขงจื๊อที่จอนผมสองข้างเป็นสีดอกเลานั่งเล่นหมากล้อมอยู่เพียงลำพังในห้อง ใบหน้าของเขาแจ่มชัด ไม่พร่าเลือนอีกต่อไป ‘ตอนนี้’ ของลู่เฉินกับเฮ้อเสี่ยวเหลียง หรือควรจะพูดว่า ‘ปีนั้น’ ของถ้ำสวรรค์หลีจูต้าหลี ฉีจิ้งชุนโน้มตัวลงคีบหมากเม็ดหนึ่งขึ้นมา เอ่ยพร้อมยิ้มบางๆ “ก็แค่นี้เอง”
—–
บทที่ 213.1 ตั้งตารอคอย
โดย
ProjectZyphon
เมื่อเฉินผิงอันเดินลงจากหอเรือนสูงกลับมานั่งที่ เขาก็พลาดศึกใหญ่ทั้งสองครั้งไปแล้ว
จางซานนักพรตที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างกันมองเห็นเฉินผิงอันก็รีบลุกขึ้นกุมมือคารวะ เฉินผิงอันจึงได้แต่คารวะกลับคืน ก่อนจะรับแผ่นหยกมา
เพื่อความยุติธรรม ศึกตัดสินเป็นตายอย่างเป็นทางการครั้งนี้ไม่ได้จัดขึ้นที่สวนลมฟ้าหรือภูเขาตะวันเที่ยง แต่เป็นที่หอเทพเซียนหนึ่งในหกสายของศาลลมหิมะ ในฐานะที่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของสำนักการทหาร เมื่อเทียบกับภูเขาเจินอู่แล้ว ศาลลมหิมะมีสหายกว้างขวางยิ่งกว่า บวกกับที่เวลากระทำการใดๆ ก็มักจะถ่อมตนสำรวมกว่าภูเขาเจินอู่ ลูกศิษย์ในสำนักที่ลงจากภูเขาส่วนใหญ่ล้วนเป็นจอมยุทธพเนจร ไม่ใช่ไปเป็นนักรบในสนามรบ ดังนั้นความสัมพันธ์ที่มีต่อสองสำนักนี้จึงนับว่าไม่เลว ไม่มีทางเอนเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดศาลลมหิมะถึงได้เลือกหอเทพเซียน หนึ่งเพราะหอเทพเซียนตั้งอยู่บนยอดภูเขาสูง การมองเห็นเปิดกว้าง ทัศนียภาพงดงาม หากมองแค่ด้านความงดงามอย่างเดียวก็ถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมที่มีปราณเซียนเข้มข้นที่สุดของศาลลมหิมะ สองเพราะลูกศิษย์ของหอเทพเซียนมีน้อย ควันธูปกระจัดกระจาย ดูเหมือนว่าอาศัยแค่เว่ยจิ้นให้เป็นผู้ประคับประคองเพียงคนเดียวเท่านั้น และเนื่องด้วยความสัมพันธ์กับอาจารย์ผู้มีพระคุณ เว่ยจิ้นจึงไม่ได้สนิทสนมกับสำนักมากนัก คิดดูแล้วศาลลมหิมะก็คงคิดจะอาศัยโอกาสครั้งนี้มาเพิ่มควันธูปให้แก่หอเทพเซียน
เฉินผิงอันรู้ผลลัพธ์จากปากของชิวสือก็ตกตะลึงอย่างหนัก สองศึกใหญ่ก่อนหน้านี้สวนลมฟ้าล้วนแพ้ทั้งหมด หนึ่งบุรพาจารย์กับหนึ่งผู้ฝึกกระบี่ที่มีชื่อเสียงช่วงวัยกลางคนต่างก็ตายอยู่ภายใต้คมกระบี่ของคู่ต่อสู้อย่างเขาตะวันเที่ยง ศึกใหญ่ครั้งที่สองที่เป็นของบุรพาจารย์ อันที่จริงต่างก็พินาศกันทั้งสองฝ่าย แต่เป็นเพราะบุรพาจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงกลืนลมหายใจเฮือกสุดท้ายไปทีหลังผู้ฝึกกระบี่สวนลมฟ้า ศาลลมหิมะจึงตัดสินตามกฎว่าภูเขาตะวันเที่ยงเป็นฝ่ายชนะ
บนหอเทพเซียนที่พื้นที่กว้างขวางไม่มีภาพที่ผู้คนเบียดเสียดกันแน่นขนัด สิ่งปลูกสร้างจำนวนน้อยนิดรวมตัวกันอยู่ตรงมุมตะวันออกเฉียงเหนือ มีเพียงผู้ฝึกลมปราณของแจกันสมบัติทวีปที่มีทั้งฐานะและศักยภาพควบคู่กันมาเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติขึ้นหอเรือนมาชมศึก นักพรตคนอื่นๆ ได้แต่ชมศึกจากยอดเขาลูกอื่นของศาลลมหิมะอยู่ไกลๆ
หอเทพเซียนขนาดใหญ่มหึมาเหมือนเป็นพื้นที่ที่มีไว้ให้สองฝ่ายประมือกันเท่านั้น
หลังจากได้พูดคุยกัน เฉินผิงอันถึงเพิ่งค้นพบว่าก่อนหน้านี้นักพรตจางซานไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อของเขาตะวันเที่ยงกับสวนลมฟ้าเลยด้วยซ้ำ นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ไหนแต่ไรมาผู้ฝึกลมปราณของกุรุทวีปก็มีหัวสูงอยู่แล้ว และดูถูกแจกันสมบัติทวีปที่มีขนาดเล็กที่สุดในเก้าทวีปมาโดยตลอด บางทีอาจมีแค่ไม่กี่ชื่ออย่างสำนักศึกษาซานหยา สำนักศึกษากวานหู ชุยฉานแห่งต้าหลี ซ่งจ่างจิ้งผู้ฝึกยุทธ์และเว่ยจิ้นเซียนกระบี่เท่านั้นที่จะเข้าตาของนักพรตกุรุทวีปได้บ้าง
อีกอย่างหนึ่งก็คือด้วยตบะและวิสัยทัศน์ของนักพรตจางซานเองซึ่งไม่ได้อยู่ที่ทวีปใหญ่ คุ้นเคยกับประเพณีนิยมหรือเรื่องราวในแจกันสมบัติทวีปนั่นแหละที่แปลก
สวนลมฟ้ากับเขาตะวันเที่ยงคือศัตรูคู่แค้นกัน เป็นเรื่องที่คนรู้กันทั้งทวีป เนื่องจากหลังศึกการประลองกระบี่ครั้งหนึ่ง ในจุดที่ลึกที่สุดของสวมลมฟ้ามีศพของบุรพาจารย์หญิงจากเขาตะวันเที่ยงคนหนึ่งที่ถูกทิ้งให้ตากแดดมาจนถึงวันนี้ สวมลมฟ้าไม่เพียงแต่ไม่ยอมคืนศพให้ลูกศิษย์ของขุนเขาตะวันเที่ยงช่วยทำพิธีฝังให้ตั้งแต่แรก แม้แต่กระบี่ยาวของสวมลมฟ้าที่แทงเข้าไปในศีรษะของนางก็ไม่เคยดึงออก ปล่อยให้ลูกศิษย์ฝ่ายในสำนักและแขกที่เข้ามาในสวนชื่นชมกันตามใจชอบมาเป็นเวลาสามร้อยปีแล้ว
อะไรคือความอัปยศอย่างใหญ่หลวง? ก็คือสิ่งนี้แหละ!
ในฐานะผู้ที่ยืนอยู่จุดสูงสุดของวิถีกระบี่ในหนึ่งทวีป ปราณกระบี่ของเขาตะวันเที่ยงเฉียบคมดุดัน ตลอดสามร้อยปีที่ผ่านมาล้วนมีการพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง ลำพังเพียงแค่ระดับความเก่งกาจของลูกศิษย์สามรุ่นที่อายุน้อยที่สุดก็เหนือกว่าสวนลมฟ้าไปแล้ว
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ทุกๆ หกสิบปีก็จะต้องมีคนของเขาตะวันเที่ยงไปท้ารบสวนลมฟ้าเสมอ พยายามที่จะ ‘อัญเชิญ’ ศพของบุรพาจารย์กลับ ให้นางได้ตายตาหลับ แต่เจ้าสวนลมฟ้าผู้ฝึกกระบี่ที่สังหารสตรีของเขาตะวันเที่ยงในตอนนั้นมีชีวิตอยู่ต่อมาได้อีกสามร้อยปี ต่อให้เวลาสามร้อยปีนี้ ภูเขาตะวันเที่ยงจะมีผู้มากพรสวรรค์โดดเด่นมากมาย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ก็ยังคงไม่อาจเอาชนะได้ สำหรับคนที่มาท้ารบในภายหลัง เขาไม่ได้ลงมืออย่างโหดเหี้ยมอำมหิตเหมือนในอดีตอีกแล้ว แต่ก็ไม่ถือว่ามีเมตตาปราณีสักเท่าไหร่ บ้างก็สะบั้นสะพานแห่งความอมตะ บ้างก็ทำลายกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต สำหรับผู้ฝึกกระบี่ของภูเขาตะวันเที่ยงแล้ว นี่เท่ากับอยู่ไม่สู้ตาย ไม่สู้รบตายอย่างห้าวหาญยังจะดีซะกว่า
นี่ก็คือต้นสายปลายเหตุของการกล่าวอ้างว่า ‘สวนลมฟ้าใช้หนึ่งคนสยบหนึ่งขุนเขา’ ของบุรพแจกันสมบัติทวีป
ตอนนี้ในที่สุดเจ้าสวนลมฟ้าก็ตายไปได้สักที และในช่วงปีใหม่ ข่าวที่บอกว่าเขาตายในสนามรบนี้ก็แพร่ออกไปอย่างเงียบเชียบ พอดีกับที่เป็นช่วงศึกหกสิบปีซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติพอดี แม้สวนลมฟ้าจะปกปิดข่าวนี้อย่างแน่นหนา ไม่ต้องการให้ความลับนี้แพร่ออกไป แต่ไม่รู้ว่าภูเขาตะวันเที่ยงไปได้ข่าวมาจากที่ไหน ภูเขาที่อยู่ในแต่ละยอดเขาล้วนสะท้านสะเทือน ผู้คนตื่นเต้นฮึกเหิมสุดชีวิต มีคนลากเอาคนในครอบครัวไปจุดธูปดื่มเหล้าเคารวะหลุมศพบรรพบุรุษ ผู้เฒ่าแก่โทรมบางคนที่มีชีวิตรอดไปวันๆ ดื่มเหล้าเมามาย ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มของภูเขาตะวันเที่ยงก็ยิ่งปณิธานการต่อสู้ลุกโชน ความเจ็บแค้นและความอัปยศที่ต้องทนรับมาสามร้อยปี ในที่สุดก็มีโอกาสปัดเป่าให้หายเกลี้ยง
ในความเป็นจริงแล้วหลังจากสองศึกใหญ่ผ่านไป ภูเขาตะวันเที่ยงก็ถือว่าคว้าชัยชนะได้อย่างแท้จริงแล้ว อีกทั้งยังชนะได้งดงามมาก ถือว่าช่วงชิงกำไรกลับมาได้เป็นกอบเป็นกำ เป็นเหตุให้การต่อสู้ของคนรุ่นเยาว์ในช่วงสุดท้าย จะสู้หรือไม่ก็ล้วนเกินความจำเป็นแล้ว
สาวใช้ชิวสือรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย นางคิดว่าศึกครั้งสุดท้ายนี้น่าจะไม่เกิดขึ้นแล้ว สำนักที่ชื่อว่าสวนลมฟ้านั่นแพ้ไปสองครั้งแล้ว จะดีจะชั่วบุรพาจารย์ของสวนลมฟ้าที่ลงสนามเป็นคนที่สองก็ต่างกันแค่ลมหายใจเฮือกเดียว ยังพอจะกู้หน้าตากลับมาได้บ้าง หากศึกครั้งที่สามต้องแพ้อีก นั่นก็เท่ากับแพ้สามสนามรวด หากเรื่องนี้แพร่ออกไปชื่อเสียงของสวนลมฟ้าต้องย่อยยับลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว
หากหยุดตั้งแต่ตอนนี้ สวนลมฟ้ายังจะพอปลอบตัวเองได้ว่าอย่างน้อยก็รู้จักยอมรับความพ่ายแพ้
เฉินผิงอันนึกถึงหลิวป้าเฉียวผู้ฝึกกระบี่ที่เคยขึ้นเขาไปหาต้นอบเชยด้วยกัน แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “ศึกครั้งที่สาม สวนลมฟ้าต้องสู้แน่”
สำหรับเฉินผิงอันแล้ว หลิวป้าเฉียวไม่ใช่เพื่อนและไม่ใช่ศัตรู นับเป็นคนที่มอบความทรงจำที่ลึกล้ำที่สุดให้แก่เฉินผิงอันในบรรดาเทพเซียนที่มาจากด้านนอก
เฉินผิงอันรู้สึกแค่ว่าสำนักที่สั่งสอนคนอย่างหลิวป้าเฉียวออกมาได้ไม่มีทางถอยหนีเพียงเพราะเรื่องแค่นี้
แล้วก็จริงดังคาด หลังจากสวนลมฟ้า ภูเขาตะวันเที่ยงและศาลลมหิมะสามฝ่ายพูดคุยกันอย่างลับๆ ครั้งหนึ่ง เจ้าสำนักศาลลมหิมะที่ใบหน้าเหมือนเด็ก ร่างเล็กเตี้ยท่านนั้นก็พาหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีเดินขึ้นมาตรงใจกลางของหอเทพเซียน ประกาศว่าศึกใหญ่ครั้งที่สามกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
ผู้ที่ลงสนามรบของฝ่ายภูเขาตะวันเที่ยงคือซูเจี้ย หญิงสาวพกกระบี่เล่มยาว ตรงเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ท่วงท่าองอาจผ่าเผย หน้าตาเรียกได้ว่างามล่มชาติล่มเมือง
ผู้ที่ลงสนามรบของฝ่ายสวนลมฟ้าคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าสวน มีนามว่าหวงเหอ เขาแบกกล่องไม้ขนาดใหญ่ไว้ด้านหลัง ไม่รู้ว่าซุกซ่อนกระบี่เล่มใหญ่ขนาดไหนเอาไว้ หรือว่ามีกระบี่ยาวหลายเล่ม
ในขณะที่แทบทุกคนล้วนจับตามองผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสาวสองคนนั้น เฉินผิงอันกลับโคจรปราณที่แท้จริงในร่างอย่างเงียบเชียบเพ่งสมาธิมองไป ตามหาเงาร่างของใครบางคนที่อยู่ในหอเรือนทั้งหลาย แม้ว่าม้วนภาพจะใหญ่ถึงเพียงนั้น แต่การที่สิ่งนี้ได้รับความนิยมจากคนทั่วหล้า ก็เพราะสายตาของผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป คนในโลกมองเห็นเม็ดเจี้ยจื่อเป็นเม็ดเจี้ยจื่อ (มัสตาร์ด) แต่มรรคาจารย์เต๋ากลับมองเห็นใต้หล้าทั้งแห่ง คนธรรมดามองเห็นดอกไม้หนึ่งดอกใบไม้หนึ่งใบเป็นเพียงดอกไม้ใบไม้ แต่ศาสดาพุทธกลับมองเห็นโลกธาตุขนาดเล็กหนึ่งใบ
สายตาของเฉินผิงอันพลันหม่นมัว หยิบชาลิ้นนกกระจกสองสามแผ่นยัดใส่ปากแล้วเคี้ยวเบาๆ
กลางระเบียงทางเดินชั้นบนสุดของหอสูงแห่งหนึ่ง ผู้เฒ่าร่างกำยำสวมชุดขาวคนหนึ่งยกสองแขนขึ้นกอดออก กำลังหลุบตามองลงมายังลานกว้างของหอเทพเซียน มีเด็กหญิงหน้าตางามประณีตคนหนึ่งนั่งขี่อยู่บนคอของผู้เฒ่า
ผู้เฒ่ายืนอยู่ตรงกลางค่อนไปทางขวา บนหอเรือนชั้นนี้มีเหล่าบุรพาจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงรวมตัวกันอยู่ มีทั้งหญิงและชาย แต่ละคนมีบุคลิกลักษณะที่ไม่ธรรมดา ปราณกระบี่มารวมตัวกันเหมือนแม่น้ำที่ไหลลงสู่มหาสมุทร เปี่ยมไปด้วยพลังอันล้นเหลือ
เฉินผิงอันจ้องเขม็งไปที่ผู้เฒ่าชุดขาวคนนั้น ครู่หนึ่งต่อมาก็ย้ายสายตามองไปยังหอสูงอีกแห่งหนึ่ง นั่นคือหอชมทัศนียภาพที่หอเทียนเซียนเก็บไว้ให้กับคนของสวมลมฟ้า ตั้งแต่ชั้นบนจรดชั้นล่างมีจำนวนของผู้ฝึกกระบี่ยืนอยู่น้อยมาก เมื่อเทียบกับภูเขาตะวันเที่ยงที่ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางล้วนถูกเรียกระดมพลให้มาทั้งหมดแล้ว คนของสวมลมฟ้าที่เดินทางมาในครั้งนี้มีน้อยจนนับนิ้วได้ อีกทั้งส่วนใหญ่ล้วนเป็นเด็กรุ่นหลังที่ยังอ่อนเยาว์ ยกตัวอย่างเช่นหลิวป้าเฉียวที่นั่งอย่างเอ้อระเหยลอยชายอยู่บนราวระเบียง ท่านั่งไม่สง่างามนัก แต่หลังจากแพ้ไปแล้วสองศึก สีหน้าของหลิวป้าเฉียวก็เคร่งเครียดอย่างยิ่ง
นักพรตยากจนตั้งใจดูอย่างมาก เขาพึมพำเบาๆ ว่า “เริ่มแล้ว”
ชิวสือเอ่ยยิ้มๆ “ประลองกระบี่สองครั้งก่อนหน้านี้ต่างก็ต้องสู้กับคู่ต่อสู้จนตัวตาย ศึกครั้งนี้ไม่ต้องแบ่งแยกแพ้ชนะ อีกทั้งยังไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โดยรวม ข้าคาดว่าคงสู้กันอย่างไม่จริงจังนัก ไม่ได้นองเลือดเหมือนก่อนหน้านี้อีก”
เฉินผิงอันไม่เสนอความเห็น
ความคิดหลักๆ ของเขายังคงอยู่ที่วานรย้ายภูเขาตัวนั้นของภูเขาตะวันเที่ยง
เฉินผิงอันจดจำใบหน้าทั้งหลายที่อยู่ในหอเรือนของภูเขาตะวันเที่ยงเงียบๆ รู้เขารู้เราถึงจะสามารถยิงธนูโดยมีเป้าหมาย เมื่อเทียบกับการพูดถึงอย่างเลี่ยงๆ และข่าวลือที่จะได้ยินในอนาคต ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้ถึงจะจริงแท้แน่นอนและตรงไปตรงมามากที่สุด ในอนาคตไม่แน่ว่าคนพวกนี้อาจจะเป็นคู่ต่อสู้ที่ขัดขวางการเดินขึ้นเขาของตัวเอง แน่นอนว่ายังอยู่ห่างจากวันนั้นอีกไกลมาก ตอนนี้เฉินผิงอันเพิ่งจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสาม ต่อให้จะเป็นขอบเขตสามที่แข็งแกร่งแค่ไหนก็ยังเป็นแค่ขอบเขตสามเท่านั้น
ผู้เฒ่าสวมชุดขงจื๊อที่บนศีรษะสวมหมวกขนเตียวจุ๊ปากพูด “เด็กสาวที่ชื่อว่าซูเจี้ยคนนี้ค่อนข้างเสี่ยงนะ”
พูดเข้าเป้าในคำเดียว
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่อยู่ทางฝั่งขวาสุดซึ่งชอบตบฝักกระบี่เบาๆ เป็นความเคยชินเอ่ยว่า “นางแพ้แน่ น่าเสียดายน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้นที่เจอกับเจ้านายไม่ดี เกรงว่าต่อให้เป็นกุรุทวีปก็คงหาลูกที่สามไม่เจอแล้ว”
หนึ่งคำเป็นดั่งคำพยากรณ์
เพียงสามกระบวนท่าเท่านั้น ซูเจี้ยก็ชักกระบี่ เรียกใช้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็แล้ว แต่ก็ยังถูกผู้ฝึกกระบี่หนุ่มฝ่ายตรงข้ามที่ชื่อว่าหวงเหอผู้นั้นซัดจนหมอบกระแต ที่แท้ในกล่องไม้ใบใหญ่ที่อยู่ด้านหลังบุรุษบรรจุกระบี่เล่มเล็กไว้เต็มไปหมด แทบไม่ต่างจากแบกรังผึ้งรังหนึ่ง ไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอะไร เพียงแค่เขาเชี่ยวชาญการควบคุมกระบี่บินให้กวนสมาธิคู่ต่อสู้ ทำเอาซูเจี้ยที่เดิมทีก็ไม่มีจังหวะให้เอาคืนถูกกระบี่บินแทงทะลุแขนข้างที่ถือกระบี่ไปครั้งหนึ่ง อีกครั้งหนึ่งเชือกที่ร้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ซึ่งห้อยไว้ตรงเอวถูกตัดขาด ครั้งสุดท้ายถูกกระบี่บินสองเล่มปักตรึงลงไปบนข้อมือซ้ายขวา เทพธิดาแห่งภูเขาตะวันเที่ยงที่ล้มลงอยู่ในกองเลือดจึงหมดสติไปแล้ว
อันที่จริงจำนวนของเทพธิดาในแจกันสมบัติทวีปที่ผู้คนให้การยอมรับนับถืออย่างแท้จริงมีไม่มาก เฮ้อเสี่ยวเหลียงกุมารีหยกของสำนักโองการเทพคือผู้ครองอันดับหนึ่งอย่างสมศักดิ์ศรี หลังจากนั้นก็เป็นซูเจี้ยและคนอีกสามสี่คน พวกนางคือเทพธิดาหญิงที่ผู้ฝึกลมปราณอายุน้อยนับไม่ถ้วนในแจกันสมบัติทวีปเลื่อมใสมานาน ถึงขั้นที่เคยมีคนพูดหยอกล้อว่า หลังจากที่ซูเจี้ยโด่งดังแล้ว จำนวนที่ภูเขาตะวันเที่ยงรับลูกศิษย์ทุกๆ สิบปีก็เพิ่มมากกว่าเดิมถึงสามเท่าตัว
ผู้ฝึกกระบี่หวงเหอยืนอยู่ข้างกายซูเจี้ย ยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบไปบนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ระดับยอดเยี่ยม แล้วขยี้ฝ่าเท้าเบาๆ
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มของสวมลมฟ้าผู้นี้ยกมุมปากตวัดขึ้นเป็นรอยโค้ง กวาดตามองรอบด้าน สุดท้ายหันไปมองยังหอเรือนสูงที่เหล่าบุรพาจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงยืนเรียงกันเป็นหน้ากระดาน
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสีดำสนิทราวกับหยกเล่มหนึ่งบินออกมาจากหว่างคิ้วของเขา ส่งเสียงหวึ่งๆ เมื่อกระบี่บินเล่มนี้สั่นสะท้านจนเกิดเป็นเสียงอื้ออึง ลมภูเขาและทะเลเมฆโดยรอบหอเทพเซียนทั้งหมดก็เปลี่ยนจากบรรยากาศผ่อนคลายสบายๆ มาเป็นวุ่นวายปั่นป่วน
หลังจากแสดงอำนาจท้าทายทุกคนอย่างโจ่งแจ้ง ชายหนุ่มก็เก็บกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต หันไปตะโกนใส่ทางหอเรือนสูงเสียงดัง “หกสิบปีให้หลัง ข้าหวงเหอจะขึ้นไปประลองกระบี่บนยอดเขาตะวันเที่ยง ปลิดศีรษะหนึ่งหัวเอามาวางไว้ในสวมลมฟ้า”
บุรพาจารย์ภูเขาตะวันเที่ยงบนยอดหอเรือนท่านหนึ่งที่มีเส้นผมขาวโพลน หนวดยาวปลิวสยายหันมามองด้วยสายตาเดือดดาล อดใจไม่ไหวจึงเตรียมจะลงมาทุบเจ้าตะพาบน้อยพูดจาโอหังคนนี้ให้ตายไปซะเดี๋ยวนั้น
ประตูใหญ่ชั้นบนสุดของหอสูงที่ผู้ฝึกกระบี่ของสวมลมฟ้ารวมตัวกันพลันเปิดอ้า ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มชุดดำหน้าตาหล่อเหลาอย่างยิ่งคนหนึ่งเดินออกมา หันไปมองบุรพาจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงที่ทำท่าจะลงไม้ลงมือคนนั้นยิ้มๆ “โจวเฮ้อ อาศัยที่ตนมีอายุมากและทำเป็นผู้อาวุโสเที่ยวดูถูกคนอื่น แบบนี้ไม่ดีเลยนะ ไม่อย่างนั้นให้ข้าเล่นเป็นเพื่อนเจ้าไหมล่ะ?”
หลังจากผู้ฝึกกระบี่คนนี้เดินออกมาจากประตูใหญ่ ไม่เพียงแต่บุรพาจารย์ผมขาวเท่านั้น แต่คนของภูเขาตะวันเที่ยงทั่วทั้งหอเรือนสูงต่างก็ตกตะลึงพรึงเพริดกันไปหมด นอกเหนือจากความตกใจแล้วยังแฝงเร้นไปด้วยความสิ้นหวังที่ไม่อยากจะยอมรับด้วยเสี้ยวหนึ่ง
คนผู้นี้ก็คือหลี่ถวนจิ่งเจ้าสวนของสวนลมฟ้า พรสวรรค์โดดเด่นน่าครั่นคร้าม ตอนอายุสี่สิบก็เลื่อนสู่ขอบเขตสิบ แต่ระยะเวลาหลายร้อยปีอันยาวนานหลังจากนั้นมาก็ไม่เคยฝ่าทะลุขอบเขตอีกเลย เป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อมาก แต่ต่อให้ไม่ได้เลื่อนขึ้นเป็นห้าขอบเขตบน หลี่ถวนจิ่งก็ได้รับการยอมรับจากผู้คนทั่วทั้งบุรพแจกันสมบัติทวีปว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่มีใครมาเทียบเทียม!
ก่อนหน้าที่เว่ยจิ้นยังไม่เลื่อนสู่ขอบเขตสิบเอ็ดกลายเป็นเซียนกระบี่พสุธาก็เคยยอมรับกับตัวเองว่าไม่อาจต่อกรกับคนผู้นี้ได้
ไหนบอกว่าหลี่ถวนจิ่งตายไปในสนามรบแล้วยังไงล่ะ?
หลี่ถวนจิ่งไม่สนใจบุรพาจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยงที่ทั้งตกตะลึงทั้งคลางแคลงใจ เขาเงยหน้าขึ้นคล้ายกำลังส่งยิ้มบางๆ มาให้กับคนเบื้องหลังทุกคนที่กำลังชมศึกครั้งนี้ มือหนึ่งของเขาไพล่หลัง อีกมือหนึ่งประกบสองนิ้วหมุนเบาๆ ระหว่างที่ลมเย็นกลุ่มหนึ่งบินมาล้อมวน เขาก็สะบัดข้อมือ หลี่ถวนจิ่งเอ่ยคำคำหนึ่งออกมาด้วยสีหน้าแต้มยิ้มบางเบา “สะบั้น”
หลังจากลมเย็นขุมนั้นพ้นไปจากมือของผู้ฝึกกระบี่ชุดดำก็พลันกลายมาเป็นปราณกระบี่ขนาดมหึมาที่มีพลังงานเปี่ยมล้น แล้วหมุนวนอยู่เหนืออากาศของหอเทพเซียนรอบหนึ่ง ตัดขาดความเชื่อมโยงระหว่างหอเทพเซียนของศาลลมหิมะกับโลกภายนอก
ทุกคนที่อยู่ในภาพวาดปากอ้าตาค้าง
คนที่อยู่นอกภาพวาดหันมามองหน้ากัน
หอเทพเซียนในภาพวาด บนหอสูง หลี่ถวนจิ่งทั้งไม่ได้หาเรื่องใคร แล้วก็ไม่ได้ทิ้งคำอาฆาตอะไรเอาไว้ เขาเพียงยืนเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น ทอดสายตามองไปยังทะเลเมฆที่คลายตัวกลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว
นี่ทำให้ศาลลมหิมะรู้สึกโล่งอก
—–
บทที่ 213.2 ตั้งตารอคอย
โดย
ProjectZyphon
ในฐานะผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบที่แข็งแกร่งที่สุด พลังการสังหารของหลี่ถวนจิ่งสูงมากจนเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาผู้คน
เมื่อผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งถูกขนานนามให้เป็น ‘ที่สุด’ ในด้านใดก็ตาม โดยเฉพาะในขอบเขตของหนึ่งทวีปย่อมต้องเป็นบุคคลที่น่ากลัวอย่างมาก
ยกตัวอย่างเช่นซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นต้าหลี ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตเก้าที่หนุ่มที่สุด เมื่อตกอยู่ท่ามกลางศึกโอบล้อมเมือง เขาก็ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบในตำนาน
เว่ยจิ้น ผู้ที่ทำลายสถิติของหลี่ถวนจิ่ง กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบเอ็ดที่หนุ่มที่สุด ตอนนี้กลายเป็นเทพเซียนห้าขอบเขตบนที่สูงส่งเหนือผู้ใดไปแล้ว
หวงเหอแห่งสวนลมฟ้าที่สะพายกล่องกระบี่ไม้เดินช้าๆ กลับขึ้นไปบนหอเรือนสูง
ทางฝ่ายของภูเขาตะวันเที่ยงเริ่มมีคนรีบร้อนลงไปช่วยเหลือซูเจี้ยแล้ว
หลี่ถวนจิ่งยืนสองมือไพล่หลัง ใบหน้าประดับรอยยิ้ม
ต่อให้ข้าเหลือแค่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายก็จะต้องบีบคอภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเจ้า แม้ว่าสุดท้ายแล้วศิษย์ลูกศิษย์หลานของเจ้าจะพาศพเจ้าออกไปจากสวนลมฟ้าได้ แต่พวกเขาก็ยังไม่มีทางหายแค้นได้อยู่ดี
เจ้าเห็นไหมเล่า
เมื่อสามร้อยปีก่อน เจ้าทรยศต่อความจริงใจของข้า ข้าก็ทำให้คนทั้งภูเขาตะวันเที่ยงของเจ้าเงยหัวไม่ขึ้นสามร้อยปีเต็ม
เจ้าทำร้ายให้พวกเด็กรุ่นหลังในขุนเขาที่โชคดีกลายเป็นเซียนกระบี่ไม่มีหน้าจัดพิธีเฉลิมฉลอง ได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในทะเลเมฆเหนือยอดเขา ทอดถอนใจด้วยความเสียดาย
ต่อให้วันนี้ข้าจะต้องตาย แล้วจะอย่างไร?
คราวนี้เจ้าพอใจแล้วหรือยัง?
หลี่ถวนจิ่งหยุดความคิดทั้งหมดลง หมุนกายเดินลงบันได ฝ่ามือตีไปตามราวบันไดเบาๆ
หลี่ถวนจิ่งเดินลงมาถึงชั้นแรก มาหยุดยืนอยู่ข้างกายคนหนุ่ม
หลิวป้าเฉียวที่อดทนดูจนศึกใหญ่ปิดฉากลงริมฝีปากสั่นระริก
หลี่ถวนจิ่งหันมาเอ่ยยิ้มๆ “ป้าเฉียว เห็นสตรีที่ตนรักได้รับความอัปยศ ต้องทนดูจิตแห่งกระบี่ของนางแหลกสลาย เพราะเป็นศัตรูที่อยู่กันคนละฝั่งจึงไม่อาจยื่นมือเข้าช่วยเหลือ แต่กระนั้นก็อดเจ็บปวดแทนนางไม่ได้ เป็นความรู้สึกที่ย่ำแย่มากเลยใช่หรือไม่?
หลิวป้าเฉียวพลันคืนสติ เตรียมจะกระโดดลงจากราวระเบียง แต่กลับถูกหลี่ถวนจิ่งยื่นมือมาห้ามไว้ “นั่งไปนั้นแหละ”
หลิวป้าเฉียวกล่าวอย่างละอายใจ “เจ้าสวน…”
หลี่ถวนจิ่งยิ้มบางๆ “ไม่เป็นไรๆ ก็แค่ชอบผู้หญิงที่ไม่ควรชอบมากที่สุดเท่านั้น ไม่นับเป็นอะไรได้ ฟ้าไม่ได้จะถล่มลงมาสักหน่อย ไม่จำเป็นต้องละอายใจ”
หลิวป้าเฉียวไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร ทั้งไม่อยากกล่าวคำพูดที่ผิดต่อใจตัวเอง แล้วก็รู้สึกผิดต่อสำนัก รู้สึกละอายใจต่อเจ้าสวน
หลี่ถวนจิ่งเอ่ยถาม “นับจากนี้ไปซูเจี้ยต้องตกต่ำ คาดว่าน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้นก็ต้องถูกภูเขาตะวันเที่ยงยึดคืน จิตแห่งกระบี่ถูกทำลาย จิงชี่เสินทั้งร่างของเทพธิดาที่เคยทำให้เด็กรุ่นหลังอย่างพวกเจ้ารู้สึกละอายใจที่เทียบไม่ได้ล้วนพังทลายลง วันหน้าย่อมไม่ใช่เทพธิดาอะไรอีกต่อไปแล้ว ไม่แน่ว่าอาจเทียบนักพรตหญิงในนามของภูเขาตะวันเที่ยงไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ป้าเฉียว ข้าแค่อยากรู้ว่า เจ้าจะยังชอบนางอยู่อีกหรือไม่?”
หลิวป้าเฉียวพูดเหมือนสะอื้น “ชอบไปตลอดชีวิต เจ้าสวน ข้าไม่เอาไหนมากเลยใช่หรือไม่?”
หลี่ถวนจิ่งกล่าวอย่างสะท้อนใจ “เด็กโง่ แบบนี้สิถึงจะดี”
“ถ้าอย่างนั้นก็ชอบแบบนี้ต่อไปเถอะ แต่อย่าให้ส่งผลกระทบต่อการฝึกกระบี่ก็แล้วกัน ต้องรู้ว่าเจ้าเป็นคนที่ข้าเห็นดีมาโดยตลอด ไม่ด้อยไปกว่าหวงเหอเลย ก่อนหน้านี้ที่ข้าไม่พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า เพราะรู้ว่าพูดไปก็ไร้ประโยชน์ ตอนนี้สามารถพูดได้แล้ว เพราะหลังจากนี้จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว”
หลิวป้าเฉียวหันหน้ามามอง “เจ้าสวน?”
หลี่ถวนจิ่งพลันถามว่า “ตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดี วันหน้าพยายามนำศพของข้าไปฝังร่วมกับศพคนผู้นั้น ป้าเฉียว หากกาลเวลาล่วงเลยผ่าน ช่วงเวลานั้นภูเขาตะวันเที่ยงเป็นดั่งดวงตะวันที่อยู่สูงกลางท้องนภา ข่มทับให้คนของสวนลมฟ้าพวกเราต้องเจียมตัวเก็บหัวเก็บหาง เจ้าจะทำอย่างไร?”
หลิวป้าเฉียวไม่เหลือความกล้านั่งอยู่บนราวระเบียงอีกแล้ว เขากระโดลงมายืนกลางระเบียง กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ผู้ฝึกกระบี่ย่อมสามารถใช้กระบี่พูดเหตุผลได้”
หลี่ถวนจิ่งเอ่ยหยอก “โอ้โห เหมือนข้าตอนเป็นหนุ่มมากเลยนะเนี่ย”
จากนั้นหลี่ถวนจิ่งก็ทอดสายตามองไปไกล กล่าวกลั้วหัวเราะ “จำเอาไว้ว่า ระหว่างบุรุษและสตรี หลักการนี้ใช้ไม่ได้ วันหน้าอย่าได้รู้สึกว่าเวทกระบี่ของตนสูงส่งแล้วจะใช้วิธีนี้ได้กับทุกเรื่อง เวลาพูดกับสตรีที่รัก อย่างไรก็ควร…”
“ควรอ่อนโยนสักหน่อย แล้วก็ต้องรู้จักพูดคำหวานด้วย”
หลี่ถวนจิ่งหันหน้ามองไปยังหวงเหอ ลูกศิษย์คนสุดท้ายที่เดินลงมาจากบันไดช้าๆ
มองไปยังคนหนุ่มทั้งสอง ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบที่แข็งแกร่งที่สุดในแจกันสมบัติทวีปผู้นี้ก็คลี่ยิ้มอย่างสง่างาม “หลังจากข้าตายไป วันหน้าคงต้องมอบบสวมลมฟ้าให้พวกเจ้าสองคนเป็นเสาหลักแล้ว”
หวงเหอสีหน้าเย็นชา “อาจารย์ แค่ข้าคนเดียวก็พอ”
หลิวป้าเฉียวยิ้มหน้าเป็น “แบบนี้สิดี คนเก่งก็เหนื่อยเยอะหน่อย ไม่ต้องให้เป็นภาระของข้า”
หลี่ถวนจิ่งหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี ยื่นนิ้วชี้ไปยังหวงเหอ “ผู้ฝึกกระบี่ที่พลังพิฆาตไร้เทียมทาน ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า ต้องเป็นของเจ้า”
จากนั้นก็ชี้มาที่หลิวป้าเฉียว “ผู้ฝึกกระบี่ที่องอาจสง่างาม ดื่มสุราเคล้านารี ต้องเป็นเจ้า”
สุดท้ายหลี่ถวนจิ่งกล่าวอย่างลำพองใจว่า “สรุปคือ ไม่ว่าอะไรก็ต้องเป็นของสวนลมฟ้าพวกเราทั้งหมด”
……
บนเรือคุนที่มุ่งหน้าไปยังแคว้นหนันเจี้ยน บุรุษร่างกำยำที่นั่งอยู่ข้างกายสตรีแต่งงานแล้วเอ่ยเย้ยหยัน “นอกจากผู้ฝึกกระบี่ชุดดำที่ลงสมรภูมิรบเป็นครั้งสุดท้ายที่ยังถือว่าพอมีความสามารถที่แท้จริงอยู่บ้าง การต่อสู้สามครั้งที่เหลือล้วนฝีมือธรรมดา หากเอาไปไว้ในกุรุทวีปของพวกเรา ไหนเลยจะมีหน้ากล้าจัดงานโอ้อวดใหญ่โตขนาดนี้”
สตรีแต่งงานแล้วพยักหน้ารับพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้นไม่เลวเลยจริงๆ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสซื้อมาหรือไม่”
หมัวมัวเฒ่าที่ยืนกุมมือคารวะอย่างเคร่งเครียดยิ้มบางๆ “ขอแค่ฮูหยินแจ้งชื่อของท่าน คิดว่าคงจะได้น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้นมาไม่ยาก”
ทางฝั่งซ้ายมือสุด ผู้เฒ่าชุดลัทธิขงจื๊อที่สวมหมวกขนเตียวทนฟังคำพูดโอหัง รวมไปถึงคำวิจารณ์ที่มีต่อคนอื่นไม่จบไม่สิ้นของพวกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่ไหวอีกต่อไป นับตั้งแต่ศึกใหญ่ศึกแรกเริ่มต้นขึ้น พวกคนที่นั่งอยู่ใกล้เขากลุ่มนี้ก็เริ่มคุยโวโอ้อวด ตรงนี้ไม่ดี ตรงนั้นไม่ได้ เขาหนวกหูแทบตายอยู่แล้ว ผู้เฒ่าจึงเอียงศีรษะถ่มเสลดหนาข้นลงบนพื้นอย่างแรง “วิชากระบี่ของคนทั้งสามเทียบกับเซียนกระบี่ของกุรุทวีปเราไม่ได้ก็จริง แต่ศึกใหญ่ทั้งสามครั้งต่างก็สู้กันอย่างเต็มคราบ สมศักดิ์ศรี ยังจะเอายังไงอีก?”
ผู้ชายร่างสูงใหญ่ตวาดเสียงเฉียบ “ตาแก่เจ้าอยากตายรึ?”
ผู้เฒ่าหัวเราะหยัน “อยากตายแล้วอย่างไร? ไม่สู้มาลงนามยอมรับความตายกันเลย ในเมื่อดูเรื่องสนุกระหว่างสวนลมฟ้าและภูเขาตะวันเที่ยงจบแล้ว ก็ให้คนอื่นได้ดูเรื่องสนุกของพวกเรากันบ้างไหมล่ะ? หากแพ้ ข้าผู้อาวุโสก็ยอมรับชะตากรรม หากชนะ ให้ข้าเย่อคู่ชู้ของเจ้าสามวันสามคืน ตกลงไหม?”
ไม่ได้เก่งแต่ปาก พูดว่าจะทำก็ลงมือทำทันที
บุรุษลักษณะสุภาพอ่อนโยนแต่เหมือนคนขี้ขลาดที่อยู่ข้างกายสตรีแต่งงานแล้วทำหน้าที่เป็นทูตสันติ “มีเรื่องอะไรก็พูดกันดีๆ พูดกันดีๆ …ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก อีกทั้งทุกคนยังเป็นคนของกุรุทวีปเหมือนกัน เหตุใดต้องทำลายความปรองดอง…”
สตรีแต่งงานแล้วที่ร่างผอมแห้งสูงโปร่งไม่เพียงแต่ไม่ขุ่นเคือง กลับยังหันหน้ามามองด้วยความสนใจ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “น่าเสียดายที่แก่ไปหน่อย คาดว่าเอวแก่ๆ ของเจ้าคงทนรับแรงโยกของข้าไม่ไหว สู้กันล่างเตียงกับสู้กันบนเตียงไม่เหมือนกันหรอกนะ ใช่ไหมล่ะ ตาแก่หนังเหนียว?”
“ถุย!”
ผู้เฒ่าถ่มน้ำลายอีกรอบ “อย่าว่าแต่ผู้หญิงร่างผอมแห้งเป็นไม้เสียบผีอย่างเจ้าเลย แม้แต่เจ้าผู้ชายหน้าขาวคนนั้นของเจ้า ข้าก็เย่อพร้อมกันได้!”
เฉินผิงอันรับฟังด้วยอาการปากอ้าตาค้าง
ทำไมถึงรู้สึกเหมือนได้กลับไปที่ตรอกหนีผิง ตรอกซิ่งฮวาอีกครั้งล่ะ?
แน่นอนว่าเขาไม่ได้เข้าใจทุกคำที่พวกเขาพูด แต่ท่าทางเช่นนั้นไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเฉินผิงอันเลย
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่อยู่ทางขวาสุดหันหน้ามากล่าวอย่างหงุดหงิด “จะตีกันก็รีบตี เลิกเก่งแต่ปากกันสักที เป็นมลพิษต่อหูข้า!”
ดีนักนะ มีคนนิสัยฉุนเฉียวมาร่วมด้วยอีกคนแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ ยังราดน้ำมันลงบนกองไฟเสียอีก
เฉินผิงอันรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย คงไม่ได้จะตีกันจริงๆ หรอกนะ?
ผู้ฝึกกระบี่หญิงที่ปักปิ่นกระบี่เล่มเล็กไว้ตรงมวยผมไม่ได้ให้ความสนใจเหตุการณ์นี้ นางเอาแต่เงยหน้ามองม้วนภาพวาดคล้ายกำลังย้อนทบทวนพลังที่แฝงอยู่ในศึกเป็นตายทั้งสามศึกนั้น
ยังดีที่เจ้าของเรือซึ่งก่อนหน้านี้เคยพูดคุยกับเว่ยป้อเดินตรงมาด้วยรอยยิ้ม สายตากวาดผ่านทุกคน เริ่มจากผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อก่อนเป็นคนแรก ทุกครั้งที่มองคนหนึ่งก็จะต้องกุมมือพร้อมเอ่ยเรียกชื่อของคนผู้นั้น “ท่านเจี้ยนเวิ่ง ชิงกู่ฮูหยิน คุณชายหูลวี่ ช่วยเห็นแก่หน้าของข้า เรื่องวันนี้ให้แล้วกันไปได้หรือไม่?”
ทั้งสามฝ่ายจะไม่เห็นแก่หน้าของเจ้าของเรือท่านนี้ หรือจะไม่เห็นหน้าของภูเขาต่าเจี้ยวเลยก็ยังได้ แต่หลังจากที่เจ้าของเรือเอ่ยเรียกชื่อคนทั้งสามอย่างเรียบง่าย เรื่องราวก็ง่ายดายขึ้นกว่าเดิม
ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่มีฉายาว่าเจี้ยนเวิ่ง (เหยือกกระบี่) คือผู้ฝึกกระบี่นิสัยประหลาดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งทางทิศใต้ของกุรุทวีป ขอบเขตไม่ถือว่าสูงนัก เป็นแค่ขอบเขตโอสถทอง ไม่มีสำนักไร้พรรค แต่เชี่ยวชาญการเลี้ยงกระบี่ไว้ในเหยือกโบราณ อีกทั้งยังมักจะชอบช่วยเหลือผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางเลี้ยงกระบี่บินโดยไม่คิดค่าตอบแทน เป็นเหตุให้มีสหายอยู่ทั่วหล้า
ชิงกู่ฮูหยิน ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับมีบิดาบุญธรรมเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบเอ็ดคนหนึ่ง ซึ่งปกป้องและเข้าข้างลูกของตัวเองอย่างถึงที่สุด อีกทั้งยังได้ครอบครองอาวุธเทพจอมเผด็จการชิ้นหนึ่ง บวกกับที่เดิมทีตัวของหญิงแต่งงานแล้วเองก็เป็นปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ด เชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัว ชื่อเสียงความเหี้ยมโหดจึงเลื่องลือเป็นที่รู้จัก
ส่วนผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่มีสองแซ่ว่าหูลวี่ก็ยิ่งมีชื่อเสียงโด่งดังในกุรุทวีป เพียงหนึ่งไม่มีสอง
ในตระกูลมีบรรพบุรุษขอบเขตหยกดิบที่เป็นเซียนกระบี่พสุธาคนหนึ่ง ซึ่งก็คือหนึ่งในเซียนกระบี่ที่พากองทัพใหญ่มุ่งหน้าไปยังภูเขาห้อยหัว นิสัยตรงไปตรงมา เป็นเพื่อนสนิทกับเซี่ยสือเจ้าลัทธิเต๋าของหนึ่งทวีป ประมุขตระกูลคนปัจจุบันของตระกูลหูลวี่คือผู้บัญชาการณ์ใหญ่ในราชวงศ์ที่ใหญ่ที่สุดทางทิศตะวันออกของกุรุทวีป เนื่องจากเกิดมามีร่างกายไม่เหมาะกับการฝึกตน เป็นบัณฑิตอ่อนแอที่ไม่มีแม้แต่แรงฆ่าไก่ แต่สุดท้ายกลับได้กุมอำนาจควบคุมทหารกล้าสามแสนนายไว้ในมือ นอกจากนี้ยังมีผู้ใต้บังคับบัญชาเกือบพันคน มีชื่อเสียงงดงามว่า ‘แม่ทัพฝ่ายบุ๋นพันกระบี่’
ไม่ใช่ว่าภูเขาต่าเจี้ยวหวาดกลัวทั้งสามฝ่าย แต่กระนั้นศักยภาพก็ไม่มากพอให้งัดข้อกับตระกูลหูลวี่ แม้ว่าฟ้าสูงแผ่นดินกว้างไกล แส้ยาวแค่ไหนก็เอื้อมมาไม่ถึง (เปรียบเปรยว่าเกินขอบเขตอำนาจตัวเอง) ส่วนชิงกู่ฮูหยินที่ชอบเลี้ยงชายบำเรอกับผู้เฒ่าเจี้ยนเวิ่ง ภูเขาต่าเจี้ยวก็ยิ่งไม่กลัวเข้าไปใหญ่ แต่ทุกคนที่มาเยือนล้วนถือเป็นแขก มีหลักการที่พ่อค้าเปลี่ยนจากการทำการค้ามาเป็นศัตรูกับลูกค้าเสียที่ไหน
ผู้เฒ่าร้องโอ้โหหนึ่งที โน้มตัวมาด้านหน้า หันหน้าไปมองทางผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนั้นแล้วถามเสียงดัง “เจ้าเด็กแซ่หูลวี่ หูลวี่อิ๋นจื่อเป็นอะไรกับเจ้า?”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “คือท่านอาน้อยของข้า ปิดด่านหลายปีแล้ว เจ้ารู้จักรึ?”
ผู้เฒ่าตบเข่าฉาด “ฮ่าๆ ตอนที่หูลวี่อิ๋นจื่อยังเป็นหนุ่ม ทึ่มทื่อเหมือนไม้ท่อนหนึ่ง คราวก่อนไปกินเนื้อสดที่หอนางโลม ข้าผู้อาวุโสก็คือคนพาเขาไป! หลังจากนั้นมา จุ๊ๆๆ เขาจะต้องมาตามก้นข้าผู้เฒ่าทุกสองวันสามวัน แม่งเอ๊ย เคยได้ยินแค่ว่าใต้หล้านี้มีพวกที่ชอบขอกินขอดื่มไม่จ่ายเงิน แต่อาน้อยของเจ้าคนนี้กลับขอเที่ยวนางโลมไม่จ่ายเงิน ข้าผู้อาวุโสอยู่มาจนป่านนี้ เพิ่งจะเคยเห็นคนแบบเขาเป็นคนแรก!”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มหน้าแดงก่ำ รีบชำเลืองมองไปทางผู้ฝึกกระบี่สาวที่อยู่ข้างกายอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่านางไม่มีท่าทีผิดปกติ เขาถึงพอจะคลายใจลงได้บ้าง จึงหันไปพูดกับผู้เฒ่าปากสุนัขผู้นั้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านอาน้อยของข้าไม่ใช่คนแบบนั้นแน่!”
ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อเหลือกตามองสูง “ข้าผู้อาวุโสกับท่านอาน้อยของเจ้าคือเพื่อนสนิทที่ช่วยเช็ดก้นให้กัน เด็กน้อยอย่างเจ้าจะไปเข้าใจอะไร!”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มอึ้งตะลึงเหมือนถูกฟ้าผ่า
ในที่สุดผู้ฝึกกระบี่สาวที่ทนมานานก็รู้สึกเหลือทน ตวาดกร้าวอย่างเดือดดาล “หุบปาก!”
ผู้เฒ่าหัวเราะคิกคัก “ว้าว นังหนูนี่ดุร้ายจริงๆ เสร็จแน่ ไอ้หนูเจ้าลำบากแน่”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มรู้ดีว่ากำลังจะมีเรื่อง เพียงแต่ไม่ทันได้เปิดปากเอ่ยเตือน
ผู้ฝึกกระบี่สาวสีหน้าเย็นชาดุจน้ำค้างแข็ง “ปากเปราะ พูดจาไร้มารยาท ข้าจะตบให้ฟันสุนัขของเจ้าร่วงหมดปาก!”
กระบี่บินเล่มเล็กที่ใช้แทน ‘ปิ่น’ ปักมวยผม ตัวกระบี่ไร้ความคม ขนาดเล็กกระจิ๋วหลิว
แต่พอหลุดออกมาจากเส้นผมสีนิลบนศีรษะ หางกระบี่ก็เปล่งแสงสีขาวหิมะเส้นหนึ่ง กระบี่บินลากเส้นสีขาวแสบตาที่ยาวมากเส้นหนึ่งคงค้างอยู่กลางอากาศตามทิศทางที่มันพุ่งไป
เดิมทีกระบี่บินบนโลกก็มีชื่อเสียงด้านความเร็วและยากจะป้องกันอยู่แล้ว แต่กระบี่บินเล่มเล็กของผู้หญิงคนนี้กลับเร็วจนอยู่เหนือความคาดคิด
เร็วเกินไปแล้ว!
ได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ
เฉินผิงอันใจกระตุกเล็กน้อย
ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊ออุดปาก เลือดสดหลั่งลงมาตามร่องนิ้ว พูดเสียงคลุมเครือฟังไม่ชัดเจน
ที่แท้กระบี่บินก็แทงเข้าไปที่ปากของเขา ทะลวงฟันซี่หนึ่งของผู้เฒ่าจนแตกละเอียด
ผู้เฒ่าไม่โกรธกลับยังหัวเราะขำ เบิกบานใจอย่างถึงที่สุด เขาใช้สองมือตบขา ถ่มเลือดคำหนึ่งออกมา ตะโกนพูดเสียงดัง “ช่างเป็น ‘สายฟ้าแลบ’ ที่ดีจริงๆ ไม่เสียแรงที่เป็นหนึ่งในกระบี่บินที่เร็วที่สุดของกุรุทวีปเรา มีชื่อเสียงสมดังคำเล่าลือ มีชื่อเสียงสมดังคำเล่าลือจริงๆ!”
ต่อให้เป็นชิงกู่ฮูหยินก็ยังขนลุกขนพอง
นี่คือลูกหลานของเซียนกระบี่ซึ่งไม่เคยปรากฏตัวให้ใครเห็นอีกคนหนึ่งแล้ว
อีกทั้งเมื่อเทียบกับตระกูลหูลวี่ที่มีศักยภาพยิ่งใหญ่แล้ว เจ้าของคนก่อนของ ‘สายฟ้าแลบ’ เล่มนี้ถือเป็นคนที่มีพลังอำนาจไม่ธรรมดา และพลังการต่อสู้ก็แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุดด้วย
เขาเคยสะพายกระบี่เดินทางไปยังทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางซึ่งเป็นสถานที่มังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบเพียงลำพัง กระบี่พกมีนามว่า ‘พยัคฆ์ทมิฬ’ กระบี่บินมีชื่อว่า ‘สายฟ้าแลบ’
แม้เฉินผิงอันจะไม่รู้ความลับขั้นสุดยอดของกุรุทวีป แล้วนับประสาอะไรกับที่พวกเขายังพูดคุยกันด้วยภาษาทางการของกุรุทวีป เฉินผิงอันจึงฟังไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ต้องเป็นมรสุมที่ตั้งเค้าก่อนเทพเซียนจะตีกันอย่างแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมแต่โดยดี และเตรียมพร้อมเผ่นหนีได้ทุกเมื่อหากท่าไม่ดี
ยังดีที่การคุยเล่นกันในช่วงที่ผ่านมา ได้ฟังชุนสุ่ยและชิวสืออธิบายจึงทำให้เขาเข้าใจแล้วว่าหากอยู่บนเรือคุนที่ข้ามผ่านสามทวีปลำนี้ การพบเจอเทพเซียนไม่ใช่เรื่องที่ต้องแปลกใจ
ส่วนเบื้องใต้เรือคุน ยุทธภพของแจกันสมบัติทวีป อันที่จริงไม่มีบุคคลน่าครั่นคร้ามอะไรอยู่มากนัก ไม่เพียงแต่บุรพแจกันสมบัติทวีปเล็กๆ ที่เป็นเช่นนี้ ต่อให้เป็นกุรุทวีปที่แผ่นดินกว้างใหญ่มีมือกระบี่มากมายดุจขนวัวก็เป็นเหมือนัน
หลังจากกระบี่บินกลับเข้าฝักแล้ว ผู้ฝึกกระบี่หญิงก็หันไปยิ้มขออภัยให้กับเจ้าของเรือภูเขาต่าเจี้ยว ในใจฝ่ายหลังจึงโล่งใจมากขึ้น
อันที่จริงมีนางช่วยออกหน้าให้ เหตุการณ์จึงไม่บานปลายซับซ้อน มีแต่จะปิดฉากลงอย่างเรียบง่าย
แล้วก็จริงดังคาด คนของสามฝ่ายต่างก็สงบเสงี่ยมกันมากขึ้น ไม่เหลือบรรยากาศตึงเครียดพร้อมห้ำหั่นกันอย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว
ตอนที่อยู่ในเมืองเล็กหรือบนภูเขาลั่วพั่ว อันที่จริงเฉินผิงอันไม่รู้สึกว่ายุทธภพจะอันตรายจนถึงขนาดที่ทำให้คนเกิดความสิ้นหวังด้านชาอย่างที่เด็กชายชุดเขียวรู้สึก
แต่หลังจากได้เห็นศึกของผู้ฝึกกระบี่ในภาพวิหคและบุปผา แล้วก็เห็นการประมือกันของเทพเซียนในระยะประชิด เฉินผิงอันก็บอกกับตัวเองในใจว่า ‘เฉินผิงอัน อย่าเอาแต่ดื่มเหล้าอย่างเดียว ต้องมานะฝึกหมัดให้มากขึ้น จะได้ฝึกกระบี่ได้เร็วขึ้น’
เฉินผิงอันหันไปมองท้องฟ้านอกเรือคุนโดยไม่รู้ตัว ขี่กระบี่บินทะยาน ลอดผ่านทะเลเมฆ เคียงคู่อยู่กับฝูงสกุณา ภาพเหตุการณ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่เขาตั้งตารอคอยอย่างยิ่ง
—–
บทที่ 214.1 เดินทางยามราตรีท่ามกลางลมฝน
โดย
ProjectZyphon
ดูเหมือนภูเขาต่าเจี้ยวจะใช้วิธีการคล้ายการคัดลอกลาย จึงสามารถเก็บภาพเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในม้วนภาพบุปผาและวิหคไว้ได้ทั้งหมด เมื่อฉีกผ้าบางๆ คล้ายกระดาษขาวออกมาชั้นแล้วชั้นเล่า รวมทั้งหมดสิบครั้ง ก็วางขายอย่างเปิดเผย
เจ้าของเรือเรียกให้ชุนสุ่ยกับชิวสือเป็นผู้ช่วยตะโกนบอกราคาให้แก่ภูเขาต่าเจี้ยว
เดิมทีเฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกอะไร แต่พอหันไปเห็นโดยบังเอิญว่าชิวสุ่ยยืนถือแผ่นภาพคนละฝั่งกับพี่สาว ชุนสุ่ยยืนอยู่ด้วยท่วงท่าเรียบร้อยสง่างาม แต่เวลาประกาศราคากลับคล่องแคล่วไร้ข้อบกพร่อง ส่วนชิวสุ่ยกลับจ้องเป๋งมาที่เฉินผิงอันโดยไม่ได้ยี่หระกับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ พอเห็นสายตาของเขา นางถึงได้เชิดคางขึ้นน้อยๆ เผยสีหน้าเย่อหยิ่งอย่างพึงพอใจ
ราวกับว่าจนกระทั่งบัดนี้ ชิวสุ่ยถึงได้รู้สึกว่าตัวเองทัดเทียมกับเฉินผิงอันแล้ว?
เฉินผิงอันไม่ค่อยเข้าใจความคิดของเด็กสาวเท่าไหร่นัก จึงวางความสนใจไว้ที่กระดาษขาวลอกลายเหล่านั้น การลอกลายสิบครั้ง ยิ่งเป็นช่วงหลัง ปราณวิญญาณก็ยิ่งบางเบา ภาพเหตุการณ์ก็ยิ่งพร่าเลือน แผ่นสุดท้ายชมได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าราคาต้องต่ำมาก แค่ต้องจ่ายด้วยหยกเกล็ดหิมะสามสิบอีแปะเท่านั้น
หยกโบราณที่นำมาทำเป็นเหรียญเงิน มีชื่อว่าหยกเกล็ดหิมะ เป็นหยกที่มีเฉพาะในธวัลทวีปของทางทิศเหนือ หลักๆ แล้วกระจายอยู่ในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลสองแห่ง เมื่อนำ ‘เหรียญทองแดง’ ที่เป็นที่นิยมบนภูเขาชนิดนี้มาวางไว้ใต้แสงแดดจะสามารถสะท้อนให้เห็นประกายแสงแวววาวเหมือนเกล็ดหิมะที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศ นอกจากนี้ยังมีอีกชื่อหนึ่งว่าเงินหิมะน้อย ด้านบนสลักสี่ตัวอักษรว่า ‘นิมิตแห่งพืชผลอุดมสมบูรณ์’ ด้านหลังสลักอีกสี่คำว่า ‘ที่ดินศักดินาหิมะน้อย’
เพราะปริมาณการผลิตของหยกเกล็ดหิมะมีจำนวนมหาศาล อีกทั้งจำนวนลมปราณที่แฝงเร้นอยู่ด้านในก็ไม่ธรรมดา ท่ามกลางการเวลาอันยาวนาน เงินเกล็ดหิมะนี้จึงค่อยๆ กลายมาเป็นเหรียญเงินที่ใช้ร่วมกันบนภูเขาของเก้าทวีป เป็นที่นิยมแพร่หลาย เป็นวัตถุที่ผู้ฝึกลมปราณระดับล่างหรือระดับกึ่งกลางภูเขาต้องเตรียมไว้เวลาออกนอกบ้าน แน่นอนว่าเงินเกล็ดหิมะสามารถนำมาแลกเป็นเงินหรือทองที่พวกชาวบ้านใช้กันได้ แต่เงินหรือทองนั้นกลับไม่แน่เสมอไปว่าจะนำมาแลกเป็นเงินเกล็ดหิมะได้
หลักการนั้นง่ายมาก ขุนนางชนชั้นสูงหรือกองกำลังตามพื้นที่ต่างๆ ที่อยู่ด้านล่างภูเขาย่อมไม่สามารถส่งเงินเป็นรถม้าคันแล้วคันเล่าให้กับเทพเซียนบนภูเขา ทั้งไม่สะดวกและสะดุดตาเกินไป หากคิดจะมอบเงินเกล็ดหิมะหนึ่งกล่อง จำเป็นต้องพิถีพิถันอย่างมาก หากกล่องที่ใช้บรรจุเงินสามารถพิถีพิถันได้ยิ่งกว่า เลือกใช้วัตถุดิบไม้งดงามแปลกตาก็จะยิ่งดูสง่างามมากขึ้น
เฉินผิงอันกัดฟันซื้อม้วนภาพกระดาษขาวแผ่นสุดท้ายมาด้วยเงินหิมะน้อยสามสิบอีแปะ เพราะเป็นภาพสุดท้าย เจ้าของเรือภูเขาต่าเจี้ยวจึงนำมามอบให้เฉินผิงอันด้วยตัวเอง ชิวสือไม่หนักแน่นสำรวมเหมือนชุนสุ่ยผู้เป็นพี่สาว สำหรับเจ้าของเรือผู้นี้นางเองก็ไม่ได้ให้ความเคารพนับถือสักเท่าไหร่ นางจึงคอยพูดจ้อล้อมหน้าล้อมหลังเขาเหมือนนกขมิ้นตัวหนึ่ง
ยังดีที่เจ้าของเรือเห็นพี่น้องฝาแฝดคู่นี้เติบโตมาตั้งแต่เด็ก บวกกับที่พรสวรรค์ของชิวสือดีกว่าชุนสุ่ย ใช่ว่าจะไม่มีหวังเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง ดังนั้นเจ้าของเรือภูเขาต่าเจี้ยวจึงค่อนข้างมีความอดทนกับชิวสืออย่างมาก นี่เรียกว่าปล่อยสายเบ็ดยาวหวังตกปลาตัวใหญ่ มีชีวิตหากินอยู่บนภูเขา สายตาจึงมองได้ยาวไกล ไม่เพียงแต่เห็นแค่สิ่งที่อยู่บนโต๊ะ ในกระทะ แต่อาจจะเห็นไปถึงในที่นาเลยก็เป็นได้
หลังจากมือหนึ่งรับเงินมือหนึ่งส่งสินค้าแล้ว เจ้าของเรือก็หยอกเย้าชิวสือโดยการหยิบหลีไฟลูกหนึ่งที่อยู่ในถาดผลไม้บนโต๊ะข้างเก้าอี้จื่อถานส่งให้กับสาวใช้ผู้นี้แล้วจึงจากไป เฉินผิงอันไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ ทว่าชิวสือถลึงตาใส่แรงๆ ใส่เขาหนึ่งครั้ง ที่แท้หลีไฟลูกนั้นก็คือส่วนแบ่งที่ชิวสือได้มาจากการช่วยขายภาพวาดหนึ่งภาพ เพียงแต่ว่าหลังจากถลึงตาเสร็จแล้ว ชิวสือก็หัวเราะคิกคักอยู่กับตัวเอง ชูหลีไฟในมือขึ้นแกว่งให้พี่สาวดูด้วยท่าทางลำพองใจ
ชีวิตคนไม่มีอะไรที่แน่นอน มีพบแล้วก็ต้องมีจาก
หลังศึกใหญ่ระหว่างสวมลมฟ้ากับภูเขาตะวันเที่ยงปิดฉากลง เฉินผิงอันก็แยกกับนักพรตฝ่ายนอกของภูเขามังกรพยัคฆ์ กลับไปที่ห้องอักษรตัวเทียนพร้อมกับชุนสุ่ยและชิวสือ ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอีกครั้ง แต่เมื่อเรือคุนลำนี้ค่อยๆ ลงจอดเหนือน่านฟ้าในอาณาเขตของแคว้นหนันเจี้ยนก็กลายเป็นว่าเฉินผิงอันกับนักพรตจางซานได้พบกันโดยบังเอิญอีกครั้ง พวกเขาเลือกลงเรือที่นี่ คู่สาวใช้ชุนสุ่ยชิวสือโบกมืออำลา นับแต่นี้แยกจากกันอยู่คนละฟ้าดิน
ท่าเรือของแคว้นหนันเจี้ยนสร้างอยู่บนเขตชายแดนที่เชื่อมติดระหว่างสองแคว้น คือแคว้นหนันเจี้ยนกับแคว้นกู่อวี๋ ตั้งอยู่เหนือทะเลสาบใหญ่แห่งหนึ่ง
เมื่อเทียบกับภูเขาอู๋ถงในหลงเฉวียนต้าหลีที่เพิ่งถูกบุกเบิกแล้ว ท่าเรือแห่งนี้มีขนาดใหญ่กว่ามาก สามารถจอดเรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยวได้พร้อมกันถึงห้าลำ
แยกจากกับชุนสุ่ยและชิวสือ ไม่ถึงขั้นรู้สึกอาลัยอาวรณ์ ช่วงเวลาที่ผ่านมา เฉินผิงอันทำหน้าหนาไปขอผลไม้จำนวนมากมาจากภูเขาต่าเจี้ยว ด้วยเหตุนี้เด็กสาวสองคนจึงได้พึ่งใบบุญของเขาไปด้วย ตอนหลังภูเขาต่าเจี้ยวเริ่มนินทาเด็กหนุ่มจากต้าหลีผู้นี้ บ้างก็ว่าเขาสายตาตื้นเขิน ไม่เคยเห็นโลกกว้าง เป็นคนที่ชอบฉกฉวยเอารัดเอาเปรียบคนอื่น ต่อให้เฉินผิงอันรู้ก็ไม่มีทางสนใจ กลับเป็นชิวสือเสียอีกที่ได้ยินคำพูดมีนัยซ่อนแฝงเหล่านั้นแล้วไม่สบอารมณ์ สุดท้ายจึงกลายเป็นชุนสุ่ยที่ไปขอผลไม้จากห้องครัวของเรือคุนมาแทน
ตอนที่เฉินผิงอันลงจากเรือได้เอาแกนผลไม้และเปลือกผลไม้ไปด้วยเป็นจำนวนมาก
เพราะคนที่ลงเรือที่แคว้นหนันเจี้ยนมีไม่มาก ดังนั้นเพียงไม่นานเฉินผิงอันจึงได้เจอกับนักพรตกระบี่ไม้ท้อแล้วเลือกจับคู่เดินทางไปด้วยกัน
รั้วตรงหัวเรือ ชิวสือแค่นเสียงเย็น “พี่สาว ท่านดูเจ้าหมอนั่นสิ ลงเรือไปแล้วก็ไม่มีความรู้สึกเสียใจที่ต้องจากลาเลย ไม่แน่ว่าอาจจะกำลังคิดถึงโลกคาวโลกีย์ด้านล่างภูเขาอยู่ก็ได้”
ชุนสุ่ยกล่าวอย่างจนใจ “ขนาดหอซิ่งฮวาคุณชายเฉินยังไม่สนใจ จะไปมีความคิดเกี่ยวกับเรื่องพรรค์นั้นได้อย่างไร ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้สักหน่อยว่า เหล่าขุนนางระดับสูง คุณชายสูงศักดิ์ทั้งหลายที่เห็นเรื่องราวในโลกมาจนเคยชิน พอมาถึงเรือคุณ เข้าไปในหอซิ่งฮวาก็ล้วนเพลิดเพลินจนลืมทางกลับบ้าน เพราะอย่างไรซะผู้หญิงในหอที่ช่างเอาอกเอาใจพวกเขาเก่งก็ถือเป็นเทพธิดาในสายตาของมนุษย์โลก พอดื่มเหล้าเมามายแล้ว บุรุษพวกนั้นต่างก็เปิดเผยด้านที่อัปลักษณ์ของตนออกมาจนหมดสิ้น เฮ้อ หากผู้ชายล่างภูเขาเป็นเหมือนคุณชายเฉินทั้งหมดก็คงดีน่ะสิ”
ชิวสือกลับไม่เห็นด้วยนัก “นั่นเป็นเพราะเฉินผิงอันอายุยังน้อย วันหน้าก็อาจกลายเป็นคนเลวร้ายที่แปดเปื้อนสิ่งสกปรกโสมม ไม่แน่ว่าคราวหน้าที่ขึ้นเรือมา เฉินผิงอันอาจจะกลายเป็นคนปลิ้นปล้อนกลับกลอก ลงไม้ลงมือกับพวกเราก็ได้”
ชุนสุ่ยหรี่ตาชำเลืองมองถุงปักลายงดงามตรงเอวของน้องสาว “เจ้าคิดแบบนี้จริงหรือ?”
ชิวสือพลันหันขวับกลับมา แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นภาพที่เกิดขึ้นบนทะเลสาบ
ชุนสุ่ยมองไปถึงได้พบว่าเฉินผิงอันกำลังกุมมือคารวะบอกลาพวกนางสองพี่น้อง ท่าทางของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายของชาวยุทธ์ ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวซึ่งมุมานะในการฝึกวิชาหมัด
ชุนสุ่ยรีบยกมือขึ้นโบกลา
รอจนเฉินผิงอันหมุนกายจากไปแล้ว ชิวสือถึงได้หันกลับมาด้วยท่าทางแง่งอน ชุนสุ่ยจึงเอ่ยเย้าว่า “เจ้าจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร อยู่ห่างจากเขาตั้งไกลขนาดนี้ บอกลาอย่างมีมารยาทไม่ทำให้เจ้าเสียเนื้อไปสักหน่อย”
ชิวสือปรายตามองหน้าอกของพี่สาวแวบหนึ่ง กลั้นยิ้มพูดว่า “พี่สาว หากท่านเสียเนื้อไปสักสองสามจินคงไม่ต้องกลัว เพราะอย่างไรก็มีพื้นฐานแน่นหนา แต่ข้าไม่ได้หรอกนะ”
พี่น้องสองคนจึงหยอกเย้ากันอีกครั้ง
ตอนยังป็นหนุ่มเป็นสาว มักจะคิดว่าการจากลาคือการเริ่มต้นของการพบกันใหม่ในครั้งหน้า
เฉินผิงอันกับนักพรตจางซานพูดคุยกันพักหนึ่งถึงได้รู้ว่าทั้งคู่ต่างก็ต้องเดินทางลงใต้ ฝ่ายเฉินผิงอันนั้นเป็นเพราะเหตุผลประหลาด ลู่เฉินและหยางเหล่าโถวต่างก็ต้องการให้เขาลงเรือที่แคว้นหนันเจี้ยน เขาไม่กล้าละโมบคิดถึงแต่ความสนุกส่วนตัว เลยไปลงที่ท่าเรือถัดไปซึ่งอยู่ในนครมังกรเฒ่า ส่วนนักพรตกระบี่ไม้ท้อนั้นมีสาเหตุเพราะความยากจนหิวโหย อยู่บนเรือลำนี้ต่อไปไม่ไหวจริงๆ หากยังไม่ลงเรือ เกรงว่าคงต้องขายแรงงานบนเรือคุนถึงจะมีข้าวให้กินอิ่มท้อง
คนทั้งสองนิสัยเข้ากันได้ดี จึงตกลงกันว่าจะเดินทางลงใต้ด้วยกัน ส่วนเรื่องที่ว่าจะแยกทางกันไปตอนไหน พวกเขายังไม่ให้ความสนใจชั่วคราว
ท่าเรือที่คนทั้งสองลงจากเรือตั้งอยู่ทางชายแดนทิศใต้ของแคว้นหนันเจี้ยนกับชายแดนทิศเหนือของแคว้นกู่อวี๋ นักพรตจางซานพอจะรู้ภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปอยู่บ้างจึงอธิบายประเพณีพื้นบ้านของแคว้นกู่อวี๋ให้เฉินผิงอันฟัง เดิมทีฮ่องเต้แคว้นกู่อวี๋คือคนสกุลฉู่ นับตั้งแต่ประเทศก่อตั้งและมีประวัติศาสตร์มาก็เล่าลือกันว่ายุคบรรพกาลมีเทพหญิงองค์หนึ่งที่รับผิดชอบทำหน้าที่ป่าวประกาศเมื่อถึงฤดูกาลใบไม้ผลิ ขณะเดียวกันก็ควบคุมการก่อเกิดและการแห้งเหี่ยวของต้นไม้ใบหญ้าใต้หล้าด้วย มีเพียงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งในอาณาเขตของแคว้นกู่อวี๋ที่ใบเป็นสีเขียวยามฤดูใบไม้ร่วง และแห้งเหลืองยามฤดูใบไม้ผลิ มักจะเติบโตช้ากว่าต้นไม้อื่นๆ นี่ทำให้เทพธิดาหงุดหงิดเป็นกำลัง จึงออกคำสั่งไม่ให้ต้นไม้ต้นนี้มีสติปัญญา ยากที่จะกลายมาเป็นภูตต้นไม้ได้ นี่ก็คือต้นกำเนิดของประโยคที่ว่า ‘ไม้อวี๋เป็นปมตะปุ่มตะป่ำ’ (กล่าวถึงรากของต้นเอล์มที่แข็งแกร่ง เปรียบเปรยถึงความคิดที่ดึงดัน)
นักพรตจางซานคือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสาม ขอบเขตยังไม่มั่นคงนัก แต่เรื่องการข้ามเขาลงห้วยนี้ ในฐานะนักพรตของระบบเต๋าภูเขามังกรพยัคฆ์ ไม่ว่าจะเป็นนักพรตที่ได้รับการบันทึกชื่อหรือไม่ พวกเขาก็ล้วนคุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี
ก่อนจะเดินขึ้นเขา นักพรตหนุ่มที่ด้านหลังสะพายกระบี่ไม้ท้อยังหยิบกระดิ่งทองแดงชิ้นหนึ่งออกมาจากห่อสัมภาระ เอาแขวนไว้ตรงปลายกระบี่ไม้ท้อ อธิบายกับเฉินผิงอันว่า “นี่คือกระดิ่งสดับปีศาจ เป็นที่นิยมมากที่สุดในลัทธิเต๋า คล้ายคลึงกับภาพไป๋เจ๋อที่ผู้ฝึกลมปราณต้องมี กระดิ่งชิ้นนี้ของข้าผู้เป็นนักพรตมีระดับต่ำที่สุด ได้แค่ถือว่าเป็นวัตถุกำจัดปีศาจขั้นพื้นฐาน หลังกรอกปราณวิญญาณเข้าไป ในระยะเวลาหลายชั่วยามจะสามารถสัมผัสได้ถึงภูตผีปีศาจที่ระดับสูงกว่าข้าผู้เป็นนักพรตหนึ่งขอบเขต ตอนนี้ข้าผู้เป็นนักพรตเพิ่งจะขอบเขตสาม นี่หมายความว่าถ้าเจอกับปีศาจใหญ่ขอบเขตห้า จะไม่สามารถสัมผัสได้ถึง”
เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
มีใครเขาบอกตื้นลึกหนาบางของตบะตัวเองให้คนที่เพิ่งพบหน้ากันไม่นานอย่างเจ้าบ้าง?
อีกอย่าง อะไรคือ ‘ปีศาจใหญ่ขอบเขตห้า’?
เฉินผิงอันเริ่มไม่แน่ใจ หรือว่าตนกับลูกศิษย์ฝ่ายนอกของภูเขามังกรพยัคฆ์ผู้นี้อยู่กันคนละใต้หล้า อยู่กันคนละยุทธภพ? เด็กน้อยสองคนที่อยู่กับเขา เด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูต่างก็เป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลาง แต่พอไปอยู่ที่บ้านเกิดเขา เด็กชายชุดเขียวก็ไม่ได้โวยวายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันหรอกหรือว่า จะมุมานะฝึกตนเพื่อไม่ให้โดนคนอื่นต่อยตายด้วยหมัดเดียว?
แม้เฉินผิงอันจะเต็มไปด้วยความสงสัย แต่กลับรู้สึกดีต่อนักพรตหนุ่มคนนี้อยู่หลายส่วน
นักพรตหนุ่มไม่ทันสังเกตเห็นถึงท่าทางกังขาของเฉินผิงอัน ยังคงเอ่ยปลอบใจ ‘คุณชายเฉิน’ ที่อยู่ข้างกายของตนต่อว่า “แต่คุณชายเฉินวางใจได้เลย บนภูเขาของพวกเรามีคำกล่าวบอกว่า ในรัศมีพันลี้ของตระกูลเซียนใดก็ตามที่มีอักษรคำว่าสำนักย่อมไม่มีทางมีปีศาจใหญ่มาก่อความวุ่นวายเด็ดขาด เหตุผลนั้นง่ายมาก ปีศาจใหญ่ไม่มีความกล้ามากพอจะมาก่อเรื่องในโลกมนุษย์ เพราะหากเซียนซือห้าขอบเขตกลางรู้เข้า ไม่แน่ว่าอาจจะต้องถูกสังหาร ถูกไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับพลางเอ่ยว่าถูก
บัณฑิตขึ้นเขาเลียนแบบเซียนถือเป็นละครฉากสำคัญในวรรณกรรมมาทุกยุคทุกสมัย เทพเซียนปลอมตัวลงมาเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์ ปั่นหัวมนุษย์ก็เป็นเช่นเดียวกัน
ไม่ว่าจะบนภูเขาหรือนอกภูเขา ทั้งสองฝ่ายนี้ก็คล้ายมีสายใยบางๆ เชื่อมอยู่
เฉินผิงอันเองก็เพิ่งรู้หลังจากขึ้นเรือมาแล้วว่า อาณาเขตของสามทวีปซึ่งรวมแจกันสมบัติทวีปไว้ด้วยนั้น สถานที่อย่างหลงเฉวียนมีน้อยยิ่งกว่าน้อย ชาวบ้านส่วนใหญ่มักจะก้มหน้าก้มตาทำงานกันทั้งชีวิต ไม่เคยได้เห็นเทพเซียนบนภูเขาเลยสักครั้ง
นักพรตจางซานคือคนมีน้ำใจที่เป็นมิตรกับคนอื่นอย่างแท้จริง หลังจากพูดคุยกันแล้วรู้ว่าเฉินผิงอันออกมานอกบ้าน แต่กลับไม่มีภาพไป๋เจ๋อแม้แต่แผ่นเดียว ก็ยืนกรานจะมอบภาพไป๋เจ๋อของตนให้เฉินผิงอันให้ได้ บอกว่าม้วนภาพนี้มีราคาแค่สองสามเหรียญเงินหิมะน้อยเท่านั้น อีกอย่างก็เป็นของถูกขั้นพื้นฐานที่สุดเหมือนกับกระดิ่งสดับปีศาจ เป็นของทำมือที่คนทำขึ้นเอง จึงค่อนข้างจะหยาบ ภาพที่พิมพ์ก็คุณภาพแย่ ต่อให้มอบเป็นของขวัญยังน่าอาย ในเมื่อเจ้าเฉินผิงอันรีบใช้ เตรียมไว้เผื่อเวลาฉุกเฉิน ก็ควรจะเอาไปใช้ก่อน ถึงอย่างไรเขาจางซานก็ท่องจำได้ขึ้นใจมานานแล้ว
นี่คงต้องพูดว่ากุมารเจ้าทรัพย์มาเจอกับกุมารเจ้าแจกทรัพย์กระมัง?
เฉินผิงอันไม่กล้ารับมาเปล่าๆ ตอนที่สอดเข้าไปในชายแขนเสื้อจึงแอบควบคุมวัตถุฟางชุ่นสืออู่หยิบเงินหิมะน้อยออกมาสองเหรียญ แล้วมอบให้จางซาน ฝ่ายหลังลังเลเล็กน้อย ก่อนจะรับไปหนึ่งเหรียญเงินหิมะน้อย ยังพูดด้วยว่าของเก่าแก่ขนาดนี้แล้ว ขายหนึ่งเหรียญยังแพงไปด้วยซ้ำ อันที่จริงตอนนั้นที่เจอกับผีสวมชุดเจ้าสาว นักพรตตาบอดก็เคยมอบ ‘ภาพค้นภูเขา’ ที่สืบทอดมาจากอาจารย์ให้กับเฉินผิงอัน เมื่อเทียบกับภาพไป๋เจ๋อนี้แล้วดีกว่าไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า แต่เฉินผิงอันก็มอบ ‘ภาพค้นภูเขา’ ให้แก่หลินโส่วอี อีกทั้งขณะที่เฉินผิงอันเดินพลางดูภาพไป๋เจ๋อไปพลาง เขายังเปี่ยมไปด้วยความสนอกสนใจ โดยเฉพาะภาพเหมือนของภูตผีปีศาจต่างๆ ที่ไม่ได้วาดไว้ใน ‘ภาพค้นภูเขา’ ที่ยิ่งทำให้เฉินผิงอันรู้สึกว่าได้รับผลเก็บเกี่ยวมหาศาล
เรื่องการขึ้นเขานี้ เกรงว่าต่อให้นักพรตจางซานขึ้นเขาลงห้วยอีกสิบปีก็คงสู้เด็กบ้านนอกอย่างเฉินผิงอันไม่ได้
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเดินอย่างผ่อนคลาย นักพรตกระบี่ไม้ท้อที่แม้จะไม่ถึงขั้นหอบหายใจฮักๆ แต่ก็ไม่สบายสักเท่าไหร่
เฉินผิงอันไม่ได้ระแวดระวังเหมือนตอนอยู่บนเรือคุน เขายังจงใจเพิ่มน้ำหนักฝีเท้าเวลาเดินอยู่เป็นระยะ หนึ่งเพราะหลังจากที่เฉินผิงอันฝึกหมัดบนเรือนไม้ไผ่ก็ได้เข้าใจหลักการข้อหนึ่ง นั่นคือเส้นเอ็นขึงใจ (อาจเปรียบได้ถึงความตึงเครียด) จำเป็นต้องมีการผ่อนคลายบ้าง สองเพราะการเดินทางด้วยเรือคุนที่ทะยานอยู่กลางทะเลเมฆกับเดินอยู่บนภูเขาของแผ่นดินเบื้องล่างเรือคุนนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว เฉินผิงอันไม่จำเป็นต้องระวังตัวมากเกินไป เพราะต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามทั่วไป หากคิดจะเดินทางท่องเที่ยวไปตามแคว้นต่างๆ เพียงลำพังก็ยังไม่มีภัยคุกคามมากเท่าไหร่นัก ข้อสุดท้ายคือเหตุผลที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือเฉินผิงอันวางใจในตัวนักพรตจางซานอย่างมาก ความรู้สึกที่เพิ่งพบหน้าก็เหมือนรู้จักกันมานานนี้ ทำให้เฉินผิงอันเชื่อใจเขาอย่างถึงที่สุด ก็เหมือนกับในอดีตตอนที่เห็นอาจารย์ฉียืนอยู่นอกโรงเรียน เห็นหลี่ซีเซิ่งยืนอยู่หน้าประตูตระกูลหลี่
เฉินผิงอันเชื่อในลางสังหรณ์ของตัวเอง
—–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น