อัจฉริยะสมองเพชร 2116-2121

 ตอนที่ 2116 อายุขัยของผมใกล้สิ้นสุด?

มิติถูกฉีกกระชากเพราะผลจากการเคลื่อนไหวอันรวดเร็ว จางเซวียนตกอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาล เขารู้สึกราวกับทุกอย่างพังทลายและถาโถมเข้าใส่ บีบเขาให้อึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก


ถ้าไม่ใช่เพราะปราการพลังปราณที่จางเซวียนสร้างขึ้นปกป้องตัวเอง ร่างกายของเขาคงแหลกเละเป็นเนื้อบดแน่


ฟึ่บ!


ทันใดนั้น แรงกดดันก็หายวับไป จางเซวียนหอบหายใจหนักหน่วง เขาพิจารณาสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างถี่ถ้วนและพบว่าไม่ได้อยู่ที่สะพานเบื้องบนอีกต่อไป สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าเขาคือพระราชวังขนาดมหึมาซึ่งลอยตัวอยู่กลางหมู่เมฆ


จางเซวียนยืดตัวตรงขณะตั้งคำถาม “เราอยู่ที่ไหน?”


เขาดูออกว่าแม้จะยังอยู่ในมิติเบื้องบน แต่ก็ไม่ได้อยู่ในทวีปที่ถูกลืมอีกต่อไปแล้ว ดูเหมือนเขาได้กระโจนออกจากทวีปที่ถูกลืมเข้าสู่มิติลับแห่งหนึ่ง


“นี่คือสำนักงานใหญ่ของหอนิรันดร์!” อีกฝ่ายตอบยิ้มๆขณะหันกลับมาเผชิญหน้ากับจางเซวียน


ในตอนนั้นเองที่จางเซวียนได้เห็นหน้าตาของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน เขาดูเหมือนกันเป๊ะกับบุคคลที่ได้รับการเคารพยกย่องจากทั้งสภาปรมาจารย์ เขามีร่างสูงและเคราพลิ้วไสว แววตานั้นบ่งบอกถึงความเมตตากรุณาและความมีน้ำใจต่อคนทั้งโลก


“ศิษย์น้องจางเซวียนคารวะปรมาจารย์ขง!” จางเซวียนโค้งคำนับอย่างงาม


เขาคาดเดาไว้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่เมื่อได้เห็นหน้าตาและบุคลิก ก็ยิ่งทำให้แน่ใจว่าคิดถูก


ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากครูบาอาจารย์ของโลก ผู้ก่อตั้งสภาปรมาจารย์และรวบรวมเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อต่อต้านเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น, ปรมาจารย์ขง!


เขาเคยพบกับเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของอีกฝ่ายมาหลายครั้งแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอตัวเป็นๆ


ปรมาจารย์ขงดูอ่อนโยนนุ่มนวลกว่าที่เขาคาดไว้ การปรากฏตัวของอีกฝ่ายเหมือนสายลมอบอุ่นต้นฤดูใบไม้ผลิ


“ลุกขึ้นเถอะ” ปรมาจารย์ขงตอบยืนขณะพยุงจางเซวียนให้ลุกขึ้น “สภาปรมาจารย์ยังปกติดีอยู่ไหม?”


“ดี สภาปรมาจารย์ยังคงปฏิบัติตามคำสอนของคุณอยู่ พวกเขาทำงานหนักเพื่อปกป้องมนุษยชาติตลอดหลายปีที่ผ่านมา” จางเซวียนตอบก่อนจะทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในสภาปรมาจารย์หลังจากที่ปรมาจารย์ขงจากไป


“ผมเข้าใจ” ปรมาจารย์ขงลูบเคราช้าๆ “เผ่าพันธุ์มนุษย์จะต้องรักษาความเป็นหนึ่งเดียวให้ได้เพื่อจะได้เอาตัวรอดจากเผ่าพันธุ์อื่นๆและทิ้งเชื้อสายไว้บนโลกใบนี้ เหตุผลที่ผมก่อตั้งสภาปรมาจารย์ขึ้นก็เพื่อให้มนุษย์ทุกคนได้มีพละกำลัง ซึ่งดูเหมือนความเหนื่อยยากของผมก็ไม่สูญเปล่า”


เป็นเรื่องยากที่มนุษย์ทุกคนจะมีพละกำลังเหมือนกันหมด แต่ด้วยการถ่ายทอดความรู้อย่างไม่ปิดบังของสภาปรมาจารย์ เผ่าพันธุ์มนุษย์จะสามารถใช้ภูมิปัญญาของเหล่าบรรพบุรุษพัฒนาตัวเองให้ก้าวหน้ากว่าเดิมได้


“ใช่ ความขัดแย้งของเผ่าพันธุ์ปีศาจกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็กำลังคลี่คลาย แม้จะเป็นไปไม่ได้ที่จะตัด ความเกลียดชังให้จบสิ้น แต่ผมก็เชื่อว่าในที่สุดกาลเวลาจะทำให้บาดแผลทั้งหมดเลือนหายไป” จางเซวียนพูดขณะอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นให้อีกฝ่ายฟัง


ปรมาจารย์ขงยิ้มออกมาขณะมองหน้าจางเซวียนและตั้งคำถาม “คุณไปเยือนเกาะคว้าดาวมาด้วยนี่, ใช่ไหม? รู้หรือเปล่าว่าประชากรท้องถิ่นที่อาศัยอยู่ที่นั่นมีความคล้ายคลึงกันมากกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น?”


“ใช่ ผมรู้สึกได้” จางเซวียนพยักหน้า “คุณรู้เรื่องราวของพวกเขาไหม?”


ปรมาจารย์ขงพยักหน้ารับ “อันที่จริง เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นกับประชากรท้องถิ่นของตำหนักคว้าดาวมีต้นกำเนิดเดียวกัน พวกเขาคือเหล่าเทพเจ้าที่ถูกเนรเทศ!”


“เหล่าเทพเจ้าที่ถูกเนรเทศ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว “เดี๋ยวก่อนนะ ผมรู้จากผู้อาวุโสหานเจี้ยนชิวว่าประชากรที่อาศัยอยู่บนเกาะคว้าดาวคือประชากรดั้งเดิมของทวีปที่ถูกลืม เรื่องนั้นไม่เป็นความจริงหรือ?”


นอกจากตำหนักคว้าดาว เหล่านักรบของ 5 สํานักใหญ่ก็ล้วนแต่กล่าวอ้างว่าพวกเขาคือเทพเจ้าที่ถูกเนรเทศขณะที่ผู้ที่อาศัยอยู่บนเกาะคว้าดาวคือประชากรท้องถิ่น แล้วทำไมปรมาจารย์ขงถึงพูดตรงกันข้าม?


เห็นความงุนงงของจางเซวียน ปรมาจารย์ขงยิ้มน้อยๆ “ทั้ง 5 สำนักก็แค่พยายามสร้างประวัติที่ดูดีให้กับตัวเอง หากพวกเขาเป็นเทพเจ้าที่ถูกเนรเทศจริงๆ มันไม่แปลกไปหน่อยหรือที่มีแต่ตำหนักคว้าดาวเท่านั้นที่มีแท่นบูชาเพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมและติดต่อกับสรวงสวรรค์ได้?”


“คือ…”


คำถามนั้นทำให้จางเซวียนอึ้ง


เขาไม่เคยคิดเรื่องนั้นมาก่อน ข้อโต้แย้งของปรมาจารย์ขงถือว่ามีเหตุผลสมบูรณ์แบบ


ปรมาจารย์ขงส่ายหน้าก่อนจะพูดต่อ “ภูมิหลังและชื่อเสียงที่ดูดีจะนำมาซึ่งอำนาจ เมื่อเวลาผ่านไป ในที่สุดสิ่งที่เคยเป็นความเท็จก็จะกลายเป็นความจริง ส่วนที่เคยเป็นความจริงก็จะกลายเป็นความเท็จ ใครจะแยกแยะได้ในเมื่อแทบไม่มีทางพิสูจน์ความถูกต้องได้อีก?”


จางเซวียนเงียบกริบ


ก็เหมือนการที่เหล่าฮ่องเต้มักอ้างว่าพวกเขาคือผู้ที่ได้รับเลือกจากเทพเจ้าและพากันบิดเบือนทุกตำนานให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของตัวเอง ทำให้ดูเหมือนกับว่าพวกเขาคือบุตรที่แท้จริงของสรวงสวรรค์


ความชอบธรรมจะเป็นเครื่องมือที่แสนทรงพลังหากผู้คนพากันหลงเชื่อ


ดูเหมือนเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นในทวีปที่ถูกลืมเช่นกัน


อีก 5 สำนักล้วนแต่กล่าวอ้างว่าพวกเขาคือเหล่าเทพเจ้าที่ถูกเนรเทศ และเมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนก็พากันหลงเชื่อความเท็จเหล่านี้


ลงท้ายก็ถึงกับเปลี่ยนเหล่าเทพเจ้าตัวจริงที่ถูกเนรเทศให้กลายเป็นแค่ประชากรท้องถิ่น


“แต่ถ้าพวกเขาเป็นเทพเจ้าจริงๆ ทำไมถึงมีเจตนาสังหารรุนแรงอยู่ในตัว?” จางเซวียนถามด้วยความสงสัย


อันที่จริง สำหรับจางเซวียน ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ว่าใครจะเป็นเทพเจ้าผู้ถูกเนรเทศตัวจริงหรือไม่ เพราะเขาไม่คิดจะเข้าข้างใคร และมองว่าตัวเขาก็แค่ผ่านมายังมิติเบื้องบนเป็นการชั่วคราว


“จะต้องมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับสรวงสวรรค์แน่ แต่เรื่องนั้นอยู่นอกเหนือขอบเขตความรู้ของผม” ปรมาจารย์ขงส่ายหน้า


“ผมเข้าใจแล้ว” จางเซวียนพยักหน้าช้าๆก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองปรมาจารย์ขงอีกครั้ง “ผมยังมีบางคำถามที่หวังว่าคุณจะตอบให้ผมกระจ่างได้”


“พูดมาเลย”


“ปรมาจารย์ขง คุณพำนักอยู่ในมิติเบื้องบนมาก็หลายพันปีแล้ว ยังไม่อาจฝ่าปราการแห่งมิติและขึ้นสู่สรวงสวรรค์ได้อีกหรือ?”


เรื่องนี้ทำให้จางเซวียนสงสัยมาก


ความสามารถและความปราดเปรื่องของปรมาจารย์ขงนั้นเป็นที่รู้กันอยู่


แม้แต่ตัวเขา ทั้งๆที่เพิ่งมาได้ไม่ถึง 1 เดือน ก็สามารถสำเร็จวรยุทธในระดับที่อีกเพียงก้าวเดียวก็จะได้เป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์แล้ว ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ทำไมครูบาอาจารย์ของโลกที่พำนักอยู่ที่นี่มาหลายพันปีแล้วถึงได้…?


“การขึ้นสู่สรวงสวรรค์ไม่ได้ง่ายอย่างที่คุณคิด อีกอย่าง ตอนที่ผมบุกเดี่ยวเข้าสู่หอเทพเจ้าและปะทะกับเหล่าเทพเจ้าในครั้งนั้น ถึงผมจะได้ตัวอักษรคำว่าเทพเจ้ามา แต่ลงท้ายก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ผมอยู่ในสภาวะโคม่าเนิ่นนานกว่าจะฟื้นตัว ซึ่งก็เพิ่งได้สติสัมปชัญญะทั้งหมดกลับคืนมาเมื่อไม่นานนี้เอง”


ปรมาจารย์ขงยับยั้งคำพูดของเขาไว้ด้วยสีหน้าที่ดูสับสน ดูเหมือนไม่เต็มใจจะพูดถึงเรื่องราวในอดีต


“ถ้าคุณไม่สะดวกใจจะพูดล่ะก็ ผมก็ไม่ซักถามแล้ว” จางเซวียนพูด “แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากขอความชัดเจนจากคุณ คุณมอบตราสัญลักษณ์ที่ทำให้ผมได้ทรัพยากรเพื่อการฝึกฝนวรยุทธทุกชนิดจากหอนิรันดร์มาฟรีๆ แต่ทำไมผมถึงต้องเจอกับการโจมตีจากหอเทพเจ้าทุกครั้งที่ผมใช้มัน?”


นี่คือเรื่องที่ทำให้จางเซวียนสงสัยแคลงใจอย่างมากในตัวปรมาจารย์ขง


ถ้าอีกฝ่ายไม่อาจไขข้อข้องใจให้เขากระจ่างได้ เขาคงไม่มีวันไว้วางใจเต็มเปี่ยมในตัวปรมาจารย์ขงได้อีก


“สำหรับเรื่องนั้น ผมต้องขออภัยคุณด้วย มันเป็นความบกพร่องในส่วนของผมที่ไม่อาจยกโทษให้ได้” ปรมาจารย์ขงตอบด้วยน้ำเสียงขอโทษขอโพย “ในช่วงเวลาที่ผมอยู่ในภาวะโคม่า อิทธิพลของหอเทพเจ้าเริ่มแทรกซึมเข้าสู่หอนิรันดร์ บริวารมากมายของผมลักลอบไปสวามิภักดิ์กับหอเทพเจ้า ผู้ที่ผมมอบหมายให้หลอมตราสัญลักษณ์อันนี้ก็เป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจากผมมาก แต่กลับกลายเป็นว่าเขาสมรู้ร่วมคิดกับหอเทพเจ้ามาตลอด ผมสังหารเขาทันทีที่รู้เรื่องนี้”


“ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ผมวุ่นอยู่กับการสะกดรอยและจับตัวสายลับจากหอเทพเจ้า ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่ผมไม่อาจไปพบคุณที่โขดหินสมอสวรรค์ได้ก่อนที่สะพานเบื้องบนจะลงมา ไม่อย่างนั้น คุณคงไม่ต้องติดกับของหอเทพเจ้าหรอก!”


จางเซวียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า


เขาไม่เห็นช่องโหว่ใดๆในเรื่องเล่าของปรมาจารย์ขง และอีกฝ่ายก็ดูจริงใจมาก


“ตอนนี้คุณเป็นผู้นำของ 4 สำนัก คงรู้เรื่องที่ผมขอยืมของล้ำค่าเพื่อการอารักขาของสำนักอมตะเลือนหายกับสำนักป้อมปราการกระจกดำแล้วใช่ไหม?” ปรมาจารย์ขงถาม


จางเซวียนพยักหน้า


“ผมมีแผนการของผมที่ทำให้ต้องขอยืมของล้ำค่าเหล่านั้น ผมตั้งใจจะใช้พวกมันปลดปล่อยทวีปที่ถูกลืมให้เป็นอิสระจากการครอบงำของหอเทพเจ้า ผมได้ยินว่าคุณปะทะกับหอเทพเจ้าหลายครั้งแล้ว เชื่อว่าคุณคงรู้พละกำลังของพวกเขาดี ผมรู้ตัวว่าผมยังต้องการไม้ตายอีกมาก ด้วยเหตุนี้ แม้ของล้ำค่าสำหรับการอารักขาของ 6 สำนักใหญ่จะมีวรยุทธไม่ถึงขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ แต่พวกมันก็บรรจุเอาความคิดและเจตจำนงของบรรพบุรุษมากมายนับไม่ถ้วนตลอดหลายพันปีที่ผ่านมาไว้ ทำให้มีประสิทธิภาพการต่อสู้อย่างน่าอัศจรรย์” ปรมาจารย์ขงอธิบาย


ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เขาคงเข้าใจผิดครั้งใหญ่


“ตอนนี้ผมไขข้อข้องใจทั้งหมดให้คุณแล้ว ยังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ผมต้องบอกคุณ” ปรมาจารย์ขงพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดขณะจับจ้องจางเซวียน


เขาโบกมือ จากนั้นก็เปิดใช้งานค่ายกลปิดกั้นเพื่อตัดขาดมิติรอบตัวพวกเขาจากโลกภายนอกก่อนจะพูดต่อ “คุณรู้หรือเปล่าว่าอายุขัยของคุณใกล้สิ้นสุดแล้ว?”


“อายุขัยของผมใกล้สิ้นสุด?” จางเซวียนตกตะลึงกับคำบอกเล่าอย่างปุบปับของปรมาจารย์ขง


อันตรายเดียวที่เขาเผชิญอยู่ตอนนี้คือหอเทพเจ้า แล้วทำไมตัวเขาถึงใกล้สิ้นสุดอายุขัย?


“จริงๆนะ” ปรมาจารย์ขงย้ำ เขาเอาสองมือไพล่หลังไว้และพูดต่อด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย “ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด คุณมีเศษเสี้ยวหนึ่งของสวรรค์อยู่ในตัว ถูกไหม?”


“คุณ…” จางเซวียนชะงักกับสิ่งที่ได้ยิน


หอสมุดเทียบฟ้าเป็นความลับสุดยอดของเขามาตลอด แต่ดูเหมือนเพียงไม่กี่วันนี้มันก็ถูกเปิดเผยอย่างง่ายดาย เริ่มจากหัวหน้าหอเทพเจ้า…จนตอนนี้ กลับกลายเป็นว่าปรมาจารย์ขงก็รู้เรื่อง


จางเซวียนรู้สึกราวกับว่าความลับของเขาถูกเปิดเปลือยต่อชาวโลก และนั่นทำให้อึดอัดใจมาก รอยย่นปรากฏบนหน้าผากของเขา


“คุณกำลังสงสัยว่าผมรู้ได้อย่างไร ใช่ไหม?”


ตอนที่ 2117 หรือว่าคุณก็…

ปรมาจารย์ขงดูขบขันเล็กน้อยกับสีหน้างุนงงของจางเซวียน เขาหัวเราะหึๆขณะพูดต่อ “ไม่ต้องกังวลไปหรอก ความจริงก็คือผมน่ะเหมือนคุณ ผมมีเศษเสี้ยวของสวรรค์อยู่ในตัวเหมือนกัน”


“คุณก็มีหอสมุดหรือ?” จางเซวียนตาโตจนแทบจะทะลุออกจากเบ้า


ตอนที่เขารับรู้เรื่องประสบการณ์ของปรมาจารย์ขงในทวีปแห่งปรมาจารย์ ก็นึกสงสัยอยู่ว่าปรมาจารย์ขงอาจมีหอสมุดเทียบฟ้าเช่นกัน ซึ่งนั่นอธิบายได้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมีเทคนิควรยุทธที่สมบูรณ์แบบและยกระดับวรยุทธได้อย่างรวดเร็ว


แต่เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ที่มีต่ำมาก สุดท้ายเขาก็ละทิ้งข้อสันนิษฐานนั้น


“หอสมุด?” ปรมาจารย์ขงอึ้งไปเล็กน้อยกับคำถามของจางเซวียน “ไม่ ไม่ใช่หรอก สิ่งที่ผมได้รับ คือการควบคุมมิติและเวลาของสรวงสวรรค์ หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘ลิขิตสวรรค์’”


“ลิขิตสวรรค์?”


ก็เหมือนกับการที่ดวงอาทิตย์ตกและดวงจันทร์เต็มดวง หมุนเวียนกันไป ทุกอย่างในโลกใบนี้มีระเบียบกฎเกณฑ์ของมัน ซึ่งรากฐานของระเบียบนั้นก็อยู่ที่มิติกับเวลา” ปรมาจารย์ขงพูด


มิติกับเวลาคือองค์ประกอบพื้นฐานในการสร้างระเบียบให้กับโลกที่แสนวุ่นวายใบนี้ พวกมันเป็นรากฐานในการพัฒนาวัฏจักรของธรรมชาติ มีความจำเป็นต่อการเติบโตเบ่งบานของชีวิต ถ้าปราศจากมิติและเวลา โลกก็จะสับสนวุ่นวายและเข้าสู่ภาวะวิกฤติ


ดังนั้น มิติและเวลาจึงเป็นเสมือนกฎเกณฑ์แรกสุดของทั้งโลก หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘ปฐมลิขิต’


เรื่องนี้อธิบายได้ว่าทำไมปรมาจารย์ขงถึงสร้างมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงขึ้นได้ โดยเป็นคัมภีร์ที่มีอำนาจของทั้งมิติและเวลา แม้เมื่อถูกผนวกเข้ากับหอสมุดเทียบฟ้า ก็ยังสามารถสร้างพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง


ดูเหมือน ‘ลิขิตสวรรค์’ จะเป็นความสามารถที่ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าหอสมุดเทียบฟ้าเลย


ก่อนหน้านี้ ตอนที่จางเซวียนเห็นสายเลือด ‘วาจาสิทธิ์’ ของขงซือเหยา ก็อยากรู้ขึ้นมาทันทีว่าปรมาจารย์ขงมีความสามารถแบบไหน แต่เมื่อได้ฟังเรื่องนี้ ทุกอย่างก็ดูจะปะติดปะต่อกันอย่างลงตัวราวกับจิ๊กซอว์ที่สมบูรณ์แบบ


เพราะปรมาจารย์ขงปรารถนาจะสร้างระเบียบให้กับโลก จึงก่อตั้งสภาปรมาจารย์และรังสรรค์แต่ละวิชาชีพรวมทั้งมรดกตกทอดของพวกเขาขึ้นมา ด้วยสิ่งนี้ มนุษยชาติจึงเติบโตและพัฒนามาได้ยาวนานตลอดหลายหมื่นปี มีพละกำลังและอำนาจมากพอจะต้านทานได้แม้แต่เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นที่ทรงพลังมาแต่กำเนิด


“หากปราศจากระเบียบกฏเกณฑ์ ก็ไม่อาจสร้างสิ่งสำคัญใดๆได้” ปรมาจารย์ขงพยักหน้า จากนั้น ก็จ้องมองจางเซวียนด้วยแววตาที่บ่งบอกความสับสนเล็กน้อยขณะตั้งคำถาม “หรือว่า…เศษเสี้ยวของสวรรค์ที่คุณได้รับไม่เกี่ยวข้องอะไรกับลิขิตสวรรค์เลย? เมื่อครู่นี้คุณพูดถึงหอสมุดนี่ ใช่ไหม?”


แม้จะรู้ว่าจางเซวียนมีเศษเสี้ยวของสวรรค์อยู่ในตัว แต่เขาก็ไม่รู้ว่าความสามารถของชายหนุ่มคืออะไร สรวงสวรรค์นั้นกว้างใหญ่และโอบล้อมทุกอย่างไว้ ไม่มีทางทำความเข้าใจสรวงสวรรค์ทั้งหมดได้


“ใช่ ก็อย่างที่ผมบอกไปเมื่อครู่นั่นแหละ ตอนที่ผมพูดว่ามันคือหอสมุดน่ะ ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ผมคิดว่ามันควรจะเรียกว่า ‘มลทินสวรรค์’!” จางเซวียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ


มันคือถ้อยคำที่ผุดขึ้นมาในหัวสมองของเขาตอนที่เขาเปิดใช้งานหอสมุดเทียบฟ้าครั้งแรก


ก็เพราะความสามารถนี้ที่ทำให้หอสมุดเทียบฟ้ามองเห็นข้อบกพร่องของทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่งและเปิดเผยเส้นทางที่ถูกต้องที่สุดให้ เขามาไกลได้ถึงขนาดนี้ก็เพราะมัน


“ลิขิตสวรรค์และมลทินสวรรค์…” ปรมาจารย์ขงพึมพำด้วยอาการครุ่นคิดก่อนจะตาโต “ผมเข้าใจแล้ว!”


“ปรมาจารย์ขง เมื่อครู่นี้คุณบอกว่าอายุขัยของผมใกล้สิ้นสุด…เรื่องนี้มีอะไรเกี่ยวข้องกับมลทินสวรรค์ของผมหรือเปล่า?” จางเซวียนตั้งคำถาม


“เกี่ยวสิ” ปรมาจารย์ขงพยักหน้า “การได้รับเศษเสี้ยวของสวรรค์มาคือโชคลาภครั้งใหญ่ มันเป็นสิ่งที่นักรบทุกคนล้วนใฝ่ฝัน แต่พลังนี้ก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่แพงไม่น้อย ยิ่งคุณใช้มันบ่อยขึ้นเท่าไหร่ คุณก็จะถูกสวรรค์ค่อยๆกลืนกินไป จนสุดท้ายก็สูญเสียเจตจำนงเดิมของคุณเอง”


จางเซวียนถึงกับผงะ


เขาไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน


แต่สิ่งหนึ่งที่รู้อยู่แก่ใจก็คือนับวันหอสมุดเทียบฟ้าก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แถมเขาก็มักจะพึ่งพามันไม่ได้ จนถึงขนาดที่การใช้งานมันเป็นเรื่องยากหากไม่มีเคล็ดวิชาเทียบฟ้าอยู่กับตัว


หรือว่านี่คือผลกระทบจากการถูกสวรรค์กลืนกิน?


“อำนาจสวรรค์เป็นดาบสองคมเสมอ เมื่อมีได้ก็ย่อมมีเสีย คุณฝึกฝนวรยุทธได้รวดเร็วเพราะเศษเสี้ยวของสวรรค์ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าไม่มีราคาที่ต้องจ่าย ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เทคนิควรยุทธที่คุณฝึกฝนจะต้องเป็นเทคนิคเทียบฟ้าเท่านั้น ใช่ไหม?” ปรมาจารย์ขงตั้งคำถามด้วยแววตาแข็งกร้าว


“คุณอยู่กับมันมาก็นานโข แต่รู้สึกบ้างหรือเปล่าว่ามีไอสีดำสนิทตกค้างในส่วนลึกของร่างกาย? ไม่ว่าคุณพยายามผลักดันมันแค่ไหน จะด้วยการใช้เปลวเพลิงสวรรค์หรือสายฟ้า ก็กำจัดมันให้หมดสิ้นไปไม่ได้”


คำพูดนี้ทำให้จางเซวียนอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า “ผมก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน…คุณกำลังพูดถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ในสภาวะครรภ์เป็นพิษแต่กำเนิดหรือเปล่า? จิตวิญญาณเศษเสี้ยวหนึ่งของคุณเคยบอกผมไว้เมื่อตอนอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์”


ตอนแรกเขาก็ออกจะกังวลใจ แต่ในเมื่อที่ผ่านมาไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เขาก็ตัดสินใจไม่แยแสมัน จนสุดท้ายก็ลืมสนิท


เมื่อปรมาจารย์ขงพูดขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงนึกขึ้นได้


เมื่อย้อนคิดดู เศษเสี้ยวจิตวิญญาณของปรมาจารย์ขงเคยเตือนเขาแล้ว เพียงแต่ตอนนั้นทั้งคู่ไม่มีเวลาคุยกันให้ละเอียด


ปรมาจารย์ขงพูดต่อด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ใช่ พิจารณาให้ถี่ถ้วนเถอะ คุณรู้สึกว่ามีบางอย่างแตกต่างจากครั้งสุดท้ายที่คุณเห็นมันหรือเปล่า?”


“แตกต่าง?” จางเซวียนเพ่งสมาธิเข้าสู่ร่างกายเพื่อตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน ครู่ต่อมาก็ตัวแข็ง


“ดูเหมือนมัน…จะขยายตัวใหญ่กว่าเดิมมาก! แถมไม่ใช่สีดำสนิทแล้ว ตอนนี้มันดูจะเป็นสีเทา!”


ก่อนหน้านี้ ไอสีดำสนิทที่อยู่ในร่างกายของเขามีความยาวประมาณ 1 นิ้วมือ เพราะมันเล็กเกินไป จางเซวียนจึงไม่ได้สังเกต ในตอนนั้นเขาเห็นมันเป็นสีดำ แต่เมื่อมันขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมราว 2 เท่า ก็คล้ายกับมีงูตัวจิ๋วขดอยู่ในร่างกายของเขา


“มันนั่นแหละ” ปรมาจารย์ขงพยักหน้า “ก่อนหน้านี้คุณรู้สึกถึงความผิดปกติบ้างหรือเปล่า?”


จางเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า


สิ่งนี้อยู่ในตัวเขามานานแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยเข้าใจว่าแท้ที่จริงมันคืออะไร จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ


มันไม่ได้กีดขวางการฝึกฝนวรยุทธหรือการไหลเวียนของกระแสพลังปราณ เขาจึงไม่คิดว่าจะมีอันตราย


“ลองใช้มลทินสวรรค์ของคุณสิ เพ่งสมาธิไปที่ไอสีเทานั่น” ปรมาจารย์ขงพูด


“ผมจะลองดู” จางเซวียนใช้ความคิดขณะหันไปทางค่ายกลที่ปรมาจารย์ขงเพิ่งติดตั้งไว้และเพ่งสมาธิ ‘ข้อบกพร่อง!’


ฟึ่บ!


หอสมุดเทียบฟ้ากระตุก หนังสือเล่มหนึ่งที่มีรายละเอียดของค่ายกลปรากฏขึ้น


จางเซวียนพลิกหนังสือดู และต้องยอมรับว่าประทับใจมาก


ความเข้าใจเรื่องค่ายกลของปรมาจารย์ขงถือว่าอยู่ในระดับน่าทึ่ง เขาติดตั้งค่ายกลที่ซับซ้อนไร้ที่ติขนาดนี้ได้อย่างง่ายดาย นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่จางเซวียนในเวลานี้ก็ทำไม่ได้


“ว่าอย่างไร? รู้สึกถึงความแตกต่างไหม?” ปรมาจารย์ขงตั้งคำถาม


จางเซวียนเพ่งสมาธิไปที่ไอสีเทานั้นครู่หนึ่ง เขาได้แต่ขมวดคิ้ว “ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนะ…ไม่ ไม่ใช่หรอก มันโตขึ้นนิดหน่อย แถมยังแข็งแกร่งกว่าเดิม…”


การเปลี่ยนแปลงมีน้อยมาก ถึงขนาดที่มองไม่เห็นด้วยสายตาของคนทั่วไป แต่จางเซวียนก็รับรู้ได้แม้ความแตกต่างที่เล็กน้อยที่สุดหลังจากใช้หอสมุดเทียบฟ้า


“ใช่ มันควรจะโตขึ้นนิดหน่อย” ปรมาจารย์ขงพยักหน้า “ทุกครั้งที่คุณใช้มลทินสวรรค์ ไอสีเทานั้นจะขยายตัวขึ้นเล็กน้อย”


จางเซวียนชะงักกับความพิลึกพิลั่นนี้ “แต่ทำไมก่อนหน้านี้ผมไม่เคยรู้สึกอะไรเลย?”


นักรบที่มีวรยุทธระดับเขาควรจะมีความรู้สึกไวต่อการเปลี่ยนแปลงใดๆก็ตามที่เกิดขึ้นในร่างกาย ภายใต้สถานการณ์ปกติ ไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นจะเล็กน้อยแค่ไหน เขาก็น่าจะรู้


ปรมาจารย์ขงตอบคำถาม “เทคนิคการต่อสู้และของล้ำค่าในทวีปแห่งปรมาจารย์ยังอ่อนด้อยไปสักหน่อย ต่อให้คุณใช้มลทินสวรรค์กับพวกมัน การเติบโตของไอสีเทานั้นก็ไม่มากมายอะไร แต่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปเมื่อคุณอยู่ในมิติเบื้องบน ขณะที่ศักยภาพของคุณเพิ่มสูงขึ้น ผลกระทบก็จะมากและรุนแรงขึ้นตามไปด้วย ที่จริงมันเกิดผลกระทบมานานแล้ว แต่จะเริ่มส่งผลเมื่อคุณสำเร็จวรยุทธเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์และสูงกว่านั้น”


ถ้าจะพูดกันตามหลักเหตุผล ก็เหมือนกับความแตกต่างระหว่างการเข็นเกวียนเปล่ากับเกวียนที่บรรจุข้าวของอยู่เต็ม แน่นอนว่าการเข็นเกวียนที่มีข้าวของเต็มยอมทำให้เหนื่อยเร็วกว่ากันมาก


ข้าวของต่างๆที่อยู่ในมิติเบื้องบนล้วนแต่มีระดับขั้นสูงกว่าในทวีปแห่งปรมาจารย์ หอสมุดเทียบฟ้าจึงต้องทำงานหนักกว่าเดิม ส่งผลให้ไอสีเทานั้นขยายใหญ่ขึ้นจนเห็นชัด


“ไอสีเทานี้เป็นอันตรายถึงชีวิตหรือเปล่า?” จางเซวียนตัวสั่นเล็กน้อยขณะตั้งคำถาม


“คงจะดีถ้ามันแค่อันตรายถึงชีวิต” ปรมาจารย์ขงตอบพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ “ที่น่าสะพรึงกว่านั้นก็คือไอสีเทาจะเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่มีอะไรทำให้มันลดน้อยลงได้ เมื่อเวลาผ่านไป มันจะกลืนกินคุณให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสรวงสวรรค์ ทำให้คุณสูญเสียสติสัมปชัญญะ!”


จางเซวียนตัวแข็ง


ความรู้สึกส่วนลึกบอกเขาว่าสิ่งที่ปรมาจารย์ขงพูดน่าจะเป็นเรื่องจริง


ที่ผ่านมา เขาพยายามใช้หลากหลายวิธีเพื่อกำจัดไอสีเทานั้น แต่ไม่ได้ผล มันจึงน่าจะสะสมกันในร่างกายของเขาและหลอมรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของหอสมุดเทียบฟ้า สุดท้ายเขาก็จะกลายเป็นคนไร้ความรู้สึกและสติสัมปชัญญะ


ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น จะต่างอะไรกับความตาย?


“หรือว่าคุณก็…”


ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมองของจางเซวียน เขาหันขวับมามองปรมาจารย์ขงอีกครั้ง


ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็มีเศษเสี้ยวของสวรรค์อยู่ในตัวเช่นกัน ทำให้มีความสามารถในการรับรู้ลิขิตสวรรค์ และเท่าที่เขาได้ฟังจากเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของอีกฝ่ายในทวีปแห่งปรมาจารย์ ก็ดูเหมือนว่าปรมาจารย์ขงเองก็ถูกไอสีเทานี้รบกวน


“ใช่ ผมเองก็ตกที่นั่งลำบากเหมือนคุณ ผมไม่สามารถกำจัดไอสีเทาออกจากตัวได้ และแทบเสียสติไปเพราะมัน แต่โชคดีที่ผมรู้ตัวก่อนจะสายและแก้ปัญหาได้สำเร็จ” ปรมาจารย์ขงตอบ


“คุณแก้ปัญหาได้?” จางเซวียนตาโตด้วยความประหลาดใจ เขารีบประสานมือ “ผมขอวิงวอนให้คุณถ่ายทอดวิธีการแก้ปัญหานี้ให้ผมด้วย ผมจะรู้สึกสำนึกในบุญคุณอย่างมาก”


จางเซวียนชื่นชมความสามารถของหอสมุดเทียบฟ้า มันช่วยเขาไว้หลายครั้งหลายหนและทำให้เขาพัฒนาตัวเองได้เหนือชั้นกว่าใครๆ แต่ทุกอย่างคงไร้ความหมายหากสุดท้ายเขาต้องสูญเสียสติสัมปชัญญะ ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ต้องรักษาตัวให้รอดพ้นจากไอสีเทานี้ให้ได้!


ตอนที่ 2118 คุณรู้แล้วหรือ?

คงจะดีที่สุดถ้าเขาจะหลีกเลี่ยงการใช้หอสมุดเทียบฟ้าไปสักระยะหนึ่งก่อน


“วิธีแก้ไขนั้นง่ายนิดเดียว” ปรมาจารย์ขงจ้องหน้าจางเซวียนขณะพูดต่อ “คำถามคือคุณเต็มใจจะเสียสละหรือเปล่า”


“แล้วผมต้องเสียสละอะไร?” จางเซวียนย้อนถาม


“เหตุผลที่ไอสีเทาสะสมอยู่ในตัวคุณก็เพราะการแบกรับพละกำลังของสวรรค์ไว้นั้นเป็นสิ่งที่ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ” ปรมาจารย์ขงอธิบาย


“ขอแค่คุณยินยอมตัดการเชื่อมโยงระหว่างตัวคุณกับหอสมุดเทียบฟ้า คุณก็จะไม่ต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากการถูกสวรรค์กลืนกินอีกต่อไป”


“ตัดการเชื่อมโยงกับหอสมุดเทียบฟ้า?”


“ใช่ หอสมุดเทียบฟ้าไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ควบคุมได้ด้วยพละกำลังของตัวเอง ถ้าคุณยังเก็บมันไว้กับตัว ไม่ช้าไม่นานคุณก็จะกลายเป็นหุ่นเชิดของสวรรค์” ปรมาจารย์ขงพูด “คุณบอกว่าความสามารถที่คุณได้รับคือมลทินสวรรค์ แต่ทำไมเทคนิควรยุทธที่คุณฝึกฝนถึงปราศจากมลทิน ไร้ข้อบกพร่องล่ะ? นั่นไม่ใช่ช่องโหว่ในตัวมันหรือ?”


คำพูดเหล่านั้นทำให้จางเซวียนตัวแข็ง


ความขัดแย้งข้อนี้ติดค้างอยู่ในใจของเขามาสักพักหนึ่งแล้ว


ถ้าแม้แต่สวรรค์ยังมีข้อบกพร่อง แล้วทำไมเคล็ดวิชาเทียบฟ้าถึงปราศจากข้อบกพร่องได้?


ไม่ล่ะ ไม่ใช่แบบนั้นแน่ ตอนนี้มันอาจดูเหมือนไร้ข้อบกพร่องสำหรับเรา แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะยังคงเป็นแบบนั้นในโลกอื่นๆ จางเซวียนคิด


วรยุทธของเขาเคยถูกธาตุไฟเข้าแทรกหนหนึ่งแล้วเพราะเรื่องนี้ ซึ่งก็เป็นจี้ของหลัวลั่วชิงที่ช่วยชีวิตเขาไว้


‘ความสมบูรณ์แบบ’ คือแนวคิดที่ใช้ได้ในบริบทที่มีขีดจำกัด หากเป็นโลกคนละใบ ก็ย่อมมีกฎเกณฑ์ของธรรมชาติที่แตกต่างออกไป จึงเป็นธรรมดาที่ข้อบกพร่องซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนอาจเผยตัวออกมาให้เห็น


ดังนั้นเคล็ดวิชาเทียบฟ้าจึงไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นเทคนิควรยุทธที่สมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ อย่างมากที่สุดก็เรียกว่าเป็นเทคนิคที่สอดคล้องกับสวรรค์มากที่สุดในโลกที่เขาพำนักอยู่


จางเซวียนไม่ได้พูดออกมาดังๆ แต่เลือกที่จะตั้งคำถาม “ปรมาจารย์ขง นี่หมายความว่าคุณตัดขาดจากลิขิตสวรรค์แล้วอย่างนั้นหรือ?”


“ใช่ ผมตัดลิขิตสวรรค์ออกจากร่างกายของผมแล้ว ก็เหมือนที่ผมปฏิเสธสถานภาพปรมาจารย์ฟ้าประทานในครั้งนั้นนั่นแหละ การจะได้บางอย่างมาก็ต้องยอมเสียบางอย่างไป มีแต่การเสาะแสวงหาหนทางของตัวเองเท่านั้นที่จะทำให้คุณก้าวหน้ากว่าเดิม” ปรมาจารย์ขงพูดขณะเหม่อมองไปแสนไกลด้วยแววตาล้ำลึก


จากนั้นเขาก็หันมามองจางเซวียนและยิ้มให้ “ผมเชื่อว่าคุณคงคิดออกแล้วว่าควรทำอย่างไร”


จางเซวียนครุ่นคิดหนัก


ในครั้งนั้น ถ้าเขาไม่ปฏิเสธสถานภาพปรมาจารย์ฟ้าประทาน ก็จะไม่มีวันยกระดับวรยุทธขึ้นเป็นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จ และแน่นอนว่าคงไม่อาจมาถึงจุดที่ยืนอยู่ในเวลานี้


จางเซวียนยังคงแคลงใจเรื่องแนวคิดของการละทิ้งหอสมุดเทียบฟ้า แต่สิ่งที่ปรมาจารย์ขงพูดก็มีความจริงอยู่


หรือว่านี่คือเส้นทางที่เขาต้องก้าวเดินไปเพื่อให้หลุดพ้นจากการตีกรอบของสวรรค์และพัฒนาตัวเองให้ก้าวหน้ากว่าเดิม?


ด้วยความสงสัยมากมายที่ยังค้างคาใจ จางเซวียนหันไปถามปรมาจารย์ขง “มลทินสวรรค์เกี่ยวพันกับผมในรูปแบบที่ซับซ้อน ผมจะตัดความเชื่อมโยงกับมันได้อย่างไร?”


หอสมุดเทียบฟ้าเชื่อมโยงกับจิตวิญญาณของเขา ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาใช้มันได้แม้จะอยู่ในรูปของจิตวิญญาณ


แม้เมื่อตอนที่เขาเฉือนจิตวิญญาณออกไปเพื่อสร้างตัวโคลน หอสมุดเทียบฟ้าก็ยังอยู่


ในเมื่อเป็นแบบนั้น จางเซวียนจึงนึกภาพไม่ออกว่าจะตัดการเชื่อมโยงกับหอสมุดเทียบฟ้าได้อย่างไร


“ผมไม่ได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่างหรอกหรือ?” ปรมาจารย์ขงหัวเราะหึๆ “ผมผ่านกระบวนการนั้นมาแล้ว คุ้นเคยกับมันดี ตอนนี้มันอาจฟังดูไม่น่าเชื่อสำหรับคุณ แต่แท้ที่จริงแล้ววิธีการนั้นง่ายมาก อันที่จริง คุณเองก็เพิ่งผ่านเหตุการณ์แบบนั้นมา”


“คุณหมายถึงพิธีกรรมของหัวหน้าหอเทพเจ้าหรือ?” จางเซวียนถามด้วยนัยน์ตาเบิกโพลง


“ใช่” ปรมาจารย์ขงพยักหน้า “ผมใช้วิธีการนั้นเพื่อตัดลิขิตสวรรค์ออกจากร่าง และผมเชื่อว่าหอเทพเจ้าทำแบบนั้นก็เพราะคิดว่าจะสามารถตัดคุณออกจากมลทินสวรรค์และเข้าแทนที่คุณได้”


“ถ้าอำนาจสวรรค์มีช่องโหว่ใหญ่โตขนาดนั้น ทำไมหัวหน้าหอเทพเจ้าถึงอยากได้มลทินสวรรค์ของผมล่ะ?” จางเซวียนออกจะงง


อย่างที่ปรมาจารย์ขงพูด ผู้ที่มีสวรรค์อยู่ในตัวจะถูกสวรรค์กลืนกินจนในท้ายที่สุดก็ทำให้สูญเสียสติสัมปชัญญะไป ผู้คนส่วนใหญ่ย่อมพยายามหลีกหนีจากเรื่องอันตรายแบบนั้น จึงดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ที่หัวหน้าหอเทพเจ้าจะยอมลงทุนมากมายเพื่อให้ได้ครอบครองมัน


“เรื่องที่เกิดขึ้นอยู่เสมอก็คือเรามักไม่ได้รับสิ่งที่ดูจะเหมาะสมที่สุดสำหรับเรา อีกอย่าง ทุกคนก็ล้วนมีความปรารถนาของตัวเอง อย่างคุณกับผม เป้าหมายของเราคือการขึ้นสู่สรวงสวรรค์และเฝ้าดูโลกจากมุมที่สูงกว่า ส่วนหัวหน้าหอเทพเจ้าก็หวังจะยึดครองอำนาจเหนือทวีปที่ถูกลืม ในเมื่อเป้าหมายของเราแตกต่างกัน ก็เป็นธรรมดาที่สิ่งที่เราอยากได้ย่อมแตกต่างกันออกไป” ปรมาจารย์ขงอธิบาย


“ผมเข้าใจ” จางเซวียนพยักหน้า


ขอบเขตความทะเยอทะยานของคนคนหนึ่งจะชี้ชะตาของเขา ผู้ที่มีความทะเยอทะยานสูงกว่าจะมุ่งมั่นไม่หยุดเพื่อก้าวไปสู่จุดที่สูงขึ้น ขณะผู้ที่มีความฝันเรียบง่ายจะจำกัดตัวเองให้อยู่กับสิ่งที่พวกเขามองเห็นและเอื้อมถึง


“แต่ตอนนี้แท่นบูชาอยู่กับหอเทพเจ้านี่? คงนำมันมาจากพวกเขาไม่ได้ง่ายๆหรอก” จางเซวียนพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว


ถ้ากรรมวิธีการตัดความเชื่อมโยงกับหอสมุดเทียบฟ้าเป็นแบบเดียวกับที่หัวหน้าหอเทพเจ้าใช้ เขาก็น่าจะต้องใช้แท่นบูชาของตำหนักคว้าดาว และน่าจะต้องการให้ตู้ชิงหย่วนมาช่วยประกอบพิธีกรรมด้วย


ในเมื่อตอนนี้ทั้งตู้ชิงหย่วนและแท่นบูชาอยู่ในกำมือของหอเทพเจ้า ในระยะเวลาอันใกล้นี้พวกเขาคงไม่อาจประกอบพิธีกรรมได้แน่


“ไม่ต้องกังวลหรอก ดูสิว่าผมมีอะไร”


ปรมาจารย์ขงหัวเราะหึๆและสะบัดข้อมือ


ฟึ่บ!


แท่นบูชาอันหนึ่งปรากฏขึ้น


“คุณนำแท่นบูชาออกมาจากหอเทพเจ้าหรือ?” จางเซวียนแทบไม่เชื่อสายตา


ขณะที่รับมือกับการโจมตีของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ทั้ง 8 เพื่อช่วยชีวิตเขา อีกฝ่ายยังสามารถนำแท่นบูชาออกมาได้ด้วย…ความเก่งกาจของเขาช่างน่าสะพรึงเสียจริง!


“แต่แค่มีแท่นบูชาก็ไม่น่าจะเพียงพอหรอก เท่าที่ผมรู้ พิธีกรรมนี้ซับซ้อนมาก จึงต้องใช้คนระดับหัวหน้าตู้”


“ในครั้งนั้นผมเรียนรู้พิธีกรรมด้วยตัวเอง และมั่นใจว่าจะประกอบพิธีกรรมได้ราบรื่นกว่าเธอเสียอีก” ปรมาจารย์ขงตอบอย่างมั่นใจ


“ถ้าอย่างนั้น…ผมก็คิดว่าคงไม่ต้องรีรออะไรแล้ว เราเริ่มกันเลยไหม?” จางเซวียนหัวเราะลั่นก่อนพยักหน้ารับ


“ได้สิ”


ปรมาจารย์ขงพยักหน้า เขาโบกมือ แล้วทรัพย์สมบัติกองหนึ่งก็ร่อนลงมาบนแท่นบูชา ปรมาจารย์ขงร่ายเวทมนตร์แปลกประหลาดบางอย่าง แล้วเปลวเพลิงสีน้ำเงินก็ลุกโชนบนแท่นบูชา


“คุณไปอยู่ตรงนั้นได้แล้ว” ปรมาจารย์ขงสั่งการ


จางเซวียนพยักหน้าขณะออกเดินไปยังแท่นบูชา แต่ครู่ต่อมาปรมาจารย์ขงก็ขัดขึ้น “เดี๋ยว ผมอยากให้คุณมอบจี้ที่คุณสวมอยู่ให้ผมก่อน”


“จี้ของผม?” จางเซวียนหยุดกึกและมองหน้าปรมาจารย์ขง


“ผมเห็นมันตั้งแต่ตอนพิธีกรรมเมื่อครู่แล้ว มีบางอย่างอยู่ในจี้ที่คุณสวมอยู่ มันพันธนาการหอสมุดเทียบฟ้าไว้กับคุณ ทำให้คุณไม่อาจตัดการเชื่อมโยงกับมันได้ ผมเกรงว่าจี้อันนี้อาจขัดขวางพิธีกรรม ไม่ต้องห่วง ผมจะเก็บมันไว้ให้คุณก่อน เมื่อเสร็จพิธีแล้วก็จะคืนให้” ปรมาจารย์ขงอธิบาย


จางเซวียนออกจะลังเล แต่สุดท้ายก็ปลดจี้ออกจากลำคอและมอบให้อีกฝ่าย


ปรมาจารย์ขงรับจี้ไปจากจางเซวียน เขาเหยียดริมฝีปากยิ้มขณะเก็บมันไว้ในแหวนเก็บสมบัติ


จากนั้นก็เร่งจางเซวียนให้รีบเดินไปยังแท่นบูชา


จางเซวียนก้าวออกไป แต่แล้วก็หันกลับมาถามอย่างไม่สบายใจ “ผมจะเป็นอะไรไหมหลังจากนำหอสมุดเทียบฟ้าออกไปจากตัวแล้ว?”


เขารู้ว่าหอสมุดเทียบฟ้าได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวเขา แม้ปรมาจารย์ขงจะรับประกันว่าทุกอย่างจะราบรื่น แต่ก็ยังอดกังวลไม่ได้


“ผมยืนอยู่ตรงหน้าคุณ อยู่ตรงนี้แล้ว คุณน่าจะตอบคำถามเองได้ ผมเข้าใจว่าคุณกังวล แต่คุณจะไม่เป็นอะไรหรอก” ปรมาจารย์ขงตอบ


ได้ยินคำนั้น ในที่สุดจางเซวียนก็กระโจนขึ้นไปอยู่เหนือเปลวเพลิงสีน้ำเงิน


“เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด ผมจะต้องสกัดกั้นคุณให้อยู่กับที่สักระยะหนึ่ง มันจะช่วยป้องกันแรงตีกลับจากสวรรค์” ปรมาจารย์ขงพูดขณะยกมือขึ้น


บึ้มมมมม!


ทันทีที่ปรมาจารย์ขงพูดจบ พละกำลังมหาศาลก็แผ่ลงมาจากสวรรค์ โซ่ที่มีลักษณะเหมือนกับโซ่ที่หอเทพเจ้าใช้ตรงเข้าพันธนาการร่างของจางเซวียนไว้อย่างแน่นหนา ก่อนที่เขาจะทันได้ทำอะไร ร่างของเขาก็ถูกมัดติดไว้กับแท่นบูชา


จางเซวียนขมวดคิ้วเพราะไม่ทันระวังตัวกับการเคลื่อนไหวอันปุบปับนั้น


“ผมจะเริ่มพิธีละนะ”


ปรมาจารย์ขงสะบัดมืออีกครั้งพร้อมกับคลี่ยิ้ม แล้วแท่นบูชาอีกอันก็ปรากฏใต้ฝ่าเท้าของเขา เปลวเพลิงสีน้ำเงินลุกโชนจากแท่นบูชานั้น กลืนกินร่างของปรมาจารย์ขงไว้ทั้งตัว


“ไม่สิ แบบนี้ไม่ใช่แล้ว…คุณกำลังจะนำหอสมุดเทียบฟ้าของผมไปและถ่ายทอดมันเข้าสู่ร่างของคุณเอง!” จางเซวียนร้องออกมา


หลังจากได้เห็นสิ่งที่ปรมาจารย์ขงทำ เขาจะยังคงไม่รู้ไม่เห็นวัตถุประสงค์ของอีกฝ่ายได้อย่างไร?


“คุณรู้แล้วหรือ? เอาเถอะ แต่มันก็สายไปแล้ว!” ปรมาจารย์ขงหัวเราะลั่นก่อนจะร่ายมนต์อีกครั้ง


เปลวเพลิงบนแท่นบูชาทั้งสองอันเข้มข้นขึ้นอย่างรวดเร็ว มันส่องแสงเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ


“เพื่ออะไรกัน? คุณพูดเองไม่ใช่หรือว่าสวรรค์จะกลืนกินและเปลี่ยนผู้นั้นให้กลายเป็นหุ่นเชิด?”


จางเซวียนกระเสือกกระสนดิ้นรน แต่พบว่าตัวเขาถูกพันธนาการไว้กับแท่นบูชาอย่างแน่นหนา ไม่มีทางหลบหนีได้เลย


“ตอนที่ผมพูดแบบนั้น ผมก็ไม่ได้โกหกนะ แต่ถ้าไม่มีหินรองฝ่าเท้า แล้วผมจะก้าวไปสู่จุดที่สูงกว่าเดิมได้อย่างไร? คุณคิดหรือว่ามันเป็นไปได้จริงๆที่คนธรรมดาคนหนึ่งจะกลายเป็นเทพเจ้าได้เพียงเพราะความเก่งกาจของเขา? คุณไร้เดียงสาขนาดไหนถึงเชื่อว่านักรบคนหนึ่งจะฉีกกระชากประตูสู่สรวงสวรรค์ได้ง่ายดายขนาดนั้น?” ปรมาจารย์ขงคำรามเยาะ


“คุณกำลังหลอกตัวเอง!”


“ผมพลาดมาแล้วครั้งหนึ่ง และจะไม่ทำพลาดแบบเดิมเป็นครั้งที่สอง ในตอนนั้น ผมทิ้งเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งของผมไว้ที่พระราชวังชิวอู๋เพื่อจับตัวคุณ ตอนนั้นคุณยังอ่อนแอ และผมก็ควรจะทำสำเร็จได้อย่างง่ายดาย แต่แม่ผู้หญิงจุ้นจ้านคนนั้นที่อยู่ข้างคุณเข้ามาขัดขวางแผนการของผม…”


“พระราชวังชิวอู๋?” จางเซวียนถึงกับจังงัง


ความทรงจำค่อยๆทยอยเข้ามาในหัวสมอง


ในครั้งนั้น ด้วยลูกบอลคริสตัลที่ควบคุมพระราชวังชิวอู๋ เขาได้พบเจตจำนงที่ปรมาจารย์ขงทิ้งไว้ อีกฝ่ายกำลังจะเตือนเขาตอนที่เขายกมือขึ้น แต่ก่อนที่จะทันได้เกิดอะไร…หลัวลั่วชิงก็เรียกหา ทำให้เขาต้องกลับสู่โลกของความเป็นจริง


ตอนที่ 2119 คุณไม่ใช่ปรมาจารย์ขง!

ตอนนั้นจางเซวียนนึกสงสัยว่าหลัวลั่วชิงจงใจทำแบบนั้นเพื่อกีดกันไม่ให้เขาได้รู้ว่าปรมาจารย์ขงจะพูดอะไร แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะไว้วางใจเธอ จึงไม่ได้คิดมาก


แต่เท่าที่ได้ฟังตอนนี้ กลับกลายเป็นว่าหลัวลั่วชิงพยายามช่วยชีวิตเขา!


ถ้าไม่ใช่เพราะหลัวลั่วชิงฉุดเขาออกมา จางเซวียนคงถูกริบหอสมุดเทียบฟ้าออกไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ซึ่งถ้าเกิดเรื่องอย่างนั้นขึ้นจริง ก็ถือว่าเขาจบเห่


ตอนนั้นวรยุทธของเขายังอ่อนด้อย พิธีกรรมระดับนี้คงทำให้จิตวิญญาณของเขาสูญสลายไปด้วย


จางเซวียนเกิดความคิดมากมาย เขารีบตั้งคำถาม “นี่หมายความว่าการที่เทพเจ้าซึ่งมีวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 4 ลงมาที่อาณาจักรคุนฉื่อในตอนนั้นก็เป็นฝีมือคุณหรือ?”


ในครั้งนั้น ตอนที่เทพเจ้าซึ่งมีวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 4 ลงมาจากมิติเบื้องบน อีกฝ่ายได้พูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับ ‘เจ้าสำนัก’


เมื่อได้รู้จัก 6 สํานักใหญ่ จางเซวียนเคยนึกสงสัยว่าตัวการอาจเป็นหนึ่งในพวกนั้น เพราะถึงอย่างไรการฝ่าปราการแห่งมิติก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ต่อให้มันอ่อนแรงลงไป แต่นักรบที่มีวรยุทธแค่นักปราชญ์โบราณขั้น 4 ก็ไม่น่าจะทำสำเร็จได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะเมื่ออีกฝั่งหนึ่งไม่ได้ประกอบพิธีกรรมเพื่อเรียกตัวเขา!


แต่หลังจากที่จางเซวียนตระเวนจากสำนักหนึ่งไปอีกสำนักหนึ่ง ก็พบว่าคนเหล่านั้นดูจะไม่ได้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ซึ่งนั่นทำให้เขายังคงกังขา แต่ถ้าตัวการคือหอนิรันดร์ล่ะก็ ทุกอย่างจะสมเหตุสมผลทันที!


ในฐานะผู้ที่มาจากทวีปแห่งปรมาจารย์ ปรมาจารย์ขงย่อมรู้จักเส้นทางที่จะนำไปสู่อาณาจักรคุนฉื่อดี


ซึ่งนั่นก็คือเหตุผลว่าทำไม ‘เทพเจ้า’ ถึงอยากได้สายเลือดของขงซือเหยา ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นสายเลือดปรมาจารย์ขงที่บริสุทธิ์ที่สุดในรอบหมื่นปี


ถ้า ‘เทพเจ้า’ ผู้นั้นทำสำเร็จ ความเก่งกาจปราดเปรื่องของเขาจะเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก และน่าจะได้รับการยกย่องอย่างสูงจากปรมาจารย์ขงด้วย


“คุณนี่ฉลาดไม่เบา ผมคือคนที่ส่งเขาไปอารักขาทางเข้านั้น” ปรมาจารย์ขงยอมรับ


“แต่อีกฟากหนึ่งของเส้นทางนั้นคือลูกศิษย์และเหล่าทายาทของคุณนะ ชีวิตและความตายของพวกเขาไม่มีความหมายกับคุณเลยหรือไง?” จางเซวียนแทบไม่เชื่อหู


ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาได้ชื่อว่ายอมสละแม้ร่างของลูกศิษย์ของตัวเองเพื่อป้องกันไม่ให้พลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทรั่วไหลเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์และสร้างความพินาศครั้งใหญ่ ไม่เพียงเท่านั้น เขายังมอบหมายให้ร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ปกป้องดูแลอาณาจักรคุนฉื่อด้วย…


เขาทำแบบนั้นก็เพื่อให้มวลมนุษยชาติก้าวหน้า…


แล้วทำไมถึงทำได้ขนาดส่งคนลงไปเพื่อสังหารขงซือเหยา?


จางเซวียนพอเข้าใจว่าทำไมปรมาจารย์ขงถึงอยากพบตัวเขา เพราะถึงอย่างไรหอสมุดเทียบฟ้าก็เป็นทรัพย์สมบัติที่ประเมินค่ามิได้ ถ้าอีกฝ่ายได้มันไปพร้อมกับลิขิตสวรรค์ ก็คงไม่มีอะไรให้ต้องหวาดกลัวอีก


สิ่งนี้คงทำให้ปรมาจารย์ขงอยากผลักดันตัวเองให้เข้าสู่ระดับที่สูงขึ้น บางทีเขาอาจทำได้แม้กระทั่งฝ่าปราการแห่งมิติและขึ้นสู่สรวงสวรรค์…


คงจะเป็นการคาดหวังมากไปหากจะคิดว่าปรมาจารย์ขงควรจะเป็นบุคคลที่ไร้ความเห็นแก่ตัวอย่างสิ้นเชิง


แต่มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่เขาจะทอดทิ้งเหล่าทายาทและศิษย์สายตรงให้ตกที่นั่งลำบาก


ในฐานะครูบาอาจารย์ของโลกผู้ขึ้นชื่อเรื่องความเมตตากรุณาในทวีปแห่งปรมาจารย์ เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายที่เขาจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้เพียงเพราะได้เข้าสู่มิติเบื้องบน เหมือนเป็นคนละคนเลยทีเดียว!


เมื่อความคิดนี้แวบเข้ามา จางเซวียนหรี่ตา


“คุณ…คุณไม่ใช่ปรมาจารย์ขง!”


“บังอาจ! กล้าดีอย่างไรถึงพูดว่าผมไม่ใช่ปรมาจารย์ขง!”


ปรมาจารย์ขงโยนบุคลิกนุ่มนวลอ่อนโยนออกไป เขาจ้องหน้าจางเซวียนอย่างโกรธเกรี้ยว “ทำไมผมถึงจะไม่ใช่เขา? คุณไม่บอกผมสักหน่อยล่ะว่าอะไรที่ทำให้ผมแตกต่างจากปรมาจารย์ขง?”


“ปรมาจารย์ขงคือผู้โอบกอดทั้งโลกไว้ด้วยความเมตตากรุณา เขาจะไม่มีวันทำในสิ่งที่คุณทำลงไปอย่างแน่นอน” จางเซวียนส่ายหน้าขณะให้คำตอบ


เขาไม่เคยพบปรมาจารย์ขงตัวเป็นๆมาก่อน แต่การกระทำและความเชื่อของอีกฝ่ายยังยืนยงอยู่ทั่วโลก ทำให้ทุกคนคาดเดาได้ว่าหากยังมีชีวิตอยู่ เขาจะเป็นคนอย่างไร


การปลอมตัวและเลียนแบบนิสัยของใครคนหนึ่งอาจเป็นไปได้ แต่ไม่มีทางที่จะปลอมตัวอยู่ได้เนิ่นนานหลายปี โดยเฉพาะเมื่อผู้นั้นก้าวขึ้นสู่จุดสุดยอดของโลกแล้ว


“โอบกอดทั้งโลกไว้ด้วยความเมตตากรุณา? ฮ่าฮ่าฮ่า ตลกสิ้นดี! ต่อให้ผมฆ่าคุณตรงนี้และเดี๋ยวนี้ โลกทั้งโลกก็ยังคิดว่าผมคือผู้มีเมตตากรุณาอยู่ดี!” ปรมาจารย์ขงคำราม


เขาร่ายมนต์ต่อไป ส่งผลให้เปลวเพลิงบนแท่นบูชาลุกโพลงอย่างโกรธเกรี้ยว จางเซวียนกำลังจะถูกเปลวเพลิงลามเลียทั้งตัว


แต่แทนที่จะตื่นตระหนก จางเซวียนกลับนิ่งงันและสุขุม เขาถอนหายใจด้วยนัยน์ตาที่มีแววสมเพช “ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมคิดว่าคุณคือผู้ที่ควรค่าแก่การเคารพ แต่ผมคงคิดผิด…”


“ถึงอย่างไร หอสมุดที่คุณมีก็จะตกเป็นของผมเร็วๆนี้ ทันทีที่คุณสูญเสียการเชื่อมโยงกับสวรรค์ ก็จะต้องเผชิญกับแรงตีกลับของสวรรค์และถูกเล่นงานย่อยยับ เลือดเนื้อและกระดูกของคุณจะแหลกสลายเป็นธุลี…อยากพูดอะไรก็พูดไปเถอะ แต่ผลลัพธ์จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง!” ปรมาจารย์ขงคำรามเยาะ ไม่ใส่ใจสิ่งที่จางเซวียนพูด


จางเซวียนคือนักรบผู้ฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้า เป็นเพราะการปกป้องคุ้มกันของหอสมุดเทียบฟ้าที่ทำให้สรวงสวรรค์ไม่อาจทำอะไรกับการเบี่ยงเบนของธรรมชาติครั้งนี้ได้ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่จางเซวียนสูญเสียหอสมุดเทียบฟ้าของเขาไป ก็จะถูกระเบียบและกฎเกณฑ์ของโลกเล่นงานทันที


ไม่มีทางที่เขาจะเอาชีวิตรอด


“อย่างนั้นหรือ?” เสียงเรียบเฉยเสียงหนึ่งดังขึ้นกลางอากาศ


ปรมาจารย์ขงชะงัก เขามองเห็นว่าเสียงนั้นไม่ได้มาจากจางเซวียน แล้วใครกันที่กำลังพูดกับเขา?


เขาหันกลับไปด้วยความระแวง เห็นจางเซวียนอีกคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกล อีกฝ่ายมีสีหน้าผิดหวัง


ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้จางเซวียนจะไม่ได้ยำเกรงในตัวปรมาจารย์ขงมากเท่ากับคนอื่นๆในทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ปรมาจารย์ขงก็เป็นบุคคลที่เขาเคารพยกย่อง ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะกลายเป็นคนแบบนี้!


“คุณ…”


ปรมาจารย์ขงก็คิดไม่ถึงว่าจางเซวียนอีกคนจะปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน เขาได้แต่ตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ


“หอเทพเจ้าพยายามจับตัวผมมาตลอด แล้วผมจะไม่เตรียมตัวได้อย่างไรก่อนจะก้าวเข้าสู่กับดัก? คนที่คุณพยายามเค้นเอาหอสมุดเทียบฟ้าออกไปน่ะคือตัวโคลนของผม!” จางเซวียนตอบพร้อมกับส่ายหน้า


ก่อนจะเข้าสู่หอเทพเจ้า จางเซวียนสลับที่กับตัวโคลนของเขาและเข้าไปอยู่ในแหวนเก็บสมบัติเป็นการชั่วคราว


ก็เพราะเหตุนี้ที่ทำให้เขาไม่เป็นอันตรายแม้ตอนที่ปรมาจารย์ขงพาเขาข้ามสิ่งกีดขวางทะลุมิติ


เหตุผลที่จางเซวียนให้ตัวโคลนต่อปากต่อคำกับปรมาจารย์ขงก็เพื่อค้นหาคำตอบที่แท้จริงจากอีกฝ่าย เพียงแต่เขาเองก็นึกไม่ถึงว่าคำตอบที่ได้รับจะน่าผิดหวังขนาดนี้


“ไม่เลว ไม่เลวเลย ผมคงคาดหวังอะไรน้อยกว่านี้ไม่ได้จากผู้ที่ได้รับเลือกจากสวรรค์ แต่แน่ล่ะ มันไม่มีอะไรง่ายหรอก ไม่มีทางง่ายอย่างแน่นอน…” ปรมาจารย์ขงพึมพำด้วยสีหน้าคลุ้มคลั่ง “ถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คุณคิดหรือว่าผมจะปล่อยให้คุณออกจากที่นี่ไปอย่างปลอดภัย โดยเฉพาะเมื่อตอนนี้คุณปรากฏตัวต่อหน้าผมแล้ว?”


บึ้มมมมม!


ปรมาจารย์ขงก้าวออกมาจากเปลวเพลิง รังสีทรงพลังแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณนั้น ดูเหมือนมิติที่อยู่โดยรอบพร้อมจะพังทลายลงมาทับพวกเขาได้ทุกเมื่อ


ปรมาจารย์ขงเล่นงานนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้ถึง 8 คนเมื่ออยู่ที่หอเทพเจ้า ซึ่งนั่นหมายความว่าอย่างน้อยที่สุด อีกฝ่ายก็แข็งแกร่งกว่าจางเซวียนหลายเท่า


“คุณไม่ลองคิดกลับกันดูบ้างล่ะ? ผมจะมาอยู่ตรงหน้าคุณเพียงเพื่อวิ่งหนีหรือ?” จางเซวียนคำราม “ในเมื่อตอนนี้ทุกอย่างก็ชัดเจนแล้ว ทำไมถึงไม่ไขข้อข้องใจข้อสุดท้ายให้ผมหน่อย? หอเทพเจ้าตกอยู่ภายใต้การควบคุมของคุณแล้วใช่ไหม?”


นับตั้งแต่ฟู่เฉิงสื่อจนถึงภาพลวงตาของหัวหน้าหอเทพเจ้า ก็มีปรมาจารย์ขงเป็นเงามาตลอด


“ผมสังหารหัวหน้าและเหล่านักรบของหอเทพเจ้าหมดแล้ว พวกเขาเป็นแค่เหลือบริ้นที่สรวงสวรรค์ส่งลงมาเพื่อควบคุมมิติเบื้องบน จึงสมควรตายตกตามกันเสียให้หมด ผมจะสร้างโลกใบใหม่ขึ้นในมิติเบื้องบน จะนำพาโลกใบนี้ไปสู่ความยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน! หอเทพเจ้าและหอนิรันดร์ล้วนอยู่ใต้การควบคุมของผมแล้ว เพราะฉะนั้น ไม่ว่าคุณจะไปทางไหนก็ไม่มีวันหนีรอดจากเงื้อมมือของผมได้หรอก!” ปรมาจารย์ขงหัวเราะลั่น


หัวหน้าหอเทพเจ้าคนปัจจุบันก็คือเขา และผู้ลักพาตัวตู้ชิงหย่วนก็เป็นเขาเช่นกัน


เหตุผลหลักก็เพราะเขาต้องการฉกฉวยหอสมุดเทียบฟ้าของจางเซวียนมาเป็นของตัวเอง


“ผมไม่มีคำถามแล้วล่ะ” จางเซวียนพูด


จากนั้น เขาก็หันไปตะโกนใส่ตัวโคลนที่อยู่บนแท่นบูชา “คุณจะมัวรีรอหาอะไร ลงมาเร็วๆเข้า!”


“ได้…ได้”


ร่างของตัวโคลนแปรสภาพเป็นแผ่นบางราวกับเส้นก๋วยเตี๋ยว ทำให้หลุดรอดจากโซ่โลหะที่พันธนาการร่างของเขาไว้และมายืนอยู่ข้างจางเซวียน


ตัวโคลนขับเคลื่อนพลังปราณ ทำให้รังสีทรงพลังระเบิดออกมา ก็เหมือนปรมาจารย์ขง เขาเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์แล้ว


ฟึ่บ!


จากนั้น จางเซวียนก็นำเต่าหลังดำ ฉลามสามพี่น้อง มังกรอสรพิษ และอสูรตัวอื่นๆออกมาพร้อมกับอาวุธประดามีที่เขาครอบครอง


“แปะ! แปะ!”


“เยี่ยมจริงๆ คุณเตรียมไม้ตายไว้เยอะสินะ” ปรมาจารย์ขงพยักหน้าขณะปรบมือดังลั่น “แต่แค่นั้นน่ะไม่พอหรอก ผมคือผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นครูบาอาจารย์ของโลก!”


ขณะที่พูด เขาก็ก้าวออกมาก้าวหนึ่งและกดฝ่ามือลงไป ทั้งเต่าหลังดำ ฉลามสามพี่น้อง และอสูรตัวอื่นๆถูกตรึงไว้กับพื้นดิน ไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้


ทุกตัวเป็นอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ แต่ก็ยังอ่อนแอกว่าปรมาจารย์ขงมาก ถึงขนาดที่ไม่อาจต่อสู้กับอีกฝ่ายได้เลย


“พวกมันอาจไม่มีค่าในสายตาคุณ แต่ในสายตาผม คุณก็ไม่มีค่าเหมือนกัน!” ตัวโคลนหัวเราะลั่น


พลั่ก!


ตัวโคลนพุ่งออกไปและปล่อยหมัดเข้าใส่ปรมาจารย์ขง


ขณะที่ตัวโคลนปะทะกับปรมาจารย์ขง มิติที่อยู่โดยรอบก็แตกสลายทันทีเพราะแรงปะทะหนักหน่วงนั้น


แม้เมื่อตอนที่พวกเขามีวรยุทธระดับเดียวกัน จางเซวียนก็สู้ตัวโคลนไม่ได้อยู่แล้ว นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่ตัวโคลนของเขาเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ ในแง่พละกำลัง ตัวโคลนไม่ได้อ่อนด้อยกว่าปรมาจารย์ขงเลย


แถมร่างที่ไม่อาจถูกทำลายของตัวโคลนก็สร้างความปวดหัวอย่างหนักให้คู่ต่อสู้ ขนาดปรมาจารย์ขงมีพละกำลังมหาศาล ก็ยังจนปัญญาที่จะหาทางเล่นงานอีกฝ่าย


ตอนที่ 2120 มันเกิดอะไรขึ้น?

“ตัวโคลนอย่างคุณทรงพลังขนาดนี้ได้อย่างไร?” ปรมาจารย์ขงแทบไม่เชื่อสายตา


เขาจับตามองจางเซวียนอย่างใกล้ชิดตั้งแต่อีกฝ่ายเข้าสู่มิติเบื้องบน ซึ่งแม้ความพยายามหลากหลายวิธีเพื่อจับตัวจางเซวียนจะล้มเหลว แต่ก็พอประเมินคร่าวๆได้ว่าจางเซวียนมีพละกำลังแค่ไหน


แต่เขาไม่เคยรู้เลยว่าอีกฝ่ายมีตัวโคลน แถมนึกไม่ถึงด้วยว่าตัวโคลนจะทรงพลังขนาดนี้…


เขามีชีวิตอยู่หลายพันปีแล้ว เรียกได้ว่าเป็นนักรบขั้นสุดยอดของมิติเบื้องบน ทำให้เก่งกาจเหนือชั้นกว่าใครๆ ไม่อย่างนั้น คงไม่มีทางสังหารหมู่เหล่าผู้เชี่ยวชาญของหอเทพเจ้าและเข้าแทนที่คนเหล่านั้นได้…


แต่ตอนนี้เขาทำอะไรตัวโคลนที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้เลย


มันเกิดอะไรขึ้น?


“จับเขาไว้!”


จางเซวียนไม่แยแสความตกตะลึงของปรมาจารย์ขง เขาโบกมือและทำลายค่ายกลที่กักขังอสูรในบริเวณนั้นไว้ ทำให้พวกมันยืนขึ้นได้อีกครั้ง


ฟี่บ!


อสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ 8 ตัวกับของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อีกกว่า 12 ชิ้นผนึกกำลังกัน เกิดเป็นค่ายกลขนาดมหึมาที่ตรงเข้าเล่นงานจุดอ่อนของปรมาจารย์ขงอย่างไม่ลดละ


ปรมาจารย์ขงกำลังต่อสู้ติดพันกับตัวโคลน แล้วจะรับมือกับอสูรกลุ่มหนึ่งที่คอยจับตามองเขาจากด้านข้างและจ้องจะเล่นงานซ้ำทุกครั้งที่เขาเผยจุดอ่อนได้อย่างไร?


เพียงครู่เดียว เขาก็ถูกเล่นงานอย่างจังที่หน้าอก ทำให้ต้องถอยกรูดก่อนจะล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง


“ฆ่าเขา!”


ตัวโคลนพุ่งเข้าใส่และซ้ำไปอีกหมัดหนึ่ง


พละกำลังของการโจมตีครั้งนี้หนักหน่วงพอจะฉีกกระชากมิติให้แยกเป็น 2 ส่วนได้


“คุณมันชั่วร้าย! ถ้าไม่ใช่เพราะผมถูกเขากดข่มมาตลอดหลายพันปีและยังไม่ฟื้นตัวดีล่ะก็ คุณคิดว่าคนอย่างพวกคุณจะทำให้ผมบาดเจ็บได้หรือ? ฮึ่มมม! ไม่มีทางที่ผมจะถูกพวกคุณสังหารในบ้านของตัวเองหรอก!”


ฟึ่บ!


ปรมาจารย์ขงกระโจนพรวด จากนั้นก็ทะลุมิติข้ามสิ่งกีดขวางและหายไปจากจุดนั้นในชั่วพริบตา


“เร็วเข้า พวกเราต้องไปแล้ว!”


เมื่อปรมาจารย์ขงหายตัวไป จางเซวียนรู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขารีบเก็บของล้ำค่าเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ จากนั้นก็เก็บบรรดาอสูรที่อยู่ในกระสอบอสูร ก่อนที่ตัวเขาจะเข้าไปอยู่ในแหวนเก็บสมบัติ


ฟิ้วววว!


ตัวโคลนสวมแหวนเก็บสมบัติไว้ จากนั้นก็พุ่งออกไป


นั่นคือบริเวณที่เป็นจุดอ่อนที่สุดของค่ายกลอารักขาที่ถูกติดตั้งไว้ในหอนิรันดร์ ซึ่งจางเซวียนได้ส่งโทรจิตบอกตัวโคลนตั้งแต่เมื่อครู่ก่อน


บึ้มมมม!


แต่ยังไม่ทันที่ตัวโคลนจะสามารถฉีกกระชากค่ายกลและหลบหนีไป หอนิรันดร์ก็พลันระเบิด เกิดเปลวเพลิงที่มีอานุภาพทำลายล้างและคลื่นความสั่นสะเทือนอันทรงพลังกวาดไปโดยรอบ แทบจะฉีกทั้งโลกให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย


ตัวโคลนที่ยังไม่ทันได้ออกไปถูกรอยแยกของมิติที่ปรากฏโดยรอบเฉือนร่างเป็น 2 ท่อน


ฟึ่บ!


ร่างที่เหลืออยู่ครึ่งตัวทั้ง 2 ท่อนเชื่อมติดกันอย่างรวดเร็วก่อนจะรุดหน้าต่อไป


โชคดีที่ผู้ถูกเล่นงานคือตัวโคลน ถ้าเป็นจางเซวียนล่ะก็ การโจมตีนั้นคงคร่าชีวิตเขาไปนานแล้ว


หลังจากหลบหนีออกมาถึงจุดที่ปลอดภัย จางเซวียนออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ เขามองมิติโดยรอบที่พังทลายซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีหอนิรันดร์ตั้งอยู่ จากนั้นก็ขนลุกขนชันไปทั้งตัว


“ไอ้สารเลวนั่นติดตั้งค่ายกลทำลายล้างไว้มากมายในฐานที่มั่นของตัวเอง เขาโหดร้ายกว่าที่ผมคิดไว้มาก!”


ถ้าไม่ใช่เพราะปฏิกิริยาตอบโต้อันรวดเร็วของเขา ทุกคนคงตายไปพร้อมกับหอนิรันดร์


“เร็วเข้า รีบสำรวจให้ทั่ว ดูว่าเขาหายไปไหน เราจะปล่อยให้เขาหนีไปไม่ได้!” จางเซวียนสั่งการ


ตัวโคลนพยักหน้า จากนั้นก็รีบสำรวจโดยรอบ


การระเบิดของสำนักงานใหญ่ของหอนิรันดร์กวาดล้างโลกทั้งโลกจนเกือบสิ้นซาก ยากที่จะบอกได้ว่าจุดไหนเป็นที่โล่งอยู่แล้ว หรือเป็นเพราะทุกคนที่อยู่ในนั้นเสียชีวิตไปหมดเพราะแรงระเบิด


“เขาหนีไปแล้วจริงๆ…”


ตัวโคลนค้นหาจนทั่ว แต่ก็ไม่พบปรมาจารย์ขง


ถึงปรมาจารย์ขงจะทรงพลังแค่ไหน แต่ก็ทำได้แค่สู้กับตัวโคลนของจางเซวียนอย่างสมน้ำสมเนื้อ ถ้าต้องเผชิญหน้ากับอสูรและของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อีกมากมาย ก็มีความเป็นไปได้ว่าสุดท้ายเขาน่าจะพ่ายแพ้


ดังนั้น หลังจากระเบิดหอนิรันดร์แล้ว เขาก็หนีไปทันที


เรื่องนี้ทำให้จางเซวียนจนปัญญา


เขาพยายามใช้ดวงตาหยั่งรู้สำรวจโดยรอบ แต่ไม่พบร่องรอยของปรมาจารย์ขงเลย ดูเหมือนอีกฝ่ายจะหนีไปได้จริงๆ!


ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดถึงความเป็นไปได้หลายอย่าง แต่นึกไม่ถึงว่าปรมาจารย์ขงจะหลบหนี


นั่นคือครูบาอาจารย์ของโลก นักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปแห่งปรมาจารย์ เขาคือบุคคลที่ไม่มีใครกล้าแสดงความกระด้างกระเดื่องใส่ตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา…จางเซวียนคิดไม่ออกเลยว่าเกิดอะไรขึ้น อีกฝ่ายถึงกลายเป็นคนแบบนี้


อันที่จริง ถ้าเขาส่งข่าวนี้กลับไปยังทวีปแห่งปรมาจารย์ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าสภาปรมาจารย์กับร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์คงเห็นเขาเป็นศัตรูตัวฉกาจ โทษฐานที่ใส่ร้ายปรมาจารย์ขง!


“จี้ของคุณ…” ตัวโคลนมองหน้าจางเซวียน


ปรมาจารย์ขงหนีไปแล้ว และจี้ก็อยู่ในมือของเขา


“นั่นน่ะของปลอม หลังจากที่ผมพบว่าฟู่เฉิงสื่อสมรู้ร่วมคิดกับหอเทพเจ้า ผมก็เริ่มสงสัยว่าหอนิรันดร์อาจมีบางอย่างไม่ถูกต้อง ไม่อย่างนั้น ผมคงไม่สลับตัวกับคุณก่อนเข้าสู่หอเทพเจ้าหรอก” จางเซวียนตอบ


เขาไม่ได้พูดถึงสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกมาดังๆก็จริง แต่นั่นไม่อาจระงับความระแวงสงสัยได้ ในเมื่อเขาแคลงใจในเจตนาของปรมาจารย์ขงแล้ว ก็ทำไมจะต้องไว้วางใจมอบจี้ของหลัวลั่วชิงให้อยู่ในมือของอีกฝ่าย?


หลัวลั่วชิงกำชับเขาไว้ไม่ให้ถอดจี้ออก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งเขาก็ไม่โง่พอจะใช้มันเป็นเหยื่อล่อ


“คุณใช้จี้ปลอมหลอกหมอนั่นหรือ?” ตัวโคลนประหลาดใจ


แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้เรื่องนี้ จางเซวียนเก็บเป็นความลับมาตลอด


อันที่จริง จางเซวียนก็ไม่เคยเล่าเรื่องราวของหลัวลั่วชิงให้เขาฟังด้วย


“ผมเองก็สงสัย ผมคิดว่าเขาคงไม่รู้หรอกว่าจี้นั้นมาจากไหนและมีอานุภาพอย่างไร” จางเซวียนส่ายหน้า


จะว่าไป ทั้งหมดที่เขาทำก็คือใส่หยดเลือดของเขาลงไปในจี้ปลอม เขาคิดว่าปรมาจารย์ขงน่าจะรู้ แต่อีกฝ่ายกลับเชื่อคำพูดของเขา


เป็นไปได้ว่าลิขิตสวรรค์ที่ปรมาจารย์ขงครอบครองไม่ได้มีความสามารถแบบเดียวกับหอสมุดเทียบฟ้า เขาจึงแยกแยะของจริงของปลอมไม่ได้


ในตอนนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหัวของจางเซวียน


“นี่คุณยังไม่รู้อีกหรือไง?”


เจ้าของเสียงคือไอ้โหดซึ่งเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้สำเร็จตอนที่อยู่บนแท่นรูปวงกลม


“ไม่รู้อะไร?”จางเซวียนขมวดคิ้ว


“หมอนั่นน่ะ เขาไม่ใช่ปรมาจารย์ขงตัวจริง!” ไอ้โหดตอบ


ประโยคนั้นทำให้จางเซวียนขมวดคิ้ว


“รังสีของจิตวิญญาณของเขาเหมือนกันเป๊ะ และความเข้าใจในเทคนิคการต่อสู้ก็อยู่ในระดับเดียวกันกับเทคนิคเทียบฟ้า”


ในใจลึกๆ จางเซวียนก็ไม่อยากเชื่อว่าอีกฝ่ายจะเป็นครูบาอาจารย์ของโลก แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร ทั้งคู่ก็เป็นคนคนเดียวกัน!


การที่ใครสักคนจะลอกเลียนแบบรังสีจิตวิญญาณของปรมาจารย์ขงย่อมเป็นไปได้ แต่แน่นอนว่าไม่มีทางลอกเลียนความเข้าใจในเทคนิคการต่อสู้ จริงไหม?


ถ้าไม่ใช่เพราะการฝ่าด่านวรยุทธและการผนึกกำลังกันของอสูรกับของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อีกมากมาย ชัยชนะคงไม่อาจตกเป็นของพวกเขา


พูดอีกอย่างก็คือ อีกฝ่ายไม่ได้อ่อนด้อยกว่าเขาซึ่งเป็นนักรบที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้า!


ถ้าหมอนั่นไม่ใช่ปรมาจารย์ขงตัวจริง พูดกันตามตรง…จางเซวียนก็นึกไม่ออกว่าจะมีใครที่ทรงพลังได้ขนาดนี้


ยิ่งไปกว่านั้น เขายังไม่อาจใช้หอสมุดเทียบฟ้าตรวจสอบตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายด้วย ซึ่งนอกเสียจากผู้ที่ครอบครองลิขิตสวรรค์ จะมีใครกันที่สามารถปกปิดตัวเองจากหอสมุดเทียบฟ้าได้?


“ชั่วชีวิตของผม ผมรบรากับปรมาจารย์ขงมาแล้วหลายครั้ง รู้ดีว่าเขาเป็นคนแบบไหน ต่อให้คนที่คุณปะทะด้วยเมื่อครู่จะมีทุกอย่างเหมือนปรมาจารย์ขง แต่ผมก็แน่ใจว่าไม่ใช่เขา! ถ้าเขาคือปรมาจารย์ขงตัวจริงล่ะก็ ตัวโคลนกับเหล่าอสูรของคุณเอาชนะเขาไม่ได้ง่ายๆหรอก!” ไอ้โหดพูด


คำพูดนี้ทำให้จางเซวียนครุ่นคิดหนัก


“ในครั้งนั้น ผมแอบจับตัวศิษย์สายตรงคนหนึ่งของเขาไว้เพื่อล่อให้เขามาติดกับ เขาจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็ได้เพื่อตัวเองจะได้ไม่ต้องตกอยู่ในอันตราย แต่ปรมาจารย์ขงก็พุ่งเข้าใส่กับดักของผมโดยไม่ลังเล…ทั้งที่รู้ว่ามีความเป็นความตายรออยู่ เขาก็ยังเต็มใจที่จะเชิญหน้ากับมันอย่างกล้าหาญ เขาเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับผมมาทั้งชีวิต แต่ผมก็เคารพความเป็นตัวเขาด้วยใจจริง ไม่มีทางที่เขาจะทำอะไรอย่างที่ทำลงไปเมื่อครู่นี้หรอก!” ไอ้โหดพูด


“อีกอย่าง ถ้าสิ่งที่หมอนั่นพูดเป็นความจริง ไม่มีทางที่เขาจะพยายามฉกฉวยมลทินสวรรค์ของคุณไปหรอกในเมื่อเขามีลิขิตสวรรค์อยู่แล้ว การครอบครองเศษเสี้ยวสวรรค์ 2 รูปแบบพร้อมกันน่ะก็เท่ากับขุดหลุมฝังศพตัวเอง”


จางเซวียนพยักหน้า


แค่อันตรายจากเศษเสี้ยวหนึ่งของสวรรค์ก็เกินพอจะทำให้ใครสักคนย่ำแย่แล้ว ถ้าปรมาจารย์ขงรับเอามลทินสวรรค์ไปอีก ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ลงท้ายเขาจะถูกสวรรค์กลืนกิน


แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่ปรมาจารย์ขง แล้วจะเป็นใครได้?


“คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้เราควรช่วยชีวิตตู้ชิงหย่วนก่อน เธอน่าจะรู้เรื่องนี้ดีกว่าเรา…”


แท่นบูชาถูกปรมาจารย์ขงนำติดตัวไปด้วย จึงไม่มีเหตุผลที่เขาจะมัวอ้อยอิ่งที่นี่ จางเซวียนรีบหาทางออกจากมิติลี้ลับและออกจากบริเวณที่เรียกว่าสำนักงานใหญ่ของหอนิรันดร์ เขากลับสู่ทวีปที่ถูกลืม


เมื่อกลับถึงเส้นทางเดิมอีกครั้ง ก็พบว่าสภาพแวดล้อมโดยรอบดูคุ้นตาอย่างประหลาด เขากำลังลอยตัวอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร ห่างออกไปราว 200 ลี้ มีเสาหินสูงตระหง่านตั้งอยู่-โขดหินสมอสววรรค์!


ใครจะไปคิดว่าสำนักงานใหญ่ของหอนิรันดร์จะตั้งอยู่ใกล้กับโขดหินสมอสวรรค์ขนาดนี้ คงเป็นเพราะทั้ง 6 สำนักใหญ่ก็ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเป็นไปได้ จึงไม่เคยตรวจสอบบริเวณโดยรอบ


จางเซวียนรุดหน้าสู่โขดหินสมอสวรรค์แล้วปีนขึ้นไปถึงยอด เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ สะพานเบื้องบนหายไปแล้ว และหอเทพเจ้าก็หายไปท่ามกลางท้องฟ้ามืดมิด


“เจ้าสำนักจาง คุณเป็นอะไรไหม?”


เห็นจางเซวียนรอดชีวิตกลับมาได้ หานเจี้ยนชิว คุ่ยเฉี่ยว และคนอื่นๆชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่


ตอนที่สะพานเบื้องบนเริ่มถอนตัวกลับ ผู้อาวุโสหงอู่กับคนอื่นๆที่สำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์แล้วก็กลับถึงโขดหินสมอสวรรค์ แต่ไม่ว่าจะรอนานแค่ไหน จางเซวียนก็ไม่ปรากฏตัว พวกเขาคิดว่าชายหนุ่มน่าจะเผชิญกับอันตรายบางอย่างและเสียชีวิตไปแล้ว ใครจะไปรู้ว่าอยู่ดีๆอีกฝ่ายจะปรากฏตัวที่โขดหินสมอสวรรค์ แทนที่จะเป็นสะพาน?


“เรื่องมันยาวน่ะ แล้วไป่ซวนเฉิงกับกู้จุ้ยอวิ๋นอยู่ไหน?” จางเซวียนสำรวจโดยรอบก่อนจะตั้งคำถาม


ตอนที่ 2121 ไปตำหนักคว้าดาว!

เจ้าสำนักทั้งสองที่สมรู้ร่วมคิดกับหอนิรันดร์หายไปจากโขดหินสมอสวรรค์แล้ว


“พวกเขารีบจากไปหลังจากที่คุณขึ้นสู่สะพานเบื้องบนได้ไม่นาน ทั้งคู่ไม่ได้บอกว่าไปไหน พวกเราจึงไม่แน่ใจเหมือนกัน…” หานเจี้ยนชิวตอบ


“พวกนั้นจากไปหลังจากที่พวกเราขึ้นสู่สะพานเบื้องบนได้ไม่นาน?”


เท่าที่เห็น ดูเหมือนทั้งคู่จะรู้ได้ด้วยวิธีใดสักอย่างว่าเขาสังหารอัจฉริยะทั้งสองคนแล้ว จึงรีบหนีไปก่อน


ในเมื่อเวลาก็ล่วงเลยไปกว่า 20 ชั่วโมง การจะพบตัวทั้งคู่อีกครั้งคงเป็นไปไม่ได้


“พวกคุณรู้ไหมว่าเส้นทางเข้าสู่หอเทพเจ้ายังมีทางไหนอีกนอกจากสะพานเบื้องบน?” จางเซวียนถาม


คนอื่นๆส่ายหน้า


ถ้าพวกเขารู้ ก็คงไม่ต้องรอคอยถึง 100 ปีกว่าจะได้รับโอกาสแต่ละครั้ง


จะต้องมีเส้นทางอื่นที่นำไปสู่หอเทพเจ้านอกเหนือจากสะพานเบื้องบน จางเซวียนครุ่นคิด


การที่ปรมาจารย์ขงสามารถเข้าสู่หอเทพเจ้าและสังหารผู้คนในนั้นได้บ่งบอกว่าเขาจะต้องมีวิธีเข้าสู่หอเทพเจ้าโดยไม่ต้องผ่านสะพานเบื้องบน


ลำพังแค่ข้อเท็จจริงที่อีกฝ่ายปรากฏตัวเพื่อช่วยชีวิตเขาก่อนหน้านี้ก็ผิดปกติแล้ว เพราะสะพานเบื้องบนไม่อนุญาตให้นักรบที่มีวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์และอายุเกินกว่า 100 ปีเข้ามาที่นี่


แต่ไม่ว่าอย่างไร ในเมื่อสะพานเบื้องบนหายไปแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องคอยรักษาการณ์ที่นี่อีก จางเซวียนกับคนอื่นๆบินลงจากโขดหินสมอสววรรค์


ยังไม่ทันที่พวกเขาจะร่อนลงผิวทะเล หวู่เฉินก็ปรากฏตัว


เพื่อไม่เป็นการเปิดเผยวรยุทธที่แท้จริง หวู่เฉินจึงไม่ได้ปีนป่ายขึ้นสู่โขดหินสมอสวรรค์พร้อมกันกับคนอื่น เขายืนเฝ้าอยู่ข้างล่าง


เมื่อเห็นหวู่เฉิน จางเซวียนพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เขาตั้งคำถาม “หวู่เฉิน หัวหน้าตู้เคยพูดถึงเส้นทางอื่นที่นำไปสู่หอนิรันดร์นอกเหนือจากสะพานเบื้องบนบ้างหรือเปล่า?”


หานเจี้ยนชิวกับคนอื่นๆอาจไม่รู้จักเส้นทางที่พอเป็นไปได้ แต่ตู้ชิงหย่วนน่าจะรู้เงื่อนงำบางอย่าง


“เธอไม่เคยพูดถึงอะไรแบบนั้นเลย” หวู่เฉินส่ายหน้า


จางเซวียนได้แต่ถอนหายใจอย่างจนปัญญา ดูเหมือนเขาจะฝากความหวังไว้กับตู้ชิงหย่วนมากไป


ถ้าเธอรู้อะไรมากมายขนาดนั้น ตำหนักคว้าดาวคงยิ่งใหญ่เหนือชั้นกว่าอีก 5 สำนักที่เหลือ และในเวลาเดียวกัน ก็คงไม่อับจนปัญญาเมื่อถูกหอเทพเจ้าโจมตี


“ถ้าอย่างนั้น…นอกจากรองเท้าเลือนหาย คุณพอรู้วิธีที่จะข้ามสิ่งกีดขวางทะลุมิติไหม?” จางเซวียนหันไปถามหานเจี้ยนชิวกับคนอื่นๆ


เมื่อหวนนึกดู ปรมาจารย์ขงสวมรองเท้าเลือนหายตอนที่เดินทางออกจากหอเทพเจ้ากลับสู่สำนักงานใหญ่ของหอนิรันดร์ บางที กุญแจของการฝ่าปราการของเทพเจ้าและเข้าสู่หอเทพเจ้าอาจอยู่ตรงนี้


“ข้ามสิ่งกีดขวางทะลุมิติ?”


“ว่ากันว่ามีแต่เทพเจ้าเท่านั้นที่ทำได้”


หานเจี้ยนชิวกับคนอื่นๆให้คำตอบ


“มีแต่เทพเจ้าเท่านั้นที่ทำได้?” จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง


ถ้าการเข้าถึงความเป็นเทพเจ้าจากมิติเบื้องบนเป็นสิ่งที่ทำได้ ปรมาจารย์ขงคนนั้นก็คงทำสำเร็จไปนานแล้ว คงไม่ต้องวุ่นวายกับความพยายามฉกฉวยหอสมุดเทียบฟ้าของเขา


หลังจากผ่านสะพานเบื้องบน จางเซวียนได้รู้ว่าการเข้าถึงความเป็นเทพเจ้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเก่งกาจปราดเปรื่องเพียงอย่างเดียว มีความเป็นไปได้สูงว่าโลกใบนี้มีคุณสมบัติบางอย่างที่ยังอ่อนด้อย ทำให้นักรบไม่อาจฝ่าปราการด่านสุดท้ายได้สำเร็จ


เมื่อขาดคุณสมบัตินั้น วรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์จึงเป็นขีดจำกัดสูงสุดที่เป็นไปได้ ต่อให้ใครสักคนจะขวนขวายฝึกฝนวรยุทธแค่ไหน ก็ไม่มีทางก้าวข้ามมันไปได้เลย


ขณะที่จางเซวียนยังหาคำตอบไม่ได้ว่าจะกลับสู่หอเทพเจ้าและช่วยชีวิตตู้ชิงหย่วนได้อย่างไร เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นกลางอากาศ “อันที่จริง ผมคิดว่าผมพอรู้วิธีแก้ปัญหา…”


ผู้พูดไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหวู่เฉิน


จางเซวียนรีบหันไปมองอีกฝ่าย “บอกผมที”


หวู่เฉินตั้งต้นอธิบาย “ภายใต้สถานการณ์ปกติ การข้ามสิ่งกีดขวางทะลุมิตินั้นเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าคุณได้รับอำนาจพิเศษจากการประกอบพิธีกรรม ก็มีโอกาสทำสำเร็จ นั่นคือเหตุผลที่นายหญิงของผมสามารถก้าวข้ามปราการแห่งมิติถึง 2 แห่งได้พร้อมๆกัน”


คำตอบนั้นทำให้จางเซวียนตบหน้าผาก เขามองข้ามมันไปได้อย่างไรในเมื่อคำตอบก็อยู่ตรงหน้ามาตลอด?


ในการก้าวข้ามปราการแห่งมิติ จะมีอะไรที่ได้ผลชัดเจนไปกว่าการประกอบพิธีกรรมของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น?


ขนาดหลัวลั่วชิงก็ยังต้องใช้วิธีการนี้เพื่อทะลุผ่านปราการแห่งมิติของมิติเบื้องบนและทวีปแห่งปรมาจารย์ ในเมื่อเขาเองก็เคยใช้มันมาแล้ว ความยากก็น่าจะลดลง


หวู่เฉินครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะเสริม “แต่วิธีการนี้จะต้องใช้แท่นบูชาทั้ง 2 ฝั่ง”


กลไกของมันก็คือสร้างความเชื่อมโยงระหว่างสองแท่นบูชาเพื่อเคลื่อนย้ายบุคคลจากแท่นหนึ่งไปยังอีกแท่นหนึ่ง


เมื่อตอนที่จางเซวียนอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ ตอนที่เขารับมือกับฮ่องเต้ฉิงเทียนผู้สวมหน้ากากทองแดง ก็เคยใช้วิธีนี้ส่งคนจากแท่นบูชาอันหนึ่งไปยังอีกอันหนึ่งเหมือนกัน


“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็น่าจะทำได้…พวกเราน่าจะเข้าสู่หอเทพเจ้าได้แม้ไม่มีสะพานเบื้องบน!” จางเซวียนพูดอย่างตื่นเต้น


เขาไม่รู้ว่าปรมาจารย์ขงหลบหนีไปที่ไหน แต่หากคำนึงถึงความปลอดภัย ก็มีโอกาสสูงที่เขาจะกลับไปกบดานที่หอเทพเจ้า


ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น จางเซวียนก็จะสร้างเส้นทางที่นำตัวเขาทะลุมิติไปยังที่นั่นโดยตรง เพราะไม่ว่าอย่างไร ก็ถือว่าอันตรายมากหากจะปล่อยให้ปรมาจารย์ขงผู้นั้นมีชีวิตอยู่ ใครจะคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายจะเล่นงานเขาซ้ำเมื่อไหร่?


“ไปตำหนักคว้าดาว!” จางเซวียนสั่งการโดยไม่ลังเล


ไม่ช้าเขาก็ไปปรากฏตัวที่ตำหนักคว้าดาว ผู้อาวุโสเจียงเหยายืนอยู่ตรงหน้า


“นี่คือแท่นบูชาที่ฉันใช้ในการปลอมตัวเป็นหัวหน้าของเรา” ผู้อาวุโสเจียงเหยาพูดขณะนำแท่นบูชาออกมาพร้อมเครื่องบรรณาการอีกมากมายที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรม


เพราะเป็นบริวารคนสนิทของตู้ชิงหย่วน เธอจึงรู้รายละเอียดของการประกอบพิธีกรรมของเผ่าพันธุ์ จากโลกอื่นเป็นอย่างดี ไม่ช้าเครื่องบรรณาการก็มอดไหม้ รังสีพิเศษแผ่ซ่านออกมาจากแท่น


จางเซวียนรีบขึ้นไปบนแท่นบูชา รอคอยเวลาที่เขาจะถูกส่งทะลุมิติไปยังหอเทพเจ้า


แต่แม้เครื่องบรรณาการจะมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านแล้ว เขาก็ยังอยู่ที่เดิม


พิธีกรรมไม่ได้ผล


ผู้อาวุโสเจียงเหยารีบทดลองอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้ผลเช่นกัน


สุดท้ายเธอก็ส่ายหน้า “ดูเหมือนมีแต่ของล้ำค่าสำหรับการอารักขาของเราเท่านั้นที่ทำการทะลุมิติได้ แท่นบูชาอื่นอาจใช้ได้ผลกับการประกอบพิธีย่อย แต่หากเป็นพิธีกรรมสำคัญ ก็เกินขอบเขตความสามารถของมัน…”


แท่นบูชาที่ปรมาจารย์ขงนำติดตัวไปคือของล้ำค่าสำหรับการอารักขาตำหนักคว้าดาว แน่นอนว่ามันมีความสามารถพิเศษ


ในเมื่อเป้าหมายของพวกเขาคือการส่งนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์คนหนึ่งทะลุมิติผ่านปราการที่สร้างขึ้นโดยเทพเจ้า ก็จะต้องใช้แท่นบูชาที่มีประสิทธิภาพเหนือชั้นกว่าธรรมดา


“แบบนี้ไม่ได้การ เป็นไปได้ว่าตอนนี้แท่นบูชาคงอยู่ในหอเทพเจ้าแล้ว” จางเซวียนไหล่งุ้มด้วยความผิดหวัง


ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็แปลว่าแผนการของพวกเขาที่จะบุกหอเทพเจ้าโดยผ่านการประกอบพิธีกรรมนั้นล้มเหลว


“นายน้อย ผมรู้ว่าเราจะหาแท่นบูชาที่ใช้ประกอบพิธีกรรมได้ที่ไหน ถ้าเรากลับสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์และนำแท่นบูชาที่เผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณใช้กลับมา ผมเชื่อว่าเราน่าจะประกอบพิธีกรรมได้” หวู่เฉินพูดแทรก


“คุณหมายถึงแท่นบูชาที่คุณใช้เรียกหัวหน้าตู้ในครั้งนั้นหรือ?” จางเซวียนชะงัก


ในเมื่อแท่นบูชาอันนั้นสามารถนำตัวหลัวลั่วชิงออกจากมิติเบื้องบนมาสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ได้ ต่อให้มันมีประสิทธิภาพไม่เท่ากับของล้ำค่าที่ทำหน้าที่อารักขาตำหนักคว้าดาว แต่ก็คงไม่ธรรมดา


ถ้าเขาสามารถนำมันกลับมายังมิติเบื้องบนเพื่อใช้ประกอบพิธีกรรม ก็น่าจะส่งตัวเขาทะลุมิติเข้าสู่หอเทพเจ้าได้


เพียงแต่…


แท่นบูชาอันนั้นยังอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ เขาจะนำมันมาได้อย่างไร?


ในครั้งนั้น หลัวลั่วชิงลงสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ได้โดยผ่านพิธีกรรมที่มีขึ้นเพื่อเรียกตัวเธอ แต่แม้จะเป็นเทพเจ้า วรยุทธของเธอก็ยังตกฮวบไปเป็นนักรบระดับเซียนเมื่อมาถึงทวีปแห่งปรมาจารย์…ในเมื่อตอนนี้ตัวเขาเป็นแค่นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ ต่อให้เขารู้ว่าสามารถใช้แท่นบูชานั้นได้ ก็คงไม่อาจลงสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ได้อยู่ดี


“ก็ถูก แต่อันที่จริง…การกลับสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ไม่ได้ลำบากยากเย็นแบบนั้นแล้ว” หวู่เฉินพูด


จางเซวียนจ้องหน้าหวู่เฉินทันที


“ตอนที่นายหญิงลงสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์เป็นครั้งแรก เส้นทางระหว่างมิติเบื้องบนกับทวีปแห่งปรมาจารย์ยังถูกปิดกั้นอยู่ ไม่มีเส้นทางให้เธอเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ได้ เธอจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องฝ่าปราการแห่งมิติลงไป”


“แต่หลังจากการปรากฏของวิหารแห่งขงจื๊อ ฉนวนแห่งมิติที่ปิดกั้นเส้นทางระหว่างโลกสองใบก็ถูกทำลาย อันที่จริง ตอนที่คุณเดินทางเข้าสู่มิติเบื้องบน เส้นทางนั้นถูกสร้างขึ้นใหม่แล้ว ขอแค่คุณกลับไปตามเส้นทางที่คุณใช้เดินทางมาที่นี่ การจะเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์อีกครั้งก็ไม่ยากเกินไป…”


จางเซวียนพยักหน้า


เมื่อลองคิดดู คำพูดของหวู่เฉินก็มีส่วนจริง


ทางเดินแห่งมิติที่เชื่อมโยงทวีปแห่งปรมาจารย์กับมิติเบื้องบนนั้นถูกสกัดกั้นไว้ด้วย 2 สิ่ง คือวิหารแห่งขงจื๊อและค่ายกลใหญ่ในอาณาจักรคุนฉื่อที่ทำจากศพของเหล่าศิษย์สายตรงของปรมาจารย์ขง


ภายใต้สถานการณ์ปกติ เส้นทางนั้นจะถูกปิดตายไว้อย่างแน่นหนา คงไม่เป็นการพูดเกินจริงหากจะบอกว่ามันไม่เคยมีอยู่


แต่เมื่อมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงปรากฏ ฉนวนของวิหารแห่งขงจื๊อก็ถูกเปิดออก ทำให้ฉนวนของอาณาจักรคุนฉื่ออ่อนแอลงไปโดยอัตโนมัติ ส่งผลให้ ‘เทพเจ้า’ สามารถใช้กำลังรุกรานอาณาจักรคุนฉื่อได้ และนั่นก็คือเหตุผลที่ทำให้จางเซวียนสามารถฝ่าปราการแห่งมิติเข้าสู่มิติเบื้องบนได้เช่นกัน


ขอแค่เขาพบเส้นทางนั้นอีกครั้ง การกลับสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ก็ย่อมเป็นไปได้


ร่างกายของเขาในเวลานี้มีความแข็งแกร่งไม่เบา คลื่นความสั่นสะเทือนของมิติที่อยู่ในเส้นทางดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบกับเขาอีกต่อไป


“แต่ว่า…การจะหาทางเข้าให้เจอก็ไม่ง่ายนะ” จางเซวียนพูด


แม้เขาจะพอรู้พิกัดโดยคร่าวๆ แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าปรมาจารย์ขงคนนั้นน่าจะซ่อนตัวอยู่ในมิติลี้ลับบางแห่ง ทำให้การหาตัวเขาเป็นเรื่องยากเย็นอย่างเหลือเชื่อ ต่อให้รู้ตำแหน่งที่ชัดเจนก็ตาม อีกอย่าง ลิขิตสวรรค์ที่ปรมาจารย์ขงครอบครองยังทำให้เขามีทักษะในการควบคุมมิติแบบที่ไม่มีใครเทียบชั้นได้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)