กระบี่จงมา 211.3-212.1

 บทที่ 211.3 สวรรค์ส่งให้มาเป็นคู่กัน

โดย

ProjectZyphon

ปีที่นางอายุสิบสี่ วันที่นางสังหารมังกรแดงได้สำเร็จ เด็กสาวเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็ค้นพบว่าสายตาที่อาจารย์มองตน เปลี่ยนไป


เมื่อเวลาล่วงเลยผ่าน แรกเริ่มเด็กสาวผู้บริสุทธิ์รู้เพียงว่านั่นคือสายตาที่ทำให้นางไม่สบายใจ ไม่ใช่ความเมตตาปราณีอย่างที่ผู้ใหญ่ใช้มองผู้น้อย แต่มันแฝงไว้ด้วยความหมายของบุรุษที่ใช้มองสตรี


แต่ตอนนั้นเจ้าลัทธิฉีเจินกำลังปิดด่าน คนทั่วทั้งสำนักโองการเทพต่างก็อยู่ในภาวะตึงเครียดหวาดหวั่น


หนึ่งวันก่อนที่นางจะออกจากสำนักโองการเทพเดินทางไปถ้ำสวรรค์หลีจู ผู้เฒ่าก็บอกกับนางอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาว่า ต้องการให้นางเป็นคู่บำเพ็ญตนของเขา!


ผู้เฒ่ายังบอกด้วยว่า เพื่อนางแล้วเขาสามารถไปจากสำนักโองการเทพ ครองคู่เป็นยวนยางป่าที่มีความสุขและอิสระเสรีในภูเขาสูงบึงน้ำกว้างใหญ่ ไม่ต้องสนใจสายตาของคนในโลก หากเฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่อยากมีชีวิตที่ระหกระเหินก็ไม่เป็นไร อย่างมากก็แค่เป็นอาจารย์และศิษย์กันภายนอก แต่เป็นคู่รักกันลับๆ ผู้เฒ่ารับประกันว่าคัมภีร์ไม่สมบูรณ์แบบที่บรรยายถึงการฝึกมหามรรคาคู่นั้นสามารถทำให้พวกเขาสองคนเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน ไม่ใช่เคล็ดประกอบกิจกามในห้องหับชั้นต่ำที่ใช้ธาตุหยินของฝ่ายหญิงมาเสริมธาตุหยางของฝ่ายชายอย่างแน่นอน


เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่ยินยอม


อีกทั้งยังไม่ได้แสร้งแสดงความนอบน้อมและคล้อยตาม หากไม่เป็นเพราะตอนนั้นผู้เฒ่าไม่มั่นใจว่าจะจับตัวนางได้อย่างเงียบเชียบ เกรงว่าคงลงมือไปนานแล้ว


นี่ถึงเป็นเหตุให้นางเดินทางไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจูต้าหลีในคราวนั้น


เพราะทัศนียภาพบางอย่าง เฮ้อเสี่ยวเหลียงอยากจะเดินขึ้นไปยอดเขา และดูให้เห็นเองกับตาเพียงลำพัง


อันที่จริงสำหรับวิชาการฝึกตนคู่ซึ่งเป็นการเสพกามในสายตาของชาวโลก หรือคู่รักอาจารย์และศิษย์ที่ผิดต่อหลักประเพณีนิยมอะไรพวกนี้ เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่ได้ให้ความสำคัญนัก แล้วก็ไม่ได้มีอคติสักเท่าไหร่


เฮ้อเสี่ยวเหลียงให้ความสำคัญแค่มหามรรคาเท่านั้น!


และในความเป็นจริงแล้ววิชาลับฝึกตนคู่ชั้นเยี่ยมที่แท้จริงของลัทธิเต๋าก็ไม่ได้แย่อย่างที่มนุษย์ธรรมดาเข้าใจผิด


เพราะนับว่าเป็นอีกสาขาหนึ่งของการฝึกคู่ทั้งกายและใจ อีกทั้งยังไม่ได้ถูกแบ่งแยกให้เป็น ‘หนึ่งในวิชา’ ของลัทธินอกรีตด้วย


ลัทธินอกรีต แม้จะฟังดูแล้วเป็นความหมายในทางลบ แต่อันที่จริงแล้วสำหรับผู้ฝึกลมปราณบนภูเขา นี่ก็เป็นแค่คำพูดที่แสดงให้เห็นว่าไม่สามารถเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนได้ก็เท่านั้น แต่ก็ถือเป็นเส้นทางสายใหญ่ที่พาขึ้นไปสู่ภูเขาที่ไม่ธรรมดาเหมือนกัน


หลังจากที่เฮ้อเสี่ยวเหลียงกลับไปจากต้าหลี อาจารย์ผู้มีพระคุณที่ถ่ายทอดความรู้ให้นางคนนั้นก็ฉีกกระชากภาพลักษณ์ของผู้อาวุโสที่เมตตาปราณีทิ้งอย่างสิ้นเชิง เขาคอยพูดจาล่อลวงโน้มน้าวใจ บางครั้งก็ข่มขู่ บางครั้งขุ่นเคือง ใช้ครบทุกสารพัดวิธี


เฮ้อเสี่ยวเหลียงรับมืออย่างสงบเยือกเย็น ทหารมาก็เอาขุนพลต้านรับ น้ำมาเอาดินกลบ แต่ส่วนลึกในจิตใจนางรู้สึกเศร้าหมอง เพราะนางรู้ว่านี่ก็คือมหามรรคาที่ผู้เฒ่าเลือก แต่มันเล็กเกินไป แคบเกินไป นางไม่เต็มใจเดินเคียงข้างผู้เฒ่าไปบนทางคับแคบที่ทัศนียภาพสุดปลายทางไม่สวยงามยิ่งใหญ่มากพอสายนี้


หลังจากนั้นเว่ยจิ้นเซียนกระบี่พสุธาของศาลลมหิมะก็มาที่แคว้นหนันเจี้ยน ผู้เฒ่าเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผู้ช่วยที่เฮ้อเสี่ยวเหลียงเชื้อเชิญมา เขาจึงสงบสำรวมกว่าเดิมเยอะมาก คิดไม่ถึงว่าเฮ้อเสี่ยวเหลียงจะปฏิเสธเว่ยจิ้น สุดท้ายเว่ยจิ้นก็ดื่มเหล้าเมามายจูงลาจากไปอย่างเจ็บปวด นี่ทำให้ผู้เฒ่ารู้สึกว่าโอกาสดีๆ ครั้งใหม่บังเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่สิ่งดีย่อมมาพร้อมกับความยากลำบาก นักพรตหนุ่มที่มีศักดิ์เท่ากับเขา แต่ตบะไม่สูงเท่าเขากลับกล้าปกป้องเฮ้อเสี่ยวเหลียง งัดข้อกับเขาซึ่งๆ หน้า ทั้งยังทิ้งประโยคอาฆาตที่ทำให้คนเย็นสันหลังวาบเอาไว้ ผู้เฒ่ารุกหน้าก็ไม่ได้ จะถอยก็ไม่ดี ลำบากใจอย่างยิ่ง แต่จะว่าไปแล้วก็น่าตลก เพียงไม่นานไอ้หมอนั่นก็รีบร้อนเดินทางไปยังทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง รีบร้อนจนได้แค่พูดคุยกับเฮ้อเสี่ยวเหลียงเป็นการส่วนตัวครั้งเดียว ไม่ว่าจะอย่างไร เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่ได้เลือกพึ่งพาอาจารย์อาน้อยของนางอย่างที่คนนอกคิดกัน แต่เลือกที่จะลบชื่อตัวเองออกจากบัญชีนักพรตเต๋าของสำนักโองการเทพ นี่ทำให้ผู้เฒ่ารู้สึกว่าสถานการณ์ดีๆ ครั้งใหม่ผุดขึ้นมาอีกครั้ง ในที่สุดโอกาสก็มาแล้ว แต่ฉีเจินเจ้าสำนักกลับค่อนข้างจะใจกว้าง ไม่สนใจความคิดเห็นของคนอื่น ไม่ซักไซ้ถามหาเหตุผลที่เฮ้อเสี่ยวเหลียงทรยศสำนัก ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ในสำนักโองการเทพอาจจะมีคนที่ไม่พอใจอยู่บ้าง รู้สึกว่าสำนักเลี้ยงคนเนรคุณเอาไว้ แต่ในเมื่อเทียนจวินเจ้าสำนักพูดเองแล้ว พวกเขาก็ได้แต่ยอมเลิกราโดยดี มีเพียงอาจารย์ของเฮ้อเสี่ยวเหลียงที่คิดจะลงจากภูเขาไป ‘เอาโทษ’ นาง แต่กระนั้นก็ยังถูกฉีเจินเกลี้ยกล่อมให้กลับสำนัก


บอกว่าเกลี้ยกล่อมให้กลับ


แต่พอเฮ้อเสี่ยวเหลียงที่ติดตามลู่เฉินไปต้าหลีได้ยินข่าว นางกลับรู้ดียิ่งกว่าใครว่า เจ้าสำนักฉีเจินจะต้องบังคับห้ามปรามผู้เฒ่าเอาไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีการลงไม้ลงมือกันด้วยถึงทำให้ผู้เฒ่ายอมกลับไปในจวนของตัวเองได้


เพราะหากไม่มีนาง มหามรรคาของผู้เฒ่าที่เดิมทีก็คลอนแคลน ไม่ทานลมทานฝนสายนั้นย่อมต้องขาดออกกลางคันอย่างสิ้นเชิง


ด้วยนิสัยดึงดัน เอาตัวเองเป็นใหญ่ของผู้เฒ่าย่อมไม่มีทางเลิกราง่ายๆ อย่างแน่นอน


แต่ทุกอย่างล้วนกำหนดมาแล้วว่าต้องเปลืองแรงเปล่า


เพราะด้านหลังของนางมีลู่เฉินหนุนหลัง


เขาคือบุคคลที่สามารถออกคำสั่งกับฉีเจินเทียนจวินได้ตามใจชอบ


เฮ้อเสี่ยวเหลียงคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย


จึงไม่ได้ตอบคำถามของเฉินผิงอันเสียที


เฉินผิงอันจึงได้แต่รอเงียบๆ


“ต่อให้ลู่เฉินจะวางแผนลึกล้ำยาวไกลแค่ไหน ก็เป็นแค่การกระทำที่คล้อยไปตามสถานการณ์เท่านั้น” จู่ๆ ดวงตาของเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็เป็นประกายวาบ ลุกพรวดขึ้นยืน คล้ายกับคลายปมบางอย่างในใจตัวเองได้ “ที่แท้วาสนานี้คือสวรรค์ที่ประทานมาให้”


แต่หัวใจของเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็พลันสั่นสะท้านขึ้นมาอีกครั้ง


นางพอจะจำได้ว่า ครั้งแรกที่พบเจอเด็กหนุ่ม นางมองออกแค่ว่าเขามีโชควาสนากับตน แต่โชควาสนานั้นบางเบานัก


นี่ต่างหากถึงจะเป็นเจตนารมณ์เดิมของมหามรรคานาง


แต่เหตุใดตอนนี้นางถึงได้รู้สึกว่าโชควาสนาของเขาลึกล้ำ? ถึงขั้นรู้สึกว่าพวกเขาเป็น ‘คู่ที่ฟ้าประทานมาให้’?


นี่ก็คือแผนการที่เจ้าลัทธิเต๋านามว่าลู่เฉินผู้นั้นอนุมานไว้!


แล้วก็จริงดังคาด เพราะมีเสียงเกียจคร้านแฝงแววยั่วเย้าดังขึ้นมาในทะเลสาบหัวใจของนาง “ถูกแล้ว สามารถคิดจนเข้าใจในข้อนี้ ก็แสดงว่าเจ้าผ่านด่านนี้ไปได้แล้ว เมื่อถามหัวใจตัวเองแล้ว เจ้าก็ได้มอบคำตอบที่ถูกต้องออกมา กระจกแห่งหัวใจที่แตกร้าวของเจ้าได้รับการซ่อมแซมชดเชยอย่างครบถ้วน ต่อให้วันหน้าบาดเจ็บสาหัสอีกครั้ง ก็ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่แค่ปริแตกก็แหลกสลายได้ทันที หลังจากนี้เจ้าสามารถท่องไปในกุรุทวีปได้แล้ว”


“แต่บอกไว้ก่อนว่า ข้าผู้เป็นนักพรตไม่ได้แอบฟังหรือแอบดู เพียงแต่ว่าฝังบางสิ่งบางอย่างไว้ในทะเลสาบหัวใจของเจ้านานแล้ว เมื่อเจ้าได้คำตอบ มันก็จะคลายออก และข้าผู้เป็นนักพรตก็จะรับรู้ได้”


“ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว ข้าผู้เป็นนักพรตขอถามคำถามอีกข้อหนึ่งที่เจ้าต้องถามใจตัวเอง เจ้าควรจะจัดการกับเฉินผิงอันอย่างไร?”


“อืม พูดแบบนี้ออกจะสุภาพไปหน่อย ไม่ใช่ลักษณะการพูดของข้าผู้เป็นนักพรต ไม่สู้เปลี่ยนเป็นว่า ‘เฮ้อเสี่ยวเหลียง ลองลูบคลำหัวใจที่ซ่อนไว้อย่างมิดชิด ถามนโมธรรมในใจของเจ้าดูว่าจะตัดรากถอนโคน ตบคนที่มีวาสนา…ซึ่งไม่รู้ว่าวาสนานี้จะเป็นบุญสัมพันธ์หรือกรรมสัมพันธ์ตรงหน้านี้ให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว หลีกเลี่ยงไม่ให้ปมในใจกลายมาเป็นเงื่อนตาย ส่งผลร้ายต่อรากฐานมหามรรคาของเจ้าในอนาคตดีหรือไม่?’”


แม่ชีสาวที่หน้าตางดงามอย่างถึงที่สุดมองไปยังเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม


ใบหน้าของนางแดงปลั่ง ดวงตาเย็นเยียบ


เฉินผิงอันประสานสายตากับนาง


ด้วยความรู้สึกเหมือนตกลงไปในโพรงน้ำแข็ง


ชูอีและสืออูที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวตั้งท่าเตรียมพร้อม


ฆ่าหรือไม่ฆ่าเด็กหนุ่ม?


ดูเหมือนว่าทุกอย่างนี้ล้วนอยู่ในการคาดการณ์ของลู่เฉิน อยู่ในแผนการของเขา


ครั้งแรกเฮ้อเสี่ยวเหลียงต้องผ่านด่านของตัวเอง ครั้งนี้กลับต้องผ่านด่านที่เจ้าลัทธิเต๋าจัดวางไว้ให้ด้วยตัวเอง แน่นอนว่าลู่เฉินไม่มีทางทุ่มเทอย่างเต็มกำลัง หาไม่แล้วก็ไม่ต่างอะไรไปจากการฆ่าคนโดยตรง เห็นได้ชัดว่าเขาฝากความหวังไว้มากกับเฮ้อเสี่ยวเหลียง จึงไม่ต้องถึงขั้นตบบ้องหูตัวเองด้วยมือตัวเอง


แม่ชีสาวหน้าตางดงามถามใจตัวเองเป็นครั้งที่สอง ดวงตาที่เย็นเยียบเริ่มค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลดุจเส้นไหม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซีกแก้มที่แดงก่ำซึ่งยิ่งทำให้ดวงหน้าที่เดิมทีเรียบร้อยสุภาพของนางเปลี่ยนมาเป็นแปลกตาอย่างถึงที่สุด


เพียงแต่ว่าในทะเลสาบหัวใจของนางกลับเกิดคลื่นยักษ์ถาโถม น่าตะลึงพรึงเพริด เจ็บปวดจนพูดไม่ออก


เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไรสักคำ เพียงแค่จ้องเขม็งไปยังแม่ชีสาวของสำนักโองการเทพที่มีท่าทางประหลาด


เขายังถึงขั้นสงสัยว่า อีกฝ่ายจะใช่จิ้งจอกปีศาจที่เชี่ยวชาญการล่อลวงใจคนจำแลงกายมาเป็นเฮ้อเสี่ยวเหลียงหรือไม่ หาไม่แล้วทำไมถึงมีลักษณะของคนสองคนที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง?


แต่ลางสังหรณ์บอกกับเขาว่า ตอนนี้ระหว่างพวกเขามีเพียงเส้นบางๆ กางกั้นระหว่างความเป็นและความตาย


เฮ้อเสี่ยวเหลียงใช้มือสองข้างค้ำยันบนโต๊ะอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่ เหงื่อเย็นๆ ซึมออกมา เส้นผมสีดำยุ่งเหยิง


นอกประตูหัวใจของเฮ้อเสี่ยวเหลียงมีเสียงถอนหายใจดังขึ้นเบาๆ คล้ายบังคับกดทับคลื่นยักษ์ที่โถมตัวอยู่ในทะเลสาบหัวใจของเฮ้อเสี่ยวเหลียงลงไป “เฮ้อเสี่ยวเหลียง อันที่จริงข้าผู้เป็นนักพรตได้ให้คำตอบไปนานแล้ว เพียงแต่ว่าเจ้าถูกมหามรรคาบดบังจิตใจ หากเจ้าฆ่า ข้าผู้เป็นนักพรตก็จะต้องขัดขวาง เจ้าไม่ฆ่า ข้าผู้เป็นนักพรตก็ไม่ฝืนใจ อย่างไรเจ้าก็ต้องผ่านด่านนี้ไปได้อยู่ดี แต่เจ้าดันหยิบไม่ขึ้น แล้วก็วางไม่ลง สับสนมึนงง สุดท้ายยังคิดจะทำเรื่องที่เลวร้ายที่สุดโดยหวังสังหารเฉินผิงอัน แล้วค่อยผูกสัมพันธ์แต่งงานกับวิญญาณของเขา ทั้งสามารถตัดขาดบุญกรรม และไม่ต้องทำให้ตัวเองละอายใจ น่าขันยิ่งนัก วิธีการที่ยึดถือผลประโยชน์เป็นสำคัญเช่นนี้จะช่วยให้เจ้าเดินไปถึงยอดเขาได้หรือ? เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า เหตุใดเฉินผิงอันที่พบเจอกับอุปสรรคมาทั้งชีวิต แต่เดินมาได้จนถึงวันนี้ เจ้าที่มีชีวิตราบรื่นสุขสบาย พรสวรรค์โดดเด่นเลิศล้ำ แต่สุดท้ายแล้วกลับเดินข้ามธรณีประตูที่ข้ามได้ง่ายที่สุดนี้ไปไม่ได้?”


เฮ้อเสี่ยวเหลียงเทพธิดาที่สูงส่งจนไม่อาจเอื้อมของทวีปหนึ่งนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้อย่างห่อเหี่ยว ฟุบศีรษะลงไปบนโต๊ะ สีหน้าแปรเปลี่ยนรวดเร็วเหมือนกระแสน้ำขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ นางหอบหายใจหนักหน่วง ดวงตาที่มีไอน้ำปกคลุมบางๆ คู่นั้นจ้องมองมายังเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม


ในดวงตามีทั้งความเจ็บแค้นและละอายใจ


ทว่าไม่มีจิตสังหารหลงเหลืออยู่


ทำเอาเฉินผิงอันที่มองอยู่มึนงงไปหมด


เกิดอะไรขึ้น?


ข้าไม่ได้รังแกเจ้าสักหน่อย กระบี่บินที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ยังไม่ได้ออกมาเลยนะ


อีกอย่างหากสู้กับผู้ฝึกลมปราณใหญ่อย่างเฮ้อเสี่ยวเหลียงที่อยู่ตรงหน้านี้ ต่อให้ตนเรียกทั้งชูอีและสืออู่ออกมา หรือแม้แต่ใช้กำจัดปีศาจปราบมารด้วยก็ยังมีแต่คำว่าแพ้และคำว่าตายเท่านั้น


เฮ้อเสี่ยวเหลียงเหม่อลอยอยู่นาน ไอน้ำในดวงตาเริ่มจางหายไป กระแสน้ำขึ้นก็เริ่มถดถอยกลับ หัวใจแน่วแน่มั่นคงได้ในที่สุด นางลุกขึ้นยืน คลี่ยิ้มให้กับเด็กหนุ่ม ในที่สุดนางก็กลับมามีท่าทีของเทพธิดาสาวที่มีกวางขาวเคียงคู่ ทั่วร่างล้อมวนไปด้วยปราณแห่งเซียนเหมือนครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้พบเจอนางอีกครั้ง


นางกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “เฉินผิงอัน รอวันใดที่เจ้าตายไป เจ้าก็จะกลายมาเป็นสามีของข้าเฮ้อเสี่ยวเหลียง!”


สุดท้ายนางก็เลือกที่จะยืนหยัดตามความตั้งใจเดิมของตนครึ่งหนึ่ง เลือกทำตามสิ่งที่ตนตั้งใจไว้เมื่อแรกเริ่มสุดครึ่งหนึ่ง


ไม่ฆ่าคน แต่ผูกสัมพันธ์


บนทะเลสาบหัวใจของเฮ้อเสี่ยวเหลียง เสียงทุ้มต่ำหนาทึบของลู่เฉินแฝงไว้ด้วยความชื่นชมอย่างไม่ปิดบังดังขึ้นช้าๆ “ฝูเซิงอู๋เลี่ยงเทียนจุนขออำนวยพรให้เจ้ามีความสุขอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ (ฝูเซิงอู๋เลี่ยงเทียนจุนเป็นชื่อของพระเป็นเจ้าลัทธิเต๋าองค์หนึ่งมีนัยเป็นการอำนวยพรให้ความสุขอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ มักจะใช้เป็นคำทักทายของนักพรตเต๋า) เฮ้อเสี่ยวเหลียง นับจากบัดนี้ไป เจ้าเป็นศิษย์ในสำนักของข้าลู่เฉิน เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนที่หก สามารถก่อสำนักตั้งพรรคที่กุรุทวีปได้แล้ว”


เฉินผิงอันอึ้งงันเป็นไก่ไม้ หลุดปากถามไปตามจิตใต้สำนึก “เฮ้อเซียนซือ เจ้าพูดอะไร? หรือว่าข้าหูฝาดไป เจ้าพูดอีกรอบได้หรือไม่?”


อะไรตายไปแล้ว อะไรคือเป็นสามี


เฉินผิงอันยิ่งมั่นใจว่า ‘เฮ้อเสี่ยวเหลียง’ ที่อยู่ตรงหน้านี้มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นปีศาจจิ้งจอกที่ชอบปั่นหัวกลั่นแกล้งคนอื่น


เฮ้อเสี่ยวเหลียงอับอายจนพานเป็นความโกรธจึงถลึงตาใส่เฉินผิงอันที่เป็นฝ่ายได้เปรียบตน


นางมองเฉินผิงอันด้วยสายตาลึกล้ำหนึ่งครั้ง แล้วจึงจากไป


เฉินผิงอันนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ขมวดคิ้วแน่น


คล้ายจริงคล้ายหลอก คล้ายฝันคล้ายภาพลวงตา


—–


บทที่ 212.1 เต๋าสูงหนึ่งคืบ

โดย

ProjectZyphon

เมืองเล็กหลงเฉวียน ในโรงเรียนเก่าแก่ที่ถูกทิ้งร้าง นักพรตหนุ่มสวมกวานดอกบัวนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะตัวเล็กเพียงลำพัง มองไปยังตำแหน่งที่ฉีจิ้งชุนเคยยืนมาเป็นเวลาหกสิบปี นักพรตหนุ่มเงียบงันไม่เอ่ยคำใด ปลายนิ้ววาดไปวาดมาบนหน้าโต๊ะเบาๆ โดยไม่รู้ตัว


เมื่อคืนสติ ลู่เฉินจึงยกมือขึ้นคว้าจับไปทางด้านหลัง เฮ้อเสี่ยวเหลียงที่บินทะยานออกมาจากเรือปลาคุนก็ถูกเขา ‘งม’ ออกมาจากทะเลเมฆที่กว้างใหญ่ไพศาลโดยตรง ต่อให้เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองคำอย่างเฮ้อเสี่ยวเหลียง แต่เมื่อถูกย่นระยะทางนับหมื่นลี้ในเสี้ยววินาทีก็ยังอดรู้สึกหูตาพร่าลายไม่ได้ ร่างของนางเซถลาอยู่พักหนึ่งถึงจะหยุดยืนได้อย่างมั่นคง


เฮ้อเสี่ยวเหลียงตีหน้านิ่ง จัดระเบียบเสื้อผ้า สงบจิตวิญญาณที่อยู่ในทะเลสาบหัวใจ ถอยหลังไปสามก้าว ครั้นจึงทรุดตัวลงพื้นหมอบกราบ “ศิษย์เฮ้อเสี่ยวเหลียงคารวะอาจารย์”


จากกุมารีหยกของระบบเต๋าในหนึ่งทวีปกระโดดข้ามขั้นกลายมาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าลัทธิหนึ่งในสำนักเต๋า นี่ก็คือปลาหลีกระโดดข้ามประตูมังกรโดยไม่ต้องสงสัย


ลู่เฉินพยักหน้ารับ ยกมือบอกให้เฮ้อเสี่ยวเหลียงรู้ว่าลุกขึ้นยืนได้ “ลุกขึ้นเถอะ เป็นลูกศิษย์ของข้าไม่จำเป็นต้องยึดถือกฎระเบียบพิธีการอะไรมากนัก แค่จริงใจก็พอแล้ว ตอนนี้เจ้าไม่ต้องสงสัย วันหน้าเมื่ออยู่ด้วยกันนานวันเข้า รอจนเจ้าได้พบกับศิษย์พี่ชายหญิงอีกห้าคนที่เหลือของเจ้าก็จะเข้าใจได้เองว่า นอกเหนือจากมหามรรคาแล้ว ทุกอย่างล้วนเป็นเพียงมายาเลื่อนลอย”


สำหรับพิธีการทางโลกของลัทธิขงจื๊อ หรือแม้แต่กฎเหล็กในระบบเต๋าของตัวเอง ลู่เฉินที่ใช้ชีวิตอยู่ในใต้หล้าไพศาล แต่แท้จริงแล้วเติบโตอยู่ในใต้หล้ามืดสลัวไม่เคยให้ความสำคัญ บางทีอาจพูดได้ว่าก่อนหน้าจะถึงขอบเขตบินทะยาน เขาก็คือคนที่หันหลังให้กับระเบียบทางโลก ดังนั้นจึงเป็นคนที่มีจิตใจเปิดกว้าง ไร้ข้อผูกมัด และมีชื่อเสียงอยู่บนโลกใบนี้ด้วยสองคำว่า ‘อิสระเสรี’


ไม่เหมือนศิษย์พี่ใหญ่ที่ละเอียดอ่อนรอบคอบ หรือศิษย์พี่รองที่รู้ขอบเขตควรมิควร เขาที่เป็นศิษย์น้องเล็ก ต่อให้อยู่ต่อหน้าอาจารย์ก็ยังไม่ทำตามกฎระเบียบสักเท่าไหร่ ด้วยเรื่องนี้ศิษย์พี่ใหญ่ยังเคยเกลี้ยกล่อมเขา แม้แต่พี่รองก็ยังเคยซ้อมเขามาก่อน ภายหลังลู่เฉินก็ยังทำอะไรตามใจตัวเองอยู่เหมือนเดิม ยังดีที่อาจารย์ซึ่งจะมาปรากฎตัวในถ้ำสวรรค์เหลียนฮวาเป็นบางครั้งไม่ได้ถือสา


ลู่เฉินมองแม่ชีสาวที่ค่อนข้างจะอึดอัดใจ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ทำไม ถูกงูกัดครั้งหนึ่งเลยกลัวเชือกไปสิบปี คิดว่าข้านักพรตที่เป็นอาจารย์ของเจ้าคิดวางกับดักล่อคนทุกวันอย่างนั้นหรือ? เพราะฉะนั้นทุกคำที่ข้าพูด เจ้าต้องใคร่ครวญ ชั่งน้ำหนักอย่างระมัดระวัง? ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คิดผิดแล้ว อะไรที่มากเกินไปย่อมไม่ดี การที่ครั้งนี้เจ้ากลายมาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของข้าได้ก็เพราะเจ้าสามารถผ่านด่านถามใจได้ติดต่อกันสามด่าน ด่านแรก เมื่อสัมผัสได้ว่าเป็นแผนการของข้าผู้เป็นนักพรตก็ตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาด รีบทบทวนเจตนาเดิมของตน ดึงภาพลวง ‘คู่สวรรค์ประทาน’ ทิ้งไป คว้าความจริงที่ว่า ‘วาสนาบางเบา’ เอาไว้ เมื่อผ่านด่านนี้มาได้ เจ้าถึงไม่ตายก่อนวัยอันควรที่กุรุทวีป หาไม่แล้วเมื่อไปอยู่ในสถานที่ที่ผู้ฝึกกระบี่กลาดเกลื่อนเหมือนขนวัว ทุกอย่างล้วนอาศัยกระบี่ที่รวดเร็วและหมัดในการพูดจา อนาคตเจ้าย่อมต้องเจอกับอุปสรรคใหญ่หลวง เนื่องด้วยทั้งชีวิตที่ผ่านมาเจ้าพบเจอแต่ความราบรื่นมาโดยตลอด หากสภาพจิตใจปริแตกจะยิ่งแหลกสลายได้อย่างสิ้นเชิงไม่มีทางแก้ไข และข้าผู้เป็นนักพรตก็ไม่ต้องไปตามหาตัวเจ้าในชาติหน้าแล้ว”


ลู่เฉินยื่นนิ้วชี้หน้าเฮ้อเสี่ยวเหลียง ยังคงเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ “เจ้าต้องรู้ว่า ครั้งนี้คนสามคนที่เซี่ยสือขอจากต้าหลี ยังไม่ต้องพูดถึงหลี่ซีเซิ่ง เอาแค่หม่าขู่เสวียน เขาก็คือเด็กโชคดีที่ศิษย์พี่รองของข้าเลือกตัวไป หนึ่งแก่หนึ่งเด็ก นิสัยร้ายกาจเข้าขากันเป็นอย่างดี ส่วนข้อที่ว่าจะมีเรื่องวงในอย่างอื่นอีกหรือไม่ ระบบเต๋าย่อมมีกฎเป็นของตัวเอง ไม่อนุญาตให้พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องสามคนอนุมานทำนายดวงให้กัน ส่วนเจ้าเฮ้อเสี่ยวเหลียงคือคนที่ข้าผู้เป็นนักพรตเลือก เพราะใจแห่งการฝึกตนของเจ้าคล้ายคลึงกับประสบการณ์การฝึกตนเมื่อแรกเริ่มของข้ามาก ไขปริศนาที่บังตา มุ่งตรงไปยังเจตนาดั้งเดิม นี่จึงเป็นเรื่องที่เรียบง่ายมาก เรียบง่ายกว่าการเป็นหุ่นเชิด ตกเป็นหมากของคนอื่น หรือคิดว่านี่คือแผนการในการช่วงชิงของเมธีร้อยสำนักอย่างที่เจ้าจินตนาการไว้มาก ก็แค่ข้าผู้เป็นนักพรตถูกชะตากับเจ้า จึงเลือกเจ้าเป็นลูกศิษย์ก็เท่านั้น”


“เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าพวกตาแก่ที่อยู่ในศาลเจ้าบุ๋นเหล่านั้นจะไม่จับตามองทุกการกระทำของข้า? เพราะฉะนั้นนี่ก็คือแผนการอย่างโจ่งแจ้งเปิดเผย วันหน้าเจ้าเฮ้อเสี่ยวเหลียงจะยืนหยัดอยู่ในกุรุทวีปได้อย่างมั่นคง มีชีวิตอยู่อย่างดีไปถึงท้ายที่สุดหรือไม่ ก็ดูที่แค่ความสามารถของเจ้าอย่างเดียว หลังจากที่ข้าผู้เป็นนักพรตกลับคืนไปยังใต้หล้ามืดสลัวจะไม่คอยดูแลลูกศิษย์ทุกก้าวย่าง เหล่าอริยะของลัทธิขงจื๊อไม่มีทางจงใจทำร้ายเจ้า อีกทั้งเจ้ายังมีศิษย์พี่ชายที่เดินทางท่องเที่ยวอยู่ที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอีกคนหนึ่ง รวมไปถึงศิษย์พี่หญิงที่ฝึกประสบการณ์อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ หากเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ก็สามารถไปขอความช่วยเหลือจากพวกเขาได้ ในเมื่อตอนนี้พวกเจ้าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน มีมิตรภาพของคนร่วมสำนัก…ก็ควรต้องช่วงชิงหน้าตาให้อาจารย์อย่างข้าสักหน่อย”


กล่าวมาถึงตรงนี้ ลู่เฉินก็คลี่ยิ้ม “วางใจเถอะ ข้าผู้เป็นนักพรตไม่ใช่อาจารย์ที่สำนักโองการเทพของเจ้า ไม่มีทางต้องการให้เจ้ามาฝึกตนคู่อะไรทั้งนั้น”


เฮ้อเสี่ยวเหลียงกลับมาเป็นแม่ชีงดงามผู้มีบุคลิกสุขุมเยือกเย็นที่มองทุกอย่างเว้นจากมหามรรคาเป็นสิ่งนอกกายอีกครั้ง นางถามคำถามหนึ่งที่ครุ่นคิดมานานมากแล้ว “ใต้หล้ามืดสลัวที่เจ้าประมุขลัทธิเต๋าของพวกเราควบคุมทุกอย่างก็มีอริยะของลัทธิขงจื๊อวางแผนการไว้อย่างลับๆ ด้วยหรือไม่?”


ลู่เฉินหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “มันก็แน่อยู่แล้ว ไม่ว่าที่ไหนก็เหมือนกัน ทุกคนต่างก็ยุ่งกันแทบหัวหมุน เจ้าคิดว่าคนอย่างหม่าขู่เสวียน เว่ยจิ้น ซ่งจ่างจิ้งถือเป็นลูกรักลำดับสูงสุดของสวรรค์แล้วใช่หรือเปล่า?”


ลู่เฉินหัวเราะอย่างมีความสุข “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าเจ้าก็ควรไปดูที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางจริงๆ หรือบางทีในอนาคตได้ไปเยือนป๋ายอวี้จิงของใต้หล้ามืดสลัว เจ้าก็จะเข้าใจได้เองว่าต้องมีภูเขาที่สูงกว่าภูเขาหนึ่งเสมอ”


เฮ้อเสี่ยวเหลียงนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะตัวหนึ่งที่ห่างไปไม่ไกล นางบิดเอวหันมามองประสานสายตากับลู่เฉิน พอได้ยินคำตอบของเขาหัวคิ้วก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยราวกับไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่


ลู่เฉินถามอย่างคลุมเครือ “เจ้าอยากถามว่าทำไมสามลัทธิถึงไม่นัดหมายกันให้รู้เรื่องไปเลยว่าพัฒนาศักยภาพได้แค่ในถิ่นของตัวเองเท่านั้น และต้องผลักไสความรู้ของสำนักหรือลัทธิอื่นๆ? แบบนี้จะได้ไม่ต้องยุ่งยาก?”


เฮ้อเสี่ยวเหลียงพยักหน้ารับ นี่ก็คือสิ่งที่นางคิดอยู่ในใจ


ลู่เฉินกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “เพราะแต่ละถิ่นฐานในตอนนี้ล้วนเคยเป็นสมรภูมิรบโบราณที่ใหญ่ที่สุด เป็นผลเก็บเกี่ยวที่เหล่าปราชญ์อริยะใช้ชีวิตแลกมันมา พวกเราเองก็กลัวว่าอนาคตฟ้าดินจะเกิดการเปลี่ยนแปลง หากเลือกที่จะพอใจอยู่ ณ ที่เดิมๆ ไม่แสวงหาความก้าวหน้า บางทีอาจทำให้คนที่อยู่เบื้องล่างรู้สึกถึงอุปสรรคที่ขัดขวางบนมหามรรคา จุดจบจะเป็นอย่างไร ใต้หล้าทั้งหลายในทุกวันนี้ก็คือหลักฐานพิสูจน์ที่ดีที่สุด”


ลู่เฉินชี้ไปยังทิศทางสุสานเทพเซียนของเมืองเล็ก “แม่น้ำและภูเขายังคงเดิม ทว่าเจ้าของที่เคยอยู่สูงเหนือผู้ใดกลับกลายเป็นเพียงเศษซากที่กองกันอยู่ในดินโคลน”


เฮ้อเสี่ยวเหลียงพอจะกระจ่างแจ้งได้บ้างแล้ว


เรื่องบางเรื่องอยู่ห่างไกลเกินไป ยากที่จะทำความเข้าใจได้ คนที่รู้เรื่องก็ไม่เต็มใจพูด อีกทั้งยังไม่มีเขียนไว้ในตำรา คนรุ่นหลังย่อมเคว้งคว้างไม่เข้าใจ


การคาดเดามากมายหลากหลาย การช่วยผลักดันลูกคลื่นให้เคลื่อนไปข้างหน้าของสำนักเล็กๆ งานประพันธ์ของนักเขียนที่เต็มไปด้วยจินตนาการบรรเจิด ประวัติศาสตร์เกร็ดพงศาวดารที่จงใจเขียนด้วยภาษาลึกซึ้ง ทุกสิ่งเหล่านี้ตกตะกอนทับถมกันปีแล้วปีเล่า เกรงว่าบางทีเมื่อความจริงเล็กๆ น้อยๆ ลอยขึ้นเหนือน้ำมาก็คงถูกกลบทับลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว สุดท้ายกลับจะถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นข้อผิดพลาดด้วย


ลู่เฉินคลี่ยิ้ม “ออกนอกเรื่องไปไกลแล้ว กลับมาเข้าประเด็น ด่านที่สองของเจ้า ข้าผู้เป็นนักพรตต้องการแน่ใจว่าการเดินทางไปยังกุรุทวีปครั้งนี้ของเจ้า ควรให้เจ้าพึ่งพาเทียนจวินเซี่ยสือ หรือว่าให้เจ้าก่อตั้งสำนักเป็นของตัวเอง ดังนั้นจึงจงใจขุดหลุมพรางทำให้เจ้าคิดว่าตัวเองสละการเลือกที่ถูกต้องทั้งสองข้อไป แล้วดันมาเลือกการตัดสินใจข้อที่ผิดที่สุด ให้เจ้าเข้าใจผิดคิดว่าจะต้องเดินสวนทางกับมหามรรคา ต้องการให้ใจเจ้าเกิดความเสียดาย สงสัยในเจตนารมณ์เดิมของมหามรรคาตัวเอง”


เฮ้อเสี่ยวเหลียงกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน “แค่ต้องอาศัยสติปัญญาเสี้ยวหนึ่งที่หลงเหลืออยู่ในสมองถึงจะผ่านด่านไปได้”


ลู่เฉินเอ่ยยิ้มๆ “เกี่ยวกับข้อนี้ ข้าผู้เป็นนักพรตจะเฉลยให้เจ้าฟังว่าเหตุใดเจ้ากับเฉินผิงอันถึงผูกสัมพันธ์กันได้ในช่วงสุดท้าย ตอนนี้มาพูดถึงด่านสุดท้ายก่อน ซึ่งค่อนข้างจะซับซ้อนเล็กน้อย เป็นด่านสำคัญที่สืบเนื่องต่อกัน คำว่าความรักนั้น สามารถอธิบายได้หมื่นรูปแบบ


“ระหว่างชายและหญิงเกิดความหวั่นไหวได้มากที่สุด ดังนั้นข้าผู้เป็นนักพรตจึงปลูกเมล็ดพันธ์ความรักเมล็ดหนึ่งไว้ในทะเลสาบหัวใจของเจ้านานแล้ว เมื่อมันพบเจอกับน้ำฝนแห่งโชควาสนา มันก็จะแตกหน่องอกงามอย่างรวดเร็วโดยที่เจ้าไม่ทันรู้ตัว เดิมทีนี่เป็นวิธีรวบรัดชั้นต่ำ แต่กลับได้ผลสำหรับเจ้าเฮ้อเสี่ยวเหลียง แล้วนับประสาอะไรที่ต่อให้เป็นวิธีชั้นต่ำแค่ไหน เมื่อข้านักพรตเป็นผู้ใช้ก็กลายเป็นวิธีชั้นสูงได้”


“มีอาจารย์ผู้มีพระคุณที่สำนักโองการเทพ มีเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะวัยเดียวกันที่พรสวรรค์เลิศล้ำ และเด็กหนุ่มชาวบ้านจากตรอกหนีผิง สองคนแรกเจ้าผ่านมาได้อย่างราบรื่น ยังคงรักษาเจตนารมณ์เดิมของตัวเองเอาไว้ได้โดยที่ไม่สั่นคลอนแม้แต่น้อย มีเพียงด่านสุดท้ายที่เนื่องจากข้าผู้เป็นนักพรตจงใจสร้างความยากลำบาก ช่วยปูถนนสร้างสะพานถึงทำให้เจ้าเฮ้อเสี่ยวเหลียงตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถ้าหากเจ้า…”


ลู่เฉินลุกขึ้นยืน งอนิ้วเคาะลงไปบนกวานดอกบัวที่เป็นสัญลักษณ์ของเจ้าลัทธิเบาๆ แล้วพูดต่อว่า “มึนๆ งงๆ หัวใจแห่งการฝึกตนสะท้านสะเทือนไปเพราะสองคำว่าลู่เฉิน จึงเลือกเดินไปบนทางที่ข้าผู้เป็นนักพรตบุกเบิกไว้ให้เจ้า ถ้าอย่างนั้นข้าผู้เป็นนักพรตก็ยังจะอนุญาตให้เจ้าตั้งสำนักขึ้นเองที่กุรุทวีป แต่จะไม่ยอมรับเจ้าเป็นลูกศิษย์เด็ดขาด”


“เรื่องรับลูกศิษย์ก็ยากลำบากเช่นนี้แล”


ลู่เฉินหุบยิ้ม “คิดจะเป็นลูกศิษย์ของลู่เฉินก็ควรต้องมีความคิดที่ว่า สักวันหนึ่งมรรคาถาของข้าจะสูงกว่าลู่เฉิน เส้นทางที่ข้าก้าวเดินต้องยาวไกลกว่าลู่เฉิน ห่างคัมภีร์กบฏต่อมรรค? (离经叛道 หากแปลเป็นภาษาไทยจะแปลว่านอกรีตนอกรอย) ห่างจากคัมภีร์อะไร คัมภีร์ก็แค่สิ่งที่นักปราชญ์เขียนไว้เท่านั้น กบฏต่อมรรคอะไร? มรรคก็คือเส้นทางที่พวกนักปราชญ์ก้าวเดิน แล้วทำไมถึงไม่ลองทำด้วยตัวเองดูล่ะ?”


ต่อให้เป็นคนที่นิสัยเยือกเย็นอย่างเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็ยังอดเกิดความหวาดหวั่นพรั่นพรึงและเคารพนับถือขึ้นในใจไม่ได้


นางลุกขึ้นยืน โค้งคารวะลู่เฉินอย่างนอบน้อม “หวังว่าสักวันหนึ่งศิษย์เฮ้อเสี่ยวเหลียงจะสามารถนั่งพูดคุยถกปัญหาอยู่ในระดับเดียวกับอาจารย์”


ลู่เฉินจุ๊ปาก “ค่อนข้างยากนะ”


—–

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)