ยอดหญิงสกุลเสิ่น 211.2-212.1

ตอนที่ 211-2 สนามรบของสวีโย่ว

 

มีคนเข้ามารายงานสถานการณ์ “คุณชาย อีกประเดี๋ยวกองทัพใหญ่ก็จะมาถึงแล้ว เป็นผู้บัญชาการใหญ่สวีเวย”


 


 


สวีโย่วพยักหน้าเล็กน้อย กล่าวหนึ่งประโยค “ถอยทัพ” จากนั้นจึงเห็นทหารคุ้มมังกรที่ลึกๆ ลับๆ ห้าร้อยนายจมหายไปท่ามกลางแสงในยามราตรีที่ดำมืดทันที ราวกับปรากฏตัวฉับพลัน จากนั้นก็หายไปไร้เงาฉับพลัน คนที่มาแทนที่พวกเขาก็คือทหารเงา


 


 


ขอเพียงแค่สวีโย่วขยับ ทหารเงาทั้งหมดก็ขยับตาม แสงไฟในวัดจยาหลานพวยพุ่งขึ้นฟ้า เสียงตะโกนฆ่าดึงกึกก้องทั่วสารทิศ


 


 


“พระอาจารย์ทุกท่านตามผู้น้อยไปชมนอกวิหารเถิด” สวีโย่วเดินนำออกไปนอกวิหาร ทุกคนมองไปยังหลวงจีนเต้ากวงอย่างพร้อมเพียง บนใบหน้าหลวงจีนเต้ากวงนิ่งเรียบ “ไปเถอะ ไปดูสักหน่อย” คนอื่นเป็นมีดตนเป็นเนื้อบนเขียง จะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งได้หรือ


 


 


ทุกคนพากันพยุงเดินออกไปข้างนอก รู้สึกได้ว่าอยู่ห่างจากสวีโย่วห้าก้าวก็หยุดฝีเท้าลง พวกเขามองเห็นทั่วทั้งบริเวณลานวัดที่ตนคุ้นเคยไฟไหม้โหม ทหารเงาแต่ละกลุ่มกุมมีดกุมกระบี่สู้รบกันอยู่ เสียงตะโกน เสียงเข่นฆ่า ดังทั่วพื้นที่ แม้ในใจพวกเขาจะรู้ว่านี่คือการแสดง แต่ก็ยังคงรู้สึกเสียวสันหลังอย่างอดไม่ได้ เหงื่อซึมออกมาจากเสื้อ


 


 


อดส่งสายตาไปมองคุณชายวัยหนุ่มผู้นั้นที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ได้ มือทั้งคู่ของเขาไพล่อยู่ข้างหลัง หลังยืดตรง ราวกับทวนเล่มยาวท่ามกลางราตรีอันมืดมิด แสดงฝีมือออกมา เขาเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ราวกับไม่สนใจสนามรบตรงหน้าอย่างสิ้นเชิง เขายืนสบายใจเช่นนั้น เรือนร่างสูงตระหง่าน ทำให้คนอดเกิดความสวามิศักดิ์ในใจไม่ได้


 


 


ผ่านไปหนึ่งเค่อ สวีโย่วยกมือ ก็เห็นหลวงจีนที่สวมจีวรแบบเดียวกับวัดจยาหลานแวบออกมา “คุณชาย” พวกเขาก้มศีรษะลงเล็กน้อยยืนอยู่ตรงหน้าสวีโย่วรอฟังคำสั่ง


 


 


สวีโย่วหันหลังกลับ มองหลวงจีนเต้ากวง “พระอาจารย์ ท่านควรจะไปขอความช่วยเหลือที่เขาด้านหลังได้แล้ว เส้นทางภูเขาขรุขระเดินลำบาก ผู้น้อยหาผู้ช่วยสองคนมาให้ท่าน” บอกเป็นนัยเล็กน้อย หลวงจีนสองคนนั้นก็ยืนขนาบข้างหลวงจีนเต้ากวง


 


 


นี่หมายความว่าไม่ไว้ใจตน หลวงจีนเต้ากวงมองผู้ช่วยที่เตรียมให้ตนปราดหนึ่ง ผืนหัวเราะในใจ ไม่มีทางหันหลังกลับนานแล้ว แม้ว่าข้างหน้าจะเป็นหน้าผาก็ทำได้เพียงกระโดดลงไป


 


 


แสงเพลิงและการเคลื่อนไหวในวัดจยาหลานย่อมดังไปถึงเขาด้านหลังแล้ว “หัวหน้า แย่แล้ว ทหารล้อมเขาไว้แล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะ”


 


 


หัวหน้ายืนอยู่บนหินก้อนใหญ่หนึ่งก้อน หรี่ตามองแสงเพลิงในวัดจยาหลาน บนใบหน้ามีความเคร่งขรึม “ไปไหนเล่า หากไม่มีวัดจยาหลานแล้ว พวกเราพี่น้องหลายพันคนนี้ยังจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หรือ” ไม่มีการเลี้ยงดูของวัดจยาหลาน ข้าวของเครื่องใช้ของพวกเขาจะไปหามาจากไหน “ไม่ได้ พวกเราต้องปกป้องวัดจยาหลาน”


 


 


“หัวหน้า ท่านต้องคิดให้ดีๆ! พวกเรารู้อยู่แล้วว่านี่เป็นการพุ่งเป้ามาที่พวกเรา ท่านไม่อาจตกหลุมพรางพวกเขาได้! สุภาษิตว่าไว้ ตราบใดที่ยังมีชีวิตย่อมต้องมีความหวัง ไม่มีวัดจยาหลานแล้ว ไม่ใช่ว่ายังมี…” ภายใต้สายตาที่เย็นเยียบของหัวหน้าคนผู้นั้นก็ไม่กล้าพูดต่อแล้ว


 


 


หัวหน้าสีหน้าเรียบเฉย ทำให้คนทายไม่ถูกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคนต่างก็กระวนกระวายใจ เงียบเป็นเป่าสาก เสียงตะโกนฆ่าในวัดจยาหลานก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โจมตีหัวใจคนทุกคน


 


 


“ข้าจะพาคนครึ่งหนึ่งไปหนุนวัดจยาหลาน พวกเจ้าอยู่ที่เขาด้านหลังคอยหาโอกาสลงมือ” มือของหัวหน้าโบกบัญชาหนักๆ ตัดสินใจด้วยความรวดเร็ว


 


 


“หัวหน้า ให้พวกข้าไปหนุนวัดจยาหลานดีกว่า และไม่จำเป็นต้องใช้กำลังพลครึ่งหนึ่ง ห้าร้อยก็พอแล้ว ฟังจากเสียงจำนวนทหารน่าจะมีไม่เยอะ” หัวหน้าเล็กผู้หนึ่งกล่าว


 


 


หัวหน้าโบกมือ “ทำตามคำสั่ง”


 


 


หัวหน้าพาคนครึ่งหนึ่งวิ่งไปยังวัดจยาหลานด้วยความเร่งรีบ ระหว่างทางก็เจอหลวงจีนเต้ากวงที่มาของความช่วยเหลือที่เขาด้านหลัง


 


 


หลวงจีนเต้ากวงและคนทั้งสองสภาพจนตรอก บนจีวรเปรอะเปื้อนรอยเลือด ราวกับวิ่งฆ่าออกมาจากกองทัพใหญ่ เมื่อเห็นหัวหน้า ดวงตาก็ลุกวาว ตะโกนกล่าวด้วยความตื่นเต้นดีใจ “เร็ว รีบไปช่วยคน ทหารเยอะยิ่งนัก มีถึงสองสามพันคน ในวัดแทบจะประคองไม่อยู่แล้ว” เขาหายใจหอบกล่าว


 


 


แววตาของหัวหน้านิ่งงัน สองสามพันหรือ กำลังพลครึ่งหนึ่งนี้ของตน บวกกับนักบวชหลายร้อยในวัด ก็ทำได้เพียงสู้รบไล่เลี่ยกัน แต่ฝ่ายตนมีข้อดี นั่นก็คือคุ้นเคยภูมิประเทศ อืม อัตราชนะยังคงสูงอย่างยิ่ง


 


 


“รีบไป ยังรออะไรอีก” หัวหน้าพาคนวิ่งไปยังวัดจยาหลานด้วยความรวดเร็ว


 


 


หลวงจีนเต้ากวงถอนหายใจอย่างโล่งอก กำลังจะเดินตามกลับไป ถูกผู้ช่วยหนึ่งขวางไว้ จับแขนหลวงจีนเต้ากวงกับผู้ช่วยสองหลบเข้าไปในป่า


 


 


หัวหน้ากำลังรีบไปช่วยคน ไม่ทันได้สังเกตว่าหลวงจีนเต้ากวงตามมาหรือไม่ ยังคิดว่าเขาอยู่ข้างหลังกองทัพอยู่เลย


 


 


กว่าหัวหน้าจะตระหนักถึงความผิดปกติได้ เขาก็ถูกสวีโย่วตัดทางหนีทีไล่หันกลับไม่ได้แล้ว เขาเห็นคุณชายสูงส่งที่สง่าผ่าเผยผู้นั้นยืนอยู่นอกวิหารใหญ่ จากนั้นจึงเห็นนักบวชที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา ท้ายที่สุดก็ส่งสายตาไปยังชายฉกรรจ์ชุดดำที่ตะโกนฆ่าสู้รบกันอยู่ ยังมีอะไรไม่เข้าใจอีก


 


 


“ท่านเป็นใคร” ดวงตาหัวหน้ามีความรู้สึกอาฆาตแค้นแวบผ่าน


 


 


สวีโย่ววางท่าทีสบายๆ “ข้าเป็นใครสำคัญด้วยหรือ ในเมื่อมาแล้ว เช่นนั้นก็อยู่ที่นี่ให้หมดเถอะ”


 


 


“เหอะ ท่าทางการพูดของท่านโอ้อวดยิ่งนัก ไม่รู้เหมือนกันว่าฝีมือจะเป็นอย่างไร คิดจะฆ่าพวกข้าหรือ เช่นนั้นก็ลองดูเถอะ” หัวหน้ากล่าวอย่างเย็นเยียบ “ฆ่า!” เขาชักมีดคู่ออกมาจากนั้นก็วิ่งไปยังทหารเงาที่อยู่ใกล้เขาที่สุด


 


 


สวีโย่วเองก็ขยับแล้ว เขาไม่ได้ใช้กระบี่ แต่จับทวนยาวที่เจียงเฮยส่งมาให้เขา ตกลงสู่มืออย่างหนักหน่วง “ทวนดี!” เขาเอ่ยชมหนึ่งประโยค วันนี้เขาอยากลองราชันอาวุธที่ถูกน้องสี่แซ่เสินเทิดทูนมากเป็นพิเศษดูบ้าง


 


 


เขากระโดดออกไปราวกับนกใหญ่สยายปีก ทวนยาวในมือแทงติดๆ กัน ประหนึ่งมังกรคะนองน้ำที่โผล่ออกมาจากน้ำลึก บีบรัดพลังที่มิอาจหลบหลีกหนึ่งกลุ่ม เขาลอยขึ้น หมุนตัวกลางอากาศ โบกม่านแสงแวววับหนึ่งผืน ดุจดวงดาราระยิบระยับที่ตกลงท่ามกลางนภาในยามราตรี ม่านแสงหายไป สวีโย่วยืนอย่างมั่นคง รอบด้านเขามีคนหนึ่งวงล้มลง


 


 


เขากุมทวนยืนตรง ปลายทวนชี้ออกข้างหน้า สายตากวาดไปทั่วทุกแห่ง ทหารกบฏบนเขาด้านหลังถอยทัพพร้อมกัน “ทวนดี!” สวีโย่วกล่าวชมอีกครั้ง ในสนามรบแห่งนี้ ยังคงเป็นทวนยาวที่ใช้ได้คล่องมือ! มิน่าเล่าน้องสี่แซ่เสิ่นถึงได้ชอบใช้ดาบหมื่นโลหิตเพียงนั้น สวีโย่วแหงนหน้าผิวปากยาว ในใจฮึกเหิมอย่างยิ่ง กระโดดเข้าวงรบอีกครั้ง


 


 


แทบจะหนึ่งทวนหนึ่งคน สวีโย่วฆ่าอย่างมีความสุข ส่วนนักบวชที่ยืนมองดูอยู่นอกวิหารใหญ่ก็แทบจะอกสั่นขวัญแขวน น…นี่คือคุณชายอ่อนแอที่ทุกวันถูกคนพยุงแม้แต่ถนนก็เดินไม่ได้ผู้นั้นหรือ เห็นชัดๆ ว่าเป็นเทพสังหาร! บางคนที่ขี้ขลาด ก็ขาอ่อนสั่นระริกนั่งลงไปบนพื้นอยู่นานแล้ว แม้ว่าจะเป็นคนที่กล้าหาญ ทั่วทั้งร่างก็เย็นชืด รู้สึกว่ามือเท้าต่างก็คล้ายกับชาไปหมดแล้ว


 


 


สวีโย่วกับหัวหน้าสู้รบด้วยกัน หัวหน้าเป็นชายอายุประมาณสามสิบ ร่างสูงแปดฉื่อ รูปร่างกำยำ สวีโย่วอยู่ต่อหน้าเขาก็เหมือนกับไก่อ่อน


 


 


ตอนแรก หัวหน้าไม่เห็นสวีโย่วอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ แต่ยิ่งรบหัวใจเขาก็ยิ่งเย็น เสื้อของตนถูกฝ่ายตรงข้ามแทงจนเป็นรูนับไม่ถ้วนแล้ว ส่วนตนเองกลับแตะไม่ได้แม้แต่ชายเสื้อของฝ่ายตรงข้าม


 


 


นอกประตูวัดมีเสียงตะโกนฆ่าดังขึ้น สวีโย่วก็รู้ว่ากองทัพใหญ่ของราชสำนักมาแล้ว การเคลื่อนไหวในมือก็เร็วยิ่งขึ้น ส่วนหัวหน้าก็ตื่นตระหนกยิ่งขึ้น


 


 


สวีเวยคือผู้บัญชาการใหญ่ของกองทัพรักษาพระองค์ และเป็นคนสนิทที่จักรพรรดิยงเซวียนไว้ใจที่สุด ตอนนี้เขาถือพระราชโองการลับนำกองทัพรักษาพระองค์ห้าพันนายมาสมทบกับคุณชายใหญ่ เขาวิ่งเข้ามาในวัดจยาหลาน เห็นคุณชายใหญ่ผู้นั้นแทงคนที่แต่งตัวเป็นหัวหน้าติดอยู่กับพื้น มุมปากก็กระตุกอย่างอดไม่ได้ คนนอกต่างก็กล่าวว่าคุณชายใหญ่เป็นคนขี้โรค แต่จะมีใครรู้บ้างว่าเขากล้าหาญเ**้ยมโหดเพียงนี้


 


 


สวีโย่วเองก็มองเห็นสวีเวยแล้ว พยักหน้าบอกเป็นนัยให้เขาเล็กน้อย ปากก็ส่งเสียงผิวปากที่แหลมเปรียวเสียงหนึ่งออกมา ทหารเงาที่กำลังสู้รบก็มารวมตัวข้างกายสวีโย่วทันที เมื่อรวมตัวได้เกือบครบแล้ว เขาก็พาคนไปยังเขาด้านหลัง ส่งสนามรบในวัดจยาหลานให้สวีเวยรับมือต่อ


 


 


หลวงจีนเต้ากวงที่ถูกทหารเงาคุมตัวไปจับต้นชนปลายไม่ถูกเล็กน้อย เดิมเขาคิดว่าสวีโย่วกลับคำคิดจะเอาชีวิตเขา แต่ทหารเงาสองคนนี้เพียงแค่คุมตัวเขาไปข้างๆ ไม่ได้ทำให้เขาลำบาก แต่ก็ไม่พูดอะไรกับเขาเช่นกัน


 


 


“โยมทั้งสอง หากไม่มีอะไรก็โปรดพาอาตมาออกไป ก่อนหน้านี้โยมสวีรับปากไว้แล้ว” หลวงจีนเต้ากวงพูดอีกครั้ง


 


 


คราวนี้ทหารเงาตอบกลับแล้ว “ไม่รีบ เขาด้านหลังยังมีกำลังพลอีกครึ่งมิใช่หรือ ไปเถอะ หน้าที่ของพระอาจารย์ยังไม่เสร็จเลย”


 


 


สบสายตาที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของทหารเงา หัวใจของหลวงจีนเต้ากวงก็พลันเต้น คาดไม่ถึงว่าพวกเขารู้แม้แต่เรื่องที่เมื่อครู่มีกำลังพลไปเพียงครึ่งหนึ่ง คิดว่าตนโชคดี คิดว่าอย่างไรเสียก็ปกป้องกำลังพลครึ่งหนึ่งให้นายท่านได้


 


 


ช่างเถอะๆ มาถึงขั้นนี้แล้ว ไหนเลยจะยังต้องห่วงนายท่านอะไรอีก ปกป้องชีวิตตัวเองเถอะ


 


 


หลวงจีนเต้ากวงไปขอความช่วยเหลือที่เขาด้านหลังต่อ เดิมยังกังวลว่าโน้มน้าวพวกเขายังต้องเปลืองน้ำลายมากกว่านี้ ไม่นึกว่าเมื่อพวกเขาได้ยินว่าสถานการณ์ในวัดจยาหลานไม่ดี ก็นำกำลังพลครึ่งหนึ่งที่เหลือไปทันที


 


 


ไม่ไปได้หรือ หัวหน้ายังอยู่ในวัดจยาหลาน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องช่วยหัวหน้ากลับมา ไม่มีหัวหน้าพวกเขาก็จะถูกตัดความสัมพันธ์กับเบื้องบน


 


 


ยังไปไม่ถึงวัดจยาหลาน ก็ถูกสวีโย่วนำคนมาซุ่มโจมตีระหว่างทาง เห็นทหารกบฏบนเขาด้านหลังที่ถูกธนูยิงล้มอย่างต่อเนื่อง มุมปากของสวีโย่วก็เผยรอยยิ้มกระหายเลือดออกมา


 


 


มีทหารเงาสมทบกับกองทัพรักษาพระองค์ ทหารกบฏบนเขาด้านหลังก็หนีไปไม่ได้แม้แต่คนเดียว ถึงรุ่งสางสนามรบก็ถูกเก็บวาดจนเรียบร้อย ทั่วทุกหนทุกแห่งในวัดจยาหลานต่างก็เผาไม้จันทร์ จึงกลบกลิ่นคาวเลือดได้


 


 


เรื่องหลังจากนี้สวีโย่วไม่คิดจะยุ่งแม้แต่นิดเดียว ทั้งหมดโยนให้สวีเวยผู้บัญชาการใหญ่ ตอนนี้ใจเขาอยากกลับบ้านเต็มทน ทั้งสมองคิดแต่เพียงจะแต่งน้องสี่แซ่เสิ่นเด็กคนนั้นกลับบ้าน 

 

 


ตอนที่ 212-1 วันสมรสกำหนดแล้ว

 

เสิ่นเวยกำลังตามฮูหยินสวี่ป้าสะใภ้ใหญ่ของนางไปเป็นแขกที่บ้านฝั่งมารดา 


 


 


สวี่เหลิ่งเหมยเห็นเสิ่นเวยมาแต่ไกลก็ยกกระโปรงวิ่งเข้ามาแล้ว “ท่านพี่เวย” ตะโกนเรียกเสิ่นเวยเสร็จแล้วก็เพิ่งจะทำความเคารพฮูหยินสวี่ข้างๆ “ท่านอา” 


 


 


ฮูหยินโหลวมารดาของสวี่เหลิ่งเหมยอยู่ข้างหลังมองท่าทางโง่เขลาของบุตรสาวตัวเอง อดไม่ได้ที่จะทำหน้ากลุ้มใจ นี่บุตรสาวโง่เขลาตระกูลใดกัน ตีให้ตายก็ไม่ยอมรับว่าเป็นบุตรสาวตระกูลตน หิ้วไป หิ้วไป รีบหิ้วไปให้ไว 


 


 


โชคดีที่ฮูหยินสวี่รู้นิสัยของหลานสาวเป็นอย่างดี จึงไม่ได้โกรธ ยิ้มแย้มมองนางจับมือของเวยเอ๋อร์แล้วกล่าว 


 


 


“ท่านพี่เวย เหตุใดท่านถึงไม่มาเล่นกับข้าเล่า ข้าอยู่คนเดียวในจวนแทบจะอึดอัดตายอยู่แล้ว ข้าอยากไปหาท่านที่จวนโหว ท่านแม่ก็ไม่อนุญาต บอกว่าท่านยุ่งอยู่ ท่านพี่เวยท่านยุ่งอะไรหรือ” สวี่เหลิ่ง 


 


 


เหมยมองเสิ่นเวยด้วยดวงตาเป็นประกาย 


 


 


คราวนี้ไม่เพียงแต่ฮูหยินโหลวอยากก่ายหน้าผาก แม้แต่ฮูหยินสวี่ก็อดหัวเราะไม่ได้ “เด็กโง่ แม่เจ้าไม่ได้หลอกเจ้า พี่เวยของเจ้ายุ่งจริงๆ” 


 


 


สวี่เหลิ่งเหมยเด็กคนนี้ยังถามอีกว่ายุ่งอะไร 


 


 


ฮูหยินโหลวจิ้มหน้าผากลูกสาวด้วยความเจ็บใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้ “พี่เวย 


 


 


ของเจ้าหมั้นหมายแล้ว อีกประเดี๋ยวก็จะออกเรือนแล้ว เจ้าคิดว่าวันทั้งวันจะว่างไม่มีอะไรทำเหมือนเจ้าหรือไร” 


 


 


ส่วนสวี่เหลิ่งเหมยก็กุมหน้าผากหัวเราะใสซื่อ มีความสุขมากเป็นพิเศษ ฮูหยินโหลวโมโหจะตายอยู่แล้ว บุตรสาวเช่นนี้จะแต่งออกเรือนได้จริงๆ หรือ แต่งออกไปแล้วจะดีจริงๆ หรือ หรือว่าจะปรึกษากับนายท่าน ดูว่าเขามีศัตรูการเมืองในราชสำนักหรือไม่ ให้บุตรสาวแต่งเข้าไปทำลายตระกูลเขาเสีย 


 


 


เสิ่นเวยทำความเคารพฮูหยินโหลว “คารวะท่านน้าสะใภ้ใหญ่” ยังไม่ทันจะย่อขาก็ถูกฮูหยินโหลวดึงขึ้นมาแล้ว “ดูเด็กคนนี้สิ ยังเกรงใจน้าอยู่เลย ยิ่งโตยิ่งสวยจริงๆ ไม่เจอกันเดือนกว่า เวยเอ๋อร์สวยขึ้นแล้ว” นางจับมือของเสิ่นเวยกล่าวชม รอยยิ้มบนใบหน้าเป็นมิตรอย่างยิ่ง 


 


 


เสิ่นเวยยิ้ม ทักทายพี่รองของนาง ลูกสะใภ้คนโตของฮูหยินโหลวตามสามีออกไปทำงานราชการข้างนอกแล้ว ไม่อยู่ในจวน ดังนั้นคนที่อยู่ข้างกายฮูหยินโหลวจึงเป็นลูกสะใภ้รองของนาง ก็คือเสิ่นซวงพี่รองของเสิ่นเวย 


 


 


เสิ่นซวงประคองแขนของฮูหยินโหลว ท่าทางสนิทสนมอย่างยิ่ง ฮูหยินสวี่มองบุตรสาวตนปราดหนึ่ง เห็นนางมีท่าทางผ่อนคลาย สีหน้าดีอย่างยิ่ง จึงวางใจลง แม้จะรู้ว่าพี่สะใภ้ใหญ่ดีต่อบุตรสาวนาง แต่อย่างไรเสียมาเห็นด้วยตาตัวเองจึงจะเชื่อ 


 


 


ฮูหยินอาวุโสในจวนสวี่อายุมากแล้ว ก่อนหน้านี้ก็กำชับว่าไม่ต้องตั้งใจมากเยี่ยมเยียนเป็นพิเศษ อีกทั้งฮูหยินสวี่ก็กลับบ้านฝั่งมารดา ไม่ถือว่าเป็นคนนอก อยากเจอมารดาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ ด้วยเหตุนี้คนหนึ่งแถวจึงไปพูดคุยที่เรือนฮูหยินโหลวก่อน 


 


 


ฮูหยินโหลวลากฮูหยินสวี่มาพูดคุย “ฉู่ถงเอ๋อร์ที่น้องพูดถึงคือบุตรสาวคนโตบ้านน้องกวง เป็นเด็กดี ในตระกูลเป็นคนที่มีความสามารถยอดเยี่ยมไม่เป็นรองใคร เพียงแต่เรื่องสมรสไม่ค่อยสมหวังนัก นี่เองก็โทษบุตรสาวตระกูลเขาไม่ได้ อันที่จริงแล้วไว้ทุกข์จนล่าช้า” นางหยุดครู่หนึ่ง ละสายตามองเด็กสาวที่นั่งตัวตรงอยู่ข้างๆ ปราดหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวต่อ “ครอบครัวบ้านน้องกวงดีอย่างยิ่ง น้องสะใภ้ตระกูลเขาก็เป็นคนเพียบพร้อม ทั้งตระกูลปรองดองรักใคร่กัน ข้าว่า ก็แค่บุตรสาวอายุมากไปสองปีมิใช่หรือ บุตรสาวเป็นคนดีสำคัญกว่าสิ่งใดมิใช่หรือ หากข้ามีลูกชายอีก ก็ยอมที่จะสู่ขอฉู่ถงเอ๋อร์เป็นลูกสะใภ้ ดีกว่าสู่ขอคนที่ไม่มีระเบียบแบบแผนเข้ามา” 


 


 


ฮูหยินสวี่กล่าวคล้อยตาม “พูดได้ว่า แต่งภรรยาแต่งสตรีมีคุณธรรม อะไรก็สู้คนดีไม่ได้” ตอนที่พูดเช่นนี้นางก็มองเสิ่นเวยปราดหนึ่ง 


 


 


“ข้าพูดมากกว่านี้ก็เหมือนเสแสร้ง อีกประเดี๋ยวน้องสะใภ้ตระกูลน้องกวงกับฉู่ถงเอ๋อร์มาเจ้าก็ดูเองแล้วกัน” ฮูหยินโหลวยิ้ม 


 


 


ฮูหยินสวี่กล่าวด้วยความสนใจใคร่รู้ “ก็จริง ข้าไม่ได้เจอฉู่ถงเอ๋อร์มาหลายปีแล้ว ฟังว่าเติบโตมาราวกับบุปผา อีกประเดี๋ยวจะต้องตั้งใจดูให้ดีแล้ว” 


 


 


เสิ่นเวยรีบลุกขึ้นยืนโค้งคำนับขอบคุณฮูหยินโหลว “ขอบคุณท่านน้าสะใภ้ใหญ่ที่เป็นห่วง ไม่ปิดบังท่านน้าสะใภ้ใหญ่ ลูกผู้พี่ของข้าที่บ้านท่านตาข้าผู้นั้น แม้ว่าในตระกูลจะเทียบเมื่อก่อนไม่ได้ แต่ลูกผู้พี่ของข้าผู้นั้นกลับเป็นคนดีอย่างยิ่ง ประพฤติตนซื่อสัตย์ยึดมั่นในจริยธรรม ทั้งยังสร้างอนาคตได้ด้วยตัวเอง ตระกูลเขาก็ไม่ขออย่างอื่น เพียงแค่เป็นคนดี กตัญญู ดูแลบ้านได้ ส่วนรูปร่างหน้าตาต่างๆ ขอเพียงแค่หน้าตาได้สัดส่วนก็พอแล้ว เหมือนอย่างที่ท่านน้าสะใภ้ว่า แต่งภรรยาแต่งสตรีมีคุณธรรม ลูกผู้พี่ข้าเองก็ไม่ได้มีนิสัยเสเพลเจ้าชู้ประตูดิน อายุมากหน่อยก็ไม่เป็นไร นิทานพื้นบ้านยังบอกไว้ว่า ‘แก่กว่าหุ้มทอง 3 ก้อน[1]’ มิใช่หรือ” 


 


 


ดวงตาของเสิ่นเวยมีความจริงใจ “ท่านตาข้าไม่มีแม้แต่สตรีในครอบครัวที่สามารถออกหน้าได้ คาดหวังกับผู้ชายสองคนในบ้านก็ไม่ประสบความสำเร็จ ข้าที่เป็นหลานสาวจะช่วยเหลือสักเล็กน้อยไม่ได้เลยหรือ เพียงแต่ต้องลำบากท่านน้าสะใภ้ใหญ่ให้ต้องเหนื่อยไปด้วย ในใจข้ารู้สึกเสียใจจริงๆ” 


 


 


คำพูดหลายประโยคพูดได้อย่างรอบคอบไร้ช่องโหว่ พูดจนฮูหยินโหลวแย้มยิ้มดีใจ “ดูเวยเอ๋อร์พูดเข้า ยังจะเกรงใจน้าอยู่ทำไม น้าเห็นเจ้าเป็นเหมือนกับพี่รองของเจ้าและเหมยเอ๋อร์ เด็กดี มีอะไรเจ้าก็มารบกวนน้าได้เลย น้ายินดี” 


 


 


คำพูดนี้ฮูหยินโหลวพูดด้วยความสัตย์ซื่อจริงใจ ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่เวยเอ๋อร์ช่วยบุตรสาวนางไว้ เพียงแค่นิสัยของเสิ่นเวย ฐานะตำแหน่งกับบ้านว่าที่สามี ก็เพียงพอให้นางผูกมิตรอย่างยิ่งแล้ว 


 


 


ขณะที่กำลังพูด ก็มีสาวใช้เข้ามารายงานว่ากวงต้าไหน่ไนตระกูลนายท่านกวงมาถึงแล้ว ไม่นานนัก ก็เห็นสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งพาเด็กสาวชุดกระโปรงสีม่วงผู้หนึ่งเดินเข้ามา 


 


 


“ไอหยา น้องสะใภ้มาเสียที ไม่เจอกันนานเลย ฉู่ถงเอ๋อร์โตเป็นสาวแล้ว สวยจริงๆ” ฮูหยินโหลวต้อนรับอย่างเป็นมิตร 


 


 


จางซื่อเองก็ยิ้มทักทาย “นางเพียงแค่มีหน้าตาได้สัดส่วนเล็กน้อย ไหนเลยจะควรค่าให้พี่สะใภ้ใหญ่เชยชม ข้ากลับคิดว่าเหมยเอ๋อร์ของพวกเราอ่อนหวานน่ารัก ภรรยาของหรงเอ๋อร์ก็สง่าผ่าเผย น้องใหญ่กลับมาแล้ว ดูสีหน้าสิ เด็กลงกว่าเดิมอีก!” นางพูดถึงคนทั้งหมดในลานรอบหนึ่งอย่างชาญฉลาด หลังจากนั้นสายตาก็ลุกวาว มองใบหน้าของเสิ่นเวย “เด็กสาวที่ราวกับนางฟ้าผู้นี้ไม่ค่อยคุ้นหน้านัก!” 


 


 


ฮูหยินสวี่ดึงเสิ่นเวยมาแนะนำ “นี่คือเวยเอ๋อร์หลานสาวบ้านสามีของข้า พ่อนางทำงานอยู่ในกรมพิธีการ” จากนั้นก็กล่าวกับเสิ่นเวย “เวยเอ๋อร์ นี่คือพี่สะใภ้บ้านพี่ใหญ่กวงผู้นั้นของข้า ฮูหยินของท่านราชบัณฑิต นี่คือบุตรสาวของนาง ชื่อฉู่ถง โตกว่าเจ้าเล็กน้อย เจ้าต้องเรียกนางว่าพี่” 


 


 


เสิ่นเวยโค้งตัวทำความเคารพ “เคารพฮูหยิน ท่านพี่ฉู่ถง” 


 


 


จางซื่อยื่นมือจับเสิ่นเวยขึ้นมา “นี่ก็คือเวยเอ๋อร์ที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นจวิ้นจู่ผู้นั้นใช่หรือไม่ เป็นหญิงงามจริงๆ! ว่ากันตามจริงข้าควรจะเคารพจวิ้นจู่เหนียงเหนียง วันนี้ข้าอาศัยบารมีของน้องใหญ่ เรีบกเจ้าว่าเวยเอ๋อร์ เวยเอ๋อร์เองก็อย่าเรียกข้าว่าฮูหยินเลย เรียกว่าน้าสะใภ้จะดูสนิทกว่า” 


 


 


ฮูหยินสวี่รีบกล่าว “ดูพี่สะใภ้ใหญ่กวงพูดเข้า พวกเราไม่ใช่คนนอก นางเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ จะต้องเคารพอะไรกัน วันนี้พวกเราเพียงมาพบปะญาติๆ” 


 


 


เสิ่นเวยย่อมเอ่ยปากเรียกจางซื่อว่าน้าสะใภ้อย่างว่าง่าย ได้รับปิ่นปักผมเลี่ยมดอกเหมยหนึ่งอันเป็นของขวัญพบหน้า จากนั้นก็พูดคุยกับฉู่ถงและคนอื่นๆ เล็กน้อย 


 


 


สายตาของเสิ่นเวยมองประเมินสวี่ฉู่ถงอยู่เงียบๆ หากบอกว่าสวี่เหลิ่งเหมยอ่อนหวานน่ารัก เช่นนั้นสวี่ฉู่ถงก็งดงามสุภาพ ดวงหน้าแจ่มชัด เรียบร้อยเมตตา ดูก็รู้ว่าเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง เสิ่นเวยพยักหน้าเงียบๆ ในใจ ลูกผู้พี่นางต้องการภรรยาคุณธรรมที่มีความคิดเป็นของตัวเอง ดอกไม้เล็กๆ ที่อ่อนแอไหนเลยจะประคองจวนแม่ทัพใหญ่ได้ 


 


 


ตอนที่เสิ่นเวยมองประเมินสวี่ฉู่ถง สวี่ฉู่ถงเองก็มองประเมินนางอยู่เช่นกัน เมื่อก่อนนางเคยพอใจในหน้าตาของตัวเอง แต่รูปร่างหน้าตาของเด็กสาวผู้นี้ตรงหน้ากลับดีกว่านางสามเท่า เมื่อมองอากัปกิริยานั้น ก็รู้ว่ามารยาทดีอย่างถึงที่สุด ดวงตาที่ยิ้มแย้ม ง่ายอย่างยิ่งที่จะทำให้คนเกิดความรู้สึกดีในใจ 


 


 


ตอนที่มา ท่านแม่หลุดปากบอกจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้กับนางแล้ว นางเองก็รู้ว่าเด็กสาวผู้นี้ก็คือลูกผู้น้องของชนรุ่นหลังแซ่หร่วนผู้นั้น ตั้งใจมาดูตนเอง นึกถึงตรงนี้ในใจนางก็พะว้าพะวงหลายส่วน ไม่รู้เหมือนกันว่าการแสดงออกของตนจะทำให้เด็กสาวผู้นี้พอใจหรือไม่ นิ้วมือก็บิดผ้าเช็ดหน้าอย่างไม่รู้ตัว 


 


 


จางซื่อสังเกตเห็นการกระทำเล็กๆ ของลูกสาว ก็รู้สึกขบขันในใจอย่างอดไม่ได้ 


 


 


ก่อนหน้านี้ลูกสาวดึงดันจะไปดูชนรุ่นหลังแซ่หร่วนผู้นั้นกับตา ตนทนนางรบเร้าไม่ไหว จึงรับปาก ใครจะรู้หลังจากที่น้องชายนางพานางไปดูรอบหนึ่ง กลับมานางก็พยักหน้าตอบรับแล้ว ใบหน้างามทั้งใบแดงซ่าน 


 


 


จางซื่อรู้สึกประหลาดใจ ลูกชายบอกนางว่า ถงเอ๋อร์มองดูอยู่ไกลๆ ปราดหนึ่ง ไม่ได้กระทำการเกินเลยแม้แต้นิดเดียว เช่นนั้นบุตรสาวหน้าแดงได้อย่างไร 


 


 


หลังจากไต่ถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า บุตรสาวก็เผยต้นสายปลายเหตุด้วยความเขินอาย ที่แท้แล้วหลายเดือนก่อน ระหว่างทางที่ถงเอ๋อร์กลับมาจากการกราบไหว้บูชาก็บังเอิญเจออันธพาลเสเพล ทำให้ม้าแตกตื่น ชนรุ่นหลังแซ่หร่วนที่ผ่านทางมาช่วยคุมม้าตื่นไว้ให้ จัดการคนเสเพลหลายคนนั้น ทั้งยังคุ้มกันนางเข้าเมืองด้วยตัวเอง ภายหลังไม่ทิ้งไว้แม้แต่ชื่อแซ่ก็จากไปแล้ว 


 


 


เรื่องนี้จางซื่อเองก็ทราบ หลังกลับจวนบ่าวรับใช้ก็เล่าเรื่องนี้ให้นางฟัง นางยังกอดลูกสาวรู้สึกโชคดีไปพลางหวาดกลัวไปพลาง ว่ากันตามตรงบุตรสาวโชคดีได้พบบุคคลผู้ทรงเกียรติ ไม่คิดว่าบุคคลผู้ทรงเกียรตินี้จะเป็นชนรุ่นหลังแซ่หร่วนผู้นั้น ช่วยคนไม่ทวงบุญคุณ เห็นได้ว่าเป็นคนนิสัยดี อย่าว่าแต่บุตรสาวยินยอม แม้แต่ตน ก็ยินยอมเช่นกัน 


 


 


“พอแล้ว เหมยเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องเบ้ปากแล้ว รีบพาพี่เวย พี่ถงของเจ้าไปเล่นที่สวนของเจ้ากับพี่สะใภ้รองเถอะ” ฮูหยินโหลวมองลูกสาวอย่างขบขำ 


 


 


จางซื่อฮูหยินสวี่เองก็กล่าว “ไปเถอะ ไปเถอะ พวกข้าคุยกันพวกนางจะเบื่อเอา ไม่บังคับกัน พวกเจ้าไปเล่นกันเองเถอะ” 


 


 


สวี่เหลิ่งเหมยลุกขึ้นยืนด้วยความดีใจทันที “ท่านพี่สะใภ้รอง ท่านพี่เวย ท่านพี่ถง พวกเรารีบไปกันเถอะ ข้ายังมีของดีให้พวกท่านดู” มือแต่ละข้างจูงเสิ่นเวยกับสวี่ฉู่ถงจากนั้นก็วิ่งไปข้างนอก ทำให้คนเป็นแม่ทั้งสามหัวเราะไม่หยุด 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] แก่กว่าหุ้มทอง 3 ก้อน หมายถึงภรรยาที่แก่กว่าสามี มีข้อดี 3 ประการ ได้แก่ ดูแลสามีประดุจสามีเป็นลูกชาย ให้คำปรึกษาประดุจสามีเป็นน้องชาย และต่อหน้าสังคมเคารพเชื่อฟังสามีเหมือนภรรยาทั่วไป 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)