หมอดูยอดอัจฉริยะ 211-220

 ตอนที่ 211

 

“เฟอร์เร็ตสายฟ้า? ชื่อนี้คุ้นหูนะ…”


เยี่ยเทียนคิดย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เฟอร์เร็ตรุ่นกระทงและงูต่อสู้กัน เขาพยักหน้า ปฏิกิริยาของมันไว้เหมือนฟ้าแลปจริงๆ ตอนนั้นสายตาเขาเองก็มองตามแทบไม่ทัน


“เจ้าตัวน้อยนี้ เมื่อโตแล้วจะมีน้ำพิษชนิดหนึ่งอยู่ในเขี้ยว ถึงแม้จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ถ้ากัดคนหรือว่าสัตว์แล้ว จะทำให้ร่างกายเป็นเหน็บชา บนภูเขาหิมะแห่งนี้ ต่อให้เป็นเสือดาวหิมะเห็นเฟอร์เร็ตสายฟ้าตัวนี้แล้วยังต้องยอมถอยไปหลายก้าวทีเดียว!”


เหล่าอู๋ไม่ได้ปกปิดความชอบที่ตัวเองมีต่อเฟอร์เร็ตสายฟ้าเลยแม้แต่น้อย มักจะคอยใช้มือลูบเฟอร์เร็ตสายฟ้าน้อยอยู่ตลอด แต่เห็นได้ชัดทีเดียวว่าเจ้าตัวน้อยไม่ค่อยชอบเขาเท่าไร สนใจแต่ดูดนิ้วมือของเยี่ยเทียน


“ลุงอู๋ แล้วพวกเฟอร์เร็ตสายฟ้าด็กนี่กินอะไรบ้างล่ะ” เยี่ยเทียนเอ่ยปากถาม


“น่าจะกินพวกนมผงหรือเปล่า?” เหล่าอู๋ก็ไม่ค่อยมั่นใจเหมือนกัน เขาเพียงแต่เคยได้ยินถึงสัตว์ประเภทนี้มา แต่ไม่เคยเห็นคนเลี้ยงได้สำเร็จ


“ผมจะไปชงนมให้มันก่อน” เหล่าอู๋ถูกชะตากับเจ้าหนุ่มคนนี้เป็นอย่างมาก วิ่งเหยาะๆ ออกไปหานมผงแล้ว หลังจากผ่านไปห้าถึงหกนาที ก็เห็นเขายกถ้วยเล็กๆ เดินกลับมาที่ห้อง


“ไม่ดื่มเหรอ”


เยี่ยเทียนนำเอาศีรษะของเฟอร์เร็ตเด็กวางไว้ที่ถ้วยเล็กๆ แต่เจ้าตัวน้อยนี้ได้แต่ดม แล้วก็ขยับศีรษะออกมา จากนั้นก็กอดนิ้วมือของเยี่ยเทียนแทะเล่นต่อ โดยไม่สนใจนมผงชงถ้วยนั้นเลยแม้แต่น้อย


เยี่ยเทียนพลันนึกได้ถึงเรื่องที่เฟอร์เร็ตเด็กกินน้ำจากกลีบดอกไม้ จึงมองไปทางเหล่าอู๋แล้วถาม “ลุงอู๋ กลีบบัวหิมะที่ผมหาเจอเมื่อวานล่ะ? มันกินของพวกนี้แหละ!”


เหล่าอู๋ส่ายหน้า แล้วพูดอย่างลำบากใจ “ของชิ้นนั้นส่งให้เขตปกครองไปแล้ว เสี่ยวเยี่ย กลีบบัวหิมะเหลือแค่กลีบนั้นเพียงกลีบเดียว ต่อไปนายจะเอาของพวกนั้นให้มันกินตลอดก็ไม่ได้หรอกใช่ไหมล่ะ?”


“เจ้าตัวน้อยนี้คงไม่ได้อยากกินเนื้อหรอกนะ?” เยี่ยเทียนพลันเกิดความคิดประหลาดขึ้นมา


เหล่าอู๋สะดุ้งตกใจคำพูดของเยี่ยเทียน จึงรีบพูดอย่างพัลละวันว่า “เฮ้อ ฉันไม่ได้ว่านะเสี่ยวเยี่ย นายอย่าให้มันกินอะไรมั่วซั่วนะ ถ้ากินแล้วท้องเสียมันจะตายได้!”


“แต่ไม่ได้กินอะไรเลยก็ตายเหมือนกัน!” เยี่ยเทียนส่ายหน้า ไม่รู้จะจัดการกับเจ้าตัวน้อยอย่างไรดี พลางคิดในใจว่าจะไปซื้อพวกผงธัญพืชพวกนี้มาแล้วดูว่ามันจะกินไหม


“เยี่ยเทียน สัตว์ตัวเล็กแค่นี้? มันน่ารักมากจริงๆ นะ!”


ขณะที่เยี่ยเทียนกับเหล่าอู๋กำลังถกเถียงกันว่าเลี้ยงอาหารเจ้าเฟอร์เร็ตเด็กอย่างไรดี เฉินสี่ฉวนเดินมาพร้อมกับตำรวจ


“ลุงเฉิน วันนี้ต้องของคุณคุณลุงเป็นอย่างมาก ถ้าไม่ได้คุณลุง ไม่แน่ผมอาจจะถูกขังไปอีกหลายวัน…” เมื่อเห็นเฉินสี่ ฉวนเดินเข้ามาในห้อง เยี่ยเทียนจึงรีบลุกขึ้นยืน


เขารู้สึกนับถือและขอบคุณชายวัยกลางคนผู้นี้จากใจจริง ถึงแม้เว่ยหงจวินจะช่วยเขาไม่น้อย แต่นั่นเป็นตอนที่หลัง จากรู้ฐานะของเขาแล้ว แต่ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้จุดประสงค์ในการช่วยของเขานั้นบริสุทธิ์ใจมาก โดยไม่ได้หวังให้เยี่ยเทียนทำอะไรเป็นการตอบแทน


“พูดอะไรน่ะ? ลุงเฉินคุ้นเคยกับพื้นที่แถบนี้ แล้วยังจะใจแคบเห็นนายโดนเอาเปรียบได้ยังไง?”


เฉินสี่ฉวนหัวเราะพลางแบมือแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ พวกเราไปหาอะไรกินกัน นายจะได้หายตกใจ ขนาดหิมะถล่มนายยังรอดมาได้ ดูท่าทางแล้วโชคชะตาของนายจะดีอยู่ไม่น้อยทีเดียว!”


เฉินสี่ฉวนเดิมทีก็เป็นคนชอบศึกษาศาสตร์การดูโหงวเฮ้ง ไม่อย่างนั้นคงไม่คุยกับเยี่ยเทียนบนรถไฟนานสิบกว่าชั่วโมงได้หรอก พอคุยไปคุยมาก็พูดถึงโหงวเฮ้งบนใบหน้าของเยี่ยเทียนไปเลย


“ลุงเฉิน ผมก็โชคดีแค่นั้นแหละครับ คุณลุงอย่าคิดมาอีกเลย…” เยี่ยเทียนหัวเราะเจื่อนๆ หน้าตาของเขาแม้แต่นักพรตเฒ่าก็มองไม่ออก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ที่ดูเป็นงานอดิเรกที่อยู่ตรงหน้าคนนี้เลย


เฉินสี่ฉวนจ้องมองเยี่ยเทียนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดอย่างฉับพลัน “เอ๊ะ? ไม่ใช่ เสี่ยวเยี่ย ผมของนายดูเหมือนจะเปลี่ยนไปแล้ว ก่อนหน้านั้นฉันจำได้ว่าผมของนายส่วนใหญ่เป็นสีขาว!”


ตอนที่เยี่ยเทียนเดินทางนั้นถึงแม้จะสวมหมวก แต่ตอนอยู่บนรถไฟก็ถอดออกอยู่สองสามครั้ง เฉินสี่ฉวนจึงจดจำผมสีขาวของเยี่ยเทียนได้อย่างแม่นยำ


“ผมเปลี่ยนไป?” เยี่ยเทียนได้ยินจึงตกตะลึง มองไปรอบด้าน แล้วจึงเห็นตู้เสื้อผ้าที่มีกระจกอยู่ในนั้น จึงรีบวิ่งเข้าไป


“จริงๆ ด้วย!” เยี่ยเทียนพบว่า ผมของตัวเองในกระจก ตั้งแต่โคนผมเปลี่ยนเป็นสีดำหมดแล้ว เหลือแต่ปลายผมที่เป็นสีเทาแซมขาวอยู่บ้าง แต่เวลาที่ผ่านเขตนี้ไป เชื่อว่าเดี๋ยวก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม


“กินบัวหิมะพันปีเข้าไปทั้งดอก หนังศีรษะเปลี่ยนเป็นสีขาวมีอะไรน่าแปลกตรงไหน?” เหล่าอู๋เบ้ปากอยู่ข้างๆ เกิดความพะวงอยู่ในใจกับพฤติกรรมการปู้ยี้ปู้ยำสิ่งธรรมชาติของเยี่ยเทียน


“เหอะๆ ลุงอู๋ ผมไม่ได้ปล้นขโมยมาเสียหน่อย คนที่ขึ้นไปเก็บสมุนไพรบนภูเขาหิมะ เก็บได้มาก็ยังเอามาเป็นของตัวเองไม่ใช่เหรอ?” เยี่ยเทียนได้ยินจึงหัวเราะขึ้นมา ถ้าหากไม่ได้เห็นแก่ที่อีกฝ่ายตัวเองไว้ ไมว่าเขาจะพูดอย่างไรก็จะไปเอากลีบดอกบัวหิมะนั่นกลับคืนมา


หลังจากฟังคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว เหล่าอู๋ก็พูดอะไรไม่ออก เพราะอีกฝ่ายพูดไม่ผิด เขาเป็นคนพบบัวหิมะ เดิมทีก็ต้องเป็นของเยี่ยเทียนอยู่แล้ว หากตัวเองยังเป็นสือถานั่นนี่ก็จะดูเป็นคนใจแคบเกินไป


เมื่อเห็นผมของตัวเองที่เปลี่ยนเป็นสีดำไปเกือบครึ่ง เยี่ยเทียนก็แอบดีใจอยู่บ้าง เขารู้ดีว่า ตัวเองต้องสูญเสียอายุขัยไปเกิดจากการฝืนลิขิตพลิกชะตาให้อาจารย์ ตอนนี้ถือว่าได้ชดเชยกลับมาแล้ว เพียงแค่ใช้เวลาบำรุงร่างกายอีกสามถึงห้าเดือน จะต้องฟื้นฟูกลับมาเหมือนตอนแรกได้แน่นอน


……..


สถานที่ที่ผู้บัญชาการจางเชิญเฉินสี่ฉวนไปเป็นห้องส่วนตัวในร้านอาหารขึ้นชื่อของเขตปกครอง นอกจากเยี่ยเทียนและเฉินสี่ฉวนแล้ว ยังมีรองผู้กำกับการที่มาจากสถานีตำรวจในเขตปกครองอีกสองคน


ตามที่ผู้บัญชาการจางพูดมา อาหารบนโต๊ะนี้ล้วนเป็นโสมภูเขาที่มาจากภูเขาหิมะ เต็มโต๊ะจนผิดปกติ


ผู้บัญชาการจางชอบดื่ม เมื่อนั่งลงแล้วก็ดื่มกับเฉินสี่ฉวนไปสามถ้วย ซึ่งเป็นเหล้าสองร้อยห้าสิบกรัมต่อถ้วย เห็นได้ชัดว่าเถ้าแก่เฉินคอแข็งใช้ได้ ดื่มไปสามถ้วยพูดจาก็ชักจะติดๆ ขัดๆ แล้ว


“เสี่ยวเยี่ย มา พวกเรามาดื่มกันสักถ้วย!” เมื่อเห็นเฉินสี่ฉวนไม่ใช่คุู่ต่อสู้ ผู้บัญชาการจางจึงมาหาเยี่ยเทียนแทน


เยี่ยเทียนได้ยินจึงยกถ้วยเหล้าลุกขึ้นยืน แล้วพูดว่า “ลุงจาง ผมทำให้คุณต้องเดือดร้อนแล้ว เหล้าถ้วยนี้ถือว่าแทนคำขอโทษจากผม คุณไม่ต้องดื่มนะครับ!”


หลังจากพูดจบ เยี่ยเทียนจึงดื่มเหล้าในถ้วยจนหมด นี่คือเหล้าซาวเตาจึที่ครอบครัวชาวนาหมักเอง ดีกรีแรงไม่เบา พอดื่มลงท้องไปหนึ่งถ้วย เยี่ยเทียนรู้สึกได้ถึงความร้อนวาบในท้องทันที


“ดี เหล่าเฉินดูคนไม่ผิด เด็กคนนี้มีอนาคตที่ดีแน่นอน!” คนที่ชื่นชอบสุรา ชอบที่สุดก็คือคนที่ดื่มเหล้าพรวดเดียวหมด ในหน่วยบังคับบัญชาทั้งหมดล้วนรู้ดี เวลาที่ผู้บัญชาการจางสนับสนุนคนนั้น ก็ใช้ความคอแข็งเป็นเกณฑ์มาตรฐาน


“ลุงจาง ผมขอดื่มเพื่อเคารพคุณหนึ่งถ้วยครับ!”


ถึงแม้เยี่ยเทียนจะเป็นคนรู้สึกช้า แต่เมื่อผ่านประสบการณ์ด้านความเป็นความตายมาหนึ่งครั้ง เขาก็ต้องการจะมอมเหล้าตัวเองเสียหน่อย แล้วจึงยกถ้วยเหล้าขึ้นหันไปทางผู้บัญชาการจางและเชิญตำรวจที่นั่งอยู่อีกสองคนให้ยกเหล้าขึ้นมา


การดื่มเหล้ารอบนี้ถึงกับหน้ามืดตาลาย พอถึงช่วงท้ายนอกจากเยี่ยเทียนที่ยังนั่งอยู่แล้ว คนที่่เหลือสองามคนต่างก็ลื่นไหลนอนสลบอยู่ใต้โต๊ะ


“ดื่มเก่งจริงๆ!”


เมื่อเห็นไหเหล้าที่กองอยู่ที่พื้นห้าร้อยกรัมทั้งหมดแปดไหแล้ว เยี่ยเทียนก็รู้สึกปวดศีรษะอยู่บ้าง ขณะที่กำลังจะลุกขึ้นยืนไปเรียกพนักงานมาช่วยแบกคนออกไปนั้น เสียงของเจ้าตัวน้อยก็ร้องดังมาจากกระเป๋า “จี จี”


“เป็นอะไร? แกก็อยากดื่มเหรอ?” ตอนนี้เยี่ยเทียนกำลังเกิดอารมณ์ครึ้มเหล้า จึงยกถ้วยเหล้าที่เหลืออีกนิดหน่อยขึ้นมาแล้ววางไปที่ปากของเฟอร์เร็ตด็ก


“จี จี…จี จี!” เฟอร์เร็ตเด็กใช้กรงเล้บหน้าขยับถ้วยออกไป แล้วกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะพลางร้องไม่หยุด


“อยากกินอาหารใช่ไหม?” ครั้งนี้เยี่ยเทียนเข้าใจแล้ว จึงใช้นิ้วมือชี้ไปที่อาหารบนโต๊ะที่ไม่มีใครแตะ แล้วพูดว่า “ฉันชี้ไปอันไหน ถ้าอยากกินก็พยักหน้านะ!”


เยี่ยเทียนดื่มมากไปจริงๆ เวลานี้ได้ใช้คำพูดของมนุษย์พูดคุยอยู่กับเฟอร์เร็ตเด็ก แต่จะว่าไปก็แปลก เจ้าตัวน้อยราวกับเข้าใจความหมายของเยี่ยเทียน พลางใช้กรงเล็บหน้าทั้งสองข้างประกบเข้าหากัน แล้วผงกหัวน้อยๆ ของมันไปที่เยี่ยเทียนไม่หยุด


“อันนี้? อันนี้? อ๋อ อันนี้เหรอ?” เมื่อชี้อาหารติดต่อกันสองสามจาน และตอนที่เยี่ยเทียนชี้ไปที่น้ำแกงไก่หิมะตก เจ้าเฟอร์เร็ตเด็กก็ร้อง “จี จี” ขึ้นมา


ถือว่าเยี่ยเทียนยังพอมีสติ หยิบถ้วยเล็กมาตักน้ำแกงใส่ไปครึ่งถ้วย และฉีกเนื้อเป็นเส้นๆ อีกให้ แล้วจึงวางเฟอร์เร็ตเด็กลงบนโต๊ะ ดูแล้วเจ้าตัวเล็กคงจะหิวขนาดหนัก ซดน้ำแกงหมดในอึกเดียว แถมเนื้อที่ฉีกเป็นเส้นๆ นั้นก็ถูกมันกลืนลงไปขนหมดเกลี้ยง


“สำเร็จ ถ้าเจ้าอยู่กับพี่เยี่ย ต่อไปก็จะมีเนื้อไก่ให้กินทุกวัน!” เมื่อนำเฟอร์เร็ตเด็กใส่กลับไปในกระเป๋าแล้ว เยี่ยเทียนก็ล้มนอนบนโต๊ะและกรนขึ้นมา


“อื้ม อย่าเล่นน่า จั๊กกะจี้!”


เยี่ยเทียนที่กำลังหลับสนิทรู้สึกว่ามีคนกำลังเกาจมุกตัวเองอยู่ จึงลืมตาขึ้น แล้วจึงเห็นเจ้าเฟอร์เร็ตเด็กกำลังปีนเล่นซุกซนอยู่หน้าของตัวเอง และดวงตาที่เต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาดคู่หนึ่งก็สบตากับเยี่ยเทียนพอดี


“ฮ่าๆ เจ้าตัวเล็ก แกตื่นเร็วเหมือนกันนะ?”


การดื่มจนเมาไปเมื่อสองสามวันก่อนได้ทำให้อารมณ์ที่ตึงเครียดของเยี่ยเทียนได้เบาลางลง บวกกับร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บก็ฟื้นฟูกลับมาแล้ว เขารู้สึกว่าสภาพตอนนี้ดีกว่าเก่ามาก


หลังจากตื่นนอนแล้ว เยี่ยเทียนพบว่าตัวเองก็ถูกคนอุ้มมานอนภายในห้องของรีสอร์ทเทียนฉือเช่นกัน พอเปิดผ้าม่านออก ก้มีแสงอาทิตย์สาดเข้ามาจากข้างนอกแล้ว


เมื่ออาบน้ำแบบลวกๆ แล้ว เยี่ยเทียนจึงออกไปสอบถามห้องพักของเฉินสี่ฉวน ขณะที่กำลังจะออกไปหา เฉินสี่ฉวนกับผู้บัญชาการจางก็เดินเข้ามาพอดี


ถึงแม้เมื่อวานจะถูกเยี่ยเทียนมอมเหล้าเมาจนเมามาย แต่ท่าทางของผู้บัญชาการจางที่มีต่อเยี่ยเทียนกลับมีความสนิทสนมและอบอุ่นใจมากขึ้น พอเดินเข้ามาก็พูดว่า “นายนี่ไม่เลวเลยนะ รอให้เข้าไปในเมือง แล้วพวกเราค่อยดื่มกันใหม่ ถ้าลุงจางอายุเท่านาย จะต้องดื่มชนะนายแน่นอน!”


หลังจากได้ยินคำพูดของผู้บัญชาการจางแล้ว เยี่ยเทียนจึงรีบยกมือยอมแพ้ แล้วเอ่ยพูดว่า “ลุงจาง คุณลุงปล่อยผมไปเถอะครับ ตอนนี้ผมยังรู้สึกปวดหัวอยู่เลย วันหลังถ้าคุณลุงไปปักกิ่ง ผมจะให้คุณลุงดื่มให้หนำใจเลย!”


“ได้ อย่างนั้นพวกเราก็คำไหนคำนั้นนะ!”


พูดตามจริง ผู้บัญชาการจางก็ไม่กล้าดื่มกับเยี่ยเทียนอีกแล้ว เมื่อวานพวกเขาสามคนรุมเยี่ยเทียนคนเดียว ยังดื่มกันจนล้มไม่เป็นท่า ราวกับว่าท้องไส้ของเด็กหนุ่มคนนี้เป็นเหมือนหลุมดำที่กลืนกินทุกก็ไม่ปาน


หลังจากกินอาหารเช้าง่ายๆ เสร็จแล้ว เยี่ยเทียนก็นั่งรถของเฉินสี่ฉวนกลับมาที่อุรุมชี ห้องพักของโรงแรมได้คืนห้องไปนานแล้ว ได้ยินว่าตอนบ่ายจะมีรถกลับไปปักกิ่งหนึ่งเที่ยว เยี่ยเทียนจึงให้เฉินสี่ฉวนจองตั๋วนอนหนึ่งใบ


นอกจากบัตรประชาชนกับ “มีดสั้นอู๋เหิน” ที่ยังติดตัวอยู่ ตอนนี้เยี่ยเทียนก็ไม่มีเงินติดตัวสักแดงเดียว ถ้าหากไม่มีเฉินสี่ฉวน ไม่แน่เขาคงต้องโทรกลับไปที่ปักกิ่งเพื่อขอความช่วยเหลือจากที่บ้านแล้ว


การมาเที่ยวซินเจียงในครั้งนี้ ของขลังวิเศษที่ล้ำค่าทั้งหกล้วนสูญหาย แต่กลับขจัดภัยพิบัติที่แฝงเร้นในอนาคตของพ่อได้ และยังรักษาโรคเก่าของตัวเองให้หายอีก เยี่ยเทียนจึงพูดไม่ถูกว่าได้กำไรหรือขาดทุน

 

 

 


ตอนที่ 212

 

ปัญหาของหัวใจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากเฉินสี่ฉวนส่งเยี่ยเทียนขึ้นรถแล้ว นำเอาผลไม้ที่มีอยู่เต็มถุงวางไว้บนหัวเตียงของเยี่ยเทียน แล้วพูดว่า “เยี่ยเทียน ของพวกนี้นายเก็บไว้กินระหว่างทาง ในถุงยังมีเงินอีกห้าร้อยหยวน ก็เอาไว้ใช้ระหว่างทางเหมือนกัน พอถึงปักกิ่งแล้วก็โทรบอกลุงเฉินหน่อยนะ!”


“ลุงเฉิน ครั้งนี้ต้องขอบคุณลุงจริงๆ!”


เยี่ยเทียนพยักหน้า มีคำขอบคุณบางอย่างที่ไม่ต้องเอ่ยเป็นคำพูด เฉินสี่ฉวนช่วยอะไรตั้งมากมายขนาดนี้ ไม่ใช่ความบังเอิญแน่นอน ซึ่งดูได้จากการที่เขาปฏิบัติต่อเรื่องนี้ของตัวเองก็พอจะเห็นเบาะแสอะไรได้อยู่บ้าง


ปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความซื่อสัตย์จริงใจ เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับคนเรา และเฉินสี่ฉวนยังสามารถสละเวลาที่แสนยุ่งเหยิงของตัวเองมาช่วยเหลือเยี่ยเทียนได้ แน่นอนว่าจะต้องสาเหตุบางอย่างที่เข้ากันได้ดีอยู่ในนั้น แต่เฉินสี่ฉวนเป็นคนจริงใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญอยู่มาก


“ขอบคุณอะไรกัน โอเค รถไฟจะออกแล้ว นายก็เดินทางปลอดภัยนะ…”


เฉินสี่ฉวนมองไปรอบตัว แล้วจึงเข้าไปเข้าไปกระซิบที่ข้างหูเยี่ยเทียนว่า “เวลากระชั้นชิดเกินไปเลยซื้อเป็นแบบที่นอนนุ่มไม่ทัน แต่ฉันคุยกับพนักงานบนขบวนนี้กับเธอไว้แล้ว ว่าจะไม่มายุ่มย่ามเรื่องที่นายเอาเฟอร์เร็ตเด็กไปด้วย!”


การพาสัตว์เลี้ยงขึ้นขบวนรถไฟจำเป็นต้องดำเนินการตามขั้นตอน โดยข้อกำหนดพื้นฐานเลยก็คือจะต้องนำสัตว์เลี้ยงใส่ไว้ในกรง และเยี่ยเทียนก็รีบมาก แน่นอนว่าทำตามข้อกำหนดพวกนี้ไม่ได้อยู่แล้ว


“ผมรู้แล้วครับ ลุงเฉิน ลุงกลับไปเถอะ รอผมไปถึงปักกิ่งแล้วจะโทรหาลุงแน่นอน…” เมื่อได้ยินเสียงประกาศบอกว่ารถจะออกรถแล้ว เยี่ยเทียนจึงรีบหว่านล้อมให้เฉินสี่ฉวนรีบลงจากรถ


ระหว่างหน้าต่างกั้นพลางมองเห็นลุงเฉินยืนโบกมือให้ตัวเอง ในใจของเยี่ยเทียนก็มีความรู้สึกหลากหลาย คิดไม่ถึงว่าการมาในครั้งนี้ ได้มารู้จักกับเพื่อนที่ซื่อสัตย์และจริงใจคนหนึ่ง


เฉินสี่ฉวนก็ไม่รู้ว่า การช่วยเหลือของเขาด้วยความบริสุทธิ์ใจในครั้งนี้ ได้ช่วยให้เขารอดพ้นจากเคราะห์ร้ายที่ใหญ่หลวงมาได้ ก็เหมือนกับที่มีคำกล่าวทำดีได้ดี


ตามเสียงหวูดรถไฟที่ดังไกลออกไปจากสถานี เยี่ยเทียนได้ทิ้งร่องรอยของไว้ที่ซินเจียง ก็ค่อยๆ เลือนลางไป ถึงแม้เรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับคนที่เขาเคยสัมผัส ก็ไม่รู้ได้ว่าการเดินทางครั้งนี้ของเยี่ยเทียนได้ทลายกลุ่มปล้นสุสานที่มีชื่อภายในประเทศให้ย่อยยับไปหมดแล้ว


หลังจากหนึ่งสัปดาห์ที่เยี่ยเทียนกลับมาจากที่นั่น รถออฟโรดคันนั้นที่จอดอยู่บริเวณลานจอดรถทะเลสาบเทียนฉือก็ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นหนาเกรอะเป็นชั้นๆ แล้วจึงดึงดูดความสนใจของพนักงานในที่สุด


หลังจากที่หลายฝ่ายต่างสืบหาเจ้าของรถแต่ก็ไม่เจอนั้น พนักงานของเขตปกครองจึงเปิดรถคันนี้ ทำให้พวกเขาต้องตื่นตระหนกตกใจกับสิ่งที่ได้พบ


นอกจากตู้แช่เย็นที่มีความยาวประมาณหนึ่งเมตรห้าสิบเซนติเมตรโดยประมาณแล้ว ยังพบปืนกล M79 หนึ่งกระบอกกับลูกกระสุนอีกหนึ่งร้อยนัด ทำให้ผู้บัญชาการจางคนนั้นต้องพาลูกทีมมาที่ทะเลสาบเทียนฉืออีกครั้ง


จากการสอบสวนอย่างละเอียดรอบหนึ่งแล้ว ตำรวจวินิจฉัยเบื้องต้นว่านี่คือแก๊งลักลอบล่าสัตว์ เมื่อดึงกล้องวงจรปิดของทะเลสาบเทียนฉือออกมาดู พวกเขาจึงพบเวลาที่คนกลุ่มนี้ขึ้นไปบนภูเขา เป็นเวลาแค่สองสามวันก่อนที่จะเกิดหิมะถล่ม


ในตอนนี้เองทุกคนถึงรู้ว่า ตอนที่เกิดหิมะถล่มนั้น บนภูเขาเทียนไม่ได้มีเพียงแต่เยี่ยเทียนเพียงคนเดียว ทางเขตปก ครองจึงจัดทีมช่วยเหลืออีกครั้งในทันที แต่ทว่าหลังจากผ่านการค้นหามาสองสามวัน ก็ได้รับการยืนยันแล้วว่าบนภูเขาไม่มีผู้ที่มีชีวิตอยู่อีกแล้ว


สุดท้ายคดีนี้ก็ถูกกำหนดให้เป็นคดีแก๊งลักลอบล่าสัตว์ถูจนหิมะถล่มทำให้เสียชีวิตทั้งหมด ไม่ว่าใครก็คาดไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะมีความสัมพันธ์อะไรกับแก๊งนี้ และร่องลอยสุดท้ายที่เยี่ยเทียนทิ้งไว้ที่ซินเจียง ก็ถูกหิมะใหญ่บนหุบเขาเทียนซานปกคลุมไปหมดแล้ว


……


“เอ๊ะ พ่อหนุ่ม มาหาใครเหรอ?”


ในตอนที่เยี่ยเทียนสวมชุดปีนภูเขาที่ดูประหลาดสุดๆ มาพร้อมกับสองมืออันว่างเปล่าเดินเข้ามาในเรือนสี่ประสานของตัวเอง หญิงชราที่กำลังล้างผักอยู่กลางลานบ้านก็ถามขึ้น และเธอที่อายุมากแล้วจึงสายตาไม่ค่อยดีมาก


“ป้าใหญ่ ผมคือเยี่ยเทียนเองครับ!”


แท้จริงแล้วเยี่ยเทียนก็ไม่ได้มีความทรงจำกับคำว่าบ้านสักเท่าไร นับตั้งแต่เริ่มเข้ามัธยมศึกษาเขาก็อยู่ที่บ้านน้อยมาก แต่การกลับบ้านมาครั้งนี้ได้เห็นคนสนิทในครอบครัว ในใจของเยี่ยเทียนกลับรู้สึกซาบซึ้งอยู่บ้าง


“เสี่ยวเทียน?”


หญิงชราที่กำลังล้างผักอยู่พลันตกตะลึงงัน ลืมแม้กระทั่งปิดก็อกน้ำ มองเยี่ยเทียนอย่างละเอียด แล้วจึงพูดอบรมว่า “แกเนี่ยนะ ออกจากบ้านไปครึ่งเดือนก็ไม่เคยโทรกลับมาที่บ้านเลยสักครั้ง แล้วยังใส่เสื้อผ้าประหลาดบ้าบออีก แถมยังย้อมผม เป็นเหมือนอะไรอีก?”


เยี่ยเทียนได้ยินแล้วจึงหัวเราะขึ้นมา เดินเข้าไปกอดหญิงชราอย่างสนิทสนมและอบอุ่นใจ พลางพูดว่า “ป้าใหญ่ ผมก็อยากโทรศัพท์อยู่นะ แต่อยู่บนภูเขามันโทรไม่ได้ อ้อใช่ ผมไม่ได้ย้อมนะครับ มันเปลี่ยนเป็นสีดำเอง…”


“ไม่มีอะไรทำก็ไปปีนเขาหรือไง? รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งตัวยังไงกันไม่กลัวร้อนหรือไง? เย็นนี้ป้าใหญ่จะทำอาหารอร่อยๆ แกให้ทาน!”


เมื่อเห็นเสื้อผ้านั้นของเยี่ยเทียนที่เปื่อยยุ่ย หญิงชราจึงรู้ว่าเขาอยู่ข้างนอกต้องลำบากไม่ใช่น้อย สุดท้ายก็เอ็นดูหลานตัวเองอยู่ดี พอเอ็ดเยี่ยเทียนไปสองสามประโยค ก็บอกให้เขาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว


“หา? ผมกลับมาเป็นสีดำเอง? หรือว่าอาการป่วยของเยี่ยเทียนหายแล้ว?” เมื่อรอให้เยี่ยเทียนเดินไปที่ลานหลังบ้าน หญิงชราพลันนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ จึงรีบเดินตามไปทันที


เมื่อได้ข่าวว่าเยี่ยเทียนกลับมาแล้ว เยี่ยตงผิงจึงรีบปิดร้านที่พานเจียหยวนแต่หัววันเพื่อรีบกลับบ้าน อวี๋ชิงหย่ากับคุณป้ารองของเยี่ยเทียนก็รีบบึ่งมาที่เรือนสี่ประสานเช่นกัน เยี่ยเทียนจึงหนีไม่พ้นที่จะจะต้องพูดเป็นเวลานาน ในการเล่าเรื่องที่ผมของตัวเองเปลี่ยนเป็นสีดำอีกรอบ


ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเยี่ยหรือคนของบ้านป้ารองของเยี่ยเทียน เกี่ยวกับความสามารถที่แปลกประหลาดในตัวของเยี่ยเทียน กับภูมิคุ้มกันที่หายไปและกลับมามีอีกครั้ง ถึงแม้วิธีการพูดของเยี่ยเทียนจะเหมือนบางช่วงในนิยายกำลังภายในอยู่บ้าง แต่สำหรับร่างกายของเยี่ยเทียนที่ฟื้นฟูกลัยมาแล้ว ก็ได้ทำให้ทุกคนพวกรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก


โดยเฉพาะหลังจากที่เห็นเยี่ยเทียนพาเฟอร์เร็ตเด็กกลับมาด้วย อวี๋ชิงหย่ากับหลิวหลันหลันสองสาวต่างก็หลงเสน่ห์ในทันที แล้วจึงอุ้มเจ้าตัวน้อยไม่ยอมวางมือ


แต่ดูเหมือนเจ้าเฟอร์เร็ตน้อยจะไม่ค่อยชอบสาวสวยทั้งสองคนนี้เท่าไร แม้ว่าพวกเธอจะถือเนื้อไก่ที่เฟอร์เร็ตชอบกินมาล่อมันก็ตาม ให้ตายอย่างไรเจ้าตัวน้อยก็ไม่ยอมอ้าปาก มีแต่ตอนที่เยี่ยเทียนป้อนอาหารให้มัน มันถึงยอมกิน ทำให้ทุกคนที่มองดูแล้วจึงจิ๊ๆ ด้วยความแปลกใจ


ตอนที่กำลังจะทานข้าวเสร็จ เยี่ยตงผิงพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ แล้วจึงเอ่ยพูดกับเยี่ยเทียน “อ้อใช่ เยี่ยเทียน เพื่อนร่วมชั้นของแกคนนั้นมาหาแกสองครั้งแล้ว เหมือนจะชื่อสวีเจิ้นหนาน? อีกสักพักแกก็โทรกลับไปหาเขาหน่อยนะ…”


“พี่ใหญ่มาหาผม? มีเรื่องอะไร?”


เยี่ยเทียนได้ยินจึงตกตะลึงเล็กน้อย เขาเลิกไปเรียนมาได้สองสามปีแล้ว แต่เพื่อนในมหาวิทยาลัยที่ยังไปมาหาสู่กันอยู่ก็มีแต่สวีเจิ้นหนาน แล้วจึงมองไปที่อวี๋ชิงหย่าทันที เพราะเพื่อนสนิทของเธอได้ปลูกต้นรักกับพี่ใหญ่มาหลายปีแล้ว


“เรื่องนี้…ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่เหมือนจะเกี่ยวกับหรงหรง นายลองไปถามสวีเจิ้นหนานเถอะ…” อวี๋ชิงหย่าส่ายหน้า เพราะครึ่งปีมานี้ล้วนเป็นช่วงฝึกงาน พอเข้าไปอยู่ในสังคมคนทำงาน เธอและเว่ยหรงหรงก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กันบ่อยเหมือนเมื่อก่อน


“ได้ เดี๋ยวฉันจะลองโทรหาเขาดู!” เยี่ยเทียนพยักหน้าและไม่ได้พูดอะไรอีก แล้วจึงหันมาพูดกับลู่เชินที่ร่างกายฟื้นฟูกลับมาแข็งแรงแล้ว


“ฮัลโหล ลูกพี่ ผมแต่ออกไปข้างนอกสองสามวัน โทรมาหาผมมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” หลังจากทานมื้อค่ำเสร็จ เยี่ยเทียนจึงโทรศัพท์ไปหาสวีเจิ้นหนาน


“เยี่ยเทียน มีเรื่องอยากจะคุยกับนายนิดหน่อย ตอนนี้นายอยู่ไหน? ฉันจะไปหานาย…” อารมณ์ของสวีเจิ้นหนานเห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยดีใจนัก เสียงที่ดังมาตามสายมีความท้อแท้อยู่บ้าง


“ผมอยู่บ้าน พี่มาสิ คืนนี้ไม่ต้องกลับมหาวิทยาลัยหรอก มาค้างที่บ้านผม” เยี่ยเทียนรู้สึกอยากรู้ขึ้นมาจริงๆ ว่าเรื่องอะไรที่สามารถทำให้พี่ใหญ่ที่ใจกว้างเป็นแม่น้ำเกิดหมดอาลัยตายอยากได้ขนาดนี้?


“ได้ ฉันรีบนั่งรถไปหาเดี๋ยวนี้!” หลังจากได้ฟังคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว สวีเจิ้นหนานจึงวางสาย


“พี่ใหญ่ พี่เป็นอะไร? “พ่อแม่พี่ตัดค่าขนมของพี่หรือไง?”


หลังจากรับสวีเจิ้นหนานที่หน้าบ้านแล้ว เยี่ยเทียนจึงรู้สึกตกใจกับสภาพของเขาไม่หยุด สวีเจิ้นหนานคนเดิมที่ตัวใหญ่กำยำน้ำหนักเกือบแปดเก้าสิบกิโลกรัม เวลานี้ผอมลงไปมาก เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่นั้นก็ดูหลวมโคร่ง


สภาพของสวีเจิ้นหนานดูจิตใจหงอยเหงาเศร้าซึมอยู่บ้าง แล้วจึงเอ่ยพูดว่า “มีเรื่องกลุ้มใจนิดหน่อย บ้านนายมีเหล้าไหม?”


“มี ไปกันเถอะ ไปคุยที่ห้องขอผมที่ลานหลังบ้านดีกว่า…” เยี่ยเทียนพยักหน้า พาสวีเจิ้นหนานเข้ามาที่ลานหลังบ้าน จากนั้นก็หยิบเบียร์สองสามขวดพร้อมกับถั่วลิสงมาวางบนโต๊ะ


“ว่ามา สรุปแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” ถึงแม้เยี่ยเทียนจะสามารถทำนายรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ แต่ก็ไม่อาจรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตัวของสวีเจิ้นหนานได้ ทว่าสิ่งที่สามารถทำให้เขาดูผอมแห้งแรงน้อยได้ขนาดนี้ เกือบแปดเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความรักแน่นอน


สวีเจิ้นหนานยื่นมือหยิบเบียร์มาหนึ่งขวด หลังจากใช้ปากกัดฝาเปิดออก ดื่ม “อึกๆๆๆ” หมดไปครึ่งขวดแล้วจึงเปิดปากพูด “เยี่ยเทียน นายว่าผู้หญิงชอบผู้ชายที่ดูเป็นผู้ใหญ่หรือเปล่า? ดูนายสิหลังจากที่ไม่ได้เรียนแล้ว ความสัมพันธ์กับอวี๋ชิงหย่าก็ยังดีขนาดนี้ แต่นับตั้งแต่หรงหรงไปฝึกงาน กับฉันก็….”


พอได้ฟังสวีเจิ้นหนานพร่ำพรรณาอย่างกับผู้หญิงรุ่นป้าไปครึ่งชั่วโมง เยี่ยเทียนจึงเข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น


ที่แท้ หลังจากที่เว่ยหรงหรงเข้าไปฝึกงานที่สถานีโทรทัศน์ปักกิ่งก็พักอยู่ที่บ้าน พอเป็นแบบนี้กาคบกันของเธอกับสวีเจิ้นหนานก็น้อยลงกว่าแต่ก่อนเป็นอย่างมาก


แต่ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ ทั้งสองคนก็ยังมีนัดเดทกัน ทว่าสวีเจิ้นหนานเริ่มรู้สึกว่า เว่ยหรงหรงมีบางอย่างที่ไม่เหมือนเมื่อก่อน แต่ว่าเปลี่ยนไปอย่างไรนั้น เขาก็พูดไม่ถูก


มีวันหนึ่งของเดือนที่แล้ว สวีเจิ้นหนานและเว่ยหรงหรงนัดกันดิบดีว่าจะไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะตี้ถาน ตอนนั้นสวีเจิ้นหนานไปถึงก่อนเล็กน้อย เขาพบว่าเว่ยหรงหรงกลับลงมาจากรถเบนซ์คันหนึ่ง และคนที่ขับรถก็เป็นเด็กหนุ่ม และมีอากัป   กิริยาที่สนิทสนมกับเว่ยหรงหรงมาก


สวีเจิ้นหนานเป็นคนตรงไปตรงมา เมื่อเจอเว่ยหรงหรงก็ถามออกไปตามตรง แต่ไม่คิดว่าเว่ยหรงหรงจะยอมรับอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา ว่าคนนั้นคือคนที่ตามจีบเธอ


หลังจากพูดจบ เว่ยหรงหรงก็โมโหขึ้นมา แล้วจึงถามสวีเจิ้นหนานว่ากำลังสงสัยเธอว่าจะเปลี่ยนใจไปรักคนอื่นใช่ไหม ทั้งสองคนจึงทะเลาะกันใหญ่โตเพราะเรื่องนี้ สุดท้ายจึงเลิกราอย่างมาสบอารมณ์ นี่ก็เกือบจะครึ่งเดือนแล้ว ที่ทั้งสองคนทำสง ครามเย็นกันอยู่


“โถ่เอ้ย ลูกพี่ พูดมาตั้งนานพี่ก็กลุ้มใจเพราะเรื่องนี้? ผมว่าพี่ไม่มีทางช่วยแล้ว…”


หลังจากได้ฟังคำพูดของสวีเจิ้นหนานแล้ว เยี่ยเทียนก็หงุดหงิดขึ้นมา เขากลับปักกิ่งมาแล้วแม้แต่ความคืบหน้าในการก่อสร้างเรือนสี่ประสานของตัวเองยังไม่ทันได้ไปดู ก็ไม่คิดว่าจะได้ยินเรื่องแย่ๆ พวกนี้?


สวีเจิ้นหนานพูดอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด “เยี่ยเทียน อย่างนั้น…อย่างนั้นนายคิดว่าฉันควรทำยังไง? พรุ่งนี้หรงหรงจะมาหาฉัน ฉัน…ฉันกลัวว่าเธอจะขอเลิกกับฉัน!”


“พี่นี่มันเป็นพวกอารมณ์อ่อนไหวจริงๆ วางใจเถอะ พวกพี่สองคนไม่มีทางเลิกกันหรอก”


เยี่ยเทียนส่ายหน้า สามารถทำให้สวีเจิ้นหนานมีสภาพเป็นแบบนี้ได้ สงสัยพี่คนนี้คงจะรักมากทีเดียว แต่คำพูดของ เยี่ยเทียนก็ไม่ได้พูดมั่วๆ สวีเจิ้นหนานมีบุพเพสันนิวาสต่อเว่ยหรงหรง และยังจะมีลูกชายกับลูกสาวอย่างละหนึ่งคนอีกด้วย

 

 

 


ตอนที่ 213

 

ปิคนิค

โดย

Ink Stone_Fantasy

“แต่ว่า แต่ถ้าหากหรงหรงอยากจะขอเลิกกับฉันล่ะ แล้วฉันจะทำยังไง?”


สวีเจิ้นหนานกพูดด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย ตอนนี้เขายังเป็นแค่นักศึกษา ถึงแม้ที่บ้านจะพอมีฐานะ แต่บ้านของเว่ยหรงหรงก็มีอันจะกิน ตอนที่เต้องเผชิญหน้ากับคนที่ทำงานขับเบนซ์คนนั้น ในใจของสวีเจิ้นหนานก็ยังรู้สึกหวาดหวั่นอยู่นิดหน่อย


“ก็บอกแล้วว่าไม่แน่นอน ถึงแม้เว่ยหรงหรงจะนิสัยไม่ค่อยดี แต่ไม่ใช่คนที่เห็นของใหม่ก็ลืมของเก่า พี่ใหญ่ พี่ต้องมั่นใจหน่อย…”


เห็นสีหน้าของสวีเจิ้นหนานที่เหมือนอยู่ในเหตุการณ์วันสิ้นโลกกำลังจะมาเยือน เยี่ยเทียนจึงรู้สึกขำมาก และก็สามารถเข้าใจอารมณ์ของเขาได้ ถ้าหากอวี๋ชิงหย่าเกิดทะเลาะกับตัวเองล่ะก็ เยี่ยเทียนก็คงต้องหาคนระบายความในใจเช่นกัน


หลังจากได้ฟังคำพูดของเยี่ยเทียน สวีเจิ้นหนานจึงพูดอย่างอึกอักว่า “เยี่ยเทียน เอาอย่างนี้ดีไหม พรุ่งนี้นายไปเจอหรงหรงเป็นเพื่อนฉันเป็นยังไง? ถ้าเธอบอกเลิกกับฉันจริงๆ นาย…นายก็จะได้ช่วยพูดให้ฉันไง!”


“เห้อ ผมว่าพวกนายสองคนนัดเดทกัน เอาผมไปทำอะไรเล่า?..ไม่ไป!” เยี่ยเทียนปฏิเสธย่างไม่ใยดี เขารู้ดีว่าสองคนนี้ไม่ว่าจะมีอุปสรรคอะไร สุดท้ายก็ได้อยู่ร่วมกันอยู่ดี เลยขี้เกียจจะเอาตัวเข้าไปยุ่ง


เมื่อเห็นเยี่ยเทียนปฏิเสธอย่างไม่ใยดี สวีเจิ้นหนานจึงร้อนใจอยู่บ้าง แล้วรีบพูดว่า “ไม่ใช่นัดเดท แต่เป็นหรงหรงกับเพื่อนร่วมงานไปปิคนิคด้วยกันแถวชานเมือง นายสามารถชวนอวี๋ชิงหย่าไปด้วยกันได้…”


“ปิคนิค? ที่ไหน?” หลังจากได้ยินคำพูดของสวีเจิ้นหนานแล้ว เยี่ยเทียนก็เริ่มรู้สึกหวั่นไหว เขาออกไปข้างนอกเป็นเวลานาน ไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนอวี๋ชิงหย่าสักเท่าไหร่ จึงอยากอาศัยโอกาสนี้ออกไปเที่ยวเล่นกันก็ไม่เลวเหมือนกัน


“ที่อ่างเก็บน้ำซ่างจวง ขึ้นถนนวงแหวนรอบที่มาถึงถนนซ่างจวงก็ถึงที่นั่นแล้ว…” ดูท่าทางแล้วสวีเจิ้นหนานทำการบ้านมาไม่น้อย แม้แต่ถนนก็ไปสอบถามมาอย่างชัดเจน


“โอเค ฉันจะลองถามชิงหย่า ถ้าเธอไปฉันก็ไป!” คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้สวีเจิ้นหนานเหลือกตาขาว เพราะไอ้เพื่อนคนนี้เห็นผู้หญิงดีกว่าเพื่อนนี่นา


แต่หลังจากที่เยี่ยเทียนโทรศัพท์เรียบร้อยแล้ว สีหน้าของสวีเจิ้นหนานพลันเปลี่ยนเป็นสดใสขึ้นมา เขาที่อยู่ข้างๆ ได้ยินอย่างแจ่มชัด ว่าอวี๋ชิงหย่าตกลงที่จะไปร่วมปิ้งย่างด้วย ซึ่งหมายความว่าพรุ่งนี้เค้ามีทีมซัพพอร์ตเพิ่มมาอีกสองคน


หลังจากวางสายแล้ว เยี่ยเทียนจึงหันไปทางสวีเจิ้นหนานแล้วพูดว่า “พอใจแล้วใช่ไหม? นายก็นอนในห้องนี้แล้วกัน พรุ่งนี้พวกเราก็ไปด้วยกัน”


“อย่าเพิ่งสิ จะนอนเร็วไปทำไม พวกเรามาคุยกันก่อนสิ!” เมื่อพูดถึงเรื่องความรัก ถ้าไม่ใช่เพื่อนที่สนิทกันจริงๆ จะพูดไม่ออกแน่นอน นานๆ ทีจะเจอเยี่ยเทียน สวีเจิ้นหนานจะยอมนอนแต่หัวค่ำได้อย่างไร


“นายรีบนอนไปเลย พรุ่งนี้ไม่ได้ทำธุระเพราะไปปิ้งย่างเป็นเพื่อนนาย ตอนนี้ฉันมีธุระต้องจัดการนิดหน่อย…”


เยี่ยเทียนโบกมืออย่างสบอารมณ์ พลางหยิบขวดเบียร์ขวดหนึ่งแล้วเดินออกไป พูดตามตรงเขาไม่ค่อยไว้ใจเรือนสี่ประสานของตัวเองเท่าไหร่ กลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น


ถึงแม้ตอนนี้ภัยอันตรายที่อยู่ภายในร่างการถูกกำจัดออกไปแล้ว วรยุทธ์ก็กลับมาเหมือนเมื่อตอนสองปีก่อนไม่ผิด เพี้ยน กระทั่งดีกว่าเมื่อก่อนด้วยซ้ำ แต่ถ้าอยากบรรลุวิชาที่อาจารย์ถ่ายทอดมาในขั้นสุดท้าย ค่ายกลที่วางไว้ในเรือนสี่ประสานนั้นก็นับว่ามีประโยชน์เป็นอย่างมาก


การอาศัยอยู่ในเรือนสี่ประสานไม่เหมือนกับอยู่ในบตึกรามบ้านช่อง พอกลับบ้านแล้วปิดประตู อยู่อาศัยมากกว่าสองสามปีก็ยังไม่รู้ว่าเพื่อนบ้านชื่อแซ่อะไร และตอนนี้ก็เป็นเวลาสองสามทุ่มพอดี ประตูของแต่ละบ้านจึงเต็มไปด้วยผู้คนที่นั่งคุยเพื่อคลายร้อนกันอย่างมากมาย


เมื่อเห็นคุณป้าข้างบ้านกำลังจับรากไม้แกว่งไปแกว่งมา เยี่ยเทียนจึงขำและอดถามไม่ได้ “ป้าหลี่ ป้ากำลังฝึกวิชายุทธ์อะไรอยู่เหรอครับ?”


“อ้าวเสี่ยวเยี่ยเองเหรอ ป้ากำลังออกกำลังกายอยู่” คุณป้าเปล่งเสียงขับพลัง พลางกล่าวทักทายกับเยี่ยเทียน


” ครับ เชิญคุณป้าทำต่อเลยครับ!” เยี่ยเทียนหัวเราะทักทายกับพวกเพื่อนบ้าน ไม่ว่ารู้จักหรือไม่รู้จัก แค่ทักทายก็จะได้รับการตอบกลับสวัสดีกันทุกคน


“หืม? ไหนพูดไปแล้วว่าจะไม่ทำงานตอนกลางคืนไม่ใช่เหรอ” ตอนที่เดินมาถึงเรือนสี่ประสานของตัวเอง เยี่ยเทียนพบแสงไฟสว่างโร่อยู่ภายในลานบ้าน แล้วจึงอดตะตะลึงไม่ได้


ควรทราบว่า เนื่องจาก “ประตูผี” เปิดไปเมื่อสองสามวันก่อน ภายในลานบ้านจึงเต็มไปด้วยด้วยพลังหยินพิฆาต ถึงแม้ ว่าตัวเองจะปรับปรุงค่ายกลปิด “ประตูผี” ไปแล้ว แต่พลังพิฆาตเหล่านี้ใช่ว่าจะสามารถกำจัดให้หมดไปภายในเวลาสิบวันหรือครึ่งเดือน


ถึงแม้ตอนกลางวันพลังหยางจะเต็มเปี่ยมไม่เกิดปัญหาอะไร แต่พอตกกลางคืน ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนงานที่ร่างกายอ่อนแอบางคนเห็นสิ่งที่สิ่งสกปรกที่ไม่ควรเห็น


“ช่างหวัง นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ?” หลังจากเข้ามาในลานบ้านแล้ว เยี่ยเทียนจึงพบว่าช่างหวังยังอยู่ จึงรีบเข้าไปดึงเขา


“เยี่ยเทียน คุณกลับมาแล้ว? ถามเรื่องการก่อสร้างนี้ใช่ไหมครับ?” ช่างหวังเห็นเยี่ยเทียนที่เป็นคนดึงเขา จึงเผยสีหน้าสีหน้าดีใจออกมาไม่หยุด


“ใช่ครับ ไหนบอกไปแล้วว่ากลางคืนห้ามทำงานไม่ใช่เหรอครับ?” เยี่ยเทียนแอบโคจรพลังวรยุทธ์ในระหว่างที่พูดไปด้วย เพื่อรับรู้ถึงพลังพิฆาตบริเวณลานหน้าบ้านเสียหน่อย แล้วจึงแอบโล่งอก เพราะพลังพิฆาตในลานบ้านแห่งนี้ได้สลายไปค่อนข้างจะเร็วกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก


หลังจากได้ฟังคำพูดของเยี่ยเทียน ช่างหวังจึงอธิบาย “เยี่ยเทียน คืออย่างนี้ เดือนหน้าบริษัทของพวกเรารับงานซ่อมบำรุงเมืองเก่าไว้ ทีมงานก่อสร้างนี้จะถูกดึงตัวไปทั้งหมด ดังนั้นงานของคุณทางนี้จึงต้องเร่งมือหน่อย ตอนกลางวันหลังจากพวกเราทำลานหลังบ้านแล้ว ตอนกลางคืนมาซ่อมแซมด้านหน้า โดยไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น!”


บ้านผีสิงหลังนี้ของเยี่ยเทียนเคยเป็นประเด็นร้อนแรงของเมืองปักกิ่งถิ่นชาววังมาแล้ว ช่างหวังก็รู้ดีอยู่แก่ใจ แต่งานก่อสร้างที่รับไว้เดือนหน้าทั้งหมดจะมีผลกระทบต่อการพัฒนาของบริษัทเป็นอย่างมาก และเว่ยหงจวินก็เป็นคนประมูล เขาถึงได้ตัดสินใจรีบทำงานของเยี่ยเทียนในคืนนั้น


เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วพูดว่า “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง ช่างหวัง อย่างนั้นก็ไปบอกคนงาน ตอนกลางคืนอย่าไปที่ลานหลังบ้าน!”


กว่าจะทำให้เรื่องผีสางเงียบลงไปได้ไม่ง่าย เยี่ยเทียนจึงไม่อยากจะให้มีประเด็นขึ้นมาอีก หลังจากสั่งงานช่างหวังสองสามประโยคแล้ว จึงพูดว่า “ผมจะไปดูลานหลังบ้าน ช่างหวังคุณไม่ต้องตามมานะครับ”


แท้จริงแล้วต่อให้เยี่ยเทียนอนุญาตให้ช่างหวังไปด้วย เกรงว่าเขาก็ไม่กล้า ความจริงเมื่อสองวันที่ผ่านมามีคนพบสิ่งผิดปกติที่ลานหลังบ้าน เพียงแต่เว่ยหงจวินเปลี่ยนคนงานพวกนั้นออกจากทีมก่อสร้าง ถึงทำให้ไม่เกิดความหวาดกลัวของทีมก่อสร้าง


“อยากจะรู้พลังพิฆาตที่อยู่ที่นี่ให้ชัดเจน เกรงว่าคงจะต้องรอให้ค่ายกลเสร็จสมบูรณ์ก่อนแล้วถึงจะทำได้!”


เมื่อเข้ามาที่ลานหลังบ้าน เยี่ยเทียนรู้สึกได้ถึงพลังหยินพิฆาตที่แฝงอยู่ตรงกลางลานบ้าน แล้วจึงส่ายหน้าไม่หยุด เพราะพลังพิฆาตที่สะสมมาเป็นวลาหลายร้อยปีของพระราชวังทั้งหมดได้มารวมกันอยู่ในที่แห่งนี้แล้ว มีหรือที่จะกำจัดออกไปให้หมดเกลี้ยงได้อย่างง่ายดาย?


แต่ว่าค่ายกลพวกเหล่านี้สำหรับเยี่ยเทียนในเวลานี้ กลับไม่สามารถทำอันตรายอะไรได้ เมื่อเปิดไฟภายในลานบ้าน เยี่ยเทียนจึงสำรวจความคืบหน้าในงานก่อสร้างอย่างละเอียดอีกรอบหนึ่ง


“ไม่เลว ดูท่าแล้วตัวเองจะต้องรีบไปหาของขลังสองชิ้นมาแล้ว ไม่อย่างนั้นต่อให้ซ่อมแซมเสร็จแล้ว ก็ไม่สามารถทำให้ค่ายกลทำงานได้!”


สำหรับการเปรับปรุงซ่อมแซมลานหลังบ้าน เยี่ยเทียนรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก ห้องต่างๆ ล้วนแต่ซ่อมแซมตามรูปแบบของเรือนสี่ประสานแบบเก่า ปรากฏรูปแบบของสถาปัตยกรรมของบ้านตระกูลใหญ่โตในตอนนั้นออกมาได้อีกครั้ง


และที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือ หินอ่อนสีขาว (หินอ่อนฮั่นไป๋ยวี่) ที่ต้องใช้ในการสร้างค่ายกล ทั้งหมดได้สร้างตามตำแหน่งที่เยี่ยเทียนบอกทั้งสิ้น ไม่มีคลาดเคลื่อนใดๆ


แต่ถ้าอยากทำให้ค่ายกลทำงาน จำเป็นต้องใช้ของขลังสองชิ้นวางไว้ที่ตาของค่ายกล พอคิดถึงของขลังทั้งหกชิ้นนั้นที่ตัวเองทำหายไป เยี่ยเทียนก็รู้สึกเจ็บหัวใจเจ็บตัวไม่หยุด


“อีกหนึ่งเดือนถึงเสร็จงาน ถ้าหาไม่ได้จริงๆ ก็จะใช้มีดสั้นอู๋เหินกับหยกของพี่เชินแทนก่อนก็แล้วกัน…” พอส่ายหน้าแล้ว เยี่ยเทียนจึงหมุนตัวเดินออกมาจากลานหลังบ้าน


เช้าวันที่สองหลังจากรออวี๋ชิงหย่ามาถึงแล้ว เยี่ยเทียนและคนอื่นๆ จึงรีบเรียกแท็กซี่ไปยังอ่างเก็บน้ำซ่างจวง


“ที่นี่ไม่เลวจริงๆ ทำไมถึงไม่เคยรู้มาก่อน?”


หลังจากมาถึงอ่างเก็บน้ำซ่างจวงแล้ว เยี่ยเทียนก็มองไปบริเวณโดยรอบ เป็นตำแหน่งที่ติดภูเขาและแม่น้ำพร้อมกับอากาศที่สดชื่นบริสุทธิ์ เป็นสถานที่หายากมากในเมืองปักกิ่งแบบนี้


“จี จี!” เจ้าตัวเล็กที่แอบอยู่ในกระเป๋าของเยี่ยเทียนได้โผล่ศรีษะเล็กๆ ออกมา เพื่ออยากร่วมสนุกสนานไปด้วย


“เยี่ยเทียน ให้ฉันเลี้ยงเถอะ!” ผู้หญิงพอเห็นของน่ารักๆ ก็ห้ามใจไม่อยู่ อวี๋ชิงหย่ายื่นมือออกไปทางเยี่ยเทียน


“ฉันก็อยากจะให้เธอ แต่มันไม่ยอมน่ะสิ!”


เยี่ยเทียนได้ยินจึงยิ้มเจื่อนๆ เขาหยิบเอาเจ้าเฟอร์เร็ตเด็กออกมาจากกระเป๋าแล้ว แต่กรงเล็บของเจ้าตัวเล็กนั้นกลับตะขบเสื้อของเยี่ยเทียนไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ดวงตาแสนรู้จ้องมองมาที่เยี่ยเทียนตาละห้อย อย่างกับถูกรังแกอย่างไรอย่างนั้น


พอเห็นการแสดงออกของเฟอร์เร็ตเด็ก อวี๋ชิงหย่าก็จนปัญญา แล้วพูดอย่างจนใจว่า “ช่างเถอะ งั้นนายก็เลี้ยงเองเถอะ!”


“ชิงหย่า เยี่ยเทียน ทำไมพวกเธอก็มาด้วยล่ะ?”


รถแท็กซี่เพิ่งออกไปได้ไม่นาน รถมินิบัสคันหนึ่งก็หยุดลง หลังจากเว่ยหรงหรงลงรถมาก็มองเห็นอวี๋ชิงหย่าเป็นคนแรก แล้วจึงวิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าดีใจระคนความตื่นเต้น


จากนั้นจึงถลึงตาใส่สวีเจิ้นหนานที่ยืนอยู่ข้างๆ เหมือนคนทำเรื่องอะไรผิด แล้วเว่ยหรงหรงจึงพูดว่า “ถือว่านายยังรู้เรื่องรู้ราวอยู่บ้าง!”


“ฉันไม่เคยรู้เรื่องรู้ราวตรงไหน?” สวีเจิ้นหนานหัวเราะแบบแกนๆ แต่พอเห็นเว่ยหรงหรงไม่ได้นั่งรถเบนซ์มา อารมณ์ของเขาก็สบายขึ้นเป็นอย่างมาก


“ผู้ชายใจแคบ ชิงหย่า ไปกันเถอะ ทางนั้นยังมีเพื่อนร่วมงานอีกหลายคน พวกเธอได้ยินว่าเธอไปฝึกงานที่สถานีโทรทัศน์ซีซีทีวี ล้วนแต่อิจฉาเธอกันทั้งนั้น…”


เว่ยหรงหรงกรอกตาขาวใส่สวีเจิ้นหนานอย่างไม่สบอารมณ์ แม้แต่คนไม่มีประสบการณ์ด้านความรักอย่างเยี่ยเทียนก็ยังดูออก ว่าหญิงสาวคนนี้ไม่ได้เปลี่ยนใจไปรักคนอื่น เพียงแต่เอาแต่ใจตัวเองเท่านั้น


“ฉันว่า พวกเราสองคนเป็นส่วนเกินแล้วหรือเปล่า?”


เมื่อไปถึงเพื่อนร่วมงานของเว่ยหรงหรง เยี่ยเทียนรู้สึกไม่อิสระขึ้นมาทั้งตัว เพราะว่าบนรถนั้นเป็นผู้หญิงทั้งหมดพร้อมกับเสียงโหวกเหวกโวยวายราวกับฝูงเป็ด เสียงหนวกหูจนเยี่ยเทียนปวดหัวขึ้นมา


“เพื่อความสุขของเพื่อน นายก็ทนๆ หน่อยแล้วกัน!”


แต่สวีเจิ้นหนานกลับไม่รู้สึกรู้สาอะไร สำหรับเว่ยหรงหรงแล้วเขาจำเป็นต้องปรากฏตัวต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน พี่ใหญ่สวีจึงวางใจและสบายใจมาก ถ้าหากต้องการเลิกกับตัวเองจริงๆ อย่างนั้นก็คงไม่พาเขามาเจอเพื่อนร่วมงานแน่นอน


“พวกคุณมากันหมดแล้วเหรอ หรงหรง ผมบอกว่าจะไปรับคุณตอนเช้า ทำไมคุณมาก่อนเสียล่ะ?”


อารมณ์ดีของพี่ใหญ่สวีรักษาอยู่ได้ไม่นาน เนื่องจากตอนที่พวกเขาเตรียมตัวจะเข้าไปพักผ่อนในซานจวงนั้น รถเบนซ์สองคันก็ได้มาจอดอยู่ข้างกายแงเป็นหน้าหลังอย่างละคัน


“ตู้เฉียง นายไม่รำคาญหรือไง? ฉันออกมาเที่ยวเกี่ยวอะไรกับนายด้วย?” เว่ยหรงหรงฉายาแม่พริกขี้หนูไม่ได้มาอย่างเสียเปล่า แล้วจึงไม่ไว้หน้าคนที่มาแม้แต่น้อย


“หรงหรง ลุงเว่ยให้ผมติดตามคุณมาด้วย เพราะกลัวว่าคุณจะถูกคนหลอกไม่ใช่เหรอครับ?”


อารมณ์ของผู้ชายที่ขับรถเบนซ์มาถือว่าดีมาก เมื่อเห็นคนสองสามคนที่อยู่ในรถอีกคันก็เดินลงมา จึงรีบพูดว่า “หรงหรง ผมจะแนะนำเพื่อนสองสามคนให้คุณรู้จัก พวกเขาล้วนแต่เป็นคนมีชื่อเสียงในเมืองปักกิ่งถิ่นชาววังทั้งนั้น!”

 

 

 


ตอนที่ 214

 

 คนคุ้นเคย

โดย

Ink Stone_Fantasy

“แนะนำเพื่อนคุณให้ฉันรู้จักทำไม? ตู้เฉียง ฉันเคยบอกคุณแล้ว ฉันมีแฟนแล้วค่ะ!”


สีหน้าของเว่ยหรงหรงดูไม่ดีเป็นอย่างมาก ความสัมพันธ์ของเธอกับสวีเจิ้นหนานยังคงลึกซึ้งอยู่ หลังจากทะเลาะกันแล้ว เว่ยหรงหรงก็ได้สำนึกตัวถึงอารมณ์ของตัวเอง วันนี้ที่เรียกสวีเจิ้นหนานมาปิคนิค ก็เพราะอยากจะทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนดีขึ้น


แต่เธอไม่คิดว่า ตู้เฉียงนั้นจะตามมาด้วย พลางมองไปที่สวีเจิ้นหนานที่สีหน้าดูไม่ได้ที่ยืนอยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง เว่ยหรงหรงจึงไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี


ตู้เฉียงปีนี้อายุสามสิบปี เคยอยู่ที่อเมริกามาแปดปี เคยเป็นเทรดเดอร์ที่มีชื่อเสียงอยู่ที่วอลสตรีท หลังจากกลับประเทศเมื่อปีที่แล้ว ก็กลายเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง ตอนนี้อยู่ที่ปักกิ่ง มีคฤหาสน์และรถยี่ห้อดังเป็นของตัวเอง ถือว่าเป็นหนุ่มอายุน้อยที่มีความสามารถมาก


เมื่อสองเดือนกว่าๆ ตอนที่เว่ยหรงหรงตามคุณพ่อไปออกงานเลี้ยงครั้งหนึ่ง ได้รู้จักกับตู้เฉียง ในตอนนั้นนักเรียนนอกคนนี้ให้เกียรติเว่ยหรงหรงเป็นอย่างมาก พอวันที่สองก็เปิดฉากตามจีบเว่ยหรงหรงอย่างร้อนแรง


เพื่อตามจีบเว่ยหรงหรง ตู้เฉียงเองก็ลงแรงไปไม่น้อย ดอกไม้วันละช่อไม่ต้องพูดถึง แถมยังมอบของขวัญเล็กๆ ที่ให้กับเพื่อนร่วมงานของเธอ จึงได้ใจคนมาไม่น้อย การปิคนิกในวันนี้ ก็เป็นเพื่อนร่วมงานคนนึงของเธอที่เป็นคนบอกเขาเอง


“หรงหรง ทุกคนก็เป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ? ออกมาเที่ยวด้วยกันก็ไม่เห็นเป็นอะไร เพื่อนคนนี้ คุณเห็นด้วยใช่ไหมครับ?”


หากเทียบกับสวีเจิ้นหนานที่ยืนทำหน้าปั้นยากอยู่ด้านข้างแล้ว ท่าทางของตู้เฉียงดูแข็งแกร่งกว่าเขาอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อเจอศัตรูหัวใจก็ยังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานได้เหมือนเดิม แม้แต่สวีเจิ้นหนานเองก็เกิดความรู้สึกด้อยค่าสู้คนอื่นไม่ได้


เมื่อเห็นเว่ยหรงหรงไม่พูดอะไร ตู้เฉียงจึงชี้ไปที่คนสามคนที่เดินตามมาด้านหลัง กล่าวว่า “คนนี้คือจี่หรานหรือคุณจี่คนนี้คือเหรินเจี้ยนหรือคุณชายเหริน คิดว่าประธานซางพวกคุณคงจะเคยได้ยินชื่อเสียงมาบ้างแล้วแน่นอน ช่วงนี้มีละครที่กำลังดัง “เก๋อเก๋อ” ก็เป็นผลงานของบริษัทเขาเองครับ…”


หลังจากฟังการแนะนำของตู้เฉียงจบแล้ว พวกสาวๆ ไม่ได้รู้สึกอะไรกับสองคนตรงหน้า แต่พอได้ยินว่าละครโทรทัศน์ที่กำลังดังถล่มทลายไปทั่วสารทิศเรื่องนั้นเป็นผลงานของบริษัทของหนุ่มร่างอวบคนนี้ที่ยืนอยู่ตรงหน้า สายตาพลันเป็นประกายขึ้นมา


ควรทราบว่า ตั้งแต่ละครเรื่องนั้นเริ่มออกอากาศ ก็ได้ทำลายสถิติการรับชมของแต่ละสถานีลงในทันที ด้านหน้านี้ก็เรียกได้ว่าล้วนแล้วแต่เป็นผู้ประกาศหรือพิธีกรของสถานีโทรทัศน์ ดังนั้นจึงรู้ว่ามันหมายถึงอะไร


ที่สำคัญไปกว่านั้น ละครเรื่องนี้ยังดันให้นักแสดงใหม่ที่แต่เดิมไม่มีชื่อเสียงได้โด่งดังขึ้นมา โดยเฉพาะเสี่ยวเยี่ยนจื่อจอมแก่นคนนั้น ก็กลายเป็นไอดอลในสายตาของใครหลายคนไปแล้ว


เป็นพิธีกรที่สถานีโทรทัศน์ ไม่มีทางฉายแสงได้เหมือนกับนักแสดง สาวๆ ที่มาปิคนิคในครั้งนี้อายุอานามก็ประมาณยี่สิบกว่าๆ ในใจก็แอบซ่อนความฝันที่อยากจะเป็นดาราไว้เหมือนกัน พอได้ยินการแนะนำของตู้เฉียง ทันใดนั้นก็เสียงดังจ้อกแจ้กพูดคุยสนทนากับประธานซางเป็นการใหญ่


พอได้เจอเหตุการณ์แบบนี้ ใบหน้าของตู้เฉียงอดไม่ได้ที่จะแย้มยิ้มออกมา ตามความคิดของเขา แค่นักเรียนที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมยังกล้าคิดจะมาแย่งผู้หญิงกับเขา? แค่ใช้วิธีการนิดหน่อย ก็สามารถทำให้เขารู้สึกอับอายแล้วออกจากสนามไปได้แล้ว


จี่หรานและคนอื่นๆ ล้วนเป็นลูกค้าของตู้เฉียง สองปีที่ผ่านมานี้ตู้เฉียงได้ช่วยทำเงินให้พวกเขาไม่น้อย ต่อมาจึงกลายเป็นเพื่อนกัน วันนี้ที่เรียกพวกเขาสามคนมาด้วย ก็เพราะตู้เฉียงอยากจะแสดงให้เว่ยหรงหรงเห็นว่าเส้นสายของตัวเอง


หากดูจากตอนนี้ หมากเกมนี้ของตู้เฉียงถือว่าผลเป็นที่น่าพอใจ แม้แต่เว่ยหรงหรงเองก็เข้าไปถามกับซางปู้ฉี่ด้วยเหมือนกัน เพราะตัวเธอเองก็เป็นแฟนคลับละครเรื่อง “เก๋อเก๋อ”


ซางปู้ฉี่ที่ถูกสาวๆ รุมล้อมอยู่พักใหญ่ได้แอบยกนิ้วโป้งให้กับตู้เฉียง พลางหัวเราะพูดว่า “โอเค คุณสุภาพสตรีทั้งหลาย พวกเราเข้าไปคุยข้างในกันต่อดีกว่า ตรงนี้ร้อนมาก พวกคุณไม่กลัวโดดแดดจนผิวไหม้เหรอครับ?”


หลายปีมานี้ซางปู้ฉี่ใช้ต้นทุนจากที่บ้าน มาเปิดบริษัททำภาพยนตร์ของตัวเอง และยังมีชื่อเสียงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ประธานซางในวันนี้ หากเทียบกับเมื่อสองปีก่อนก็นับว่าเปลี่ยนแปลงไปมาก


แต่ทว่าไอ้นิสัยหนุ่มเจ้าสำราญ เจ้าชู้ประตูดินนี้ยังไม่เคยเปลี่ยน ประธานซางที่ควงดาราน้อยใหญ่จนเบื่อแล้ว พอวันนี้ได้ยินว่าจะมีสาวสวยจากสถานีโทรทัศน์มาด้วย จึงรีบวิ่งตูดกระดกตามมา


“เจ้าอ้วนนั่น ก็ดีแต่เอาคำว่าดารามาหลอกสาว…”


พอเห็นซางปู้ฉี่ได้รับการต้อนรับจากกลุ่มสาวๆ แล้ว คุณชายเหรินก็ยัวะจนถุยน้ำลายลงบนพื้น ทุกครั้งที่ออกมาเล่นกับเขาจะต้องเป็นแบบนี้ตลอด ผู้หญิงพวกนี้พอได้ยินว่าซางปู้ฉี่เป็นเถ้าแก่บริษัททำภาพยนตร์ ก็อยากจะรีบเปลือยกายเข้าไปสัมภาษณ์กับมัน


“จะโมโหเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปทำไม? เหล่าซางหลายปีมานี้ก็แนะนำดาราให้นายไม่น้อยไม่ใช่เหรอ?”


จี่หรานที่ยืนอยู่ข้างเหรินเจี้ยนกลับแสดงอาการไม่ทุกข์ร้อน หลายปีมานี้เขาเองก็เริ่มรับช่วงกิจการทางบ้านมาบ้างแล้ว จึงมีความสุขุมมากกว่าเมื่อก่อนมาก เมื่อยืนอยู่ตรงนั้นจึงเผยให้เห็นถึงนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแล้ว


“ถุย ล้วนแต่เป็นรองเท้าเก่าที่เจ้านั่นใส่เบื่อแล้วทั้งนั้น นายคิดว่าเป็นคนดีอะไรนักเหรอ?”


หลังจากได้ฟังจี่หรานกล่าวแล้ว เหรินเจี้ยนยิ่งโมโหเข้าไปอีก บังเอิญมีผู้ชายคนหนึ่งขวางทางเดินเขาอยู่พอดี คุณชายเหรินก็ยื่นมือผลักออกไป “เอ้า หลบหน่อยๆ มายืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ทำไมไม่เข้าไปซะที?”


“ไม่ได้พัฒนาขึ้นเลย ทำไมยังเป็นคนไร้จิตสำนึกแบบเดิมอยู่?” เยี่ยเทียนที่ถูกเหรินเจี้ยนผลักเข้าไปทีหนึ่งจึงได้แต่สายหน้าอย่างจนใจ


ในตอนที่จี่หรานเพิ่งลงรถ เขาก็จำคนสองสามคนนี้ได้แล้ว แต่เยี่ยเทียนไม่ได้มีเรื่องคบค้าสมาคมกับพวกเขา ตรวกันข้ามกลับมีหนี้แค้นติดค้างกันอยู่ แน่นอนว่าจไม่เดินไปทักทายก่อนแน่นอน


เยี่ยเทียนถึงแม้จะยืนอยู่หลังกลุ่มคนเหล่านั้น พลางคิดว่าจะหาทางพูดคุยกับสวีเจิ้นหนานที่กำลังจิตตก แต่คิดไม่ถึงว่าจะถูกคุณชายเหรินกล่าวหาว่าเป็นคนขวางทางไปได้


พอหันข้าง เยี่ยเทียนก็หัวเราะพลางพูดว่า “พี่เหริน เชิญพี่ก่อนครับ…”


เยี่ยเทียนกับเหรินเจี้ยนไม่ได้สนิทสนมกัน ที่เรียกว่าพี่ก็เพื่อประชดเหรินเจี้ยน เขาเองก็อยากจะรู้ว่าเมื่อคุณชายเหรินเห็นตัวเองแล้ว จะมีสีหน้าเป็นแบบไหน?


“อืม ยังถือว่าพูดรู้เรื่อง!”


อารมณ์ที่ชอบมีเรื่องกับคนอื่นของเหรินเจี้ยนนั้นไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด พยักหน้าเป็นการใหญ่อย่างมีมาด ใช้หางตา มองเยี่ยเทียนไปแวบหนึ่ง แล้วตลอดทั้งตัวก็ราวกับถูกแช่แข็งอยู่ตรงนั้นไปชั่วขณะ


“นาย…นาย นาย…”


คุณชายเหรินยกมือขวาขึ้น ชี้หน้าเยี่ยเทียนพร้อมพูดคำว่า”นาย” เป็นพัลวัน ร่างกายก็เริ่มสั่นเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าคนที่นำฝันร้ายมาให้เขาตลอดหลายปี อยู่ดีๆ ก็โผล่พรวดอยู่ต่อหน้าตัวเองแบบนี้


หลังจากครั้งนั้นที่สั่งสอนเยี่ยเทียนไม่สำเร็จ เหรินเจี้ยนกลับถูกหม่าเหล่าซานจัดการไปจนน่วม ตามมาด้วยผู้ใหญ่ในครอบครัวหลายคนที่ตักเตือน ให้พวกเขาสั่งสอนเด็กในบ้านของตัวเองให้ดี


นับแต่นั้นมา ฝันร้ายของคุณชายเหรินก็ได้เริ่มขึ้น ตัดเงินค่าขนมทั้งหมดไม่เท่าไร แต่ตอนที่ห้ามออกนอกบ้านเกือบครึ่งปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่น่าอนาถ เพียงเหรินเจี้ยนหลับตาลง ร่างเงาของเยี่ยเทียนก็จะปรากฏอยู่ตรงหน้าทันที


ถึงแม้เรื่องนี้จะผ่านไปสองปีกว่า และเหรินเจี้ยนก็ไม่ได้เจอเยี่ยเทียนอีก แต่ใบหน้าของเยี่ยเทียนนั้น เขาสามารถหยิบดินสอออกมาวาดได้เลย แล้วทำไมถึงมาเจออีกล่ะ เหรินเจี้ยนตกใจจนพูดจาอึกอัก


อีกทั้งครอบฟันโลหะเคลือบพอร์ซเลนสองสามซี่ที่อยู่ในปากของเขานั้น ก็ดันรู้สึกเจ็บแปล๊บๆ ขึ้นมา ในปีนั้นก็เป็นเพราะเยี่ยเทียน เขาถึงถูกหม่าเหล่าซานตบจนฟันร่วงไปหลายซี่


“พี่เหริน บังเอิญจริงๆ เชิญพี่ก่อนเลยครับ…”


หลังจากเห็นสภาพของเหรินเจี้ยน เยี่ยเทียนก็แอบหัวเราะอยู่ในใจ จิตใจของเจ้าคนนี้รับแรงกดดันได้ไม่เลวเลย ฝันร้ายอยู่เกือบครึ่งปี แต่ก็ยังชอบหาเรื่องวางมาดอยู่เหมือนเดิม สงสัยรอบที่แล้วมือคงหนักไม่พอ


“เยี่ย…พี่เยี่ย…เชิญพี่ก่อนเลยครับ!”


ตีให้ตายเหรินเจี้ยนก็ไม่ยอมทำตัวเป็นขาใหญ่ต่อหน้าเยี่ยเทียน? หลังจากพยายามอย่างยิ่งยวดในการบังคับกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า คุณชายเหรินก็พูดอย่างอึกอัก กระทั่งโน้มตัวให้เยี่ยเทียน


ในใจของเหรินเจี้ยนเวลานี้ เกลียดตู้เฉียงจนเข้ากระดูกดำไปแล้ว ถ้าหากไม่ใช่เขาที่เรียกตัวเองมาปิคนิค ก็คงไม่มีทางได้เจอกับดาวเคราะห์ของตัวเองอย่างเยี่ยเทียน


“ไม่เจอกันไม่สองสามปี พี่เหรินรู้จักจะเกรงใจเป็นแล้วเหรอครับ?”


เยี่ยเทียนได้ยินจึงหัวเราะขึ้นมา และขี้เกียจที่จะต่อปากต่อคำกับเหรินเจี้ยน พลางมองไปด้านข้างเห็นจี่หรานที่ดูตกใจเล็กน้อย จึงหัวเราะพลางพูดว่า “คุณชายจี่ พวกเราเจอกันอีกแล้วนะครับ”


 หลังจากได้ฟังคำของเยี่ยเทียนแล้ว จี่หรานก็ดึงสติกลับมาจากอาการตกใจในตอนที่เจอกับเยี่ยเทียน แล้วรีบพูดอย่างเร่งรีบว่า “สวัสดีครับคุณเยี่ย ผมคอยตามหาคุณอยากเพื่อขอโทษมาตลอด แต่เหมือนสองปีที่ผ่านมาคุณจะไม่ได้อยู่ที่ปักกิ่ง วันนี้ได้เจอแล้ว จึงหวังว่าคุณเยี่ยจะไม่กล่าวโทษพวกเราพี่น้องนะครับ…”


จริงๆ แล้วจี่หรานไม่เคยล่วงเกินเยี่ยเทียน การวางตัวของเขาที่ดูนอบน้อมนั้น เป็นเพราะเมื่อสองปีกว่าก่อนหน้านั้น เขาเคยถูกคนสนิทของคุณหญิงซ่งอิงหลันตักเตือน ไม่ให้เขาไปหาเรื่องเยี่ยเทียนอีก


คนตระกูลซ่งไม่ใช่พวกที่จี่หรานจะไปหาเรื่องได้ หลังจากถูกเตือนแล้ว คุณชายจี่ก็ตามหาเยี่ยเทียนไปทั่วสารทิศ อยากจะไปขอโทษด้วยตัวเอง แต่ตอนนั้นเยี่ยเทียนก็ลาออกจากหวาชิงไปแล้ว จึงค่อยๆ ลืมเรื่องนี้ไป


แต่ว่าเวลานี้ได้พบกับเยี่ยเทียนอีกครั้ง เรื่องราวในตอนนั้นก็กลับมากวนจิตใจอีกครั้ง คุณชายจี่ไม่กล้าปฏิบัติกับเยี่ยเทียนแบบขอไปที อากัปกิริยานั้นระมัดระวังและเคารพมากกว่าตอนเจอญาติผู้ใหญ่ของตัวเองเสียอีก


โชคดีที่นอกจากเยี่ยเทียนสองสามคนนี้แล้ว คนอื่นๆ ได้เข้าไปในรีสอร์ทกันหมด ไม่อย่างนั้นการแสดงของเหรินเจี้ยนกับจี่หราน คงจะทำให้ทุกคนช็อคไปตามๆ กัน


“คุณชายจี่เกรงใจเกินไปแล้ว เรื่องที่ผ่านมาก็ไม่ต้องพูดถึงอีก…”


เยี่ยเทียนหัวเราะพลางส่ายหน้า หลังจากที่เว่ยหรงหรงเข้าไปข้างในแล้วจึงตะโกนรียกพี่ใหญ่ที่กำลังเศร้าสร้อยอยู่ “พี่ใหญ่ เข้าไปแล้ว สี่คนนี้เป็นบุคคลมีชื่อเสียงในเมืองปักกิ่งถิ่นชาววัง จะมาแย่งแฟนของพี่ได้ยังไงกัน?”


“แย่งแฟน? คุณเยี่ย นี่มันเกิดเรื่องอะไรกัน?” จี่หรานตกใจกับคำพูดของเยี่ยเทียน อย่างที่รู้กัน ในปีนั้นเหรินเจี้ยนหาเรื่องเยี่ยเทียนก็เพราะเรื่องผู้หญิง


เยี่ยเทียนหัวเราะ ชี้ไปที่สวีเจิ้นหนานพลางพูดว่า “แฟนสาวของเพื่อนผมกำลังถูกคุณตู้คนนั้นตามจีบ เเหะๆ คุณชายจี่พวกคุณคงไม่รู้เรื่องนี้ใช่ไหมครับ?”


เมื่อเห็นสายตาที่เยี่ยเทียนมองมาที่ตัวเอง เหรินเจี้ยนจึงรู้สึกงงโบกไม้โบกมือ แล้วพูดว่า “ไม่รู้ครับ ผม…ผมไม่รู้เรื่องจริงๆ!”


“คุณเยี่ย เรื่องนี้พวกเราสามสี่คนไม่ทราบจริงๆ คุณวางใจได้ กลับไปเดี๋ยวพวกเราจะไปเกลี้ยกล่อมตู้เฉียง เขาจะไม่ไปรุ่มร่ามกับแฟนสาวของคุณชายคนนี้อีกแน่นอน”


เวลานี้ในใจของจี่หรานก็เกลียดตู้เฉียงขึ้นมาแล้ว นายจะหาเรื่องใครก็ไม่หาเรื่อง? ดันมาหาเรื่องเพื่อนของเยี่ยเทียน?แบบนั้นไม่ใช้การตบแมลงวันบนหัวเสือเหรอ….อยากรนหาที่ตายนักหรือไง?

 

 

 


ตอนที่ 215

 

 แสดงความรัก

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากได้ยินคำพูดของจี่หรานแล้ว เยี่ยเทียนจึงหัวเราะ แล้วพูดไม่หยุดปาก “ถ้าหากพี่จี่สามารถโน้มน้าวคุณตู้ได้ ก็จะดีมากครับ ไปกันเถอะ ทุกคนเข้าไปข้างในกันดีกว่าครับ!”


“แน่นอนครับ คุณเยี่ยเทียนวางใจได้ เหล่าตู้ยังพอจะฟังการโน้มน้าวของผมอยู่บ้าง!” ถึงแม้เยี่ยเทียนจะเรียกเขาว่าพี่จี่ แต่จี่หรานก็ไม่กล้าทำตัวยิ่งยโส


เพราะคนที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่เพียงแต่สามารถทำให้มาเฟียอย่างหม่าเหล่าซานกลายเป็นใบ้กินแล้ว แม้แต่ตระกูลซ่งก็ยังมาทักทายเขาโดยเฉพาะ และในคำพูดเสียงของคุณชายจี่ก็ไม่กล้าแสดงความเมินเฉยชะล่าใจแม้แต่น้อย


และตรงจุดศูนย์กลางที่มีคนสองสามคนที่อยู่หน้าประตูก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ โดยไม่รู้ตัว


คุณชายเหรินคนที่เคยวางมาดอันโอหังและหยิ่งจองหองกลับไม่มีให้เห็นได้อีกต่อไป แม้แต่คุณชายจี่ที่ชอบวางตัวอยู่เหนือคนอื่นมาตลอด ก็ยังยิ้มให้เยี่ยเทียนไม่หยุด


ตอนนี้สวีเจิ้นหนานได้สติกลับมาแล้ว เขาจึงเข้าไปถามเยี่ยเทียนใกล้ๆ “เยี่ยเทียน นาย…นายรู้จักพวกเขาเหรอ?”


ตอนนั้นเหรินเจี้ยนพาหม่าเหล่าซานมาหาเรื่องเยี่ยเทียน ซึ่งก็คือคืนนั้น ถึงแม้สวีเจิ้นหนานจะอยู่ในเหตุการณ์ด้วย แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี เขาก็จำใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ได้แล้ว


“รู้จักสิ…” เยี่ยเทียนพยักหน้า จากนั้นจึงพูดอย่างเคร่งขรึม ” ผมจะบอกี่ใหญ่นะ พี่ต้องมั่นใจในตัวเองหน่อย และท่าทางเมื่อครู่จะทำให้ใครดูกัน?”


“อวี๋ชิงหย่าเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำพูดของนาย ใช่สิ นายเป็นคนพูดถึงไม่รู้ยากยังไงล่ะ!” สวีเจิ้นหนานตอบกลับด้วยความไม่พอใจ


เยี่ยเทียนจึงส่ายหน้า แล้วพูด “ตอนนี้ชิงหย่าไม่ได้ไปหาท่านประธานซางคนนั้นแล้วเหรอ? ผู้หญิงก็ชอบตามดาราเป็นธรรมดา ไม่เห็นจะมีอะไรน่าแปลก? นายต้องยืดตัวตรง แล้วคุณเว่ยถึงจะชื่นชมนาย อีกอย่าง ถ้าหากเว่ยหรงหรงเชื่อฟังนาย นายยังจะชอบเธอไหม?”


ในสายตาของเยี่ยเทียน สวีเจิ้นหนานเหมือนเป็นพวกบ้าทารุณตัวเองคนหนึ่ง ยิ่งเว่ยหรงหรงชี้มือชี้ไม้ให้เขามากเท่าไร เขาก็ยิ่งสบายใจมากเท่านั้น คนหนึ่งชอบตี อีกคนหนึ่งชอบรับ ถือว่าทั้งสองคนเกิดมาคู่กันจริงๆ


“จริงเหรอ?” สวีเจิ้นหนานมองเยี่ยเทียนกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย


“ถ้าไม่เชื่อนายก็กลับมหาลัยฯ ไปเลย!” เยี่ยเทียนถลึงตามองเขาอย่างไม่พอใจ จากนั้นตัวเองจึงเป็นฝ่ายเดินนำเข้าไปในรีสอร์ทที่คล้ายกับบ้านไร่


หากจะพูดว่าที่นี่คือรีสอร์ท ควรจะพูดว่าเป็นฟาร์มจะเหมาะสมกว่า เพราะเมื่อก้าวเข้าไปในลานบ้านก็มองเห็นศาลาพักร้อนสีแดงกับต้นหลิวเขียวขจีกระทบเข้ามาในดวงตา และทางเดินที่ทอดยาวของศาลาพักร้อนกลับเป็นสถานที่สำหรับให้คนปิ้งย่างบาร์บีคิว


ภายในฟาร์มยังมีบ่อเลี้ยงปลาสองสามบ่อ และยังมีศาลาพักร้อนที่สร้างอยู่ข้างบ่ออีกด้วย ทุกคนสามารถตกปลาในศาลาพักร้อน และหลังจากตกปลาได้แล้วก็สามารถนำไปปิ้งย่างในศาลาได้เลย ซึ่งมีความสะดวกเป็นอย่างมาก


นอกจากนี้ภายในฟาร์มยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกและความบันเทิงอย่างห้องร้องคาราโอเกะ ห้องเล่นหมากรุกและห้องเล่นไพ่ต่างๆ โดยสร้างห้องไม้ไผ่ที่มาจากไม้ไผ่ทั้งหมด เมื่อนั่งอยู่ภายในห้องจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความเป็นธรรมชาติอย่างเต็มที่ อีกทั้งกิจการจะดีมากเมื่อถึงวันหยุดสุดสัปดาห์


“ท่านสุภาพสตรีสาวสวยทุกท่านครับ บริษัทของพวกเรามีแพลนจะสร้างภาพยนตร์กำลังภายในเรื่องใหญ่ในครึ่งปีหลัง ตอนนี้พวกเรายังไม่ได้กำหนดตัวนางเอกและตัวประกอบ ถ้าหากทุกท่านสนใจ สามารถไปเทสหน้ากล้องที่บริษัทได้นะครับ…”


ภายในศาลาพักร้อนที่ติดกับบ่อเลี้ยงปลาแห่งหนึ่งของฟาร์ม ท่านประธานชาง กำลังนั่งพูดเกลี้ยกล่อมบรรดาสาวๆ อยู่ในนั้นพอดี แต่กลุ่มหญิงสาวที่รายล้อมเข้ามามีมากเกินไปจริงๆ ทำให้เขายังไม่สามารถกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนได้ในตอนนี้


“ผมกล้ารับประกัน ขอเพียงได้เล่นภาพยนตร์เรื่องนี้ จะต้องดังแน่นอน และยังดังเป็นพลุแตกอีกด้วย อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ด้อยไปกว่าเสี่ยวเยี่ยนจื่อ…”


คำพูดของซางปู้ฉี่ทำให้ดวงตาของหญิงสาวสองสามคนเปล่งเป็นประกาย เพราะความดังก็หมายถึงการมีเงิน และไม่ใช่ทุกคนที่จะมีฐานะทางบ้านที่ดี เหมือนเว่ยหรงหรง อีกอย่างงานพิธีกรในปีนี้ก็ใช่ว่าจะมีเงินกันทุกคน


“เอ๊ะ เหล่าจี่ เหรินเจี้ยน พวกนายสองคนทำอะไรกันอยู่? ทำไมถึงช้าขนาดนี้?”


เมื่อมองเห็นจี่หรานกับเหรินเจี้ยนเดินเข้ามาในลานบ้านอยู่ไกลๆ ท่านประธานซางจึงพูดกับผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ “สองคนนั้นถือว่าเป็นเจ้าของเงินเชียวนะ คุณชายเหรินลงทุนภาพยนตร์มาให้ผมสองสามเรื่องแล้ว ส่วนท่านประธานจี่ก็เป็นนักธุรกิจทางด้านวัฒนธรรม ทำกิจการซื้อขายของโบราณและของเก่าขนาดใหญ่!”


ถือว่าซางปู้ฉี่คนนี้ค่อนข้างมีสัจจะ เขาไม่ลืมที่จะคุยโวโอ้อวดให้กับจี่หรานและเหรินเจี้ยน เพียงแต่เมื่อมองเห็นเยี่ยเทียนอยู่ที่นี่ ทำให้พี่ชายสองคนนั้นไม่มีความคิดที่จะเหล่สาวในเวลานี้เลย


“คนนี้คือใครเหรอ?” หลังจากที่เดินเข้ามาใกล้ๆ แล้ว ซางปู้ฉี่จึงพบว่า ยังมีคนอื่นเดินตามหลังจี่หรานกับเหรินเจี้ยนเข้ามาอีกด้วย เขาจึงอดที่จะตกตะลึงอย่างช่วยไม่ได้


” เหล่าซาง ยังไม่รีบมาทักทายคุณเยี่ยอีก?” พอเดินเข้ามาในศาลา จี่หรานก็ส่งสายตาเป็นสัญญาณให้ซางปู้ฉี่ไม่หยุด


“คุณเยี่ย? ใครคือคุณเยี่ยเหรอ?”


ประธานซางตกตะลึงเล็กน้อย แล้วจึงเงยหน้ามองเยี่ยเทียน จู่ๆ จึงร้องเสียงหลงออกมาปาก “ไอโยว โอ้แม่เจ้า”


เดิมทีซางปู้ฉี่นั่งอยู่บนราวกั้นของศาลาพักร้อน หลังจากร้องตะโกนออกไปแล้ว ร่างกายของเขาจึงเอนไปข้างหลังทั้งตัว พลางหัวเราะแล้วจึงตกลงไปในบ่อเลี้ยงปลาที่อยู่ด้านหลัง


“เหล่าซาง คุณเป็นอะไร?”


“รีบไปช่วยเร็วเข้า ประธานซาง จับมือของผมไว้!”


การตกน้ำของซางปู้ฉี่ ทำให้เกิดสียงร้องสะดุ้งตกใจออกมาภายในศาลาพักร้อน และสายตาของหญิงสาวที่ให้ความสนใจไปยังท่านประธานซางในตอนนั้น จึงมองไปที่เยี่ยเทียนไม่หยุด พวกเธอมั่นใจว่า ประธานซางตกน้ำเพราะเห็นคนคนนี้แน่นอน


“สุดยอด เป็นถึงขนาดนี้เลยเหรอ?”


เมื่อเห็นการตอบสนองที่รุนแรงของเจ้าอ้วนแล้ว เยี่ยเทียนจึงอดที่จะคลำหน้าของตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ “ถึงหน้าตาของพี่จะไม่หล่อเป็นที่น่าจับตามองของสาวๆ แต่ก็ไม่น่าจะทำให้คุณตกใจได้ถึงขนาดนี้นะ?”


เยี่ยเทียนไม่รู้ว่า ตอนนั้นที่เหรินเจี้ยนมาหาเรื่องเขา เป็นเพราะถูกยุยงจากเจ้าอ้วนคนนี้เสียส่วนใหญ่ ดังนั้นหลังจากที่เกิดเรื่อง เขาก็ได้รับการตักเตือนจากผู้ใหญ่ในบ้าน และประธานซางที่ไม่เคยถูกตีมาตั้งแต่เด็ก กลับถูกท่านผู้เฒ่าของบ้านใช้เข็มขัดตีก้นอย่างแรง


ดังนั้นถ้าจะพูดว่ากลัวเยี่ยเทียน ซางปู้ฉี่ก็เป็นรองจากคุณชายเหรินเท่านั้น เมื่อเห็นเยี่ยเทียนปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าอย่างคาดคิดไม่ถึง เมื่อเขาได้สติจึงคิดจะไปซ่อนอยู่ข้างหลัง แต่ไม่คิดว่าข้างหลังจะเป็นบ่อเลี้ยงปลา จึงทำให้เขาตีลังกาหงายหลังตกลงไปเช่นกัน


โชคดีที่บ่อเลี้ยงปลาไม่ลึกมาก บวกกับแขนที่ยาวของตู้เฉียง จึงคว้าคอเสื้อของซางปู้ฉี่ที่ลอยขึ้นมาเอาไว้ได้ แล้วจึงลากเขาขึ้นมาข้างบน


“เยี่ยเทียน ทำไมคนนี้ถึงกลัวนายจัง?” อวี๋ชิงหย่าก็มองออก ว่าประธานซางเหมือนจะกลัวเยี่ยเทียนมาก


เยี่ยเทียนได้ยินแล้วจึงหัวเราะขึ้นมา พลางพูดกระซิบข้างหูของอวี๋ชิงหย่า “ตอนนั้นที่ฉันเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย เคยมีคนมาดักรอที่หน้ามหาลัยฯ อยู่ครั้งหนึ่ง เธอยังจำได้ไหม?”


“ก็คือพวกเขาสองสามคนเนี่ยนะ?” อวี๋ชิงหย่าเอามือป้องปาก เมื่อมองเหรินเจี้ยนก็ยิ่งรู้สึกคุ้นหน้า เหมือนเขาจะเป็นคนที่ถูกเยี่ยเทียนแกล้งในงานเต้นรำตอนนั้นหรือเปล่า?


“ใช่ แต่พวกเขากลับตัวกลับใจแล้ว!” เมื่อเห็นจอกแหนสองสามอันติดอยู่บนศีรษะของเจ้าอ้วนสภาพดูไม่ได้ ทำให้เยี่ยเทียนกลั้นหัวเราะไม่อยู่


ซางปู้ฉี่ยังมีชุดกีฬาสำหรับตีกอล์ฟอยู่บนรถ หลังจากเขาไปหยิบเสื้อผ้าและเข้าไปอาบน้ำในฟาร์มแล้ว ประธานซางจึงกลับมายังสถานที่ที่ทุกคนอยู่ และถ้าหากเยี่ยเทียนไม่เอ่ยปาก เขาก็ไม่กล้าหนีไปไหน


จากความช่วยเหลือของพนักงานในฟาร์มในเวลานี้ ทุกคนจึงเริ่มปิ้งย่างบาร์บีคิว แต่เนื่องจากเรื่องทั้งหมดที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ จึงทำให้สายตาของหญิงสาวเหล่านั้นจ้องมองไปที่เยี่ยเทียนด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างมาก


โดยเฉพาะเมื่อเห็นลักษณะท่าทางของเหรินเจี้ยนกับจี่หรานที่มีมาดใหญ่โต ก็ยิ่งทำให้ทุกคนงงมาก และรู้สึกเหมือน ทั้งสองคนนี้จะให้ความเคารพเยี่ยเทียนเป็นอย่างมาก ก่อนจะพูดหรือทำอะไร มักจะขอความคิดเห็นของเยี่ยเทียนอยู่เสมอ


ถึงแม้ตู้เฉียงจะรู้สึกแปลกใจกับการแสดงออกของทั้งสองคน แต่เยี่ยเทียนกับเขาก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกัน หลังจากพี่ชายอย่างเขาเพิ่งจะปิ้งปีกไก่เสร็จหนึ่งไม้ ก็รีบยื่นให้เว่ยหรงหรงอย่างขยันขันแข็ง “หรงหรง ผมเป็นคนย่างปีกไก่นี้เอง คุณชิมหน่อยนะครับ ตอนที่อยู่อเมริกา พวกเราก็ชอบไปปิคนิคปิ้งย่างบาร์บีคิวบ่อยๆ…”


“ขอบคุณค่ะ…” เมื่ออยู่ต่อหน้าของทุกคน เว่ยหรงหรงจึงได้แต่รับมา แต่เธอกลับไม่รู้ว่าสีหน้าของสวีเจิ้นหนานเริ่มดูไม่ได้ขึ้นมาอีกแล้ว


เมื่อเห็นตู้เฉียงพยายามแสดงความมีน้ำใจต่อหน้าเว่ยหรงหรงอีกครั้ง จี่หรานจึงฝืนยิ้มไม่หยุด จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วตบไหล่ของตู้เฉียง พลางพูด “ประธานตู้ ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณนิดหน่อยครับ!”


“เรื่องอะไรครับ?” ตู้เฉียงตกตะลึงนิดหน่อย


“ไป ออกไปพูดข้างนอกดีกว่าครับ…” จี่หรานเดินออกไปข้างนอก จากนั้นตู้เฉียงจึงเดินตามหลังไปอย่างไม่รู้สาเหตุ


“หรงหรง ผมย่างน่องไก่ คุณจะลองทานหน่อยไหมครับ?” ตอนนี้สวีเจิ้นหนานก็ย่างอาหารที่อยู่ในมือเสร็จพอดี แต่ฝีมือการย่างของเขาสู้ตู้เฉียงไม่ได้อย่างเห็นได้ชัด เพราะน่องไก่นั่นทั้งดำและไหม้เกรียม


“ได้ครับ!”


เว่ยหรงหรงกลับไม่พูดอะไร รับมาและกัดไปหนึ่งคำ ทำให้พี่ใหญ่สวีอารมณ์ดีและสบายใจมาก ผู้ชายกับผู้หญิงเวลามีความรักก็เป็นอย่างนี้ แค่เรื่องเล็กน้อยก็สามารถทำให้พวกเขาต้องเป็นทุกข์เป็นร้อนได้


“ชิงหย่า อ่ะ ฝีมือของฉันดีกว่าพี่ใหญ่ใช่ไหม?” เยี่ยเทียนก็ยื่นปีกไก่ให้อวี๋ชิงหย่าเช่นกัน ส่วนผู้หญิงคนอื่นอีกสองสามคนจึงได้แต่พึ่งพาตัวเอง และรู้สึกอิจฉาคู่รักสองคู่นี้พอสมควร


“เอ๊ะ ผมคิดว่าประธานจี่ คุณ…คุณใส่ใจกว้างเกินไปแล้วนะครับ? เธอกับผมก็ยังไม่ได้แต่งงาน แต่กลับห้ามไม่ให้ผมจีบผู้หญิงคนนี้?” จู่ๆ เสียงของตู้เฉียงก็ดังขึ้นมาจากข้างนอก ทำให้ทุกคนมองออกไปข้างกันยกใหญ่


“เหล่าตู้ คุณอย่าทำเป็นไม่รู้ผิดชอบชั่วดี พี่กำลังช่วยนายอยู่นะ!” สีหน้าของจี่หรานเริ่มแดงขึ้นอยู่บ้าง พร้อมกับน้ำ เสียงที่สูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว


“ประธานจี่ คุณอย่าพูดมั่วๆ นะ ผมไม่มีแม้กระทั่งสิทธิ์ในการจีบผู้หญิงเลยใช่ไหมครับ?”


ตู้เฉียงก็รู้สึกโกรธเหมือนกัน เพราะสองปีที่ผ่านมาเขาช่วยจี่หรานและคนอื่นทำกำไรไปไม่น้อย และตัวเองก็ไม่เคยมีเรื่องอะไรขอร้องพวกเขาเลย จึงเป็นเหตุให้เขาไม่ค่อยไว้หน้าคุณชายจี่


“โอเค คุณก็คิดเสียว่าผมไม่ได้พูดก็แล้วกัน!” จี่หรานยิ้มอย่างเจื่อนๆ ให้เยี่ยเทียน เพื่อแสดงว่าตัวเองทำเต็มที่แล้ว


หลังจากเดินกลับมาตรงที่ปิ้งบาร์บีคิวด้วยความโมโห ตู้เฉียงก็ดึงมือของเว่ยหรงหรง แล้วพูด “หรงหรง ผมชอบคุณจริงๆ ผมอยากให้คุณให้โอกาสผม ผมจะ…ผมจะทำให้คุณมีความสุข!”


“อย่าค่ะ คุณอย่าทำแบบนี้ ปล่อยมือฉันเดี๋ยวนี้ ตู้เฉียง ฉันมีแฟนแล้ว!” เว่ยหรงหรงไม่คิดว่าตู้เฉียงจะทำแบบนี้ จึงรู้สึกสับสนและตื่นตระหนกอยู่บ้าง จะว่าไปความเผ็ดร้อนของพริกก็ไม่อาจต้านทานการสารภาพรักของผู้ชายต่อหน้าสถานที่สาธารณะได้


“คุณยังไม่ได้แต่งงาน ผมก็มีสิทธิ์ที่จะจีบคุณได้!” ตู้เฉียงมีท่าทีที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่มาก


“คุณตู้ คุณสามารถจีบเว่ยหรงหรงได้แต่ผมคิดว่า การอยู่ร่วมกันของคนสองคน สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการเปิดเผยและความจริงใจ ไม่ทราบว่าเรื่องที่คุณมีลูกชายสองคน คุณเคยพูดกับคุณเว่ยไหมครับ”


จู่ๆ เสียงของเยี่ยเทียนก็ดังขึ้นทันที เดิมทีเขาอยากจะให้ตู้เฉียงรู้สึกถึงความยากแล้วจึงถอยไป แต่ใครจะรู้ว่าพี่ชายคนนี้กลับแสดงความรักออกมาต่อหน้าทุกคน เมื่อเห็นท่าทางที่กำลังจะระเบิดของสวีเจิ้นหนาน เยี่ยเทียนจึงต้องเอ่ยพูดอย่างช่วยไม่ได้


“คุณ…คุณรู้ได้ยังไง?” หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ตู้เฉียงจึงปล่อยมือเว่ยหรงหรงทันที พร้อมกับมองเยี่ยเทียนด้วยสีหน้าที่หวาดกลัว

 

 

 


ตอนที่ 216

 

 ไสยศาสตร์

โดย

Ink Stone_Fantasy

ทันใดนั้นเยี่ยเทียนจึงส่ายหน้า แล้วเอ่ยพูด “ไม่ถูก คุณน่าจะมีลูกสาวหนึ่งคนกับลูกชายสองคน…”


“คุณ คุณรู้ได้ยังไง?” หลังจากได้ยินเยี่ยเทียนพูดเสริม ตู้เฉียงจึงล้มไปนั่งที่พื้น พร้อมกับหน้าอกที่หายใจถี่ขึ้นๆ ลงๆ อย่างความรวดเร็ว ซึ่งแสดงออกถึงอารมณ์ตอนนี้ของเขาอย่างเห็นได้ชัด


ตู้เฉียงยังไม่ได้แต่งงาน แต่เขามีลูกสาวหนึ่งคนกับลูกชายอีกสองคนจริงๆ ทว่าลูกสาวของเขายังไม่ทันเกิดก็เสียชีวิตแล้ว และลูกชายคนโตก็เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อสองปีก่อน


ตอนนี้ตู้เฉียงจึงเหลือลูกชายคนเล็กอายุเก้าเดือนเพียงคนเดียว และแม่ของเด็กได้เสียชีวิตลงจากการคลอดยากขณะ ที่ให้กำเนิดเขา ตู้เฉียงจึงจ้างพี่เลี้ยงมาดูแลลูกชายคนเล็กของเขาโดยเฉพาะ และที่ปักกิ่งก็ไม่มีใครรู้ว่าเขายังมีลูกชายอีกหนึ่งคน


คำพูดของเยี่ยเทียนเป็นเหมือนลูกธนูที่แหลมคม ปักลงกลางใจของตู้เฉียง เพราะเรื่องที่อยู่ส่วนลึกในใจที่เขาปิดบังมาตลอด กลับถูกเปิดเผยในที่โล้งแจ้ง ทำให้ตู้เฉียงรู้สึกหวาดกลัวเยี่ยเทียนเป็นอย่างมาก


“ลูกชายคนโตกับลูกสาวตายหมดแล้ว ตอนนี้ลูกชายคนเล็กก็เหมือนตายไปครึ่งหนึ่ง คุณตู้ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมคุณยังมีอารมณ์มาตามจีบผู้หญิงอีก ผมรู้สึกว่าคุณควรจะทำหน้าที่ของพ่อและอยู่เป็นเพื่อนลูกชายให้มากที่สุดนะครับ!”


พูดตามจริง หลังจากพยายามฝืนทำนายโชคชะตาให้ตู้เฉียง ในใจของเยี่ยเทียนรู้สึกรังเกียจนิสัยของตู้เฉียงมาก และยังไม่ต้องพูดถึงลูกสาวของเขาที่เพิ่งตายไปไม่ถึงปี แม้แต่ลูกชายของเขาที่อยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ในตอนนี้ ผู้ชายคนนี้ยังจะมีความคิดที่จะจีบผู้หญิงอีก?


“คุณ…คุณรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง? คุณเป็นปีศาจร้าย คุณเป็นปีศาจร้าย เหรอ?”


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ตู้เฉียงจึงร้องตะโกนออกมาอย่างยั้งสติไม่อยู่ เพราะเยี่ยเทียนพูดเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขาในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาได้ถูกต้องไม่มีผิดเพี้ยน ทำให้ในใจของตู้เฉียงคิดว่า มีเพียงปีศาจร้ายเท่านั้นที่จะทำได้


เยี่ยเทียนขี้เกียจที่จะสนใจตู้เฉียงโดยสิ้นเชิง แล้วจึงหันหน้าไปพูด “ชิงหย่า เรืนสี่ประสานของฉันมีงานที่ต้องไปจัดการอีกนิดหน่อย หรือ…เธอจะอยู่เล่นที่นี่ต่อดีไหม?”


เยี่ยเทียนรู้ว่า แค่ลักษณะท่าทางที่เหรินเจี้ยนกับคนอื่นๆ ที่แสดงต่อตัวเอง ก็ทำให้เขารู้สึกไม่เป็นอิสระเมื่ออยู่ที่นี่ และตู้เฉียงก็ยังก่อเรื่องอีก เขาจึงไม่สามารถอยู่ต่อเพื่อให้ทุกคนมองเขาเป็นตัวเด่นเหมือนหมีแพนด้า


และหลังจากที่ตัวเองเปิดเผยเรื่องที่ตู้เฉียงมีลูกแล้ว เขาจึงคิดว่าสวีเจิ้นหนานได้ทานยาระงับอารมณ์แล้วแน่นอน ซึ่งก็ถือว่าภารกิจของตัวเองในวันนี้สำเร็จแล้ว


เมื่อเห็นเยี่ยเทียนกำลังจะกลับ อวี๋ชิงหย่าจึงลุกขึ้น ดึงแขนของเยี่ยเทียนเอาไว้ พลางพูด “ฉันกลับไปกับนายด้วยดีกว่า หรงหรง พวกเรากลับก่อนนะ…”


“คุณเยี่ย เอ่อ…เอ่อ ผมต้องขอโทษจริงๆ ครับ” จี่หรานก็ลุกขึ้นเช่นกัน เพราะเขาเพิ่งจะตบหน้าอกตัวเองเพื่อเป็นการรับรองว่าตู้เฉียงจะไว้หน้าเขา แต่ไม่คิดว่าผลสุดท้ายจะกลายเป็นแบบนี้


“ผมยังมีธุระต่อ พี่จี่ พวกคุณสนุกกันต่อนะครับ…” เยี่ยเทียนยิ้มพลางส่ายหน้า แล้วจึงเดินออกไปข้างนอกฟาร์มพร้อมกับอวี๋ชิงหย่า


“เดี๋ยวก่อน…” ขณะที่เยี่ยเทียนเพิ่งจะเดินมาถึงหน้าประตูของฟาร์ม ตู้เฉียงที่ยังเหม่อลอยอยู่จู่ๆ ก็ได้สติขึ้นมาทันที แล้วจึงวิ่งไปหาเยี่ยเทียนเหมือนคนบ้า


“ทำไม? ยังอยากสู้อีกเหรอ?


เยี่ยเทียนหมุนตัวกลับมา นัยน์ตาเผยให้เห็นถึงสายตาเย็นชา ถ้าหากตู้เฉียงเป็นฝ่ายลงมือก่อน เขาก็จะไม่ถือสาและสั่งสอนผู้ชายคนนี้อย่างไม่ปราณี


“ไม่…ไม่ใช่ครับ เยี่ย…คุณเยี่ย ผม ผมมีเรื่องส่วนตัวอยากจะพูดกับคุณครับ!” ตู้เฉียงรีบโบกมือติดต่อกัน พร้อมกับแสดงอารมณ์ของการขอร้องออกมาจากนัยน์ตาของเขา


เยี่ยเทียนจึงส่ายหน้า พูดอย่างเย็นชา “ผมกับคุณมีเรื่องอะไรที่คุยกันได้เหรอครับ? คุณตู้ คนที่ทำกรรมอะไรไว้ กรรมนั้นก็ตามสนอง ถ้าคุณว่างก็ควรคิดทวนว่าที่ผ่านมาตัวเองทำเรื่องอะไรไว้บ้าง!”


“ไม่…ไม่ครับ คุณเยี่ย เรื่องไม่ใช่อย่างที่คุณคิดครับ ผม…ผมก็มีเรื่องลำบากใจ”  ตอนที่ตู้เฉียงพูด น้ำตาได้ไหลลงมาอาบหน้า พร้อมกับสีหน้าที่เจ็บปวดรวดร้าว


อวี๋ชิงหย่าใจอ่อน จึงดึงเยี่ยเทียนพลางพูด “เยี่ยเทียน นายก็ลองฟังเขาหน่อยสิ”


“ขอบคุณ ขอบคุณคุณอวี๋ครับ!” หลังจากได้ยินคำพูดของอวี๋ชิงหย่า ตู้เฉียงจึงพูดขอบคุณเธอไม่หยุดปาก


“เธอชอบหาเรื่องใส่ตัวเหรอ?”


เมื่อมองดูสายตาอ้อนวอนของอวี๋ชิงหย่า เยี่ยเทียนจึงส่ายหน้าอย่างจนใจ แล้วพูด “เธอกลับไปปิ้งย่างกับพวกเธอต่อนะ ฉันกับเขามีเรื่องต้องคุยกัน… “


ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวของตู้เฉียง เยี่ยเทียนก็รู้ค่อนข้างเลือนราง ถ้าไม่ใช่เพราะการขอร้องของอวี๋ชิงหย่า เยี่ยเทียนจะไม่รับปากเด็ดขาด เพราะสิ่งที่ตามมาหลังจากความอยากรู้อยากเห็น มักจะเป็นเรื่องยุ่งยากทั้งนั้น


“พูดมา!” หลังจากห้านาทีผ่านไป เยี่ยเทียนกับตู้เฉียงก็นั่งอยู่ภายในห้องวีไอพีแห่งหนึ่งของฟาร์ม ซึ่งมีเพียงพวกเขาสองคน


ตู้เฉียงก็เป็นคนรู้จักกาลเทศะ เขาจึงพูดเปิดประเด็นทันที  “คุณเยี่ย ผมรู้ว่าคุณเป็นผู้วิเศษ ไม่ทราบว่าคุณเคยได้ยินเรื่องไสยศาสตร์มนต์ดำบ้างไหมครับ?”


เยี่ยเทียนเลิกคิ้ว เขาไม่คิดว่าจู่ๆ ตู้เฉียงจะพูดถึงคำนี้ จึงย้อนถาม “ไสยศาสตร์? ไสยศาสตร์ของยุคสังคมศักดินาของทวีปยุโรป? ไหนว่าถูกตัดขาดไปนานแล้วไม่ใช่เหรอ?”


ในฐานะผู้สืบทอดวิชาของสำนักเสื้อป่านเทพพยากรณ์ ถึงแม้เยี่ยเทียนจะไม่ค่อยสนใจและไม่เห็นด้วยกับตำนานผีดูดเลือด วิชาพ่อมดหรือแม่มด รวมทั้งเรื่องไสยศาสตร์เหล่านั้นของต่างประเทศสักเท่าไร แต่การทำความเข้าใจเรื่องพวกนั้นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับเยี่ยเทียน


ในทวีปยุโรปไสยศาสตร์จะถูกเรียกอีกอย่างว่าเวทย์มนต์ดำ โดยมีเป้าหมายในการทำร้ายคนอื่นเป็นหลัก โดยผ่านวิธีการปล่อยสัตว์มีพิษ สาปแช่ง กระทำพิธีกรรมอันลึกลับ เขียนยันต์ เป็นต้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการถูกสังหาร เจ็บไข้ได้ป่วย หลงเสน่ห์ ถูกบังคับ หรือถูกใส่ร้าย ทำให้คนนั้นได้รับเคราะห์โดยไม่รู้ตัว


การแสดงพิธีกรรมของไสยศาสตร์มนต์ดำในตำนาน คือการขอยืมพลังช่วยเหลือของมนต์ดำหรือปีศาจร้าย ให้ปีศาจร้ายสามารถกระทำการที่ชั่วร้ายของเขาได้ และคนที่ช่วยปีศาจร้าย ก็จะได้รับความสามารถในการใช้เวทย์มนต์ดำ


สาเหตุที่เยี่ยเทียนพอจะรู้เรื่องของไสยศาสตร์อยู่บ้าง ก็เพราะวิธีการของการปล่อยแมลงพิษ การสาปแช่งรวมทั้งการเขียนยันต์ มีความคล้ายคลึงกับวิชาหมอผีของประเทศจีนอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่เคยสัมผัสวิชาพวกนี้มาก่อน และไม่รู้ว่าพวกไสยศาสตร์มนต์ดำนั้นมีจริงไหม?


สีหน้าของตู้เฉียงเผยถึงความหวาดกลัวออกมา แล้วจึงเอ่ยพูด “ผม…ผมคิดว่า ผมจะโดนคุณไสยครับ ไม่ใช่แค่ผม กระทั่งแฟนคนก่อนของผมกับลูกชายทั้งสองคน ต่างก็โดนคุณไสยชั่วร้ายนั่นด้วยครับ!”


“โดนคำสาป? คุณตู้ เชิญคุณพูดต่อ…” เยี่ยเทียนขมวดคิ้วพลางมองตู้เฉียงสองสามที แล้วจึงโบกมือเพื่อแสดงให้เขาพูดต่อไป


ตู้เฉียงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วจึงพูด “เมื่อห้าปีก่อน ผมพอจะมีชื่อเสียงที่ย่านวอลล์สตรีทอยู่บ้าง คุณเยี่ย คุณก็รู้ว่างานอย่างพวกเรามีความกดดันสูง ทุกครั้งที่ทำออเดอร์ได้กำไรสำเร็จแล้ว พวกเราก็จะออกไปท่องเที่ยวระยะหนึ่ง…”


“พูดแต่เนื้อ ไม่เอาน้ำ!” เยี่ยเทียนตัดบทคำพูดของตู้เฉียง เพราะเขาไม่มีเวลาฟังนิทานอยู่ที่นี่


“ครับ ตอนนั้นผมไปประเทศอังกฤษ ได้รู้จักกับผู้หญิงคนหนึ่ง…” ตู้เฉียงตกอยู่ในห้วงแห่งความทรงจำ ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนและบูดเบี้ยวสลับกันไปมา แล้วจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับชีวิตเขาช่วงหนึ่งออกมา


ที่แท้ตอนที่ตู้เฉียงไปเที่ยวพักผ่อนที่ประเทศอังกฤษ เขาได้รู้จักกับลูกสาวของท่านเอิร์ลคนหนึ่ง ตอนนั้นเขาตกหลุมรักผู้หญิงคนนั้นอย่างรวดเร็ว และระยะเวลาเกือบหนึ่งเดือน ทั้งสองคนก็ตัวติดกันเหมือนเงาตามตัว


แต่ตู้เฉียงมีนิสัยเป็นหนุ่มเจ้าสำราญอยู่แล้ว และเขาก็ไม่ได้ชอบผู้หญิงชาวตะวันตก แต่สาเหตุที่เขาคบกับผู้หญิงชาวอังกฤษคนนั้น ก็เป็นเพราะอยากหาคู่นอนเท่านั้น หลังจากหนึ่งเดือนผ่านไป ตู้เฉียงก็กลับไปที่วอลล์สตรีทอีกครั้ง


แต่สิ่งที่ตู้เฉียงคาดไม่ถึงก็คือ หลังจากครึ่งปีผ่านไป ผู้หญิงคนนั้นก็ตามหาเขาเจอ และตอนนั้นก็ท้องโต พร้อมกับบอกว่าในท้องคือลูกของตู้เฉียง


ตอนนั้นกิจการของตู้เฉียงกำลังรุ่งเรือง บวกกับเขาไม่ได้มีความรู้สึกกับผู้หญิงคนนี้เท่าไร จึงปฏิเสธว่าตัวเองไม่ใช่พ่อของเด็ก แล้วจึงมอบเงินจำนวนหนึ่งให้กับผู้หญิงชาวอังกฤษคนนั้น เพื่ออยากให้เธอจากไป


เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ตู้เฉียงคาดไม่ถึงก็คือ วันที่ผู้หญิงจากไปในวันเดียวกันนั้น เธอได้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ เมื่อรอให้ตู้เฉียงรีบมาถึงโรงพยาบาล ผู้หญิงคนนั้นก็ท่องคาถาแปลกประหลาดบทหนึ่งใส่เขา จากนั้นก็เสียชีวิต และยังเป็นศพที่มีสองชีวิตอีกด้วย เพราะเด็กทารกผู้หญิงในท้องก็ไม่รอดเช่นกัน


ตู้เฉียงมีนิสัยค่อนข้างเย็นชา เขาเสียใจอยู่พักหนึ่ง แล้วก็ลืมเรื่องทุกในไม่ช้า จากนั้นจึงเริ่มคบกับแฟนสาวชาวจีนอีกครั้ง


หลังจากหนึ่งปีผ่านไป ผู้หญิงคนนี้ก็ให้กำเนิดลูกชายกับตู้เฉียงหนึ่งคน เพราะคนจีนให้ความสำคัญกับการให้กำเนิดลูกชายมาก ตอนนั้นตู้เฉียงก็ดีใจเป็นอย่างมาก และเตรียมตัวอยู่ช่วงหนึ่งเพื่อจะกลับไปแต่งงานกับแฟนสาวที่ประเทศจีน


แต่ตอนที่เด็กทารกผู้ชายเพิ่งจะอายุได้แปดเดือน จู่ๆ ก็เกิดป่วยด้วยโรคประหลาด มีรอยแผลเน่าเปื่อยขึ้นเต็มทั้งตัวของเด็ก เขาได้พาเด็กไปหาหมอในอเมริกาหลายคน แต่ก็ไม่สามารถรักษาได้ เมื่ออายุเพิ่งผ่านไปได้หนึ่งขวบก็เสียชีวิตแล้ว


หลังจากเกิดเรื่องเคยมีคนพูดกับตู้เฉียงว่า ลูกของเขาถูกคำสาปแช่งของมนต์ดำ ตอนนั้นตู้เฉียงไม่เชื่อ แล้วจึงพาแฟนสาวที่กำลังท้องเดินทางกลับประเทศจีน


แต่เรื่องที่เกิดขึ้นต่อมา กลับทำให้ตู้เฉียงแทบทรุด เพราะตอนที่แฟนของเขากำลังคลอดลูกคนที่สองซึ่งคลอดยากแล้วจึงเสียชีวิตลง


และลูกชายคนเล็กที่ถูกตู้เฉียงดูแลประคบประหงมอย่างตั้งใจ จู่ๆ ก็เกิดโรคเหมือนกับลูกคนแรกเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ร่างกายเกิดแผลเน่าเปื่อยพุพองขึ้นเต็มทั้งตัว


และในขณะเดียวกัน ตู้เฉียงก็เริ่มฝันร้ายติดต่อกันหลายคืน เขามักจะฝันเห็นผู้หญิงชาวอังกฤษคนนั้นกับลูกสาวของตัวเองที่ตายไป แม้แต่ตอนกลางวันก็รู้สึกไม่สบายใจเลยสักวินาทีเดียว


แต่ในงานสังสรรค์ครั้งนี้ ตู้เฉียงได้รู้จักกับเว่ยหรงหรง เขาพบว่าเพียงแค่เขาเข้าใกล้เว่ยหรงหรง เงามืดที่ปกคลุมหัวใจของเขาได้กระจายออกไป พอตกเย็นกลับไปถึงบ้านก็ไม่นอนฝันร้ายอีก นี่จึงเป็นสาเหตุที่ตู้เฉียงตามจีบเว่ยหรงหรงอย่างบ้าคลั่ง


“เยี่ย…คุณเยี่ยครับ ผม…ผมรู้ว่าคุณเป็นผู้วิเศษ คุณสามารถช่วยผมได้ ใช่ไหมครับ?”


หลังจากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นของตัวเองจบแล้ว ตู้เฉียงจึงคุกเข่าเสียงดัง “พรุก” ต่อหน้าเยี่ยเทียน เพราะเขาสามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายที่ทำให้ตัวเองสงบสุขได้จากตัวของเยี่ยเทียน


ตู้เฉียงเป็นคนที่ฉลาดมากคนหนึ่ง เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูดเรื่องความลับที่อยู่ในใจของเขาก่อนหน้านี้ เขาจึงเข้าใจในทันที ว่าคนที่มีกลิ่นอายแบบนี้ จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน และเด็กหนุ่มที่อยู่ต่อหน้าคนนี้ บางทีอาจจะมีวิธีช่วยชีวิตตัวเองก็เป็นได้


“หรือว่าไสยศาสตร์มนต์ดำจะมีอยู่จริง?” เยี่ยเทียนไม่ได้ตอบตู้เฉียง และก็ไม่ได้ให้เขาลุกขึ้น แต่กลับหลับตาแล้วสำรวจการเปลี่ยนแปลงของพลังชีวิตที่อยู่รอบตัวอย่างเงียบๆ


หลังจากผ่านไปหกถึงเจ็ดนาที เยี่ยเทียนจึงลืมตามองตู้เฉียง พลางพูด “เป็นเพราะการก่อกรรมของตัวคุณเอง ทำไมผมต้องช่วยคุณด้วย?”


เยี่ยเทียนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่แปลกประหลาดมากบางอย่างจากตัวของตู้เฉียง เขามีความสามารถในการกำจัดสิ่งอัปมงคลออกไป แต่กลับไม่อยากช่วยเหลือผู้ชายที่ทรยศต่อความรักคนนี้


 

 

 


ตอนที่ 217

 

โรคประหลาด

โดย

Ink Stone_Fantasy

“คุณเยี่ย แม้ว่าคุณจะไม่ช่วยผม ก็ขอให้ช่วยลูกของผมเถอะครับ เพราะเด็กไม่มีความผิดอะไร!”


ตู้เฉียงคุกเข่าอยู่บนพื้น พร้อมกับมองเยี่ยเทียนด้วยใบหน้าที่อ้อนวอน ถึงแม้ชีวิตส่วนตัวของเขาจะไม่ระมัดระวัง และมีนิสัยที่เย็นชาไม่สนใจใครอยู่บ้าง แต่สำหรับสายเลือดเดียวของตัวเองที่อยู่บนโลกใบนี้ เขาจึงอาลัยอาวรณ์เป็นอย่างมาก


เยี่ยเทียนส่ายหน้าอย่างช้าๆ พลางพูด “คนที่น่าสงสารมักจะมีข้อเสียที่ทำให้คนเกลียด กรรมที่คุณก่อไว้ ตามหลักก็ควรให้ลูกของคุณเป็นคนชดใช้ ตู้เฉียง คำสาปที่คุณได้รับ จะทำให้คุณไม่มีลูกหลานสืบสกุลไปตลอดชีวิต!”


นอกจากนี้เยี่ยเทียนก็ยังไม่ได้พูดประโยคนั้นออกมา ตอนนี้ตู้เฉียงกำลังใช้ชีวิตท่ามกลางความหวาดกลัว และดูจากสภาพจิตใจและสติของเขาในตอนนี้ เกรงว่าจะอยู่ไม่เกินสองปี


แต่ถึงประโยคข้างต้นของเยี่ยเทียน จะทำให้ตู้เฉียงเหมือนโดนฟ้าผ่า แต่เขาก็ไม่สนใจอะไรแล้ว จากนั้นจึงโขกศีรษะคำนับเยี่ยเทียนติดต่อกัน พร้อมกับพูดว่า “คุณเยี่ย ได้โปรดช่วยผม ได้โปรดช่วยลูกของผมด้วย!”


หลังจากลูกชายคนโตตายไปตั้งแต่วัยเยาว์ ตู้เฉียงก็เคยไปตามหา “ยอดฝีมือผู้มีวิชาขั้นสูง” ที่กล่าวขานกันในประเทศจีนเพื่อมาช่วยกำจัดสิ่งอัปมงคลและความชั่วร้ายให้เขา และเขาได้เสียเงินไปไม่น้อย แต่กลับไม่ได้ผลอะไรเลย ไม่อย่างนั้นตู้เฉียงก็คงไม่หน้าด้านตามจีบเว่ยหรงหรงแบบนี้หรอก


“เฮ้ เฮ้ นี่คุณ อย่าเอาน้ำมูกของคุณมาเช็ดที่กางเกงของผมนะ”


เมื่อเห็นผู้ชายอย่างตู้เฉียงร้องไห้พลางกอดน่องขาของตัวเองเอาไว้ แถมยังเช็ดน้ำตากับน้ำมูกมาข้างบนอีก เยี่ยเทียนจึงกลืนไม่เข้าคายไม่ออกบอกไม่ถูก จากนั้นจึงผลักเขาออกไป แล้วพูด “คุณตู้ ผมกับคุณไม่ได้มีความสนิทสนมกัน ทำไมผมต้องช่วยคุณด้วย?”


เมื่อเยี่ยเทียนพูดคำเหล่านี้ออกมา ในใจของเขาก็เริ่มสั่นไหวขึ้นมาบ้าง เพราะความจริงแล้วเยี่ยเทียนก็ไม่เคยสัมผัสว่ามนต์ดำคืออะไรกันแน่ แต่ก็เหมือนกับที่พูดไปข้างต้น ทำไมเขาต้องช่วยตู้เฉียงให้เปลืองแรงด้วย?


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ตู้เฉียงจึงเงยหน้าขึ้นทันที พลางพูดเสียงดัง “คุณเยี่ยเทียน ขอ…ขอเพียงคุณยอมช่วยผม ผม…ผมจะทำตามเงื่อนไขทุกอย่างโดยไม่มีข้อแม้ครับ!”


เยี่ยเทียนมองตู้เฉียงเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม แล้วจึงพูด “ต้องทำให้ครอบครัวล่มจมคุณก็ยินดี?”


“เอ่อ…”


ตู้เฉียงลังเลพักหนึ่ง แล้วจึงพูดต่อ “ผมยินดี คุณเยี่ย ขอเพียงคุณยอมช่วยผมกับลูกชาย ต่อให้ครอบครัวต้องล่มจมผมก็ยอมครับ!”


ตู้เฉียงเป็นคนฉลาด เขาเข้าใจหลักอย่างหนึ่ง เงินที่จ่ายออกไปถึงจะเรียกว่าเงิน มิฉะนั้นหากต้องรอให้ตัวเองเข้าโลงศพ เงินที่เหลืออีกมากก็เป็นของคนอื่นอยู่ดี และถ้าเงินใช้หมดแล้วเขาก็ยังหาใหม่ได้ แต่ชีวิตกลับมีเพียงชีวิตเดียวเท่านั้น


“ยอมจริงๆ เหรอ?” เยี่ยเทียนซักถามอีกหนึ่งประโยค


“ยอมครับ!” ตู้เฉียงกัดฟัน ขอเพียงสามารถรักษาลูกชายของเขาให้หายกับไม่ทำให้ตัวเองฝันร้ายทุกคืน ตู้เฉียงจะยอมมอบทุกสิ่งที่ของตัวเองด้วยความยินดี


เยี่ยเทียนพยักหน้า พลางพูด “บอกทรัพย์สินของคุณออกมาทั้งหมด ตู้เฉียง คนจีนให้ความสำคัญในเรื่องผลกรรมตามสนอง คุณทำเรื่องเลวมามาก ตอนนี้ต้องชดเชยโดยการสร้างบุญกุศล ห้ามปิดบังเด็ดขาด…”


“ผมมีบ้านสองหลังกับรถหนึ่งคันในปักกิ่ง มีมูลค่าประมาณสามล้านหยวน นอกจากนี้ยังมีหุ้นประมาณห้าล้านหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ส่วนเงินสดตอนนี้มีเพียงหนึ่งแสนกว่าหยวนครับ คุณเยี่ย คุณจะจัดการยังไง ผมก็จะทำอย่างนั้นครับ!”


ตู้เฉียงไม่กล้าปิดบังแม้แต่นิดเดียว แล้วจึงบอกทรัพย์สินที่มีทั้งหมดให้กับเยี่ยเทียน และคนที่อายุสามสิบต้นๆ อย่างเขา สามารถหาเงินหาทองด้วยมือเปล่าได้ถึงขนาดนี้ ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย


เยี่ยเทียนครุ่นคิด แล้วจึงเอ่ยพูด “คุณเก็บรถเอาไว้ แล้วปิดประกาศขายบ้าน จากนั้นขายหุ้นและแลกเป็นเงินสด แล้วเอามาให้ผมหนึ่งล้านหยวน ส่วนที่เหลือก็บริจาคให้กับมูลนิธิแห่งความหวังทั้งหมด คุณทำได้ไหมครับ?”


การเก็บค่าธรรมเนียมในการช่วยเหลือคนขับไล่สิ่งอัปมงคลและความชั่วร้าย ถือเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะทำแบบนี้ได้ทุกเรื่อง อีกอย่างเยี่ยเทียนก็รู้อยู่แก่ใจ เพราะเขาไม่ได้เป็นเหมือนลูกหลานนิกายเซียงเจียง ที่ต้องเอาเงินเข้ากระเป๋าให้ได้ก่อนแล้วจึงยอมรามือ


ถ้าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เยี่ยเทียนก็คงรับเงินเพียงหนึ่งล้านหยวน แต่สำหรับตู้เฉียง เยี่ยเทียนอยากให้บทเรียนแก่เขา ไม่เพียงแต่ทำให้ครอบครัวของเขาล่มจม แถมยังให้เขาได้รับสัมผัสถึงผลกรรมตามสนองจากการทำชั่วอีกด้วย


“ทำได้ ผมทำได้ครับ!”


ตู้เฉียงพยักหน้าหงึกๆ จากนั้นเขาจึงพูดอย่างลังเล “คุณ…คุณเยี่ยครับ คุณ คุณจะช่วยผมกำจัดมนต์ดำเมื่อไรครับ?”


ไม่ใช่ตู้เฉียงไม่เชื่อเยี่ยเทียน แต่เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตของเขาและลูกชาย ถ้าหากเขาให้เงินเยี่ยเทียน และบริจาคเงินไปแล้ว หากเยี่ยเทียนคิดหนีขึ้นมา แบบนั้นก็คงไม่ต้องรอให้คำสาปมาเอาชีวิตเขาหรอก เพราะตู้เฉียงคงจะโมโหตายทั้งเป็นเสียมากกว่า


“ตอนไหนก็ได้ ถ้าคุณใจร้อน ตอนนี้ก็ยังได้…”


เยี่ยเทียนลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก เขาไม่กลัวว่าหลังจากที่ตัวเองช่วยตู้เฉียงกำจัดสิ่งชั่วร้ายแล้วเขาจะชิ่งหนี ถ้าหากตู้เฉียงทำอย่างนั้นจริง เยี่ยเทียนมีวิธีมากมายที่จะจัดการเขา


“ตอนนี้ก็ได้?”


ตู้เฉียงได้ยินแล้วจึงตกละลึง เขาไม่คิดว่าเยี่ยเทียนจะตอบแบบนี้ เมื่อรอให้เขาได้สติกลับมา เยี่ยเทียนก็เดินออกไปนอกห้องแล้ว จากนั้นตู้เฉียงจึงรีบเดินตามหลังของเยี่ยเทียน พลางพูด “คุณ…คุณเยี่ย งั้น…งั้นพวกเราก็ไปตอนนี้เลยใช่ไหมครับ?”


“ได้ ผมขอไปบอกลาพวกเขาก่อน…”


สาเหตุที่เยี่ยเทียนพยักหน้า อย่างแรกเป็นเพราะเขาก็อยากรู้ระบบวิชาไสยศาสตร์ของทวีปยุโรป อย่างที่สองช่วงนี้เยี่ยเทียนไม่ค่อยมีเงิน ทั้งเนื้อทั้งตัวคลำหาเงินไม่เจอสักสลึงเดียว หากหาเงินได้เร็วหน่อยก็ยังทำให้พอมีเงินทองมีทองใช้อยู่บ้าง


“ชิงหย่า อีกสักพักให้พี่ใหญ่ส่งเธอกลับบ้านนะ ฉันกับเขาต้องไปทำธุระนิดหน่อย…” หลังจากกลับมาถึงตรงที่ปิ้งย่างบาร์บีคิว เยี่ยเทียนจึงกำชับอวี๋ชิงหย่า


“คุณเยี่ย คุณกับเหล่าตู้เกิดอะไรขึ้น?” เมื่อเห็นหน้าผากที่บวมแดงไปทั้งแถบของตู้เฉียง จี่หรานจึงอดถามอย่างช่วยไม่ได้ เพราะเขากับเยี่ยเทียนไม่ได้มีความแค้นอะไรต่อกัน จึงยังพอที่จะถามไถ่ได้บ้าง


“อันนี้?” เยี่ยเทียนหันมามองตู้เฉียงหนึ่งที แล้วจึงพูด “เรื่องนี้คุณต้องถามเขาด้วยตัวเองครับ”


“เอ่อ คุณชายจี่ ถ้าคุณว่างก็ไปกับผมด้วยสิครับ น้องชายอย่างผมก็มีเรื่องลำบากใจเหมือนกัน…”


ตู้เฉียงถอนหายใจ เพราะเยี่ยเทียนเปิดโปงเรื่องลูกชายของเขา ถ้าหากไม่อธิบายให้จี่หรานและคนอื่นเข้าใจอย่างชัดเจน ต่อไปตัวเองคงไม่มีหน้าทำมาหากินในปักกิ่งได้แน่นอน


“คุณเยี่ย คุณคิดว่ายังไครับ?” ตู้เฉียงยังต้องถามความคิดเห็นของเยี่ยเทียนก่อน ถึงอย่างไรเยี่ยเทียนก็จะต้องช่วยเขาปัดเป่ามนต์ดำออกไป และตอนที่ทำพิธีกรรมนั้นจะยอมให้คนอื่นอยู่ด้วยไหมจึงต้องลองถามอีกที


“แล้วแต่คุณ รีบไปกันเถอะ ตอนบ่ายผมยังมีธุระอีก…”


เยี่ยเทียนลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอกฟาร์มก่อน จี่หรานกับซางปู้ฉี่จึงสบตากันหนึ่งที แล้วจึงรีบเดินตามหลังไป แม้แต่  เหรินเจี้ยนคนที่กลัวเยี่ยเทียน ก็ยังคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงรีบเดินตามไป


ตู้เฉียงพักอยู่ในบ้านที่อยู่ใกล้กับบริษัท แต่เขายังมีคฤหาสน์หนึ่งหลังอยู่ที่นอกชานเมือง และถึงแม้เขากับจี่หรานและคนอื่นจะสนิทกัน แต่ก็ไม่มีใครรู้เรื่องคฤหาสน์หลังนี้


ในช่วงปลายปีหนึ่งพันเก้าร้อยเก้าสิบ คฤหาสน์บ้านหลังเดี่ยวเป็นที่นิยมมากในเมืองปักกิ่ง ตำแหน่งในการก่อสร้างก็ไม่เลวและราคาก็ไม่ได้แพงเหมือนยุคหลัง ถือว่าตู้เฉียงมีสายตาที่เฉียบแหลมมาก เขาจึงเริ่มลงทุนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ


แต่เวลานี้ตู้เฉียงไม่มีอารมณ์มาอวดอะไรทั้งนั้น เพราะคฤหาสน์หลังนี้จะไม่ใช่ของตัวเองอีกต่อไปแล้ว หลังจากจอดรถ เขาจึงรีบพาคนสองสามคนเข้าไปในคฤหาสน์


และน่าจะเป็นเพราะได้ยินเสียงรถจอดอยู่ข้างนอก พอตู้เฉียงเปิดประตู ก็มีผู้หญิงวัยกลางคนอายุราวสี่สิบกว่าปีคนหนึ่งออกมาต้อนรับ พร้อมกับพูดด้วยสีหน้าร้อนใจ “คุณตู้ คุณกลับมาแล้ว? หรานหรานร้องไห้ตลอด ฉัน…ฉันคิดว่า คุณควรจะพาเขาไปหาหมอนะคะ?”


ดูเหมือนเป็นการขานรับคำพูดของหญิงวัยกลางคน เสียงร้องไห้ที่ดังเป็นพักๆ ดังออกมาจากห้องบนชั้นสองอย่างชัดเจน หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะการร้องไห้นานเกินไป จึงทำให้น้ำเสียงแฝงไปด้วยความอ่อนแอ


“หลี่เซ่า ผมเชิญหมอมาดูอาการป่วยของลูกแล้ว คุณช่วยรินน้ำให้พวกแขกด้วยครับ” หลังจากตู้เฉียงกำชับหลี่เซ่าแล้ว เขาจึงเอ่ยพูด “คุณเยี่ย คุณชายจี่ พวกคุณเชิญนั่งก่อนครับ!”


“ฮวงจุ้ยของบ้านหลังนี้จัดได้ดีพอสมควร แต่กลับขาดเรื่องโชคลาภและห่างไกลจากเรื่องสุขภาพมาก”


เยี่ยเทียนโบกมือ ไม่ได้สนใจคำพูดของตู้เฉียง จากนั้นจึงเดินไปรอบๆ ห้องโดยไม่สนใจคนอื่น ทำให้หลี่เซ่ามองเขาเหมือนระวังโจรขโมย เพราะมีอย่างที่ไหนมาดูอาการป่วยด้วยมือเปล่าอย่างน้อยก็ต้องมีอุปกรณ์หูฟังบ้าง


เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้แหบแห้งของเด็กทารก เยี่ยเทียนจึงขมวดคิ้ว แล้วพูด “ตู้เฉียงและพวกคุณรออยู่ข้างล่าง ผมจะขึ้นไปดูข้างบน ถ้าผมไม่ได้เรียกพวกคุณ ก็ห้ามขึ้นมานะ!”


ตู้เฉียงก็กำลังคิดหาโอกาสอธิบายเรื่องพวกนี้ให้จี่หรานและคนอื่นพอดี หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว เขาจึงรีบพยักหน้าขานรับ “ครับ คุณเยี่ย!”


“คุณตู้ เขา…เขาไม่ใช่พวกต้มตุ๋นใช่ไหมคะ?” หลี่เซ่าเป็นห่วงเด็ก จึงอดพูดเตือนตู้เฉียงไม่ได้


“หลี่เซ่า คุณออกไปก่อนนะ นี่เงินหนึ่งพันหยวน เย็นนี้คุณไม่ต้องมากลับมาแล้ว!”


ตู้เฉียงตกใจกับคำพูดของหลี่เซ่าแล้วจึงรีบควักเงินปึกหนึ่งยัดใส่มือของเธอ พลางแอบมองเยี่ยเทียนหนึ่งที เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจ แล้วจึงวางใจอยู่บ้าง


“เวทย์มนต์ดำนี้ก็มีวิธีการของมันเหมือนกัน ทั้งๆ ที่เป็นพลังพิฆาตเหมือนกัน แต่ทำไมถึงต่างจากกับพลังหยินพิฆาตนะ?”


เยี่ยเทียนไม่ได้สนใจบทสนทนาของตู้เฉียงกับหลี่เซ่า ความสนใจของเขาอยู่ภายในห้องที่เด็กทารกอยู่ เพราะเยี่ยเทียนสัมผัสได้ว่า ภายในห้องมีกลิ่นอายบางอย่างที่คล้ายกับตัวของตู้เฉียง


แต่กลิ่นอายนี้มีความแปลกประหลาดมาก มีความเย็นยะเยือกและดำมืดของพลังพิฆาต และยังมีความรู้สึกบางอย่างที่เยี่ยเทียนพูดออกมาไม่ถูก เหมือนกับมีสิ่งมีชีวิตบางอย่างสิงอยู่ในตัวของเด็กทารก


เยี่ยเทียนส่ายหน้า แล้วจึงขึ้นไปบนชั้นสอง เขายืนอยู่ตรงหน้าประตูก็สามารถมองเห็นเปลที่อยู่ข้างหน้าต่างนั้น แสงอาทิตย์ยามบ่ายกำลังส่องไปบนเปล แต่ข้างหูของเขากลับได้ยินเสียงร้องไห้แหบแห้งของเด็ก และบรรยากาศภายในห้องก็มีความแปลกประหลาดอย่างเห็นได้ชัด


“นี่…นี่คือการทำบาปทำกรรมจริงๆ!”


หลังจากเยี่ยเทียนเห็นเด็กทารกคนนั้นเมื่อเดินมาถึงเปล ถึงแม้เขาจะมีความรู้ความสามารถมากมาย แต่ก็อดรู้สึกหวาดกลัวอย่างช่วยไม่ได้ เพราะว่าสภาพของเด็กคนนี้ น่าสงสารเวทนามากจริงๆ


ร่างกายที่อ่อนแอนอนขดอยู่ในเปล ใบหน้าและร่างกายที่เผยออกมาภายนอกของเด็กทารก เกิดตะปุ่มตะป่ำเป็นก้อนเหมือนถุงน้ำเต็มไปหมด มีถุงน้ำบางส่วนที่แตกออก ปล่อยกลิ่นเหม็นที่ไม่พึงประสงค์ฟุ้งกระจายออกมา


สองมือเล็กของเด็กทารกถูกกางออกไว้บนเปลทั้งสองข้างถูกมัดมั่นคง คงกลัวว่าเขาจะเอามือไปเกาถุงน้ำบนใบหน้า ที่ทั้งคันทั้งเจ็บแต่ก็เกาไม่ได้ ทำให้เสียงร้องไห้ของเด็กคนนี้ยิ่งน่าเวทนาเป็นอย่างมาก พร้อมกับน้ำตาไหลเอ่อเต็มดวงตาทั้งสองข้าง

 

 

 


ตอนที่ 218

 

แก้คำสาป

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตอนนั้นที่เยี่ยเทียนออกไปท่องยุทธภพกับนักพรตเฒ่า เขาเห็นเด็กเร่ร่อนพเนจรถูกคนบังคับให้ออกไปคอยขอเงินจากคนอื่นก็ไม่น้อย สภาพน่าสงสารมาก แต่เมื่อเทียบกับเด็กทารกที่อยู่ในเปลแล้ว เด็กเหล่านั้นกลับมีความสุขมากกว่า


ถึงแม้เด็กทารกที่อยู่ตรงหน้านี้จะยังพูดไม่ได้ กระทั่งยังไม่รู้ประสีประสากับโลกใบนี้ แต่ความเจ็บปวดและความหวาด กลัวที่เผยออกมาจากในดวงตาของเขา กลับปรากฏต่อหน้าเยี่ยเทียนอย่างชัดเจน


“ผู้ใหญ่ก่อกรรมชั่ว แต่ให้เด็กต้องมารับความทุกข์ทรมาน ถ้ารู้ว่าเป็นอย่างนี้ก็จะไม่เหลือรถคันนั้นให้เขาด้วย!” เมื่อมองดูสภาพของเด็กทารกที่อยู่ในเปลแล้ว เยี่ยเทียนจึงสบถด่าออกมาไม่หยุด และยิ่งรู้สึกเกลียดการกระทำของตู้เฉียงมากขึ้น


“เป่าเป่า เด็กดี ไม่ร้องไห้นะ!”


เยี่ยเทียนไม่มีประสบการณ์ในการเลี้ยงเด็ก แต่จะว่าไปก็แปลก ตอนที่เขาเดินมาอยู่ตรงหน้าเปล ร่างกายของเด็กทารกที่กำลังกลิ้งไปมาอยู่ในเปล จู่ๆ ก็หยุดร้องไห้ทันที


“เวลาที่ตู้เฉียงอยู่ใกล้เว่ยหรงหรงจะรู้สึกสงบใจ ส่วนฉันเข้าใกล้เด็กทารก เขาก็จะยิ้มและหยุดร้องไห้ หรือว่า?”


การเปลี่ยนแปลงของเด็กทารก ทำให้เยี่ยเทียนตกตะลึง พลางพลิกมือขวา จากนั้นเหรียญจึงปรากฏอยู่บนฝ่ามือของเขา เยี่ยเทียนคีบเหรียญด้วยสองนิ้ว แล้วส่ายไปมาต่อหน้าของเด็กคนนี้


“เกอเกอ…เกอเกอ!” เดิมทีเด็กทารกที่ร้องไห้เสียงแหบแห้ง จู่ๆ กลับเผยรอยยิ้มบนใบหน้า และสองมือเล็กที่ถูกยึดไว้บนเปลก็พยายามดิ้น เพื่ออยากจับเหรียญที่อยู่ในมือของเขาเยี่ยเทียน


“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้ เครื่องรางของขลังมีผลต่อเวทย์มนต์ดำ!”


เมื่อเห็นฉากนี้ สีหน้าแห่งความเข้าใจได้ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเยี่ยเทียน เขารู้แล้วว่าเว่ยหงจวินได้ซื้อของขลังชิ้นนั้นไปจากมือของตัวเองแล้วมอบให้กับเว่ยหรงหรง และเหตุผลที่ทำให้ตู้เฉียงมีความรู้สึกแบบนั้น ก็มีต้นเหตุมาจากสิ่งนี้


“วิชาแบบนี้ดูจะแปลกประหลาดไปหน่อยไหม?”


เยี่ยเทียนปล่อยพลังชี่ดั้งเดิมภายในร่างกายออกมา และภายในห้องทั้งหมดได้อยู่ในบริเวณการรับรู้ของเขาอย่างฉับ พลัน ไม่ว่าจะเกิดการเคลื่อนไหวใดๆ ก็ตาม ก็ไม่อาจเล็ดรอดความรู้สึกของเยี่ยเทียนไปได้ และการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของเด็กที่อยู่ในเปล ก็ถูกสังเกตออกจากความรู้สึกอันเฉียบไวของเยี่ยเทียน


ภายในร่างกายของเด็กทารก มีกลิ่นอายของพลังชี่พิฆาตแฝงอยู่ แต่ไม่เหมือนกับพลังชี่พิฆาตที่เยี่ยเทียนคุ้นเคย และกลิ่นอายของพลังชี่พิฆาตนี้ ยังมีการเคลื่อนไหวที่ยากจะสังเกตได้


การเคลื่อนไหวนี้เหมือนกับมีจิตวิญญาณอยู่ด้วย หลังจากเยี่ยเทียนปล่อยพลังชี่ดั้งเดิมออกไป มันก็หยุดเคลื่อนไหวทุกอย่างทันที จากนั้นมันก็นำพลังชี่พิฆาตทั้งหมดเข้าไปสิงอยู่ในเส้นลมปราณของเด็กทารก ถ้าหากไม่ใช่เพราะเยี่ยเทียนมีความรู้สึกที่เฉียบไวต่อพลังชี่พิฆาตเป็นพิเศษ มันก็คงจะหลบซ่อนโดยที่เขาไม่รู้ตัวจริงๆ


เยี่ยเทียนเคยเห็นหลุมศพจำนวนมากและยังเคยสัมผัสดินแดนที่มีพลังหยินสุดพิฆาตมาก่อน แต่พลังชี่พิฆาตที่เหมือนมีความคิดแบบนี้ เยี่ยเทียนเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกจริงๆ เขาเอามือคลึงตรงกลางระหว่างคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ พลางขมวดคิ้วครุ่นคิด เขาพยายามดึงข้อมูลที่สืบทอดจำนวนมหาศาลที่อยู่ในหัวออกมา เพื่อหาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง


“เป็นพลังของคำสาปจริงๆ ด้วย และวิชาพวกนี้ก็มีอยู่จริง!” หลังจากผ่านไปครึ่งค่อนวัน เยี่ยเทียนจึงเผยสีหน้าแห่งความหวาดกลัวออกมา


สิ่งที่เรียกว่าคำสาป ก็คือการใช้คำพูดที่ชั่วร้ายโจมตีคนอื่น แท้จริงแล้วในชีวิตของคนเราก็ใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยคำสาปต่างๆ มากมาย เพียงแต่คนปกติทั่วไปไม่สามารถสัมผัสได้เท่านั้นเอง คุณจึงไม่รู้ว่าพวกมันมีตัวตนอยู่จริง


ก็เหมือนกับข้างกายของพวกเราถึงแม้จะมีสายไฟอยู่ทุกที่ แต่ถ้าพวกเราไม่ไปตัดมัน เราก็ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องได้รับบาดเจ็บ ขอเพียงไม่ไปโดนแผ่นเหล็กที่อยู่ตรงเบ้าเสียบของมัน ก็เหมือนกับการเปิดไฟทุกวัน จึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกไฟดูด


แต่ในวิชาของพ่อมดและแม่มดกลับมีวิชาพวกนี้ สามารถทำให้คนเกิดโรคภัยไข้เจ็บรุมเร้าผ่านคำสาปได้ กระทั่งมีอันตรายถึงชีวิต ทว่าวิชาที่อยู่ขั้นสูงมากกว่านี้ได้หายสาบสูญไปแล้ว แต่สิ่งที่พบบ่อยที่สุดกลับได้รับการสืบทอดต่อมา


เหมือนกับพิธีกรรมต๋าเสี่ยวเหริน (ตีคนตัวเล็ก ซึ่งหมายถึงคนเลวหรือสิ่งชั่วร้ายก็ได้)ในโลกมนุษย์ วันที่ยี่สิบเอ็ด เดือนกุมภาพันธ์ ตามปฏิทินจันทรคติจีน เดิมทีจะทำกันในวันจิงเจ๋อ (วันที่แมลงตื่นจากการจำศีล) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวันเสือขาวเปิดปาก ซึ่งถือเป็นวันต๋าเสี่ยวเหรินตามประเพณีนิยม


สิ่งของที่ต้องเตรียมในการทำพิธีกรรมต๋าเสี่ยวเหรินก็มีเสื้อผ้ากระดาษ รวมทั้งกระดาษรูปคนชายหญิง กระดาษรูปเสือขาวหนึ่งตัว เงินทอง ธูปเทียนกับของเซ่นไหว้ โดยของเซ่นไว้จะรวมถึงเนื้อหมู (เอาไว้เซ่นเสือขาว) ถั่วลิสง ผลไม้สด เหล้ากับน้ำ ไข่ไก่และถั่วห้าสีเป็นต้น


หลังจากเตรียมสิ่งของที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว ก็นำพวกมันไปวางไว้ข้างทาง โดยจุดธูปเทียนก่อน แล้วนำกระดาษเสื้อผ้าของชายหญิงออกมา แล้วตัดให้เป็นรูปร่างลักษณะของคนที่เราต้องการ ถ้าพิถีพิถันมากหน่อย ก็สามารถตัดแปะดวงตา จมูกปากและลิ้นได้ด้วย เป็นต้น


จากนั้นเขียนชื่อหรือวันเดือนปีเกิดบนกระดาษ (เสี่ยวเหริน) ตามด้วยการถอดรองเท้า โดยใช้ส้นรองเท้าตีกระดาษให้หนำใจ นอกจากนี้ยังสามารถนำกรรไกรไปวางไว้บนปากและลิ้นของกระดาษ หมายถึงตัดลิ้นออกไป ทำให้มันไม่สามารถนินทาใครได้อีก


และยังสามารถนำกรรไกรวางไปที่ท้องของกระดาษ เพื่อเป็นตัวแทนการชำแหละท้อง ควักหัวใจที่ชั่วร้ายออกมา จากนั้นก็ตามด้วยโซ่กระดาษ มัดขาของกระดาษเอาไว้ ไม่ให้เขาวิ่งไปไหน มั่วซั่ว


การกระทำต๋าเสี่ยวเหรินแบบนี้ ความจริงแล้วเป็นวิธีของพ่อมดแม่มดอย่างหนึ่ง เพียงแต่การทำพิธีต๋าเสี่ยวเหรินแบบนี้จำเป็นต้องใช้คำสาปในการสื่อสารกับพลังชีวิตแห่งฟ้าดิน เพื่อประกอบในการแสดงพิธีกรรม


แต่คำสาปเหล่านี้หายสาบสูญไปแล้ว ตอนนี้ผู้คนใช้วิธีนี้เพื่อระบายความไม่พอใจในใจมากกว่า แต่กลับไม่สามารถใช้วิชาทำร้ายใครได้


แต่วิชาพ่อมดแม่มดแบบนี้ที่บันทึกอยู่ในหัวของเยี่ยเทียน กลับให้ใช้หัวงูพิษสี่หัว แมงป่องสามตัว ตำขาบดำหนึ่งตัว จิ้งจกหนึ่งตัว การบูรหนึ่งร้อยกรัม ใส่เข้าไปในเหล้าแล้วปิดผนึกไว้สามเดือน


หลังจากครบสามเดือนแล้ว นำเหล้ามากรองเอาสิ่งสกปรกออก แล้วจึงจะได้น้ำยา จากนั้นนำกระดาษจดหมายวางลงบนกระดาษหนังสือพิมพ์ ใช้พู่กันจุ่มลงไปในน้ำยาแล้วจึงเขียนคำสาปลงไปข้างบนรวมทั้งชื่อและวันเดือนปีเกิดของคนที่ถูกสาปแช่งด้วย


หลังจากรอให้น้ำยาแห้งแล้ว จึงพับกระดาษใส่ไปที่มือหรือในห้องของคนที่เราอยากจะแช่ง คนที่สัมผัสจะไม่มีความรู้สึกใดในตอนแรก แต่หลังจากนั้นจะค่อยๆ รู้สึกคันและเริ่มมีแผลเน่าเปื่อย แล้วลามไปทั่วทั้งตัวในไม่ช้า ยากที่จะรักษาได้


ถึงแม้วิธีการทำจะไม่เหมือนกัน แต่ผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้วิชานี้ กลับมีสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับเด็กทารกที่อยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียนเป็นอย่างมาก เพียงแต่คนหนึ่งใช้สิ่งของ กับอีกคนหนึ่งใช้คำสาปแช่ง


เมื่อสำรวจอย่างละเอียดก็รู้สึกถึงพลังคำสาปภายในตัวของเด็กทารกอีกครั้ง จากนั้นเยี่ยเทียนจึงพูดอย่างทอดถอนใจ


“ไม่คิดว่าฝั่งยุโรปจะมีคนเข้าใจเรื่องพวกนี้ด้วย สงสัยจะดูถูกคนทั้งโลกนี้ไม่ได้จริงๆ…”


เพียงแค่ใช้คำสาปอย่างเดียวก็สามารถสาปแช่งให้คนมีสภาพเป็นแบบนี้ได้ แม้ว่าเยี่ยเทียนจะไม่สามารถทำได้ เพราะวิชาของเขาจะใช้กระแสพลังของหยินหยางเป็นตัวนำในการดำเนินโชคชะตาของคนอื่นเสียส่วนใหญ่ เขาจึงไม่ค่อยชำนาญเรื่องเกี่ยวกับวิชาของพ่อมดแม่มดแบบนี้สักเท่าไร


แต่เยี่ยเทียนกลับไม่รู้ว่า คำสาปที่ตู้เฉียงได้รับ เป็นคำสาปที่ชั่วร้ายอย่างหนึ่งในทวีปยุโรป และคนที่ทำพิธีกรรมจะต้องใช้เลือดของตัวเองเป็นตัวชักนำ หลังจากคำสาปถูกส่งออกไปแล้ว จึงทำให้คนที่ทำพิธีกรรมต้องเสียชีวิต


ซึ่งก็เหมือนกับการถ่ายทอดที่เยี่ยเทียนได้รับเช่นกัน และวิชาพ่อมดแม่มดแบบนี้จะแพร่หลายอยู่ในครอบครัวโบราณสองสามครอบครัวในยุโรป ซึ่งถือว่าตู้เฉียงซวยมาก ที่ไปหาเรื่องครอบครัวของผู้หญิงที่กำลังตกต่ำ จึงทำให้ประสบเคราะห์ร้ายเช่นนี้


ถึงแม้จะพอเข้าใจกระบวนการในการทำวิชาเหล่านี้แล้ว แต่ถ้าเยี่ยเทียนอยากจะทำลายพลังคำสาปของพลังชี่พิฆาตที่สิงอยู่นี้ ก็ยังพอมีวิธีอยู่บ้าง และสิ่งที่เรียกว่าพลังคำสาป ความจริงแล้วก็คือพลังแห่งความมุ่งมั่น ซึ่งก็คือพลังจิตนั่นเอง


ต้องเข้าใจก่อนว่า มนุษย์ทุกคนล้วนมีสิ่งที่ประกอบด้วยกันสองส่วน อย่างแรกคือร่างกาย และอีกอย่างก็คือจิตวิญญาณ ซึ่งก็หมายถึงจิต และพลังของจิตก็มีความยิ่งใหญ่มาก


หากคนที่ใช้ประโยชน์เป็น ก็จะสามารถใช้พลังของจิตในการสาปแช่งผู้อื่นได้ และการสาปแช่งแบบนี้ยังรวมเข้ากับจิตของคนที่ทำพิธีกรรมอีกด้วย และผลลัพธ์ที่ได้จากการสาปแช่งก็เหมือนกับความรู้สึกที่เยี่ยเทียนสัมผัสได้จากพลังชี่พิฆาตภายในร่างของเด็กทารกที่เหมือนกับมีจิตวิญญาณก็ไม่ปาน


การแก้คำสาป จะว่าง่ายก็ง่าย แต่จะว่ายากก็ยาก และเหมือนมันจะท่องง่าย เพียงแค่ท่องบทสวดไคจิงเสวียนมันตรา ก็สามารถแก้พลังของคำสาปได้แล้ว


แต่ความยากอยู่ที่ คนที่ท่องบทสวดมนต์นี้ จะต้องสื่อสารกับพลังชีวิตแห่งฟ้าดินได้ ผ่านการสั่นสะเทือนของพลังชี่ดั้ง เดิมนำบทสวดผ่านเข้าไปภายในร่างกายของคนที่ถูกคำสาป แล้วจึงจะสามารถคลายพลังแห่งความชั่วร้ายของคำสาปนั่นได้


“เห็นแก่เด็กคนนี้หรอกนะ ถึงยอมช่วยตาแก่นั่น…”


เมื่อเห็นเด็กทารกที่อยู่ในเปลกำลังยิ้มให้ตัวเอง เยี่ยเทียนจึงส่ายหน้า ถ้าหากตู้เฉียงมีปุ่มเต็มตัวนอนอยู่ตรงนี้ เยี่ยเทียนจะไม่ช่วยรักษาให้เขาเด็ดขาด


“หยุนจ้วนไท่ซวี เฮ่าเจี๋ยจือชู จ้าเสียจ้าเอ่อร์ ฮั่วเฉินฮั่วฝู เฉินเออเหนิงจื้อฉวน เฉินเหลาหนี้เข่อฝู โยวหมิงเจียงโหย่วไล่ โหยวชื่อเชิงเซียนตู…”


หลังจากลุกขึ้นปิดหน้าต่างในห้องทุกบานหมดแล้ว เยี่ยเทียนจึงนั่งขัดสมาธิบนพื้นข้างเปล สองมือจับข้อนิ้ว และปากก็เริ่มท่องบทสวดบทสวดไคจิงเสวียนหยุนมันตราขึ้นมา


วิธีการจับข้อมือสวดมนต์ของเยี่ยเทียนต่างจากนักบวชลัทธิเต๋าทั่วไป เมื่อเขาท่องบทสวดนี้ออกไป ผ้าม่านในห้องก็สะบัดขึ้นโดยไม่มีลม การเคลื่อนไหวของพลังชี่ดั้งเดิมที่มองไม่เห็น ได้สั่นสะเทือนขึ้นภายในห้อง


เสียงท่องมนต์ที่เบาและทุ้มต่ำของเยี่ยเทียน เหมือนถูกขยายเสียงด้วยลำโพงขนาดใหญ่ ทะลุผ่านออกไปถึงประตูที่อยู่แต่ไกล และเสียงของเขาเหมือนเต็มไปด้วยพลังแห่งเวทย์มนต์ เพราะทุกที่ที่ผ่านไป แม้แต่อากาศก็เหมือนจะแข็งตัวไปหมด


“ฮือ..เสียงอะไร?”


คนอื่นๆ ที่กำลังฟังตู้เฉียงพูดอยู่ ก็ได้ยินเสียงสวดมนต์ดังมาจากชั้นสอง ทำให้ทุกคนลืมสิ่งที่อยากจะพูดในทันที และพยายามฟังอย่างเงียบๆ


เวลาผ่านไปร่วมยี่สิบนาทีกว่า เสียงสวดมนต์ที่ดังมาจากชั้นสองก็ค่อยๆ หยุดลง จากนั้นตู้เฉียงและคนอื่นๆ ก็รู้สึกเหมือนหัวใจได้ถูกชะล้างจนสะอาด และความคิดอันชั่วร้ายที่มีอยู่แต่ก่อนได้ถูกกำจัดไปหมดแล้ว


ถ้าจะพูดว่าคนที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด ก็ต้องเป็นตู้เฉียงอยู่แล้ว เพราะตอนที่บทสวดมนต์เพิ่งจะหยุดลง เขาก็รู้สึกได้ว่า แรงกดดันที่พันธนาการเขาตลอดสองสามปีที่ผ่านมาได้หายไปหมดเกลี้ยง ทำให้สภาพของเขาทั้งตัวดีมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน


หลังจากผ่านไปอีกสองสามนาที ประตูห้องเด็กทารกที่ปิดสนิทก็ถูกเปิดออก และเยี่ยเทียนที่เดินออกมาจากภายในห้อง ก็มาพร้อมกับเหงื่อละเอียดที่ปกคลุมขึ้นมาอีกชั้นบนหน้าผาก


เยี่ยเทียนไม่เคยสวดมนต์ผ่านการใช้พลังชี่ดั้งเดิมมาก่อน เขาไม่คิดว่าวิธีแบบนี้จะเสียพลังชี่ดั้งเดิมเป็นอย่างมาก ถ้าหากไม่ใช่เพราะการเดินทางไปภูเขาน้ำแข็งครั้งนี้ทำให้โรคที่ไม่อาจเปิดเผยได้หายดีแล้ว เยี่ยเทียนก็ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถเข้าใจคำสาปของวิชานี้ได้อย่างชัดเจนและง่ายดายไหม


“คุณ…คุณเยี่ย เมื่อ…เมื่อครู่คือ?” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนเดินลงมา ตู้เฉียงจึงรีบเดินไปต้อนรับ


“คุณกับคำสาปบนตัวของลูกชายคุณถูกกำจัดออกไปหมดแล้ว จำไว้ ต่อไปต้องทำความดีสร้างบุญกุศลให้มากๆ ถ้าไม่มีอะไรก็อย่าไปหาเรื่องผู้หญิงต่างชาติพวกนั้น!”


ตู้เฉียงได้ยินคำพูดก่อนหน้าของเยี่ยเทียนแล้วจึงพยักหน้าไม่หยุด แต่เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูดคำหยาบกะทันหัน ตู้เฉียงจึงฝืนยิ้มออกมาทันที พลางคิดว่าต่อให้เยี่ยเทียนไม่พูด ทั้งชีวิตนี้ของเขาก็จะไม่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้หญิงต่างชาติอีกแล้ว


 

 

 


ตอนที่ 219

 

ทำบุญสร้างกุศล

โดย

Ink Stone_Fantasy

เยี่ยเทียนคิดสักครู่แล้วพูดต่อว่า “เด็กไม่ได้เป็นอะไรมาก เขายังเล็กนัก คุณพาเขาไปหาหมอที่โรงพยาบาล ตุ่มน้ำพวกนั้นแตกหมดแล้วเนื้อก็จะขึ้นมาเอง น่าจะไม่ถึงกับเสียโฉมหรอก…”


“ขอบคุณ ขอบคุณคุณเยี่ยมากที่ช่วยชีวิต!”


เห็นเม็ดเหงื่อที่หน้าผากของเยี่ยเทียน ตู้เฉียงรีบรินน้ำชาและยกไปให้เยี่ยเทียน กล่าวต่ออย่างระมัดระวังว่า “คุณเยี่ย เชิญดื่มชา!”


แม้จะไม่ทราบว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น แต่ความไม่สบายตัวที่ตู้เฉียงเคยรู้สึกกลับหายเป็นปลิดทิ้ง ปัญหาที่รบกวนเขามาตลอดหลายปี ตอนนี้มลายหายไปหมด ทำให้ตู้เฉียงเต็มเปี่ยมไปด้วยซาบซึ้งในตัวเยี่ยเทียน


นอกจากตู้เฉียงแล้ว พวกจี่หรานก็มองเยี่ยเทียนด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป กลับยิ่งซับซ้อนขึ้นมาแล้ว


นอกจากความเคารพในตัวเยี่ยเทียน พวกจี่หรานยังรู้สึกหวาดเกรงด้วย เพราะเมื่อครู่พวกเขาได้ยินตู้เฉียงพูดว่า เยี่ยเทียนสามารถปราบผีร้ายจากยุโรปได้ด้วย เป็นการบ่งบอกว่า เยี่ยเทียนเป็นคนเยี่ยมยุทธคนหนึ่ง


นึกไปถึงหลายปีก่อนเรื่องที่เหรินเจี้ยนโดนผีเข้าตอนนั้น พวกเขาจะไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของเยี่ยเทียนได้อย่างไร? โดย เฉพาะเหรินเจี้ยน นึกได้ว่าตอนนั้นนอนฝันร้ายทุกคืนใช้ชีวิตอย่างคนตายทั้งเป็น ก็ทนไม่ไหวจนเหงื่อซึมไหลไปตามไขสันหลังแล้ว


“ชาเอาวางไว้ตรงนั้นก่อน ตู้เฉียง เมื่อกี้ที่ผมบอก จำได้ไหม?” เยี่ยเทียนโบกมือ และไม่ได้สนใจพวกจี่หรานที่นั่งกร่างกันอยู่บนโซฟา


“ผมจำได้แล้วครับ คุณเยี่ย เรื่องนี้ถึงคุณไม่บอกผมก็ไม่กล้าทำอีกแล้ว พอถึงเวลาหาผู้หญิงสักคนหนึ่งมาใช้ชีวิตร่วมกันก็ดีแล้ว”


พูดจบด้วยความกลัวเยี่ยเทียนเข้าใจผิด จึงรีบแก้ต่างต่อ “คุณเยี่ยวางใจครับ ต่อไปผมจะไม่ไปรบกวนคุณหนูเว่ยอีกเป็นอันขาด”


“อืม จำได้ก็ดี….”


เยี่ยเทียนพยักหน้า ยื่นนิ้วไปเคาะถ้วยชาสองสามทีพูดว่า “สามวัน ภายในสามวันเอาบ้านกับรถของคุณไปขายให้หมด ผมต้องการจะเห็นเช็คเงินสดกับใบเสร็จรับเงินจากมูลนิธิแห่งความหวัง


ตั้งแต่เยี่ยเทียนออกมาทำงาน ยังไม่เคยเจอใครที่อยากได้เงินจนไม่สนชีวิตมาก่อน แต่เขายังต้องตักเตือนตู้เฉียงอีกครั้ง หากฝ่ายตรงข้ามคิดตุกติก เยี่ยเทียนก็ไม่สนที่จะให้เขาได้ลิ้มรสชาติของวิชาอาคมของจีนอีกครั้ง


“สามวัน?” เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูดจบ ตู้เฉียงแสดงสีหน้าลำบากใจออกมา


“หือ…ทำไม่ได้เหรอ?”  เยี่ยเทียนทำเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา เล่นกับไฟอีกแล้ว จะให้ดูอีกครั้งว่าผีจีนหน้าตาเป็นยังไง


เมื่อเห็นเยี่ยเทียนหน้าตึง ตู้เฉียงยิ้มแห้งแล้วอธิบายต่อ “คุณเยี่ย ไม่ใช่ว่าผมไม่ยินยอม บ้าน…บ้านหลังนี้พอขึ้นป้ายขาย ไม่ได้จะขายออกในไม่กี่วันนะ คือว่า…ผมจะขายก็ต้องมีคนมาซื้อถึงจะได้!”


“ต้องการเวลาเท่าไร?” เยี่ยเทียนเข้าใจเหตุผลนี้ เขาซื้อเรือนสี่ประสานของผู้เฒ่าอู๋ว่าเร็วแล้ว ยังต้องใช้เวลาถึงหนึ่งสัปดาห์กว่าๆ


“ผมประกาศราคาถูกหน่อย ภายในหนึ่งเดือนน่าจะมีคนมาซื้อ”


ตู้เฉียงมองดูเยี่ยเทียนอย่างระมัดระวัง พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ส่วนหุ้นผมจะขายพรุ่งนี้ คุณเยี่ย ไม่งั้น…พรุ่งนี้ผมโอนเงินหนึ่งล้านหยวนไปก่อน แล้วค่อยเอาเงินที่ขายหุ้นได้บริจาคไปได้ไหมครับ?”


ความจริงแล้วตู้เฉียงก็เป็นคนงั้นๆ แต่ความฉลาดไหวพริบนั้นเป็นที่หนึ่ง เขาไม่เคยคิดจะคืนคำ เงินทองถึงจะสำคัญแต่ก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตของตัวเอง


“เอาเถอะ พรุ่งนี้คุณไปหาผมที่นี่ ก่อนไปโทรศัพท์หาผมก่อน” เยี่ยเทียนหยักหน้า เห็นมีกระดาษกับปากกาวางอยู่บนชุดน้ำชา จึงหยิบมาเขียนที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองลงไป


“พี่จี่ คุณชายเหริน ผมขอตัวก่อนล่ะ ตู้เฉียง ไม่ต้องส่ง ข้างนอกมีรถเยอะอยู่…”


เยี่ยเทียนลุกขึ้นมา เดินไปถึงประตูแล้ว จู่ๆ ก็หันกลับมามองเจ้าอ้วนที่หน้าตาลอกแลก พูดด้วยว่า “พี่ซาง มีผู้หญิงเยอะระวังจะมีปัญหาตามมา ผมว่าคุณน่ะน้อยๆ หน่อยก็ดี…”


“ฉัน…ฉัน ฉันก็ไม่ได้ไปบังคับใครมาหนิ?” ซางปู้ฉี่ผู้ซึ่งอัดอั้นมานาน เมื่อถูกเยี่ยเทียนพูดเข้าก็สีหน้าเปลี่ยน กำลังจะอ้าปากอธิบาย เยี่ยเทียนก็ยิ้มแล้วเดินออกจากคฤหาสน์ไป


“นี่…นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? ตู้เฉียง ทำไมถึงขายบ้าน?” เมื่อรอให้เยี่ยเทียนออกไปแล้ว พวกจี่หรานก็จดจ้องมาที่ตู้เฉียง


“พวกคุณคิดว่าวิชาไล่ผีสยบวิญญาณที่เยี่ยเทียนทำขึ้นน่ะเป็นการแสร้งทำเปล่าหรือ?”


ตู้เฉียงสีหน้าขมขื่น “ไม่แค่ต้องขายบ้านหลังนี้ เงินเก็บของผมที่เป็นหุ้น ทุกอย่างต้องขายแล้วเอาเงินไปบริจาคทั้งหมด ประธานซาง สิ่งที่คุณเยี่ยพูด ต่อไปเรื่องผู้หญิงน่ะให้เพลาลงบ้าง!”


เยี่ยเทียนเล่นไม้นี้ทำให้ตู้เฉียงจำไปจนวันตาย วันหน้าเขาจะต้องหาภรรยาดีๆ สักคนอยู่ด้วยกันไปตลอด ไม่กล้านอก ใจอีกแล้ว


“เขา เขาต้องการสมบัติพันล้านของคุณ?”


คำพูดของตู้เฉียงทำให้พวกจี่หรานได้แต่งุนงง พวกเขาไม่คิดว่าคำพูดลอยๆ ของเยี่ยเทียนจะทำให้ตู้เฉียงเสียบ้านสูญทรัพย์กลายเป็นคนจนได้?


พอคิดถึงสิ่งที่พวกเขาเคยล่วงเกินเยี่ยเทียนไว้ ต่างก็มองตากันไปมา แววตามีความหวาดกลัวแฝงอยู่ หากตอนนั้นเยี่ยเทียนเป็นเก่งกาจเช่นนี้ ตอนนี้สภาพพวกเขาก็คงไม่ต่างจากตู้เฉียงสักเท่าไร


“เงินหาใหม่ได้เรื่อยๆ แต่ชีวิตถ้าหายไปก็ไม่เหลืออะไรแล้ว”


ตู้เฉียงปล่อยวางได้ หลังจากอธิบายให้คนเหล่านี้ฟังแล้ว จึงพูดต่อ “เหล่าจี่ นายน้อยเหริน ประธานซาง วันนี้ไม่ขอให้พวกคุณอยู่ต่อละ ผมยังต้องพาลูกไปหาหมอที่โรงพยาบาล”


“ดี ดี เหล่าตู้ พวกเราขอตัวลาก่อน คุณมีเรื่องอะไรให้พวกเราช่วยก็บอกมาได้เลย ผมมีบ้านอยู่ทางตะวันออกของเมือง คุณย้ายไปอยู่ที่นั่นได้นะ!”


หลังจากได้ยินคำพูดของตู้เฉียง ทุกคนต่างยืนขึ้น เดินออกไปถึงประตู จี่หราน จู่ๆ ก็หันกลับมาพูดด้วยว่า “เหล่าตู้ พรุ่งคุณไปหาเยี่ยเทียนพาผมไปด้วยสิ?”


“หา? คุณจะไปเหรอ? ได้สิ ถึงเวลาแล้วผมจะโทรบอกคุณก่อน…” ตู้เฉียงคิดว่าเยี่ยเทียนกับจี่หรานเป็นเพื่อนกันมาก่อน จึงรับปากเขาทันที


“เหล่าจี่ แกไปหาคนนั้นทำไม?”


หลังจากออกจากคฟหาสน์แล้วขึ้นรถ ซางปู้ฉี่จึงถามออกมา นึกถึงประโยคที่เยี่ยเทียนพูดก่อนจากไป จึงทำให้เขาเหงื่อซึมศีรษะเลยทีเดียว และกำลังคิดอยู่เลยว่าจะเตรียมสลัดดาราสาวที่คบอยู่ตอนนี้ทิ้งไป


จี่หรานมองเหรินเจี้ยนที่ขับรถอยู่ แล้วพูดว่า “เหล่าซาง แกไม่รู้สึกหรือว่าคนอย่างเยี่ยเทียนคุ้มค่ามากที่พวกเราจะคบหาด้วย?”


จี่หรานกับเยี่ยเทียนไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกัน เขาจึงมีความคิดนี้ขึ้นมา เพียงแต่วันนี้เยี่ยเทียนจากไปอย่างรีบร้อน คุณชายจี่ยังไม่ทันแสดงออกถึงความต้องการของตัวเองเลย


ต้องทราบว่า ในทางสีขาวเยี่ยเทียนมีตระกูลซ่งหนุนหลัง  ส่วนในทางสีดำแม้แต่หม่าเหล่าซานยังไม่กล้าหือด้วย แล้วตัวเขาก็ยังมีวิชาลึกลับอยู่ด้วย การที่ได้คบหากับคนแบบนี้ ไม่แน่วันหนึ่งอาจจะต้องให้เยี่ยเทียนช่วยเหลือตัวเองในบางเรื่อง


เมื่อจี่หรานพูดจบ ก็รู้สึกว่าจู่ๆ รถเบนซ์ได้ส่ายอย่างรุนแรง เพราะว่าเหรินเจี้ยนที่ขับรถอยู่เกิดมือสั่นขึ้นมา ล้อเล้นอะไรกัน แค่เขาได้ยินชื่อเยี่ยเทียนก็รู้สึกกลัวแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการเข้าไปคบหาด้วยเลย


“เหล่าจี่ ช่างมันเถอะ ถ้าจะไปแกไปเอง ฉันกลัวเจ้านั่น สายตาอย่างกับมองทะลุเข้าไปถึงจิตถึงใจ อยู่ต่อหน้าเขาแล้วฉันไม่เป็นตัวเองของตัวเอง…”


ประธานซางกับเหรินเจี้ยนคิดเหมือนกัน โตมาขนาดนี้ เขาถูกต่อยครั้งแรกก็เพราะเยี่ยเทียน ดังนั้นเถ้าแก่ซางขอไปดูละครเบื่อๆ บนสะพานลอย ดีกว่าไปเผชิญหน้ากับเยี่ยเทียน


……


วันรุ่งขึ้นเมื่อตลาดหุ้นเปิด ตู้เฉียงได้นำเอาหุ้นมูลค่าหลายล้านขายทอดตลาดไป จากนั้นโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารเข้าไปในบัตร แต่เมื่อเงินเข้าธนาคารไปแล้ว ต้องรอจนการโอนเสร็จในวันนั้นถึงเรียบร้อย


แม้ว่าเยี่ยเทียนจะให้เวลาแค่สามวัน แต่ตู้เฉียงก็ไม่ได้รอช้าแม้แต่นิดเดียว เมื่อเบิกเงินออกมาแล้ว ก็ขับรถไปที่สำนักงานของมูลนิธิแห่งความหวังแห่งหนึ่ง เตรียมเช็คบริจาคไปสี่ล้านหยวน และเอาใบเสร็จกลับมา


ตอนที่รอติดต่อจี่หรานได้แล้วถึงรีบไปที่บ้านของเยี่ยเทียนก็เป็นเวลาห้าโมงเย็นกว่าแล้ว ถึงการมาตอนใกล้เวลาอาหารจะผิดมารยาท แต่ตู้เฉียงก็ไม่สนใจ


“พี่จี่ก็มาด้วยเหรอ เชิญด้านใน…”


ตอนที่เดินออกมารับตู้เฉียงนอกเรือนสี่ประสานนั้น เยี่ยเทียนตะลึงเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าจี่หรานจะตามมาด้วยทำไม? ถึงจะเคยพบกันสองสามครั้ง แต่ตัวเองกับเขากลับก็ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์อะไรกัน?


บ้านของเยี่ยต้อนรับแขกในห้องด้านหน้า ที่เยี่ยตงผิงตกแต่งขึ้นในตอนนั้น


เยี่ยตงผิงทำธุรกิจค้าวัตถุโบราณ จึงนำเอาวัตถุโบราณทั้งหมดมาตั้งวางไว้ในห้องรับแขกที่ตกแต่งมาเพื่อการณ์นี้ ไม่ใช่แค่วัตถุโบราณพวกโถ ไห แจกันที่วางเรียงราย แม้แต่เก้าอี้ตัวที่นั่งอยู่ยังเป็นลายดอกลูกแพรสีเหลืองของแท้


“คุณเยี่ย นี่เงินหนึ่งล้าน นี่เป็นหลักฐานการบริจาคเงินสี่ล้านให้กับมูลนิธิแห่งความหวัง ผมใช้ชื่อของคุณเป็นผู้บริจาค!”


หลังจากเข้ามานั่งในห้องแล้ว ตู้เฉียงควักเอาเช็คเงินสดจำนวนหนึ่งล้านกับใบเสร็จบริจาค เมื่อคืนหลังจากได้นอนหลับสบายที่สุดในรอบหลายปี ตู้เฉียงกลัวว่าเยี่ยเทียนจะไม่พอใจแล้วสาปแช่งเขากลับไป อย่างนั้นเขาคงไม่เหลือทางรอดแล้ว


“อืม เรื่องขายบ้านรออีกสักเดือนสองเดือนก็ได้ รอให้คุณหาที่อยู่ใหม่ได้ก่อนค่อยว่ากัน!”


เยี่ยเทียนมองดูเช็คเงินสดตรงหน้า พยักหน้าให้ ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามยินยอม เขาจึงไม่จำเป็นต้องบีบบังคับ แต่เยี่ยเทียนคิดไม่ถึงว่าตู้เฉียงจะใช้ชื่อของตัวเองเป็นผู้บริจาคเงิน


ตอนที่ยังท่องยุทธภพอยู่นั้น นักพรตเฒ่ามักจะเตือนเยี่ยเทียนเสมอ ว่าให้ทำบุญสร้างกุศล จะมีประโยชน์กับการบำเพ็ญฝึกวิชา แต่เมื่อก่อนเขาเองก็ยากจนมาก จะไปเอาเงินจากไหนมาทำบุญ?


ตอนนี้ตู้เฉียงได้ช่วยเขาบริจาคเงินจำนวนมหาศาล เยี่ยเทียนคิดอยากจะรีบกลับเข้าห้องไปนั่งสมาธิ ดูว่าเมื่อได้ทำบุญแล้ว จะช่วยเรื่องการฝึกวิชาจริงหรือไม่?


ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังจะเอ่ยปากส่งแขก จี่หรานก็พูดขึ้นมาว่า “คุณเยี่ย ไม่คิดว่าคุณจะชอบของโบราณด้วย?”


“อืม แค่เล่นๆ น่ะ ทำไมหรือ พี่จี่ก็ชอบของแบบนี้เหมือนกันหรือครับ?” เยี่ยเทียนตอบรับไปส่งเดช ขี้เกียจอธิบายว่านี่เป็นของสะสมของพ่อ

 

 

 


ตอนที่ 220

 

การค้าของจี่หราน

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เยี่ยเทียน ผมอายุมากกว่าคุณสองสามปี ถ้าไม่รังเกียจผมขอเรียกชื่อคุณนะ…” จี่หรานเป็นคนเข้าหาคนง่าย เมื่อได้พบกับเยี่ยเทียนก็ไม่รู้ได้รู้สึกเกรงกลัว รีบทำความคุ้นเคยเรียกชื่อกันอย่างสนิทสนม


“เหอะๆ ได้อยู่แล้ว” โบราณท่านว่าไว้อย่าตบหน้าคนยิ้ม เยี่ยเทียนไม่กล้าพูดอะไรต่อ พยักหน้ายอมรับ เป็นอันว่าตกลง


“เยี่ยเทียน ของที่คุณสะสมไว้เป็นของโบราณดีๆ ทั้งนั้น ในเมืองปักกิ่งถิ่นชาววังมีไม่กี่คนที่กล้าเล่นของใหญ่อย่างคุณโต๊ะเก้าอี้ชุดนี้ถ้าเอาออกไปน่าจะมีคนให้ราคาสูงแน่…”


หลังจากพูดได้สำเร็จ คุณชายจี่จึงชมเปาะถึงของโบราณในห้องนี้ ถึงกระนั้นจี่หรานก็ไม่ได้โอ้โลมเยี่ยเทียนเกินจริง เพราะวัตถุพวกนี้เป็นของดีจริงๆ


อย่างเก้าอี้กลมลายดอกลูกแพรเหลืองที่นั่งกันอยู่นั้นเป็นเครื่องเรือนสมัยราชวงศ์หมิงเชียว ตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมมาก โต๊ะเก้าอี้ชุดนี้อย่างน้อยต้องได้ราคาสักหนึ่งล้านขึ้นไป


“แค่กๆ คือพ่อผมชอบน่ะครับ พี่จี่ชมเกินไปแล้ว!” เยี่ยเทียนอึดอัด อยากจะกลับเข้าห้องไปฝึกวิชาต่อ แต่เห็นจี่หรานกำลังคุยอย่างออกรส ก็ไม่ควรจะไล่เขาออกไปใช่ไหมล่ะ?


ส่วนราคาเครื่องเรือนลายดอกลูกแพรเหลืองนี้ เยี่ยเทียนรู้ดีว่า เก้าอี้กลมที่เจียงหนานนั้นมีมาก เมื่อหลายปีก่อนพ่อของเขาได้ซื้อมาด้วยจากบ้านหลังหนึ่งด้วยเงินหนึ่งร้อยแปดสิบ เยี่ยตงผิงเคยคุยโม้ให้ลูกชายฟังอยู่หลายครั้ง


“น้องเยี่ย สองปีมานี้พี่จี่ทำการค้าของโบราณ ถ้าคุณไม่รังเกียจร้านเล็กๆ ของผมได้ ถ้าว่างก็ไปดูของร้านพี่หน่อย ถ้าคุณชอบชิ้นไหน ผมขายให้คุณราคาเท่าทุนเลย ดีไหม?”


พอเข้ามาถึงในห้อง จี่หรานก็ใจชื้นขึ้น การผูกไมตรีนั้นกลัวเพียงว่าจะคุยกันไม่รู้เรื่อง ตอนนี้มีเรื่องของโบราณเป็นตัวเชื่อม การจะผูกมิตรกับเยี่ยเทียนนั้นดูจะสำเร็จไปแปดเก้าส่วนแล้ว


ผู้ที่เล่นของโบราณ ถ้าได้ยินว่าที่ไหนมีของดี ถึงฝ่ายตรงข้ามจะไม่ขายหรือตนัวองจะซื้อไม่ไหว ก็ยังต้องขอไปชื่นชมสักครั้ง จี่หรานจึงแน่ใจว่าเยี่ยเทียนจะต้องไม่ปฎิเสธเขาแน่นอน


แต่คุณชายจี่คิดไม่ถึงว่า เยี่ยเทียนไม่ได้มีความสนใจในโบราณวัตถุเท่าใดนัก เขาไม่ได้เป็นคนเก็บสิ่งของในห้องนี้มา แต่เป็นเยี่ยตงผิงเสียมากกว่า


“เหอะๆ พี่จี่ ช่วงนี้ผมซ่อมบ้านอยู่ไม่ค่อยมีเวลา ไม่งั้น…รออีกสักสองสามเดือนเป็นไง?” ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญของการปรับปรุงตกแต่งบ้เรือนสี่ประสานของเขา จะเอาเวลาที่ไหนไปชื่นชมของโบราณพวกนั้น? เขาจึงปฎิเสธไปอย่างนุ่มนวล


“หา? น้องเยี่ย วันมะรืนที่ร้านผมคึกคักมากเลยนะ คุณไม่ไปจริงๆ เหรอ?”


จี่หรานพูดไม่ออก การค้าของเขาในเมืองปักกิ่งถิ่นชาววังถือว่ามีชื่อเสียงอยู่บ้าง คนอื่นอยากจะเข้าไปแต่ก็ไม่มีเส้นสาย ไม่คิดเลยว่าจะถูกเยี่ยเทียนปฎิเสธ


“เยี่ยเทียน ไปกินข้าวได้แล้ว ต้องให้เรียกทุกที ไม่เอาไหนเลย!”


ตอนกำลังจะส่งแขกกลับไป เสียงของเยี่ยตงผิงดังออกมา “เอ๋ เสี่ยวเทียน แกมีแขกหรือ? ทำไมไม่บอกสักคำ ฉันจะได้ให้ป้าใหญ่ทำกับข้าวหลายอย่างหน่อย”


เยี่ยเทียนโบกมือ “พ่อ ไม่ต้องหรอก พวกเขาจะกลับกันอยู่แล้ว ตู้เฉียง คุณจำไว้เรื่องของคุณให้เสร็จก็แล้วกัน แล้วค่อยเอาใบเสร็จมาให้ผมอีกที”


ตู้เฉียงรู้ทันว่าเยี่ยเทียนกำลังไล่แขก รีบยืนขึ้นแล้วตอบว่า “คุณเยี่ยโปรดวางใจ ผมจะทำตามที่คุณบอกนะครับ!”


ตู้เฉียงตอบไปเช่นนี้ คุณชายจี่ก็ไม่กล้าอยู่ต่อแล้ว จึงลุกขึ้นเดินตามไปตู้เฉียง


เยี่ยตงผิงไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเขา จึงไม่ได้พูดอะไร ตอนที่จี่หรานเดินผ่านหน้าไป เยี่ยตงผิงก็นิ่งค้างไปแล้วโพล่งออกมา “คุณ คือผู้อำนวยการจี่แห่งร้านประมูลหลินไห่ใช่ไหม?”


“ผม…ผมคือจี่หราน คุณลุงเยี่ย รู้จักผมด้วยเหรอครับ?”


พอฟังบทสนธนาของเยี่ยเทียนกับเยี่ยตงผิง จี่หรานจึงทราบความสัมพันธ์ของทั้งสอง แต่เขาไม่รู้จักเยี่ยตงผิง จึงไม่ทราบเหมือนกันว่าฝ่ายนั้นรู้จักตัวเองได้อย่างไร


“ผู้อำนวยการจี่มีชื่อเสียงในวงการ ผมรู้จักแน่นอน เอ้อ เยี่ยเทียน แขกมาถึงบ้านแล้วไปไล่เขาอย่างนั้นได้ยังไง?”


เยี่ยตงผิงไม่พอใจกับการกระทำของลูกชาย ปกติเขาก็อยากจะหาลู่ทางเข้าไปประมูลของก็ยังหาไม่ได้ ตอนนี้ประธานบริษัทประมูลมาถึงบ้าน ลูกชายเขากลับไล่ออกไป แถมยังใช้คำพูดไม่น่าเกรงใจอีกด้วย?


“พ่อ มาจากไหนเนี่ย?”


เยี่ยเทียนถูกพ่อตำหนิจนทำหน้าไม่ถูก มีหรือที่เขาจะไม่รู้ถึงจุดประสงค์ของจี่หราน เพียงแต่เขาไม่อยากคบค้าสมาคมกับคุณชายเศรษฐีพวกนี้


พูดตามตรง ตั้งแต่ได้รู้จักกับเศรษฐีผู้สร้างธุรกิจรุ่นแรกในปักกิ่งอย่างเหลยอู้ เว่ยหงจวิน หลิวต้าจื้อพวกนี้แล้ว ระดับอย่างจี่หรานไม่ได้อยู่ในสายตาของเยี่ยเทียนเลย


จี่หรานเห็นสีหน้าไม่ชอบใจของเยี่ยเทียน จึงรีบพูดต่อ “ลุงเยี่ย ผมแค่มาเยี่ยมเยียนน้องเยี่ย ไม่ได้มีธุระอื่น งั้นผมไม่รบกวนเวลาทานอาหารของพวกคุณแล้วนะครับ”


“พูดอะไรอย่างนั้น ผู้ที่มาเป็นแขก เวลาอื่นอยากจะชวนผู้อำนวยการจี่ยังไม่เชิญไม่ได้   ไป..เข้าไปดื่มกันสักหน่อย…”


ถึงเยี่ยตงผิงจะรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามมีเรื่องจะขอร้องเยี่ยเทียน ช่วงนี้เขาอยากจะเข้าประมูลวัตถุโบราณแต่หาลู่ทางไม่ได้ ตอนนี้โอกาสมาถึงแล้ว เลยไม่สนใจความคิดเห็นของเยี่ยเทียน


“งั้น…” จี่หรานหันมามองเยี่ยเทียนทีหนึ่ง เมื่อเห็นเขาพยักหน้า จึงรีบตอบว่า “ดีครับ ถ้างั้นขอรบกวนลุงเยี่ยด้วยแล้วกัน!”


จี่หรานอยู่ต่อได้ แต่ตู้เฉียงรู้ว่าตัวเองถ้าอยู่ต่อจะไม่เหมาะ จึงกล่าวลา “คุณเยี่ย ผมต้องไปเยี่ยมลูกชายที่โรงพยาบาล ต้องขอตัวก่อนนะครับ”


“ได้ครับ ลูกชายคุณร่างกายไม่แข็งแรง พาเขาออกไปรับแดดบ้าง อย่าไปในที่ๆ อากาศหนาวเย็น!” เยี่ยเทียนกำชับกับตู้เฉียงแล้วส่งเขาออกไปจากบ้าน


“พ่อ ผมยังมีเรื่องต้องทำ พ่อกับพี่จี่ทานข้าวกันไปก่อน ไว้ผมค่อยกลับมาทานทีหลัง!”


หลังจากส่งตู้เฉียงออกไปแล้ว เยี่ยเทียนเก็บใบเสร็จและใบบริจาคขึ้นมา เดินกลับเข้าห้องของตัวเองทางลานหลังบ้าน ตอนนี้เขาอยากจะนั่งสมาธิสักครู่ เพื่อจะดูว่าการทำบุญทำทานจะช่วยเรื่องการบำเพ็ญฝึกวิชาให้ก้าวหน้าอย่างที่อาจารย์บอกไว้จริงหรือไม่?


วิธีการฝึกวิชาของเยี่ยเทียนมีสองวิธี หนึ่งคือการฝึกมวยภายนอก ซึ่งคล้ายกับการฝึกกายบริหารเบญจสัตว์ เหมาะกับการใช้ต่อสู้จริง ซึ่งความร้ายกาจนั้น ไม่ด้อยไปกว่ามวยจีนเลย


อีกวิชาคือการฝึกลมปราณการหายใจ ซึ่งเป็นศาสตร์ลับที่ไม่มีการถ่ายทอดต่อของสำนักเสื้อป่าน แม้แต่ศิษย์พี่อีกสองคนของเยี่ยเทียนที่อยู่ฮ่องกงกับใต้หวันยังได้เรียนแค่ผิวเผิน ถ้าได้ฝึกวิชานี้แล้วผู้ฝึกจะสามารถเชื่อมต่อกับพลังต้นกำเนิดของฟ้าดิน ใช้เป็นวิชาอาคมได้


เมื่อนานมาแล้ว สำนักเสื้อป่านสืบทอดเพียงวิชายุทธ แต่การสืบทอดวิชาอาคมได้สาบสูญไปหลายร้อยปี นักพรตเฒ่าถึงจะฝึกวิชายุทธได้ถึงขั้นสูงสุดแล้ว กลับไม่สามารถใช้วิชาอาคมใดได้เลย


เมื่อสงบจิตใจได้แล้ว เยี่ยเทียนนั่งขัดสมาธิบนเตียง เดินลมปราณพลังชีวิตตามจักระ นักพรตเฒ่าเคยบอกไว้ว่าการทำบุญทำทานจะทำให้วิถีแห่งสวรรค์มาโปรดได้มากขึ้น เวลาฝึกวิชา จะก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว


แต่ผ่านไปชั่วโมงหนึ่ง เยี่ยเทียนเดินลมปราณไปสองรอบแล้ว ยังไม่ได้รู้สึกว่าพลังจะไหลคล่องขึ้นจากเดิมเท่าไร จึงเหยียดหลังตรงขึ้นอย่างหงุดหงิด


“หรือว่าอาจารย์จะกลัวว่าเราทำทุกวิถีทางเพื่อหาเงิน จึงหลอกเราเข้าให้แล้ว?”


เยี่ยเทียนคิดขึ้นมาได้ คำพูดที่ว่า “จอมยุทธหาเงินมาได้ด้วยวิธีมิชอบ จอมยุทธต้องรีบใช้เงินทำความดี ไม่เช่นนั้นจะเกิดความฉิบหาย” เป็นคำที่สืบต่อกันมาในยุทธภพ นักพรตเฒ่าก็มักพูดอยู่เป็นประจำ


โดยเฉพาะวิชาอาคม หากใช้อาคมเพื่อแสวงหาทรัพย์สินความร่ำรวยละเมิดกฎสวรรค์ ในสมัยโบราณปรมาจารย์ด้านวิชาอาคมส่วนใหญ่มักจะอาศัยอยู่ตามป่าเขา ไม่ค่อยออกมาบ่อยนัก เพราะกลัวจะได้รับบทลงโทษจากการฝืนลิขิตฟ้า


บางคนพอใช้วิชาออกไปแล้วได้นำเอาเงินที่ได้ไปบริจาคให้คนยากจน เหมือนอย่างที่นักพรตเฒ่าพาเยี่ยเทียนออกท่องยุทธภพมาหลายปี เงินนั้นหาได้ไม่น้อย แต่นักพรตเฒ่าก็บริจาคไปทั้งหมด


“เยี่ยเทียน ออกมา!” ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังตกอยู่ในห้วงความคิดขณะฝึกวิชาอยู่นั้น เสียงพ่อของเขาก็ดังมาจากนอกประตู


“พ่อ ทำไมเหรอ?” เยี่ยเทียนลงจากเตียงสวมรองเท้าแล้ว ก็ไปเปิดประตู เยี่ยตงผิงทราบว่าลูกชายต้องการพักผ่อนอย่างสงบ จึงไม่ค่อยมารบกวนลูกชายที่ลานหลังบ้านบ่อยนัก


“วันมะรืนไปกับพ่อหน่อย เมื่อกี้จี่หรานไม่ได้บอกให้แกไปหรอก แต่พ่อรู้ว่าเป็นเพราะแก แกไปกับพ่อเถอะ!”


การใช้ลูกชายเป็นเรื่องธรรมดาที่สุดในสามโลก เยี่ยตงผิงไม่ได้มาเพื่อปรึกษากับลูกชาย แต่มาเพื่อบอกให้รับทราบ เพื่อให้รับทราบเท่านั้น


“พ่อ พ่อไปยุ่งเกี่ยวกับคนนั้นทำไมกัน?” เยี่ยเทียนพูดอย่างไม่ชอบใจ ตอนที่หลอกให้เว่ยหงจวินกับเหลยอู้ซื้อของโบราณเขายังไม่ว่าอะไร แต่กับจี่หรานเขาไม่อยากจะไปคบหาด้วย


“แกกับเขาเคยมีเรื่องกันหรือ?” เยี่ยตงผิงฟังออกถึงความไม่ปกติ


“เปล่า เขาไม่ได้อยู่ในสายตาผมเลย…” เยี่ยเทียนพูดจากใจจริง


“เด็กบ้า แกมีสิทธิ์อะไรที่ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา?”


เยี่ยตงผิงได้ยินคำของลูกชายก็มีน้ำโหขึ้นมาจึงเขกหัวเขาไปทีหนึ่ง “แกอย่ามองว่าจี่หรานอายุน้อย เข้ามาทำในวงการไม่กี่ปี แต่ร้านประมูลของเขาเป็นที่อันดับต้นๆ ในปักกิ่ง ยอดการค้าในแต่ละปีแม้แต่บริษัทใหญ่ๆ อย่างเจียเต๋อยังสู้ไม่ได้!”


พอพูดถึงตรงนี้เยี่ยตงผิงจึงลดเสียงเป็นกระซิบ “ได้ยินว่าบ้านของจี่หรานมีความสัมพันธ์อันดีกับสถานีตำรวจ ในตลาดมืดค้าของเก่าทั้งปักกิ่ง เทียนจินต่างก็ถูกเขาผูกขาดหมด ถ้าจะติดต่อหาทางนำของเข้ามาในปักกิ่ง ต้องติดต่อผ่านเขาเท่านั้น เยี่ยเทียน แกอย่าดูถูกเขาเป็นอันขาด!”


เยี่ยเทียนฟังจบก็เบ้ปาก “ผมรู้น่ะสิว่าคนพวกนี้ไม่เดินทางที่ซื่อตรงแน่ๆ พ่อ คงไม่ได้ตกหลุมพรางเขานะ ของพวกนั้นนานๆ เล่นทีก็พอแล้ว อย่าทำเป็นธุรกิจจริงจังเลย!”


ครั้งก่อนพ่อไปรับของผิดกฎหมายมาจนเกิดเรื่อง เกือบจะทำให้เยี่ยเทียนเอาชีวิตไม่รอด เขาไม่อยากจะให้เกิดเหตุ การณ์แบบนั้นอีก เมื่อคิดถึงการรับของผิดกฎหมายครั้งก่อน เยี่ยเทียนรู้สึกใจเสียขึ้นมา และถามต่อว่า  “พ่อ ของในตลาดมืดพวกนี้ เป็นของที่ถูกขุดขึ้นมาจากดินมีมากไหม?”


แม้จะทราบว่าข้าวของในหลุมศพไม่สามารถเป็นเครื่องรางของขลังได้ แต่คราวก่อนที่เก็บมีดสั้นอู๋เหินมาได้ฟรีๆ เยี่ยเทียนกลับรู้สึกถึงการรอคอยวัตถุโบราณที่เพิ่งถูกขึ้นมาพวกนี้เช่นกัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)