อัจฉริยะสมองเพชร 2106-2115

 ตอนที่ 2106 มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่?

ตอนที่ข่าวแพร่สะพัดออกไปว่าคนคนหนึ่งกำลังจะก้าวขึ้นเป็นเจ้าสำนักดาบเมฆเหินและหัวหน้าตำหนักคว้าดาว ความอึกทึกครึกโครมครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้นทั่วทั้งทวีปที่ถูกลืม เพียงชั่วข้ามคืน จางเซวียนก็กลายเป็นบุคคลที่ได้การยอมรับจากพลเมืองมากมายนับไม่ถ้วน


“ผมอยากเห็นว่าจางเซวียนคนนี้เก่งกว่าหัวหน้าเจิ้งของเราหรือเปล่า” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนหัวเราะหึๆ


“หลังจากเสร็จสิ้นพิธีสถาปนา เราจะเชิญเจ้าสำนักหลิวให้ขึ้นไปประกาศว่าเขาคือเจ้าสำนัก และสำนักของพวกเรากำลังจะตกลงเป็นพันธมิตรกันอย่างเป็นทางการ เรื่องนี้จะต้องทำให้ใครๆอ้าปากค้างแน่” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวพูด


แค่คิดถึงความงุนงงของผู้คนที่อยู่ตรงหน้า ก็ทำให้เขาลิงโลดจนแทบจะลุกขึ้นมาเต้นรำ


เพราะถึงอย่างไร ก็ไม่มีอะไรน่าสนุกไปกว่าการทำให้คนอื่นๆตื่นตกใจ


“บางทีเราอาจจะจัดให้หัวหน้าเจิ้งดวลกับจางเซวียนก็ได้นะ นักรบอมตะตัวจริงน่ะสู้เขาไม่ได้อยู่แล้ว…” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนยิ้ม


แต่หลังจากได้พูดไปได้เพียงครึ่งประโยค เขาก็ตัวแข็ง “หัวหน้าเจิ้ง คุณทำอะไรน่ะ?”


ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวหันขวับไปมอง เห็นเจ้าสำนักของเขาบินตรงสู่บัลลังก์ที่อยู่ใจกลางจัตุรัส


“ผมพูดเล่นหรอกนะที่บอกว่าจะให้คุณดวลกับเขา นี่คือพิธีสถาปนาหัวหน้าตำหนักคว้าดาวคนใหม่ พวกเราจะสร้างปัญหาที่นี่ไม่ได้หรอก! ไม่อย่างนั้น ทั้งสำนักดาบเมฆเหินและตำหนักคว้าดาวจะกลายเป็นศัตรูกับเรา!” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนร้องออกมา


เขาหวาดกลัวจนแทบจะขาดใจ


ที่พูดออกไปก็แค่พูดไปงั้นๆ ใครจะไปคิดว่าหัวหน้าของเขาจะถือเป็นจริงเป็นจังและพุ่งตรงไปยังบัลลังก์ที่อยู่ใจกลางจัตุรัสทันที?


การทำแบบนี้จะทำให้ทั้ง 2 สำนักโกรธเคืองพวกเขาแน่ จริงอยู่ว่าพวกเขามั่นใจในการเป็นพันธมิตรกัน แต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ควรจะทำตัวเป็นศัตรูกับสำนักดาบเมฆเหินและตำหนักคว้าดาว


“เราจะทำอย่างไร?” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนสบตาผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวอย่างกระวนกระวาย


ถึงขนาดนี้แล้ว จะพูดอะไรได้?


“ใจเย็นก่อนเถอะ มีบางอย่างแปลกๆนะ ดูนั่นสิ…” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวก็ประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่รู้ดีว่าจางเซวียนไม่ใช่คนหุนหันพลันแล่น จึงไม่ได้ร้อนใจเหมือนผู้อาวุโสฉิงหย่วน


ได้ยินคำนั้น ผู้อาวุโสฉิงหย่วนรีบมองตรงหน้า


ระหว่างทางที่นำไปสู่บัลลังก์ที่อยู่ใจกลางจัตุรัส ผู้นำของทั้งสองสำนักกลายร่างเป็นชายหนุ่มอายุ 20 ปีอย่างรวดเร็ว


ฟึ่บ!


ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งบนบัลลังก์ จากนั้นก็แผ่รังสีสง่างามที่สร้างความยำเกรงให้กับฝูงชน ก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัด


“ผมคือจางเซวียน!”


ชายหนุ่มกวาดสายตามองฝูงชนด้วยทีท่าน่าเกรงขาม จากนั้นก็พูดต่อ “พวกคุณจะเรียกผมว่าเจิ้งหยางหรือหลิวหยางก็ได้”


“เจิ้งหยาง?”


“หลิวหยาง?”


“นั่นคือชื่อของหัวหน้าหอนานาอสูรกับเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวงไม่ใช่หรือ?”


“เดี๋ยวก่อน นั่นหมายความว่าเขาคือผู้นำของทั้ง 4 สำนักใช่ไหม?”


ในชั่วพริบตา ทั่วทั้งบริเวณนั้นก็เงียบกริบ


การที่เจ้าสำนักดาบเมฆเหินจะเป็นหัวหน้าตำหนักคว้าดาวด้วยก็เหลือเชื่อพออยู่แล้วไม่นึกเลยว่าเขาจะประกาศตัวว่าเขาคือเจิ้งหยางกับหลิวหยางด้วย…


มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่?


หานเจี้ยนชิวที่กำลังงุนงงรีบหันไปมองผู้อาวุโสที่ 1 ของตำหนักคว้าดาว เห็นอีกฝ่ายยืนอึ้ง เธอเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น


เขาหันไปมองผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวกับผู้อาวุโสฉิงหย่วน ซึ่งทั้งคู่ก็ทำอะไรไม่ถูก


ตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา แต่ละสำนักพากันประกาศว่าพวกเขาได้พบผู้สืบทอดตำแหน่งที่เหมาะสมแล้ว มีการโอ้อวดและเกทับตามมามากมาย แต่ลงท้าย…ก็กลับกลายเป็นว่าทุกคนเป็นคนเดียวกัน!


ช่างเป็นตลกร้ายที่ร้ายกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว!


“ฮะ…”


ตรงกันข้ามกับความตกตะลึงของผู้คนโดยรอบ ไป่ซวนเฉิงกับกู้จุ้ยอวิ๋นหน้าดำคร่ำเครียดขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินข่าวนั้น


ถ้า 4 สำนักมีผู้นำคนเดียวกัน…นั่นจะไม่หมายความว่าพวกเขาจะเป็นพันธมิตรต่อกันอย่างเหนียวแน่นหรือ? การจะขอยืมของล้ำค่าเพื่อการอารักขาสำนักคงไม่ง่ายอีกต่อไป


“แจ้งหัวหน้าขงให้ทราบเรื่องนี้เถอะ!”


ทั้งคู่สบตากันและพยักหน้า


หัวหน้าขงมอบหมายภารกิจให้พวกเขาหว่านล้อม 4 สำนักที่เหลือให้ยอมรับข้อเสนอ ทั้งคู่คิดว่าด้วยความดึงดูดใจของข้อเสนอครั้งนี้ ทุกคนคงตอบรับโดยไม่ลังเล เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีสำนักไหนอยากเสี่ยงกับการถูกทิ้งไว้ข้างหลังและไม่มีใครคบหา


แต่ทุกอย่างจะกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งถ้า 4 สำนักใหญ่รวมตัวเป็นหนึ่งภายใต้ผู้นำคนเดียวกัน ถ้าเป็นอย่างนั้น แต้มต่อที่พวกเขาเคยมีต่อ 4 สำนักใหญ่จะลดน้อยถอยลงมาก


“จ้าวเยว่ หานเจี้ยนชิว ฉิงหย่วน และคุ่ยเฉี่ยว ผมอยากให้พวกคุณตามผมมา”


เมื่อพิธีสถาปนาเสร็จสิ้น จางเซวียนเรียกชื่อคนทั้งสี่ก่อนจะเชิญพวกเขาเข้าสู่ห้องรับแขกที่อยู่ไม่ไกลนัก


“ท่านเจ้าสำนัก คุณคือ…เจิ้งหยางกับหลิวหยางจริงๆหรือ?” หานเจี้ยนชิวถามอย่างร้อนใจ


จางเซวียนพยักหน้า


หานเจี้ยนชิวสบตากับจ้าวเยว่ แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน


คุ่ยเฉี่ยวกับฉิงหย่วนก็ไม่ต่างกัน


พวกเขาใช้เวลานานกว่าจะรับได้กับข้อเท็จจริงอันน่าตกตะลึงนี้


ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวเป็นคนแรกที่พูดขึ้นหลังจากเกิดความเงียบงันยาวนาน “เรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะแย่นะ อย่างน้อยที่สุด ผมคิดว่าพวกเราก็เห็นพ้องต้องกันแล้วว่ามีภัยคุกคามใหญ่หลวงรออยู่ พวกเราจำเป็นต้องยืนหยัดร่วมกันเพื่อรับมือกับวิกฤตครั้งนี้ ถ้าจางเซวียนคือผู้รวบรวมจิตใจของพวกเราให้เป็นหนึ่งได้ เราก็จะแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก”


จางเซวียนพยักหน้าก่อนจะพูดต่อ “หอเทพเจ้าพยายามลอบสังหารผม 3 ครั้งแล้ว และพวกเขาก็โจมตีตำหนักคว้าดาวกับหัวหน้าตู้อย่างเปิดเผย ผมไม่รู้ว่าหอเทพเจ้าคิดอะไรอยู่ แต่เรื่องหนึ่งที่ชัดเจนก็คือพวกเขาจะไม่ทำตัวเป็นแค่ผู้เฝ้าดูเหตุการณ์อีกต่อไป ทุกอย่างจะน่าพรั่นพรึงทีเดียวหากตอนนี้พวกเรายังคงต่างคนต่างอยู่ ผมจึงหวังว่า 4 สำนักของพวกเราน่าจะผนึกกำลังและต่อสู้ไปด้วยกันได้”


ตัวเขาไม่ใส่ใจเรื่องการรวบรวมอำนาจ แต่หากคนนอกอย่างเขายังรู้สึกได้ว่าพายุใหญ่กำลังจะมา ถ้า 6 สำนักใหญ่ยังคงวางตัวเป็นเอกเทศต่อกัน ไม่ช้าไม่นานก็คงถูกเล่นงานจนล่มสลายไปทีละสำนัก!


“คุณถูกลอบสังหารถึง 3 ครั้ง?”


ทุกคนหันมามองจางเซวียนด้วยสีหน้าตกตะลึง


จางเซวียนจึงรีบอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้น ที่เป็นเหตุให้เขาถูกลอบสังหารถึง 3 ครั้ง


ฝูงชนตาค้างด้วยความไม่อยากเชื่อ


พวกเขานึกไม่ถึงว่าหอเทพเจ้าผู้สูงส่งจะกระเหี้ยนกระหือรือคร่าชีวิตของคนๆหนึ่งได้ขนาดนี้ ถึงขั้นส่งนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์มาเล่นงานจางเซวียน…


และที่เหลือเชื่อกว่าก็คือชายหนุ่มสามารถเอาชีวิตรอดจากความพยายามลอบสังหารทั้ง 3 ครั้งได้ แถมยังเล่นงานคู่ต่อสู้จนแตกกระเจิงไปด้วย…ใครๆก็รู้ว่าต่อให้พวกเขาก็ยังรับมือกับเหล่านักรบของหอเทพเจ้าได้ยาก!


ดูเหมือนชายหนุ่มจะแข็งแกร่งกว่าที่พวกเขาคิดไว้มาก


“หัวหน้าเจิ้ง คุณบอกว่าคุณทำให้อสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ 4 ตัวยอมจำนนได้สำเร็จหรือ?” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนถาม


จางเซวียนจึงเล่าเรื่องราวย่อๆของเต่าหลังดำและฉลามสามพี่น้อง


หลายปีมาแล้วที่หอนานาอสูรไม่เคยทำให้อสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ยอมจำนนได้เลยสักตัว แต่ภายในระยะเวลาอันสั้น จางเซวียนก็ทำให้พวกมันยอมจำนนได้ถึง 4 ตัวด้วยความสามารถของเขาเอง…นี่มันเรื่องจริงหรือ?


“ใช่ พวกมันมาจากทะเลพลัดดาว” จางเซวียนตอบ


เขาใช้ความคิดแวบหนึ่ง จากนั้นก็เรียกเต่าหลังดำกับฉลามสามพี่น้องออกมา รังสีอันทรงพลังแผ่ซ่านไปทั่วห้อง


“นี่มัน…”


ทุกคนหรี่ตาด้วยความอัศจรรย์ใจ


หานเจี้ยนชิวพึมพำอย่างตื่นเต้น นัยน์ตาเป็นประกาย “ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าสมาพันธ์ของพวกเรามีกองกำลังของทะเลพลัดดาวร่วมด้วยใช่ไหม?”


“ใช่!”


ฝูงชนตาโตเมื่อได้รู้


หอเทพเจ้าคือกลุ่มอำนาจที่ผงาดเงื้อมเหนือทวีปที่ถูกลืมมาเนิ่นนานหลายปี ต่อให้ 4 สำนักผนึกกำลังกันก็ยังไม่มั่นใจว่าจะได้ชัยชนะ แต่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปหากพวกเขามีเผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำจากทะเลพลัดดาวมาเข้าร่วม


ทะเลพลัดดาวนั้นกว้างใหญ่ไพศาล จำนวนสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในนั้นก็มากมายจนนับจำนวนไม่ได้ เมื่อรวมตัวกัน พวกมันจะกลายเป็นกลุ่มอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่าสำนักใดๆบนพื้นดิน


หากพวกเขาเข้าถึงกลุ่มอำนาจนี้ ก็เท่ากับมี 6 สำนักใหญ่ หรืออาจจะมากกว่าคอยหนุนหลัง!


“ฉลามสามพี่น้องรวบรวมเผ่าพันธุ์ในมหาสมุทรให้เป็นหนึ่งแล้ว มีเผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำที่มีวรยุทธอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์หลายร้อยตัวที่อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา ทันทีที่มีคำสั่งออกไป พวกมันจะรวบรวมเผ่าพันธุ์ทั้งมหาสมุทรเพื่อเปิดการโจมตีดุเดือดทันที” จางเซวียนตอบ


ฉลามหมายเลข 1 ตั้งใจจะสร้างจักรวรรดิใต้น้ำ มันจัดการดึงเอากลุ่มอำนาจใหญ่ๆในมหาสมุทรมาเป็นพรรคพวกได้แล้วในระหว่างการประชุมในถ้ำใต้น้ำเมื่อวันก่อน ทันทีที่มันออกคำสั่ง ทั้งมหาสมุทรก็จะพร้อมใจกันเคลื่อนไหว


เมื่อได้รู้ว่าพวกเขาทรงพลังกว่าที่คิดไว้มาก ทุกคนได้แต่มองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอย่างยำเกรง


ถึงพวกเขาจะต้องการผู้นำที่สามารถรวมสำนักต่างๆให้เป็นหนึ่งเดียวได้ในช่วงเวลาคับขันแบบนี้ แต่ก็ยังกังวลว่าคนหนุ่มอย่างจางเซวียนจะทำได้ดีหรือเปล่า เพราะถึงอย่างไรแต่ละสำนักก็มีความแตกต่างกัน พวกเขาอยากได้ใครสักคนที่ทรงพลังและมีการตัดสินใจมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวพอที่จะควบคุมทุกสำนักให้อยู่ในระเบียบได้


แต่กลับกลายเป็นว่าจางเซวียนมีพละกำลังเทียบเท่ากับนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ ทั้งยังมีอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ 4 ตัวกับของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อีก 2 ชิ้นด้วย และที่เหนือกว่านั้น ทั้งมหาสมุทรก็สนับสนุนเขา


คงไม่เป็นการพูดเกินจริงหากจะกล่าวว่าอิทธิพลระดับนี้เทียบชั้นได้แม้แต่กับหัวหน้าขงเลยทีเดียว


ด้วยพละกำลังที่เขามีอยู่ในมือ คงมีแต่คนโง่เท่านั้นที่พยายามจะมีปัญหากับสมาพันธ์และหาเรื่องทำให้จางเซวียนขุ่นเคือง


“เจ้าสำนักหลิว สะพานเบื้องบนกำลังจะลงมาในไม่ช้า ถึงเวลาที่พวกเราต้องมุ่งหน้าไปยังโขดหินสมอสวรรค์แล้ว ในฐานะผู้นำของ 4 สำนัก คุณคิดว่าเราควรจัดสรรโควตาอย่างไร?” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวตั้งคำถาม


ความคิดเบื้องต้นของพวกเขาก็คือให้ผู้นำของแต่ละสำนักเป็นผู้เข้าท้าทายสะพานเบื้องบน แต่ในเมื่อทั้ง 4 สำนักมีผู้นำคนเดียวกัน ก็แปลว่ามีโควต้าแค่ 3 ที่


“ผมจะใช้โควตาของตำหนักคว้าดาว ส่วนสำนักดาบเมฆเหิน สำนักดาวเจ็ดดวงและหอนานาอสูร ให้พวกคุณเสนอชื่อผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพื่อร่วมเดินทางไปสู่สะพานเบื้องบนกับผม” จางเซวียนพูด


เหตุผลที่เขาตัดสินใจแบบนี้ก็เพราะตำหนักคว้าดาวมีโลหิตเทพเจ้า ซึ่งหมายความว่าพวกเขามีวิถีทางที่จะบ่มเพาะนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้ อันที่จริง นอกจากตู้ชิงหย่วนแล้ว ในเวลานี้ก็ยังมีอีกคนหนึ่ง


ดังนั้น ตำหนักคว้าดาวจึงไม่ได้อยู่ในสถานภาพย่ำแย่อย่างสำนักอื่น


ตอนที่ 2107 คุณสองคนตามหาผม?

 


“เรื่องนั้นไม่ยากหรอก แต่ปัญหาก็คือเหล่านักรบของหอเทพเจ้าทรงพลังเกินไป…ในเวลานี้ พวกเราไม่มีตัวแทนนักรบที่มีโอกาสเอาชีวิตรอดจากพวกเขาได้เลย” หานเจี้ยนชิวพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว


เพราะถ้าสำนักดาบเมฆเหิน หอนานาอสูร และสำนักดาวเจ็ดดวงมีสมาชิกภายในสำนักที่ไว้วางใจได้ พวกเขาคงไม่ต้องทำถึงขั้นเสนอชื่อคนนอกที่เพิ่งพบหน้ากันให้เป็นเจ้าสำนักคนใหม่!


จริงอยู่ว่าพวกเขาสามารถคัดเลือกตัวแทนเพื่อเติมโควต้าให้เต็มได้ แต่หากตัวแทนผู้เข้าท้าทายเหล่านั้นไม่มีโอกาสประสบความสำเร็จเลย ก็ไม่แตกต่างอะไรกับการผลักดันพวกเขาไปตาย


จางเซวียนคิดหนักครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “เลือกตัวแทนของพวกคุณแล้วส่งมาให้ผม ผมจะสอนพวกเขาเป็นการส่วนตัว มีเวลาไม่มากนักก่อนสะพานเบื้องบนจะลงมา แต่หากทุกคนทุ่มเทศึกษาเล่าเรียน ผมก็เชื่อว่าจะยังพอมีโอกาส”


มันอาจเป็นการเตรียมตัววินาทีสุดท้าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไร้ประโยชน์ โดยเฉพาะเมื่อเขา คือผู้ถ่ายทอดความรู้ด้วยตัวเอง


นอกจากเขาจะมีความเข้าใจอันล้ำลึกในเทคนิคการต่อสู้และเทคนิควรยุทธ ก็ยังได้สู้รบกับเหล่านักรบจากหอเทพเจ้ามาแล้วหลายครั้ง เป็นบุคคลเดียวของ 6 สํานักใหญ่ที่เข้าใจสไตล์การต่อสู้ของพวกเขาได้ดีที่สุด


หลังจากนั้น จางเซวียนก็วางแนวทางการปฏิบัติในอนาคตให้กับทั้ง 4 สำนัก


แม้เขาจะไม่ค่อยสนใจเรื่องแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำไม่ได้หากต้องการ


ถึงอย่างไรเขาก็เป็นชายผู้เป็นสุดยอดของทวีปแห่งปรมาจารย์ หนังสือมากมายนับไม่ถ้วนที่เขาได้ผ่านตาก่อตัวกันเป็นความรู้ของเขา เขาสามารถใช้มุมมองที่ล้ำลึกและทันสมัยกว่าในการพิจารณาเรื่องต่างๆ ทำให้ตัดสินใจได้ดีขึ้น


ในตอนแรก ผู้อาวุโสทั้ง 4 ยังกังวลว่าเขาอายุน้อยเกินไปที่จะรับบทบาทนี้หรือไม่ แต่วุฒิภาวะของจางเซวียนทำให้พวกเขาประทับใจมาก


ความคิดที่จางเซวียนนำเสนอประกอบขึ้นจากมุมมองที่หลากหลาย และทุกความคิดนำมาซึ่งผลลัพธ์อันชัดเจน


ถ้าพวกเขาทำตามคำสั่งของอีกฝ่าย ทั้ง 4 สำนักก็จะรวมตัวเป็นหนึ่งได้อย่างกลมเกลียว ทำให้พวกเขาสามารถสนับสนุนซึ่งกันและกันเพื่อความเจริญก้าวหน้า ในเวลาเดียวกัน ก็จะมีพละกำลังและความเป็นเอกเทศที่แข็งแกร่งพอจะต้านทานหอเทพเจ้าได้


หลังจากร่างแผนการให้ทั้ง 4 สำนักแล้ว จางเซวียนก็นำตราหยกสัญลักษณ์ออกมา 12 อันและยื่นให้ “นี่คือชุดเทคนิควรยุทธจากขั้นนักปราชญ์โบราณไปถึงอมตะขั้นสูงที่ผมปรับเปลี่ยนจากเทคนิควรยุทธที่พวกคุณใช้อยู่ ถ่ายทอดให้บรรดาศิษย์สายตรงที่มีคุณสมบัติเหมาะสมได้เลย จะทำให้พวกเขายกระดับวรยุทธได้อย่างรวดเร็ว”


เขาได้ศึกษาเทคนิควรยุทธของทั้ง 4 สำนักและปรับเปลี่ยนมันให้เหมาะสมแล้ว


แม้เทคนิควรยุทธเหล่านี้จะไม่เรียบง่ายเท่าเคล็ดวิชาเทียบฟ้า แต่ก็แข็งแกร่งกว่าเทคนิควรยุทธที่เหล่าศิษย์สายตรงฝึกฝนอยู่ในเวลานี้มาก มันจะเป็นสิ่งล้ำค่าที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพการต่อสู้ของแต่ละสำนัก


4 ผู้อาวุโสรับตราหยกสัญลักษณ์ไป หลังจากอ่านรายละเอียด ก็พากันเงียบกริบ


ครู่ต่อมา พวกเขาก็ตัวสั่น


เทคนิควรยุทธที่จางเซวียนมอบให้ถือเป็นผลงานของอัจฉริยะ หากพวกเขาถ่ายทอดให้เหล่าศิษย์สายตรงล่ะก็ ทำนายล่วงหน้าได้เลยว่าพละกำลังโดยรวมของทั้งสำนักจะต้องพุ่งพรวดเหมือนต้นไผ่ที่ได้น้ำฝน สำนักป้อมปราการกระจกดำกับสำนักอมตะเลือนหายจะเป็นผู้ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง!


“เอาล่ะ พอเท่านี้ก่อน รีบไปจัดการสิ่งที่ต้องทำเถอะ!” จางเซวียนโบกมือให้ทั้งกลุ่มสลายตัว


เหล่าผู้อาวุโสรีบออกจากห้อง


เมื่อพวกนั้นจากไป จางเซวียนได้แต่ถอนหายใจอย่างโล่งอก


เหล่าผู้อาวุโสรู้ดีว่าอันตรายกำลังรุกคืบเข้าสู่ทวีปที่ถูกลืม พวกเขาจึงเห็นความสำคัญของการรวมตัวเป็นหนึ่งเดียว ดังนั้นจึงเต็มใจที่จะยอมรับเขาเป็นเจ้าสำนัก


แต่การหว่านล้อมบรรดาศิษย์สายตรงให้มีความคิดเห็นแบบเดียวกันย่อมเป็นเรื่องยาก เพราะพวกเขาไม่มีสิทธิ์ล่วงรู้ถึงความลับของทวีปที่ถูกลืม สำหรับคนเหล่านั้น เกียรติยศและศักดิ์ศรีของสำนักมาก่อนสิ่งอื่นใด ด้วยเหตุนี้ จางเซวียนจึงต้องใช้วิธีการอื่นเพื่อเอาชนะใจคนเหล่านั้นให้หันมาเป็นพรรคพวกของเขา


ด้วยการถ่ายทอดเทคนิควรยุทธให้ ไม่เพียงแต่ศิษย์สายตรงเหล่านั้นจะมีพละกำลังเพิ่มขึ้น ยังจะกลายเป็นอนาคตอันสดใสของสำนักที่อยู่ภายใต้การนำของเขา


สิ่งนั้นจะทำให้สถานภาพที่เคยคลอนแคลนของจางเซวียนมั่นคงขึ้น


แอ๊ดดดด!


ประตูพลันเปิดออก เด็กชายวัยรุ่นคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง


“นายน้อย!” เด็กชายวัยรุ่นโค้งคำนับและร้องออกมา


“หวู่เฉิน! คุณสบายดีหรือ?”จางเซวียนตาโตด้วยความตื่นเต้น


ผู้ที่เพิ่งเข้ามาในห้องไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอดีตอำมาตย์เฉินหย่งของทวีปแห่งปรมาจารย์ ใครจะไปคิดว่าตู้ชิงหย่วนจะช่วยชีวิตเขาได้จริงๆ และถึงกับหลอมกายเนื้อใหม่ให้ด้วย!


“ใช่แล้ว นายน้อย ผมยังมีชีวิตอยู่!” หวู่เฉินตอบด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ


แม้เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ในทวีปแห่งปรมาจารย์จะมีความขัดแย้งกัน แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชายหนุ่มคนนี้ได้ช่วยชีวิตเขาไว้หลายครั้ง


“ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง? เรียกระดับวรยุทธคืนมาได้หรือยัง?” จางเซวียนถาม


เขาจ้องมองหวู่เฉิน แล้วก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าไม่อาจมองทะลุระดับวรยุทธของอีกฝ่ายได้


“ตอนนี้ผมสบายดี หลังจากหัวหน้าตู้พาผมมาที่นี่ เธอก็ใช้ของล้ำค่าบางอย่างหลอมกายเนื้อให้ผมใหม่ ทั้งยังมอบโลหิตเทพเจ้าให้ด้วย ดังนั้น ไม่เพียงแต่ผมจะหายดี ยังยกระดับวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้ด้วย!” หวู่เฉินรีบเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดหลังจากที่เขามาถึงทวีปที่ถูกลืม


จากนั้นเขาก็ปลดปล่อยรังสีออกมา สำแดงพละกำลังเต็มพิกัดของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์


เมื่อครั้งที่เขายังอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ หลัวลั่วชิงได้ถ่ายทอดเทคนิคการปลอมตัวให้ ดังนั้น แม้วรยุทธของเขาจะเข้าถึงขั้นกึ่งสรวงสวรรค์แล้ว แต่หากเขาไม่เต็มใจเปิดเผยรังสีของตัวเอง ก็จะไม่มีใครมองเห็นพละกำลังของเขาได้เลย!


จางเซวียนตกตะลึง


ตอนที่หวู่เฉินถูกหัวหน้าตู้นำตัวไป เขาเป็นแค่นักรบระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 3 โลกจารึกเท่านั้น ยังห่างไกลจากการเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติ ใครจะไปคิดว่าด้วยระยะเวลาอันสั้นเท่านี้ เขาจะก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดได้?


ดูเหมือนหัวหน้าตู้ไม่ได้ให้คำสัญญาลอยๆ เธอทำตามคำขอของเขาอย่างสุดความสามารถ


“ที่ผ่านมา คุณติดตามหัวหน้าตู้มาตลอดหรือ?” จางเซวียนถาม


เพราะมีความแตกต่างระหว่างกระแสกาลเวลาของ 2 โลก วันที่หวู่เฉินมาถึงทวีปที่ถูกลืมจึงไม่น่าจะห่างจากเขามากนัก


“ใช่” หวู่เฉินตอบขณะลดระดับวรยุทธลงอีกครั้ง “เมื่อ 2-3 วันก่อน พวกเราได้ข่าวว่าคุณกลายเป็นเจ้าสำนักดาบเมฆเหิน หัวหน้าตู้กับผมจึงไปตามหาคุณ”


“คุณสองคนตามหาผม?” จางเซวียนชะงัก


หวู่เฉินรีบอธิบายรายละเอียด


หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด จางเซวียนได้แต่ส่ายหน้าและยิ้มเจื่อนๆ


เขาไม่นึกเลยว่าจะคลาดกันกับตู้ชิงหย่วนด้วยเหตุผลแบบนี้ แต่ก็นั่นแหละ เขาไม่รู้ว่าตู้ชิงหย่วนคือเทพเจ้าที่หวู่เฉินเรียกมาในคราวนั้น จึงไม่มีทางที่จะรู้ได้ว่าเธอมาตามหา


จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่และถามต่อ “ในเมื่อคุณติดตามหัวหน้าตู้มาตลอด แล้ว…คุณได้ข่าวของหลัวลั่วชิงบ้างไหม?”


ถ้าจะมีใครในทวีปที่ถูกลืมนอกเหนือจากตู้ชิงหย่วนที่รู้เรื่องราวของหลัวลั่วชิง ก็จะต้องเป็นหวู่เฉิน


หวู่เฉินคือผู้ประกอบพิธีกรรมเรียกหลัวลั่วชิงมาสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ และติดสอยห้อยตามเธอตลอดการเดินทางที่ผ่านมา


“นายหญิงกลับสู่สรวงสวรรค์แล้ว” หวู่เฉินตอบ “เธอเป็นเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณของสรวงสวรรค์ และกลับสู่โลกของเธอหลังจากได้สิ่งที่ต้องการจากทวีปแห่งปรมาจารย์”


“เท่าที่ผมรู้ นายหญิงได้รับบาดเจ็บสาหัสตอนที่ลงมาสู่มิติเบื้องบน ปราการแห่งมิติของสรวงสวรรค์กับทวีปที่ถูกลืมนั้นแข็งแกร่งเกินไปจนเธอไม่อาจก้าวข้ามมันได้อย่างอิสระแม้จะเป็นเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณที่ใครๆยำเกรง เธอต้องการให้ใครสักคนจากทวีปที่ถูกลืมเรียกตัวเธอ เพื่อจะได้ก้าวข้ามปราการนั้นให้ได้”


“ในครั้งนั้น หัวหน้าตู้กับผมประกอบพิธีกรรมจากทวีปที่ถูกลืมและทวีปแห่งปรมาจารย์พร้อมๆกัน เพื่อให้เธอลงจากสรวงสวรรค์ได้…แต่โชคร้ายที่ปราการแห่งมิติแข็งแกร่งกว่าที่พวกเราคิดไว้ ลงท้ายเธอก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ก็เป็นตอนนั้นที่หัวหน้าตู้ได้โลหิตเทพเจ้ามา ซึ่งเธอนำมาใช้ช่วยผมให้ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้สำเร็จ” หวู่เฉินอธิบาย


เรื่องราวดูจะคล้ายคลึงกับที่จางเซวียนสรุปได้จากคำบอกเล่าของฉลามหมายเลข 1


“คุณรู้ไหมว่าทำไมเธอถึงเดินทางเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์?” จางเซวียนถาม


แม้ด้วยพละกำลังของเขาในเวลานี้ เขาก็ยังไม่อาจฝ่าปราการแห่งมิติเพื่อกลับสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ได้ นับประสาอะไรกับข้อเท็จจริงที่หลัวลั่วชิงฝ่าปราการแห่งมิติถึง 2 แห่งได้พร้อมกัน!


ความยากเย็นของมันเรียกได้ว่าเกินกว่าจะจินตนาการ


แล้วอะไรที่ทำให้เธอยอมลงทุนขนาดนั้น ถึงขนาดได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วย?


“ผมเองก็ไม่แน่ใจ แต่ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง” หวู่เฉินตอบ


จางเซวียนยังไม่คล้อยตาม “มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงทรงพลังก็จริง แต่ไม่น่าทำให้เธอยอมลงทุนขนาดนั้น”


มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงเป็นหนึ่งในสมบัติล้ำค่าที่สุดของทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ในทวีปที่ถูกลืมก็มีทรัพย์สมบัติที่มีค่าพอๆกันอยู่ แถมยังมีสรวงสวรรค์อีก


การที่หลัวลั่วชิงฝ่าปราการแห่งมิติไปได้พร้อมกันถึง 2 แห่งบ่งบอกถึงระดับวรยุทธอันล้ำลึกเกินหยั่งของเธอ การที่คนเก่งกาจระดับเธอจะตามหาทรัพย์สมบัติที่ไม่ได้ทรงพลังอะไรมากมายแบบนี้…


เรื่องนี้ดูไม่มีเหตุผลเลย!


“ผมก็ไม่รู้รายละเอียดเหมือนกัน ในครั้งนั้นผมเคยถาม และนายหญิงตอบว่ามีใครคนหนึ่งที่เธออยากพบ คนผู้นั้นมีความเก่งกาจอย่างน่าทึ่งที่แม้แต่ตัวเธอก็รับมือได้ยาก เธอจึงต้องการทรัพย์สมบัติมากเท่าที่จะหาได้เพื่อทำความเข้าใจทักษะของเขา” หวู่เฉินครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะให้คำตอบ


จางเซวียนขมวดคิ้ว


มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงคือของล้ำค่าที่ใช้ควบคุมมิติและเวลา หรือว่าบุคคลที่หลัวลั่วชิงอยากพบมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษเรื่องกฎเกณฑ์ของมิติและเวลา?


“ผมไม่กล้าขุดคุ้ยเรื่องนี้มากนัก คนธรรมดาอย่างผมไม่มีคุณสมบัติเพียงพอจะได้ล่วงรู้ความลับของเหล่าเทพเจ้าหรอก” หวู่เฉินเสริมด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกความยำเกรง


“แล้ว…คุณรู้ไหมว่าผมจะติดต่อเธอได้อย่างไร?”


“หัวหน้าตู้สามารถสร้างสายสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกับสรวงสวรรค์ได้โดยผ่านแท่นบูชาของตำหนักคว้าดาว แต่ต้องใช้เครื่องบรรณาการมากมายในการทำแบบนั้น และไม่มีอะไรรับประกันด้วยว่าพวกเราจะเข้าถึงนายหญิงได้หรือไม่” หวู่เฉินตอบ


“แท่นบูชา…” นัยน์ตาของจางเซวียนเป็นประกาย


ตอนที่ 2018 พวกเรายอมแพ้!

 


เมื่อลองนึกดู เหตุผลที่หอเทพเจ้าโจมตีตำหนักคว้าดาวก็เพื่อกันท่าตู้ชิงหย่วนไม่ให้ใช้แท่นบูชาเพื่อรายงานการเคลื่อนไหวของพวกเขาต่อเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ


บางทีหอเทพเจ้าคงไม่อยากให้เหล่าเทพเจ้าแห่งสรวงสวรรค์รับรู้การเคลื่อนไหวของพวกเขา


ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาจะต้องหาตัวตู้ชิงหย่วนกับแท่นบูชาที่หายไปให้พบโดยเร็วที่สุด!


“เดี๋ยวก่อน แล้วหอเทพเจ้าติดต่อกับสรวงสวรรค์ได้ไหม?” จางเซวียนถาม


ในเมื่อหอเทพเจ้าสนิทชิดเชื้อกับสรวงสวรรค์ของทวีปที่ถูกลืม พวกเขาก็น่าจะสร้างสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกับสรวงสวรรค์ได้ อันที่จริง มีเรื่องร่ำลือว่าพวกเขาทำหน้าที่อารักขาประตูที่นำไปสู่สรวงสวรรค์ด้วยซ้ำ


หวู่เฉินส่ายหน้าเพื่อบอกว่าเขาเองก็ไม่แน่ใจเรื่องนี้


นอกเสียจากสะพานเบื้องบนที่จะลงมาทุกๆ 100 ปี คนของหอเทพเจ้าก็แทบไม่เคยปรากฏตัวในทวีปที่ถูกลืม จึงมีผู้คนเพียงหยิบมือที่รู้เรื่องของคนเหล่านั้น


จางเซวียนถามต่ออีกสองสามคำถาม แต่เพราะหวู่เฉินเพิ่งมาถึงที่นี่ได้ไม่นาน จึงไม่รู้อะไรมากนัก


ช่างมันเถอะ สะพานเบื้องบนกำลังจะลงมาแล้ว และมีความเป็นไปได้ว่าเราอาจหาคำตอบได้จากที่นั่น…จางเซวียนคิด


จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่รู้ว่าทำไมหอเทพเจ้าถึงจงใจตามล่าตัวเขา แต่เขารู้สึกว่าทุกอย่างจะคลี่คลายเมื่อได้เข้าสู่สะพานเบื้องบน นั่นจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่พวกเขาจะได้ลุกขึ้นสู้


แต่ถ้าเขาฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้สำเร็จเมื่อไหร่ อย่าว่าแต่หอเทพเจ้าเลย แม้โลกทั้งใบก็ไม่อาจกักขังเขาไว้ได้อีก!


ถึงเวลานั้น สถานการณ์จะพลิกผัน เขาจะกลายเป็นผู้ตามล่าหอเทพเจ้าเสียเอง


รู้ดีว่าการเสาะแสวงหาพละกำลังให้ได้มากขึ้นเป็นเรื่องสำคัญแค่ไหน จางเซวียนจึงเพ่งสมาธิเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้าที่มีห้องของมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงอยู่ เขาพยายามหาเทคนิควรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่เหมาะสมกับตัวเอง


ครึ่งวันต่อมา ตัวแทนทั้ง 3 คนจากสำนักดาบเมฆเหิน หอนานาอสูร และสำนักดาวเจ็ดดวงก็มาอยู่ตรงหน้า


ทุกคนล้วนแต่อายุต่ำกว่า 100 ปี แต่สำเร็จวรยุทธอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์แล้ว ผู้อาวุโสหงอู่จากสำนักดาวเจ็ดดวงก็เป็น 1 ใน 3 คนนั้น


“คุณเรียกพวกเราหรือ?”


นอกจากผู้อาวุโสหงอู่ ตัวแทนอีก 2 คนประเมินจางเซวียนด้วยสายตาคมกริบ


พวกเขารู้ว่าชายหนุ่มคนนี้กลายเป็นผู้นำของ 4 สำนัก แต่อดสงสัยไม่ได้ว่าเขาเก่งกาจจริงและมีความน่าเชื่อถือพอที่จะรับตำแหน่งนี้หรือเปล่า


“สิบอึดใจ ใช้ทุกวิถีทางที่พวกคุณมีเล่นงานผมให้ถอยไปครึ่งก้าวให้ได้ ถ้าคุณทำได้ คุณก็ยังมีโอกาสเอาชนะเหล่านักรบจากหอเทพเจ้า” จางเซวียนเอาสองมือไพล่หลังขณะอธิบาย


“คุณต้องการให้พวกเราผลักดันคุณให้ถอยไปครึ่งก้าวหรือ?”


ทั้งสามงุนงง


ในเมื่อพวกเขามีวรยุทธระดับเดียวกัน ต่อให้ความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบและเทคนิคการต่อสู้ของจางเซวียนเหนือชั้นกว่า แต่ถ้าพวกเขาผนึกกำลังกัน ก็แข็งแกร่งเกินพอที่จะผลักดันอีกฝ่ายให้ถอยไปครึ่งก้าว


“ใช่” จางเซวียนตอบ


“แต่ถ้าคุณทำให้ผมถอยไปครึ่งก้าวไม่ได้ล่ะก็ ผมต้องการให้คุณทั้ง 3 ฝึกฝนวรยุทธตามแต่ที่ผมจะสั่งก่อนช่วงเวลาที่สะพานเบื้องบนจะลงมา ผมจะไม่รับฟังเสียงบ่นหรือการออกความเห็นใดๆทั้งสิ้น”


การที่ทั้ง 3 ได้รับเลือกจากเหล่าผู้อาวุโสให้เข้าท้าทายสะพานเบื้องบนก็บ่งบอกแล้วว่าพวกเขามีทักษะเหนือชั้น แต่หากทุกคนหลงตัวเอง ภาคภูมิใจกับความสามารถที่มีอยู่และไม่ยอมฟังคำสั่งของเขา ก็ไม่น่าจะรับมือกับเหล่านักรบของหอเทพเจ้าได้


วิธีเดียวที่จะเอาชนะคนทั้ง 3 ได้อย่างรวดเร็วและทำให้พวกเขายอมทำตามคำสั่งก็คือต้องจัดการให้ยอมจำนน


“ถ้าพวกเราผนึกกำลังกันแล้วยังสู้คุณไม่ได้ล่ะก็ วางใจได้เลยว่าพวกเราจะทำตามคำสั่งของคุณโดยไม่ปริปาก!”


ในฐานะตัวแทนผู้เข้าท้าทายสะพานเบื้องบน พวกเขาคือนักรบผู้มีศักยภาพพอที่จะได้รับตำแหน่งผู้นำในสำนักของตัวเอง แต่การปรากฏตัวอย่างปุบปับของชายผู้นี้ฉกฉวยความหวังของพวกเขาไปหมด คงเป็นเรื่องโกหกหากจะกล่าวว่าพวกเขาไม่รู้สึกเคืองแค้น


บึ้มมมมม!


ทันทีที่สิ้นเสียง ทั้ง 3 ก็พุ่งเข้าใส่จางเซวียนพร้อมกัน


ผู้อาวุโสหงอู่ถ่ายทอดพละกำลังเข้าสู่ฝ่ามือและสำแดงเทคนิคการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา


อัจฉริยะจากสำนักดาบเมฆเหินชักดาบออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว แล้วสำแดงศิลปะเพลงดาบที่ทรงพลังอย่างน่าทึ่ง


ส่วนอัจฉริยะจากหอนานาอสูรนำอสูรของเขาออกมา – อสูรแฝดเสือดำที่มีวรยุทธอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์!


เห็นการเคลื่อนไหวของชายทั้งสาม จางเซวียนหัวเราะหึๆ


ในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ เรียกได้ว่าพวกเขาเหนือชั้นกว่านักรบทั่วไป แต่ถ้าจะเทียบกับนักรบของหอเทพเจ้า ก็ยังอ่อนด้อยกว่ามาก


ขนาดตัวเขายังเกือบพ่ายแพ้เมื่อต้องเจอกับนักรบของหอเทพเจ้า ต้องใช้ศักยภาพที่สูงกว่าคำว่า ‘เหนือชั้นกว่าธรรมดา’ ถึงจะรับมือกับปีศาจพวกนั้นได้!


จางเซวียนโบกมือเบาๆโดยไม่ได้ชักดาบออกมา นักรบทั้ง 3 พลันรู้สึกราวกับว่าพวกเขาจมลงสู่ทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่าจะพยายามเดินไปทางไหนก็หนีพ้นจากทะเลทรายแห่งนี้ไม่ได้


แล้วจางเซวียนก็กดฝ่ามือลงไปเบาๆ


เคร้ง!


ดาบเล่มหนึ่งร่วงลงไปกองกับพื้น เทคนิคการต่อสู้สลายตัวไป อสูรอมตะอีก 2 ตัวร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด…จากนั้นสามอัจฉริยะก็ทรุดฮวบลงกับพื้น หมดปัญญารับมือกับพละกำลังมหาศาลที่อยู่ตรงหน้า


“นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ทรงพลังขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?”


ทั้งสามอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อ


ในฐานะนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ พวกเขาคิดว่าต่อให้จางเซวียนแข็งแกร่งกว่า ก็ไม่น่าจะห่างกันมากมายอะไร แต่หลังจากปะทะกันแล้ว ก็รู้ทันทีว่าพละกำลังของพวกเขากับจางเซวียนห่างกันหลายขุม


ขนาดเจ้าสำนักคนก่อนที่เป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ก็ยังเทียบชั้นกับชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้!


“พวกคุณยอมแพ้ไหม?” จางเซวียนถามยิ้มๆ


“พวกเรายอมแพ้!”


เพียงกระบวนท่าเดียว จางเซวียนก็ทำลายความหยิ่งผยองของอีกฝ่ายและได้รับความเคารพจากทุกคน


“นี่คือเทคนิควรยุทธที่ผมคิดค้นขึ้นโดยใช้วรยุทธของพวกคุณเป็นพื้นฐาน ขอแค่พวกคุณขยันหมั่นเพียรฝึกฝน ภายในสามวันนี้ก็จะยกระดับประสิทธิภาพการต่อสู้ขึ้นได้อีกมาก ถ้าสงสัยอะไรก็ถามผมได้เลย”


จางเซวียนนำตราหยกออกมา 3 อันและถ่ายทอดความคิดของเขาเข้าไปในนั้น ก่อนจะยื่นตราหยกให้ตัวแทนทั้งสาม


ทั้งสามรับตราหยกมา หลังจากอ่านรายละเอียดก็รู้สึกตกตะลึงกับถ้อยคำเหล่านั้น “อย่าทำให้โอกาสที่ผมมอบให้พวกคุณต้องสูญเปล่า” จางเซวียนพูดก่อนจะปล่อยให้พวกเขาแยกย้าย


เมื่อทุกคนจากไปแล้ว จางเซวียนเพ่งสมาธิกลับสู่หอสมุดเทียบฟ้าอีกครั้งและศึกษาวิธีการยกระดับวรยุทธไปสู่ขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ต่อไป


ในประวัติศาสตร์ของทวีปที่ถูกลืม มีผู้เชี่ยวชาญมากมายที่พยายามจะฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ คนเหล่านั้นได้ทิ้งประสบการณ์ล้ำค่าและภูมิปัญญาที่เกี่ยวข้องเอาไว้จำนวนมาก น่าเสียดายที่ไม่มีใครสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้โดยไม่ผ่านการท้าทายสะพานเบื้องบน


“เป็นไปได้ว่าจะต้องมีบางอย่างในบรรยากาศของทวีปที่ถูกลืมที่ยังอ่อนด้อย จึงทำให้เหล่านักรบไม่อาจสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้…”จางเซวียนได้คำตอบ


ไม่ใช่เพราะนักรบของทวีปที่ถูกลืมขาดความสามารถ แต่สถานการณ์ตอนนี้เหมือนกันกับในทวีปแห่งปรมาจารย์ที่ทำให้เหล่านักรบไม่อาจสำเร็จวรยุทธเป็นนักปราชญ์โบราณได้อีก


เขาพลันนึกถึง ‘รังสีสวรรค์’ ที่ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวเคยพูดถึง


ถ้าจางเซวียนเข้าใจถูก ตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ จะมีรังสีสวรรค์ที่นักรบต้องการเพื่อใช้ฝ่าปราการขั้นสุดท้ายและเข้าถึงวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์


น่าจะเป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้หอนิรันดร์สามารถบ่มเพาะนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้โดยไม่จำเป็นต้องเข้าท้าทายสะพานเบื้องบน ในขณะที่สำนักอื่นๆนั้นตรงกันข้าม


การฝึกฝนเทคนิควรยุทธไม่ใช่เรื่องง่าย มีหลากหลายประเด็นที่ต้องพิจารณา และแม้แต่รายละเอียดเล็กน้อยที่สุดก็อาจสร้างความแตกต่างใหญ่หลวงได้


มันจึงไม่ใช่สิ่งที่จะทำสำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น


จางเซวียนก็รู้ดี จึงไม่คิดจะเร่งรัดกระบวนการใดๆ


หลายวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าก็ถึงเวลาที่สะพานเบื้องบนจะลงมา เช้าตรู่วันนั้น จางเซวียนนำคนกลุ่มใหญ่ไปยังบริเวณที่โขดหินสมอสวรรค์ตั้งอยู่


โขดหินสมอสวรรค์อยู่ไม่ไกลจากเกาะคว้าดาวมากนัก เมื่อขี่เต่าหลังดำไป ใช้เวลาราว 4 ชั่วโมงก็เห็นเกาะที่มีหน้าตาเหมือนโขดหินขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า


เกาะนี้โผล่พ้นจากพื้นน้ำราวกับเสาหินต้นมหึมาที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า มองไม่เห็นปลายอีกด้านหนึ่ง


“มีตำนานกล่าวว่า ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว สวรรค์เคยพังทลาย ส่งผลให้เกิดหายนะครั้งใหญ่กับบรรดาสิ่งมีชีวิตในทวีปที่ถูกลืม เพื่อเผชิญหน้ากับวิกฤตครั้งนั้น นักรบผู้ทรงพลังคนหนึ่งได้ตัดขาทั้ง 4 ข้างของเต่ายักษ์ แล้วใช้มันแทนเสาเพื่อค้ำจุนสวรรค์ เมื่อเวลาผ่านไป ขาทั้ง 4 ก็แข็งตัวกลายเป็นหินและมีสภาพอย่างที่เราเห็นอยู่ตรงหน้า” หานเจี้ยนชิวอธิบายขณะมองเสาหินที่ตั้งตระหง่าน


“เรื่องพวกนั้นก็เป็นแค่ตำนาน เกาะนี้มีความสูงอย่างน้อยหลายหมื่นเมตร จะมีเต่าตัวใหญ่ขนาดนั้นอยู่ในโลกได้อย่างไร?” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวส่ายหัว “อีกอย่าง ถ้าสวรรค์พังทลายลงมาจริงๆ ไม่มีทางที่ลำพังแค่ขาเต่าจะปกป้องแผ่นดินไว้ได้หรอก”


“ก็จริง…”


ฝูงชนหัวเราะหึๆ


โลกทุกใบล้วนมีตำนานและเรื่องเล่ากล่าวขานปรัมปรา เรื่องราวเหล่านั้นถูกขัดเกลาเสริมแต่งให้เข้ากันกับธรรมชาติ ซึ่งทวีปที่ถูกลืมก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น


จางเซวียนจับจ้องโขดหินสมอสวรรค์อย่างถี่ถ้วน


เขารู้ดีว่าแทบไม่มีทางเป็นไปได้ที่เสาหินเหล่านี้จะเคยเป็นขาเต่า แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังน่าประหลาดมากที่เสาหินพวกนี้ตั้งตระหง่านอยู่ได้ยาวนานหลายปี


จางเซวียนเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้เพื่อตรวจสอบ ไม่ช้าก็พบบางอย่างผิดปกติ เมื่อมองแวบแรก ดูเหมือนโขดหินสมอสวรรค์จะไม่ต่างอะไรกับหินธรรมดาก้อนหนึ่ง แต่บนผิวหน้าของมันมีอักษรจารึกของค่ายกลอยู่เต็มไปหมด


ก็เพราะอักษรจารึกเหล่านี้ที่ทำให้มันท้าแดดท้าลมและการกัดกร่อนของมหาสมุทรได้จนอยู่รอดถึงวันนี้ แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน


“เป็นค่ายกลที่ล้ำลึกอะไรอย่างนี้…”


จางเซวียนประหลาดใจที่พบว่าเขาไม่อาจถอดรหัสอักษรจารึกในค่ายกลได้แม้ด้วยความเชี่ยวชาญด้านค่ายกลที่เขามีอยู่


“นี่คือจุดที่เชื่อมทวีปที่ถูกลืมกับหอเทพเจ้าหรือ?” จางเซวียนตั้งคำถาม


“ใช่” หานเจี้ยนชิวพยักหน้า


ขณะที่ทั้งกลุ่มกำลังคุยกัน พวกเขาก็เริ่มปีนป่ายเสาหินขึ้นไปโดยเวียนเป็นรูปเกลียว


ตอนที่ 2109 พวกเราเข้าใจ

 


ขณะที่ความสูงเพิ่มขึ้น จางเซวียนรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ถาโถมเข้าใส่ มันหนักขึ้นเรื่อยๆราวกับมีมือขนาดใหญ่จากเบื้องบนพยายามผลักเขาลงสู่พื้น ไม่ยอมให้เขาได้ล่วงรู้ความลับของสรวงสวรรค์


เห็นสีหน้าของเหล่านักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ที่เริ่มจะซีดเผือด หานเจี้ยนชิวตะโกน “ทุกคน เกาะไว้ให้ดี การไต่โขดหินสมอสวรรค์เป็นส่วนหนึ่งของบททดสอบเช่นกัน!”


แรงกดดันระดับนี้แทบไม่มีความหมายอะไรกับนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ แต่สำหรับนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ มันยังคงเป็นอุปสรรคยากเข็ญที่พวกเขาต้องข้ามผ่านให้ได้


วัตถุประสงค์ของมันก็เพื่อเฟ้นหาผู้เข้าท้าทายที่เหมาะสมที่สุด


ว่ากันว่าเหล่าตัวแทนที่ได้รับเลือกจาก 6 สำนักใหญ่มักผ่านอุปสรรคครั้งนี้ไปได้ด้วยความยากลำบากเพียงเล็กน้อย


ไม่ต่างอะไรกับวิหารแห่งขงจื๊อ จางเซวียนคิด


แรงกดดันที่แผ่ลงมาจากด้านบนทำให้รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่ยังห่างไกลกับการจะทำให้เขาหยุดเคลื่อนไหว


จางเซวียนเคยพบอะไรทำนองนี้มาแล้วเมื่อครั้งอยู่ที่วิหารแห่งขงจื๊อ มันคือแรงกดดันจากท้องฟ้าที่สกัดกั้นเหล่านักรบไว้ไม่ให้บินสูงกว่านั้น


นักรบอมตะขั้นสูงสามารถบินได้สูงเป็นหมื่นเมตร แต่โขดหินสมอสวรรค์มีอักษรจารึกพิเศษที่ก่อตัวเป็นค่ายกลเพื่อสกัดกั้นเหล่านักรบที่พยายามจะวัดความสูงของมัน


พลั่ก!


ขณะที่จางเซวียนกำลังครุ่นคิดหนัก เสียงใครคนหนึ่งกระอักเลือดก็ดังขึ้นกลางอากาศ เขาหันขวับไปมอง เห็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักดาวเจ็ดดวงพ่ายแพ้ให้กับแรงกดดันและร่วงลงไป


“พวกเรายังมาไม่ถึงครึ่งทางเลย…ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยว ดูเหมือนผู้อาวุโสในสำนักของคุณจะอ่อนแรงลงทุกทีนะ” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนหัวเราะหึๆ


ส่วนผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวก็ไม่ได้ตอบโต้ข้อสังเกตของผู้อาวุโสฉิงหย่วน เขามองลงไปด้านล่างพร้อมกับย่นหน้าผาก


หลังจากร่วงลงมาได้ระยะหนึ่ง ผู้อาวุโสก็ตั้งตัวได้ เขารีบอ้าปากหอบหายใจขณะมองขึ้นไปด้านบนด้วยสีหน้าพรั่นพรึง ไม่กล้าปีนกลับขึ้นไปอีก


ด้วยศักยภาพในการบินของนักรบอมตะขั้นสูง ผู้อาวุโสไม่น่าจะร่วงลงมาจนถึงแก่ชีวิต เพียงแต่ไม่มีใครคิดว่าเขาจะไปต่อไม่ไหวทั้งๆที่ยังไปไม่ถึงครึ่งทาง


ผู้ที่มีคุณสมบัติเพียงพอจะได้เป็นผู้อาวุโสมักเป็นผู้เชี่ยวชาญของสำนัก จากประสบการณ์ที่ผ่านมา แม้ผู้อาวุโสที่อ่อนแอที่สุดก็ยังบินขึ้นไปได้สูงถึง 70 เปอร์เซ็นต์ของความสูงทั้งหมดก่อนจะร่วง


พลั่ก!


ขณะที่ทุกคนกำลังสงสัย ผู้อาวุโสอีกคนก็กระอักเลือดออกมากองใหญ่และร่วงลงจากกลางอากาศ


คราวนี้เป็นผู้อาวุโสจากหอนานาอสูร


“คุณ…” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนหน้าดำคร่ำเครียด


เขาเพิ่งเยาะเย้ยผู้อาวุโสของสำนักดาวเจ็ดดวงเรื่องความอ่อนแอ แต่แล้วผู้อาวุโสจากหอนานาอสูรของเขาก็ร่วงลงไปด้วย ดูเหมือนกรรมจะติดจรวด


“แรงกดดันจากโขดหินสมอสวรรค์หนักหน่วงกว่าที่เคย” หานเจี้ยนชิวตั้งข้อสังเกตด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวกับผู้อาวุโสฉิงหย่วนรีบมองโดยรอบ จากนั้นก็เลิกคิ้ว “คุณพูดถูก!”


ในฐานะนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ พวกเขาไม่ได้รับผลกระทบจากแรงกดดันของโขดหินสมอสวรรค์มากนัก จึงไม่ได้ใส่ใจ แต่เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าในเวลานี้มีแรงกดดันหนักหน่วงเป็น 2 เท่าของที่เคย


ภายใต้สถานการณ์ปกติ แรงกดดันจะมีมากระดับนี้ก็ต่อเมื่อปีนป่ายโขดหินสมอสวรรค์ขึ้นไปได้ที่ความสูงราว 70%


“บททดสอบของโขดหินสมอสวรรค์ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา ทำไมจู่ๆถึงมาผิดปกติเอาตอนนี้?” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนพึมพำอย่างไม่อยากเชื่อ


“จะต้องมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับการที่สะพานเบื้องบนลงมาก่อนเวลาแน่” หานเจี้ยนชิวพูดอย่างเคร่งขรึม


“ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ เรื่องจริงก็คือโขดหินสมอสวรรค์มีอันตรายมากกว่าที่เคย พวกคุณจะต้องเพ่งสมาธิให้ดีและไม่ปล่อยให้การ์ดตก มีแต่การปีนป่ายโขดหินสมอสวรรค์เท่านั้นที่จะทำให้คุณมีคุณสมบัติเพียงพอจะเข้าท้าทายสะพานเบื้องบนและเข้าถึงวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ โอกาสแบบนี้คงไม่เกิดกับคุณเป็นครั้งที่ 2” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวหันไปมองเหล่าผู้เข้าท้าทายและสั่งการอย่างเคร่งเครียด


ด้วยกฎเกณฑ์ของสะพานเบื้องบน นักรบทุกคนจะผ่านบททดสอบได้เพียงครั้งเดียวในชีวิต หากพวกเขาพลาดพลั้งที่นี่ ก็จะไม่มีวันได้เข้าถึงวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อีกเลย


“พวกเราเข้าใจ!”


รู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ทั้งกลุ่มจึงไม่กล้าทำอะไรแบบเล่นๆ ทุกคนมีสีหน้าจริงจัง จากนั้นก็ตั้งใจปีนป่ายโขดหินสมอสวรรค์ต่อไป


แต่จำนวนนักรบที่ร่วงลงไปก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่พวกเขาปีนป่ายสูงขึ้น สมาชิกของกลุ่มก็ร่วงลงไปทีละคนสองคน


เมื่อมาถึงบริเวณของความสูง 70% ก็เหลืออยู่ไม่ถึง 20 คน


ตัวแทนทั้งสามที่จะเข้าท้าทายสะพานเบื้องบนพร้อมกับจางเซวียนได้ผ่านการอบรมขัดเกลาแบบพิเศษตลอด 2-3 วันที่ผ่านมา ทำให้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกเขาเพิ่มสูงขึ้นมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนั้น ป่านนี้พวกเขาคงถอดใจไปแล้ว


จางเซวียนหันไปมองตัวแทนทั้งสามที่อยู่ด้านหลัง เห็นทุกคนเหงื่อโชก เขาตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงเอาจริง “พวกคุณยังไหวหรือเปล่า?”


“ไหว พวกเราจะผ่านไปให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ผู้อาวุโสหงอู่กัดฟันตอบ


ทั้งกลุ่มจึงรุดหน้าต่อไป


เมื่อมาถึงจุดที่ความสูง 80 เปอร์เซ็นต์ ก็เหลือแต่ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยว ผู้อาวุโสฉิงหย่วน หานเจี้ยนชิว จางเซวียน และตัวแทนทั้งสามเท่านั้น


แม้ผู้อาวุโสฉิงหย่วนกับคนอื่นๆจะยังเคลื่อนไหวได้สบายเพราะพละกำลังที่มีอยู่ แต่ผู้อาวุโสหงอู่กับตัวแทนอีก 2 คนใช้พละกำลังจนถึงขีดสุดแล้ว ร่างกายของพวกเขาสั่นสะท้านไม่หยุด แขนขาอ่อนแรงเพราะแรงกดดันมหาศาล รู้สึกเหมือนพร้อมจะร่วงจากกลางอากาศได้ทุกขณะ


“พวกนั้นไม่อาจปีนป่ายโขดหินสมอสวรรค์ได้จริงๆหรือ?” จางเซวียนครุ่นคิดพร้อมกับขมวดคิ้ว


ยังเหลือระยะทางอีกหลายพันเมตร แต่คนเหล่านี้แทบจะไม่ไหวแล้ว หากเป็นอย่างนี้ต่อไป คงไม่มีทางอดทนจนได้ไปถึงสะพานเบื้องบนแน่


ดูเหมือนเขาประเมินศักยภาพของหอเทพเจ้าต่ำไปอีกครั้ง


“พวกคุณสามคนรอที่นี่ก่อน ผมจะปีนขึ้นไปล่วงหน้าเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมแรงกดดันถึงได้หนักหน่วงแบบนี้” จางเซวียนหันไปสั่งการกับผู้เข้าท้าทายทั้งสาม


แม้เขาจะฝึกคนเหล่านั้นมากับมือ แต่ก็ดูเหมือนพวกเขายังไม่แข็งแกร่งพอจะปีนป่ายถึงยอด ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น สิ่งเดียวที่เขาพอจะช่วยเหลือได้ก็คือบรรเทาต้นตอของแรงกดดันเสียก่อน


จางเซวียนจึงเร่งความเร็วขึ้นสู่โขดหินสมอสวรรค์ แรงกดดันรอบตัวเขาหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ถึงขนาดที่บรรยากาศรอบตัวดูเข้มข้นจนน่าสะพรึง


จางเซวียนขับเคลื่อนเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าให้แผ่ซ่านออกมารอบตัว ร่างของเขาแปรสภาพเป็นดาบคมๆเล่มหนึ่ง


ฟึ่บ!


เขาฉีกกระชากบรรยากาศหนักอึ้งที่อยู่รอบตัว และด้วยการพุ่งไปอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าก็มาถึงยอดโขดหินสมอสวรรค์


บริเวณยอดโขดหินมีพื้นที่ราบซึ่งน่าจะมีรัศมีราว 100 เมตร บนนั้นไม่มีอะไรเลย ท้องฟ้าเบื้องบนเป็นสีดำสนิท ไม่มีหอเทพเจ้าให้เห็น


จางเซวียนยืนอยู่บนที่ราบนั้นและพยายามจะไขว่คว้าหาพื้นที่ที่สูงขึ้น แต่ก็พบว่ากำลังแตะเพดาน ซึ่งแทนที่จะเรียกว่าเพดาน เรียกมันว่าสุดขอบโลกน่าจะถูกต้องกว่า เพราะไม่ว่าเขาจะขับเคลื่อนพลังปราณอย่างดุเดือดแค่ไหน ก็ผ่านมันไปไม่ได้


พูดอีกอย่างก็คือเขาไม่อาจเข้าถึงหอเทพเจ้าได้ด้วยระดับวรยุทธที่มีอยู่


จางเซวียนจึงกลับมาที่ยอดโขดหินสมอสวรรค์และสำรวจพื้นที่โดยรอบ เขาพบว่าบริเวณนี้เต็มไปด้วยอักษรจารึกแบบเดียวกันกับที่อยู่ระหว่างทาง


ขอแค่เราถอดรหัสอักษรจารึกได้ แรงกดดันก็จะหายไปใช่ไหม?


แม้แต่จางเซวียนก็ไม่อาจทำความเข้าใจความหมายที่อยู่เบื้องหลังอักษรจารึกได้ทั้งหมด น่าจะเป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้โขดหินสมอสวรรค์ยังคงยืนหยัดอยู่ได้แม้จะผ่านมาเนิ่นนานหลายพันปี


มีความเป็นไปได้สูงที่แรงกดดันที่กำลังถาโถมเข้าใส่ทุกคนจะมีต้นกำเนิดมาจากอักษรจารึกที่เห็น


“ไป!”


จางเซวียนสะบัดข้อมือ เขาชักดาบถงซังออกมาและจ้วงแทงเข้าใส่อักษรจารึกนั้น


กระแสดาบฉีเกรี้ยวกราดพุ่งออกมาราวกับมังกรผงาด ล้อมรอบยอดโขดหินไว้ ก่อนในที่สุดจะดำดิ่งเข้าสู่อักษรจารึก


วิ้งงงง!


แสงเจิดจ้าวาบออกมาจากบริเวณที่ราบ ราวกับมีบางอย่างถูกปลุกให้ตื่น


เป็นอย่างที่คิดไว้เลย!


แรงกดดันในพื้นที่โดยรอบเปลี่ยนแปลงไปตามลำแสง เป็นเครื่องพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของจางเซวียน เขาจึงนำดาบระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ออกมาอีก 9 เล่ม และสร้างค่ายกลดาบไว้รอบตัว


“จัดการ!”


จางเซวียนถ่ายทอดเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าเข้าสู่ดาบทั้ง 10 เล่มก่อนจะสั่งให้พวกมันตรงเข้าเล่นงานที่ราบนั้น


แม้เขาจะไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของอักษรจารึก แต่ด้วยดวงตาหยั่งรู้ ก็ทำให้ค้นพบข้อบกพร่องในค่ายกล และข้อบกพร่องเหล่านั้นก็คือจุดที่ดาบของเขาตรงเข้าเล่นงาน


บึ้มมมม!


ลำแสงระเบิดออก แรงกดดันมหาศาลในอากาศหายวับไป


ฟิ้วววววว!


ลมหอบใหญ่พัดมาจากด้านล่าง หานเจี้ยนชิวกับคนที่เหลือฉวยโอกาสนี้รีบปีนขึ้นมาจนถึงยอดโขดหิน


ทันทีที่ทุกคนมาถึง อักษรจารึกที่ถูกทำลายก็กลับคืนสู่สภาพเดิม แรงกดดันมหาศาลเริ่มถาโถมเข้าใส่บริเวณโดยรอบอีกครั้ง


เป็นเวลาเพียงสองอึดใจเท่านั้นนับจากวินาทีที่แรงกดดันหายไปจนถึงวินาทีที่มันปรากฏขึ้นอีกรอบ ถ้าไม่ใช่เพราะทุกคนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว คงเอาตัวรอดไม่ทันเวลา


“อักษรจารึกพวกนั้นสามารถซ่อมแซมตัวเองได้?” จางเซวียนประหลาดใจ


เขาคิดว่าค่ายกลน่าจะเสียหายอย่างสิ้นเชิงหลังจากการโจมตีของเขา แต่ใครจะไปรู้ว่ามันจะซ่อมแซมตัวเองได้เร็วขนาดนี้?


สมกับเป็นประตูสู่หอเทพเจ้า มันไม่ธรรมดาเลย!


แรงกดดันที่อยู่โดยรอบหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆขณะที่พวกเขาปีนป่ายโขดหินสมอสวรรค์ แต่เมื่อถึงยอดเขา แรงกดดันนั้นก็หายไปเกือบหมด


ผู้อาวุโสหงอู่กับผู้เข้าท้าทายอีก 2 คนทรุดฮวบลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง พวกเขาต้องผลักดันพละกำลังถึงขีดสุดกว่าจะมาถึงยอดเขา


ทั้ง 3 รีบกลืนยาเม็ดลงไปเพื่อฟื้นฟูพละกำลัง


ส่วนหานเจี้ยนชิวกับคนอื่นๆมองไปรอบๆด้วยสายตาและสีหน้าซับซ้อน


เมื่อหลายปีก่อนพวกเขาก็เคยยืนอยู่ที่นี่ ทุกคนเคยเสี่ยงตายและผ่านการดวลแบบชี้เป็นชี้ตายกว่าจะไต่เต้าขึ้นมามีวรยุทธอย่างที่เป็นอยู่


“สะพานเบื้องบนกับหอเทพเจ้าอยู่ไหน?” จางเซวียนตั้งคำถาม


พื้นที่นี้ดูแห้งแล้งกันดาร ไม่มีสัญญาณของสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นสะพานเบื้องบนหรือหอเทพเจ้าเลย


“สะพานเบื้องบนอยู่เหนือพวกเรานี่แหละ เมื่อเวลานั้นมาถึง มันจะลงมาและกลายเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างหอเทพเจ้ากับโขดหินสมอสวรรค์ ผู้ที่อายุต่ำกว่า 100 ปีจะสามารถเข้าสู่สะพานเบื้องบน และท้าทายเหล่านักรบของหอเทพเจ้าที่ทำหน้าที่อารักขาเส้นทางได้” หานเจี้ยนชิวชี้นิ้วขึ้นไปขณะอธิบาย


ตอนที่ 2110 นี่คือพละกำลังของเทพเจ้า?

 


จางเซวียนเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ล้ำลึกและมืดมิด แต่ไม่มีอะไรให้เห็น


“จนกว่าสะพานเบื้องบนจะลงมา ไม่มีทางที่ใครจะเหยียบย่างเข้าสู่หอเทพเจ้าได้ นั่นก็เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่นักรบคนไหนจะฝ่าปราการเบื้องบนเข้าไป ปราการเบื้องบนคือสิ่งที่เหล่าเทพเจ้าทิ้งไว้ ต่อให้นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อย่างพวกเราก็ไม่อาจแตะต้องมัน” หานเจี้ยนชิวพูด


เพื่อพิสูจน์คำพูดของเขา เขารวบรวมกระแสดาบฉีไว้ที่ปลายนิ้วและชี้ขึ้นไป


กระบวนท่านั้นประกอบด้วยพละกำลังเต็มพิกัดและความเข้าใจอันล้ำลึกในศิลปะเพลงดาบ มันพุ่งเข้าใส่ราวกับสายฟ้าฟาด แต่เมื่อพุ่งขึ้นไปได้เพียง 10 เมตร ก็เกิดเสียงป๊อบ แล้วสลายตัวไปทันที


มันหายไปอย่างรวดเร็วและง่ายดายจนเกือบจะเหมือนไม่เคยมีอยู่


จางเซวียนเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ


ขนาดการโจมตีอย่างเต็มกำลังจากหานเจี้ยนชิวก็ยังฝ่าปราการเบื้องบนไม่ได้ หากเป็นตัวเขาเอง คงมีโอกาสน้อยลงอีก


“แม้แรงกดดันจากโขดหินสมอสวรรค์จะมากมายมหาศาล แต่ก็ยังมีนักรบมากมายในทวีปที่ถูกลืม ที่พากันเดินทางมาที่นี่ นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ส่วนใหญ่ที่ใกล้หมดอายุขัยแล้วจะมาเยือนที่นี่เพื่อหวังว่าจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวเองได้ แต่ไม่เคยมีใครทำสำเร็จ เมื่อเวลาผ่านไป ก็ไม่มีนักรบคนไหนอยากมาที่นี่อีกเลย” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวเสริม


ในเมื่อมันเป็นความพยายามที่สูญเปล่า นักรบส่วนใหญ่จึงคิดว่าใช้เวลาที่เหลืออยู่กับสมาชิกในครอบครัวน่าจะดีกว่า เพราะทุกวินาทีที่พวกเขาต้องสูญเสียอายุขัยที่เหลืออยู่ไปถือว่ามีค่ามาก


จางเซวียนเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง


แม้เขาจะมองไม่เห็นปลายอีกด้านหนึ่งของปราการเบื้องบนที่เป็นผลงานของเทพเจ้า แต่ก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่แผ่ลงมาจากเบื้องบน แรงกดดันนั้นทำให้เขาไม่มั่นใจว่าจะข้ามผ่านมันไปได้ ต่อให้สำเร็จวรยุทธเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เหมือนคนอื่นๆก็ตาม


ปราการเบื้องบนทำให้เขาเกิดความรู้สึกอับจนหนทาง เหมือนมนุษย์กระจ้อยร่อยที่ยืนอยู่ตรงหน้าเทพเจ้า แม้เขาจะใช้ทุกวิถีทาง ก็ไม่อาจเคลื่อนย้ายปราการได้


มดตัวหนึ่งไม่มีวันเขย่าต้นไม้ใหญ่ได้


นี่คือพละกำลังของเทพเจ้า? จางเซวียนครุ่นคิดอย่างระแวง


ไม่สงสัยแล้วว่าทำไมหอเทพเจ้าถึงมีอำนาจสูงส่งอย่างที่ไม่มีใครสั่นคลอนได้ ลำพังแค่ปราการนี้ก็เกินพอที่จะทำลายความมั่นใจของทุกคนแล้ว


น่าสงสัยมากว่าผู้ก่อตั้งสำนักดาบเมฆเหินและปรมาจารย์ขงผ่านบททดสอบนี้ไปได้อย่างไร


“ต้องขอบอกว่าผมประหลาดใจมากที่พวกคุณขึ้นมาได้ถึงที่นี่…”


ขณะที่ความคิดของจางเซวียนกำลังล่องลอยไป เสียงคำรามเย็นเยียบก็ดังขึ้นกลางอากาศ เมื่อหันไปมอง พวกเขาเห็นเจ้าสำนักป้อมปราการกระจกดำ, ไป่ซวนเฉิง กับเจ้าสำนักอมตะเลือนหาย, กู้จุ้ยอวิ๋นบินขึ้นมา


ชายวัยกลางคนอีกคู่หนึ่งตามพวกเขามาติดๆ


ทั้งคู่น่าจะเป็นตัวแทนของอัจฉริยะที่เข้าร่วมการทดสอบสะพานเบื้องบน


“พวกคุณต้านทานแรงกดดันไหวหรือ?” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนขมวดคิ้ว


นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ทุกคนในกลุ่มของพวกเขาไม่อาจต้านทานแรงกดดันที่ความสูงเกินกว่า 80% ได้ เป็นเพราะจางเซวียนออกเดินทางไปล่วงหน้าและระงับแรงกดดันไว้ได้ 2 อึดใจ พวกเขาจึงปีนป่ายขึ้นมาได้สำเร็จ


ในเมื่อเป็นแบบนั้น แล้วสองอัจฉริยะจากสำนักป้อมปราการกระจกดำกับสำนักอมตะเลือนหายขึ้นมาโดยง่ายดายได้อย่างไร?


ศิษย์สายตรงจาก 2 สำนักนี้เป็นผู้ทรงพลังตั้งแต่เมื่อไหร่?


“แน่นอน แรงกดดันแค่นั้นไม่ส่งผลอะไรกับอัจฉริยะของเราหรอก…”ไป่ซวนเฉิงคำรามเยาะ


ทันทีที่พูดจบ จางเซวียนก็สวนคำ “เป็นเพราะเกราะของพวกเขา”


ทุกคนหันขวับไปจ้องชายวัยกลางคนทั้งคู่ เห็นเกราะสีดำสนิทที่โดดเด่นเตะตา


มีลายเส้นประหลาดจารึกไว้บนเกราะนั้น ดูคล้ายกับอักษรจารึกที่อยู่บนโขดหินสมอสวรรค์


ก็เพราะเกราะนี้ที่ทำให้พวกเขาไม่สะทกสะท้านกับแรงกดดันที่มาจากโขดหิน


ได้ยินคำพูดของจางเซวียน ไป่ซวนเฉิงจ้องหน้าเขาอย่างตั้งอกตั้งใจก่อนจะค่อนแคะ “สมกับเป็นเจ้าสำนักจางผู้ยิ่งใหญ่”


จางเซวียนไม่ใส่ใจคำยั่วยุของไป่ซวนเฉิง เขาหันไปพิจารณาอัจฉริยะทั้งสองคนอีกครั้ง


แม้ชายวัยกลางคนทั้งคู่จะมีวรยุทธระดับเดียวกันกับผู้อาวุโสหงอู่และคนอื่นๆ แต่รังสีของพวกเขาเฉียบคมและสง่างามกว่ามาก แทบจะเหมือนกับ…


นักรบจากหอเทพเจ้า? จางเซวียนครุ่นคิดพร้อมกับขมวดคิ้ว


แน่นอนว่ายังคงมีความแตกต่างอยู่บ้าง แต่ความรู้สึกที่เขาได้รับจากสองคนนั้นแทบจะเหมือนกันเป๊ะกับเหล่านักรบจากหอเทพเจ้า


“ในเมื่อเจ้าสำนักจางมีสายตาเฉียบแหลม ไม่ทราบว่าผมจะขอรบกวนให้คุณชี้ตัวหัวขโมยที่ขโมยของล้ำค่าของผมที่ทะเลคันฉ่องน้อยได้ไหม?” ไป่ซวนเฉิงพูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ


จางเซวียนตอบไป่ซวนเฉิงอย่างสุขุม “คุณเกือบจะถูกเต่าหลังดำสังหารตอนที่ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวกับผมช่วยชีวิตคุณไว้ แต่พวกเราก็ไม่ใช่นักบุญนะ ในเมื่อพวกเราช่วยชีวิตคุณไว้ ก็ถูกต้องแล้วไม่ใช่หรือที่คุณควรจะชดเชยให้?”


ไป่ซวนเฉิงหรี่ตาด้วยความโมโห


เขาตะหงิดใจว่าจางเซวียนจะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และพูดตามตรง ก็ไม่คิดว่าทั้งคู่จะยอมรับ เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ใช่พฤติกรรมที่ดูดีนัก


แต่ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มจะยอมรับหน้าตาเฉย…


ขโมยสมบัติของผมไปแล้ว คุณยังมีหน้าพูดออกมาได้ ราวกับกำลังจะโอ้อวด…ไม่มีความอับอายเลยหรือไง?


“เจ้าสำนักจาง คุณควรจะรู้นะว่าทั้ง 6 สำนักมีความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกัน คุณขโมยของล้ำค่าและแหวนเก็บสมบัติของเจ้าสำนักไป่ นั่นคือพฤติกรรมคุกคาม คุณกำลังทำลายความกลมเกลียวของ 6 สำนักและอาจก่อให้เกิดสงครามทีเดียวนะ” กู้จุ้ยอวิ๋นพูดอย่างจริงจัง


“แล้วคุณคิดว่าพวกเราควรทำอย่างไร?” จางเซวียนย้อนถาม


“อันดับแรกสุด คุณควรคืนทุกอย่างที่นำไปจากเจ้าสำนักไป่ จากนั้นก็กล่าวขอโทษเขาเสีย” กู้จุ้ยอวิ๋นตอบ


“กล่าวขอโทษ?” จางเซวียนทวนคำก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “ผมก็ไม่มีปัญหานะ”


จากนั้นเขาก็โบกมืออย่างวางมาด


ฟึ่บ!


เต่าหลังดำปรากฏตัวตรงหน้าจางเซวียนและพุ่งเข้าใส่ไป่ซวนเฉิง


จางเซวียนกำลังคิดอยู่ว่าจะหาทางเปิดโปงเรื่องที่สำนักอมตะเลือนหายกับสำนักป้อมปราการกระจกดำสมรู้ร่วมคิดกับหอเทพเจ้าได้อย่างไร แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเปิดสงครามก่อน ก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องปิดปากเงียบ


“คุณจะทำอะไรน่ะ?” ไป่ซวนเฉิงถึงกับผงะ


เมื่อครู่นี้อีกฝ่ายยังพูดว่าจะขอโทษ ทำไมจู่ๆถึงนำเต่าหลังดำออกมา?


“อ๋อ ผมก็แค่จะรื้อฟื้นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเท่านั้นแหละ ผมจะขอโทษคุณอย่างแน่นอนถ้าคุณเอาตัวรอดได้” จางเซวียนหัวเราะหึๆ


“ถ้าผมไม่ติดกับดักของเต่าหลังดำ คุณคิดว่าด้วยประสิทธิภาพการต่อสู้ของมัน มันจะทำให้ผมบาดเจ็บได้หรือ?” ไป่ซวนเฉิงคำราม


เขาเงื้อมือขึ้น จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่เต่าหลังดำ


ถ้าไม่ใช่เพราะฝูงแมลงเม่าที่อยู่ในทะเลคันฉ่องน้อย เขาก็ไม่มีทางจนมุม


อีกอย่าง เต่าหลังดำย่อมเสียเปรียบหากต้องต่อสู้บนพื้นดิน คงน่าอับอายมากถ้าเขาเอาชนะมันในสภาพแบบนี้ไม่ได้!


ไป่ซวนเฉิงคำรามก้อง ลมหอบใหญ่พัดวู่หวิวรอบฝ่ามือของเขา


เต่าหลังดำยังไม่ได้กลับคืนร่างเดิม ตอนนี้มันจึงมีขนาดราว 2 เมตร พละกำลังของมันลดลงมากเพราะขนาดที่เล็กลง แต่ในขณะเดียวกันก็เคลื่อนไหวได้ว่องไวกว่าเดิม


“ก้าวออกไปข้างหน้า 3 ก้าวแล้วโจมตีจากทางขวา” จางเซวียนสั่งการ


ไป่ซวนเฉิงเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์มาหลายปีแล้ว ในสภาวะปกติ เป็นเรื่องยากที่เต่าหลังดำจะเอาชนะเขา แต่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อมีคำชี้แนะของจางเซวียน


เพียงไม่ถึง 1 นาที ใบหน้าของไป่ซวนเฉิงก็บวมฉึ่ง ร่างของเขาถูกกระดองเต่าขนาดใหญ่อัดน่วม ซี่โครงหักหลายแห่ง


“เจ้าสำนักจาง คุณจะเปิดศึกที่นี่ใช่ไหม?” กู้จุ้ยอวิ๋นไม่อาจทนดูอีกต่อไป


“ที่นี่ก็มีศึกอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? ผมต้องเริ่มด้วยหรือไง?” จางเซวียนย้อนด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ในเมื่อผมจะคืนของล้ำค่าให้เขา ผมคิดว่าก็ยุติธรรมดีที่ผมจะถอนการกระทำของผมที่เคยช่วยชีวิตเขากลับคืนมาด้วย ในครั้งนั้น เจ้าสำนักไป่ถูกเต่าหลังดำเล่นงานจนสลบตอนที่ผมเข้าไปช่วยชีวิตเขาไว้ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่รับรู้อะไรเลย ไม่ต้องห่วง ผมรู้แล้วว่าคราวนี้จะเข้าไปตอนไหน หรือไม่ คุณก็แค่เรียกร้องให้ผมกล่าวขอโทษเขาอีกที ถ้าเขาผ่านการทดสอบครั้งนี้ไปได้ คุณวางใจเถอะว่าผมจะคืนของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ให้สำนักป้อมปราการกระจกดำ และกล่าวขอโทษต่อหน้าป้ายหลุมฝังศพของเขา!”


คำพูดนั้นทำให้ไป่ซวนเฉิงกระอักเลือดกองใหญ่ออกมา


จะมีของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ไปเพื่ออะไรถ้าเขาตายไปแล้ว?


“คุณ…” กู้จุ้ยอวิ๋นหน้าดำคร่ำเครียด “คุณคิดบ้างไหมว่าการสังหารเจ้าสำนักป้อมปราการกระจกดำจะก่อให้เกิดอะไรตามมา?”


“คุณกำลังทำให้สำนักป้อมปราการกระจกดำเป็นศัตรูกับคุณนะ!”


“ทำให้พวกเขาเป็นศัตรูกับผม? ผมจะทำแบบนั้นไปทำไม? หลังจากไป่ซวนเฉิงตาย ผมก็จะมุ่งหน้าสู่สำนักป้อมปราการกระจกดำและรับตำแหน่งของเขา ดูเหมือนตราสัญลักษณ์เจ้าสำนักของเขาก็อยู่ในมือผมนะ และเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น ผมจะเปิดเผยคำประกาศเจตจำนงของเขาที่ส่งต่อตำแหน่งเจ้าสำนักให้ผมด้วย…” จางเซวียนหัวเราะหึๆ


“ในฐานะผู้ที่ให้ความสำคัญสูงสุดกับความสงบสุขของโลกใบนี้ ผมไว้ใจว่าเจ้าสำนักกู้คงไม่เปิดโปงผมและทำให้ทั้งโลกต้องเสี่ยงกับการเข้าสู่ภาวะวิกฤต จริงไหม?”


ตอนที่จางเซวียนนำแหวนเก็บสมบัติของไป่ซวนเฉิงออกมาเมื่ออยู่ที่ทะเลคันฉ่องน้อย ตราสัญลักษณ์ของป้อมปราการกระจกดำก็อยู่ในนั้นด้วย


ตอนแรกเขาตั้งใจจะส่งคืน แต่ถ้าไป่ซวนเฉิงสมรู้ร่วมคิดกับหอเทพเจ้าจริงๆ ทุกอย่างจะกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ตราบใดที่เขายังมีตราสัญลักษณ์เจ้าสำนักอยู่ในมือ ก็คงไม่ยากเกินไปที่จะทำให้ใครๆเข้าใจว่าไป่ซวนเฉิงเต็มใจมอบตำแหน่งให้เขา


ตอนนี้เขาเป็นผู้นำของ 4 สำนักแล้ว ซึ่งก็ไม่รังเกียจอะไรที่จะรับสำนักป้อมปราการกระจกดำไว้อีกสำนักหนึ่ง


“คุณ…”


กู้จุ้ยอวิ๋นคิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะร้ายกาจขนาดนี้ เขาหรี่ตาและก้าวเข้าไปเพื่อจะช่วยชีวิตไป่ซวนเฉิงจากเต่าหลังดำ แต่แล้วก็รู้สึกเย็นเยือกถึงกระดูกสันหลัง


เขาหันกลับไป เห็นหานเจี้ยนชิว คุ่ยเฉี่ยว และฉิงหย่วนกำลังจับจ้องเขาด้วยนัยน์ตาคมกริบ


“เจ้าสำนักกู้ นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเขา ผมไม่คิดว่าการที่คนนอกอย่างคุณเข้าไปยุ่งเกี่ยวจะเป็นเรื่องเหมาะสมนะ”


รู้ดีว่าทั้งสามจะต้องโจมตีเขาแน่หากเขาเข้าไปก้าวก่าย กู้จุ้ยอวิ๋นจึงชะงักฝีเท้า


ทุกคนล้วนเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะต้องลงเอยด้วยสภาพเดียวกับไป่ซวนเฉิงแน่หากต้องเผชิญหน้ากับทั้งสามพร้อมกัน


“จะ-เจ้าสำนักจาง ช่วยผมด้วย…ผมผิดไปแล้ว! ผะ-ผมจะไม่ขอให้คุณกล่าวขอโทษผมอีก ผมไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติพวกนั้นอีกแล้วล่ะ มันเป็นของคุณทั้งหมดเลย!”


ตอนที่ 2111 พวกเราเข้าใจ

 


“คุณอยากให้ผมช่วยชีวิตคุณ?” จางเซวียนมองไป่ซวนเฉิงด้วยสายตาที่บ่งบอกความขัดใจ


“คือผมก็เป็นแค่นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์คนหนึ่ง คงยากที่จะสู้กับอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อย่างเต่าหลังดำได้ อีกอย่าง…สู้ไปผมก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ถ้าคุณมีของล้ำค่าอื่นๆจะมอบให้ล่ะก็ บางทีผมอาจจะพิจารณาเรื่องนั้น…”


“คุณยังคิดจะปล้นผมอีกหรือ?” ไป่ซวนเฉิงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนแทบปล่อยโฮ


มันใช่หรือที่ใครสักคนจะหน้าไม่อายขนาดนี้?


เต่าหลังดำเป็นอสูรของคุณแล้ว ทั้งหมดที่คุณต้องทำก็แค่สั่งให้มันหยุด ยังมีหน้ามาเรียกร้องของตอบแทนจากผมอีก?


แถมคุณนั่นแหละที่สั่งมันให้โจมตีผมก่อน!


ถ้าผมรู้ว่าคุณจะไร้ยางอายขนาดนี้ จะไม่มีวันพยายามทวงทรัพย์สมบัติคืนเลย…


สองนาทีให้หลัง จางเซวียนมองไป่ซวนเฉิงที่กำลังร่อแร่อย่างพออกพอใจ “เจ้าสำนักไป่ ถ้าคุณอยากได้ข้าวของคืนก็บอกผมนะ ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจหรอก”


ไป่ซวนเฉิงไม่อยากเสวนากับจางเซวียนอีก


หมอนี่ฉกฉวยของล้ำค่าระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ไปจากเขาอีก 3 ชิ้น ก่อนจะส่งสัญญาณให้เต่าหลังดำหยุดโจมตี


ขืนเขากล้าทวงของล้ำค่าคืน เหตุการณ์แบบเดิมจะวนมาซ้ำรอยอีกไหม?


เขาเปิดศึกปะทะคารมครั้งนี้ด้วยการใช้คำว่า ‘ความกลมเกลียวระหว่าง 6 สํานักใหญ่’ เพื่อกดดันอีกฝ่ายให้คืนของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่ฉกฉวยไปจากเขา แต่ทุกอย่างกลับลงเอยอย่างเลวร้ายเกินกว่าจะจินตนาการ!


การต้องสูญเสียของล้ำค่าระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ถึง 3 ชิ้นยังไม่เท่าไหร่ ที่แย่กว่าคือเขาเกือบต้องเอาชีวิตมาทิ้ง


“เจ้าสำนักไป่…”


หลังจากจางเซวียนเก็บเต่าหลังดำแล้ว กู้จุ้ยอวิ๋นรีบเข้ามาพยุงไป่ซวนเฉิงให้ลุกขึ้น


“ผมไม่เป็นไร…” ไป่ซวนเฉิงตอบขณะกลืนยาเข้าไปเม็ดหนึ่งเพื่อเยียวยาอาการบาดเจ็บ เขากัดฟันกรอดขณะส่งโทรจิตหากู้จุ้ยอวิ๋น “ปล่อยให้พวกนั้นย่ามใจไปก่อน สะพานเบื้องบนเปิดเมื่อไหร่ล่ะก็ เราจะดำเนินการตามแผน สุดท้าย พวกนั้นจะต้องชดใช้การกระทำของตัวเอง!”


กู้จุ้ยอวิ๋นพยักหน้าด้วยแววตาโหดเหี้ยม


แม้ทั้งคู่แทบไม่เคลื่อนไหว แต่สายตาคมกริบของจางเซวียนก็จับจ้องปฏิกิริยาของพวกเขาขณะแอบหัวเราะหึๆ


จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมหอนิรันดร์ถึงอยากขอยืมของล้ำค่าสำหรับการอารักขาของ 6 สำนักใหญ่ แต่สิ่งหนึ่งที่เชื่อได้ก็คือไป่ซวนเฉิงกับกู้จุ้ยอวิ๋นไม่ได้อยู่ข้างเดียวกับพวกเขาอย่างแน่นอน


มีโอกาสที่ทั้งคู่อาจเป็นศัตรูกันเองด้วยซ้ำ


ถึงจางเซวียนจะข่มขู่ไว้มาก แต่เขาก็รู้ดีว่าหากสังหารผู้นำคนหนึ่งคนใดของ 6 สำนักใหญ่โดยปราศจากเหตุผลอันควร จะต้องเกิดเรื่องวุ่นวายตามมาแน่ ถ้าผิดพลาดขึ้นมา อาจเกิดได้แม้แต่สงคราม และนั่นไม่ใช่สิ่งที่จางเซวียนอยากเห็น


ด้วยเหตุนี้ เจตนาของเขาจึงเป็นแค่การสั่งสอนบทเรียนให้ไป่ซวนเฉิงและใช้โอกาสนี้บีบให้ไป่ซวนเฉิงเปิดเผยไม้ตายที่มี


โชคดีที่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่มีของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ชิ้นอื่นนอกจากโซ่โลหะ


บึ้มมมมม!


ทันใดนั้นก็เกิดเสียงระเบิดกึกก้องขึ้นกลางอากาศ มีพายุใหญ่


ทุกคนเงยหน้ามอง เห็นสะพานขนาดมหึมาค่อยๆเลื่อนลงมาจากท้องฟ้าสีดำสนิท


“สะพานเบื้องบนกำลังลงมาแล้ว…” หานเจี้ยนชิวพึมพำ


สะพานนี้ทอดตัวลงมาช้าๆจากความว่างเปล่าเบื้องบนที่ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด มันทำจากวัสดุที่มีลักษณะคล้ายหินอ่อน เปล่งประกายเย็นเยือกออกมา แม้ยังอยู่ระหว่างการเคลื่อนไหว ทุกคนก็ยังรู้สึกได้ถึงความทรงพลังของมัน


ฝูงชนถูกบีบให้ถอยไปที่ริมโขดหินสมอสวรรค์


สะพานเบื้องบนทอดตัวลงมาที่โขดหินสมอสวรรค์และหยุดนิ่ง ราวกับเคยเกิดกระบวนการนี้ขึ้นแล้วหลายครั้ง อักษรจารึกบนโขดหินสมอสวรรค์กระพริบครู่หนึ่งก่อนจะหยุดนิ่ง


“สะพานเบื้องบนจะคงอยู่แค่วันเดียว เจ้าสำนักจาง…คุณควรรีบขึ้นไปนะ!” หานเจี้ยนชิวเร่ง


“ขึ้นไป?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


แม้มันจะถูกเรียกว่า ‘สะพาน’ แต่ก็ดูเหมือนจะถูกต้องกว่าหากจะอธิบายว่ามันคือเสาหินที่ทอดยาวลงมาจากท้องฟ้า ยากที่จะจินตนาการได้ว่าจะเดินขึ้นไปอย่างไร


“คุณลองก้าวขึ้นไปก่อน แล้วจะรู้เอง” หานเจี้ยนชิวตอบขณะรุนหลังจางเซวียน


จางเซวียนพยักหน้า จากนั้นก็เรียกผู้อาวุโสหงอู่กับคนอื่นๆให้ตามไปก่อนจะออกเดินสู่สะพานเบื้องบน สองอัจฉริยะจากสำนักอมตะเลือนหายและสำนักป้อมปราการกระจกดำรีบตามไปติดๆ


จางเซวียนสูดหายใจลึก เขายกเท้าขึ้นและก้าวขึ้นไปบนสะพาน


ร่างของเขาซวนเซเล็กน้อยขณะโลกรอบตัวเปลี่ยนไป ยังไม่ทันจะรู้ตัว สะพานก็อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาแล้ว เขากำลังยืนอยู่ด้านบน


เมื่อหันไปมองรอบๆ จางเซวียนพบว่าโขดหินสมอสวรรค์ขยายตัวออกไปด้านข้าง ตั้งฉากกับจุดที่เขายืนอยู่ ดูเหมือนหานเจี้ยนชิวกับคนอื่นๆกำลัง ‘ห้อยโหน’ อยู่บนโขดหินสมอสวรรค์


เป็นภาพที่แปลกประหลาดพิลึกพิลั่นสิ้นดี


ศูนย์กลางของแรงโน้มถ่วงเปลี่ยนไปหรือ? จางเซวียนชะงัก


ก็เหมือนกับโลกใบเก่าของเขาที่ไม่ว่าจะยืนอยู่ที่ไหนก็จะรู้สึกว่าตัวเองยืนตรง แม้แรงโน้มถ่วงจะดึงดูดทุกคนเข้าสู่ใจกลางโลก


การที่เขายังคงยืนอยู่บนสะพานเบื้องบนได้อย่างมั่นคงแม้มันจะตั้งฉากกับพื้นดินของทวีปที่ถูกลืมบ่งบอกว่าศูนย์กลางของแรงโน้มถ่วงเปลี่ยนไป ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีความเป็นไปได้สูงว่าพวกเขาก้าวเข้าสู่อีกมิติหนึ่งแล้ว ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบจากแรงโน้มถ่วงของทวีปที่ถูกลืม


คนอื่นๆที่ก้าวเข้าสู่สะพานเบื้องบนต่างประหลาดใจกับประสบการณ์แปลกใหม่ที่ได้รับ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะเหลียวมองรอบตัวอย่างสงสัย


แต่รู้ดีว่าเวลาไม่คอยท่า ทุกคนจึงรีบออกเดิน


ไม่ช้าพวกเขาก็ถูกความมืดมิดของท้องฟ้ากลืนกิน ดูเหมือนทุกอย่างยาวไกลไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้คือเดินหน้าต่อไป


ความว่างเปล่าที่ไม่มีอะไรอยู่เลย…พื้นที่ที่เงียบงันจนเหมือนดินแดนแห่งความตาย…มีก็แต่เสียงหายใจอย่างระมัดระวังของคนทั้งหก


พวกเขารู้ดีว่านักรบจากหอเทพเจ้าอาจปรากฏตัวขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ ร่างกายของทุกคนแข็งทื่อ ไม่กล้าปล่อยตัวตามสบายแม้แต่ชั่วขณะเดียว


ฟึ่บ!


ทันใดนั้น ท่ามกลางความมืดมิด ชายสวมชุดเกราะเต็มยศ 5 คนก็เดินมาจากฝั่งตรงข้ามของสะพานเบื้องบน


พวกเขาล้วนเป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์


“ด้วยการเอาชนะนักรบเหล่านี้เท่านั้น พวกเราถึงจะได้เดินหน้าและมีโอกาสเข้าถึงวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์” ผู้อาวุโสหงอู่พึมพำขณะกำหมัดแน่นอย่างมุ่งมั่น


ในเวลาเดียวกัน คนอื่นๆที่อยู่รอบตัวเขาก็หรี่ตาขณะประเมินนักรบทั้ง 5 อย่างถี่ถ้วน


พวกเขารู้กฎเกณฑ์ของสะพานเบื้องบนดี ผู้เข้าท้าทาย 6 คนต่อสู้กับนักรบ 5 คน


โดยปกติ ผู้เข้าท้าทาย 5 คนจะตรงเข้าเล่นงานนักรบทั้ง 5 โดยเปิดโอกาสให้ผู้เข้าท้าทายคนสุดท้ายล่วงหน้าออกไป


“เจ้าสำนักจาง พวกเราจะรั้งพวกเขาไว้ เปิดโอกาสให้คุณผ่านเข้าไปได้” ผู้อาวุโสหงอู่พูดขณะรวบรวมพลังปราณ


“เจ้าสำนักจาง พวกเราขอรบกวนคุณด้วย” อีก 2 คนพยักหน้า


ตลอด 2-3 วันที่ผ่านมา พวกเขายอมรับในตัวชายผู้นี้ ทุกคนเชื่อว่าชายหนุ่มคือผู้ที่จะสามารถนำพาทั้ง 4 สำนักไปสู่ความรุ่งโรจน์สูงสุด


“อยากทำอะไรก็ทำเถอะ พวกเราไปก่อนนะ!”


ขณะที่พวกเขาสนทนากัน สองอัจฉริยะจากสำนักป้อมปราการกระจกดำและสำนักอมตะเลือนหายก็พุ่งปราดถึงตัวนักรบทั้ง 5 จากหอเทพเจ้าในชั่วพริบตา


นักรบ 2 คนก้าวออกมาเผชิญหน้ากับ 2 อัจฉริยะ ขณะที่อีก 3 คนยังคงยืนนิ่ง รอให้จางเซวียนกับคนอื่นๆเข้ามา


พลั่ก! พลั่ก!


มีความแตกต่างที่เด่นชัดระหว่างพละกำลังของสองอัจฉริยะกับสองนักรบจากหอเทพเจ้า แต่สองอัจฉริยะก็ยืนหยัดต้านทานได้ ราวกับพวกเขารู้ล่วงหน้าว่าสองนักรบจะทำอะไร จึงสามารถยับยั้งอีกฝ่าย


ภายใน 3 กระบวนท่า พวกเขาก็ผลักดันสองนักรบได้สำเร็จ ทั้งคู่ถอยกรูดไปหลายก้าว


ฟึ่บ!


เมื่อมีโอกาส, สองอัจฉริยะรีบฝ่าการคุ้มกันและบุกเข้าไป


นักรบสองคนที่ต่อสู้กับพวกเขากำลังจะไล่ตามทั้งคู่ไป ก็พอดีกับที่อัจฉริยะคนหนึ่งพูดขึ้น “ยังเหลือพวกเราอีกสี่คนอยู่ตรงนั้น ถ้าคุณไล่ตามเราล่ะก็ จะเป็นการเปิดโอกาสให้พวกนั้นรอดไปได้นะ”


เมื่อได้ยินคำนั้น นักรบทั้งสองลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลับเข้าประจำตำแหน่งเดิม รอให้จางเซวียนกับคนอื่นๆเคลื่อนไหว


“เจ้าสองคนนั่น…”


นึกไม่ถึงว่าจะเจอสถานการณ์แบบนี้ ผู้อาวุโสหงอู่กับคนอื่นๆหน้าดำคร่ำเครียด


สถานการณ์กำลังพลิกผันอย่างเลวร้ายที่สุด จากเดิมที่ผู้เข้าท้าทาย 6 ปะทะกับนักรบ 5, กลับกลายเป็นผู้เข้าท้าทาย 4 ต้องปะทะกับนักรบ 5 แทน


ถ้าเขารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ คงจะพุ่งเข้าไปพร้อมสองคนนั้นแล้ว


“เราจะเสียเปรียบกว่านี้ถ้าเดินหน้าพร้อมกับพวกเขา พวกนั้นรู้ข้อบกพร่องของนักรบทั้ง 5 ดี จึงอาจหาวิธีให้นักรบพวกนั้นหันมาเล่นงานเราขณะกำลังชุลมุนก็ได้” จางเซวียนตั้งข้อสังเกต


ถ้าสองอัจฉริยะนั้นไว้วางใจได้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ก็เห็นชัดแล้วว่าไม่ได้ คงอันตรายมากหากคิดจะพึ่งพาใครสักคนที่พร้อมหักหลังคุณตลอดเวลา!


“เจ้าสำนักจาง แล้วเราควรทำอย่างไร?” อัจฉริยะจากหอนานาอสูรถามจางเซวียนอย่างกระวนกระวาย


“ในเมื่อพวกนั้นบุกเข้าไปได้ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเราจะทำไม่สำเร็จ วางใจเถอะ สู้ให้สุดความสามารถของพวกคุณก็แล้วกัน นักรบจากหอเทพเจ้าไม่ได้น่าสะพรึงอย่างที่พวกคุณคิดหรอก” จางเซวียนตอบพร้อมกับหัวเราะหึๆ


แน่นอนว่าตัวเขาเล่นงานนักรบทั้ง 5 ได้สบาย แต่ไม่คิดจะทำแบบนั้น


จางเซวียนรู้ดีว่ามิติเบื้องบนเป็นแค่จุดแวะพักชั่วคราวของเขา เมื่อไรก็ตามที่เขามีโอกาสเข้าสู่โลกของเทพเจ้า, คือสรวงสวรรค์ ก็จะคว้าโอกาสนั้นไว้ทันที


นั่นหมายความว่าเขาจะต้องสละทุกตำแหน่งที่มีอยู่ในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งก็ตั้งใจจะทำทุกอย่างให้เรียบร้อย น่าจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาทำให้สำนักเหล่านี้ได้ในฐานะ ‘ผู้นำชั่วคราว’


ในการจะได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำของแต่ละสำนัก ตัวเลือกทุกคนจะต้องมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมในตัวเอง หากพวกเขาหวาดกลัวเมื่อต้องเผชิญหน้ากับนักรบจากหอเทพเจ้า แล้วจะดูแลและนำพาความรุ่งเรืองมาสู่สำนักได้อย่างไร?


สิ่งนี้ไม่ได้เป็นแค่บททดสอบพละกำลัง เพราะหากพวกเขาก้าวข้ามความท้าทายนี้ได้ ก็จะมีความมั่นใจและได้รับความเชื่อถือจากใครๆให้ขึ้นเป็นผู้นำ


“พวกเราเข้าใจ!”


ผู้อาวุโสหงอู่พยักหน้าก่อนจะพุ่งเข้าใส่นักรบคนหนึ่ง


กระแสลมเกรี้ยวกราดพัดวู่หวิวโดยรอบ ผู้อาวุโสหงอู่สำแดงเทคนิคการต่อสู้ของเขาอย่างสุดกำลัง แล้วก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าตัวเขาถือไพ่เหนือกว่านักรบของหอเทพเจ้า


“ฮะ…” ผู้เข้าท้าทายอีก 2 คนผงะเมื่อเห็นภาพนั้น


เทคนิคการต่อสู้ที่ผู้อาวุโสหงอู่กำลังสำแดงออกมาคือเทคนิคที่จางเซวียนเคยถ่ายทอดให้พวกเขา ถ้าผู้อาวุโสหงอู่ยืนหยัดต้านทานนักรบจากหอเทพเจ้าได้ พวกเขาก็ต้องทำได้เหมือนกัน!


เมื่อเกิดความคิดนั้น ทั้งคู่พุ่งออกไป


ตอนที่ 2022 เขาฝ่าด่านวรยุทธได้แล้วหรือ?

ในตอนแรก การเคลื่อนไหวของพวกเขายังคงงุ่มง่ามเพราะไม่มีเวลาทดสอบทักษะที่ได้เรียนรู้ใหม่ แต่เมื่อการต่อสู้ดำเนินไป กระบวนท่าของพวกเขาก็ลื่นไหลขึ้นเรื่อยๆ


ถึงเจ้าสำนักจางจะไม่เคยบอกข้อบกพร่องของนักรบจากหอเทพเจ้า แต่เทคนิคการต่อสู้ที่เขาถ่ายทอดให้พวกเราก็ดูเหมือนจะกดข่มกระบวนท่าของอีกฝ่ายได้อย่างแม่นยำ…


ตลอดสองสามวันที่ผ่านมา จางเซวียนถ่ายทอดเทคนิคการต่อสู้ให้พวกเขาเพียงไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้น อีกฝ่ายบอกพวกเขาให้มุ่งเน้นการสะสมพลังปราณแทนที่จะมัวกังวลว่าจะรับมือกับนักรบจากหอเทพเจ้าอย่างไร


ตอนนั้นพวกเขายังไม่เข้าใจถ่องแท้ แต่ในที่สุดก็เข้าใจเหตุผลของการกระทำนั้น


ในชั่วพริบตา นักรบจากหอเทพเจ้าที่ดูจะไร้เทียมทานก็ไม่น่าสะพรึงอย่างที่เคยเป็นอีกต่อไป


ใช่…พวกเราก้าวหน้าขึ้นมากในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วัน…


ทั้งสามพลันถึงบางอ้อ


ถ้าเป็นเมื่อก่อน นักรบจากหอเทพเจ้าคงเล่นงานพวกเขาจนราบคาบได้ภายใน 3 กระบวนท่า การที่พวกเขายืนหยัดต้านทานคนเหล่านั้นและถึงกับกดข่มกระบวนท่าของอีกฝ่ายได้ด้วยเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมาย


พวกเขาตั้งใจฝึกฝนวรยุทธจนไม่รู้ว่ามันพัฒนาขึ้นมากแค่ไหน แต่เมื่อได้เห็นพลังปราณของตัวเองที่ถูกขัดเกลา การตัดสินใจที่แม่นยำในการต่อสู้ รวมถึงปฏิกิริยาตอบสนองอันรวดเร็ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะยังคงไม่รู้ไม่เห็น!


ตอนนี้พวกเขาไม่ใช่คนเดิมแล้ว


ต้องขอบคุณเจ้าสำนักจาง…ทั้งสามครุ่นคิด


การเปลี่ยนแปลงแบบนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจางเซวียนต้องใช้ความคิดไม่น้อยเพื่อผลักดันพวกเขาให้ก้าวหน้า


ยิ่งไปกว่านั้น การที่พวกเขาต่อสู้กับนักรบจากหอเทพเจ้าได้อย่างสมน้ำสมเนื้อก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่าจางเซวียนคงเล่นงานพวกนั้นได้ไม่ยากเช่นกัน


ทุกคนรู้ดีว่าจางเซวียนสามารถผ่านการทดสอบได้อย่างง่ายดาย แต่ก็ยังสละเวลามาทุ่มเทฝึกฝนพวกเขา เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายทำเพื่อความก้าวหน้าของพวกเขาเอง


มีแต่ประสบการณ์ของการต่อสู้กับนักรบจากหอเทพเจ้าเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขาพัฒนาไปเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้


“เล่นงานพวกนั้นพร้อมๆกันเถอะ!”


เมื่อรู้สึกถึงความมั่นใจเต็มเปี่ยม ผู้เข้าท้าทายทั้งสามสำแดงกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองออกมาพร้อมกัน


ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ!


เกิดเสียงตุ้บสามครั้ง สามนักรบจากหอเทพเจ้าถูกผลักดันให้ถอยกลับไป


หลายนาทีต่อมา สามนักรบจากหอเทพเจ้าก็ล้มลงไปกองกับพื้น หมดลมหายใจเฮือกสุดท้าย


“เฮ่อออออ!”


ผู้เข้าท้าทายทั้งสามถอนหายใจอย่างโล่งอกหลังจากปฏิบัติภารกิจที่ถูกคาดหวังไว้จนสำเร็จ ในตอนนั้น ทุกคนพลันนึกได้ว่ายังเหลือนักรบอีกสองคน จึงรีบหันไปมอง


แต่สิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือนักรบทั้งสองนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น จางเซวียนยืนยิ้มอ่อนอยู่ใกล้ๆ กำลังจ้องมองคนเหล่านั้น


ถึงจางเซวียนจะปล่อยการโจมตีช้ากว่าพวกเขา แต่ก็เล่นงานอีกฝ่ายได้เร็วกว่า ที่น่าสะพรึงก็คือทุกคนไม่เห็นเลยด้วยซ้ำว่าเขาปล่อยการโจมตีอย่างไร!


คนที่รู้สึกแบบนั้นไม่ได้มีแต่ผู้เข้าท้าทายทั้งสาม ก่อนหมดลมหายใจเฮือกสุดท้าย สองนักรบจากหอเทพเจ้าต่างก็พรั่นพรึง


พวกเขาไม่เห็นด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นตอนที่ลงไปกองกับพื้น ทำได้แค่เฝ้ารอความตาย!


“ไปกันเถอะ!”


หลังจากเล่นงานนักรบทั้ง 5 จากหอเทพเจ้าแล้ว ทั้งกลุ่มก็รุดหน้าต่อไป


ไม่มีวี่แววของสองอัจฉริยะที่ล่วงหน้าไปก่อน สะพานเบื้องบนดูเหมือนจะทอดยาวทะลุผ่านความมืดมนอนธการอันไร้ขอบเขต ยาวไกลจนสุดขอบฟ้า


พวกเขาเดินไปตามสะพานครู่หนึ่ง ก่อนในที่สุดจะเกิดการเปลี่ยนแปลงตรงหน้า


แท่นรูปวงกลมที่มีลักษณะเหมือนศาลาริมทางปรากฏขึ้นบริเวณด้านข้างสะพานเบื้องบน


อัจฉริยะจากสำนักป้อมปราการกระจกดำนั่งอยู่ที่ใจกลางแท่นนั้น


มีรังสีพิเศษแผ่ซ่านออกจากแท่น รูขุมขนของเขาเปิดกว้างขณะซึมซับรังสีนั้นอย่างดุเดือด ทำให้ระดับวรยุทธเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนเขาใกล้จะฝ่าด่านวรยุทธเต็มที


“เขากำลังจะฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นกึ่งสรวงสวรรค์!” ผู้อาวุโสหงอู่ร้องออกมา


ตามที่เหล่าบรรพบุรุษบันทึกไว้ หลังจากเอาชนะ 5 นักรบจากหอเทพเจ้าได้แล้ว จะมีสถานที่หลายแห่งในบริเวณของสะพานเบื้องบนที่เหล่าผู้เข้าท้าทายสามารถใช้ฝ่าด่านวรยุทธ ขอแค่ผู้นั้นสำเร็จวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ โอกาสของการจะเข้าถึงวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ก็มีสูงมาก


แท่นรูปวงกลมนี้ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในสถานที่เหล่านั้น


“ในเมื่อที่นี่มีคนจับจองแล้ว พวกเราก็เดินต่อไปดีกว่า ดูว่ามีแท่นรูปวงกลมแท่นอื่นอีกไหม” จางเซวียนพูดพร้อมกับโบกมือ


เขาไม่ค่อยประทับใจอัจฉริยะสองคนนี้ และไม่คิดว่าจะมีเหตุผลอะไรที่ต้องปิดบังความรู้สึกนั้น


ในเมื่อเหล่าบรรพบุรุษของ 6 สำนักสามารถฝ่าด่านวรยุทธที่สะพานเบื้องบนได้ ก็ควรจะมีแท่นรูปวงกลมลักษณะแบบเดียวกันอยู่โดยรอบ


เพราะไม่อย่างนั้น อัจฉริยะจากสำนักอมตะเลือนหายก็คงอยู่ที่นี่แล้ว


ทั้งกลุ่มพยักหน้าและกำลังจะรุดหน้าต่อไป ก็พอดีกับที่ได้ยินเสียงคำรามทุ้มลึกดังขึ้นด้านหลัง กระแสพลังปราณระเบิดออกจากร่างของอัจฉริยะที่อยู่บนแท่น พุ่งขึ้นสู่ความว่างเปล่าด้านบน


บึ้มมมมม!


“เขาฝ่าด่านวรยุทธได้แล้วหรือ?”


ทุกคนตกตะลึงขณะหันขวับไปมอง เห็นร่างของชายวัยกลางคนผู้นั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง พลังงานจากสวรรค์ห่อหุ้มร่างของเขาไว้ราวกับมีมังกรร้อยรัด เขาลอยตัวขึ้นเหนือแท่น ดูจะเป็นอิสระจากแรงโน้มถ่วงที่ฉุดรั้งร่างของเขาอยู่


ฟึ่บ!


เมื่อซึมซับพลังงานทั้งหมดเข้าสู่ร่างแล้ว ในที่สุดชายวัยกลางคนก็ลืมตา


แสงเจิดจ้าสว่างวาบออกจากดวงตาของเขา


ชายวัยกลางคนเหยียดริมฝีปากเมื่อรู้สึกได้ถึงพลังงานที่พลุ่งพล่านอยู่ในร่างกาย เขาหันมามองจางเซวียนกับคนอื่นๆ นัยน์ตาฉายแววของความประหลาดใจเล็กน้อย


แต่เขาก็รีบลุกขึ้นยืน “การที่พวกคุณมาได้ไกลขนาดนี้แปลว่าพวกคุณเอาชนะเหล่านักรบจากหอเทพเจ้าได้แล้ว แต่โชคดีของพวกคุณน่ะจบลงเท่านี้แหละ ไม่มีทางไปได้ไกลกว่านี้หรอก…”


ฟึ่บ!


พริบตาต่อมา เขาก็มาปรากฏตัวตรงหน้าคนทั้งสี่


เห็นภาพนั้น จางเซวียนขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ


“คงจะดีกว่าถ้าพวกคุณตายด้วยน้ำมือของเหล่านักรบ ไม่มีประโยชน์หรอกที่เราทุกคนจะสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ด้วยกัน เพราะเราก็จะกลับไปเสมอกันเหมือนเดิม” ชายวัยกลางคนคำราม


เหตุผลที่พวกเขาร่วมมือกับหอนิรันดร์โดยไม่ลังเลก็เพราะมั่นใจว่าสองสำนักของพวกเขาจะมีจำนวนนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์มากขึ้น ทำให้มีสถานภาพสูงกว่าเดิมในกลุ่มของ 6 สำนักใหญ่


แล้วถ้าคนพวกนี้ประสบความสำเร็จกันหมด ความพยายามของพวกเขามิสูญเปล่าหรือ?


“คือคุณคิดจะฆ่าพวกเราตรงนี้ใช่ไหม?” จางเซวียนถามอย่างไม่ยี่หระ


เขารู้แล้วว่าสองสำนักนี้เล่นไม่ซื่อ แต่ไม่คิดว่าจะเกินเลยขนาดนี้


ชายวัยกลางคนคำรามเยาะ “ผู้บาดเจ็บล้มตายน่ะเป็นเรื่องธรรมดาของสะพานเบื้องบน โลกจะรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นจากปากของผู้รอดชีวิตเท่านั้น”


ด้วยจำนวนผู้เสียชีวิตที่มีมากมายเพราะสะพานเบื้องบน คงไม่มีใครตำหนิเขาแน่หากจางเซวียนกับคนอื่นๆเสียชีวิตกันหมด และต่อให้หานเจี้ยนชิวหรือใครต่อใครสงสัย ก็ทำอะไรไม่ได้หากไม่มีหลักฐานแน่นหนา เว้นเสียแต่พวกเขาจะอยากเปิดสงคราม


เห็นความมั่นใจของอีกฝ่าย จางเซวียนอดหัวเราะไม่ได้ “อะไรทำให้คุณแน่ใจว่าจะสามารถเล่นงานพวกเรา?”


“ผมรู้ว่าคุณทำให้เต่าหลังดำยอมจำนนได้ แต่สะพานเบื้องบนคือสิ่งที่ถูกสร้างโดยผู้ที่เหนือชั้นกว่าความคาดหมายของพวกเรา คุณคิดว่าคุณจะเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ของสะพานเบื้องบนได้ง่ายๆหรือ?” ชายวัยกลางคนตอบพร้อมกับยิ้มเยือกเย็น


“ถ้าสะพานเบื้องบนมีช่องโหว่ใดๆล่ะก็ บรรพบุรุษของพวกเราคงพบมันไปนานแล้ว!”


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนพยายามเพ่งสมาธิไปที่กระสอบอสูรของเขา แต่ก็พบว่ามันถูกปิดกั้นไว้ด้วยพลังลึกลับบางอย่าง เขาไม่อาจนำเต่าหลังดำกับอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ตัวอื่นออกมาได้


แต่สำหรับอสูรระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์นั้นไม่มีปัญหา


เพียงแต่สะพานเบื้องบนเป็นพื้นที่แคบ และเหล่าอสูรที่เขามีก็ล้วนแต่รูปร่างใหญ่โต หากเขาเรียกมันออกมาก็มีแต่จะทำให้เคลื่อนไหวลำบาก


ดูเหมือนเทพเจ้าจะใคร่ครวญดีแล้วก่อนสร้างหอนานาอสูร พวกเขาไม่อาจปล่อยให้ใครทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของบททดสอบนี้


“พวกคุณเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าทำไมผมถึงสามารถทำให้เต่าหลังดำยอมจำนน? ผมนึกไม่ออกเลยว่าเด็กใหม่ขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อย่างคุณคิดได้อย่างไรว่าจะฆ่าผมได้” จางเซวียนส่ายหน้าและถอนหายใจเฮือกใหญ่


เขาอาจใช้พละกำลังของอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ทั้ง 4 ไม่ได้ แต่ด้วยวรยุทธของเขาตอนนี้ก็ถือว่าเกินพอที่จะต่อสู้กับนักรบที่เพิ่งเหยียบย่างเข้าสู่วรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์


“แล้วถ้าผมร่วมวงด้วยคนล่ะ?”


ในตอนนั้น เสียงหนึ่งก็แทรกเข้ามา


อัจฉริยะจากสำนักอมตะเลือนหายปรากฏตัวขึ้นอีกด้านหนึ่ง ขวางทั้งกลุ่มไว้


ก็เหมือนกับอัจฉริยะจากสำนักป้อมปราการกระจกดำ เขาสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์แล้ว เมื่อทั้งคู่แผ่รังสีออกมาพร้อมกัน ก็สร้างความกดดันหนักหน่วงให้ผู้อาวุโสหงอู่กับพรรคพวก ทั้งสามหน้าถอดสี


จางเซวียนอาจเอาชนะนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เพียงคนเดียวได้ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ถึงสองคนพร้อมกัน…


โอกาสชนะก็ริบหรี่เต็มที!


ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งคู่ยังเป็นอัจฉริยะระดับหัวกะทิของทวีปที่ถูกลืมด้วย ต่อให้พวกเขาเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธมาหมาดๆ แต่ก็ไม่อาจสบประมาทพละกำลังนั้นได้


“คุณไม่กลัวว่าทวีปที่ถูกลืมจะเกิดความวุ่นวายหรือถ้าเล่นงานพวกเรา?” จางเซวียนถามอย่างสุขุม


“ไม่ต้องห่วง หลังจากคุณตาย สำนักป้อมปราการกระจกดำและสำนักอมตะเลือนหายของเราจะค่อยๆครอบงำสำนักของคุณ สถานที่ที่เคยมีชื่อว่าตำหนักคว้าดาว สำนักดาบเมฆเหิน หอนานาอสูร และสำนักดาวเจ็ดดวงจะกลายเป็นเพียงเศษซากของอดีต” ชายวัยกลางคนจากสำนักป้อมปราการกระจกดำคำรามขณะพุ่งเข้าใส่


เขาปรากฏตัวตรงหน้าจางเซวียนในชั่วพริบตาและปล่อยพลังจากฝ่ามือ


พละกำลังของชายวัยกลางคนหนักหน่วงราวกับขุนเขา เรี่ยวแรงของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์หมาดๆพลุ่งพล่านราวกับกระแสน้ำเชี่ยว ผู้อาวุโสหงอู่กับคนอื่นๆอยากเข้าไปช่วย แต่รู้สึกเหมือนมีแรงกดดันในอากาศตรึงร่างของพวกเขาไว้ ก้าวขาไม่ออกแม้สักก้าว


“นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เป็นแบบนี้เองหรือ?” ผู้อาวุโสหงอู่ใจคอไม่ดี


เขาเคยพบผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวหลายครั้ง แต่ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายสำแดงพละกำลังที่แท้จริง จึงไม่รู้ว่านักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ทรงพลังแค่ไหน เพิ่งตอนนี้เองที่เข้าใจกระจ่างว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์จะเอาชนะนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้ ต่อให้เก่งกาจแค่ไหนก็ตาม


นี่คือเหตุผลที่ทำให้การปรากฏตัวของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์สักคนในแต่ละสำนักเป็นเรื่องสำคัญมาก


ตอนที่ 2023 พวกเขาจะไม่ถูกปิดกั้นอีกต่อไป…

หากต้องเผชิญหน้ากันตรงๆ ต่อให้พวกเขาทั้งสามผนึกกำลังกันก็ไม่มีทางรับมือกับอีกฝ่ายได้


“เจ้าสำนักจาง…”


ผู้อาวุโสหงอู่หันไปมองจางเซวียนอย่างร้อนใจ เกรงว่าผู้เป็นความหวังของ 4 สำนักใหญ่จะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่ แต่สิ่งที่เห็นกลับกลายเป็นภาพที่เขาไม่มีวันลืม


ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าชักดาบเล่มหนึ่งออกมา จากนั้นก็แทงพรวดเข้าที่ฝ่ามือของอีกฝ่ายโดยไม่ลังเล


ฉึก! ฉึก!


ด้วยการสำแดง 2 กระบวนท่าติดต่อกัน อัจฉริยะของสำนักป้อมปราการกระจกดำก็หมดสภาพ นัยน์ตาของเขายังเหลือกลานแม้ช่วงเวลาของลมหายใจเฮือกสุดท้าย ราวกับไม่อยากเชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นจริง


“การมีชีวิตอยู่เป็นสิ่งสวยงามไม่ใช่หรือ? ผมล่ะไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคุณดิ้นรนหาที่ตายเหลือเกิน…” จางเซวียนส่ายหน้าและถอนใจ


ตัวเขาเป็นแค่นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ แต่ประสิทธิภาพการต่อสู้นั้นเทียบชั้นได้กับนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ส่วนใหญ่


เขาอาจต้องใช้เวลามากกว่านี้หากต้องรับมือกับนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์จากหอเทพเจ้า แต่สำหรับมือใหม่ที่อยู่ตรงหน้า ทุกอย่างง่ายดายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก!


“คุณ…”


อัจฉริยะจากสำนักอมตะเลือนหายไม่คิดไม่ฝันว่าในชีวิตจะได้เห็นภาพแบบนี้ เขาหวาดผวาอย่างหนัก จึงหันหลังกลับและบินหนี


เขารู้ดีว่าตัวเองไม่ได้แข็งแกร่งกว่าสหายของเขามากนัก และการที่จางเซวียนสังหารอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย ก็หมายความว่าย่อมสังหารเขาได้เช่นกัน!


เขาได้รับคำสั่งว่าหากจางเซวียนเอาชนะเหล่านักรบจากหอเทพเจ้าได้ ให้สังหารชายหนุ่มเสีย เขาคิดว่าเป็นงานง่ายๆ ใครจะรู้ว่าชายที่เขาต้องรับมือด้วยจะเป็นปีศาจที่น่าสะพรึงแบบนี้!


นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์คนหนึ่งสังหารนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย…


ไม่ใช่เรื่องตลกเลยถ้าจะพูดว่าชายหนุ่มทรงพลังพอๆกับเจ้าสำนักของพวกเขา!


เจอกับคู่ต่อสู้แบบนี้ เขาจะทำอะไรอื่นได้นอกจากเผ่น?


“เหตุผลที่ผมยอมเสียเวลาถามคำถามคุณมากมายก็เพื่อให้แน่ใจว่าคุณตั้งใจจะฆ่าผมจริงๆ แล้วคุณไม่คิดบ้างหรือว่าหนีตอนนี้ก็สายไปแล้ว?” จางเซวียนพึมพำ


แต่เพราะบริเวณนั้นเงียบกริบ เสียงของเขาจึงดังชัดเจน


ฉึก!


ในชั่วพริบตา ดาบเล่มหนึ่งก็แทงเข้าที่หัวใจของอัจฉริยะจากสำนักอมตะเลือนหาย


พลั่ก!


ชายวัยกลางคนพบจุดจบ ร่างของเขาโงนเงนและทรุดฮวบลงกระแทกสะพานเบื้องบนอย่างแรง


นับจากวินาทีที่พวกเขาฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จจนถึงวินาทีที่พบจุดจบ ผ่านไปเพียง 3 นาทีเท่านั้น…


ทั้งคู่น่าจะเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่มีชีวิตสั้นที่สุดในทวีปที่ถูกลืม!


จางเซวียนโยนร่างของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ทั้งคู่เข้าไปในแหวนเก็บสมบัติของเขา ก่อนจะเรียกสามผู้เข้าท้าทายที่ยังคงจังงังให้เดินหน้าต่อไป


ขณะยังเดินไปได้ไม่ไกล นักรบอีกคนหนึ่งจากหอเทพเจ้าซึ่งมีวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ก็ปรากฏตัวตรงหน้าพวกเขา หลังจากเล่นงานนักรบผู้นั้นแล้ว แท่นรูปวงกลมอีกแท่นหนึ่งก็ผุดขึ้นมา


จางเซวียนหันไปพูดกับผู้อาวุโสหงอู่ “นี่คือโอกาสของการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ คุณใช้มันเถอะ”


“ขอบคุณมาก เจ้าสำนักจาง!” ผู้อาวุโสหงอู่พยักหน้าด้วยความสำนึกในบุญคุณขณะก้าวขึ้นไปบนแท่นนั้น


เขาทรุดตัวลงนั่ง จากนั้นก็เริ่มสำแดงวรยุทธอย่างรวดเร็ว รู้สึกได้ถึงรังสีพิเศษที่ทำให้พลังงานในร่างกายพลุ่งพล่าน ผลักดันเขาให้เข้าใกล้การฝ่าด่านวรยุทธมากขึ้น


ระหว่างนั้น สมาชิกที่เหลือก็รุดหน้าต่อไป ไม่ช้าก็พบแท่นรูปวงกลมอีก 2 อัน


แท่นเหล่านั้นมีนักรบจากหอเทพเจ้าอารักขาอยู่แท่นละคน ถ้าเป็นคนอื่น คงไปต่อไม่ได้ แต่ไม่ใช่กับกลุ่มของจางเซวียน


หลังจากสังหารนักรบจากหอเทพเจ้าแล้ว จางเซวียนเรียกอัจฉริยะจากสำนักดาบเมฆเหินและหอนานาอสูรให้เข้าใช้งานแท่นนั้นก่อนจะเดินหน้าต่อไปตามลำพัง


ไม่ช้าเขาก็พบแท่นรูปวงกลมอีกแท่นหนึ่ง จางเซวียนทรุดตัวลงนั่งที่ใจกลางแท่นนั้น


เขาหลับตาและเพ่งสมาธิกับการฝึกฝนวรยุทธ รู้สึกได้ถึงรังสีพิเศษที่อบอวลอยู่โดยรอบ มันแตกต่างกันมากกับพลังจิตวิญญาณในทวีปที่ถูกลืมที่เขาเคยซึมซับ วรยุทธระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ของเขาทำปฏิกิริยากับรังสีนั้น ดูเหมือนแสดงความปรารถนาที่จะก้าวขึ้นไปอีกขั้น


“น่าเสียดายที่เรายังประมวลเทคนิควรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่เหมาะสมไม่สำเร็จ…” จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับส่ายหน้า


เขาใช้เวลาหลายวันดำดิ่งเข้าสู่มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง พยายามจะประมวลเทคนิควรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ให้ได้ แต่ก็ไม่พบอะไรที่เหมาะสมกับตัวเขา


จางเซวียนอาจเลือกเดินต่อก็ได้ และมีโอกาสสูงที่เขาจะทำสำเร็จ แต่หากทำแบบนี้กับอุปสรรคใหญ่ๆ ต่อไปก็อาจเกิดความซับซ้อนอีกมากมายที่จะสกัดกั้นเขาไว้ไม่ให้พัฒนาตัวเองได้ในอนาคต


ฟึ่บ!


จางเซวียนยกมือขึ้นและเก็บรังสีที่แผ่ออกมาจากแท่นรูปวงกลมไว้ในขวดหยก ก่อนจะใส่ไว้ในแหวนเก็บสมบัติ


หลังจากได้เข้าสู่แท่นรูปวงกลมแล้ว เขาแน่ใจว่ารังสีพิเศษนี้คือกุญแจของการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ เหมือนกันกับนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณที่มีไว้สำหรับผู้ที่พยายามจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณ


เมื่อมีรังสีนี้ เขาจะฝ่าด่านวรยุทธได้ทันทีที่ได้เทคนิควรยุทธที่เหมาะสมมา จางเซวียนลงจากแท่นนั้นและเดินหน้าต่อไป


ดูเหมือนมีแท่นรูปวงกลมมากมายตลอดเส้นทางของสะพานเบื้องบน ไม่ช้าเขาก็พบอีกแท่นหนึ่ง หลังจากเล่นงานนักรบจากหอเทพเจ้าที่อารักขาแท่นแล้ว จางเซวียนก็ลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะนำตัวโคลนของเขาออกมา


ไม่นานหลังจากนั้น ตัวโคลนของเขาก็ฝ่าด่านวรยุทธเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้สำเร็จ


ขณะที่จางเซวียนรุดหน้าต่อไป ทั้งมังกรสรพิษ นกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัว และอสูรตัวอื่นๆก็ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จเช่นกัน


สำหรับแท่นรูปวงกลมที่เหลือ จางเซวียนวางดาบระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ลงไปบนนั้นเพื่อทำการบ่มเพาะ วิธีนี้จะช่วยให้พวกมันมีโอกาสแปรสภาพเป็นของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้


“ว่าแต่หอเทพเจ้าอยู่ไหน? ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ วันนี้ก็คงไปไม่ถึง…”


ไม่ว่าจะเดินมาไกลแค่ไหน เส้นทางตรงหน้าก็ยังถูกความมืดมิดปกคลุม เขามองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของมัน


สะพานเบื้องบนจะเปิดเพียงวันเดียวเท่านั้น ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป เขาคงไม่อาจฉกฉวยตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ ได้แน่


นักรบจะเข้าถึงแท่นรูปวงกลมนี้ได้โดยผ่านสะพานเบื้องบนเท่านั้น ซึ่งสะพานจะปรากฏขึ้นทุก 100 ปี แต่ตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ คือสิ่งที่เขานำกลับไปยังทวีปที่ถูกลืมได้ ถ้าเขาได้มันมา บรรดานักรบในทวีปที่ถูกลืมจะสามารถเข้าถึงวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้โดยไม่มีข้อบังคับ และอาจทำได้แม้แต่หลอมของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เลยทีเดียว ไม่ต่างกับหอนิรันดร์!


พวกเขาจะไม่ถูกปิดกั้นอีกต่อไป…


เพียงแต่เขายังมีข้อกังวลใจอยู่


หอเทพเจ้ากระเหี้ยนกระหือรือจะจับตัวเขา ถึงกับลอบสังหารเขาก็หลายครั้งหลายหน หากเขาเดินหน้าต่อไป จะเท่ากับเดินเข้าสู่กับดักของพวกนั้นหรือเปล่า?


“สะพานเบื้องบนจะปรากฏเพียงครั้งเดียวในรอบ 100 ปี และหอเทพเจ้าก็ดูเหมือนจะเป็นกุญแจที่นำไปสู่สรวงสวรรค์ ไม่ว่าจะอันตรายแค่ไหน เราก็ต้องเสี่ยง!”


พริบตาต่อมา จางเซวียนก็หายวับไป


เขาแปรสภาพเป็นสายฟ้าสีเขียวที่พุ่งออกไปด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง


ต่อให้เขาเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ ก็ไม่มั่นใจว่าจะเข้าถึงหอเทพเจ้าได้หากปราศจากสะพานเบื้องบน จึงไม่อาจปล่อยให้ตัวเองพลาดโอกาส


ไม่ช้าจางเซวียนก็มาถึงจุดที่ไม่มีแท่นรูปวงกลมให้เห็นอีก ดูเหมือนจำนวนของมันจะหมดลงแค่นี้


เฉพาะแท่นรูปวงกลม 2 อันแรกเท่านั้นที่ไม่มีนักรบจากหอเทพเจ้าคอยอารักขา ซึ่งนั่นหมายความว่าหอเทพเจ้าอนุญาตให้ผู้เข้าท้าทายจาก 6 สำนักสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้เพียง 2 คน หากมากกว่านั้นล่ะก็ เว้นเสียแต่นักรบคนดังกล่าวจะเก่งกาจระดับเดียวกับผู้ก่อตั้งสำนักดาบเมฆเหินหรือปรมาจารย์ขง ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางมาได้ไกลขนาดนี้


ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา บ่อยครั้งที่มีผู้เข้าท้าทายเพียงคนเดียวจาก 6 สำนักที่ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ จึงมีแท่นรูปวงกลมไม่กี่อันที่ถูกใช้


แน่นอนว่าจางเซวียนกอบโกยรังสีพิเศษที่อยู่ในแท่นเหล่านั้นไว้หมดก่อนจะรุดหน้าต่อไป


โดยรวมๆแล้ว ขณะที่จางเซวียนช่วยอสูรของเขาฝ่าด่านวรยุทธและกักเก็บรังสีพิเศษในแท่นอื่นๆไปด้วย เวลาก็ผ่านไป 6 ชั่วโมง ถ้าเขาไม่เร่งฝีเท้า คงไม่มีทางได้เข้าสู่หอเทพเจ้าแน่


จางเซวียนขับเคลื่อนเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าจนถึงขีดสุด เขาเดินทางได้รวดเร็วยิ่งกว่านักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์โดยทั่วไป


แต่ถึงอย่างนั้น สะพานเบื้องบนก็ยาวไกลมาก


เขาใช้เวลาต่ออีก 6 ชั่วโมง แต่ทัศนียภาพโดยรอบก็ยังไม่เปลี่ยน


“เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ถ้าหอเทพเจ้าอยู่ไกลขนาดนั้น จะมีใครเข้าไปและกลับออกมาจากหอเทพเจ้า ภายในวันเดียวได้อย่างไร?” จางเซวียนส่ายหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ


เขาเดินทางมา 12 ชั่วโมงแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นจุดสิ้นสุด ด้วยพละกำลังของเขาในเวลานี้ เขาไม่มีทางเข้าสู่หอเทพเจ้าได้จริงๆหรือ?


ตามข้อมูลที่มีบันทึกไว้ หากนักรบคนหนึ่งไม่อาจกลับสู่โขดหินสมอสวรรค์ได้ก่อนที่สะพานเบื้องบนจะหายไป เขาจะร่วงลงสู่รอยแยกแห่งมิติ ซึ่งแม้แต่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ก็ไม่อาจเอาชีวิตรอด


“เราจะใช้เวลาอีก 2 ชั่วโมงก็แล้วกัน…” จางเซวียนกัดฟัน


เขาไม่ได้ใช้ความเร็วเต็มพิกัดใน 6 ชั่วโมงแรก เพราะฉะนั้น ถ้าเขาหันหลังกลับตอนนี้ จะต้องใช้เวลาราว 8 ชั่วโมงกว่าจะถึงโขดหินสมอสวรรค์ ซึ่งนั่นหมายความว่าเหลือเวลาอีกแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น หากเขายังหาหอเทพเจ้าไม่เจอในอีก 2 ชั่วโมงข้างหน้า ก็จะต้องหันหลังกลับ


จางเซวียนจึงขับเคลื่อนพลังปราณจนถึงขีดสุดและเดินทางต่อไป


1 ชั่วโมงต่อมา ในที่สุดก็เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ปลายอีกด้านของสะพานเบื้องบน ท่ามกลางความว่างเปล่าอันมืดมิด เขาเห็นปราสาทหลังมหึมาอย่างเลือนราง


จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาอดพึมพำไม่ได้ “ไกลเหลือเกิน…การที่ผู้ก่อตั้งสำนักดาบเมฆเหินกับปรมาจารย์ขงมาถึงหอเทพเจ้าได้ก็แปลว่าพวกเขาไม่ได้อ่อนแอกว่าเราเลยตอนที่เข้าท้าทายสะพานเบื้องบน…”


นักรบที่มีวรยุทธเหนือชั้นและทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จต้องบินนานกว่า 12 ชั่วโมงกว่าจะถึงหอเทพเจ้า…ความยาวของสะพานเบื้องบนช่างน่าสะพรึงจริงๆ!


ในเมื่อปรมาจารย์ขงกับผู้ก่อตั้งสำนักดาบเมฆเหินฉกฉวยตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ จากหอเทพเจ้ามาได้สำเร็จ พวกเขาก็ต้องใช้เส้นทางนี้ ทั้งคู่จะต้องเป็นนักรบที่ทรงพลังมาก


ตอนที่ 2114 ผู้ที่ได้รับเลือกจากสวรรค์

ปราสาทหลังมหึมาลอยตัวอย่างเงียบเชียบอยู่กลางอากาศ ตัดกับความว่างเปล่าอันมืดมิด จางเซวียนใช้เวลาราว 15 นาทีกว่าจะถึงทางเข้า


แอ๊ดดดดด!


เมื่อรับรู้ได้ว่ามีสิ่งมีชีวิตปรากฏตัว ประตูปราสาทค่อยๆเปิดออก


รู้ดีว่าเวลาไม่คอยท่า จางเซวียนรีบผลุบเข้าไป


หลังจากเข้าไปได้เพียงไม่นาน ประตูก็ปิดตามหลัง ผลักดันเขาเข้าสู่ความมืดมิด จากนั้นคบเพลิงมากมายนับไม่ถ้วนก็ลุกโพลง ส่องแสงสว่างไปโดยรอบ


ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!


นักรบ 10 คนปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน รังสีของพวกเขาเข้มข้นหนักแน่นจนยากจะหยั่งถึง ไม่อาจคาดเดาความลึกล้ำของวรยุทธของพวกเขาได้เลย


ทุกคนล้วนเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์!


หอเทพเจ้าช่างไร้เทียมทานจริงๆ เพราะกว่าจะได้พบนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์สักคนในทวีปที่ถูกลืมก็แสนยากเย็น แต่สำหรับที่นี่ นักรบระดับนั้นปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันทีเดียวถึง 10 คน


“จางเซวียน คุณกล้ามากนะ รู้อยู่ว่าหอเทพเจ้าตั้งใจจะจับคุณให้ได้ แต่ก็ยังกล้าเดินทางมาถึงนี่”


ร่างสูงตระหง่านร่างหนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์บริเวณใจกลางห้อง ตำแหน่งที่เขานั่งอยู่สูงเกินกว่าที่คบเพลิงจะส่องถึง ทำให้ใบหน้าของเขาถูกบดบังอยู่ในเงามืด น้ำเสียงนั้นเย็นเยียบ ปราศจากความรู้สึกรู้สาใดๆ


จางเซวียนคิดไว้แล้วว่าจะต้องเจอเรื่องแบบนี้ จึงไม่ได้ตกใจ


เขาจ้องมองร่างที่นั่งอยู่บนบัลลังก์และพูดขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้ว “ทวีปที่ถูกลืมมีคนเก่งๆอยู่มากมาย ผมน่ะอยากรู้เหลือเกินว่าทำไมคุณถึงทำตัวกัดไม่ปล่อย ไล่ล่าผมอยู่ได้ เป็นเพราะเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าจริงๆหรือเปล่า?”


เขาแน่ใจว่าตัวเองเก็บเนื้อเก็บตัวแล้วนับตั้งแต่มาถึงทวีปที่ถูกลืม แต่ก็ยังถูกลอบสังหารถึง 3 ครั้ง ไม่เข้าใจจริงๆว่าหอเทพเจ้าคิดอะไรอยู่


“เจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้า?” ร่างบนบัลลังก์คำรามเยาะ “เพียงเท่านั้นน่ะไม่คู่ควรกับการที่หอเทพเจ้าจะออกโรงหรอก!”


“แล้วคุณหมายถึงอะไร?” จางเซวียนย้อนถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


ทั้งๆที่เปลวไฟจากคบเพลิงยังลุกโพลง แต่บริเวณโดยรอบก็เย็นเยือกและไร้ชีวิตชีวา


“คุณมาจากทวีปแห่งปรมาจารย์ไม่ใช่หรือ?” ร่างนั้นตั้งคำถาม


“คุณรู้จักทวีปแห่งปรมาจารย์ด้วย?” จางเซวียนตะลึง


อีกฝ่ายไม่ตอบคำถาม แต่โบกมือแล้วพูดว่า “ผมต้องการจับเป็น”


พรึ่บ!


นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ทั้ง 10 คนตรงเข้าตีวงล้อมจางเซวียนทันที


“จับผมน่ะไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก!”จางเซวียนคำราม


ในเมื่อเขาอาจหาญเหยียบย่างหอเทพเจ้าแล้ว ก็พร้อมรับมือกับทุกอันตรายที่นี่


ฟึ่บ!


จางเซวียนนำศพของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ 2 คนจากสะพานเบื้องบนออกมา


บึ้มมมม!


ในชั่วพริบตา สองร่างนั้นก็ระเบิดพร้อมกัน


ระหว่างทางที่มา จางเซวียนได้หลอมร่างทั้งสองให้เป็นหุ่นโลหะไร้วิญญาณ


แต่ยังไม่ทันที่คลื่นความสั่นสะเทือนจากการระเบิดจะกระจายตัวออกไป เสียงคำรามเย็นเยียบก็ดังขึ้น จากนั้นลำแสงหนึ่งก็เจิดจ้าทั่วทั้งหอเทพเจ้า สกัดกั้นแรงปะทะของการระเบิดไว้


แสงนั้นทำให้แรงระเบิดสลายตัวไปทันที


จางเซวียนหน้าดำคร่ำเครียด


เขาคิดว่าอย่างน้อยที่สุด การระเบิดของหุ่นโลหะไร้วิญญาณ 2 ตัวคงถ่วงเวลาได้ระยะหนึ่ง แต่ดูเหมือนจะมีค่ายกลป้องกันตัวที่มีอานุภาพไร้เทียมทานถูกติดตั้งไว้รอบหอเทพเจ้า สามารถกำจัดแรงระเบิดได้อย่างสิ้นเชิง!


“ไม่ได้การแล้ว เราต้องหนี!”


จางเซวียนชักดาบถงซังออกมาและขับเคลื่อนเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าโดยบังคับให้พุ่งเข้าใส่ประตูหอเทพเจ้าที่ปิดตาย ตั้งใจจะพังประตูนั้น


ดาบถงซังเป็นของล้ำค่าที่อีกเพียงก้าวเดียวก็จะมีวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ ระหว่างทางที่มาที่นี่ เขาได้ใช้รังสีพิเศษจากแท่นรูปวงกลมเข้าช่วยมันฝ่าด่านวรยุทธ ทำให้มันแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก


เมื่อผนวกเข้ากับเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้า พละกำลังที่จางเซวียนมีทำให้เขาสังหารได้แม้แต่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ทั่วไปด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว


เคร้งงงงง!


แต่ขณะที่กระแสดาบฉีกระทบกับประตู เสียงเคร้งของโลหะก็ดังกึกก้อง น่าอัศจรรย์ใจที่ประตูนั้นไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน!


“ประตูนี้เป็นของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เหมือนกันหรือ?” จางเซวียนแทบไม่เชื่อสายตา


พละกำลังที่เขาสำแดงออกมาเมื่อครู่นี้สามารถเล่นงานหานเจี้ยนชิวได้ในชั่วพริบตา แต่ทั้งๆที่เจอการโจมตีระดับนั้น ประตูก็ยังไร้รอยขีดข่วน ระดับขั้นของมันเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้


“เสียเวลาเปล่า!”


เพราะคาดเดาไว้แล้วว่าจะเป็นแบบนี้ นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ทั้ง 10 คนหัวเราะหึๆขณะพุ่งเข้าใส่จางเซวียนพร้อมกัน


ตาข่ายพลังปราณขนาดมหึมาร่วงจากกลางอากาศ สกัดกั้นหนทางหลบหนีของจางเซวียนไว้หมด


“สลายตัว!” จางเซวียนชักดาบของเขาออกมา ปลดปล่อยปราการกระแสดาบฉีเข้าใส่ตาข่ายขนาดมหึมานั้น


แต่กระแสดาบฉีก็ไม่อาจยับยั้งตาข่ายได้ ดูราวกับทั้งคู่อยู่คนละชั้น ตาข่ายนั้นทะลุผ่านกระแสดาบฉีและพันร่างของจางเซวียนไว้อย่างแน่นหนา ในเวลาเดียวกัน จางเซวียนรู้สึกได้ว่าพลังปราณของเขาถูกสกัดกั้น ทำให้ไม่อาจสำแดงพละกำลังได้เลย


“สกัดกั้นวรยุทธของเขา!”


เมื่อใช้ตาข่ายขนาดใหญ่ดักจางเซวียนได้สำเร็จ เหล่านักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์พากันลอบถอนหายใจ พวกเขาไม่คิดว่าอะไรๆจะราบรื่นขนาดนี้


นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์คนหนึ่งก้าวเข้าไปแล้วใช้นิ้วแตะจางเซวียน หมายจะสกัดกั้นวรยุทธของเขา


“ผมรอคุณอยู่!” จางเซวียนพึมพำพร้อมกับยิ้มอ่อน


ดาบ 3 เล่มปรากฏขึ้นอย่างปุบปับ และด้วยการเคลื่อนไหวอันซับซ้อนต่อเนื่องกันเป็นชุด พวกมันพุ่งเข้าปักแผ่นหลังของนักรบผู้นั้นทันที ร่างของอีกฝ่ายแบะออกจากกันเป็นสองซีก


ทันทีที่นักรบจากหอเทพเจ้าถูกสังหาร จางเซวียนรู้สึกได้ว่าตาข่ายขนาดใหญ่นั้นคลายตัวออกเล็กน้อย ดูเหมือนค่ายกลจะสูญเสียหนึ่งในแหล่งพลังงานหลักไป ทำให้ความแน่นหนาลดลง


นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่เหลือรีบถ่ายทอดพลังงานเข้าสู่ตาข่ายขนาดใหญ่นั้น หวังจะทำให้มันมั่นคงดังเดิม


แต่ถึงพวกเขาจะไหวตัวเร็วแค่ไหน ก็ไม่มีใครเร็วไปกว่าจางเซวียนที่เฝ้ารอโอกาสนี้อยู่ เขาทะลึ่งตัวออกจากตาข่ายขนาดใหญ่และกระโจนขึ้นสู่กลางอากาศ จากนั้นก็ชักดาบออกมากวัดแกว่งอย่างดุเดือด กระแสดาบฉีอันทรงพลังพุ่งลงมาราวกับห่าฝน ตรงเข้าเล่นงานนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์คนหนึ่ง


แม้ทั้ง 10 คนจะเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เหมือนกัน แต่พละกำลังก็ไม่ได้ทัดเทียมกันทั้งหมด จางเซวียนดูออกว่านักรบผู้นี้อ่อนแอที่สุดในบรรดา 9 คนที่เหลือ


เขาใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ ทำให้กำจัดศัตรูคนหนึ่งได้อย่างง่ายดาย หลังจากนั้นก็ใช้จังหวะที่คู่ต่อสู้กำลังตกตะลึงปล่อยการโจมตีเข้าใส่ผู้ที่อ่อนแอที่สุด


ถึงจางเซวียนจะเคลื่อนไหวปราดเปรียว แต่เขาก็คิดคำนวณอย่างดีแล้วว่ากระบวนท่าไหนที่เหมาะสมที่สุดและทำให้เขามีโอกาสกำจัดคู่ต่อสู้ได้แม่นยำสูงสุด


ถ้าเขาไม่มั่นใจในความเก่งกาจของตัวเอง จะยอมเสี่ยงตายมาที่นี่ทำไม?


ฟิ้ววววว!


พละกำลังของดาบทั้ง 4 เล่มที่ผนวกเข้ากับเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าก่อเกิดเป็นพลังที่เหนือชั้นกว่าที่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ผู้อ่อนแอคนหนึ่งจะรับมือไหว เขาถูกเฉือนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในชั่วพริบตา


ไม่มีใครคาดคิดว่าเพื่อนร่วมทีม 2 คนจะถูกสังหารอย่างรวดเร็วขนาดนี้ ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตาจนพวกเขาเกิดความหวาดหวั่นลึกๆในใจ


ความหวาดหวั่นนี้ไม่ได้มีเฉพาะกับจางเซวียน แต่เป็นความหวาดหวั่นต่อเจ้านายของพวกเขาด้วย


นี่เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่ทำเรื่องไม่น่าดูให้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเจ้านาย


บึ้มมมมม!


ฝ่ามือแปดคู่แตะพื้นพร้อมกัน พลังงานมหาศาลระเบิดออกมา ทำให้มิติในหอเทพเจ้าแข็งทื่อ เกิดแรงต้านทานการเคลื่อนไหวทุกชนิด


จางเซวียนคำราม เขาพยายามนำเต่าหลังดำกับฉลามสามพี่น้องออกมาช่วย แต่ก็เหมือนตอนอยู่ที่สะพานเบื้องบน เขาไม่อาจเปิดกระสอบอสูรได้เมื่ออยู่ที่นี่


เส้นเลือดที่ขมับของจางเซวียนปูดโปน เขาชักดาบถงซังออกมาอย่างแรง พร้อมกับนำโซ่โลหะและง้าวออกมาทำลายค่ายกลที่ได้รับการเสริมกำลังจากนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่เหลืออีก 8 คน


เมื่อของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ถึง 3 ชิ้นทำงานพร้อมกัน ก็เหมือนหินก้อนใหญ่ที่ถูกขว้างลงไปในสระน้ำ รอยแยกสีดำสนิทกระจายตัวไปโดยรอบ ระเบิดมิติที่แข็งทื่อ


“จบเสียที!”


จางเซวียนทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดเพื่อระเบิดมิติที่ถูกเปิดออก แต่รู้สึกได้ว่าคู่ต่อสู้คนหนึ่งลอบโจมตีเขา อีกฝ่ายเงื้อมือขึ้นและปล่อยพลังจากฝ่ามือเข้าใส่


จางเซวียนไม่มีเวลาหลบ จึงทำได้แค่ปล่อยพลังงานออกมาขวางเพื่อเบี่ยงเบนการโจมตี แต่พละกำลังจากฝ่ามือนั้นรุนแรงมาก การโจมตีเพียงครั้งเดียวทำให้ซี่โครงของจางเซวียนหักสามซี่ เขาร่วงลงมาจากกลางอากาศ


ถ้าเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ 3, 4 หรือ 5 คน เขายังพอรับมือไหว แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับนักรบระดับนั้นพร้อมกันทีเดียวถึง 10 คน แถมทุกคนยังเป็นผู้เชี่ยวชาญจากหอเทพเจ้า ก็เป็นธรรมดาที่จะยืนหยัดได้ยาก แม้จะใช้ทักษะเหนือชั้นของเขาก็ตาม


จางเซวียนร่วงลงมากระแทกพื้นอย่างแรง เลือดซึมออกจากมุมปาก เขาพยายามลุกขึ้นยืน แต่โซ่โลหะเส้นหนึ่งพันร่างของเขาไว้อย่างแน่นหนา


“ของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์?”


จางเซวียนรู้สึกได้ว่าโซ่โลหะกดลงไปในผิวหนังของเขา แม้ด้วยพละกำลังที่มีอยู่ ก็ไม่อาจดิ้นรนให้เป็นอิสระได้


“ตกอยู่ในวงล้อมของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ถึง 10 คน แต่คุณก็ยังสังหารพวกเขาได้ถึง 2 คน นั่นอธิบายได้ว่าทำไมคุณถึงยังมีชีวิตรอดแม้ผมจะเคยส่งคนไปลอบสังหารคุณหลายครั้ง ผู้ที่ได้รับเลือกจากสวรรค์น่ะคงเก่งกาจน้อยกว่านี้ไม่ได้หรอก” ร่างที่นั่งอยู่เหนือคบเพลิงจ้องมองลงมาที่จางเซวียนด้วยสายตาเย็นเยียบ


ดูเหมือนอีกฝ่ายไม่ได้หงุดหงิดหรือโกรธเคืองที่จางเซวียนสังหารลูกน้องของเขาไปถึง 2 คน


“ผู้ที่ได้รับเลือกจากสวรรค์?”


รู้ดีว่าไม่มีทางหลบหนี จางเซวียนจึงหยุดกระเสือกกระสนดิ้นรน เขาเพ่งสมาธิไปที่การขับเคลื่อนพลังปราณเพื่อเยียวยาอาการบาดเจ็บขณะตั้งคำถามด้วยหน้าผากยับยู่ยี่


“ใช่ ก็คุณคือผู้ที่มีสรวงสวรรค์อยู่กับตัวไม่ใช่หรือ?” ร่างนั้นเปรยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่คำพูดของเขาทำให้จางเซวียนตัวแข็งทื่อ


เขาไม่คาดคิดว่าจะมีใครตั้งคำถามแบบนี้ การที่เขามีหอสมุดเทียบฟ้าอยู่กับตัวควรเป็นเรื่องที่มีแต่หลัวลั่วชิงเท่านั้นที่รู้ ไม่ควรจะมีใครอื่น


แต่คำพูดของร่างนั้นดูจะบอกเป็นนัยๆถึงหอสมุดเทียบฟ้า หัวหน้าหอเทพเจ้ารู้เรื่องหอสมุดเทียบฟ้าด้วยหรือ?


หรือว่าเหล่าเทพเจ้าล้วนมีความสามารถในการมองเห็นหอสมุดเทียบฟ้า?


เพราะหอเทพเจ้าเล่นงานเขาหลังจากที่เขาทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ เขาจึงคิดว่าคงน่ากลัวไม่น้อยหากพยายามจะฉกฉวยตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ จากที่นี่ แต่ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าตัวเองเข้าใจผิดถนัด!


ต่อให้เขาทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ ก็แล้วอย่างไร?


ตอนที่ 2115 ความแตกต่างของกระแสกาลเวลา

ผู้ที่สามารถทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าก็ไม่มีทางรับมือกับนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ถึง 10 คนได้อยู่ดี!


แถมหอเทพเจ้าก็น่าจะมีรังสีพิเศษสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อยู่มากมาย ต่อให้เขาพยายามฉกฉวยตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ พวกนั้นก็คงไม่คิดจะทำอะไร


แต่ทุกอย่างดูสมเหตุสมผลขึ้นมาทันทีหากเป้าหมายของพวกนั้นคือหอสมุดเทียบฟ้า!


นั่นอธิบายได้ว่าทำไมบรรดานักรบที่ถูกส่งไปเล่นงานเขาถึงได้รับคำสั่งอย่างเคร่งครัดให้จับตัวเขา เป็นๆ


จางเซวียนพยายามปกปิดความรู้สึก แต่ร่างนั้นก็ยังมองเห็นความอัศจรรย์ใจในแววตาส่วนลึกของเขา อีกฝ่ายหัวเราะหึๆขณะพูดต่อ


“ดูเหมือนคุณจะงงหน่อยๆนะ กำลังสงสัยหรือว่าผมรู้ได้อย่างไรว่าคุณมีสรวงสวรรค์อยู่ในตัว?”


แทนที่จะตอบโต้ จางเซวียนจับจ้องร่างนั้นด้วยสายตาเย็นเยียบ


อีกฝ่ายไม่แยแสความเงียบงันของจางเซวียน เขาพูดต่อ “มีแต่ผู้ที่ได้รับเลือกจากสวรรค์เท่านั้นที่จะสามารถเข้ามายังทวีปที่ถูกลืมและยกระดับวรยุทธจากนักปราชญ์โบราณมาเป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ได้ภายในเวลาไม่ถึง 1 เดือน แถมยังมีพละกำลังเทียบเท่ากับนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์โดยทั่วไปอีกต่างหาก”


“ก็เพราะความเก่งกาจเหนือชั้นของคุณที่ทำให้คุณหว่านล้อม 4 สำนักใหญ่ให้โยนความหยิ่งผยองของพวกเขาทิ้งไปและรวมตัวกันเป็นหนึ่งภายใต้การนำของคุณได้ ไม่ใช่หรือ?”


จางเซวียนตั้งคำถามพร้อมกับหรี่ตา “คุณคิดอะไรอยู่?”


“คุณกำลังครอบครองในสิ่งที่ตัวคุณไม่มีคุณสมบัติเพียงพอจะได้รับ ถ้ายังเก็บมันไว้ ลงท้ายก็จะนำไปสู่หายนะ คงจะดีกว่าถ้าคุณมอบมันให้คนอื่นเสียก่อนที่จะเกิดเรื่องเลวร้าย!” ร่างนั้นตอบพร้อมกับโบกมือ


ฟึ่บ!


เหล่านักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่อยู่โดยรอบยกมือขึ้นพร้อมกัน ปล่อยพลังงานเข้าใส่จางเซวียนและห่อหุ้มเขาไว้ ร่างของจางเซวียนลอยขึ้นสู่กลางอากาศและเคลื่อนไปด้านข้างโดยที่เขาควบคุมมันไม่ได้


สุดท้ายร่างของเขาก็ถูกหย่อนลงไม่ไกลจากหินก้อนหนึ่ง เมื่อเงยหน้ามอง ก็เห็นแท่นรูปวงกลมที่ดูคุ้นตา


เมื่อเห็นแท่นนั้น จางเซวียนหน้าตึง “แท่นบูชาของตำหนักคว้าดาว…คุณคือผู้ที่จับตัวหัวหน้าตู้ไป?”


เขาเคยเห็นแท่นบูชาที่ทำเลียนแบบในมือของเจียงเหยามาก่อน จึงจดจำแท่นบูชาของจริงได้ทันที


“เริ่มพิธีกรรมได้!”


ร่างนั้นไม่แยแสคำถามของจางเซวียน เขายกมือขึ้นและตะโกนก้อง ทรัพย์สมบัติล้ำค่านับชิ้นไม่ถ้วนร่อนลงมาอยู่เหนือแท่นบูชา จากนั้น สุภาพสตรีคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้องและเริ่มร่ายมนต์ด้วยภาษาลึกลับ


จางเซวียนหันขวับไปมอง และเห็นว่าสุภาพสตรีคนนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก ‘เทพเจ้า’ ที่อำมาตย์เฉินหย่งเคยเรียกมาในครั้งนั้น อดีตหัวหน้าตำหนักคว้าดาว, ตู้ชิงหย่วน!


ดูเหมือนตู้ชิงหย่วนจะสูญเสียสติสัมปชัญญะไปแล้ว แม้เธอจะกำลังเคลื่อนไหวและร่ายมนต์ แต่นัยน์ตาของเธอปิดสนิท น้ำเสียงก็ราบเรียบไร้ความรู้สึก ดูเหมือนมีบางอย่างควบคุมร่างกายของเธออยู่


ฟึ่บ!


เปลวเพลิงสีน้ำเงินบนแท่นบูชาลุกโชนอย่างโกรธเกรี้ยวขณะที่ตู้ชิงหย่วนร่ายมนต์ หลุมดำขนาดมหึมาเริ่มก่อตัวเหนือหอเทพเจ้า ราวกับเป็นบางอย่างที่เชื่อมโยงกับมิติที่สูงขึ้นไป


“ขึ้นมา!” ตู้ชิงหย่วนสั่งการ


ร่างของจางเวียนลอยสูง ก่อนจะถูกหย่อนลงบนแท่นบูชา


เปลวเพลิงที่ลุกโชนบนแท่นบูชาลามเลียร่างของจางเซวียน เขาคิดว่าตัวเองคงมอดไหม้ แต่ก็ต้องประหลาดใจที่เปลวเพลิงนั้นไม่ทำให้รู้สึกร้อนเลย ตรงกันข้าม มันอบอุ่นและให้ความรู้สึกของการถูกปลอบประโลม


“พวกเขาพยายามจะทำอะไร?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


เพราะได้อ่านหนังสือทั้งหมดในตำหนักคว้าดาวมาแล้ว จางเซวียนจึงมีความเข้าใจอย่างล้ำลึกในพิธีกรรมต่างๆนานาของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น แต่เขาก็ไม่เคยรู้เห็นพิธีกรรมแบบนี้มาก่อน


สำหรับพิธีกรรมทั่วไป ผู้ประกอบพิธีจะต้องมอบของล้ำค่าเป็นบรรณาการให้เทพเจ้าเพื่อให้ได้ข้อมูลข่าวสารหรือพละกำลังที่เพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิม แต่พิธีกรรมนี้ดูจะแตกต่างจากธรรมเนียมปกติ


ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกใช้เป็นเครื่องบรรณาการเพื่อเป้าหมายที่ชั่วร้ายและมีเงื่อนงำ


ซรืดดดดดด!


ขณะที่เปลวเพลิงยังคงลุกโชน ร่างเลือนรางของหัวหน้าเทพเจ้าที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ก็ค่อยๆชัดเจนขึ้น


“พวกนั้นกำลังพยายามซึมซับพลังของเราหรือ?” จางเซวียนหรี่ตาอย่างประหลาดใจ


ในที่สุดเขาก็เข้าใจเจตจำนงที่อยู่เบื้องหลังพิธีกรรมนี้


นี่ไม่ใช่พิธีกรรมที่ทำขึ้นเพื่อเรียกเทพเจ้า แต่อีกฝ่ายกำลังพยายามดูดพลังของเขาเข้าหาตัวเอง พยายามจะแทนที่เขาให้ได้!


หมอนั่นคิดจะนำหอสมุดเทียบฟ้าไปจากเรา? จางเซวียนคิดอย่างระแวง


ไม่แปลกใจแล้วที่อีกฝ่ายต้องการแท่นบูชาของตำหนักคว้าดาว ถึงกับไม่ลังเลที่จะบีบบังคับตำหนักคว้าดาวเพื่อให้ได้มันมา ดูเหมือนหัวหน้าหอเทพเจ้าตั้งใจจะใช้แท่นบูชาลึกลับนี้ประกอบพิธีกรรมเพื่อเข้าครอบครองหอสมุดเทียบฟ้าแทนที่ตัวเขา!


แม้จางเซวียนจะไม่รู้ว่าแท่นบูชาทำงานอย่างไร แต่ก็รู้สึกได้ว่าพลังงานค่อยๆระเหยออกจากร่าง ดูเหมือนมีความเป็นไปได้สูงที่อีกฝ่ายจะเข้าครอบครองหอสมุดเทียบฟ้าแทนที่เขาได้จริงๆ


ร่างของจางเซวียนค่อยๆจางลงเพราะการแผดเผาของเปลวเพลิง ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป พิธีกรรมครั้งนี้จะต้องคร่าชีวิตเขาแน่


ในช่วงเวลาคับขันนี้ จี้ที่ห้อยอยู่รอบลำคอของเขาก็เรืองแสงเจิดจ้าออกมา


ฟึ่บ!


ร่างที่อยู่บนบัลลังก์โงนเงนเล็กน้อย ในเวลาเดียวกัน เปลวเพลิงบนแท่นบูชาก็เริ่มอ่อนแรง ดูเหมือน พร้อมจะมอดดับได้ทุกขณะ


“เกิดอะไรขึ้น?”


ร่างนั้นพินิจพิจารณาจางเซวียนอย่างตั้งใจก่อนจะก้าวเข้ามาด้วยฝีเท้าแผ่วเบา เขาคว้าจี้ที่อยู่รอบลำคอของจางเซวียนและออกแรงดึง


“อ๊ากกกกก!”


แต่ทันทีที่ร่างนั้นสัมผัสจี้ ควันดำก็ลอยโขมงออกจากร่างของเขา


“เวรละ!”


ร่างนั้นสบถขณะรีบปล่อยมือ


เขาพยายามคว้าจี้อีกหลายครั้ง แต่ความร้อนแผดเผาที่แผ่ออกมาก็ทำให้ไม่กล้าเข้าใกล้มันอีก


“ผมจะไม่ปล่อยให้ทุกอย่างพังในเวลานี้เพราะไอ้จี้บ้าๆอันเดียวหรอก มาดูกันว่าถ้าผมฆ่าคุณแล้ว มันจะยังปกป้องคุณได้หรือเปล่า!” ร่างนั้นคำราม


เปลวเพลิงที่อยู่บนแท่นบูชาใกล้มอดดับเต็มที ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป พิธีกรรมจะต้องล้มเหลวแน่ หัวหน้าหอเทพเจ้ารู้ดีว่าต้องรีบทำอะไรสักอย่าง


ฟึ่บ!


นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ 8 คนรับคำสั่งและเคลื่อนไหวพร้อมกัน พวกเขารวบรวมพละกำลัง จากนั้นก็ปล่อยกระแสดาบฉีอันทรงพลังเข้าใส่ลำคอของจางเซวียน


ถ้าการโจมตีนั้นตรงเป้าหมาย จางเซวียนต้องตายแน่


บึ้มมมม!


ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานนั้น ประตูหอเทพเจ้าก็ถูกพละกำลังมหาศาลบังคับให้มันระเบิดออก ร่างหนึ่งพรวดพราดเข้ามาในหอเทพเจ้าแล้วใช้นิ้วแตะตัวจางเซวียน


กระแสดาบฉีที่มาจากนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ทั้ง 8 คนแหลกสลายทันที ทุกคนหน้าซีดขณะกระอักเลือดออกมา


“คุณ!”


เมื่อเห็นผู้มาใหม่ หัวหน้าหอเทพเจ้าถลึงตาอย่างโกรธเกรี้ยวขณะพุ่งเข้าขวางการโจมตีของอีกฝ่าย


พลั่ก!


เมื่อพละกำลังทั้งสองปะทะกัน ทั้งคู่ก็ถูกบีบให้ถอยไปคนละก้าว


ผู้มาใหม่หันมามองจางเซวียน เขากวักมือ จากนั้นก็ใช้พลังงานห่อหุ้มร่างของชายหนุ่มและดึงเข้าหาตัว


“ไปกันเถอะ!”


ผู้มาใหม่รีบส่งจางเซวียนออกนอกหอเทพเจ้า ก่อนจะจากไป เขาก็หันหลังกลับและปลดปล่อยพลังจากฝ่ามือที่ทำลายโครงสร้างภายในของหอเทพเจ้าจนราบคาบ จากนั้นก็บินออกมาพร้อมกับจางเซวียน


เพียง 2-3 อึดใจต่อมา ทั้งคู่ก็หายวับมาปรากฏตัวที่สะพานเบื้องบน


“ตามพวกนั้นไป!” เสียงเกรี้ยวกราดดังกึกก้องจากหอเทพเจ้า


พายุพัดอื้ออึงอยู่ในหูจางเซวียนขณะเฝ้ามองสภาพแวดล้อมรอบตัวหายไปอย่างรวดเร็ว


เป็นความเร็วที่น่าทึ่งอะไรอย่างนี้…


จางเซวียนหรี่ตาด้วยความอัศจรรย์ใจ


ผู้ที่ช่วยชีวิตเขาไว้เดินทางได้เร็วกว่าเขาหลายเท่าตัว ทั้งที่ต้องพาตัวเขาไปด้วย


ต่อให้นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่น่าเคลื่อนไหวได้รวดเร็วขนาดนี้…เขาเป็นเทพเจ้าหรือเปล่า?


นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ของหอเทพเจ้าที่ถูกเขาเล่นงานให้จนมุมจนต้องระเบิดตัวเองที่ทะเลพลัดดาวแทบจะเรียกได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดแล้ว แต่ต่อให้หมอนั่นก็เทียบชั้นกับบุคคลที่เพิ่งช่วยชีวิตเขาไม่ได้!


ขณะที่จางเซวียนกำลังคิดวุ่นวาย อีกฝ่ายก็เอ่ยขึ้น “ผมยังไม่ได้เป็นเทพเจ้าหรอก เหตุผลที่ผมเคลื่อนไหวได้เร็วขนาดนี้ก็เพราะรองเท้าเลือนหาย”


“รองเท้าเลือนหาย?”


จางเซวียนก้มหน้ามอง เห็นอีกฝ่ายสวมรองเท้าทองคำคู่หนึ่ง รองเท้าคู่นั้นแผ่รังสีพิเศษออกมาที่ทำให้เขาก้าวได้ไกลครั้งละหลายสิบลี้ ทำให้ดูเหมือนถูกส่งทะลุมิติจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง


“นั่นคงเป็นของล้ำค่าที่ทำหน้าที่อารักขาสำนักอมตะเลือนหาย หรือว่าคุณคือ…” จางเซวียนตัวแข็งขณะภาพของบุคคลหนึ่งแวบเข้ามาในสมอง


“เรื่องนั้นค่อยคุยกันทีหลัง สะพานเบื้องบนถอนตัวแล้ว ถ้าเราไม่รีบล่ะก็ ได้เอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่แน่” อีกฝ่ายตอบพร้อมกับหัวเราะหึๆ ขณะรุดหน้าต่อไปด้วยแววตาที่ออกจะเคร่งขรึม


“สะพานเบื้องบนถอนตัวแล้ว?” จางเซวียนถึงกับงง


เขาก้มลงมองและเห็นสะพานเบื้องบนค่อยๆถอนตัวกลับคืนสู่หอเทพเจ้า จึงตั้งคำถามด้วยความสงสัย “ผมคิดว่าสะพานเบื้องบนจะอยู่ทั้งวันเสียอีก ทำไมถึงถอนตัวตั้งแต่ยังไม่ทันหมดเวลา?”


โดยรวมแล้ว จางเซวียนใช้เวลาเดินทางสู่หอเทพเจ้าเพียง 14 ชั่วโมง และใช้เวลาอยู่ในนั้นแค่ไม่ถึง 1 ชั่วโมง แล้วทำไมสะพานเบื้องบนถึงเริ่มถอนตัวตั้งแต่ตอนนี้?


หรือว่าทั้งการลงมาและการถอนตัวของสะพานเบื้องบนเป็นอำนาจตามอำเภอใจของหัวหน้าหอเทพเจ้า?


“เวลาล่วงไปวันหนึ่งแล้ว” อีกฝ่ายตอบอย่างไม่สบายใจ “กระแสของกาลเวลาในหอเทพเจ้ากับทวีปที่ถูกลืมมีความแตกต่างกันอยู่ในอัตราส่วน 1:10 คุณไม่รู้หรือ?”


“ความแตกต่างของกระแสกาลเวลา?” จางเซวียนตกใจ


เขาถูกนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ 10 คนเล่นงานทันทีที่มาถึงหอเทพเจ้าจนไม่มีเวลาใคร่ครวญเรื่องนี้ จากนั้นก็ถูกนำตัวไปยังแท่นบูชา และเข้าสู่พิธีกรรมที่มีตัวเขาเป็นเครื่องบรรณาการ


เมื่อลองนึกย้อนดู ก็มีความแตกต่างของกระแสกาลเวลาในหอเทพเจ้ากับทวีปที่ถูกลืมจริงๆ


อัตราส่วน 1:10…


“ว่ากันว่ากระแสกาลเวลาของสรวงสวรรค์มีค่าเท่ากับ 1 ใน 10 ของทวีปที่ถูกลืม หอเทพเจ้าก็เป็นแบบเดียวกัน” อีกฝ่ายตอบ


“ผมเข้าใจแล้ว…” จางเซวียนพยักหน้าช้าๆ


ด้วยอัตราส่วน 1:10 ช่วงเวลา 1 ชั่วโมงที่เขาใช้ที่นั่นยาวนานเท่ากับ 10 ชั่วโมงของโลกภายนอก เมื่อคิดคำนวณดู สะพานเบื้องบนก็ลงมาได้ 1 วันแล้วจริงๆ จึงเป็นธรรมดาที่มันจะถอนตัวกลับ


เห็นจางเซวียนถึงบางอ้อ อีกฝ่ายยิ้มน้อยๆก่อนกระทืบเท้าอย่างแรง “เอาล่ะ ตอนนี้คุยกันแค่นี้ก่อน ใช้พลังปราณคุ้มกันร่างของคุณไว้นะ ผมจะทำการทะลุมิติข้ามสิ่งกีดขวาง”


ในชั่วพริบตา ความเร็วของเขาก็ขึ้นสู่จุดสูงสุด ทำให้มิติที่อยู่โดยรอบบิดเบี้ยวไปหมด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)