อัจฉริยะสมองเพชร 2102-2105

 ตอนที่ 2102 ไม่ทราบว่าคุณหมายถึงเรื่องอะไร?

แม้จะมีปริมาณไม่ถึง 1 หยด แต่ก็เป็นเลือดของเทพเจ้าตัวจริง ไม่มีทางที่มันจะหายวับเข้าไปในร่างของไก่น้อยโดยไม่ก่อให้เกิดความแตกต่างใดๆเลย


“ผมไม่รู้จริงๆว่าทำไม ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวหลังจากดื่มเลือดนั้น เลยหลับไปครู่หนึ่ง เลือดหยดนั้นดูจะไม่ได้ส่งผลอะไรกับผมเลยนอกจากทำให้ผมง่วง” ไก่น้อยส่ายก้นเล็กๆไปมาขณะอธิบาย


มันเองก็ประหลาดใจที่เห็นทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้


มันเคยคิดว่าการกลืนกินโลหิตเทพเจ้าคงจะทำให้มันกลายเป็นอสูรผู้ทรงพลังได้ในชั่วพริบตา แต่ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่คิด


ถ้าแม้แต่โลหิตเทพเจ้ายังใช้การไม่ได้ แล้วมันจะยกระดับวรยุทธให้สูงขึ้นได้อย่างไร?


“เอาเถอะ…”


จางเซวียนตั้งคำถามอีก 2-3 ข้อและถึงกับตรวจสอบไก่น้อยอย่างถี่ถ้วน แต่เมื่อไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆให้เห็น เขาก็หมดทางเลือกนอกจากยักไหล่อย่างจนปัญญา


ในที่สุดเขาก็โยนไก่น้อยกลับเข้าไปในกระสอบอสูรพร้อมกับอสูรอีก 4 ตัวที่เหลือ ก่อนจะมุ่งหน้ากลับเกาะคว้าดาว


ผ่านไปเกือบ 1 วันแล้วนับตั้งแต่เขาเดินทางออกจากตำหนักคว้าดาว ใกล้เวลาของพิธีสถาปนาหัวหน้าตำหนักคว้าดาวคนใหม่


เพราะเขาใช้ชื่ออื่นตอนที่อยู่ในหอนานาอสูรกับสำนักดาวเจ็ดดวง ใครๆจึงคิดว่าเป็นคนละคนกัน ปฏิกิริยาที่พวกเขาแสดงออกมาจึงไม่มากมายอะไร


แต่คราวนี้ จางเซวียนซึ่งเป็นที่รู้กันว่ากำลังจะได้เป็นเจ้าสำนักดาบเมฆเหินคนใหม่ก็กลายเป็นหัวหน้าตำหนักคว้าดาวด้วย…


แค่คิดถึงความโดดเด่นที่กำลังจะเกิดขึ้นก็ทำให้เขาอ้าปากค้าง


เป็นไปได้ว่าข่าวนี้คงแพร่กระจายไปทั่วทุกสำนักแล้ว คงเกิดความอึกทึกครึกโครมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน!


…..


เป็นอย่างที่จางเซวียนคิดไว้ ความวุ่นวายครั้งใหญ่เกิดขึ้นบนเกาะคว้าดาว


“ผมไม่เชื่อหรอก! ทำไมตำหนักคว้าดาวถึงเสนอชื่อคนนอกเป็นหัวหน้าคนใหม่? แล้วหัวหน้าตู้ของเราอยู่ที่ไหน? ทำไมไม่ออกมาแจ้งข่าว?”


“อาจจะเป็นการตัดสินใจของผู้อาวุโสที่ 1 กับคนอื่นๆก็ได้นะ ดูเหมือนตอนนี้หัวหน้าตู้จะไม่อยู่”


“พวกเขาตัดสินใจโดยไม่ปรึกษาหัวหน้าตู้หรือ? แบบนี้ก็เท่ากับปฏิวัติสิ?”


“คุณเป็นบ้าหรือไง? พูดอะไรแบบนั้นออกมาดังลั่น? เท่าที่ผมรู้มา หัวหน้าตู้ทิ้งเจตจำนงไว้ว่าให้เสนอชื่อเจ้าสำนักจางเซวียนเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของเธอ…”


เสียงออกความคิดเห็นทำนองนี้ดังเซ็งแซ่ทั่วตำหนักคว้าดาว


ในฐานะประชากรท้องถิ่นของทวีปที่ถูกลืม พวกเขาไม่เคยมีความสัมพันธ์อันดีกับสำนักอื่นๆ ภายใต้สถานการณ์ปกติ ต่อให้หัวหน้าตู้อยากลงจากตำแหน่ง เธอก็ควรจะเสนอชื่อหนึ่งในคนของเธอเป็นผู้สืบทอด แต่กลับเลือกส่งมอบตำแหน่งให้เจ้าสำนักดาบเมฆเหิน


แค่คิดก็เหลวไหลแล้ว!


ทำแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับเหยียบย่ำเกียรติยศและศักดิ์ศรีของตำหนักคว้าดาว!


ผู้อาวุโสคนหนึ่งคำรามอย่างขัดใจ “หุบปากเถอะ! หัวหน้าตู้ของเรามอบบรรณาการต่อเทพเจ้า และก็เพราะเจตจำนงของเทพเจ้าที่ทำให้เธอตัดสินใจแบบนี้ คุณคิดว่าคำพูดของคุณมีน้ำหนักกว่าคำพูดของเทพเจ้าหรือ?”


“ก็เพราะเจตจำนงของเทพเจ้า?”


ผู้ที่แสดงความสงสัยก่อนหน้านี้ปิดปากเงียบทันทีด้วยความหวาดกลัวเมื่อได้ยินคำพูดนั้น


ในฐานะผู้ที่สนิทชิดเชื้อที่สุดกับเทพเจ้าแห่งสรวงสวรรค์ คนของตำหนักคว้าดาวมีความยำเกรงเทพเจ้าฝังลึกอยู่ในหัวใจ พวกเขาไม่คิดว่าผู้อาวุโสจะกล้าอ้างถึงเทพเจ้าโดยปราศจากความจริง จึงไม่คัดค้านคำพูดของเธออีก


ส่วนอีกด้านหนึ่ง ก็เห็นได้ชัดว่ายากเย็นเอาการที่จะโน้มน้าวเจ้าสำนักคนอื่นๆให้ยอมรับเรื่องนี้


ในห้องโถงใหญ่ของตำหนักคว้าดาว หานเจี้ยนชิวที่กำลังสับสนอย่างหนักนั่งอยู่


“เกิดบ้าอะไรขึ้นมา เจ้าสำนักของเราจึงทำให้ตู้ชิงหย่วนยอมเสนอชื่อเขาเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของเธอ?”


เขารู้ว่าจางเซวียนมุ่งมั่นจะเดินทางสู่ทะเลพลัดดาว แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะบีบให้ตู้ชิงหย่วนลงจากตำแหน่งและกลายเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของเธอได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน


หรือว่าเรื่องนี้ถูกวางแผนไว้ล่วงหน้า?


แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ทำไมจางเซวียนถึงบอกว่าเขาเป็นนักรบพเนจร?


“แต่จะว่าไป ต่อให้ความจริงเป็นอย่างไร เรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นผลเสียต่อสำนักดาบเมฆเหิน คงจะดีถ้าเราสร้างมิตรภาพกับตำหนักคว้าดาวได้” หานเจี้ยนชิวพึมพำพร้อมกับขมวดคิ้ว


ตอนที่เขามอบตำแหน่งให้จางเซวียน เขาได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำตามคำสั่งของอีกฝ่าย ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นอะไร ขอแค่ไม่ขัดกับผลประโยชน์ของสำนักดาบเมฆเหิน เขาก็พร้อมจะทำตามทุกอย่าง


คงดูไม่ดีหากตัวเขาที่เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักจะพยายามขัดขวางการตัดสินใจของเจ้าสำนักโดยไม่มีเหตุผลอันเหมาะสม


ฟึ่บ!


“หานเจี้ยนชิว เกิดอะไรขึ้น?”


เกิดเงาพาดผ่านกลางอากาศขณะที่ร่างหนึ่งเข้ามาในห้องโถงใหญ่ ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผู้อาวุโสฉิงหย่วนจากหอนานาอสูร


“ผมรับไม่ได้ สำนักดาวเจ็ดดวงไม่มีวันยอมรับเรื่องนี้จนกว่าคุณจะมีคำอธิบายที่เหมาะสม เชื่อได้เลยว่าสำนักดาวเจ็ดดวงจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อตอบโต้!” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวเดินตามหลังผู้อาวุโสฉิงหย่วนเข้ามาในห้องโถงใหญ่


ทั้งคู่จับจ้องหานเจี้ยนชิวอย่างตั้งใจ คาดหวังให้เขาอธิบายสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น


มันเรื่องอะไรที่เจ้าสำนักดาบเมฆเหินถึงกลายเป็นหัวหน้าตำหนักคว้าดาวด้วย?


6 สำนักใหญ่ล้วนแต่เป็นเอกเทศ พวกเขามีดินแดนและขอบเขตอำนาจของตัวเองในทวีปที่ถูกลืม ไม่เคยมีการผูกสัมพันธ์อย่างเป็นทางการระหว่าง 6 สํานักใหญ่มาก่อน


ก็เพราะสมดุลของอำนาจนี้ที่ทำให้พวกเขาอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขและกลมเกลียว


ดังนั้น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่สำนักอื่นๆจะรู้สึกไม่สบายใจเมื่อได้ยินข่าวนี้


“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น” หานเจี้ยนชิวตอบพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างลำบากใจ


“คุณไม่แน่ใจ?” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนเป็นคนอารมณ์ร้อน เมื่อได้ยินว่าหานเจี้ยนชิวพยายามทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ก็สะบัดแขนเสื้อและตวาดก้อง “คุณคิดว่าพวกเราจะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปเพียงเพราะคุณไม่รู้เรื่องหรือ? คุณกำลังสั่นคลอนสมดุลของอำนาจระหว่าง 6 สำนักใหญ่เพราะการกระทำครั้งนี้!”


“คุณคิดว่าสำนักดาบเมฆเหินของคุณเป็นสำนักเดียวที่สร้างพันธมิตรได้หรือไง? ก็ดี! รอดูก็แล้วกัน หอนานาอสูรของเราจะเป็นพันธมิตรกับสำนักดาวเจ็ดดวง!”


“เจ้าสำนักจางอาจทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ แต่เขาไม่ใช่อัจฉริยะเพียงหนึ่งเดียวของทวีปที่ถูกลืม” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวคำราม “สำนักดาวเจ็ดดวงของเรามีเจ้าสำนักหลิวหยาง ขณะที่หอนานาอสูรก็มีหัวหน้าเจิ้งหยาง มาดูกันว่าเจ้าสำนักจางจะรับมือกับสองคนนี้ได้ไหม?”


หานเจี้ยนชิวพูดไม่ออก


เขาเองก็รู้เรื่องหัวหน้าเจิ้งหยางกับเจ้าสำนักหลิวหยาง ทั้งคู่ได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะไร้เทียมทานที่ปรากฏตัวขึ้นเพียงครั้งเดียวในรอบหลายพันปี


นักรบที่มีความสามารถระดับพวกเขาย่อมรับมือกับจางเซวียนและเจตจำนงเพลงดาบของเทพของเทพเจ้าของเขาได้เมื่อมีวัยวุฒิสูงขึ้น การจะเป็นศัตรูกับคนเหล่านั้นไม่ใช่การตัดสินใจที่ฉลาดเลย


การเป็นพันธมิตรระหว่างสำนักดาวเจ็ดดวงกับหอนานาอสูรย่อมนำความเสียเปรียบมาสู่สำนักดาบเมฆเหินแน่


ยิ่งไปกว่านั้น เขาเองก็ยังไม่เข้าใจว่าจางเซวียนต้องเสนอผลประโยชน์ให้ตำหนักคว้าดาวมากแค่ไหน ถึงหว่านล้อมให้ตู้ชิงหย่วนยอมมอบตำแหน่งของเธอให้เขาได้


“วุ่นวายอะไรอย่างนี้!”


ในตอนนั้น เสียงหัวเราะลั่นก็ดังขึ้นด้านนอกห้องโถงใหญ่


จากนั้นสองร่างก็ก้าวเข้ามา


เจ้าสำนักป้อมปราการกระจกดำ, ไป่ซวนเฉิง


เจ้าสำนักอมตะเลือนหาย, กู้จุ้ยอวิ๋น


การปรากฏตัวของทั้งคู่ทำให้บรรยากาศในห้องตึงเครียดกว่าเดิม ในเวลานี้ ผู้นำเกือบทั้งหมดของ 6 สํานักใหญ่มารวมตัวกันแล้ว!


ไป่ซวนเฉิงได้รับการเยียวยาจนหายดี แม้หน้าตาจะยังซีดเซียวอยู่บ้าง แต่สภาวะร่างกายในตอนนี้ไม่กระทบกับพละกำลังของเขาอีกแล้ว


ส่วนกู้จุ้ยอวิ๋น, เขาเป็นชายร่างผอมสูงที่มีสีหน้าโอหังและทะนงตัว


“พวกคุณกำลังกังวลเรื่องที่เจ้าสำนักของเราจะได้เป็นหัวหน้าตำหนักคว้าดาวด้วยใช่ไหม?” หานเจี้ยนชิวตั้งคำถามพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ “คุณจะเชื่อผมหรือเปล่าถ้าผมบอกว่าผมไม่รู้เรื่องนี้เลยสักนิด?”


ไป่ซวนเฉิงชำเลืองมองผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวก่อนจะหันมาประสานมือให้หานเจี้ยนชิว “ผู้อาวุโสหาน ผมคิดว่าคุณเข้าใจเจตนาของพวกเราผิดแล้วล่ะ พวกเรามาที่นี่เพราะต้องการขอพบเจ้าสำนักจางเซวียน อยากหารือบางอย่างกับเขา!”


เขาไม่เห็นหน้าตาของตัวการที่เล่นงานเขาในทะเลคันฉ่องน้อยก่อนหน้านี้ แต่ก็นั่นแหละ โลกนี้ไม่มีความลับ โดยเฉพาะเมื่อเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น


มีคริสตัลเพชรอยู่ไม่กี่เม็ดในโลกที่จะเจิดจ้าได้อย่างที่เห็น ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็คือเสาะหาข้อมูลว่าสำนักไหนที่เพิ่งได้คริสตัลเพชรเม็ดใหม่มาหมาดๆ


“คุณอยากพบเจ้าสำนักของเราหรือ?” หานเจี้ยนชิวขมวดคิ้ว


“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของ 6 สำนักใหญ่ ผมอยากฟังความเห็นของหัวหน้าเจิ้งหยางกับเจ้าสำนักหลิวหยางด้วย” กู้จุ้ยอวิ๋นพูดขณะสบตาผู้อาวุโสฉิงหย่วนกับผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยว


“ไม่ทราบว่าคุณหมายถึงเรื่องอะไร?” หานเจี้ยนชิวถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


เห็นได้ชัดว่าไป่ซวนเฉิงกับกู้จุ้ยอวิ๋นมีเจตนาบางอย่าง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ แต่มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาอาจรวมตัวเป็นพันธมิตรกันแล้ว


“พวกเราเห็นพ้องต้องกันว่านักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปที่ถูกลืม โดยสำนักหนึ่งจะต้องมีนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ 1 คน เพื่อความสงบสุขและเจริญรุ่งเรืองในระยะยาว” กู้จุ้ยอวิ๋นเริ่มอธิบาย


ฝูงชนพยักหน้า


การปรากฏตัวของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เป็นเครื่องชี้ชัดว่าสำนักนั้นจะเจริญรุ่งเรืองหรือไม่ หากไม่มีนักรบระดับนั้นอยู่เลย ต่อให้สำนักดังกล่าวจะมีนักรบอมตะขั้นสูงอยู่มากแค่ไหนก็ไม่สำคัญ


ก็เพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้ทั้ง 6 สำนักสามารถกดขี่เผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำได้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา


กู้จุ้ยอวิ๋นพูดต่อ “สะพานเบื้องบนใกล้จะลงมาเต็มทีแล้ว บรรดาเจ้าสำนักของพวกคุณมั่นใจหรือเปล่าว่าจะเอาชนะนักรบของหอเทพเจ้าได้ เพื่อให้มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้สำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์?”


ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ แม้แต่หานเจี้ยนชิว


เพราะใครเล่าจะกล้าประกาศกร้าวแบบนั้น?


ปฏิเสธไม่ได้ว่าเจ้าสำนักจางเซวียนคือนักรบผู้ทรงพลัง แต่ตอนนี้เขาก็เป็นแค่นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์เท่านั้น ด้วยวรยุทธระดับนี้ แม้จะรับมือกับนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ทั่วไปก็ยังทำได้ยาก นับประสาอะไรกับเหล่านักรบจากหอเทพเจ้า!


เช่นเดียวกันกับหอนานาอสูรและสำนักดาวเจ็ดดวง


แม้ความปราดเปรื่องอันไร้เทียมทานของเจ้าสำนักคนใหม่ของพวกเขาจะสร้างความหวังให้เกิดขึ้นในใจ แต่ลึกๆแล้วพวกเขาก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะสะพานเบื้องบนได้หรือไม่


ตอนที่ 2103 เหลือเชื่อจริงๆ!

หลายปีก่อนพวกเขาเคยท้าทายสะพานเบื้องบนด้วยตัวเอง รู้ดีว่ามันยากเย็นแค่ไหน


เห็นสีหน้าของทุกคน กู้จุ้ยอวิ๋นเหยียดริมฝีปาก “พูดก็พูดเถอะ แต่สำนักอมตะเลือนหายของเรากับสำนักป้อมปราการกระจกดำมั่นใจนะ”


“มั่นใจ?”


หานเจี้ยนชิวกับคนอื่นๆมองกู้จุ้ยอวิ๋นอย่างไม่อยากเชื่อ


อะไรทำให้เขามั่นอกมั่นใจถึงกับกล้าประกาศแบบนี้?


“ดูนี่สิ” กู้จุ้ยอวิ๋นพูดขณะสะบัดข้อมือและนำตราหยกออกมาอันหนึ่ง


หานเจี้ยนชิวรับตราหยกมาอ่านรายละเอียดในนั้น ครู่ต่อมาก็เงยหน้าขึ้นมองกู้จุ้ยอวิ๋นอีกครั้ง คราวนี้ยิ่งสับสนหนักกว่าเดิม “นี่มันอะไรกัน?”


สิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในตราหยกคือเทคนิคการต่อสู้ เทคนิคการเคลื่อนไหว และข้อบกพร่องของนักรบคนหนึ่ง


“นี่คือข้อมูลของนักรบคนหนึ่งจากหอเทพเจ้าที่ต่อสู้กับเหล่าอัจฉริยะจากสำนักอมตะเลือนหายของเรา” กู้จุ้ยอวิ๋นอธิบาย


“ข้อมูลของนักรบคนหนึ่งจากหอเทพเจ้า?”


อีก 3 คนลุกพรวดขณะจ้องหน้ากู้จุ้ยอวิ๋นอย่างไม่อยากเชื่อ


หากพวกเขาได้รายละเอียดเกี่ยวกับนักรบของหอเทพเจ้ามาล่วงหน้า ก็ย่อมเตรียมการและออกแบบยุทธวิธีการต่อสู้ที่จะทำให้มีโอกาสได้ชัยชนะมากขึ้นได้!


หัวหน้าฉิงหย่วนรีบรับตราหยกมาเพื่ออ่านรายละเอียด เขาตั้งคำถามอย่างตื่นเต้น “คุณได้ของแบบนี้มาได้อย่างไร?”


ข้อมูลที่ปรากฏดูจะเป็นของจริง แต่เขาก็ทำใจให้เชื่อได้ยากว่าสำนักอมตะเลือนหายจะได้ของล้ำค่าแบบนี้มาจริงๆ


หอเทพเจ้าวางตัวสูงส่งตลอดมา น้อยครั้งที่พวกเขาจะเปิดการโจมตี แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ทำแบบนั้น จะไม่เคยมีผู้รู้เห็นเลย ด้วยเหตุนี้จึงแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะเก็บข้อมูลเหล่านั้นมา


“แน่นอนว่าพวกเราไม่มีทางได้ของแบบนี้มาด้วยตัวเองหรอก ผู้ที่ประมวลข้อมูลและมอบตราหยกอันนี้ให้เราคือหอนิรันดร์” กู้จุ้ยอวิ๋นตอบ


“หัวหน้าขงเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาจริงๆ เขาสนิทชิดเชื้อกับเทพเจ้ามากที่สุดในบรรดาพวกเรา เขามอบข้อมูลเหล่านี้ให้และบอกว่าขอแค่เหล่าผู้เข้าท้าทายสะพานเบื้องบนฝึกฝนวรยุทธตามคำแนะนำของเขา ก็จะสามารถเอาชนะสะพานเบื้องบนและเข้าถึงวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย!”


“หัวหน้าขง?” หานเจี้ยนชิวขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “โลกนี้ไม่มีของฟรีหรอกนะ ทำไมหัวหน้าขงต้องเสี่ยงต่อการเป็นอริกับหอเทพเจ้าด้วยการมอบข้อมูลเหล่านี้ให้พวกเรา?”


หัวหน้าขงจะได้ข้อมูลเหล่านี้มาจากไหนก็ตาม แต่หากมันเป็นเรื่องจริง ไม่ช้าไม่นานหอเทพเจ้าก็จะต้องสาวถึงพวกเขาแน่


และเมื่อเกิดเหตุแบบนั้นขึ้น ต่อให้มีพละกำลังเหนือชั้นของหัวหน้าขงคอยปกป้อง พวกเขาก็ไม่น่าจะรับมือกับหอเทพเจ้าไหว


“แน่อยู่แล้วล่ะ พวกเราไม่หลงลืมเรื่องพื้นๆแบบนั้นหรอก เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับข้อมูลนี้ หัวหน้าขงเอ่ยปากขอยืมซุ้มอมตะเลือนหายกับกระจกดำล้ำเลิศเป็นเวลา 1 เดือน” กู้จุ้ยอวิ๋นตอบพร้อมกับหัวเราะหึๆ


หานเจี้ยนชิวหน้าดำคร่ำเครียดขึ้นมาทันที “แม้ของล้ำค่าที่ทำหน้าที่อารักขา 6 สำนักใหญ่ของพวกเราจะไม่ใช่ของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ แต่พวกมันก็มีหยดเลือดและพลังงานของเหล่าบรรพบุรุษอยู่ ถ้าเกิดการต่อสู้ มันสามารถปลดปล่อยพละกำลังที่เหนือชั้นกว่าแม้แต่ของล้ำค่าระดับกึ่งสรวงสวรรค์เสียอีก คุณคิดดีแล้วหรือที่ให้ใครยืมง่ายๆแบบนั้น?”


ก็เหมือนกับตำหนักคว้าดาวซึ่งมีแท่นบูชาที่สามารถสื่อสารกับเทพเจ้า อีก 5 สำนักใหญ่ก็มีของล้ำค่าที่ทำหน้าที่ปกป้องและอารักขาพวกเขาเช่นกัน


ของล้ำค่าที่ทำหน้าที่อารักขาสำนักอมตะเลือนหายคือซุ้มอมตะเลือนหาย ว่ากันว่าผู้ก่อตั้งสำนักหลอมมันขึ้นจากอุกกาบาตสวรรค์ เมื่อนำมาใช้ จะสามารถเดินทางข้ามผ่านมิติเป็นระยะทางหลายล้านลี้ได้ภายใน 1 อึดใจ!


ส่วนของล้ำค่าที่ทำหน้าที่ปกป้องสำนักป้อมปราการกระจกดำคือกระจกดำล้ำเลิศ มันสามารถสะท้อนแสงที่มีอานุภาพสกัดกั้นจิตวิญญาณของนักรบได้ ทำให้ผู้นั้นหมดประสิทธิภาพการต่อสู้


ของล้ำค่าเหล่านี้ยังมีวรยุทธไม่ถึงขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ แต่สามารถปลดปล่อยพลังที่แม้แต่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ยังต้องตัวสั่นเมื่อเผชิญหน้า พูดง่ายๆ ต่อให้ผู้อาวุโสฉิงหย่วนก็ต้องเผ่นหนีหากต้องรับมือกับของล้ำค่าพวกนี้


ส่วนสำนักดาบเมฆเหิน ของล้ำค่าที่ทำหน้าที่อารักขาพวกเขาคือดาบเล่มหนึ่งที่ผู้ก่อตั้งทิ้งไว้ เพราะได้รับการบ่มเพาะจากเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้า มันจึงมีพละกำลังมหาศาลที่สามารถเล่นงานแม้แต่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย


หอนานาอสูรมีบรรพบุรุษที่เป็นมังกรปฐพี เพียงแต่อีกฝ่ายหลับลึกมานานแสนนานจนไม่อาจรู้ได้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่


สำนักดาวเจ็ดดวงมีของล้ำค่าพิเศษที่เรียกว่าหมากรุก 7 ดาว ว่ากันว่ามันเป็นชุดหมากรุกที่เหล่าเทพเจ้าเคยใช้ ไม่มีใครรู้ว่ามันมีวรยุทธขั้นไหน แต่แน่นอนว่าล้ำลึกมาก


ด้วยพละกำลังของเครื่องอารักขาเหล่านี้ พวกมันจะถูกเปิดใช้งานได้โดยนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เท่านั้น ทั้ง 6 สำนักจึงไม่อาจรับประกันความยืนยงของพวกเขาได้ด้วยการมีของล้ำค่าเพียงอย่างเดียว


พวกมันเป็นไม้ตายสูงสุดของ 6 สำนักใหญ่ แต่สำนักป้อมปราการกระจกดำกับสำนักอมตะเลือนหายปล่อยให้หัวหน้าขงยืมมันไปอย่างง่ายดายจนแทบไม่น่าเชื่อ


แม้พฤติกรรมของหอนิรันดร์จะขาวสะอาดตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ฉลาดนักที่จะมอบเครื่องมือที่สามารถชี้เป็นชี้ตายชะตากรรมของสำนักให้ตกไปอยู่ในมือของคนนอก


“อาจดูไม่เหมาะนักที่ผมจะเป็นคนพูดเรื่องนี้ แต่หากไม่มีของล้ำค่าที่ทำหน้าที่อารักขาล่ะก็ พวกคุณจะไม่มีทางปกป้องตัวเองได้เลยถ้าหอเทพเจ้าตัดสินใจเปิดการโจมตี” หัวหน้าฉิงหย่วนพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว


การเดินเกมแบบนี้ถือว่าไม่ฉลาดเลย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่หอเทพเจ้าดูจะกระตือรือร้นผิดปกติ การมอบไม้ตายที่มีอานุภาพสูงสุดของตัวเองให้คนอื่นในเวลาแบบนี้ย่อมไม่ใช่ความคิดที่ดีแน่


“ไม่มีทางปกป้องตัวเองได้เลย? คุณคิดจริงๆหรือว่าพวกเราจะไม่พิจารณาเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้ว?” กู้จุ้ยอวิ๋นหัวเราะลั่น


เขาสะบัดข้อมือ แล้วชุดเกราะเต็มยศก็ปรากฏบนร่างของเขา เกราะนี้แผ่รังสีของความกดดันตามแบบของจอมทัพออกมา


“นี่มัน…ของล้ำค่าสำหรับการป้องกันตัวขั้นกึ่งสรวงสวรรค์?”


หานเจี้ยนชิวกับคนอื่นๆถึงกับผงะ


ในบรรดา 6 สำนักใหญ่ ไม่มีใครมีของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ แล้วกู้จุ้ยอวิ๋นได้มันมาได้อย่างไร?


“ใช่ นี่คือบรรณาการจากหัวหน้าขง ของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์และข้อมูลของนักรบจากหอเทพเจ้าคือสิ่งที่หัวหน้าขงมอบให้เพื่อแลกเปลี่ยนกับการขอยืมของล้ำค่าสำหรับการอารักขาของพวกเรา” กู้จุ้ยอวิ๋นตอบ


หานเจี้ยนชิวกับคนอื่นๆงุนงงหนัก


เหลือเชื่อจริงๆ!


มอบของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ อีกทั้งข้อมูลของนักรบจากหอเทพเจ้าเพื่อแลกเปลี่ยนกับการขอยืมของล้ำค่าที่ทำหน้าที่อารักขาสำนักเป็นเวลา 1 เดือน…


ต่อให้หอนิรันดร์จะมีทรัพย์สมบัติมากมาย ก็คงไม่อาจทุ่มเงินมหาศาลแบบนี้ใช่ไหม?


“ถ้าอย่างนั้น แปลว่าเจ้าสำนักไป่ก็มีของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เหมือนกันน่ะสิ?”


“ผมเชื่อว่าผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวคงรู้อยู่แก่ใจว่าผมมีของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์หรือไม่?” ไป่ซวนเฉิงคำรามขณะจ้องหน้าผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ


“ผม? ผมจะรู้เรื่องนั้นได้ไง?” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวตอบหน้าตาเฉย ราวกับไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น


แน่นอนว่าเขารู้ความจริงดีกว่าใคร


เขาเคยสงสัยว่าไป่ซวนเฉิงได้ของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์มาจากไหน แต่ลงท้ายก็กลับกลายเป็นว่ามันคือของแลกเปลี่ยนจากหอนิรันดร์


เพียงแต่เจ้าสำนักของพวกเขาขโมยของล้ำค่าของไป่ซวนเฉิงไปเมื่อตอนอยู่ในทะเลคันฉ่องน้อย พร้อมกับอาวุธและแหวนเก็บสมบัติของอีกฝ่ายด้วย


ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวรู้ดีว่าถึงอย่างไรก็ไม่อาจยอมรับความจริงได้ ไม่อย่างนั้นจะต้องเจอกับการตำหนิติเตียนอย่างหนักแน่


“อย่ามาตีหน้าซื่อกับผม เราทั้งคู่รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นที่ทะเลคันฉ่องน้อย!” ไป่ซวนเฉิงตวาด


ตอนนี้เขารู้แล้วว่าข้าวของทั้งหมดของตัวเองหายไป ซึ่งก็ใช้เวลาไม่นานในการขบคิดว่าใครคือตัวการที่หลบซ่อนอยู่ไม่ห่างออกไปนักตอนที่เขากำลังต่อสู้กับเต่าหลังดำ และผู้ที่ซ่อนตัวอยู่ก็คือผู้ที่จัดเตรียมคริสตัลเพชรเอาไว้เพื่อล่อลวงเต่าหลังดำให้ปรากฏตัวตั้งแต่แรก


“ผมไม่รู้ว่าทำไมคุณถึงกล่าวหาผมแบบนั้น แต่เรื่องนี้เราค่อยเคลียร์กันทีหลังก็ได้…สิ่งที่ผมกังวลมากกว่าในเวลานี้ก็คือทำไมหัวหน้าขงถึงยอมทุ่มทุนมหาศาลเพื่อการแลกเปลี่ยนแบบนี้”


ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวรู้ดีว่าหากปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไปก็มีแต่จะกระอักกระอ่วนใจขึ้นเรื่อยๆ จึงตัดสินใจให้ความสำคัญกับเรื่องที่อยู่ตรงหน้าก่อน “คุณไม่กังวลบ้างหรือว่าหัวหน้าขงคิดจะนำของล้ำค่าของคุณไปทำอะไร?”


หอนิรันดร์เจริญรุ่งเรืองตลอดหลายปีที่ผ่านมาหลังจากฉกฉวยตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ จากหอเทพเจ้ามาได้สำเร็จ ถึงขนาดที่กล่าวได้ว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติล้ำค่าปริมาณมากที่สุดในโลก แล้วทำไมถึงยอมจ่ายเงินมหาศาลเพียงเพื่อสิ่งนี้?


นี่เป็นปริศนาข้อใหญ่ที่ยังไม่มีใครตอบได้ว่าหัวหน้าขงคิดอะไรอยู่


“หัวหน้าขงเป็นคนลึกลับมาตลอด เขามีชื่อเสียงขึ้นมาตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อน ถึงขั้นที่โด่งดังทัดเทียมกับบรรดาผู้ก่อตั้งของพวกเราเลยทีเดียว ตอนนี้ผู้ก่อตั้งของพวกเรากลายเป็นผงธุลีไปหมดแล้ว แต่เขายังคงมีบทบาทในโลกใบนี้ ยากที่จะจินตนาการได้ว่าเขายกระดับวรยุทธของตัวเองไปถึงขั้นไหน” กู้จุ้ยอวิ๋นตั้งข้อสังเกต


“ด้วยสถานภาพของเขา ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าเขาจะคืนคำและฉกฉวยของล้ำค่าสำหรับการอารักขาของพวกเราไป ผมคิดว่าให้เขายืมไปแค่เดือนเดียวก็ไม่น่าเสียหายอะไร”


หานเจี้ยนชิวผู้เฉียบแหลมเข้าใจทันทีว่ากู้จุ้ยอวิ๋นคิดอะไรอยู่ รอยย่นลึกปรากฏที่หว่างคิ้วของเขา “สรุปว่าคุณมาที่นี่เพื่อแนะนำพวกเราให้ส่งของล้ำค่าสำหรับการอารักขาให้หัวหน้าขงยืมด้วยใช่ไหม?”


กู้จุ้ยอวิ๋นพยักหน้า “ใช่ พวกเราทำสิ่งนี้ก็เพื่อรักษาผลประโยชน์ของ 6 สํานักใหญ่…สำนักอมตะเลือนหายและสำนักป้อมปราการกระจกดำตกลงใจเป็นพันธมิตรกันแล้ว ถ้าพวกเราผ่านสะพานเบื้องบนไปด้วยกันได้ ปริมาณของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่พวกเรามีก็จะเหนือกว่าพวกคุณที่เหลือ และหากสิ่งนั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ พวกคุณจะไม่มีวันตามพวกเราทันอีกเลย…”


“คุณข่มขู่พวกเราหรือ?” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวตั้งคำถามด้วยนัยน์ตาวาววับ


“ผมก็แค่นำเสนอข้อเท็จจริง” กู้จุ้ยอวิ๋นตอบอย่างสุขุม


หานเจี้ยนชิวกับคนอื่นๆเงียบกริบ


สิ่งที่กู้จุ้ยอวิ๋นพูดก็มีส่วนจริง สมดุลของอำนาจระหว่าง 6 สำนักใหญ่อยู่บนรากฐานของข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาต่างมีนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์สำนักละคน และไม่มีใครมีของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์


เมื่อไรก็ตามที่สมดุลนี้แปรเปลี่ยนไป ก็ไม่อาจคาดเดาอนาคตได้


ตอนที่ 2104 เรื่องมันยาว…

ผู้ที่อยู่ในสถานภาพอ่อนแอกว่าจะพบว่าสำนักของพวกเขาค่อยๆถูกสำนักอื่นกลืนกินไป สุดท้ายก็จะกลายเป็นเพียงประโยคหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์


“ถ้ามันดีแบบนั้น ทำไมหัวหน้าขงถึงส่งคุณมาหว่านล้อมพวกเรา แทนที่จะมาด้วยตัวเอง?” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวตั้งคำถาม


เขามี 6 คำที่จะใช้จำกัดความข้อตกลงที่หัวหน้าขงกำลังหยิบยื่นให้-ดีเกินกว่าจะเป็นจริง ในเมื่อของล้ำค่าสำหรับการอารักขาเป็นส่วนหนึ่งของรากฐานของสำนักของพวกเขา ก็ไม่มีวันที่จะยอมให้ใครหยิบยืมง่ายๆ


แต่ก็นั่นแหละ การได้รับของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์และข้อมูลของหอเทพเจ้าเพื่อแลกเปลี่ยนกับการให้ยืมของล้ำค่าสำหรับการอารักขาสำนักเป็นเวลา 1 เดือน…นี่เป็นข้อเสนอที่เย้ายวนใจมาก พอๆกับที่อาจเป็นการจัดฉาก


ประสบการณ์เนิ่นนานหลายปีในฐานะเจ้าสำนักทำให้พวกเขามองทุกอย่างตามความเป็นจริง หากมีอะไรที่ดูดีเกินกว่าจะเป็นความจริง ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น


ถ้าหัวหน้าขงคิดจะหยิบยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจขนาดนี้ ทำไมถึงไม่มาพบพวกเขาด้วยตัวเอง?


“หัวหน้าขงมีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องรับมือในเวลานี้ จึงไม่อาจมาเจรจาด้วยตัวเองได้ แต่นั่นแหละ เขาสัญญาว่าจะรีบไปที่โขดหินสมอสวรรค์ให้ทันก่อนที่สะพานเบื้องบนจะลงมา เพราะไม่อย่างนั้น ต่อให้ได้ข้อมูลที่เกี่ยวกับนักรบของหอเทพเจ้าไปก็ไม่มีประโยชน์ คุณจะเสียเวลาอันล้ำค่าในการเตรียมตัวเพื่อเล่นงานจุดอ่อนของพวกเขา” กู้จุ้ยอวิ๋นตอบ


ต่อให้เหล่าผู้ท้าทายรู้จุดอ่อนของคู่ต่อสู้แล้ว แต่ก็ยังมีช่องว่างเรื่องความเก่งกาจระหว่างพวกเขากับเหล่านักรบจากหอเทพเจ้า พวกเขาจำเป็นต้องเตรียมตัวล่วงหน้าเพื่อเติมเต็มช่องว่างเหล่านั้นและคว้าชัยชนะให้ได้


ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงต้องการเวลา


“พวกคุณควรรีบตัดสินใจนะ เราจะออกเดินทางไปยังโขดหินสมอสวรรค์หลังจากเสร็จสิ้นพิธีสถาปนาของเจ้าสำนักจางเซวียน ผมจะถือว่าคุณไม่รับข้อเสนอนี้ถ้าคุณไม่ยอมตัดสินใจ” กู้จุ้ยอวิ๋นพูดขณะลุกขึ้นยืน “ผมมีเรื่องจะบอกเท่านี้แหละ ลาก่อน”


เมื่อพูดจบ เขาก็หันหลังกลับและบินจากไป


ไป่ซวนเฉิงรีบตามไปติดๆ


เมื่อทั้งสองจากไปแล้ว บรรยากาศในห้องนั้นก็ตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง


ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นยืน “ผู้อาวุโสหาน ผมขอตัวก่อนนะ”


ผู้อาวุโสฉิงหย่วนรีบลุกขึ้นและพูดว่า “ผมก็ขอตัวเหมือนกัน”


แล้วทั้งคู่ก็ออกจากห้องโถงใหญ่


เห็นทุกคนจากไป หานเจี้ยนชิวครุ่นคิดอย่างหนักครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นยืน “เราควรรีบติดต่อเจ้าสำนักจางเพื่อหารือกับเขา…”


เรื่องนี้เป็นเครื่องตัดสินความอยู่รอดของสำนักในระยะยาว ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะตัดสินใจด้วยตัวเองได้


ขณะที่หานเจี้ยนชิวกำลังพยายามติดต่อจางเซวียน ผู้อาวุโสฉิงหย่วนก็ตามไปรั้งตัวผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวไว้เพื่อหารือ


“ดูเหมือนตำหนักคว้าดาวกับสำนักดาบเมฆเหินจะได้รับข้อมูลบางอย่างที่ทำให้พวกเขาเสนอชื่อคนคนเดียวกันเป็นเจ้าสำนักและสร้างสายสัมพันธ์เป็นพันธมิตรกัน ส่วนสำนักป้อมปราการกระจกดำกับสำนักอมตะเลือนหายก็ยอมรับข้อเสนอของหอนิรันดร์และตกลงเป็นพันธมิตรกันแล้ว ตอนนี้เหลือแต่พวกเรานะ เราอยู่ในสถานภาพที่ไม่มั่นคงเลย” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนพูดขณะยิ้มเจื่อนๆ


“ผมก็คิดแบบเดียวกัน เราสองสำนักตกลงเป็นพันธมิตรกันดีไหม?” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวพยักหน้า


ในฐานะเจ้าสำนัก พวกเขาจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับสมดุลแห่งอำนาจระหว่าง 6 สำนักใหญ่ เพราะไม่อย่างนั้น ก็อาจถูกกลืนหายไปตั้งแต่ยังไม่ทันจะรู้ตัว


ในการพบปะเมื่อครู่นี้ พวกเขาพบว่าตัวเองอยู่ในสถานภาพที่อ่อนด้อยกว่าสำนักอื่น และนั่นทำให้ต้องทำทุกวิถีทางที่จะหลุดออกจากสภาพนั้นให้ได้


“ในเมื่อทุกอย่างมาถึงจุดนี้แล้ว ผมจะส่งข้อความหาหัวหน้าและเร่งให้เขารีบกลับมา คงจะดีถ้าเขาได้พบกับเจ้าสำนักหลิวหยางเพื่อหารือรายละเอียดเรื่องการเป็นพันธมิตรกันของเรา” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนพูด


“ใช่ ผมก็จะรายงานเจ้าสำนักให้รับทราบเรื่องนี้เช่นกัน” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวพยักหน้า


ทั้งคู่จึงนำตราหยกสื่อสารออกมาและเริ่มส่งข้อความหาหัวหน้ากับเจ้าสำนักคนใหม่


…..


จางเซวียนเยียวยาตัวเองตลอดการเดินทางกลับจากเกาะคว้าดาว เมื่อถึงที่หมาย เขาก็กลับคืนสู่พละกำลังเต็มพิกัดดังเดิม


ขณะที่กำลังมุ่งหน้าสู่ตำหนักคว้าดาว เขาก็สะบัดข้อมือและนำตราหยกสื่อสารอันหนึ่งออกมา


“เจ้าสำนักจาง กรุณากลับที่พักของสำนักดาบเมฆเหินด่วน”


มีแผนที่อยู่ถัดจากข้อความนั้นซึ่งบอกพิกัดของที่พัก


คงจะดีถ้าได้พบหานเจี้ยนชิวและถามเขาว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไร ลงท้ายเราถึงกลายเป็นเจ้าสำนักดาบเมฆเหินไปได้ จางเซวียนคิดพร้อมกับส่ายหน้า


เขารีบบินไปยังพิกัดที่ระบุไว้ในแผนที่


ตอนที่ออกจากสำนักดาบเมฆเหิน เขายังเป็นแค่ผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์คนหนึ่ง แล้วจู่ๆมาได้รับการเลื่อนตำแหน่งตอนไหน? แถมทุกอย่างยังเลวร้ายกว่าเดิมตรงที่ทั้งโลกดูเหมือนจะรู้เรื่องนี้ เว้นแต่ตัวเขาคนเดียว!


หลังจากบินไปได้ไม่กี่ลี้ จางเซวียนก็สะบัดข้อมืออีกครั้งและนำตราหยกสื่อสารอีกอันหนึ่งออกมา


“หัวหน้าเจิ้ง กรุณามาที่ศาลาฉางหยวน มีเรื่องสำคัญที่พวกเราต้องหารือกับคุณ”


ผู้ส่งข้อความคือผู้อาวุโสฉิงหย่วน


“ศาลาฉางหยวน?” จางเซวียนพึมพำ


เขาไม่คิดว่าสองสำนักจะตามตัวเขาพร้อมๆกันแบบนี้ จางเซวียนมองแผนที่ที่อยู่ด้านล่างและพบว่าศาลาฉางหยวนตั้งอยู่ไม่ห่างจากที่พักของสำนักดาบเมฆเหินมากนัก


เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนำตัวโคลนออกมา “ผมอยากให้คุณไปที่ศาลาฉางหยวนเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น…”


แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ จางเซวียนก็มีสีหน้าประหลาด เขาสะบัดข้อมืออีกครั้ง แล้วตราหยกสื่อสารอีกอันหนึ่งก็มาอยู่ในมือ มีข้อความแถวหนึ่งปรากฏ “เจ้าสำนักหลิว กรุณามาที่โซนชะตาเขียวทันทีที่ได้รับข้อความนี้ มีเรื่องด่วนที่พวกเราต้องคุยกัน…”


ผู้ส่งข้อความคือผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยว


“ฮะ?”


จางเซวียนถึงกับจังงัง


เขากำลังคิดว่าจะมุ่งหน้าไปยังที่พักของสำนักดาบเมฆเหินเพื่อพบหานเจี้ยนชิว และปล่อยให้ตัวโคลนเดินทางสู่ศาลาฉางหยวนเพื่อพบผู้อาวุโสฉิงหย่วน แต่กลับกลายเป็นว่า 3 สำนักต้องการพบเขาในเวลาเดียวกัน…


แล้วเขาจะรับมือกับสถานการณ์แบบนี้อย่างไร?


“ช่างมันเถอะ ทำเท่าที่ทำได้ไปก่อน ผมจะไปที่พักของสำนักดาบเมฆเหิน ส่วนคุณก็ไปศาลาฉางหยวน ไม่…แบบนั้นไม่ดีแน่ ช่างมันเถอะ คุณมากับผมดีกว่า!”


สุดท้ายจางเซวียนก็ล้มเลิกความคิดที่จะส่งตัวโคลนไป


ตัวโคลนมีต้นกำเนิดจากจิตวิญญาณของเขาก็จริง แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ตัวโคลนดูเหมือนจะมีปัญหาในการพบปะผู้คน มันมีบุคลิกที่แตกต่างกับเขาอย่างสิ้นเชิง ตัวโคลนของเขาทั้งก้าวร้าวและอวดดี พร้อมโชว์เหนือทุกเมื่อที่มีโอกาส


มันไม่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนเอาเสียเลย แล้วจะไว้วางใจให้คนแบบนั้นจัดการเรื่องใหญ่ได้อย่างไร?


จะเกิดอะไรขึ้นถ้าตัวโคลนของเขามีปัญหากับผู้อาวุโสฉิงหย่วน? นั่นจะกลายเป็นภาระตกหนักที่ตัวเขา ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น เก็บหมอนี่ไว้กับตัวย่อมดีกว่า


จางเซวียนจึงนำตัวโคลนใส่เข้าไปในแหวนเก็บสมบัติก่อนจะมุ่งหน้าต่อไป ครึ่งนาทีต่อมาก็มาถึงที่พักของสำนักดาบเมฆเหิน


“เจ้าสำนักจาง!” หานเจี้ยนชิวรีบลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับ


เขารายงานรายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก่อนจะตั้งคำถาม “คราวนี้เราจะทำอย่างไร? ควรรับข้อเสนอของหอนิรันดร์ไหม?”


“หอนิรันดร์ยื่นข้อเสนอเป็นของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์กับข้อมูลของสะพานเบื้องบน แลกเปลี่ยนกับการขอยืมของล้ำค่าสำหรับการอารักขา 6 สำนักใหญ่เป็นเวลา 1 เดือน?” จางเซวียนงุนงงกับข่าวที่ได้รับ


ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาจะยอมรับข้อเสนอทันที เพราะในเมื่ออีกฝ่ายคือครูบาอาจารย์ของโลกในทวีปแห่งปรมาจารย์ เขาก็ไว้ใจว่าคงไม่นำของล้ำค่าสำหรับการอารักขาไปใช้ในทางที่ผิด


แต่ตอนนี้เขาไม่กล้าสรุปแบบนั้นแล้ว


ยังคงมีความเป็นไปได้ว่าฟู่เฉิงสื่อสมรู้ร่วมคิดกับหอเทพเจ้าลับหลังหัวหน้าขง แต่เขาก็ได้พิสูจน์แล้วว่าตราสัญลักษณ์ที่หัวหน้าขงมอบให้เขาคือกุญแจที่ทำให้เหล่านักรบจากหอเทพเจ้าตามตัวเขาได้ เรื่องนี้บ่งบอกชัดว่ามีบางอย่างผิดปกติ!


“สิ่งนี้อาจสร้างความเสียหายใหญ่หลวง ผมคิดว่าน่าจะดีที่สุดหากได้พบหัวหน้าขงเป็นการส่วนตัว เพื่อจะได้เข้าใจกระจ่างขึ้นว่าเขากำลังพยายามทำอะไร” จางเซวียนพูด


ถ้าหัวหน้าขงยื่นข้อเสนอนี้เพื่อตั้งใจช่วยเหลือ 6 สำนักใหญ่จริงๆ สำนักดาบเมฆเหินจะเสียเปรียบมากหากไม่ยอมรับข้อเสนอ แต่ในเวลาเดียวกัน ด้วยทีท่าแปลกๆที่หอนิรันดร์แสดงออกมาก่อนหน้านี้ เขาก็จำเป็นที่จะต้องไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน


“ผมเข้าใจ” หานเจี้ยนชิวพยักหน้า จากนั้นก็ตั้งคำถามต่อด้วยแววตาที่แสดงความสงสัย “เจ้าสำนักจาง คุณได้ข่าวการเสนอชื่อคุณให้เป็นหัวหน้าตำหนักคว้าดาวคนใหม่หรือยัง?”


“เรื่องมันยาว…”


จางเซวียนเล่ารายละเอียดเรื่องการที่หอเทพเจ้าบีบบังคับตำหนักคว้าดาวให้ยอมจำนน การที่หอนิรันดร์เข้ามามีส่วนพัวพัน การที่ตู้ชิงหย่วนหายตัวไปอย่างปุบปับโดยไร้ร่องรอย


แต่ไม่ได้เอ่ยถึงตัวตนของเขาในฐานะเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวง


หลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมด หานเจี้ยนชิวมีสีหน้าเคร่งเครียด


“ผมคุ้นเคยกับตู้ชิงหย่วนดี วรยุทธของเธอทรงพลังมาก ถึงขนาดที่แม้ตัวผมก็เอาชนะได้ยาก ในโลกใบนี้มีกลุ่มอำนาจเพียงไม่กี่กลุ่มหรอกที่เก่งกาจพอจะทำให้เธอหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยได้”


จางเซวียนขมวดคิ้ว “ในทวีปที่ถูกลืม…ใครกันที่ทำแบบนั้นได้?”


ถ้าประสิทธิภาพการต่อสู้ไม่ได้ต่างกันจนเกินไป อย่างน้อยตู้ชิงหย่วนก็น่าจะส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือได้ไม่ใช่หรือ?


อย่างชายชราที่เขาได้พบที่ทะเลพลัดดาวเมื่อไม่นานมานี้ แม้อีกฝ่ายจะมีวิธีการที่เหนือความคาดหมาย แต่ถ้าเขาต้องการ ก็สามารถส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือได้


การที่ตู้ชิงหย่วนเงียบหายบ่งบอกถึงอะไรบางอย่าง


“หอเทพเจ้าเป็นกลุ่มอำนาจทรงพลังที่ผงาดเงื้อมเหนือทวีปที่ถูกลืม แต่ก็อยู่ภายใต้การควบคุมของเทพเจ้าตัวจริง หากมีเทพเจ้าตัวจริงอยู่ในทวีปที่ถูกลืมล่ะก็ เทพเจ้าจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่นี่ อย่าว่าแต่ตู้ชิงหย่วนเลย ต่อให้ 6 สํานักใหญ่ผนึกกำลังกัน พวกเราก็ยังรับมือกับเทพเจ้าไม่ได้” หานเจี้ยนชิวพูด


จางเซวียนพยักหน้า


เขาไม่เคยพบเทพเจ้าตัวเป็นๆมาก่อน แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกนั้นจะต้องมีพละกำลังที่เหนือชั้นกว่าแม้แต่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าตู้ชิงหย่วนจะอับจนหนทางเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเทพเจ้าตัวจริง


ตอนที่ 2105 เข้ากันได้ดี…

“นอกเหนือจากหอเทพเจ้า บุคคลต่อไปที่น่าจะมีความเป็นไปได้สูงสุดก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหัวหน้าหอนิรันดร์ การที่หัวหน้าขงสามารถฉกฉวยตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ มาจากหอเทพเจ้าได้บ่งบอกชัดว่าเขามีพละกำลังและความแข็งแกร่งเหนือกว่าที่พวกเราคาดหมาย ต่อให้เขาไม่ใช่เทพเจ้า ก็ไม่ได้ห่างไกลจากคนพวกนั้นสักเท่าไหร่”


“อือ” จางเซวียนพยักหน้า


ความสำเร็จของปรมาจารย์ขงในทวีปที่ถูกลืมเป็นหลักฐานที่ชี้ชัดถึงวิธีการอันน่าทึ่งของเขา


“ส่วนที่เหลือ ผมเกรงว่าผมจะไม่รู้อะไรมากนัก ในเมื่อทวีปที่ถูกลืมเป็นดินแดนที่ถูกละเลยจากเทพเจ้า ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจมีกลุ่มอำนาจทรงพลังอื่นๆกระจัดกระจายอยู่ทั่วดินแดน ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่พวกเราไม่รู้จัก”


คำพูดนั้นทำให้จางเซวียนย่นหน้าผาก


เขาไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ข้อนี้มาก่อน


เมื่อลองนึกดู ในอดีต ทวีปที่ถูกลืมก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของสรวงสวรรค์ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังกว่าพักอาศัยกระจัดกระจายอยู่


ทั้งคู่สนทนากันอีกครู่หนึ่ง ซึ่งการสนทนาก็ทำให้จางเซวียนได้รู้ว่าทวีปที่ถูกลืมซับซ้อนกว่าที่เขาคิดไว้มาก เขาส่ายหัวและตัดสินใจไม่ลงลึกในรายละเอียด จากนั้นก็ตั้งคำถาม “ว่าแต่…ผมได้ข่าวว่าผมกลายเป็นเจ้าสำนักดาบเมฆเหินคนใหม่ไปแล้ว ไม่ทราบว่าเป็นแบบนั้นได้อย่างไร?”


หานเจี้ยนชิวยิ้มให้ จากนั้นก็อธิบายเรื่องการประกาศของเขาที่มีขึ้นหลังจากจางเซวียนออกเดินทางได้ไม่นาน


“ผมเข้าใจแล้ว…” จางเซวียนพยักหน้าพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ


หานเจี้ยนชิวทำไปก็เพื่อปกป้องเขา


เพียงแต่มันไม่มีประโยชน์เอาเสียเลย ขนาดได้รู้ว่าเขาเป็นเจ้าสำนักดาบเมฆเหิน เจ้าสำนักดาวเจ็ดดวง และหัวหน้าหอนานาอสูรแล้ว หอเทพเจ้าก็ยังเล่นงานเขาโดยไม่ลังเล!


“เอาล่ะ ผมขอตัวก่อน ยังมีธุระที่ต้องจัดการ”


หลังจากซักถามทุกสิ่งที่อยากรู้หมดแล้ว จางเซวียนก็รีบออกจากที่พักของสำนักดาบเมฆเหินและมุ่งหน้าไปพบผู้อาวุโสฉิงหย่วน


“หัวหน้าเจิ้ง!”


เมื่อเห็นจางเซวียน ผู้อาวุโสฉิงหย่วนถอนหายใจอย่างโล่งอก เขารีบเล่ารายละเอียดให้อีกฝ่ายฟัง


เพราะได้รู้เรื่องจากหานเจี้ยนชิวแล้ว จางเซวียนจึงไม่ประหลาดใจมากนัก เขาย่นหน้าผากอย่างครุ่นคิดขณะตั้งคำถาม “ผู้อาวุโสฉิง คุณมีความเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไร?”


“ในเมื่อสำนักดาบเมฆเหินเป็นพันธมิตรกับตำหนักคว้าดาวแล้ว ผมก็คิดว่าเราควรจะตกลงเป็นพันธมิตรกับสำนักดาวเจ็ดดวงเหมือนกัน อย่างน้อยที่สุดก็จะพึ่งพาและพูดจาหารือกันได้มากขึ้น” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนตอบ


“ถ้าคุณไม่ขัดข้องอะไร ผมพาคุณไปพบเจ้าสำนักหลิวหยางที่เป็นเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวงคนใหม่ก็ได้ ผมรู้มาว่าเขาเป็นคนหนุ่มอัจฉริยะ คุณทั้งคู่น่าจะเข้ากันได้ดี”


“เข้ากันได้ดี…” เส้นเลือดที่ขมับของจางเซวียนปูดโปน


เขาคงมีปัญหาเรื่องการเป็นคนสองบุคลิกแน่ถ้าเข้ากับตัวเองได้ดีขนาดนั้น!


ผู้อาวุโสฉิงหย่วนเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของจางเซวียน “ถ้าคุณยังไม่สะดวกใจล่ะก็ ผมเลื่อนการพบปะกับเจ้าสำนักหลิวไปก่อนก็ได้”


จางเซวียนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าช้าๆ “ไม่ต้องหรอก ไปพบผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวกัน มีบางเรื่องที่ผมต้องแจ้งให้คุณทั้งคู่รับทราบ”


ถ้าเขาต้องการ เขาก็มั่นใจว่าจะยังปลอมตัวต่อไปได้เรื่อยๆ แต่ด้วยมาตรการบีบบังคับที่หอเทพเจ้าใช้กับตำหนักคว้าดาว ก็เห็นชัดแล้วว่า 6 สำนักใหญ่ควรผนึกกำลังกันเพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤตครั้งนี้ให้ได้


เพราะฉะนั้น…


คงถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องเปิดเผยตัวตนในฐานะผู้นำของ 4 สำนักเสียที ด้วยแต้มต่อที่เขามีอยู่ เขาน่าจะมีสิทธิ์มีเสียงในการสร้างความเป็นพันธมิตรระหว่าง 6 สำนักใหญ่ได้


แต่เรื่องเดียวที่เขายังไม่แน่ใจก็คือคนเหล่านั้นจะรับได้หรือเปล่า!


“ก็ดี ไปกันเลย!”


ผู้อาวุโสฉิงหย่วนไม่แน่ใจว่าจางเซวียนกำลังจะบอกอะไร แต่สีหน้าเคร่งขรึมของอีกฝ่ายบ่งบอกว่าจะต้องเป็นเรื่องสำคัญมาก เขาจึงรีบนำทางไป


โซนชะตาเขียวที่สำนักดาวเจ็ดดวงตั้งอยู่ไม่ไกลจากศาลาฉางหยวนมากนัก ห้านาทีต่อมา ทั้งคู่ก็มายืนอยู่ตรงหน้าผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวกับคนอื่นๆ


ผู้อาวุโสฉิงหย่วนก้าวออกไปก้าวหนึ่งและแนะนำจางเซวียนอย่างภาคภูมิใจ “นี่คือหัวหน้าคนใหม่ของเรา หัวหน้าเจิ้งหยาง!”


“เขาดูเก่งกาจฉลาดเฉลียวจริงๆ” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวพยักหน้า


เขาเคยสงสัยว่าหัวหน้าหอนานาอสูรคนใหม่อาจเป็นคนเดียวกันกับเจ้าสำนักหลิวหยางซึ่งเป็นเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวง แต่เท่าที่เห็น ดูจะไม่มีความเชื่อมโยงใดๆระหว่างทั้งคู่


เจ้าสำนักของพวกเขาเป็นแค่นักรบอมตะขั้นสูงระดับล่างขณะที่หัวหน้าเจิ้งหยางคนนี้เป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์แล้ว อีกอย่าง รากฐานวรยุทธของอีกฝ่ายก็ดูจะแข็งแกร่งมั่นคง พร้อมจะฝ่าด่านวรยุทธได้ทุกขณะ


“ไม่ทราบว่าตอนนี้เจ้าสำนักหลิวอยู่ไหน?” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนตั้งคำถามพร้อมกับขมวดคิ้ว “เราพาหัวหน้าคนใหม่มาถึงที่นี่แล้ว คุณไม่รู้สึกว่ามันออกจะหยาบคายไปหน่อยหรือที่เจ้าสำนักของคุณไม่ออกมาต้อนรับ?”


“เราส่งข้อความไปแล้ว เจ้าสำนักหลิวคงจะกลับมาเร็วๆนี้แหละ คงต้องขอให้คุณอดทนรออีกสักหน่อย” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวพูด


จากนั้นเขาก็นำตราหยกสื่อสารออกมาและตั้งต้นเขียนข้อความ


เห็นผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวเริ่มส่งข้อความหาเจ้าสำนักหลิวหยาง จางเซวียนสะบัดข้อมือและนำตราหยกสื่อสารออกมา ตราหยกสื่อสารอันนั้นเรืองแสงเจิดจ้าทันที บ่งบอกว่ามีข้อความใหม่ แต่เขาก็กำมันไว้และนิ่งเฉย ไม่คิดจะตรวจสอบมัน


ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวเห็นแสงสว่างวาบบนตราหยกสื่อสารในมือของจางเซวียน แต่รู้ดีว่าจะเป็นการเสียมารยาทหากแอบดูข้อความของคนอื่น จึงพูดขึ้นอย่างสุภาพ “หัวหน้าเจิ้ง ดูเหมือนใครสักคนกำลังพยายามติดต่อคุณนะ”


“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นแหละ” จางเซวียนพยักหน้า “ผู้อาวุโสคุ่ยไม่ต้องใส่ใจผมหรอก ส่งข้อความหาเจ้าสำนักของคุณต่อเถอะ”


“ก็ได้”


ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวไม่รู้ว่าหัวหน้าเจิ้งหยางคนนี้คิดจะทำอะไร แต่ก็ส่งข้อความหาเจ้าสำนักหลิวหยางต่อไป แล้วก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าตราหยกสื่อสารในมือของหัวหน้าเจิ้งหยางยังคงเรืองแสงต่อเนื่อง


เรื่องนี้ทำให้เขาสงสัยมาก


เขาส่งข้อความเพิ่มอีก 2 ข้อความ และตราหยกสื่อสารในมือของอีกฝ่ายก็ยิ่งเจิดจ้ากว่าเดิม ดูราวกับสะท้อนการเคลื่อนไหวของเขา


“เอ่อ…”


ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวสังหรณ์ใจตะหงิดๆขึ้นมา เขาดึงตราหยกสื่อสารที่อยู่ในมือของหัวหน้าเจิ้งหยางออกมาอย่างสุภาพและจ้องดูมัน


ร่างของเขาแข็งทื่อ จากนั้นก็ตั้งคำถาม “ท่านเจ้าสำนัก?”


“ใช่” จางเซวียนพยักหน้า


“ฮะ…” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวแทบลมจับเดี๋ยวนั้น


กลายเป็นว่าข้อสันนิษฐานของเขาเป็นความจริง แท้ที่จริงหลิวหยางก็คือเจิ้งหยาง!


ก่อนหน้านี้คุณยังปฏิเสธอยู่เลย…


ผู้อาวุโสฉิงหย่วนงุนงงกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างปุบปับ เขาตั้งคำถาม “มีอะไรหรือ?”


“ดูสิ่งนี้เถอะ แล้วคุณจะเข้าใจเองว่าเกิดอะไรขึ้น” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวยื่นตราหยกสื่อสารของเขาพร้อมกับตราหยกสื่อสารที่เขาดึงมาจากมือของจางเซวียน


ผู้อาวุโสฉิงหย่วนมองตราหยกทั้งคู่ เขาตัวแข็งขึ้นมาทันที “หัวหน้าเจิ้ง…คุณคือหลิวหยางหรือ?”


จางเซวียนพยักหน้ารับ ยืนยันความสงสัยของผู้อาวุโสฉิงหย่วน


สองผู้อาวุโสจ้องหน้ากันอยู่นาน ต่างคนต่างยิ้มเจื่อนๆ ลงท้ายพวกเขาก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างจนปัญญา


“ผมว่าแบบนี้ก็ไม่แย่นักหรอก ถึงอย่างไรสำนักดาบเมฆเหินกับตำหนักคว้าดาวก็มีผู้นำคนเดียวกันแล้ว ความสัมพันธ์แบบนั้นจะทำให้ทั้งสองสำนักใกล้ชิดกันมากขึ้น ต่อให้เกิดวิกฤตขึ้นในทวีปที่ถูกลืม ด้วยความกลมเกลียวของพวกเรา เราก็น่าจะรับมือกับช่วงเวลาที่ยากลำบากได้โดยไม่มีปัญหาอะไร” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนพูด


สถานการณ์ลุกลามบานปลายถึงขั้นที่แต่ละสำนักไม่อาจอยู่โดดเดี่ยวได้แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นกับตำหนักคว้าดาวเป็นสัญญาณเตือนสำนักที่เหลือ แต่แม้ 2 สำนักจะตกลงเป็นพันธมิตรกัน หากยังไม่ไว้วางใจกันอยู่ การร่วมมือนั้นก็เปล่าประโยชน์


แต่หากพวกเขามีศูนย์รวมอยู่ที่ผู้นำซึ่งดูแลพร้อมกันทั้ง 2 สำนัก ก็มั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดการแทงข้างหลังหรือลอบทำร้าย ด้วยความสัมพันธ์เหนียวแน่นระหว่าง 2 สำนัก พวกเขาจะยืนหยัดรับมือกับคนอื่นๆได้


อีกอย่าง ผู้นำของพวกเขาก็เก่งกาจทั้งด้านการฝึกอสูรและเทคนิคการต่อสู้ ด้วยความสามารถแบบนี้ มีอะไรที่ต้องเกรงกลัวนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์อย่างจางเซวียน


ถึงขนาดนี้แล้ว พวกเขายังต้องกลัวอะไรอีก?


ต่อให้หอเทพเจ้าก็ยังต้องคิดหนักหากจะรุกรานพวกเขาในเวลานี้!


“ถ้าอย่างนั้นก็ป่าวประกาศให้ทั้งโลกรับรู้ถึงการเป็นพันธมิตรของพวกเรา แล้วจะไม่มีใครกล้าระรานอีกต่อไป” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวออกความเห็นพร้อมกับยิ้มอย่างโล่งอก


ด้วยการป่าวประกาศถึงการเป็นพันธมิตรของพวกเขา ทั้ง 2 สำนักจะมีสถานภาพที่ชัดเจน มีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้นเมื่อต้องหารือในที่ประชุมของ 6 สำนักใหญ่


“ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศหรอก พิธีสถาปนาเจ้าสำนักจางเซวียนกำลังจะเริ่มไม่ใช่หรือ? เป็นไปได้ว่าสำนักอื่นๆคงจะส่งบุคลากรชั้นสูงของพวกเขามาเป็นสักขีพยานในพิธี ถ้าประกาศข่าวที่นั่น น่าจะส่งผลกระทบในวงกว้างกว่า” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนพูด


วิธีการแจ้งข่าวก็ก่อให้เกิดความแตกต่างเช่นกัน หากพวกเขาประกาศต่อหน้าบุคลากรชั้นสูงของ 6 สำนักใหญ่ ผลที่ได้จะโดดเด่นกว่ากันมาก


“เป็นความคิดที่ดี…” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวพยักหน้า


ถึงตอนนี้ เสียงระฆังดังก็ดังกึกก้องทั่วทั้งเกาะคว้าดาว


“เริ่มแล้วล่ะ พวกเราไปกันเถอะ” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวพูดขณะลุกขึ้นยืน


“คือ…” จางเซวียนกำลังจะอธิบายเรื่องราวทั้งหมด แต่รู้ดีว่าไม่อาจทำได้ในเวลานี้ จึงได้แต่รีบตามทั้งคู่ไปที่ตำหนักคว้าดาว


พิธีสถาปนาหัวหน้าตำหนักคว้าดาวคนใหม่เป็นงานใหญ่ ทั่วทั้งบริเวณจึงคลาคล่ำไปด้วยฝูงชน ทุกคนล้วนตื่นเต้น อยากพบชายคนแรกในทวีปที่ถูกลืมที่คว้าตำแหน่งผู้นำของ 2 ใน 6 สํานักใหญ่


ในจัตุรัสที่ใหญ่ที่สุดของตำหนักคว้าดาว มีบัลลังก์สูงตั้งอยู่ใจกลางฝูงชน หานเจี้ยนชิว คุ่ยเฉี่ยว กับคนอื่นๆยืนเด่นเป็นสง่าอยู่โดยรอบ ทำให้บรรยากาศอบอวลไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์และเคร่งขรึม


“ผมได้ยินว่าเจ้าสำนักจางเซวียนทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ แม้จะเป็นแค่นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ แต่ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาไม่ได้อ่อนด้อยกว่านักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์เลย!”


“ใช่ คนที่เข้าตาหานเจี้ยนชิวกับตู้ชิงหย่วนจะต้องมีความเก่งกาจแบบไม่ธรรมดาแน่!”


“ผมอยากเห็นว่าเขาเป็นคนแบบไหน มีข่าวลือเกี่ยวกับตัวเขามากมาย แต่ชื่อจางเซวียนก็ยังคงเป็นบุคคลที่ทวีปที่ถูกลืมไม่รู้จัก นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาจะเปิดตัวต่อสาธารณชน…”


เสียงหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นดังขึ้นทั่วไป

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)