กระบี่จงมา 210.1-210.2

 บทที่ 210.1 ภูเขาและแม่น้ำบรรจบคือการได้พบกันอีกครั้ง

โดย

ProjectZyphon

เฉินผิงอันอยู่ในฐานะของแขกผู้สูงศักดิ์ก็จริง แต่กลับไม่ใช่คนที่เอาแต่ใจบ้าอำนาจ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องให้สาวใช้ทั้งสองปรนนิบัติรับใช้อย่างจริงจัง เด็กสาวชิวสือจึงเอาความคิดไปไว้ที่อื่น ทุกวันนางจะทำตัวเหมือนเทพการข่าวที่เอาเรื่องราวน่าสนใจซึ่งเกิดขึ้นบนเรือคุนในช่วงเวลาที่ผ่านมามาเล่าให้ฟัง ส่วนข้อที่ว่าเฉินผิงอันจะชอบฟังหรือไม่ นางไม่สนใจ จะอย่างไรซะเด็กหนุ่มยากจนจากต้าหลีคนนี้ก็เป็นคนพูดง่ายอยู่แล้ว


เด็กสาวเล่าเสียงเจื้อยแจ้วบอกว่าที่บ่อนการพนันมีหินเดิมพันของคนผู้หนึ่งถูกเจียระไนออกมาเป็นหยกงามที่หาได้ยากยิ่ง เป็นหยกที่สามารถฟักแก่นหยกได้ด้วยตัวเอง พอเอาออกมาแล้วก็ส่องประกายแสงพร่างพราวจับตา อย่างน้อยมีมูลค่าถึงสามหมื่นหยกเกล็ดหิมะ คนผู้นั้นถึงกับรวยเป็นเศรษฐีเลยทีเดียว


ทางฝั่งร้านขายอาวุธของหลิวหน้ากระ เจอกับเศรษฐีสองกลุ่มที่ยอมทุ่มเงินหมดหน้าตัก พวกเขาถูกใจอาวุธชิ้นเดียวกัน และเพราะต้องการเอาชนะกันจึงทำให้ราคาทะยานสูงลิ่ว สุดท้ายคนที่ขึ้นเรือจากท่าเรืออู๋ถงต้าหลีมือเติบมากกว่า ง้าวฟางเทียนฮว่าที่ราคาเดิมคือแปดพันหยกเกล็ดหิมะ กลายเป็นว่าต้องจ่ายไปเกือบสองหมื่นหยกเกล็ดหิมะ นี่ทำให้เด็กสาวทั้งอิจฉาทั้งเสียดาย ใครเขาใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายขนาดนี้บ้าง คิดว่าแค่ลมพัดเงินก็งอกขึ้นมาเองหรือไง


และยังมีคนผู้หนึ่งที่ดื่มเหล้าจนเมามายอยู่ในหอซิ่งฮวา เขาร้องไห้คร่ำครวญตะโกนเรียกชื่อแม่นางคนหนึ่ง ทำเอาแขกที่อยู่ใกล้เคียงหนวกหูกันมาก สุดท้ายถูกผู้ดูแลของหอซิ่งฮวาลากตัวออกไปซ้อมหนักๆ หนึ่งรอบ ผลกลับกลายเป็นว่าวันต่อมาเขาก็ไปอีก แต่ไม่กล้าโวยวายอีกแล้ว คราวนี้ไปนั่งยองกินขนมเปี๊ยะอยู่ริมถนนนอกหอซิ่งฮวา เหม่อมองหอสูงซึ่งมีแม่นางที่ตัวเองหลงรักอยู่ด้านใน น้ำมูกน้ำตาไหลอาบน้ำ จึงถูกกินเข้าไปพร้อมกับขนมเปี๊ยะด้วย


เป็นนักพรตหนุ่มขอบเขตสี่คนหนึ่ง ที่แท้เขาก็ใช้เงินจนเกลี้ยงแล้ว เพราะไปถูกใจหญิงคณิกาคนหนึ่งที่งดงามดุจดอกบัวขาว สองเดือนที่ผ่านมาจึงใช้เวลาหมดไปกับการแสดงความรักความใคร่กับนาง นี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้ เล่าลือกันว่านักพรตคนนั้นเป็นพวกคลั่งรัก จนถึงวันนี้ก็ยังไม่เคยได้จับมือของหญิงคณิกา นับว่าเป็นสุภาพบุรุษที่แท้จริง


ชิวสือพูดจ้อไม่หยุดปาก แถมยังปรุงเสริมเติมแต่ง เล่าได้น่าฟังยิ่งกว่านักเล่านิทานเสียอีก เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันแค่ฟังผ่านหูไปเท่านั้น


ความสนใจของเฉินผิงอันไม่ได้อยู่บนเรือ แต่อยู่ใต้ฝ่าเท้า


วันหนึ่งท่ามกลางแสงสายัณห์เรือคุนเจอพายุลมกรดรุนแรง จำเป็นต้องลดระดับความสูงลง เป็นเหตุให้เฉินผิงอันพบว่าบนผืนแผ่นดินแห่งหนึ่งมีกองเพลิงลุกโชติช่วง ควันปืนคลุ้งไปสี่ทิศ กลุ่มควันที่พุ่งตรงสู่กลางอากาศคล้ายหน่ออ่อนของต้นกล้าที่อยู่ในผืนนา ส่ายเอียงบิดเบี้ยวไปตามสายลม ชุนสุ่ยรู้เรื่องวงในของแจกันสมบัติทวีปหลายอย่าง แล้วก็เคยอ่านแผนที่ในห้องหนังสือมาก่อน จึงสามารถให้คำตอบเฉินผิงอันได้อย่างรวดเร็ว ที่แท้นั่นคือสงครามนองเลือดที่เกี่ยวพันกับโชคชะตาแคว้นของสองฝ่าย ราชวงศ์ใหญ่สองแห่งที่เป็นศัตรูคู่แค้นกันมาหลายรุ่นหลายสมัย หลังจากผ่านการสู้รบยาวนานมาหลายร้อยปี ในที่สุดพวกเขาก็ทุ่มหมดหน้าตัก ดึงพละกำลังทั้งหมดของแคว้นมาใช้ และเรียกระดมผู้ฝึกลมปราณจำนวนมาก


ผ่านศึกครั้งนี้ไป พลังต้นกำเนิดของทั้งสองฝ่ายต้องเสียหายอย่างใหญ่หลวงแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้พื้นที่แถบเหนือทั้งหมดของแจกันสมบัติทวีปซึ่งมีสำนักศึกษากวานหูเป็นเส้นแบ่งเขต นอกจากสกุลเกาต้าสุยที่ให้ความสำคัญทั้งบุ๋นและบู๊แล้ว ราชวงศ์อื่นๆ ที่สามารถงัดข้อกับคนป่าเถื่อนสกุลซ่งต้าหลีได้นั้นจะยิ่งมีน้อยลงเรื่อยๆ


ชุนสุ่ยมองไปยังผืนแผ่นดินที่สิ่งมีชีวิตไหม้เกรียมเป็นตอตะโกแล้วถอนหายใจอย่างปลงอนิจจังเบาๆ “หากรบกันรุนแรง ไม่แน่ว่าแจกันสมบัติทวีปคงต้องมีซากสมรภูมิรบเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งแห่ง หลายสิบปีให้หลัง รอให้ลมปราณมั่นคงแล้วก็น่าจะมีอริยะของภูเขาเจินอู่หรือไม่ก็ศาลลมหิมะมาเฝ้าบัญชาการณ์ กลายมาเป็นแถบพื้นที่ของสำนักการทหารแห่งใหม่”


เฉินผิงอันคอยมองไปยังพื้นดินที่มีแสงสว่างวูบวาบเป็นระยะ และต่อให้มองจากหอชมทัศนียภาพแห่งนี้ก็ยังเห็นได้ว่าระหว่างนี้มีนักรบเกราะเงินเกราะทองขนาดเท่าเล็บมือกำลังต่อสู้อยู่กับสัตว์ยักษ์ที่ผุดออกมาจากพื้นดินที่ปริแตก


เฉินผิงอันเดาว่านั่นน่าจะเป็นการเข่นฆ่าระหว่างผู้ฝึกลมปราณที่มีวิชาอภินิหารติดตัว


นอกจากนี้ยังมีภาพเหตุการณ์อีกมากที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนหัวสมองว่างเปล่า


มีนกกระเรียนเซียนกลุ่มหนึ่งแผดเสียงยาวทะยานขึ้นฟ้ามาอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งโผล่ลอยเหนือทะเลเมฆ พวกมันก็สยายปีกบินไปยังทะเลเมฆตำแหน่งที่สูงกว่า มองดูคล้ายภาพวาดที่เคลื่อนขยับได้


และยังมีห่านป่าจับกลุ่มกันบินมุ่งหน้าไปทางใต้ แล้วก็มีเสาก้อนเมฆที่หมุนคว้างคลอเคล้าไปด้วยเสียงฟ้าร้องและสายฟ้าแลบ ผู้ฝึกลมปราณบินทะยานมาหยุดอยู่นอกเสาก้อนเมฆ ใช้อาวุธที่ดึงดูดสายฟ้าโดยเฉพาะเก็บสายฟ้าเข้าไปในกระเป๋าตัวเอง และยิ่งมีผู้ฝึกลมปราณใหญ่ที่โดยสารหลวนดำ (หลวนคือนกในตำนานคล้ายหงส์) ความเร็วในการทะยานกลางอากาศเหนือกว่าเรือคุน เพียงชั่วพริบตาร่างที่เปล่งประกายรัศมีของมันก็หายวับไป


เฉินผิงอันได้ยินว่าเรือคุณมี ‘ร้านส่งจดหมาย’ ที่ใช้กระบี่บินส่งข้อความโดยเฉพาะ ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายจุดพักม้าในโลกมนุษย์ จึงเขียนจดหมายสองฉบับ ไหว้วานให้ชิวสือไปส่งให้ เพราะสิ่งที่เขียนในจดหมายไม่มีความลับอะไร แค่บอกให้คนรับรู้ว่าตัวเองปลอดภัยดี และเล่าเรื่องประหลาดที่รู้มาจากชิวสืออีกเล็กน้อย ต่อให้จะมีใครเปิดอ่านก็ไม่เป็นไร เพียงแต่ว่าราคาส่งจดหมายแพงมาก จดหมายหนึ่งฉบับที่ส่งไปถึงเมืองหลงเฉวียนต้าหลีต้องใช้หยกเกล็ดหิมะที่เทพเซียนบนภูเขาใช้กันถึงสิบอีแปะ หากเป็นจดหมายที่ส่งไปยังสำนักศึกษาซานหยาต้าสุยก็ยิ่งแพง ยี่สิบอีแปะ ทำเอาเฉินผิงอันตกใจจนต้องล้มเลิกความคิดที่จะส่งจดหมายไปให้ทุกคนคนละฉบับทันที ผู้รับจดหมายของต้าหลีคือเว่ยป้อ ส่วนผู้รับจดหมายของสำนักศึกษาต้าสุยก็คือหลี่เป่าผิง แล้วค่อยให้คนทั้งสองนำความในจดหมายไปบอกต่อคนอื่น


เฉินผิงอันยืนอยู่บนหอชมทัศนียภาพ ภายใต้การชี้แนะจากชิวสุ่ยเขาจึงค้นพบว่าหอเรือนเล็กหลังหนึ่งที่ติดกับกำแพงรั้วมีแสงเล็กๆ เปล่งวูบอยู่เป็นระยะ หากไม่สังเกตก็แทบไม่เห็น ชุนสุ่ยอธิบายด้วยรอยยิ้มอย่างอดทนว่า “หนูมีเส้นทางของหนู นกก็มีเส้นทางของนก กระบี่บินส่งจดหมายเองก็เป็นเช่นเดียวกัน บรรยากาศชั้นหนึ่งบนท้องฟ้าเหมาะสำหรับการเดินทางของกระบี่บินมากที่สุด เพราะแรงต้านมีน้อยมาก ต่อให้มีผู้ฝึกลมปราณบุกเบิกช่องทางพิเศษไว้ในความสูงระดับนี้โดยเฉพาะ แต่เมื่อใดที่กระบี่บินส่งข่าวทั่วโลกลอยขึ้นฟ้าก็มักจะมุ่งหน้าไปยัง ‘เส้นทางที่เล็กแคบดุจไส้แกะ’ นี้เสมอ ขอแค่เป็นลูกศิษย์ของสำนักใหญ่ๆ ล้วนรู้กฎเกณฑ์ข้อนี้ ดังนั้นหากคิดจะบินทะยานกลางอากาศต้องเป็นฝ่ายหลีกทางให้”


ชิวสือเพิ่งกลับมาถึงห้องหนังสือ นางยืนพิงอยู่ตรงกรอบประตู พูดกลั้วหัวเราะ “ใช่ว่าจะไม่เคยมีผู้ฝึกลมปราณนอกรีตที่โง่เง่าเสียเลย บางคนที่เพิ่งจะฝึกบินกลางอากาศได้สำเร็จ คิดอยากจะเป็นนกที่โบยบินอยู่บนฟ้าสูง ผลกลับกลายเป็นว่าทะเล่อทะล่าเข้าไปในเส้นทางนั้น ถูกกระบี่บินรุมฟาดจนหน้าเขียวจมูกบวม นี่ยังถือว่าโชคดีแล้วด้วย หากโชคร้ายก็มีที่ถูกแทงลูกตา ลำคอ ร่วงลงมาจากที่สูง ตายคาที่ กลายเป็นเนื้อเละๆ กองหนึ่งก็มี น่าสงสารจริงๆ”


เฉินผิงอันถามคำถามที่แสดงให้รู้ว่าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ “บนโลกจะไม่มีใครที่กินอิ่มแล้วว่างงานจนไปขัดขวางการส่งข่าวของกระบี่บินบ้างเลยหรือ?”


ชิวสือพยักหน้ารับ “ต้องมีอยู่แล้ว พวกผู้ฝึกลมปราณที่สมองเลอะเลือนมีเยอะแยะไป เพียงแต่ว่าทางเล็กไส้แกะของกระบี่บินเส้นนี้ถูกขนานนามว่าเป็น ‘ทางเล็กลายเมฆ’ ซึ่งจะมีนักพรตลายเมฆรับผิดชอบจับตามองพื้นที่แห่งนี้โดยเฉพาะ ด้วยหวังว่าจะร่ำรวยเพราะเหตุนี้ พวกเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีคนโง่มาดักปล้นชิงกลางทาง กระบี่บินส่งจดหมายไม่กี่เล่มมีค่าไม่เท่าไหร่ แต่หากจับโจรได้ก็สามารถจับเป็นตัวประกันรีดไถเงินค่าไถ่สูงเทียมฟ้า หากโจรคนนั้นเป็นพวกยากจนข้นแค้น ก็ไปขอเอาจากราชวงศ์ที่เขาอยู่อาศัย หากเป็นพวกผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่มีชื่อในบัญชี อีกทั้งยังไม่มีเงินติดตัวสักแดงเดียว ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้ ได้แต่ยอมรับชะตากรรม เพราะถึงอย่างไรก็เสียหายไม่มาก”


กล่าวมาถึงตรงนี้ ชิวสือก็พูดด้วยสีหน้าริษยา “ผู้ฝึกลมปราณที่รับผิดชอบดูแลทางเล็กลายเมฆ แต่ละคนอ้วนท้วนอุดมสมบูรณ์! ทุกครั้งที่คนพวกนี้ขึ้นเรือมา อย่างเลวร้ายที่สุดก็ต้องอยู่อาศัยในห้องระดับกลาง”


ชุนสุ่ยเอ่ยเสียงอ่อนโยน “อันที่จริงตระกูลเซียนที่สืบทอดต่อกันมานานนับพันปี โดยทั่วไปแล้วก็จะใช้กระบี่บินในการส่งจดหมายเหมือนกัน บนโลกใบนี้มีเวทลับที่ลี้ลับอยู่มากมาย สามารถทำให้คนเหมือนได้พูดคุยกันต่อหน้า ยกตัวอย่างเช่นเหรียญกษาปณ์แม่ลูกคู่หนึ่ง หากเจ้าร่ายเวทลับใส่มัน แล้วค่อยเปิดปากพูด เหรียญกษาปณ์อีกเหรียญที่อยู่ที่อื่นก็จะสั่นและเปล่งเสียงเองโดยอัตโนมัติ อีกฝ่ายก็จะได้ยินไปด้วย”


เฉินผิงอันจุ๊ปากชื่นชม


ชิวสือมองเฉินผิงอันที่ตั้งใจรับฟังด้วยสีหน้าจริงจัง ในใจคิดว่าคนจนแบบนี้ไปสนิทสนมกับเทพขุนเขาเหนือต้าหลีได้อย่างไร? นั่นต้องเหยียบขี้หมากองใหญ่แค่ไหนถึงจะได้? (ภาษาจีนมีคำกล่าวว่าโชคขี้หมาซึ่งแปลว่าโชคดี)


ยังดีที่เฉินผิงอันแม้จะจน ความรู้ตื้นเขินมากคำถาม แต่ไม่เคยเสแสร้งวางท่าว่าตัวเองร่ำรวย นี่จึงทำให้ชิวสือที่มีนิสัยไร้เดียงสารู้สึกดีกับเขา หากไม่มีเงินแต่ยังชอบวางท่า ไม่เข้าใจอะไรสักอย่างแต่แกล้งทำเป็นว่าเข้าใจ นั่นตั้งหากที่จะทำให้คนสมเพชและรังเกียจ


เมื่อพูดคุยกันนานเข้า สองพี่น้องก็อดพูดถึงกุรุทวีป บ้านเกิดของตัวเองไม่ได้


กุรุทวีปมีผู้ฝึกกระบี่อยู่มากมายจนไม่มีอะไรมาเทียบเคียงได้


พลังการสังหารของผู้ฝึกกระบี่นั้นมหาศาล แน่นอนว่าย่อมมีพวกที่เย่อหยิ่งถือดีอยู่มาก ถือดีถึงระดับไหน ยกตัวอย่างง่ายที่สุดก็คือ นาตยทวีปตั้งอยู่ทางทิศใต้จึงเรียกว่าทักษินาตยทวีป แจกันสมบัติทวีปตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกจึงเรียกว่าบุรพแจกันสมบัติทวีป ส่วนกุรุทวีปนั้นเห็นได้ชัดว่าตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของใต้หล้าไพศาล แต่กลับเรียกตัวเองว่าอุตรกุรุทวีป นี่จึงทำให้ธวัลทวีปที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนืออย่างแท้จริงเป็นได้แค่ธวัลทวีป ต้องตัดคำว่าอุตรที่บ่งบอกว่าอยู่ทิศเหนือทิ้งไป


ต่อให้เป็นชุนสุ่ยที่มีนิสัยนุ่มนวลอ่อนโยน แต่พอพูดถึงกุรุทวีปก็ยังแสดงออกถึงความลำพองภาคภูมิใจ เพียงแต่นางไม่รู้สึกตัวก็เท่านั้น แน่นอนว่าชิวสือก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ นางชอบพูดว่าอุตรกุรุทวีปของ ‘พวกเรา’ เป็นอย่างไร แจกันสมบัติทวีปของพวกเจ้าเป็นอย่างไร ตอนที่เล่าเรื่องพวกนี้ ดวงตาสองข้างของเด็กสาวเต็มไปด้วยประกายแห่งความมีชีวิตชีวาคล้ายนกขมิ้นสีเหลืองที่ลำพองใจในตัวเอง


จากนั้นมีวันหนึ่งในที่สุดเฉินผิงอันก็คิดจะออกไปจากห้องตัวอักษรเทียน


นี่ทำให้ชุนสุ่ยอดยินดีไม่ได้ ชิวสือก็ยิ่งกระโดดโลดเต้นอย่างอารมณ์ดี ปากเอ่ยเรียกคุณชายเฉินคำแล้วคำเล่า แถมยังหันมาคารวะขอบคุณเขาไม่หยุด


จนเฉินผิงอันรู้สึกละอายใจเล็กน้อย


ที่แท้เป็นเพราะชิวสือนำข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งมาบอกนั่นคือ คืนนี้บนหัวเรือของเรือคุนจะนำแผ่นภาพบุปผาและวิหคที่ได้รับสืบทอดมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษของภูเขาต่าเจี้ยวออกมา มันสามารถทำให้คนมองเห็นภาพที่อยู่ห่างไปไกลนับหมื่นลี้ เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเท่าไหร่นัก เพราะในค่ำคืนที่มีพายุหิมะตกคืนนั้น เด็กชายชุดเขียวก็เคยตักน้ำมาหนึ่งถ้วย และในม่านน้ำก็ปรากฎภาพเรือนกายของเทพธิดาซูเจี้ยที่กำลังขี่กระบี่ให้เห็นได้อย่างชัดเจน


เฉินผิงอันไม่ได้จะไปเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ความรู้ให้กับตัวเอง แต่เขาจำเป็นต้องไป เพราะบุคคลและเรื่องราวที่แผ่นภาพบุปผาและวิหคจะแสดงออกมาล้วนเกี่ยวข้องกับเขาเฉินผิงอัน


ภูเขาตะวันเที่ยงกับสวนลมฟ้า ทั้งสองฝ่ายจะเปิดศึกตัดสินเป็นตายอย่างเป็นทางการต่อกันครั้งหนึ่ง ข่าวนี้ได้มาอย่างกะทันหัน ก่อนหน้านี้ไม่มีลางบอกเหตุ ทำให้คนทั้งแจกันสมบัติทวีปรู้สึกรับมือไม่ถูก


อีกอย่างต่อให้จะเป็นเพียงข่าวเล็กๆ น้อยๆ ที่เล็ดรอดไปทั่วทิศเหนือและใต้ของทวีปก็ยังมากพอจะทำให้คนรู้สึกหนาวเยือกได้แล้ว


สองพรรคผู้ฝึกกระบี่ยิ่งใหญ่ลำดับสูงสุดของแจกันสมบัติทวีปส่งตัวผู้ฝึกกระบี่สามรุ่นได้แก่รุ่นเยาว์ วัยกลางคนและวัยชราให้มาเข่นฆ่ากัน


รุ่นเยาว์นั้นแค่แบ่งแพ้ชนะ ไม่ต้องถึงเป็นถึงตาย


รุ่นวัยกลางคนจะแค่แบ่งแพ้ชนะ หรือแบ่งเป็นตายก็ได้ ทุกอย่างต้องดูที่ความต้องการของคู่ต่อสู้สองฝ่าย แต่คนทั่วทั้งแจกันสมบัติทวีป ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าหากคนของสองพรรคนี้ปะทะกันนอกภูเขาก็ล้วนมีความเป็นไปได้ที่จะสู้ให้ตายกันไปข้างหนึ่ง เมื่อถึงช่วงเวลาสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเกียรติและศักดิ์ศรีของสำนักแล้ว ด้วยนิสัยของภูเขาตะวันเที่ยงกับสวนลมฟ้า มีความเป็นไปได้มากว่าจะต้องมีคนตายเกิดขึ้น


ส่วนบุรพาจารย์สองฝ่ายที่อายุมากที่สุดมีแค่ตัดสินเป็นตายเท่านั้น!


ปราณสังหารท่วมทะยานน่าพรั่นพรึง


ราวกับว่ายังไม่ทันชักกระบี่ก็ทำให้คนที่มารอชมศึกได้กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นแล้ว


และผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ของเขาตะวันเที่ยงที่ลงสมรภูมิรบในครั้งนี้ก็คือเทพธิดาซูเจี้ย ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่ได้ครอบครองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ชั้นเยี่ยม


ทางฝ่ายของสวนลมฟ้าก็คือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าสวนคนหนึ่ง ชื่อเสียงไม่โด่งดัง สามารถพูดได้ว่าไร้สัญชาติไร้นาม ถึงขั้นเทียบกับหลิวป้าเฉียวศิษย์น้องของเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ศึกใหญ่ขั้นสูงสุดซึ่งเป็นที่จับตามองของคนทั้งทวีปครั้งนี้ มีหรือที่สวนลมฟ้าจะทำเป็นเล่นได้?


เฉินผิงอันพาพวกนางเดินลงจากหอเรือน มุ่งหน้าไปทางหัวเรือ


แผ่นภาพบุปผาและวิหคที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของภูเขาต่าเจี้ยวมีสัตว์ปีกที่วาดด้วยน้ำหมึกเสมือนมีชีวิตจริงบินไปบินมาอยู่บนภาพวาด อีกทั้งพวกมันยังส่งเสียงใสกังวาน เมื่อม้วนภาพถูกคลี่ออกมาอย่างเต็มที่แล้วแขวนไว้กลางอากาศสูงบนหัวเรือจะยาวถึงห้าหกจั้ง กว้างสองจั้ง มองใกล้ๆ จะเป็นภาพที่ใหญ่โตมหึมา แต่หากมองไกลๆ จากหอสูง ต่อให้บนเรือจะมีผู้ฝึกลมปราณอยู่มากมายก็ยังคงมองเห็นได้อย่างชัดเจน แต่กระนั้นก็ยังคงรู้สึกว่าไม่สาแก่ใจมากพอ


ที่ไม่สาก็ใจก็เพราะผู้ฝึกกระบี่ชักกระบี่รวดเร็วเหมือนฟ้าแลบ ริ้วกระเพื่อมแผ่วเบาดุจเส้นผม แต่กลับมีน้ำหนักนับหมื่นชั่ง


ปราณกระบี่ที่ซุกซ่อนอยู่จะสลายหายไปในชั่วพริบตา แน่นอนว่าหากได้ชมใกล้ๆ ย่อมเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า


ดังนั้นตำแหน่งที่นั่งชมจึงมีการแบ่งระดับ คนในเรือนพักเดี่ยวสามแห่งจะได้ตำแหน่งที่นั่งแถวแรก ไม่เพียงแต่มีผลไม้และของว่างจัดเตรียมไว้ให้ ทางเรือยังจะส่งสาวใช้หน้าตางดงามที่ผ่านการอบรมปลูกฝังมาอย่างดี รวมไปถึงราชินีร้อยบุปผาของหอซิ่งฮวาอีกหลายคนมาคอยปรนนิบัติรับใช้ ส่วนข้อที่ว่าคนของสามกลุ่มนั้นจะรับน้ำใจหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง


ถัดมาก็เป็นแขกเรือนอักษรตัวเทียนอย่างเฉินผิงอัน หากเขาอารมณ์ดีก็สามารถพาสาวใช้ไปด้วยได้ แต่หากต้องการไปเพียงลำพังก็ย่อมไม่มีปัญหา


เพราะไม่สามารถร่ายใช้เวทคาถาได้โดยพลการ อีกทั้งจะลอยตัวอยู่กลางอากาศก็ยิ่งไม่สมควร ใครก็อยากอยู่ในมุมสูงเพื่อการมองเห็นที่ชัดเจน แต่เป็นแบบนั้นจะยิ่งวุ่นวาย ไม่แน่ว่าอาจเกิดปัญหาอีกมากตามมา ดังนั้นทางเรือจึงสั่งห้ามอย่างเข้มงวดไม่ให้แขกควบคุมลมทะยานกลางอากาศ และห้ามต่อรองอย่างเด็ดขาด


ดังนั้นคนส่วนใหญ่บนเรือจึงมักจะยกเก้าอี้หรือม้านั่งออกมา ซึ่งในความเป็นจริงแล้วก็ไม่ได้ต่างจากการที่พวกชาวบ้านร้านตลาดมาร่วมความครึกครื้นในงานวัดสักเท่าไหร่


—–


บทที่ 210.2 ภูเขาและแม่น้ำบรรจบคือการได้พบกันอีกครั้ง

โดย

ProjectZyphon

ชุนสุ่ยและชิวสือต่างก็อายุไม่มาก แต่กลับคุ้นเคยกับเรื่องนี้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีผู้ดูแลช่วยเปิดทางให้ พวกเขาจึงเดินไปถึงที่นั่งได้อย่างราบรื่น และตำแหน่งที่นั่งก็ดีเยี่ยม


เป็นเหตุให้สายตาอยากรู้อยากเห็นมากมายพากันมองมาทางเด็กหนุ่มรองเท้าแตะหน้าตาไม่โดดเด่น


หรือว่านี่คือลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ที่นิสัยอ่อนโยน ชอบแต่งตัวเป็นคนจน?


ไม่อย่างนั้นเจ้าสวมรองเท้าแตะแบบนี้คิดจะลงไปถอนหญ้าหรือปลูกข้าวในนากันล่ะ?


เก้าอี้ใหญ่ไม้จื่อถานสามตัว ระหว่างเก้าอี้สองตัวมีโต๊ะวางกาน้ำชาหนึ่งใบ ด้านบนวางชามีชื่อเสียงที่ผลิตเฉพาะในกุรุทวีปซึ่งมีชื่อว่าลิ้นนกกระจอกขม ไม่ต้องใช้น้ำพุต้ม หยิบเข้าปากเคี้ยวได้สดๆ เลย รสชาติแรกเริ่มจะฝาด จากนั้นจะค่อยๆ ขม ผ่านไปประมาณครึ่งก้านธูปก็จะเปลี่ยนรสไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งหวานหอมและสดชื่นเหนือกว่าน้ำชาทั่วไป ดังนั้นจึงถูกเรียกล้อเลียนว่า ‘ชาหอมครึ่งก้านธูป’


ศึกใหญ่ยังไม่เปิดฉาก คนทั้งสามนั่งว่างไม่มีอะไรทำ ชุนสุ่ยจึงหันมาอธิบายความมหัศจรรย์ของใบชานี้ให้เฉินผิงอันฟัง


ที่แท้วัตถุชนิดนี้ก็สามารถทำความสะอาดตับชำระล้างดวงตาให้ใสสะอาดได้ เป็นที่ชื่นชอบของตระกูลชนชั้นสูงในสามทวีป พวกบัณฑิตมากความรู้และนักกวีนิพนธ์ที่มีชื่อเสียงชอบมอบชาวิเศษชนิดนี้ให้กันมากที่สุด เป็นเหตุให้ราชวงศ์ในโลกมนุษย์บางส่วนที่นิยมชมชอบการดื่มชาใช้ชาชนิดนี้มาเป็นสินบน ทว่าการติดสินบนแต่ละครั้งไม่ได้ใช้ลิ้นนกกระจอกขมแค่หนึ่งจินหรือครึ่งจินเท่านั้น แต่ต้องมอบให้เป็นของขวัญกล่องใหญ่ ส่วนขุนนางที่ถูกลดขั้น เวลาที่สหายมาส่งเดินทางก็ยิ่งต้องยอมหุบหม้อขายเหล็กเพื่อซื้อลิ้นนกกระจอกขมมามอบให้ เพราะมันมีความหมายแฝงที่งดงามว่า ‘เมื่อความขมขื่นหมดไป ความหวานชื่นจะมาเยือน’


นอกจากนี้ยังมีขนมหน้าตางดงามและผลไม้วิเศษหลากหลายสีสัน ราคาไม่ธรรมดา เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับลิ้นนกกระจอกขมที่หาได้ยากแล้วจึงด้อยกว่ามาก


ความสัมพันธ์ระหว่างบนภูเขาและล่างภูเขาแนบแน่นกว่าที่เฉินผิงอันคิดไว้มาก ระหว่างทั้งสองฝ่ายอาจมีร่องลึกอันเป็นปราการธรรมชาติกั้นขวาง แต่เมื่อสร้างสะพานเชื่อมโยงกันไว้ การไปมาหาสู่กันในแต่ละครั้งจึงล้วนนำมาซึ่งผลประโยชน์มหาศาล


เฉินผิงอันเงี่ยหูตั้งใจฟังคำพูดจากชุนส่ยพลางสำรวจรอบด้านอย่างไม่กระโตกกระตาก หลักๆ แล้วคือแขกสามกลุ่มที่อยู่ด้านหน้าสุด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องเป็นคนมีเงินในกลุ่มเทพเซียนบนภูเขาอีกที


เรือข้ามทวีปลำนี้เดินทางมาจากกุรุทวีป แม้ว่าจะมีคนที่หวังมาทำการค้าระหว่างทาง แต่คนส่วนใหญ่แล้วก็ยังเป็นคนของกุรุทวีป เพราะต่อให้จะเป็นเด็กน้อยก็ยังแต่งกายแบบเดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนจากพกกระบี่ยาวมาเป็นกระบี่สั้นเท่านั้น


และไม่ว่าจะเป็นสตรี เด็กหรือคนชรา ขอแค่เป็นคนที่พกกระบี่ก็ล้วนไม่มีใครแต่งตัวฉูดฉาดเยอะเกินความจำเป็น ฝักกระบี่ไม่มีอัญมณีหายากฝังเลื่อม ยิ่งไม่มีพู่กระบี่งดงามคอยแกว่งไกว


ด้านหน้าของเฉินผิงอันก็คือครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่ง สตรีแต่งงานแล้วที่ตัวสูงมากนั่งอยู่บนตำแหน่งประธาน หลังตรงอกตั้ง แม้ว่าหน้าตาจะไม่ถือเป็นสาวงาม แต่พลังอำนาจกลับเฉียบขาดบีบคั้น นางมักจะชอบเม้มปาก หรี่ตามองสังเกตผู้คน


ข้างกายนางคือบุรุษท่าทางสุภาพกระตือรือร้น หน้าตาของเขาหล่อเหลา แต่หากพูดกับสตรีแต่งงานแล้วเมื่อไหร่ เขาจะต้องคลี่ยิ้มเต็มใบหน้า โค้งตัวลงต่ำ ไม่เหมือนคนเป็นประมุขของครอบครัว หากไม่เป็นเพราะตำแหน่งที่นั่งไม่อาจหลอกใครได้ เขากลับดูเหมือนชายบำเรอที่ประมุขหญิงเจ้าสำราญเลี้ยงดูไว้เป็นการส่วนตัวซะมากกว่า


ในอ้อมอกเขาอุ้มเด็กอายุประมาณสี่ห้าขวบ หน้าตาเหมือนบุรุษ หล่อเหลาดุจหยกสลัก แต่ท่าทางถอดสตรีแต่งงานแล้วมาทุกกระเบียดนิ้ว จึงไม่ได้ดูน่ารักน่าเอ็นดูสักเท่าไหร่


หญิงชราที่มีผิวหนังเหี่ยวย่น คือหมัวมัวผู้สั่งสอนกฎระเบียบของตระกูล ข้างกายมีเด็กสาวหน้าตางดงามคนหนึ่ง ลักษณะท่าทางเย็นชาไม่ต่างจากตัวหญิงชราเอง


และยังมีชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่กำยำอีกคนหนึ่ง เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งซ้ายมือของสตรีแต่งงานแล้ว บางครั้งที่หันหน้ามามองบุรุษผู้มีท่าทีกระตือรือร้น มุมปากจะยกยิ้มดูแคลน หากประสานสายตากับเขา ชายวัยกลางคนก็ไม่เพียงแต่ไม่ปกปิดแววดูหมิ่นเหยียดหยาม กลับยิ่งฉีกปากกว้างขึ้น แถมบุรุษที่มีสถานะเป็นประมุขของตระกูลผู้นั้นยังผงกศีรษะคลี่ยิ้มรับเขาอย่างยินดีด้วย


เฉินผิงอันอาศัยโอกาสที่รอชมม้วนภาพวาดนั้นเก็บทุกรายละเอียดเข้าสู่สายตา


ชิวสือจ้องเป๋งมองภาพตรงหน้าอยู่ครู่ใหญ่ แต่ไม่นานก็ถูกชุนสุ่ยหยิกแขน คาดไม่ถึงว่าชายร่างสูงใหญ่คนนั้นจะเอนตัวมาด้านหลัง หันหน้ากลับมา ยิ้มเสแสร้งเผยให้เห็นฟันเรียงตัวขาวสะอาด ทำเอาชิวสือตกใจรีบก้มหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง


หลังจากบุรุษหันหน้ากลับไป ชุนสุ่ยก็กระทืบเท้าชิวสือแรงๆ อย่างโมโห ฝ่ายหลังเจ็บจนสูดลมเข้าปากเฮือกใหญ่ หันมามองพี่สาวด้วยสีหน้าขุ่นเคือง


ทางฝั่งซ้ายสุดคือผู้เฒ่าสวมชุดขงจื๊อที่นั่งอยู่เพียงลำพัง บนศีรษะของเขาสวมหมวกขนเตียวเก่าแก่ เขาถอดรองเท้าหุ้มแข้งยกขาขึ้นนั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ ลักษณะค่อนข้างน่าขัน


ทางฝั่งขวาคือผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสาวสองคน ดูแล้วน่าจะอายุไม่มาก ประมาณยี่สิบต้นๆ ส่วนอายุที่แท้จริงนั้นคือเท่าไหร่ก็บอกได้ยาก


ชายหนุ่มวางกระบี่ไว้บนหัวเข่า ตบฝักกระบี่เบาๆ


หญิงสาวนอกจากจะห้อยกระบี่เล่มยาวแล้ว ตรงมวยผมของนางไม่ได้ปักปิ่นมุก กลับปักกระบี่เล็กๆ ไร้คมเล่มหนึ่ง เพียงแต่ว่าตรงด้ามกระบี่มีไข่มุกสีหิมะขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองเม็ดหนึ่งห้อยลงมา เปล่งประกายแสงแจ่มจ้า


นี่ไม่เท่ากับป่าวประกาศแก่ใต้หล้าอย่างชัดเจนหรือว่า บนร่างข้ามีสมบัติล้ำค่าอยู่?


คงเป็นเพราะยอดฝีมือมีความกล้าหาญสูงกระมัง เฉินผิงอันได้แต่เข้าใจเช่นนี้


สรุปก็คือคนสามกลุ่มที่ยึดครองตำแหน่งที่นั่งที่ดีที่สุด ไม่มีใครที่ดูเข้ากับคนง่ายสักกลุ่มเดียว


เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง กลั้นลมหายใจทำสมาธิ สายตามองไปทางม้วนภาพวาดตาไม่กะพริบ


วานรย้ายภูเขาขุนเขาตะวันเที่ยง คือหนึ่งในศัตรูของเขา


และนั่นยังเป็นศัตรูคู่แค้นที่จำเป็นต้องล้างแค้นให้ได้ด้วย


หลิวป้าเฉียวแห่งสวนลมฟ้าก็ถือว่าเป็นคนรู้จักเก่า และดูเหมือนเขาจะชอบเทพธิดาซูเจี้ยของเขาตะวันเที่ยงด้วย ตอนนั้นแม่นางหนิงยังถามคำถามหนึ่งที่ทำให้หลิวป้าเฉียวลำบากใจอย่างยิ่ง


เฉินผิงอันนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ จู่ๆ เขาก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาจึงเปิดปากบอกให้ชุนสุ่ยและชิวสือกินใบชาลิ้นนกกระจอกขมนั่น


ทว่าคราวนี้แม้แต่ชิวสือก็ยังส่ายหน้าอย่างแรง


ชุนสุ่ยชี้ไปยังผู้ดูแลเรือคุนที่ยืนอยู่นอกวงด้านหน้าเงียบๆ เฉินผิงอันเข้าใจได้ทันทีจึงถามว่า “ข้าเอาส่วนหนึ่งกลับไปได้ไหม? หรือว่าต้องนั่งกินที่นี่เท่านั้น?”


ชุนสุ่ยหน้าแดงก่ำ กล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “คุณชาย เอากลับไปได้ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เคยมีใครทำอย่างนั้น”


เฉินผิงอันยิ้มกว้าง แล้วหยิบใบชาสองสามใบเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้ออย่างเปิดเผย ก่อนจะเพิ่มระดับน้ำเสียงเล็กน้อย “ใบชาที่ดีขนาดนี้ ข้าต้องเอากลับไปเคี้ยวช้าๆ ตั้งใจกินที่ห้องสักหน่อย”


จากนั้นเฉินผิงกันก็รอให้สงครามใหญ่ครั้งนั้นมาถึงเงียบๆ


เพียงแต่ว่าเวลานี้เอง ในทะเลสาบหัวใจกลับมีน้ำเสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่งที่เขาไม่คุ้นเคยเอ่ยเรียกชื่อเขา “เฉินผิงอัน”


เฉินผิงอันคิดจะกวาดตามองไปรอบด้านตามจิตใต้สำนึก แต่ว่าไม่นานก็ข่มกลั้นความวู่วามนี้ลงไปได้ เขาที่ความทรงจำดีเลิศนึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว


ตอนนั้นที่อยู่บนหินหลังควายของบ้านเกิด ครั้งแรกที่พบกันเฉินผิงอันก็รู้สึกว่านางกับสหายที่อยู่ข้างกายคล้ายคู่เทพเซียนที่จับมือกันเดินออกมาจากภาพวาด กุมารทองกุมารีหยก คู่เทพเซียนที่งดงาม


นางน่าจะชื่อว่าเฮ้อเสี่ยวเหลียง


นี่คือแม่ชีเทพธิดาที่มีชื่อเสียงโด่งดังของสำนักโองการเทพ อีกทั้งยังเป็นเทพธิดาที่เด็กชายชุดเขียวนิยมชมชอบมากที่สุด ชอบยิ่งกว่าซูเจี้ย เขาเคยพูดจาเหลวไหลกึ่งเล่นกึ่งจริงว่า หากมีโอกาสได้ลูบมือเทพธิดาเฮ้อ ต่อให้ถูกหักอายุขัยไปร้อยปี เขาก็ไม่ลังเลเลย


เสียงนั้นดังขึ้นในหัวใจของเฉินผิงอันอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยนอีกครั้ง “เจ้ากลับมาที่ห้องตอนนี้ได้หรือไม่ ข้ามีเรื่องจะปรึกษา เวลาปกติมีคนอยู่มากมาย ข้าจึงได้แต่อาศัยโอกาสนี้มาพูดคุยกับเจ้า


เฉินผิงอันชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย ปรายตามองไปยังน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดที่อยู่ตรงเอวแล้วตอบไปในใจ “ตกลง”


เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน บอกกับชุนสุ่ยว่าจะกลับไปที่ห้องสักหน่อย ไปไม่นานเดี๋ยวกลับมา


ชุนสุ่ยคิดจะช่วยนำทางให้ เฉินผิงอันบอกยิ้มๆ ว่าไม่ต้อง ระยะทางสั้นๆ แค่นี้ เขาไม่หลงทางได้หรอก


เฉินผิงอันรับกุญแจมาจากมือของนางแล้วเดินออกจากกลุ่มคนอย่างเงียบเชียบ


……


ท่ามกลางกลุ่มคนมากมายที่นั่งกันบนเก้าอี้


ด้านหลังสุดมีนักพรตสะพายกระบี่ไม้ไหวท่าทางเซื่องซึมคนหนึ่งยืนอยู่ เขาไม่มีแรงไปแย่งชิงที่นั่งกับใคร อีกทั้งยังมีนิสัยขี้อายไม่ชอบแก่งแย่งชิงดี จึงได้แต่ยืนเหม่อลอยอยู่ด้านหลังสุดอย่างทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่านั้น ในมือเขาก็ถือม้านั่งตัวหนึ่งเช่นกัน เพียงแต่พบว่าบนม้านั่งยาวที่เรียงซ้อนกันหลายชั้นมีแขกยืนอยู่เต็มแล้ว อีกทั้งบนไหล่บางคนยังมีเด็กนั่งขี่คอ ต่อให้เขาขึ้นไปยืนบนม้านั่งก็ยังมองเห็นภาพเหตุการณ์ในม้วนภาพนั่นไม่ได้อยู่ดี


เขาก็แค่เพิ่งจะเลื่อนสู่ขอบเขตสามมาได้ไม่นาน อยู่ไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึงระดับสูดลมดื่มน้ำค้าง ไม่ต้องกินอาหารอย่างห้าขอบเขตกลาง เรือคุนเดินทางจากกุรุทวีปมุ่งหน้าลงใต้ ระยะทางยาวไกล คิดจะลงจากเรือยังยาก มีเพียงผู้ฝึกลมปราณขอบเขตถ้ำสถิตย์ของห้าขอบเขตกลางเท่านั้นถึงพอจะบังคับลมบินทะยานได้ และหากคิดจะกระโดดลงจากเรือคุน บังคับลมพลิ้วกายลงบนพื้นได้อย่างสง่างาม เกรงว่าต่อให้เป็นขอบเขตชมมหาสมุทรก็ยังทำไม่ได้ มีเพียงผู้ฝึกลมปราณขอบเขตแปดประตูมังกรเท่านั้นถึงจะไม่ถูกฟ้าดินพันธนาการ สามารถทะยานไปตามลมได้ตามความหมายที่แท้จริง


และการที่เขาพบเจอกับความลำบากยากแค้นในการเดินทางลงใต้ครั้งนี้ ก็เพราะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอย่างหนึ่ง หนึ่งเพราะเขาดันบุ่มบ่ามซื้อยันต์สองแผ่นที่แพงเกินไปสำหรับเขา สองก็เพราะเขาได้ไข่มุกเม็ดหนึ่งมาจากการกำจัดปีศาจปราบมารซึ่งเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาอย่างยากลำบาก เดิมคิดจะเอามาขายในราคาที่ยุติธรรม คาดไม่ถึงว่าพอมาถึงบนเรือคุนกลับไม่ได้ราคาอย่างที่คิดเอาไว้ ร้านเต็มใจซื้อ แต่ให้ราคาต่ำมาก เดิมทีนักพรตหนุ่มคิดว่าจะอาศัยรายได้ก้อนนี้พาตัวเองหลุดพ้นไปจากสภาพยากแค้น หากมีเงินเหลือก็ไม่แน่ว่าอาจจะใช้จ่ายฟุ่มเฟือยได้อีกนิด ได้อาศัยอยู่ในห้องระดับกลางสักห้อง


สมกับคำว่าคนทำนายไม่สู้สวรรค์คำนวณจริงๆ


เงินทำให้วีรบุรุษลำบากตายได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่เขานับเป็นวีรบุรุษไม่ได้ด้วยซ้ำ เป็นแค่แมลงน่าสงสารที่ใจคิดแต่จะกำจัดปีศาจปราบมาร ทว่าเรื่องจริงไม่ได้เป็นไปอย่างที่ใจหวังก็เท่านั้น


‘เทพาจารย์ตระกูลจาง’ ที่แท้จริงมีหรือจะเก็บเงินคนอื่น รับปากคนเขาว่าจะไปจับปีศาจ แต่กลับทำร้ายให้ครอบครัวที่แข็งแรงมั่นคงครอบครัวหนึ่งกลายมาเป็นบ้านแตกสาแหรกขาด?


เด็กน้อยสองคนของครอบครัวนั้นที่รอดชีวิตมาได้ยังไม่รู้ประสา ไม่โทษที่ความสามารถของเขามีไม่มากพอ แต่นักพรตหนุ่มกลับโทษตัวเอง


พอคิดถึงเรื่องนี้นักพรตหนุ่มที่กรอบตาแดงก่ำก็วางม้านั่งลง ทรุดตัวนั่งลงไปบนนั้น สองมือวางทาบไว้บนหัวเข่า สีหน้าของนักพรตหนุ่มที่สะพายกระบี่ไม้ไหวเลื่อนลอยเล็กน้อย เขาพลันรู้สึกว่าตอนแรกที่ตนสละตำแหน่งเคอจวี่ ด้วยใจคิดหวังอยากจะฝึกตนเป็นเซียน สุดท้ายกราบอาจารย์เล่าเรียนวิชา ฝีมือยังไม่แกร่งกล้าก็รีบร้อนลงจากภูเขา เพราะคิดจะกำจัดปีศาจและมารร้ายให้สิ้นซาก แท้จริงแล้วเขาผิดมาตั้งแต่แรกเริ่มเลยใช่หรือไม่?


นึกถึงเรื่องที่เจ็บปวดหัวใจ นักพรตหนุ่มที่ละอายใจเกินทนก็ตาแดงก่ำ ยกมือขึ้นกำเป็นหมัดทุบลงบนหัวใจตัวเองเบาๆ ราวกับว่าทำแบบนี้ถึงจะอาการดีขึ้น


แต่แล้วเขาก็พบว่าด้านหน้ามีมือข้างหนึ่งยื่นมา บนมือคือหยกพกงดงามที่สลักว่า ‘อักษรตัวเทียนภูเขาต่าเจี้ยว’ เขาเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มที่แม้จะดำเกรียม แต่กลับซื่อตรง คนผู้นั้นเอ่ยยิ้มๆ “ข้าอาศัยอยู่ในห้องอักษรตัวเทียน หากเจ้าอยากจะเข้าไปดูม้วนภาพ ข้าก็ให้เจ้ายืมใช้ได้ ไปแถวที่สอง แล้วถามหาแม่นางที่ชื่อชุนสุ่ยกับชิวสือก็ได้แล้ว บอกพวกนางว่า…เจ้าคือเพื่อนของข้าเฉินผิงอัน พวกนางหาตัวไม่ยากหรอก เพราะเป็นพี่น้องฝาแฝด หน้าตาเหมือนกันมาก”


นักพรตหนุ่มอ้าปากค้าง เหม่อลอยอย่างทึ่มทื่อ


เฉินผิงอันยัดหยกพกใส่หน้าอกของเขา หมุนตัววิ่งเหยาะๆ จากไป ก่อนจะหันมาเอ่ยยิ้มๆ “เข้าไปนั่งตรงนั้นแล้วอย่าลืมเอามาคืนข้าด้วยล่ะ”


เฉินผิงอันวิ่งไปคิดไป นักพรตหนุ่มคนนี้คิดมากเกินไปแล้ว ก็แค่ไม่มีวิธีให้ดูภาพเหตุการณ์ในม้วนภาพวิหคและบุปผาอย่างชัดเจนก็เท่านั้น จำเป็นต้องเสียใจขนาดนี้ด้วยหรือ? ทำเอาเฉินผิงอันที่ผ่านทางมาเห็นเข้าพอดีอึ้งตะลึง บุรุษตัวโตขนาดนี้กลับถึงขั้นหลั่งน้ำตา หรือจะเป็นพวกคนที่ชื่นชอบเทพธิดาซูเจี้ยเหมือนหลิวป้าเฉียวกับเด็กชายชุดเขียว?


แต่เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่ใช่เหตุผลแท้จริงที่เฉินผิงอันมอบป้ายหยกให้อีกฝ่าย


เฉินผิงอันแค่คิดถึงตอนที่ตัวเองอายุห้าขวบ ยามพลบค่ำของฤดูหนาววันนั้น เขาที่เดินผ่านประตูบ้านแต่ละหลังในตรอกหนีผิงซึ่งปิดสนิทรอบแล้วรอบเล่าก็แอบร้องไห้แบบนี้เหมือนกัน


จะอย่างไรซะทุกคนก็ล้วนอยู่บนเรือ นักพรตที่มองดูแล้วยากจนยิ่งกว่าตนหนีไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว อีกอย่างถอยไปพูดหมื่นก้าว ต่อให้ป้ายหยกหายไปจริงๆ อย่างมากก็แค่จดไว้ในบัญชีของเว่ยป้อก่อนชั่วคราว คราวหน้าเขาค่อยคืนเงินให้กับเว่ยป้อ เชื่อว่าในเมื่อภูเขาต่าเจี้ยวให้เกียรติเขามากขนาดนั้นก็น่าจะไม่ถือสากับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้


หากไม่ได้จริงๆ ใน ‘สืออู่’ วัตถุฟางชุ่นของเขาเฉินผิงอันก็ยังมีเงิน!


……


ในห้องพักที่เฉินผิงอันมาอาศัยอยู่ชั่วคราวมีหญิงสาวสวมชุดคลุมเต๋าตัวหลวมคนหนึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะ กำลังพลิกเปิดกระดาษแต่ละแผ่นที่เขียนตัวอักษรแบบบรรจงไว้เต็มหน้า


ดวงหน้าของนางงดงามอย่างถึงที่สุด


แม่ชีสาวใช้มือข้างหนึ่งเท้าคาง อีกมือหนึ่งพลิกหน้ากระดาษ สีหน้าเกียจคร้าน


บางทีอาจเป็นเวลาเช่นนี้ของหญิงสาวที่ทำให้เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะหวั่นไหวได้มากที่สุด ถึงทำให้เซียนกระบี่ที่หนุ่มที่สุดของแจกันสมบัติทวีปดื่มเหล้าหมักชั้นยอดหมดไปแล้วหนึ่งไหก็ยังดื่มเหล้าร้อนแรงตามอีกหนึ่งไห แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจคลายความทุกข์ระทม อาศัยเหล้าดับทุกข์กลับยิ่งทุกข์ ทุกข์จนเซียนกระบี่ผู้สง่างามที่เดินทางไปทั่วยุทภพ เห็นภูเขาและแม่น้ำมาจนหมดสิ้นร้าวรานปานจะขาดใจ


—–

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)