ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 210-213
ตอนที่ 210 ค่ายกลสี่สมุทรพลิกฟ้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
“พี่หลิน ท่านนั่นเอง! ไม่ใช่ว่าข้าให้ท่านเฝ้าดูผู้ที่เก็บตัวฝึกฝนหรอกหรือ ทำไมถึงมานี่ได้ล่ะ?” พอต่งไทเฮาเห็นใบหน้าของหญิงวัยกลางคน ก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เรียนคุณหนู นายท่านส่งข่าวมา” หญิงวัยกลางคนได้ยินเช่นนี้ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าแปลกใจ แต่กลับก้มหน้ากล่าว
จากนั้นก็หยิบเปลือกหอยสีเหลืองทองออกมาจากแขนเสื้อ แล้วประคองสองมือยื่นออกไป
“ท่านพ่อส่งข่าวมาช่วงเวลานี้ ช่างน่าแปลกใจยิ่งนัก หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเผ่า?” ต่งไทเฮารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย นางรับเปลือกหอยสีทอง แล้วนำไปแปะบนหน้าผากเบาๆ
ผ่านไปไม่นาน นางก็มีสีหน้าเขียวปั๊ดขึ้นมา เมื่อนางเอาเปลือกหอยออกแล้ว ก็เค้นเสียงกร่นด่าออกมา
“เจ้าสารเลวเว่ยอวี้ ไม่คิดว่ามันจะกล้าขโมยหยดพลังวารีจากคลังเก็บสมบัติไป หากตายไปได้ก็นับว่าได้รับโทษสถานเบาไป ไม่เช่นนั้น ข้าจะเอามันมาถลกหนังกระชากเอ็นอีกสักรอบ”
“อะไรนะ! เว่ยอวี้ตายแล้ว ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงวัยกลางคนหายไปทันที
“เมื่อวานมีผู้ฝึกฝนสองคนบุกเข้าวัง และเห็นลูกเสวียนจื้อกลายร่างก่อนที่จะหลบหนีไปได้ ดังนั้นข้าจึงให้เว่ยอวี้ออกไปตามล่า แต่จนนี้ตอนนี้ยังไม่กลับมา คิดว่าคงเกิดเรื่องไม่คาดคิดเข้าแล้วล่ะ!” ต่งไทเฮากล่าวอย่างเคียดแค้น
“อย่างนี้ก็หมายความว่า หยดพลังวารีอาจตกอยู่ในมือของผู้ฝึกฝนที่เป็นมนุษย์ผู้นั้น ถ้าเป็นเช่นนี้ก็แย่แล้ว คุณหนู หากไม่สามารถตามของสิ่งนี้กลับได้ เกรงว่าต่อให้ทำภารกิจในเสวียนจิงได้สำเร็จ แต่กลับเผ่าไปแล้วคงไม่วายโดนนายท่านตำหนิ” หญิงวัยกลางคนถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา
“ข้าย่อมรู้ว่าหยดพลังวารีมีความสำคัญกับท่านพ่อมาก แต่เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว นอกเสียจากว่าจะจับผู้บุกรุกทั้งสองคนนั้นได้ ไม่อย่างนั้นข้าเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ตอนนี้ข้ายังต้องอยู่ในวังเพื่อควบคุมสถานการณ์โดยรวมของเสวียนจิง ไม่สามารถปลีกตัวได้ ถ้าหาหยดพลังวารีไม่พบ ข้าก็แค่โดนท่านพ่อตำหนิ แต่ถ้าทำเสียการใหญ่ล่ะก็ กลับไปคงต้องไปอยู่ที่บ่อลึกหนาวเหน็บนานสิบปี” ต่งไทเฮากล่าวอย่างไม่มีทางเลี่ยง
“ถ้าเป็นเช่นนี้ คุณหนูมอบเรื่องนี้ให้ข้าจัดการเถอะ! ข้ามีสมบัติพิเศษที่นายท่านมอบให้ ซึ่งมันสามารถรับรู้ตำแหน่งของหยดวารีที่อยู่ในระยะที่จำกัดได้ ข้าจะไปเดินในเสวียนจิง ไม่แน่อาจจะเจอเบาะแสอะไรบ้าง” หญิงวัยกลางคนลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมา
“งืม! ถ้าเช่นนั้นก็ไม่เสียหลายที่จะลองดู แต่ว่า……” ต่งไทเฮาได้ยินก็แสดงสีหน้าลังเลออกมา แต่ขณะที่กำลังจะกล่าวอะไรออกมานั้น พลันมีเสียงฝีเท้าดังจากนอกประตู ชายร่างยักษ์ผู้นั้นกำลังสาวเท้ายาวๆ เข้ามาในตำหนัก
ต่งไทเฮาขมวดคิ้วมองออกไป และหยุดพูดในทันที
“คุณหนู แย่แล้ว ข้าเพิ่งได้ข่าวมา ตอนนี้มีข่าวกึ่งจริงกึ่งเท็จแพร่กระจายไปทั่วเสวียนจิง ข่าวบอกว่ามีเผ่าเจ้าสมุทรอยู่ในวัง และยังบอกว่าจักรพรรดิถูกปลงพระชนม์ไปนานแล้ว ที่เห็นในตอนนี้คือปีศาจที่แปลงร่างมา และยังบอกว่าเผ่าเจ้าสมุทรเราสมคบคิดกับปีศาจ วางแผนคิดร้ายต่อมนุษย์ในเสวียนจิง เตรียมการล้างบางผู้ฝึกฝนอิสระทั้งหมด” พอชายร่างยักษ์เดินเข้ามาก็กล่าวด้วยสีหน้าตกใจ
“อะไรนะ มีเรื่องแบบนี้ด้วย สืบเจอหรือยังว่าข่าวนี้ถูกปล่อยมาจากที่ใด?” พอต่งไทเฮาได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
เสวียนจื้อที่อยู่ข้างๆ ก็มีสีหน้าซีดขาวจนถึงขีดสุด
“ข้าสืบดูแล้ว ข่าวนี้มาจากกลุ่มอิทธิพลเล็กๆ ที่กลุ่มผู้ฝึกฝนอิสระรวมตัวขึ้นมา” ชายร่างยักษ์รีบตอบกลับไป
“คุณหนู ให้ข้าน้อยไปตัดรากถอนโคนกลุ่มอิทธิพลนี้เถอะ” พอหญิงวัยกลางคนได้ยินเช่นนี้ ก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ไม่ทันแล้วพี่หลิน กลุ่มอิทธิพลเล็กๆ นี้ได้ขายข่าวให้อีกเจ็ดแปดกลุ่มแล้ว เชื่อว่าใช้เวลาไม่นาน กลุ่มอิทธิพลของเผ่ามนุษย์คงรู้กันถ้วนหน้า” ชายร่างยักษ์ฝืนยิ้มกล่าวออกมา
“ไม่ต้องบอกก็รู้ ผู้บุกวังทั้งสองต้องเป็นคนทำแน่ พวกเขาช่างใจกล้ามากนัก พี่หลิน เมื่อไหร่มนุษย์ผู้ฝึกฝนเหล่านั้นจะฝึกฝนพลังที่พวกเราให้ได้สำเร็จ?” มาถึงตอนนี้ ต่งไทเฮากลับดูสงบขึ้นมา
“เรียนคุณหนู ตามแผนที่วางไว้ล่ะก็ ยังต้องใช้เวลาอีกสองเดือน แต่ถ้าไม่เสียดายโอสถ และอายุขัยที่ลดลงของพวกเขาล่ะก็ สามารถลดเวลาลงได้ครึ่งหนึ่ง” หญิงวัยกลางคนรีบตอบกลับในทันที
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็ไปจัดการเถอะ! ยังไรซะถ้าเรื่องนี้ไม่สำเร็จ เก็บคนเหล่านี้ไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร จวี้เจิงเจ้ารีบพาคนสองสามคนไปยังที่พักแขกจิตวิญญาณทองคำ และเอาตัวชิวหลงจื่อมาให้ข้า ถ้าเขาฝ่าฝืนก็ฆ่าทิ้งซะ จากนั้นอาศัยโอกาสที่ข่าวนี้ยังแพร่ไม่ถึงในวัง เรียกตัวแขกจิตวิญญาณที่ดูแลในวังทั้งหมด และปิดผนึกความสามารถของมนุษย์ผู้ฝึกในเหล่านี้ไว้” ต่งไทเฮากล่าวด้วยสีหน้าดุดัน
หญิงวัยกลางคนได้ยินเช่นนี้ ก็ตอบรับเต็มปากเต็มคำ
แต่ชายร่างยักษ์รู้สึกเยืนยะเยือกในใจ แต่ก็แสดงสีหน้ากระหายการฆ่าออกมาทันที
“ปิดผนึกมันยุ่งยากเกินไป จัดการฆ่าแขกจิตวิญญาณทองคำเหล่านี้ไปเลย”
“ไม่ต้อง คนพวกนี้ยังมีประโยชน์กับข้า พวกเขาจะต้องมีชีวิตอยู่” ต่งไทเฮาส่ายศีรษะ
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว” ชายร่างยักษ์เข้าใจในทันที
“ลูกจื้อ เจ้ารีบออกราชโองการให้ขุนนางใหญ่ในเสวียนจิงเข้าวังทั้งหมด และผู้ที่ไม่มาจะโดนโทษทรยศ” ต่งไทเฮาหันหน้ามาสั่งเสวียนจื้อที่ยืนอึ้งอยู่
“เสด็จแม่ ท่านจะลงมือในตอนนี้เลยหรือ?” ในที่สุดจักรพรรดิของแคว้นต้าเสวียนผู้นี้ก็ได้สติกลับมา และถามด้วยความตื่นเต้น
“เดิมทีข้าจะรออีกสองเดือน แต่ตอนนี้จำต้องลงมือก่อนแล้ว แต่นี่ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร ข้าได้เตรียมการเพื่อวันนี้มานานแล้ว ใต้พื้นดินทั่วเสวียนจิงในตอนนี้ มีค่ายกลสี่สมุทรพลิกฟ้าอันเลื่องชื่อของเผ่าเจ้าสมุทรเราวางไว้อยู่ เพียงกระตุ้นมันเท่านั้น ต่อให้เป็นอาจารย์จิตวิญญาณ แต่ถ้าไม่รู้วิธีทำลายค่ายกลก็ไม่สามารถเข้ามาได้ง่ายๆ และค่ายกลนี้มีผลทั้งข้างในและข้างนอก ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถตัดขาดค่ายกล และวิชาที่ใช้ติดต่อได้ ถ้าพวกเราโชคดีที่ผู้บุกวังทั้งสองไม่ใช่ศิษย์ตรวจตราของนิกายปีศาจกับนิกายจันทราสวรรค์อย่างที่คาดเดาไว้ หรือพวกเขาทั้งสองไม่ทันได้ส่งข่าวออกไปนอกเสวียนจิงล่ะก็ ก็สามารถควบคุมทุกอย่างในเสวียนจิงได้ รอเมื่อนิกายทั้งห้าได้ข่าวการเปลี่ยนแปลงในเสวียนจิง แล้วมาตรวจสอบเจอ พวกเราก็สามารถยืดเวลาออกไปได้ ขอแค่ทางเผ่าเราลงมือ นิกายทั้งห้าก็ไม่สามารถทำอะไรทางนี้ได้แล้ว
“ลูกเข้าใจแล้ว ลูกจะไปออกราชโองการเดี๋ยวนี้!” เสวียนจื้อเป็นถึงจักรพรรดิของแคว้น ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา พอเข้าได้ยินเช่นนี้ก็ตอบรับอย่างไม่ลังเล
“ดีมาก ในที่สุดเจ้าก็เข้าใจ เจ้าเป็นเผ่าเจ้าสมุทรไม่ใช่มนุษย์ชั้นต่ำเหล่านี้ เพียงแค่เจ้าเรียกขุนนางใหญ่เหล่านั้นเข้ามาในวัง ข้าก็จะรีบเปิดใช้งานค่ายกลใหญ่ทันที ในขณะเดียวกันก็กระตุ้นค่ายกลภายใน แยกพระราชวังกับแผ่นดินเสวียนจิงออกจากกัน อาศัยแค่ความสามารถของผู้ฝึกฝนอิสระเหล่านี้ ถ้าคิดจะทำลายค่ายกลล่ะก็ เป็นเรื่องเพ้อฝันเท่านั้น เอาล่ะ! รีบดำเนินการเถอะ!” ต่งไทเฮากล่าวชมเชยไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็สั่งด้วยสีหน้าสะพรึงกลัว
ชายร่างยักษ์และคนอื่นๆ ตอบรับออกไป จากนั้นกลุ่มเผ่าเจ้าสมุทรต่างก็ทยอยไปดำเนินการของตนเอง
ครึ่งวันผ่านไป กลุ่มอิทธิพลต่างๆ ในเสวียนจิงต่างก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนที่ทราบข่าวเผ่าเจ้าสมุทร เมื่อคลื่นใต้น้ำสั่นกระเพื่อมขึ้นมา พื้นดินใต้เสวียนจิงก็สั่นไหว ค่ายกลอักขระขนาดเล็กปรากฏอยู่บนถนนต่างๆ เป็นจำนวนมาก จากนั้นก็แวบหายไปอย่างไร้ร่องรอย
จากนั้นผืนแผ่นดินใหญ่ทั้งผืนก็บังเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ลำแสงสีฟ้าอ่อนขนาดเท่าอ่างน้ำพุ่งขึ้นไปบนฟ้าเป็นจำนวนมาก และค่อยๆ จมหายไปบนท้องฟ้า
ฉากอันน่าตกใจนี้ ทำให้ผู้คนในเสวียนจิงกับผู้ฝึกฝนอิสระเหล่านั้น จ้องมองจนปากอ้าตาค้าง
ขณะเดียวกัน รอบแท่นหยกที่ใช้เป็นพิธีบูชา ก็มีองครักษ์ของพระราชวังรวมตัวกันอย่างแน่นหนา ซึ่งมีทั้งหมดเกือบสองร้อยกว่าคน แต่ละคนต่างถือธงค่ายกลหลากสีอยู่ในมือ และยืนเรียงแถวสี่แถวอยู่ในค่ายกลสี่เหลี่ยม
และบนแท่นหยก ต่งไทเฮาสวมชุดสีฟ้าอ่อนกึ่งนั่งคุกเข่าอยู่บนนั้น
ใบหน้านางยังคงเป็นเหมือนเดิม แต่อ่อนกว่าก่อนหน้านั้นหลายปี ดูๆ แล้วเป็นหญิงแต่งงานที่ยังสาวมาก และมือทั้งคู่ประคองกระจกทองเหลืองสีน้ำเงินอยู่อันหนึ่ง นางกำลังร่ายคาถาอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
นางพลิกกระจกหงายขึ้นฟ้าทันที ทันใดนั้นก็มีเสียงดังหวึ่งๆ ออกมา และอักขระสีฟ้าอ่อนตัวหนึ่งได้พุ่งออกมาจากในนั้น
ตอนแรกมันมีขนาดไม่ถึงชุ่นกว่าๆ แต่พอต่งไทเฮากระตุ้นมันอย่างต่อเนื่อง พริบตาเดียวก็ขยายขนาดเท่าอ่างล้างหน้า และพุ่งขึ้นไปบนฟ้าสูง
พออักขระอยู่สูงจากพื้นราวๆ สามสิบถึงสี่สิบจั้งก็ค่อยๆ หยุดลง ไม่ว่าต่งไทเฮาจะกระตุ้นของชิ้นนี้อย่างบ้าคลั่งแค่ไหนก็ตาม มันก็เพียงแค่สั่นไหวเล็กน้อยเท่านั้น
“ลงมือ”
ต่งไทเฮาเห็นเช่นนี้ก็รีบกัดฟันตะโกนสั่ง
จากนั้นแสงสีฟ้าได้เปล่งประกายออกมาจากร่างของนาง ภายใต้เส้นผมที่โบกสะบัดตามลม ได้ปรากฏใบหน้าที่แท้จริงของเผ่าเจ้าสมุทรชัดเจนกว่าเดิมสามส่วน
องครักษ์วังหลวงสองร้อยกว่าคนที่อยู่บริเวณแท่นหยก ต่างก็มีแสงเปล่งประกายออกมาเช่นกัน จากนั้นก็ค่อยๆ กลายร่างเป็นมนุษย์ครึ่งมัจฉา
ที่แท้พวกเขาทั้งหมดก็เป็นเผ่าเจ้าสมุทรที่แปลงร่างมา และพอคืนร่างเดิมได้ก็เปล่งพยางค์เสียงแปลกๆ ออกมา พร้อมกับโบกสะบัดธงค่ายกลในมืออย่างบ้าคลั่ง
ทันใดนั้นค่ายกลทั้งสี่ด้านก็เปล่งแสงประกายออกมา อักขระวิจิตรตระการตาเปล่งประกายขาดๆ หายๆ อยู่บนพื้น ขณะเดียวกันแสงหลากสีก็พุ่งออกจากธงค่ายกล แล้วค่อยๆ จมหายไปในกระจกทองเหลืองบนมือต่งไทเฮา
พริบตาเดียว กระตกทองเหลืองก็เปล่งประกายแสบตาออกมา
ทันทีที่ต่งไทเฮาอ้าปาก โลหิตจำนวนหนึ่งได้กลายเป็นหมอกโลหิตแล้วจมหายเข้าไปในกระจกเช่นกัน หลังจากที่กระตุ้นพลังเวทย์ในร่างแล้ว อักขระยักษ์ที่ลอยต่ำอยู่กลางอากาศก็พุ่งขึ้นฟ้า และหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมา บังเกิดแสงฟ้าแลบฟ้าผ่าบนท้องฟ้าที่อยู่ไกลหมื่นลี้ เมฆดำพวยพุ่งในทันที อสรพิษเงินโยกย้ายไปมา ขณะเดียวกันคลื่นชั้นจำกัดที่เกือบจะทำให้คนหายใจอึดอัด ก็กระเพื่อมจากใจกลางพระราชวังไปยังรอบด้าน
……………………………………….
ตอนที่ 211 หายตัวไป
โดย
Ink Stone_Fantasy
จากนั้นแสงสีฟ้าเป็นจุดๆ ก็ปรากฏออกมาในเมฆสีดำเป็นจำนวนมาก หลังจากมีเสียงดังขึ้น มันก็เชื่อมต่อกันเป็นสายเดียว และกลายเป็นม่านแสงสีฟ้าที่หนาเป็นพิเศษ จากนั้นมันก็หล่นลงมาปกคลุมทั่วทั้งเสวียนจิงไว้
มองดูไกลๆ ราวกับชามยักษ์สีฟ้าที่ครอบเมืองขนาดใหญ่ไว้
ในขณะเดียวกัน ม่านแสงสีฟ้าก็ปรากฏออกมาในพระราชวัง มันแยกพระราชวังกับส่วนอื่นๆ ของเสวียนจิงออกจากกัน
ได้เห็นฉากอันน่าตกใจเช่นนี้ ผู้ฝึกฝนที่เป็นสายตรวจของอิทธิพลใหญ่ต่างๆ ย่อมตกตะลึงจนตาค้าง
“แย่แล้ว! พวกเราถูกค่ายกลโอบล้อมไว้ รีบทำลายมันซะจะได้มีชีวิตรอด!”
ไม่รู้ว่าเสียงใครร้องออกมาด้วยความตกใจ จากนั้นเงาร่างบนท้องถนนก็ลุกฮือพุ่งไปยังม่านแสงที่อยู่ใกล้ตัวเองที่สุด
ครู่ต่อมา พลังหลากหลายรูปแบบได้ถูกปล่อยออกมาจากผู้ฝึกฝนอิสระเหล่านี้ และกลายเป็นลำแสงแบบต่างๆ พุ่งไปยังม่านแสงสีฟ้า ก่อนที่จะพากันแตกร้าวออกมา
ชั่วเวลานั้น มีเสียงสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วฟ้า!
หลังจากลำแสงแบบต่างๆ หายไปแล้ว ม่านแสงสีฟ้าขนาดใหญ่ก็ยังคงปกคลุมเสวียนจิงอยู่เงียบๆ พื้นผิวของมันก็ไม่มีระลอกคลื่นแม้แต่น้อย
ฉากอันน่าตกใจนี้ เหมือนจะทำให้ผู้ฝึกฝนอิสระที่ลงมือเมื่อครู่ มีสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมาในทันที
ทันใดนั้นผู้ฝึกฝนอิสระบางคนก็ปล่อยพลังไปยังด้านล่าง และพริบตาที่เท้าทั้งคู่เหยียบพื้น ต่างก็หยิบยันต์กับอาวุธต่างๆ ออกมากระตุ้น จากนั้นแสงสีเหลืองก็ค่อยๆ พากันมุดลงใต้ดิน
ผู้ฝึกฝนอิสระที่มีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วเหล่านี้ คิดจะให้วิชาดำดินเพื่อหลบหนีออกไปจากเสวียนจิง
แต่ผ่านไปไม่นาน คนเหล่านี้ต่างก็พุ่งออกมาจากใต้ดินพร้อมกร่นด่าพึมพำ
ที่แท้ใต้พื้นดินลึกสิบกว่าจั้งยังมีม่านแสงสีฟ้าอยู่ชั้นหนึ่ง ทำให้พวกเขาไม่อาจหนีออกไปจากเสวียนจิงได้
คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ต่างก็รู้สึกเย็นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้
แต่ผู้ฝึกฝนอิสระที่อยู่ตามกลุ่มอิทธิพลใหญ่ต่างๆ เหล่านี้ ได้พากันกลับไปยังกลุ่มของตนเองเพื่อรายงานผล
ระยะเวลาแค่สองชั่วยาม กลุ่มอิทธิพลใหญ่ต่างๆ ก็เริ่มรวมตัวลูกน้องที่อยู่ในเสวียนจิง ขณะเดียวกันผู้ฝึกฝนระดับสูงต่างก็ค่อยๆ รวมตัวกันเพื่อหารือเรื่องวิกฤตตรงหน้านี้
“ไม่ต้องบอกก็รู้ นี่จะต้องเป็นฝีมือของเผ่าเจ้าสมุทรกับปีศาจที่อยู่ในวังอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นจะเกิดเรื่องนี้ขึ้นในทันทีที่สถานพวกเขาถูกเปิดเผยได้อย่างไร อีกอย่างทั่วทั้งพระราชวังก็ถูกพลังของค่ายกลปกป้องไว้ เห็นได้ชัดว่ากลัวพวกเราจะไปคิดบัญชีกับพวกมัน” ผู้ฝึกฝนระดับสูงของกลุ่มอิทธิพลหนึ่ง กล่าวขึ้นในงานชุมนุมด้วยความโกรธจนไม่อาจระงับไว้ได้
และคำสาปแช่งเช่นเดียวกัน ก็ออกมาจากปากของกลุ่มอิทธิพลอื่นๆ ด้วย
ดูเหมือนจะหารือกันได้ไม่เท่าไหร่ กลุ่มอิทธิพลใหญ่ต่างๆ ก็เริ่มโยกย้ายกองกำลังขึ้นมา
ผ่านไปไม่นาน ผู้ฝึกฝนแต่ละกลุ่มก็พุ่งขึ้นฟ้าจากสถานที่เร้นลับบางแห่งในเสวียนจิง
แต่ผู้ที่ปรากฏตัวในครั้งนี้ ล้วนมีระดับการฝึกฝนที่สูงกว่าก่อนหน้านั้นมาก พวกเขาพากันหาจุดที่คิดว่าเป็นจุดบอบบางของม่านแสง และเริ่มลงมือทำลายค่ายกล
แม้ว่าผู้ฝึกฝนอิสระที่กลุ่มอิทธิพลแต่ละกลุ่มส่งมา จะมีพลังแข็งแกร่งกว่ากลุ่มก่อนหน้านั้นมาก ทั้งยังมีอาวุธจิตวิญญาณที่ไม่ธรรมดา แต่มันแค่ทำให้ม่านแสงสั่นไหวไม่กี่ทีเท่านั้น ยังคงไม่สะเทือนถึงค่ายกลทั้งหลัง
ผลลัพธ์เช่นนี้ ย่อมทั้งให้กลุ่มอิทธิพลเหล่านี้ทั้งตกใจและโมโห!
ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีทางเลี่ยง พวกเขาจำต้องแยกย้ายกันกลับที่พักเพื่อหารือกันอีกรอบ หลังจากนั้นก็ส่งลูกน้องออกไปร่วมมือกัน
อาจเป็นเพราะม่านแสงที่ปกคลุมเสวียนจิงในตอนนี้ ทำให้พวกเขารู้สึกถึงอันตรายของมัน ไม่คาดคิดว่าเวลาแค่ครึ่งวัน ก็รวมตัวเป็นกลุ่มพันธมิตรกันได้อย่างน่าตกใจ
จากนั้นผู้ฝึกฝนที่รวมตัวเป็นพันธมิตรเหล่านี้ส่วนหนึ่งก็ศึกษาหาดูว่าทำอย่างไรถึงจะทำลายม่านแสงสีฟ้านี้ได้ อีกส่วนหนึ่งก็ไปรวมตัวกันบริเวณพระราชวัง
ประจักษ์ชัดว่ากลุ่มอิทธิพลเหล่านี้รู้ดีว่า ในเมื่อทุกสิ่งนี้เป็นการกระทำของเผ่าเจ้าสมุทรที่อยู่ในวัง ถ้าอย่างนั้นก็แค่โจมตีพระราชวัง ม่านแสงที่อยู่ด้านนอกก็จะหายไปเอง
ในขณะเดียวกัน ชาวบ้านธรรมดาในเสวียนจิงต่างก็ตกใจจนอกสั่นขวัญแขวน พอเห็นม่านแสงอยู่เหนือศีรษะ แต่ไม่พบเห็นสิ่งผิดปกติอันใด ก็พากันเดินออกมาวิพากษ์วิจารณ์อยู่บนท้องถนน
ข่าวสารที่รวดเร็ว บวกกับชาวบ้านมีความสัมพันธ์ทางด้านญาติพี่น้องกับผู้ฝึกฝน ทำให้พวกเขาพอจะเข้าใจเรื่องนี้อยู่บ้าง ภายใต้เสียงกระซิบกระซาบของกันและกัน ไม่รู้ว่าได้รับข่าวลือแปลกๆ มากี่แบบ
ท่ามกลางห้องลับของจวนอ๋องสาม เงาดำหลายเงาก็รวมตัวกันอย่างลึกลับ แต่หลังจากที่พูดคุยโต้เถียงกันไม่นาน ก็แยกย้ายกันไปอย่างน่าแปลกใจ
“ศิษย์น้องไป๋ ดูเหมือนว่าวิธีการของเจ้าจะให้ผลลัพธ์ที่ตรงกันข้าม เผ่าเจ้าสมุทรเหล่านี้ถูกเจ้าบีบจนต้องลงมือเช่นนี้แล้ว”
บนยอดเขาไร้นามแห่งหนึ่งในเขาเซียนทอแสง หลิ่วหมิงกับหูชุนเหนียงยืนเคียงบ่ากัน พวกเขาแหงนหน้ามองไปยังม่านแสงสีฟ้าบนอากาศ หญิงสาวพลันกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ข้าคิดไม่ถึงว่าเผ่าเจ้าสมุทรจะวางค่ายกลขนาดใหญ่ไว้ใต้พื้นดินของเสวียนจิง ดูท่าข้าจะประเมินความบ้าคลั่งของเผ่าเจ้าสมุทรเหล่านี้ต่ำเกินไป แต่ถ้าพูดถึงผลลัพธ์ตรงกันข้ามล่ะก็ ไม่อาจกล่าวเช่นนั้นได้ แม้ว่าค่ายกลนี้จะมีพลังอันน่ากลัว แต่เห็นได้ชัดว่ามีแค่ผลในการโอบล้อมศัตรู ไม่มีความสามารถในการโจมตี มิเช่นนั้นมันคงแสดงอานุภาพจัดการผู้ฝึกฝนอิสระในเสวียนจิงทั้งหมดแล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเรากลับปลอดภัยยิ่งกว่าเดิม เพียงแค่รอกำลังสนับสนุนจากนิกายอย่างเงียบๆ ก็พอแล้ว” หลังจากสีหน้าตกใจเพียงเล็กน้อยของหลิ่วหมิงหายไป เขาก็ค่อยๆ กล่าวออกมา
“ศิษย์น้องกล่าวเช่นนี้ ก็ดูเหมือนจะมีเหตุผล ตอนนี้เผ่าเจ้าสมุทรเหล่านั้น ต่างก็เป็นเต่าหดหัวอยู่ในวัง แน่นอนว่าไม่สามารถมาหาเรื่องพวกเราได้ แต่ข้าได้ลองทดสอบดูแล้ว พอม่านแสงนี้ปรากฏออกมา ข้าก็ไม่อาจส่งข่าวใดๆ ให้นิกายได้อีกเลย คิดว่าวิธีการติดต่อของศิษย์น้องก็คงไม่ได้ผลเช่นกัน เฮ่อๆ! ดีที่พวกเราลงมือเร็ว ส่งข่าวกลับไปนิกายก่อน มิเช่นนั้นภายใต้สถานการณ์ที่คาดไม่ถึง พวกเราคงถูกเผ่าเจ้าสมุทรเหล่านี้ตัดขาดการติดต่อไปแล้ว และคงทำให้เสียการใหญ่ไปด้วย” หูชุนเหนียงหัวเราะเบาๆ
“เผ่าเจ้าสมุทรใช้วิธีการเช่นนี้ ถึงจะดูเหมือนหมาจนตรอกกระโดดขึ้นกำแพงไปหน่อย แต่พวกเขาคงรู้ดีว่าเสวียนจิงเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ต่อให้นิกายทั้งห้าจะไม่รู้ แต่ก็ไม่อาจปิดบังได้นาน ว่าแต่พวกเขายังคงใช้วิธีการแข็งแกร่งเช่นนี้ ช่างน่าแปลกใจยิ่งนัก” หลิ่วหมิงพยักหน้า และพูดกับตนเองด้วยความสงสัย
“ไม่ว่าเผ่าเจ้าสมุทรจะมีแผนอะไร แต่ในเมื่อข่าวถูกส่งไปยังนิกายแล้ว นี่เป็นสิ่งยืนยันได้ว่าพวกเขาไม่อาจทำได้สำเร็จ เพราะว่าทั่วแคว้นต้าเสวียนเป็นของนิกายทั้งห้าเรา เรื่องที่พวกเราสามารถทำได้ก็ได้ทำไปแล้ว ที่เหลือแค่มอบให้อาจารย์จิตวิญญาณจัดการก็พอ ศิษย์น้องไป๋ใยต้องคิดมากด้วยเล่า!” หูชุนเหนียงยิ้มหวานออกมา
“อาจเป็นเพราะข้ากังวลเกินเหตุ! อย่างที่ศิษย์พี่บอก พวกเราแค่รออย่างเงียบๆ ก็พอแล้ว เอ๋! เหมือนมีคนกำลังมาที่ถ้ำของข้า……ที่แท้ก็เป็นเขา ช่างน่าแปลกเสียจริง! ศิษย์พี่ข้ากลับไปหลบที่ถ้ำก่อน ตอนนี้ท่านเปลี่ยนรูปโฉมแล้ว คิดว่าคงไม่มีคนจำท่านได้ งั้นก็ช่วยข้าทำให้เขาจากไปหน่อยเถอะ! เวลาหลังจากนี้ข้าจะเก็บตัวไม่ออกมา ไม่อยากจะเอาเรื่องอะไรเข้ามายุ่งอีก” หลิ่วหมิงรีบกล่าวออกมา จากนั้นก็เหาะไปยังถ้ำของตนเองอย่างรวดเร็ว
“ที่แท้ก็เป็นคนผู้นี้ มิน่าเจ้าถึงไม่อยากยุ่งด้วย” ตอนแรกหูชุนเหนียงรู้สึกตกตะลึง แต่หลังจากเขม้นตามองตามไปแล้ว จึงพูดกับตัวเองด้วยความแปลกใจเล็กน้อย
แต่ในใจเขากลับรู้สึกแปลกใจอย่างอดไม่ได้
เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายสมบูรณ์แบบเหมือนกัน แต่หลิ่วหมิงรู้ตัวก่อนนางว่ามีคนมา ถ้าไม่ใช่ว่าเขามีสมบัติพิเศษบางอย่าง ก็เป็นเพราะว่าพลังจิตแข็งแกร่งกว่านางมาก
สีหน้านางเปลี่ยนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงถอนหายใจเบาๆ ก่อนเดินลงยอดเขาไป
ผ่านไปไม่นานผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำ ใบหน้าใจดี ก็มาปรากฏตัวบนทางเดินเขาที่อยู่ไม่ไกล และพุ่งตรงมาที่ถ้ำหลิ่วหมิง
เขาก็คือผู้อาวุโสเหมี่ยนแห่งเรือนร้อยวิญญาณนั่นเอง!
เขามีท่าทีกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่นับว่าเดินเร็วมาก แต่ถึงกระนั้นก็มาถึงหน้าถ้ำหลิ่วหมิงในเวลาไม่นาน และเคาะประตูหินเบาๆ สองที
ผ่านไปไม่นาน ประตูหินก็เปิดออก หูชุนเหนียงปรากฏตัวตรงหน้าผู้อาวุโสด้วยรอยยิ้ม
“เอ๋! ท่านเซียนผู้นี้คือ…… สหายเฉียนพักอยู่ที่นี่หรือไม่?” ผู้อาวุโสเหมี่ยนรู้สึกอึ้งเล็กน้อย และรีบสอบถามด้วยความแปลกใจ
“ที่นี่คือที่พักของศิษย์พี่เฉียน ท่านคือ?”ใบหน้าแท้จริงของหูชุนเหนียงอ่อนเยาว์กว่าใบหน้าของหลิ่วหมิงที่ปลอมเป็นคุณชายเฉียนมากนัก ตอนนี้จึงได้แต่จำใจเรียกหลิ่วหมิงเช่นนี้
“ที่แท้ท่านเซียนผู้นี้ก็เป็นศิษย์น้องของคุณชายเฉียน ท่านเซียนช่วยแจ้งให้ข้าหน่อย คุณชายเฉียนจะรู้เองว่าข้าเป็นใคร” ผู้อาวุโสเหมี่ยนกล่าวอย่างเกรงใจ
“เกรงว่าจะไม่ได้ ศิษย์พี่ข้าเพิ่งเก็บตัวไปเมื่อหลายวันก่อน กำลังฝึกฝนเคล็ดวิชาบางอย่างอยู่ ในระหว่างนี้ไม่สามารถออกมากลางคันได้ ผู้อาวุโสเหมี่ยนรออีกซักเดือน แล้วค่อยมาหาศิษย์พี่ข้าเถอะ!” หูชุนเหนียงส่ายหน้า และกล่าวด้วยสีหน้าสงบ
“อะไรนะ! เก็บตัวตอนนี้! ท่านเซียนไม่สามารถยืดหยุ่นได้เลยหรือ? ท่านเองก็คงเห็นผนึกบนท้องฟ้าแล้วใช่ไหม ครั้งนี้เถ้าแก่เฉียนได้รับคำสั่งจากอ๋องสาม ให้ผู้ฝึกฝนของเรือนร้อยวิญญาณเข้าไปพบที่จวนอ๋องสาม คุณชายเฉียนเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบ อ๋องสามระบุชื่อเขาเป็นพิเศษว่าจะต้องไปให้ได้ ดูเหมือนว่าอ๋องสามจะคิดวิธีรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ได้” ผู้อาวุโสเหมี่ยนได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกกังกลอย่างอดไม่ได้
“อ๋องสาม? ต้องขออภัยด้วย! ต่อให้รัชทายาทในตอนนี้เรียกตัวเข้าพบ ศิษย์พี่ข้าก็ไม่อาจออกจากการเก็บตัวได้” สีหน้าของหูชุนเหนียงเริ่มเปลี่ยน และกล่าวออกมาอย่างไม่ลังเล
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าคงต้องกลับไปรายงานเถ้าแก่กับอ๋องสามเช่นนี้แล้ว” ผู้อาวุโสพูดเกลี้ยกล่อมอยู่ครู่หนึ่ง แต่พอเห็นว่าหูชุนเหนียงไม่มีท่าจะยอมเลยแม้แต่น้อย เขาจึงป้องมือออกไปอย่างไม่มีทางเลี่ยง และหมุนตัวเดินจากไป
แต่พอผู้อาวุโสชุดดำเดินออกไปไม่กี่ก้าว ก็พลันมีคลื่นกระทบข้างหู และเสียงแว่วๆ ของหลิ่วหมิงก็ดังเข้ามา
“พี่เหมี่ยน ถ้าข้าเป็นท่านล่ะก็ คงไม่เสี่ยงไปจวนอ๋องสามในเวลานี้ แต่ข้าก็บอกท่านได้เพียงเท่านี้ เรื่องอื่นๆ ข้าไม่สะดวกพูด”
ถึงแม้เสียงที่ส่งมาของหลิ่วหมิงจะสั้นๆ แต่ยังคงทำให้ผู้อาวุโสเหมี่ยนรู้สึกเย็นยะเยือกในใจ หลังจากหันตัวคารวะไปยังถ้ำหลิ่วหมิงแล้ว ก็เดินลงเขาโดยไม่กล่าวอะไรออกมา
ระยะเวลาหลายวันหลังจากนั้น นอกจากผู้ฝึกฝนอิสระเกือบพันคนที่ปรากฏตัวนอกพระราชวัง และวางค่ายกลขนาดต่างๆ เพื่อปิดล้อมพระราชวังไว้ กลุ่มอิทธิพลทั้งหมดย่อมไม่กล้าเสี่ยงทำการอะไร
ราวกับว่าอิทธิพลระดับสูงเหล่านี้ ก็คิดหาวิธีโจมตีพระราชวังด้วยความยากลำบาก
แม้ว่าม่านแสงที่ปกป้องพระราชวังไว้ จะไม่น่ากลัวเท่าผนึกที่ปกคลุมเสวียนจิง แต่มันก็แผ่กลิ่นไออันน่าตกใจออกมา ดูก็รู้ว่าไม่สามารถใช้วิชาทั่วไปโจมตีได้
……………………………………….
ตอนที่ 212 เริ่มลงมือ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในระหว่งเวลานี้ กลับเกิดเรื่องชั่วร้ายในเสวียนจิง
กลุ่มอิทธิพลบางกลุ่มที่สงสัยว่าอ๋องและองค์ชายไม่ใช่มนุษย์ ต่างก็ส่งคนบุกเข้าไปในจวนขององค์ชาย และลูกท่านหลานเธอ เพื่อจะดูว่าพวกเขาเป็นมนุษย์จริงหรือไม่
ผลลัพธ์ที่พบกลับทำให้พวกเขาตกใจเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าจวนเหล่านี้ร้างไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่ว่าจะเป็นนาย หรือข้ารับใช้ แม้กระทั่งองครักษ์ก็หายไปจนหมดสิ้น
จวนอ๋องสามก็รวมอยู่ในนั้นด้วย
ผู้ฝึกฝนที่ปะปนกับกลุ่มอิทธิพลอื่นบุกเข้าจวนอ๋องสามนั้น มีผู้อาวุโสเหมี่ยนของเรือนร้อยวิญญาณด้วย
หลังจากที่เขาพาลูกน้องไปค้นจวนอ๋องสามแล้วพบกับความว่างเปล่า สีหน้าเขาก็ดูไม่ได้ขึ้นมา
สองวันก่อน ซุนอิ๋นที่เป็นผู้ฝึกปราณขั้นสมบูรณ์แบบและสนิทกับเขา รวมถึงแขกเรือนร้อยวิญญาณคนอื่นๆ ที่เข้าไปจวนอ๋องสาม ได้ส่งข่าวมาว่าจะหารือเรื่องบางอย่างในคืนนั้น
แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน ก็ไม่มีข่าวอะไรออกจากจวนอ๋องสามอีกเลย
ตอนนี้เขาอดไม่ไหวถึงได้ปะปนกับกลุ่มอิทธิพลอื่นๆ บุกเข้าจวนอ๋องสาม แต่กลับพบฉากอันน่าแปลกใจนี้ เขาย่อมรู้สึกทั้งตกใจและโมโห
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาได้ยินคำพูดของหลิ่วหมิง และหาข้ออ้างไม่ไปรวมตัวที่จวนอ๋องสามล่ะก็ ไม่เท่ากับว่าเขาต้องหายตัวไปเหมือนกับคนอื่นๆ ด้วยหรือ
แม้จะไม่รู้ว่าคนที่หายไปเหล่านี้จะเป็นอย่างไรบ้าง แต่ภายใต้สถานการณ์ที่วุ่นวายเช่นนี้ คิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องดีอะไร
แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ผู้อาวุโสเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ได้แต่กลับไปหารือวิธีรับมือกับเฉียนเชา
ในขณะที่ผู้อาวุโสเหมี่ยนกลับจวนเฉียนอย่างปลอดภัยนั้น ตรงพื้นที่ระหว่างพรมแดนแคว้นต้าเสวียนกับแคว้นไห่เยวี่ย เรือเหาะยาวสิบกว่าจั้งที่ถูกแสงสีขาวปกคลุมอยู่ กำลังเหาะพุ่งมากลางอากาศ
ห้องภายในเรือที่แกะสลักอย่างสวยงาม มีหญิงสาวสวมชุดชาววังสีขาว กำลังก้มหน้าดีดพิณโบราณสีเงินจางๆ อยู่
เสียงพิณไพเราะมาก บางครั้งก็นุ่มนวลราวกับสายน้ำไหล บางครั้งก็รีบเร่งราวสายน้ำตก บางครั้งก็ชัดและไพเราะราวกับมุกหล่นบนจานหยก บางครั้งก็เบาราวกับเสียงกระซิบ ทำให้เคลิบเคลิ้มอยู่ในโลกที่เสียงดนตรีสร้างขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ทันใดนั้น นิ้วมือทั้งสิบของหญิงสาวก็หยุดชะงักลง เสียงพิณหยุดลงไปในฉับพลัน จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าอันสวยสดงดงาม จากนั้นนางก็กล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ทำไมล่ะ ยังไม่สามารถติดต่อคุณหนูสิบสามของเผ่าเกล็ดเขียวได้หรือ?”
“เรียนนายท่าน ดูเหมือนว่าอาวุธจิตวิญญาณที่ใช้ส่งข่าวของฝ่ายตรงข้ามจะถูกปิดกั้นไว้ จึงยังไม่มีการตอบรับใดๆ จากฝ่ายนั้นเลย” ได้ยินหญิงสาวถามดังนี้ ชายหนุ่มสุภาพงดงามผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาด้านในห้อง และโค้งตัวกล่าว
“คุณหนูสิบสามผู้นี้เล่นลูกไม้อะไรอีก แม้ข้าจะถูกเผ่าของพวกเขาขอร้องให้ไปช่วยที่เสวียนจิง จึงเพิ่งจะออกเดินทางในตอนนี้ แต่ถ้าตอนนี้ไม่สามารถติดต่อได้ล่ะก็ ข้าจะรู้สถานการณ์ในเสวียนจิงได้อย่างไร” หญิงสาวได้ยินเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วกล่าว
“นายท่านวางใจได้! ข่าวที่พวกเราไปเสวียนจิงได้แจ้งฝ่ายตรงข้ามไปนานแล้ว แม้ว่าจะล่วงหน้ากว่าเวลาเดิมไปหน่อย แต่คงไม่มีปัญหาอะไร” ชายหนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อันนี้ก็พูดยาก แม้ว่าข้าจะเป็น ‘เทพธิดาพยากรณ์’ ในสายตาของผู้ฝึกฝนอิสระเหล่านั้น และมีร่างลิขิตฟ้าที่สามารถทำนายชะตาได้ แต่เจ้าก็รู้ดีว่าสิ่งเหล่านี้เป็นแค่การแสดงปาหี่ ที่เราซื้อมนุษย์บางคนมาแสดงหลอกเท่านั้น ในนามของเผ่าอย่างลับๆ ทำให้นิกายในแคว้นไห่เยวี่ยแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นในเรื่องนี้ พวกเขาจึงไม่กล้าทำอะไรพวกเรา แต่เผ่าเรากับผู้ฝึกฝนอิสระในแคว้นต้าเสวียนกลับติดต่อกันน้อยมาก ถ้าได้เผชิญหน้ากับอาจารย์จิตวิญญาณในนิกาย เกรงว่าชื่อเสียงเทพธิดาพยากรณ์ของข้าคงใช้ไม่ได้แล้ว” หญิงสาวกล่าวอย่างราบเรียบ
“ด้วยสถานะธิดาเทพเผ่าเกล็ดแดงของนายท่าน ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกฝนในนิกายของแคว้นต้าเสวียน พวกเขาก็ไม่กล้าเสียมารยาทต่อท่าน เพราะตอนนี้ทั้งสามเผ่าเรายังไม่ได้เริ่มเปิดฉากแผนการ และยังไม่ได้ฉีกหน้ากับนิกายแผ่นดินใหญ่บนเกาะอวิ๋นซาน” ชายหนุ่มกล่าวอย่างมีแผนในใจ
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ทางด้านเสวียนจิงกลับขาดการติดต่อในฉับพลัน ข้ายังรู้สึกกังวลเล็กน้อย เจ้ารีบส่งข่าวกลับไปที่เผ่า ให้อาสามรีบมาเถอะ! ด้วยระดับฝีเท้าของเขา ต่อให้จะออกเดินทางช้าหน่อย แต่ก็คงถึงเสวียนจิงพอๆ กับพวกเรา” หญิงสาวลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมาอย่างเฉียบขาด
“ทราบ! ข้าน้อยจะแจ้งข่าวให้นายท่านสามเดี๋ยวนี้” ชายหนุ่มโค้งตัวคำนับด้วยสีหน้าเคร่งขรึมก่อนถอยออกไป
ไม่นานก็มีเสียงพิณโบราณดังขึ้นในห้องบนเรืออีกครั้ง
เพียงแต่ครั้งนี้เสียงพิณดังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ทำให้ผู้ฟังโลหิตเดือดพล่านอย่างไม่รู้ตัว!
ขณะเดียวกัน บนท้องฟ้าเหนือพื้นที่ว่างเปล่าแห่งหนึ่ง เรือกระดูกสีขาวยาวสามสิบกว่าจั้ง กำลังพุ่งยิงออกไปท่ามไอดำที่หมุนวนเป็นเกลียวจำนวนมาก ราวกับมันเป็นปีศาจอันดุร้าย
ด้านหน้าของเรือกระดูก ชายฉกรรจ์สวมชุดคลุมสีเงินกำลังมองไปด้านหน้าด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
พลันมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นตรงด้านหลังของเขา และหญิงสาวรูปร่างอรชรสวยงามนางหนึ่งก็เดินเข้ามา แล้วถามออกไปเบาๆ
“ศิษย์พี่เหลย แม้ว่าครั้งนี้จะพบเผ่าเจ้าสมุทรในเสวียนจิง แต่ก็ไม่ถึงกับต้องใช้อาจารย์จิตวิญญาณของนิกายเราสี่คนหรอกนะ แม้กระทั่งรวมถึงหัวหน้าสาขาอย่างข้ากับเจ้าด้วย”
“ศิษย์น้องหลินไม่รู้อะไร นิกายเราได้รับข่าวจากช่องทางเร้นลับมาจำนวนหนึ่ง ดูเหมือนว่าช่วงนี้เผ่าเจ้าสมุทรจะวางแผนการใหญ่อะไรอยู่ และดูเหมือนว่ากำลังพุ่งเป้าไปยังแคว้นที่อยู่บริเวณแถบชายทะเล และแคว้นที่อยู่ใกล้ทะเลอย่างพวกเรา ครั้งนี้ศิษย์พี่ท่านประมุขหวังว่าพวกเราจะใช้พลังอัสนีกลาดล้างเผ่าเจ้าสมุทรในเสวียนจิง และสั่งสอนพวกมันอย่างโหดเหี้ยมซะก่อน อย่าให้กรงเล็บของมันอย่ายื่นยาวจนเกินไป นอกจากนี้ ทางนิกายจันทราสวรรค์ก็ดูเหมือนจะคิดเช่นนี้ และส่งอาจารย์วิญญาณมาหลายคนเหมือนกัน ต่อให้มีคนมาช่วยเผ่าเจ้าสมุทรเหล่านี้ พวกเราก็จะจับพวกมันไว้ในเสวียนจิง โดยไม่ให้หนีรอดไปได้เลยแม้แต่คนเดียว
“พวกเราทำเช่นนี้มันก็ง่าย แต่คงไม่ยั่วโทสะเผ่าเจ้าสมุทรจริงๆ หรอกนะ ด้วยพลังอันแข็งแกร่งของเผ่าเจ้าสมุทร อาจารย์จิตวิญญาณที่แข็งแกร่งก็มีมากมาย คงไม่ใช่เรื่องที่พลังของพวกเราไม่กี่แคว้นจะสามารถต้านทานได้” หญิงแซ่หลินกลับรู้สึกลังเลเล็กน้อย
“ศิษย์น้องพูดผิดแล้วล่ะ! สำหรับต่างเผ่าเหล่านี้ เผ่ามนุษย์ของพวกเราต้องไม่มีจุดอ่อนเลยแม้แต่เล็กน้อย มิเช่นนั้นจะทำให้เผ่าเจ้าสมุทรเหล่านี้เหิมเกริมได้ เจ้าดูนิกายในแคว้นไห่เยวี่ย เป็นเพราะกลัวอิทธิพลของเผ่าเจ้าสมุทร จึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นการกระทำของเผ่าเจ้าสมุทร แต่กลับแลกมาด้วยการกำเริบเสิบสานของเผ่าเจ้าสมุทร แม้กระทั่งกิจกรรมบางอย่างก็เปิดเผยเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ศิษย์พี่ท่านประมุขก็ได้ขอคำแนะนำจากอาจารย์อาเยี่ยนแล้ว ถึงได้ออกคำสั่งเช่นนี้” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยหัวเราะอย่างเยือกเย็นก่อนกล่าวออกมา”
“ที่แท้อาจารย์อาเยี่ยนก็เป็นคนตอบตกลงเอง ถ้าอย่างนั้นคงไม่มีปัญหาอะไรมาก แต่ว่าระยะทางจากนี่ไปเสวียนจิง ต่อให้ใช้พลังทั้งหมดในการเดินทาง ก็ยังต้องใช้เวลาเดือนกว่าๆ ถึงจะได้ ขออย่าได้เกิดเหตุร้ายอะไรกับเสวียนจิงเลย” พอหญิงแซ่หลินได้ยินชื่อของอาจารย์อาเยี่ยน ก็มีสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“วางใจเถอะ! ด้วยสติปัญญาและพลังของไป๋ชงเทียน ต่อให้เกิดเหตุร้ายอะไรขึ้น ก็คงจะสามารถรับมือไว้ได้ แต่ข้าคิดไม่ถึงว่าเขามาเสวียนจิงได้ไม่ถึงเดือนกว่าๆ ก็สืบพบว่าเผ่าเจ้าสมุทรควบคุมราชสำนักทั้งหมดไว้ ถ้าเทียบกันแล้ว ศิษย์ตรวจตราหลายคนในก่อนหน้าช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี ไม่คิดว่าอยู่มานานขนาดนี้ กลับไม่รู้เรื่องเผ่าเจ้าสมุทรเลยแม้แต่น้อย” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยกล่าวด้วยความโมโห
“ศิษย์หลานไป๋ผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ น่าเสียดายที่เขามีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ มิเช่นนั้นถึงแม้จะมีเพิ่มมาแค่หนึ่งชีพจิตวิญญาณ ไม่แน่อาจจะมีโอกาสเล็กๆ ในการสำเร็จเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้” หญิงแซ่หลินฟังถึงจุดนี้ ก็แสดงสีหน้าเสียดายออกมา
“อันนี้มันก็พูดยาก เพียงแค่สามชีพจรจิตวิญญาณมีโอกาสกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณน้อยเกินไปก็เท่านั้น ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสสำเร็จเลย” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยเงียบไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวออกมา
“ทำไมล่ะ! ศิษย์พี่เหลยเชื่อมั่นในตัวเจ้าเด็กนี่หรือ?” หญิงแซ่หลินกล่าวด้วยความแปลกใจ
“ไม่อาจกล่าวได้ว่าเชื่อมั่น เพียงแต่คิดว่าศิษย์หลานไป๋ไม่น่าจะเดินมาได้ไกลแค่นี้ ใช่สิ! ได้ยินมาว่าตอนที่พวกเราออกเดินทาง เกาชงได้เตรียมทุกอย่างพร้อมสำหรับทะลวงอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว!” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยตอบกลับไปด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก และถามออกไปอีกครั้ง
“อืม! ศิษย์ผู้น่าภูมิใจของศิษย์พี่ท่านประมุขผู้นี้ ได้เริ่มทะลวงด่านแล้ว แต่จะสำเร็จได้ในครั้งเดียวหรือไม่นั้น อย่างน้อยต้องใช้เวลาหนึ่งปีถึงจะทราบได้ แต่ศิษย์หลายไป๋ก็นับว่าฉลาดมาก ได้ยินมาว่าหลังจากกลับไปที่ตระกูลไป๋ ก็ยกเลิกงานแต่งกับตระกูลมู่แล้ว ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ถึงแม้เกาชงจะกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณ แต่ก็ไม่สามารถหาเรื่องศิษย์หลานไป๋ได้ชั่วเวลาหนึ่ง” หญิงแซ่หลินกล่าว
“ยกเลิกงานแต่ง! ฮึ! มันจะมีประโยชน์อะไร! ในเมื่อเกาชงเลือกทะลวงอาจารย์จิตวิญญาณ ก็แสดงว่าเตาหลอมพลังของเขาคงมีเป้าหมายใหม่แล้ว ไม่ว่าศิษย์หลานไป๋จะยกเลิกงานแต่งหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ได้ล่วงเกินฝ่ายตรงข้ามไปแล้ว เรื่องยุ่งยากจะต้องเข้ามาอย่างแน่นอน อยู่ที่ว่ามันจะช้าหรือเร็วก็เท่านั้น” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยทำเสียงฮึดฮัดก่อนกล่าวออกมา
“อย่างน้อยการปะทะก็คลี่คลายลง ไม่แน่ในระหว่างเวลานี้อาจจะดีขึ้นก็ได้ แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา ผู้ที่เป็นกังวลแทนเด็กคนนี้ ควรเป็นศิษย์พี่กุยกับศิษย์น้องจงมากกว่า” หญิงแซ่หลินกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ย่อมเป็นเช่นนั้น แต่หากครั้งนี้สามารถกวาดล้างเผ่าเจ้าสมุทรได้สำเร็จ ก็นับว่าศิษย์หลานไป๋ได้สร้างผลงานชิ้นใหญ่ คงได้รับการตอบแทนอย่างเลี่ยงไม่ได้ อีกอย่างนอกจากเผ่าเจ้าสมุทรที่ต้องกวาดล้างให้หมดแล้ว กลุ่มอิทธิพลยุ่งเหยิงทั้งหลายก็ต้องกวาดล้างไปด้วย มิเช่นนั้นผู้ฝึกฝนอิสระจะคิดว่าเสวียนจิงเป็นพื้นที่ของพวกเขาจริงๆ” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยพยักหน้าก่อนกล่าวออกมาด้วยสีหน้าดุร้าย
“เรื่องนี้ข้าไม่มีข้อคัดค้านใดๆ หลายปีมานี้ ผู้ฝึกฝนอิสระในเสวียนจิงทำเรื่องไม่ถูกต้อง ควรจะกวาดล้างสักหน่อย” หญิงแซ่หลินกล่าวโดยไม่คิดจะคัดค้าน
……
หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่ใจกลางห้องลับ มือทั้งสองถือธงเล็กสีฟ้าไว้ และพ่นไอดำออกมา มันพวยพุ่งหมุนวนธงเล็กอยู่ไม่หยุด ดูเหมือนว่าได้ปรับแต่งจนถึงช่วงเวลาสำคัญ
ทันใดนั้นเขาได้ตะโกนเสียงต่ำออกมาในทันที หลังจากที่ธงเล็กในมือสั่นสะท้าน ค่ายกลอักขระสีฟ้าอ่อนจำนวนสามชั้นก็สว่างสดใสขึ้นมา และหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
“สำเร็จแล้ว!”
หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็เผยสีหน้าดีใจออกมา เขากำธงเล็กไว้แน่น ปากก็ร่ายคาถาพร้อมกับส่งพลังเวทย์ออกไป
……………………………………….
ตอนที่ 213 ค่ายกลรบ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ธงเล็กสีฟ้าส่งสียงดัง “หวึ่งๆ” ออกมา พอออกแรงโบกสะบัดมัน แสงสีฟ้าเป็นจุดๆ ก็โผล่ออกมาทันที จากนั้นก็พร่ามัวกลายเป็นคลื่นน้ำขนาดใหญ่ ห้อมล้อมร่างหลิ่วหมิงไว้
หลิ่วหมิงโบกสะบัดธงเล็กอย่างบ้าคลั่งด้วยความแปลกใจ คลื่นน้ำก็กระเพื่อมสั่นไหวอยู่ไม่หยุด
ธงเล็กในมือเขาแตะไปยังอากาศตรงหน้าเจ็ดแปดครั้งทันที
ทันใดนั้นคลื่นน้ำก็ม้วนตัวพ่นเส้นสีขาวขนาดใหญ่ออกมาเจ็ดแปดเส้น คลื่นเหล่านี้โจมตีไปยังผนังตรงหน้า
สิ่งนี้ทำให้ผนังที่ถูกวางชั้นจำกัดอยู่เปล่งประกายออกมา และปรากฏรูขนาดต่างๆ บนกำแพงหินเจ็ดแปดรู
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้กลับขมวดคิ้วทันที
สำหรับอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางแล้ว พลังเช่นนี้นับว่าไม่ค่อยมีอานุภาพมากนัก
เขาคิดเช่นนี้อยู่ในใจ และสูดหายใจเข้าลึกๆ พอธงเล็กสีฟ้าพร่ามัว เขาก็ปักมันเข้าไปที่ท้อง จากนั้นมือทั้งสองก็รีบทำท่ามืออย่างรวดเร็ว
ร่างหลิ่วหมิงพร่ามัว และค่อยๆ โปร่งแสงขึ้นมา สุดท้ายก็หายวับเข้าไปในคลื่นน้ำ จนมองไม่เห็นอะไรอีก
ขณะนี้ คลื่นน้ำพุ่งชนตามผนังห้องลับ สักพักก็พุ่งขึ้นด้านบน กลายเป็นชั้นบางๆ เกาะติดอยู่ใต้หลังคาห้อง สักพักก็กลายเป็นระลอกคลื่นหมุนวนอยู่กลางอากาศไม่หยุด
พอคลื่นน้ำส่งเสียงดังออกมา มันก็แยกตัวเป็นสองกลุ่มทันที พอแสงสีฟ้าเปล่งประกาย ทั้งสองกลุ่มต่างก็กลายเป็นเงาร่างกึ่งโปร่งแสง รูปร่างหน้าตา เสื้อผ้า ล้วนเหมือนกับหลิ่วหมิงไม่มีผิด เพียงแต่หลังจากที่ทั้งสองจ้องมองตากันครู่หนึ่ง ก็ไม่อาจแยกออกได้ว่าร่างไหนจริงร่างไหนปลอม
“วิเศษมาก! คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าสมบัติชิ้นนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจเช่นนี้ โชคดีที่เผชิญหน้ากับศัตรูในวันนั้น เผ่าเจ้าสมุทรไม่ได้แสดงความมหัศจรรย์ที่แท้จริงของมันออกมา” เงาร่างหนึ่งในนั้นกลายเป็นคลื่นน้ำและพังทลายลงมา ส่วนอีกเงาร่างก็เกาะตัวกันกลายเป็นหลิ่วหมิงดังเดิม
ใบหน้าเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความตกใจระคนดีใจ
หลังจากนั้นอีกห้าหกวัน หลิ่วหมิงกับหูชุนเหนียงก็เก็บตัวอยู่ในถ้ำไม่ออกไปไหน
คนหนึ่งรักษาบาดแผลและฟื้นฟูพลังอยู่เงียบๆ อีกคนก็ตั้งใจฝึกใช้อาวุธจิตวิญญาณระดับกลางที่เพิ่งได้มา
แต่ช่วงระหว่างเวลานี้ กลุ่มอิทธิพลในเสวียนจิงที่เป็นพันธมิตรกัน ก็เริ่มลองโจมตีชั้นจำกัดนอกพระราชวังอยู่ไม่หยุด เพื่อหาจุดที่เปราะบางของมัน
แต่ก็ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของม่านแสงที่ปกป้องพระราชวัง ไม่ว่าจะใช้อะไรโจมตีมันก็รับไว้ได้ทั้งหมด ราวกับว่ามันไม่มีจุดอ่อนอยู่เลย
หลายวันมานี้ ผลลัพธ์การทดสอบมาเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ชั้นจำกัดนี้ไม่สามารถทำลายได้ด้วยพลังของกลุ่มอิทธิพลเพียงกลุ่มเดียว
สองวันผ่านไป ดูเหมือนว่ากลุ่มอิทธิพลต่างๆ ในเสวียนจิงจะหาวิธีทำลายชั้นจำกัดได้แล้ว
วันนี้เวลาเที่ยงวัน ผู้ฝึกฝนเกือบพันคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่นอกวังพลันลุกขึ้นมา และเริ่มลงมือกันเป็นกลุ่มๆ ทันที
ไม่นาน ก็มาตั้งขบวนแถวเป็นสามกลุ่มขนาดใหญ่อยู่ตรงประตูทางเข้าหลักของพระราชวัง
ผู้ฝึกฝนกลุ่มหนึ่งต่างก็ถือกระบี่ยาวสีขาวไว้ในมือ ผู้ฝึกฝนกลุ่มต่อมาต่างก็ชักดาบยาวสีดำออกมา และกลุ่มสุดท้าย ผู้ฝึกฝนแต่ละคนต่างก็พกถุงมือสีเงินมาด้วย
ผู้ฝึกฝนอิสระที่เดินเตร็ดเตร่ไปมาเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกตื่นตัวในทันที!
หลายคนในนั้นเป็นผู้ความรู้กว้างไกล พอได้เห็นเช่นนี้ต่างก็รู้สึกเย็นยะเยือกในใจ คนจำนวนไม่น้อยต่างก็พูดคำว่า ‘ค่ายกลรบ’ ออกมาเบาๆ
ในขณะเดียวกัน ผู้ที่มีกลิ่นไอพลังแข็งแกร่งสิบกว่าคน ได้พุ่งออกมาจากกลุ่มผู้ฝึกฝนที่เป็นพันธมิตรกัน
ผู้อาวุโสใบหน้าแปลกประหลาดที่เป็นหนึ่งในนั้นก้าวเท้ายาวๆ ออกมา และหยิบแผ่นค่ายกลแล้วค่อยๆ ยกหันไปทางพระราชวัง
“ไม่คิดว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญหรง เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญค่ายกลอันดับหนึ่งในเสวียนจิงนี้ ดูเหมือนว่าการทำลายค่ายกลในครั้งนี้จะมีความหวังขึ้นมาแล้ว!”
พอผู้ฝึกฝนอิสระที่คอยสังเกตอยู่บริเวณนั้น จำผู้อาวุโสแปลกประหลาดผู้นี้ได้ ก็กล่าวด้วยความดีใจ
คนอื่นๆ ที่จำ ‘ผู้เชี่ยวชาญหรง’ ได้ หรือเคยได้ยินชื่อเสียงมาก่อน ต่างก็รู้สึกตกใจระคนดีใจ
ขณะนี้เอง ผู้เชี่ยวชาญหรงก็โยนแผ่นค่ายกลไปบนอากาศ ขณะเดียวกันมือข้างหนึ่งก็ปล่อยพลังเวทย์เข้าใส่
มีเสียงดังกังวานออกมา!
ลำแสงเปล่งประกายบนแผ่นค่ายกล จากนั้นค่ายกลแสงมายาที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวจั้งกว่าๆ ก็ปรากฏออกมาลางๆ
“สหายทุกท่านรออะไรกันอยู่! ยังไม่รีบช่วยข้าอีก!”
ผู้เชี่ยวชาญหรงตะคอกออกมา!
ทันใดนั้นผู้ฝึกฝนที่พุ่งออกมาพร้อมกันในตอนแรก ต่างก็แยกออกเป็นสองแถวราวกับนัดไว้ก่อน แขนทั้งสองข้างของแต่ละคนวางอยู่บนบ่าคนข้างหน้า และสองคนที่อยู่หน้าสุดก็ทาบมือทั้งสองลงบนหลังผู้อาวุโส
พลังเวทย์บริสุทธิ์สองสายที่ดูราวกับกระแสน้ำไหล ก็ไหลทะลักไปยังร่างของผู้เชี่ยวชาญหรง
ผู้อาวุโสแปลกประหลาดรู้สึกว่าพลังเวทย์ปะทุขึ้นมาในฉับพลัน พลังเวทย์บริสุทธิ์โหมซัดสาดไปทั่วชีพจรแต่ละเส้น ราวกับว่ามันจะทำให้ร่างระเบิดออกมาได้
ผู้อาวุโสไม่กล้าชักช้า นิ้วทั้งสิบดีดไปยังค่ายกลแสงอย่างต่อเนื่องราวกับล้อรถ พลังเวทย์แต่ละสายตกลงบนค่ายกลแสงอย่างแม่นยำ
ทุกครั้งที่ดีดนิ้วออกไป ทำให้ค่ายกลแสงขยายใหญ่ขึ้น พริบตาเดียวก็ขยายใหญ่เจ็ดแปดจั้ง
ขณะนั้นเอง มีเสียงดังหวึ่งๆ มาจากค่ายกลแสง อักขระหลากสีจำนวนมากล่องลอยออกมาจากในนั้น ต่อมาก็พ่นลำแสงสีขาวโพลนขนาดใหญ่ออกมาลำหนึ่ง และพุ่งชนม่านแสงที่ปกคลุมพระราชวังอย่างรุนแรง
พอม่านแสงสีฟ้าที่เดิมทีดูหนาๆ ถูกลำแสงโจมตี ก็บังเกิดระลอกคลื่นบนพื้นผิวของมัน และเริ่มสั่นไหวขึ้นมาอีกครั้ง
ขณะนี้ ท่ามกลางผู้ฝึกฝนทั้งสามกลุ่มที่อยู่หน้าพระราชวัง ไม่รู้ว่าใครออกคำสั่งว่า “ลงมือ” ออกมา
ผู้ฝึกฝนที่ถือกระบี่ยาวหลายร้อยคนขยับอาวุธในมือพร้อมกัน และฟาดฟันปราณกระบี่ออกไปกลางอากาศ ไม่นานมันก็รวมตัวกันเป็นกระบี่แสงยาวสิบกว่าจั้ง ก่อนที่จะตกลงบนม่านแสงนอกพระราชวังอย่างดุดัน
“ตู๊ม!” เสียงอันน่าตกใจสะเทือนไปทั่วปฐพี
พื้นผิวม่านแสงสีฟ้าเว้าเข้าไปส่วนหนึ่ง ขณะเดียวกันก็เปล่งประกายออกมาอย่างบ้าคลั่ง
พริบตาที่แสงกระบี่หายไป ผู้ฝึกฝนถือดาบหลายร้อยคนต่างก็ตวัดดาบฟันขึ้นไป แสงดาบอันน่าสะพรึงม้วนตัวไปบนอากาศราวกับกระแสน้ำ จากนั้นก็รวมตัวกันเป็นดาบแสงสีดำยาวสิบกว่าจั้งหนึ่งเล่ม และตกลงมาด้านล่างด้วนกลิ่นไออันน่ากลัว
เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง!
พอดาบแสงสีดำฟันลงบนม่านแสง ก็มีเสียงแตกหักออกมาทันที รอยแตกสีขาวจางๆ ปรากฏอยู่บนม่านแสง
ผู้ฝึกฝนอิสระคนอื่นๆ ที่เห็นฉากนี้ ต่างก็อุทานออกมาด้วยความตกใจในทันที พวกเขาแสดงความดีใจออกมา
ขณะนี้ผู้ฝึกฝนหลายร้อยคนที่สวมถุงมือสีเงิน ได้ปล่อยหมัดออกไปพอดี เงาหมัดจำนวนมากพุ่งยิงออกไป และหมุนติ้วๆ รวมตัวกันเป็นหมัดแสงขนาดใหญ่ ทุบลงไปยังรอยแตกบนม่านแสงที่อยู่ด้านล่าง
ด้วยพลังอันน่าตกใจของหมัดแสง ทุกคนดูเหมือนจะคิดว่า หลังจากการโจมตีนี้ม่านแสงที่อยู่ด้านล่างจะต้องพังทลายอย่างแน่นอน
แต่ขณะนั้นเอง พลันมีแสงโลหิตปรากฏขึ้นตรงใจกลางของพระราชวัง กระบี่แสงสีเลือดยาวเจ็ดแปดจั้งพุ่งขึ้นมาจากในนั้น หลังจากเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว ก็พุ่งทะลุม่านแสงไปปะทะกับหมัดแสงสีเงินอย่างจัง
พอมีเสียงระเบิดดังออกมา ลำแสงสีเลือดกับแสงสีเงินก็ผสมปนเปกัน และในที่สุดก็สลายไปพร้อมกัน
ได้เห็นสถานการณ์เช่นนี้ ผู้ฝึกฝนระดับสูงหลายคนที่ส่งพลังเวทย์ให้ผู้เชี่ยวชาญหรงอยู่ ต่างก็รู้สึกตกใจมาก และมองไปยังใจกลางของพระราชวังอย่างอดไม่ได้
เมฆเทาแต่ละก้อนพุ่งขึ้นจากด้านนั้น บนนั้นมีผู้ฝึกฝนสวมชุดแตกต่างกันสิบกว่าคนยืนอยู่
ผู้ฝึกฝนเหล่านี้ล้วนมีผมสีขาวอมเทา แต่ละคนถือกระบี่ยาวที่เปล่งแสงสีเลือดจางๆ ด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
“กงซุนหลง เสวียนตู เฟิงเทียนฮว่า ไม่คิดว่าจะเป็นพวกท่าน พวกท่านรู้หรือไม่ ประมุขในวังตอนนี้ไม่ใช่มนุษย์อย่างพวกเรา หรือพวกเจ้าจะกล้าเสี่ยงช่วยทรราชย์ก่อกำทำเข็ญหรือ?” พอผู้ฝึกฝนระดับสูงที่มีผมสีเทา ดูจากลักษณะแล้วอายุคงไม่น้อยผู้หนึ่ง ได้เห็นใบหน้าที่ชัดเจนของทั้งสิบกว่าคน ก็ตะคอกใส่ด้วยความโมโห
และคนอื่นๆ ก็ลุกฮือขึ้นมา
กงซุนหลง เสวียนตู เฟิงเทียนฮว่า ที่กล่าวมาทั้งหมด ล้วนเป็นแขกจิตวิญญาณทองคำ ที่เป็นผู้บัญชาการเหมือนกับชิวหลงจื่อ
ขณะนี้ ก็มีคนจำใบหน้าของคนอื่นๆ ได้ และต่างก็พูดคำว่า “ผู้ฝึกฝนของราชวงศ์” ออกมา
ผู้อาวุโสคนอื่นๆ เป็นศิษย์จิตวิญญาณที่ราชวงศ์บ่มเพาะมาหลายปี ทั้งยังอยู่ในระดับเดียวกัน ซึ่งเฒ่าประหลาดเหล่านี้ ล้วนเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบ
แต่ผู้ฝึกฝนของราชวงศ์เหล่านี้ กับแขกจิตวิญญาณทองคำทั้งสาม กลับไม่สนใจสถานการณ์นอกม่านแสง เพียงแต่ถือกระบี่จ้องมองทุกสิ่งที่อยู่นอกม่านแสงอย่างเงียบๆ
สถานการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ ทำให้ผู้ฝึกฝนระดับสูงที่เป็นพันธมิตรกันจ้องมองกันทีหนึ่ง และทุกคนต่างก็รู้สึกใจหายวาบ
“พวกเจ้าอย่าได้คิดเพ้อฝัน ว่าพวกเขาจะฟังพวกเจ้าพูด ในเมื่อพวกเขาฝึกฝนพลังที่ข้ามอบให้ ตอนนี้ความเป็นตายของพวกเขาล้วนขึ้นอยู่กับข้าเท่านั้น พวกเขาจะทำเพื่อพวกเจ้าโดยไม่สนใจชีวิตของตนเองได้อย่างไร”
ขณะนั้นเอง ได้มีคำพูดเนิบนาบดังมาจากในพระราชวัง จากนั้นเงาร่างจำนวนมากก็พุ่งขึ้นมา พวกเขาล้วนเป็นองครักษ์สวมชุดเกราะของพระราชวัง มีราวๆ สองสามร้อยคน
แต่บนก้อนเมฆสีขาวก้อนหนึ่ง กลับมีหญิงสวมชุดชาววังสีฟ้า และใส่เครื่องประดับเต็มตัวยืนอยู่
นางคือต่งไทเฮานั่นเอง!
“ต่งไทเฮา เป็นท่านนั่นเอง เช่นนี้ก็หมายความว่าท่านเป็นคนของเผ่าเจ้าสมุทรน่ะสิ!”
ในกลุ่มพันธมิตรของผู้ฝึกฝนระดับสูง มีคนเคยเห็นต่งไทเฮามาก่อน พอเห็นว่านางก็รู้วิชา จึงตะคอกออกมาด้วยความโมโห
แต่พอเขากวาดสายตามององครักษ์หลายร้อยคนเหล่านั้นแล้ว กลับรู้สึกประหลาดใจมาก
องครักษ์เหล่านี้มีกลิ่นไอพลังไม่เบา อย่างน้อยก็เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางขึ้นไป บางคนก็กำริบเสิบสานถึงขั้นปล่อยพลังออกมาข่ม ทำให้ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายผู้นี้ก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนเล็กน้อย
“ที่แท้ก็เป็นประมุขเริ่นแห่งหอเมฆวายุ มันสำคัญด้วยหรือที่ข้าจะมีสถานะอะไรในตอนนี้ ที่ข้าปรากฏตัวออกมา เพียงแค่อยากบอกพวกเจ้าว่า อย่าคิดฝันที่จะทำลายชั้นจำกัดนี้ได้ ข้าได้เชื่อมชั้นจำกัดนี้ไว้กับค่ายกลขนาดใหญ่ทั้งหลัง เพียงแค่ข้าใช้งานมัน ต่อให้พวกเจ้าจะใช้พลังหมดไปอีกสิบกว่าเท่า ก็ไม่สามารถทำอะไรมันได้ ถ้าพวกเจ้ารู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรล่ะก็ เพียงแค่ยอมถอยออกไปแต่โดยดี อีกสองเดือนให้หลังพลังของค่ายกลก็จะหมดไปเอง และพวกเจ้าเองก็จะปลอดภัยด้วย คิดหรือว่าข้าเตรียมตัวมาหลายปีเช่นนี้ จะไม่มีวิธีจัดการพวกเจ้า?”
……………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น