ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 210-213

ตอนที่ 210 ฝ่าบาทแจกลูกอม

 

” พี่รอง ท่านป่วยแล้ว ถูกขังในห้องใต้ดินมาตั้งนาน ป่วยไม่น้อยเลย ” ตู๋กูซิงหลันจับหัวไหล่ของเขาเอาไว้


 


 


พูดเสร็จก็หันไปพยักหน้ากับชือหลี ” พี่ชายของข้าสติไม่ดี เจ้าอย่าไปใส่ใจเขาเลย ไว้วันหน้าเจอกันใหม่ในยุทธภพนะ ข้าจะพาเขาไปแล้ว “


 


 


ชือหลี ” ในสายตาของเราเขาเป็นแค่ลมตดเท่านั้น ” เด็กขนอ่อนหน้าเหม็น


 


 


” แม่นางเทพธิดา เจ้าจะมาบอกว่าข้าเป็นตดได้อย่างไรกัน ตดคือลมที่ออกจากร่างกาย ข้าคือคนเป็นๆ ทั้งแท่ง เอามาผสมกันไม่ได้ นอกเสียจากว่าข้าตายแล้ว ร่างกายมีกลิ่นเน่าออกมา ตอนนั้นถึงจะผสมกับตดเป็นหนึ่งเดียวกัน “


 


 


ชือหลี “…….” ปวดกระโหลกจริงโว้ย!


 


 


ตู๋กูซิงหลันเองก็ต้องนวดขมับเหมือนกัน เอาจริงนะ ในโลกนี้คนที่พล่ามมากกว่านางนอกจากเขาแล้วก็ไม่มีผู้อื่นอีก


 


 


เพราะกลัวว่าเขาจะยังเพ้อเจ้อต่อไป นางจึงคว้าชายเสื้อของเขาแล้วลากออกไปจากอารามเทพธิดาในทันที


 


 


” แม่นางเทพธิดา หากว่ามีเวลาข้าจะต้องมาหาเจ้าแน่นอน โปรดอย่าได้ลืมนัดหมายของพวกเราล่ะ~” แม้จะเดินไปไกลแล้วตู๋กูเจวี๋ยก็ยังไม่ลืมหันกลับมาตะโกนบอกชือหลี


 


 


ชือหลีคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า อย่าได้ไปจดจำว่าระหว่างพวกเขามีนัดหมายกันจะดีกว่า


 


 


พอตู๋กูเจวี๋ยจากไป นางก็รู้สึกขึ้นมาในทันทีว่าโลกเปลี่ยนเป็นงดงามน่าอยู่อย่างยิ่ง


 


 


อ้า ไม่ได้รู้สึกสงบ สบายหูมานานแล้ว ดีจริงๆ!


 


 


……………………………………


 


 


 


 


พอจีหรานและงูยักษ์ตายไป ลี่โจวก็กลับสู่ความสงบสุข ฮ่องเต้ทรงใช้เงินบรรเทาทุกข์ซ่อมบำรุงเขื่อนขึ้นมาใหม่ ให้แม่น้ำไหลผ่านอย่างสงบอีกครั้ง


 


 


หลังจากชักนำชาวบ้านที่แตกซ่านเซ็นไป กลับมาได้เรียบร้อยจึงค่อยเดินทางกลับเมืองหลวง


 


 


ข่าวที่ฝ่าบาททรงสวดขอพรด้วยพระองค์เอง วอนขอให้เทพธิดาประจำสายน้ำ กลับมาปกปักษ์รักษาประชาชนอีกครั้งกระจายจากเมืองลี่โจวออกไปโดยรอบ


 


 


ในเวลาเพียงสั้นๆ ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ก็ได้รับการสรรเสริญดุจดั่งเป็นเทพบ้าง เป็นโอรสที่สวรรค์เลือกมาบ้าง ในอนาคตย่อมสามารถรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียวได้เป็นแน่


 


 


ตลอดการเดินทางกลับ ตู๋กูซิงหลันได้ยินข่าวเช่นนี้มาไม่น้อย


 


 


การเดินทางมาลี่โจวรอบนี้ฮ่องเต้ทรงคุ้มค่าเกินไปแล้ว


 


 


ที่จริงแล้วตู๋กูซิงหลันกำลังคิดอยู่ว่า เขาได้ตระเตรียมการเอาไว้หมดแล้วใช่หรือไม่ อาศัยฐานะที่เขาคือผู้ที่สวรรค์ได้เลือกสรรในครั้งนี้ เพื่อวางรากฐานสำหรับการต่อสู้และรวบรวมแผ่นดินในอนาคต


 


 


เนื่องเพราะความต้องการจะรวมแผ่นดินให้สำเร็จของเขานั้น นางเองก็ใช่ว่าจะพึ่งได้รับรู้เป็นวันแรก


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น ฮ่องเต้ในยุคโบราณผู้รวบรวบแผ่นดินได้สำเร็จต่างก็ต้องสร้างข้ออ้างว่าตนเป็น ‘โอรสที่สวรรค์เลือกเฟ้น’ ขึ้นมาด้วยกันทั้งนั้น


 


 


ตัวอย่างเช่นจักรพรรดิฮั่นเกาจู่หลิวปังในราชวงค์ฮั่นของแผ่นดินจีน ก็มีตำนานเรื่อง’สังหารงูขาวก่อกบฎ’


 


 


ตู๋กูซิงหลันที่ครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อยมาตลอดทาง ที่จริงแล้วก็นั่งอยู่ในราชรถคันเดียวกับจีเฉวียน


 


 


สหายติ๊งต๊องนั้นน่าสงสารเป็นที่สุด มันถูกเอาไปทิ้งไว้ตรงที่นั่งของสารถี ต้องนั่งคู่ไปกับคนขับ จึงได้แต่พยายามคอยหันกลับมามองดูในรถอยู่ตลอดเวลา


 


 


ไอ้ตัวร้ายนั้น กระทั่งม่านหน้าต่างก็ปิดจนแน่นหนา ทำเอามองอย่างไรก็ไม่เห็น


 


 


ไม่รู้ว่าเจ้าฮ่องเต้ตัวร้ายนั้นจะทำอะไรไม่ดีไม่งามกับพี่สาวตัวน้อยหรือเปล่า


 


 


จิตใจของมันเป็นกังวล เอาแต่ร้องกะต๊ากๆ อยู่ตลอดเวลา ขนาดวิญญาณทมิฬก็ยังหนวกหู จึงกระโดดจากบ่าของตู๋กูซิงหลันออกมา ถวนจื่อน้อยตัวดำกระโดดผลุบมาถึงข้างกายติ๊งต๊อง


 


 


” หลันหลันกำลังสัมผัสกับแบบทดสอบความเป็นความตายในชีวิต โปรดอย่าพึ่งรบกวนนาง O K มั้ยหือ? “


 


 


ติ๊งต๊อง ” กะต๊าก…….” หากว่ามีอันตรายละก็ เฮียจะขอปกป้องพี่สาวตัวน้อยเป็นคนแรกเอง!


 


 


วิญญาณทมิฬเองก็ฟังไม่เข้าใจว่าที่มันกะต๊ากๆ นั่นแปลว่าอะไร ได้แต่อาศัยขาอ้วนสั้นของมันกระโดดไปเกาะบนลำคอของเจ้าไก่ พอมองดูนั้น ก็ต้องกลืนน้ำลายลงไปอึกหนึ่ง


 


 


คิดถึงคอเป็ดพะโล้ในโลกโน้นเหลือเกิน แบบที่หอมเครื่องพะโล้เต็มๆ!


 


 


คอขอเจ้าไก่นี่ก็ยาวดี หากว่าเอาไปทำพะโล้น่าจะอร่อยนะ?


 


 


มันได้แต่ต้องอดทนไว้ พลางใช้ปลายนิ้วสั้นๆ แคะจมูก ไก่ตัวนี้มีเพลิงสีทองคุ้มร่าง ดูๆ แล้วตอนนี้ตนอาจจะยังสู้มันไม่ได้


 


 


เอาเถอะ เอาเถอะ รอไปก่อนอีกหน่อยค่อยทำเนื้อตุ๋นแล้วกัน


 


 


เจ้าไก่ขนฟูไม่สามารถไปนั่งกับพี่สาวตัวน้อย ก็แสดงท่าทางเบื่อหน่ายออกมา มันทรุดตัวลงหมอบราวกับแม่ไก่นั่งฟักไข่อยู่ข้างๆ คนขับรถ ทั้งยังใช้ปีกอีกข้างหนึ่งมายันหัวเอาไว้ ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์


 


 


กระทั่งน้ำลายของวิญญาณทมิฬหยดลงบนลำคอของมัน มันถึงนึกขึ้นมาได้ว่าวันนั้นมันเก็บเนื้องูเอาไว้ให้เจ้าถวนจื่อตัวดำส่วนหนึ่ง


 


 


มันอ้าปากขึ้นมาในทันที ทำเสียงโอ๊กอากอยู่ครู่หนึ่ง ก็อาเจียนเอาเนื้องูที่ยังเป็นรูปเป็นร่างชิ้นหนึ่งออกมา


 


 


มันหันหน้ากลับไป กระพือปีกใส่เจ้าถวนจื่อตัวดำที่นั่งอยู่บนลำคอของตนเอง “กะ กะ กะต๊าก~” กินสิ ไม่ต้องเกรงใจหรอก เฮียก็รักเจ้านะ


 


 


วิญญาณทมิฬ “………” รู้สึกรังเกียจอยู่บ้าง ทำไงดี?


 


 


……………………..


 


 


 


 


ภายในรถม้า ฮ่องเต้ทรงพิงพระองค์กับเบาะนุ่ม สองเนตรหงส์หรี่ลง คอยเหลือบมองไทเฮาที่สวมชุดบุรุษหนุ่มสีดำอยู่ตลอดเวลา


 


 


ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าจะไล่เจ้าไก่ตัวนั้นออกไปได้ ไม่ทันไรก็มีหัวไชเท้าโผล่ขึ้นมาอีกหนึ่ง


 


 


ไอ้หัวไชเท้าตัวจิ๋วนั้นเป็นตายก็จะต้องทำตัวติดกับนาง แค่อยู่ด้วยกันก็แล้วไปเถอะ มันถือสิทธ์อะไรไปนั่งติดอยู่กับนาง ทั้งยังคอยกุมข้อมือนางเอาไว้ พอมองเห็นเขาก็เป็นต้องทำตัวสั่นสะท้านขึ้นมาด้วยหรือ?


 


 


เขาเป็นฮ่องเต้ ไม่ใช่จอมมาร น่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือไง?


 


 


พอสัมผัสได้ถึงความกลัวของฮว๋ายอันตัวน้อย ตู๋กูซิงหลันก็ยื่นมือไปลูบศีรษะของเขา เด็กคนนี้สูญเสียทั้งพ่อและแม่ แม้กระทั่งน้องสาวคนเดียวก็จากไปแล้ว เขายังอายุแค่เจ็ดแปดขวบเท่านั้นเอง หากว่าไม่มีผู้ใหญ่คอยดูแล เกรงว่าคงจะมีชีวิตต่อไปไม่ได้


 


 


ดังนั้นนางถึงได้ตัดสินใจพาเขากลับไปเมืองหลวงด้วย จากนั้นค่อยหาครอบครัวดีๆ รับไปเลี้ยงดู


 


 


ตู๋กูซิงหลันลังเลอยู่พักใหญ่ ค่อยเอ่ยปากว่า ” ฝ่าบาทเพคะ สายพระเนตรของพระองค์จะมีเมตตากว่านี้หน่อยได้หรือไม่? ฮว๋ายอันน้อยขี้กลัว ทรงทำให้เขาตกใจแล้ว”


 


 


สีพระพักตร์ของฮ่องเต้เขียวคล้ำขึ้นมา ขยับพระองค์นั่งหลังตรงอย่างขึงขัง ดวงพักตร์ที่งดงามแต่ก็เย็นชาปานโลงน้ำแข็งนั้นสามารถทำให้เด็กตกใจจนร้องไห้ออกมาได้จริงๆ


 


 


ฮว๋ายอันน้อยถูจมูก ซุกตัวเข้าไปในอ้อมอกของตู๋กูซิงหลันมากกว่าเดิม


 


 


ชาตินี้เขาไม่เคยเจอใครที่น่ากลัวเช่นนี้มาก่อนเลย ราวกับแท่งน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น ดูแล้วยังน่ากลัวยิ่งกว่าหรานอ๋องมากมายหลายเท่า


 


 


จีเฉวียนมองดูเขาซุกอยู่ในอ้อมกอดของตู๋กูซิงหลัน สายพระเนตรหงส์ก็เย็นชาขึ้นมาอีกหลายส่วน


 


 


จนผ่านไปอีกครู่ใหญ่ จึงได้ยินฮ่องเต้ทรงตรัสด้วยพระสุรเสียงลึกล้ำว่า ” ทีหลังก็ทิ้งเจ้าหัวไชเท้านี้ไว้ที่ข้างกายเรา เราจะสั่งสอนด้วยตัวเอง “


 


 


” ได้รับการชี้แนะจากฟ้าตั้งแต่เล็ก ถือเป็นบุญของเขาแล้ว “


 


 


ดูสิ เขาดีต่อประชาชนของตนเองเพียงไร


 


 


“อ้ายย่าห์…..” พระองค์ตรัสพึ่งจบไป ฮว๋ายอันน้อยก็ตกใจจนเกือบจะร้องไห้ออกมา หากว่าทุกๆ วันต้องอยู่ข้างกายฮ่องเต้ผู้นี้ มิสู้ให้เขาไปอยู่กับน้องสาวดีกว่า


 


 


ตู๋กูซิงหลันยกยิ้มมุมปาก ที่จริงแล้ว…….เพื่อความเจริญก้าวหน้าของฮว๋ายอันในอนาคต หากให้เขาอยู่ข้างกายฮ่องเต้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ


 


 


เพียงแต่ว่าทิ้งเด็กน้อยที่อายุเพียงเท่านั้นไว้ที่ข้างกายเขา ก็ออกจะน่ากลัวไปสักหน่อย


 


 


เพราะขนาดนางเองก็ยังกลัวเขาเลย


 


 


พอเจ้าหัวไชเท้าตัวน้อยน้ำตาไหล ฮ่องเต้ก็ทรงขมวดพระขนงขึ้นมา ทรงประทับนั่งอย่างสง่างาม รอบพระองค์แผ่รังสีกดดันเข้มข้น


 


 


ผ่านไปอีกครู่หนึ่งถึงเห็นว่าพระหัตถ์ใหญ่หนากำลังขยับ ทรงหยิบบางสิ่งออกมาจากใต้แขนฉลองพระองค์


 


 


ตู๋กูซิงหลันกำลังคิดว่าจะทรงล้วงเอากระบี่ออกมาแทงฮว๋ายอันน้อยตายในดาบเดียวเลยหรือไม่


 


 


ใครจะไปรู้ว่าที่ทรงหยิบอยู่ครู่หนึ่งนั้น ที่แท้ก็คือลูกอมดอกกุ้ย


 


 


เมื่อทรงยื่นไปยังเบื้องหน้าของฮว๋ายอันน้อย ก็ตรัสเสียงเข้มๆ คำหนึ่งว่า ” ห้ามร้องไห้ “


 


 


ฮว๋ายอันน้อยถูกขู่เสียจนเสียงจุกอยู่ข้างใน หยดน้ำตายังคงเกาะอยู่บนใบหน้า เขามองดูก้อนน้ำตาลในพระหัตถ์ของฮ่องเต้ด้วยความหวาดกลัวว่าหากตนเองไม่หยิบขึ้นมาละก็ ฝ่าบาทจะต้องทรงเอาน้ำตาลเขวี้ยงใส่หน้าของเขาเป็นแน่


 


 


เขาจึงได้แต่หยิบขึ้นมาด้วยความกล้าๆ กลัวๆ


 


 


พอพึ่งจะหยิบใส่มือเรียบร้อย ก็เห็นฝ่าบาททรงหยิบออกมาอีกชิ้นหนึ่ง ส่งให้กับตู๋กูซิงหลัน ” ชิ้นนี้ให้เจ้า “


 


 


แม่จ๋า! ชิ้นนี้ยังใหญ่กว่าหน้าของข้าอีก! ใหญ่กว่าของเจ้าหัวไชเท้าน้อยตั้งกี่เท่าต่อกี่เท่า!


 


 


 


 


——


 


 


槐安 [huái ān] (ฮว๋ายอัน/ หวยอัน) : จะชื่อไหน ก็คนเดียวกันนะจ๊ะ ขออภัยหากทำให้สับสน มันเป็นความติสในการเทียบเสียงจีน-ไทยของไรท์เอง ว่าแบบไหนจะฟังเพราะกว่ากัน แต่เพื่อความกลมกลืนไปกับต้นฮว๋ายฮวา และดอกฮว๋ายฮวา ก็ขอใช้ฮว๋ายอันแล้วกันค่ะ


 


 


桂花糖 (ลูกอมดอกกุ้ย) : เป็นหนึ่งในสี่ลูกอมที่ชาวจีนแต่โบราณนิยมชมชอบ โดยเฉพาะสาวๆ เชื่อว่าเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะทำให้มีกลิ่นตัวหอมสดชื่น หน้าตามีหลายแบบตามแต่ความพอใจทั้งเม็ดกลมๆ หรือสี่เหลี่ยม หรือแบบที่เป็นน้ำเชื่อมเข้นข้นสำหรับราดขนมหวานก็มี สูตรการทำนั้นก็ง่ายมากๆๆๆ เพียงอุ่นน้ำเชื่อม หรือน้ำผึ้งจนร้อนและเหนียวข้น เทดอกกุ้ยอบแห้งลงไปกวน เทใส่พิมพ์ทิ้งให้เย็น ก็สำเร็จเลย บางสูตรก็มีการใส่อย่างอื่นลงไปด้วยเช่น งาขาวคั่ว หรือไม่ก็ เก๋ากี้ เพื่อเพิ่มความสวยงามและความหรูหราให้สมกับคำว่ากุ้ย (แพง, สูงส่ง) ตามค่านิยมของขนมจากในวังนั่นเอง 

 

 


ตอนที่ 211 นางทำปากจู๋ เตรียมจะจูบกลับไป

 

ลูกอมนั่นดูราวกับลูกอมยักษ์ในโลกปัจจุบัน ที่เอามาตีหัวเล่นกัน!


 


 


มิน่าเล่าวันนี้ฝ่าบาททรงฉลองพระองค์ตัวกว้าง ก็เพื่อความสะดวกในการซุกลูกอมนั่นเองใช่ไหม?


 


 


เจ้าหัวไชเท้าน้อยมองดูลูกอมที่เล็กกว่าฝ่ามือน้อยๆ ของเขาถึงห้าเท่า ค่อยหันไปมองดูลูกอมที่ฝ่าบาทประทานให้พี่ชายตัวน้อย และก็หันกลับมามองดูลูกอมของตนเองอีกครั้ง


 


 


เขามองกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ เขาคิดจะถามออกไปสักคำถามหนึ่ง ต่างก็เป็นลูกอมเหมือนกัน แต่ทำไมถึงได้แตกต่างกันถึงเพียงนี้?


 


 


” เจ้าไม่ชอบหรือ? ” ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรตู๋กูซิงหลันที่เงียบงันไปจนไร้ซุ่มเสียง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ในใจของเขาบังเกิดความเคร่งเครียดขึ้นมานิดๆ


 


 


ซุนต้มยามักจะกล่าวอยู่บ่อยๆ ว่า เด็กผู้หญิงล้วนชอบกินลูกอม


 


 


ดูท่าคงจะหลอกลวงแน่แล้ว!


 


 


งานต้มยาดูท่าจะไม่ค่อยเหมาะกับเขาสักเท่าไหร่แล้ว วิชาแพทย์ก็ไม่ได้เรื่อง กับฮ่องเต้ก็ยังกล้ามาหลอกลวงอีก


 


 


สีพระพักตร์ของพระองค์มืดครึ้มไป ตู๋กูซิงหลันพลันคิดถึงท่วงท่าที่เขาปราบงูยักษ์ไปในดาบเดียว ก็หวาดกลัวขึ้นมาจนต้องกัดลูกอมไปคำหนึ่งเพื่อประคับประคองอารมณ์เอาไว้


 


 


แค่กัดลงไปคำเดียวก็ทำเอานางเอียดปานจะขาดใจตายแล้ว!


 


 


ของเล่นพวกนี้หวานเกินไป!


 


 


นางเป็นพวกสายกินเนื้อ ที่จริงแล้วก็ไม่ค่อยชอบกินของหวานสักเท่าไหร่ด้วยซ้ำ


 


 


ถ้าหากว่าฮ่องเต้ประทานขาหมูชิ้นโต แน่นอนว่านางจะต้องดีใจอย่างยิ่ง


 


 


” ชอบสิ ชอบ ” ตู๋กูซิงหลันกลืนลงไปในคำเดียว ผงกศีรษะติดๆ กัน พลางตอบอย่างไม่ห่วงศักดิ์ศรีใดๆ


 


 


แค่นางบอกออกมาคำเดียวว่าชอบ พระทัยของฝ่าบาทก็ผ่อนคลาย ในสายพระเนตรยังมีรอยแย้มสรวลนิดๆ เสียด้วยซ้ำ ” หากว่าเจ้าชอบละก็ พอกลับเข้าวังเราจะให้ห้องครัวทำให้เจ้าเยอะๆ หน่อย “


 


 


ตู๋กูซิงหลัน เฮือกกก


 


 


……………………………………


 


 


 


 


พอกลับไปถึงวังหลวง อากาศก็เข้าสู่ปลายฤดูใบไม้ผลิแล้ว


 


 


หากเปรียบเทียบกับลี่โจวแล้ว เมืองหลวงนับว่าหรูหรารุ่งเรืองกว่ามากมายนัก


 


 


ดอกไฮ่ถางในตำหนักเฟิ่งหมิงมิว่าจะเป็นฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน หรือฤดูใบไม้ร่วงก็ล้วนผลิบานอยู่เสมอ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเป็นเพราะอาศัยสิ่งใดจึงได้ประหลาดเช่นนี้


 


 


ยามที่ตู๋กูซิงหลันกลับไปนั้น ทั่วทั้งตำหนักล้วนเกลื่อนไปด้วยสีแดงสดใส งดงามประหนึ่งภาพวาดบนผ้าใบ


 


 


ข่าวที่ว่าเพราะเรื่องของหรานอ๋องทำให้ฮ่องเต้ต้องเสด็จไปฟื้นฟูเมืองลี่โจวโด่งดังจนเกิดความเคลื่อนไหวไปทั่ว ประชาชนทั้งหลายถึงได้ทราบว่าฮ่องเต้เสด็จไปบรรเทาทุกขภิขภัยด้วยพระองค์เอง


 


 


เหล่าพระสนมวังหลังต่างก็ตั้งตารอ แต่ละคนก็ได้แต่ชะเง้อมองออกไป


 


 


ช่วงที่ฝ่าบาทเสด็จออกจากวังไปนี้ แม้แต่ผู้ที่อยู่ในตำหนักเฟิ่งหมิงก็ยังไม่ออกมากระโดดโลดเต้น เอาแต่ซุกอยู่ในตำหนักทั้งวี่ทั้งวัน ไม่กล้าออกมานอกประตูแม้แต่น้อย


 


 


ดูท่าแล้วนางเองก็คงจะรู้ตัวดีว่าเมื่อตอนงานเลี้ยงสิ้นปีนั้นตนเองทำวีรกรรมไว้มากมายเพียงไร ทำเรื่องข้ามหน้าข้ามตาผิดใจกับผู้อื่นเอาไว้ไม่น้อย ครอบครัวของตนเองก็ยังถูกสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องอดีตฮ่องเต้ทรงถูกทำร้ายด้วยหรือไม่ ดังนั้นช่วงนี้จึงไม่กล้าโผล่หน้าออกมาละมั้ง


 


 


อืม จะว่าไปก็ดูประหลาดอยู่บ้าง พอวันนี้ฝ่าบาทเสด็จกลับเข้าวังมา ไทเฮาน้อยที่อยู่ในตำหนักเฟิ่งหมิงท่านนั้นก็รีบร้อนลุกขึ้นมาปัดฝุ่นให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงการคงอยู่ของนางทันที


 


 


นางสลัดชุดฤดูหนาวที่หนักหนาทิ้งไป เปลี่ยนเป็นสวมใส่ชุดกระโปรงสีเขียวอมดำที่ดูสดชื่น ใบหน้าที่สวรรค์ให้มานั้นแม้จะปราศจากการแต่งแต้มยังคงงดงามดึงดูดทุกสายตา


 


 


ช่วงที่ผ่านมาพอไม่ต้องเห็นหน้านาง เหล่าพระสนมในวังก็บังเกิดความมั่นใจในรูปโฉมของตนเองขึ้นมาอีกครั้ง พอตอนนี้ต้องมาเจอกันอีก ความมั่นใจเหล่านั้นก็ถูกพัดกระจายปลิวไปกับก้อนเมฆหมดแล้ว


 


 


สตรีผู้นี้เกิดมาหน้าตาดีเกินไปแล้ว ไม่ต้องโผล่หน้าออกมาให้มากจะได้หรือไม่


 


 


ตู๋กูซิงหลันเองก็คิดอยากจะนอนพักผ่อนดีๆ แต่เพราะความเป็นห่วงโรคหัวใจในวัยว้าวุ่นของพี่รอง หลังจากที่พาเขากลับมาวันนั้นก็เห็นอยู่ว่าสติสตางค์ไม่ค่อยจะอยู่กับตัวสักเท่าไหร่


 


 


ไม่รู้ว่าเป็นเพราะถูกขังอยู่ใต้ดินจนเกิดโง่ขึ้นมาหรืออย่างไร ถึงได้หาญกล้าขนาดจะไปให้คำสัญญิงสัญญาอะไรกับชือหลี


 


 


ชือหลีเป็นดวงจิตแห่งเทพ พวกเทพให้ความสำคัญกับคำสัญญาที่สุด ดูจุดจบของจีหรานสิ มีชีวิตอยู่ดีๆ แต่เพราะคำพูดเดียวถึงเป็นเหตุให้เกิดคดีเลือดขึ้นมา


 


 


พี่รองไม่รู้สึดเข็ดขยาดบ้างหรือไง? หากมิใช่ว่าวันนั้นนางโผล่ไปอย่างทันท่วงที คงจะมีแต่ฟ้าดินเท่านั้นถึงจะรู้ว่าเขาจะไปให้คำสัญญาอะไรกับชือหลี


 


 


ที่นางออกมาวันนี้เพราะกะว่าจะพาท่านหมอหลวงซุนไปตรวจดูเขาสักหน่อย เพราะต่อให้ร่างกายไม่เจ็บป่วยอะไรแต่ว่าสมองคงจะมีปัญหาอย่างแน่นอน


 


 


พึ่งจะก้าวขาออกมาจากตำหนักเฟิ่งหมิงได้ไม่กี่ก้าว ก็เห็นลูกไฟสีแดงดวงหนึ่งพุ่งเข้ามาหานาง


 


 


เงาร่างเพรียวบางนั้นส่งเสียงร้องเรียกคำหนึ่งก็พุ่งถึงเบื้องหน้าของนาง โอบตัวนางเข้าไปในอ้อมกอดทันที


 


 


” อาหลัน เจ้าใจร้ายมาก ไม่มาเจอข้าตั้งนาน เป็นเพราะว่าเจ้าไปฟังถ้อยคำไร้สาระของผู้อื่นมา จึงไม่ชอบข้าแล้วใช่หรือไม่? ” ซูเฟยคนงามทำน้ำตาคลอใส่นาง สองมือก็ทุบซอยลงไปบนอกของนางอย่างไม่มีเกรงใจ


 


 


ไม่เจอกันนาน ซูกุ้ยเฟยคนงามก็ยิ่งบาดตาบาดใจสมกับที่เป็นสาวงามของแผ่นดินยิ่งกว่าเดิม ทำเอาคนชมดูได้ไม่เบื่อเลยจริงๆ


 


 


” มีที่ไหนกัน ข้าย่อมต้องชื่นชอบเจ้าแน่นอนอยู่แล้ว ” ตู๋กูซิงหลันลูบคลำใบหน้าของเขาพลันก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงกล่าวว่า ” พอดีเลย ดอกไฮ่ถางในตำหนักเฟิ่งหมิงกำลังผลิบาน เจ้าหาเวลาเชิญน้องชายของเจ้าเข้าวังมา ข้าจะได้เชิญพวกเจ้ามาชมดอกไม้ “


 


 


พอได้ยินนางเอ่ยถึง ‘ซูเยา’ ดวงตาของซูเม่ยก็เป็นประกายวิบๆ วับๆ ” เจ้ายังจำน้องชายของข้าได้หรือ? “


 


 


” ย่อมต้องจำได้อย่างแน่นอน ” ตู๋กูซิงหลันพยักหน้า หนุ่มน้อยที่มีเสน่ห์เหลือเฟือผู้นั้น เดิมทีแค่เคยได้เห็นก็ต้องจดจำได้อยู่แล้ว นึกๆ ดูแล้วนางก็ยังติดหนี้บุณคุณซูเยาอยู่ด้วย ครั้งก่อนพบเจอกันอย่างฉุกละหุก จึงยังไม่ได้ตอบแทนเลย


 


 


” อาหลัน เจ้าช่างดีจริงๆ ” ซูเม่ยกอดนางอีกครั้ง พลางฉวยโอกาสที่รอบด้านปราศจากผู้อื่นทิ้งรอยจุมพิศเอาไว้บนใบหน้าของนางอย่างเด่นชัด


 


 


ช่วงที่ผ่านมานี้ เขาย่อมรู้ว่าตู๋กูซิงหลันไม่อยู่ในตำหนักเฟิ่งหมิง เพียงแต่ในช่วงเวลาสั้นๆ ยังสืบไม่พบว่านางไปยังที่ใด


 


 


ดังนั้นช่วงหลายวันที่ผ่านมา เขาจึงมักมาเฝ้าอยู่นอกตำหนักเฟิ่งหมิง เฝ้ามาถึงครึ่งเดือน


 


 


ในที่สุดก็รอจนได้เจอนางแล้ว


 


 


ซูเม่ยเองไม่ได้โง่เขลา เมื่อคำนวนดูช่วงเวลานับตั้งแต่ที่อาหลันหายตัวไป ก็พอดีกับช่วงที่ฮ่องเต้เสด็จไปยังลี่โจว


 


 


พอเขาคิดดูอย่างละเอียด ก็มีแต่ว่าจีเฉวียนพาตัวอาหลันไปเท่านั้นที่จะเป็นไปได้


 


 


ตู๋กูซิงหลันพบว่าซูคนงามคล้ายจะชอบหอมนางอยู่เสมอทุกครั้งเป็นต้องทิ้งรอบชาดทาปากเข้มๆ ไว้บนใบหน้าของตน


 


 


วิธีแสดงความสนิทสนมระหว่างมิตรสหายในแคว้นต้าโจวคงต้องทำเช่นนี้กระมัง?


 


 


นางคิดดูอยู่ครู่หนึ่ง ปล่อยให้ซูคนงามเป็นฝ่ายรุกเช่นนี้อยู่ตลอดก็คงจะไม่ดี


 


 


ดังนั้นนางจึงยู่ริมฝีปาก เตรียมจะจูบคืน


 


 


พอซูเม่ยรู้ตัวว่าจะรับความใกล้ชิดก็ตกตะลึงไป แทบจะยื่นเข้าไปหาทั้งหน้า


 


 


อาหลันถึงกับจะจูบเขา?!


 


 


นี่……..นี่ นี่ นี่ ……… เขายังไม่ทันได้เตรียมใจเลย


 


 


มาก็มาเถอะ จูบซ้ายจูบขวา อยากจะจูบตรงไหนก็ได้ทั้งนั้น!


 


 


ซูเม่ยใจเต้นตูมตาม น่าเสียดายที่ยังไม่ทันได้รอให้ตู๋กูซิงหลันจุ๊บลงมาบนใบหน้าของเขาก็ได้ยินซุ่มเสียงชรากล่าวขึ้นว่า


 


 


” ไทเฮาและพระสนมเอกซูหวงกุ้ยเฟยช่างสนิทสนมกันมากจริงๆ “


 


 


ตู๋กูซิงหลันละซูเม่ยกวาดตามองออกไปพร้อมๆ กัน ก็เห็นว่าที่ใต้ต้นไม้ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก อันหร่วนที่มีผมสีดอกเลาทั่วทั้งศีรษะกำลังเดินตรงมาที่พวกนาง


 


 


หากเปรียบเทียบกับยามก่อนที่จะไปจากวังหลวงแล้ว อันหร่วนในตอนนี้ดูชราลงไปมาก


 


 


เส้นผมทั้งหมดเปลี่ยนเป็นสีขาว รอยยับเ**่ยวย่นบนใบหน้าเพิ่มพูนจนทำให้คนต้องตกใจ ราวกับว่าภายในเวลาสั้นๆ นางก็แก่ชราลงไปถึงสิบปี


 


 


หากว่านางจำได้ไม่ผิดละก็ ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ทรงประทานตำหนักชางอู๋ให้นางอยู่มิใช่หรือ?


 


 


ตู๋กูซิงหลันเหลือบตามองนางแว๊บหนึ่ง ก็หรี่ตาลง ” อันกูกู เรากับท่านไม่ใช่คนคุ้นเคยกัน “


 


 


ซูเม่ยเองก็รีบกล่าวขึ้นมาด้วย ” ข้าก็ไม่คุ้นเคยกับท่านเหมือนกัน “


 


 


เขาคุ้นเคยแต่กับอาหลันเพียงผู้เดียว!


 


 


” ซูหวงกุ้ยเฟยอย่าได้ทรงลืมสิเพคะ ตอนที่อยู่ที่เขาจงหลิงซาน พวกเราก็ได้รู้จักกันมาถึงครึ่งปี นี่ยังจะนับว่าไม่คุ้นเคยอีกหรือ? ” อันหร่วนยิ้มเย็น ค่อยหันสายตากลับมามองดูตู๋กูซิงหลันอีกครั้ง


 


 


” ฟังมาว่าไทเฮาทรงเลี้ยงดูไก่เทพตัวหนึ่งเอาไว้ ไม่รู้ว่าบ่าวเฒ่ามีบุญจะได้ชื่นชมมันบ้างหรือไม่ “ 

 

 


ตอนที่ 212 ล่องูออกจากถ้ำ

 

นางขยับตัวอย่างโคลงเคลงเล็กน้อย ในมือก็เพิ่มไม้เท้าขึ้นมาอีกด้ามหนึ่ง พูดจาด้วยน้ำเสียงออกจะลับลมคมในอยู่บ้าง


 


 


แต่ไหนแต่ไรติ๊งต๊องก็รักอิสระไม่ชอบถูกควบคุมอยู่แล้ว พอกลับมาถึงวังก็หนีหายไปจนไม่ทิ้งเงา คาดว่าน่าจะไปตามหาตะขาบพิษที่ตำหนักฉางซินของหยวนเฟยน้อยเป็นแน่


 


 


อันหร่วนพูดพลาง ก็เหลือบตามาจ้องมองดูนางไปพลางๆ


 


 


ตอนที่อยู่ในวังก่อนหน้านี้ นางเคยได้มองดูเจ้าไก่นั่นจากที่ไกลๆ ครั้งหนึ่ง มันสูงเกือบครึ่งตัวคน หน้าตาดูโง่ๆ


 


 


แต่พอตอนนี้คิดๆ ดูแล้ว ก็นับว่ามีส่วนคล้ายกับไก่ตัวที่ได้เห็นในเมืองลี่โจวอยู่เหมือนกัน


 


 


ก่อนหน้านี้ได้เห็นเพียงคร่าวๆ จึงไม่กล้ายืนยัน ดังนั้นตอนนี้จึงมาชมดูจนถึงตำหนักเฟิ่งหมิง


 


 


ตอนแรกๆ นางเพียงแต่รู้สึกว่าในวังหลวงมีผู้ที่สูงส่งทางไสยเวท์ซ่อนอยู่ แต่พวกเขาก็สืบเสาะกันมาตั้งนานแล้วกลับยังระบุตัวตนไม่ได้ วันนี้พอคิดดูให้ละเอียด ก็รู้สึกว่าจะข้ามเจ้าของตำหนักเฟิ่งหมิงผู้นี้ไปคนหนึ่ง


 


 


หากว่าไก่ตัวนั้นเป็นตัวเดียวกันกับที่ลี่โจว เช่นนั้นตู๋กูซิงหลันที่เป็นเจ้าของของมัน ก็ย่อมต้องสูงส่งกว่ามากมายหลายเท่า?


 


 


นางหรี่ตาลงมองดูตู๋กูซิงหลันอย่างใคร่ครวญเป็นนาน ก่อนหน้านี้เพียงรู้สึกว่านางมีรูปโฉมที่สามารถล่มบ้านล่มเมือง ตอนนี้พอคิดดูให้ละเอียด กลับรู้สึกว่ามองไม่ทะลุอย่างไรไม่รู้


 


 


” บนหน้าของเรามีขนมเปี๊ยะชิ้นใหญ่หรืออย่างไร? ” ตู๋กูซิงหลันจดจ้องกลับไป ดวงตาดอกท้อคู่นั้นมีแต่แววเย็นชา


 


 


อันหร่วนกับคนชุดดำที่เป็นศพคืนชีพมีความใกล้ชิดกัน ไม่แน่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองลี่โจวอาจจะเป็นการร่วมมือของพวกเขาก็ได้


 


 


แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงแค่ความรู้สึกของตู๋กูซิงหลันฝ่ายเดียวเท่านั้น


 


 


” พระพักตร์ของไทเฮาย่อมไม่มีขนมเปี๊ยะชิ้นโต แต่เกรงว่าจะมีบางสิ่งที่ผู้คนมองไม่ออกแทน ” อันหร่วนขยับไม้เท้ากล่าวอย่างลึกลับอยู่บ้าง


 


 


พูดแล้ว นางก็หันมามองซูเม่ยอีกครั้ง กล่าวอย่างลับลมคมในอยู่บ้างว่า ” พระสนมเอกซูก็ทรงมีความสามารถอยู่ไม่น้อย คิดๆ ดูแล้วคงมิใช่ว่ามองไม่ออกละมั้ง? “


 


 


” อันกูกู ข้าคิดว่าท่านอยู่ในวังก็สมควรจะรู้จักสงบเสงี่ยมเอาไว้บ้าง เผื่อจะได้อยู่อย่างสงบไปจนถึงบั้นปลาย “


 


 


ซูเม่ยกล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี เห็นอยู่ชัดๆ ว่าอันหร่วนพูดจาซ่อนความนัย


 


 


เขาย่อมรู้ดีว่าในร่างของอาหลันมีความลับซุกซ่อนอยู่


 


 


แต่ขอเพียงอาหลันไม่ได้พูดออกมาเอง เขาย่อมไม่ถามไปชั่วชีวิต


 


 


และแน่นอนว่า เขาเองก็จะไม่ยอมให้ใครมาบีบคั้นนางด้วย


 


 


อันหร่วนยิ้มอย่างเย็นชา นางกำไม้เท้าในมือแนบแน่นกว่าเดิม ดวงตาที่มืดหม่นคู่นั้นยังคงจับจ้องตู๋กูซิงหลันไม่ยอมวางตา


 


 


แต่ยังไม่ทันได้มองสักเท่าไหร่ นางก็รู้สึกถึงความเย็นวาบจากด้านหลัง


 


 


” อันกูกูดูท่าจะไม่ค่อยชอบตำหนักชางอู๋สักเท่าไหร่นะ? ” ฮ่องเต้ตรัสพระสุรเสียงเย็นชา ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นฤดูใบไม้ผลิแล้วก็ยังทำให้หนาวเข้าไปถึงในกระดูก


 


 


อันหร่วนตะลึงไปเล็กน้อย พอหันศีรษะกลับไปดู ก็สบเข้ากับดวงเนตรหงส์ที่ลุ่มลึกของฝ่าบาทในทันที


 


 


หัวใจของนางเต้นดังตึกตัก เพราะคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมาอย่างรวดเร็วเพียงนี้


 


 


” ฝ่าบาท ” นางหันไปถวายคำนับจีเฉวียนครั้งหนึ่ง เมื่อมองดูดวงพักตร์ที่งดงามราวเทพบุตรนั้นก็เห็นว่า นอกจากผ่ายผอมกว่าตอนก่อนออกจากวังไปเล็กน้อย ก็ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ อีก


 


 


พิธีหุ่นสาปแช่งในวันนั้นสิ้นเปลืองฐานพลังของนางไปถึงสิบปี แต่กลับไม่มีผลกับเขาแม้สักเส้นผมเดียว


 


 


ไม่เพียงไม่ถูกมนต์สาปแช่งนั้น พลังยังย้อนกลับมาทำลายหุ้นไม้ของนางจนแหลกละเอียด หากจะบอกว่าเป็นพลังของเทพมาทำลาย นางก็ไม่อยากจะเชื่อ


 


 


นางรู้สึกว่าเรื่องนี้จะต้องมีอะไรที่ลับลมคมในซุกซ่อนอยู่แน่


 


 


” นับตั้งแต่ที่ฝ่าบาททรงกลับมาวังหลวง บ่าวเฒ่าก็คิดถึงฝ่าบาท จึงคิดมาเข้าเฝ้าไทเฮาที่นี่ วอนขอไทเฮาให้ทรงพระกรุณาการทูลในทางที่ดี ให้บ่าวได้พ้นจากการถูกกักบริเวณ ” ขณะที่พูดไป อันหร่วนก็หลั่งน้ำตาของหญิงชราออกมา ” บ่าวคิดถึงคำที่อดีตฮองเฮาทรงเคยรับสั่งให้บ่าวคอยดูแลพระองค์อย่างดีอยู่ทุกๆ วัน ทั้งยังคิดถึงสถานะของตนเอง ในตอนนี้ก็รู้สึกละอายใจเหลือเกิน “


 


 


พอเห็นนางอะไรๆ ก็เป็นต้องยกอดีตฮองเฮาขึ้นมาอ้าง เอาแต่สาดเกลือลงไปในแผลของจีเฉวียนไม่มีหยุด อยู่ๆ ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกเห็นใจจีเฉวียนขึ้นมาในทันที


 


 


” ไหนเลยจะไปรู้ว่าพอบ่าวมาถึงตำหนักเฟิ่งหมิงเท่านั้นแหละ ก็เผอิญได้เห็นไทเฮา และซูหวงกุ้ยเฟยกำลังแสดงกริยาสนิทสนมกันอย่างใกล้ชิด ผลัดกับจูบอยู่พอดี เป็นความผิดของบ่าวเองเพคะ บ่าวไม่ควรจะมาขอเข้าเฝ้าไทเฮาในตอนนี้ “


 


 


อันหร่วนรู้ดีว่าจีเฉวียนทรงสนพระทัยและห่วงใยในตัวตู๋กูซิงหลัน แล้วนางก็ยังรู้อีกว่าเขาเป็นคนที่อิจฉารุนแรง


 


 


ไทเฮาประพฤติองค์ไม่เหมาะสม ทั้งยังถูกจับได้อย่างคาหนังคาเขาเช่นนี้ ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นหญิงเหมือนกัน แต่อย่างไรก็ไม่มีทางหลบพ้นจากความเกลียดชังของฝ่าบาทเป็นแน่


 


 


จีเฉวียนทรงทอดพระเนตรเห็นรอยจูบบนดวงหน้าของตู๋กูซิงหลันตั้งแต่แรกแล้ว รอยชาดทาปากสีแดงเข้มขนาดนั้น ยังสะดุดตาเสียยิ่งกว่าดอกไฮ่ถางเสียอีก


 


 


พอสายพระเนตรของฮ่องเต้กวาดผ่านจูเม่ยไปอย่างเย็นชา อยู่ๆ ซูเม่ยก็รู้สึกหนาวขึ้นมาในทันที ทำไมทุกครั้งที่เขาจะเข้าไปใกล้ชิดกับอาหลันฮ่องเต้เป็นต้องเสด็จออกมาทันทีในทุกครั้ง?


 


 


เขาวางสายคอยสอดส่องในตำหนักเฟิ่งหมิงอยู่กี่คนกันแน่?


 


 


องครักษ์ลับที่มีอยู่อย่างมากมายนับไม่ถ้วนเหล่านี้ ทำให้คนต้องปวดศีรษะอยู่ตลอดเวลา


 


 


ตู๋กูซิงหลันเองก็ปวดหัวอยู่เหมือนกัน ดูอย่างไรอันหร่วนผู้นี้ก็พูดจาผีเจาะปากอยู่บ้างจริงๆ แต่ละเรื่องๆ ไม่เคยจะพลาดการโจมตีเลยสักครั้ง


 


 


นางมองดูจีเฉวียนแวบหนึ่ง นึกอยู่ว่าเขาจะต้องบอกให้นางอยู่ให้ห่างๆ จากหวงกุ้ยเฟยของเขาสักหน่อยเป็นแน่


 


 


ไหนเลยจะรู้ว่าเขาจดจ้องดูนางอยู่ครู่หนึ่ง ก็หันไปตรัสกับอันหร่วนว่า


 


 


” ก่อนที่ไทเฮาและหวงกุ้ยเฟยจะเข้าวังมา ก็เป็นดั่งพี่สาวน้องสาวกันอยู่ก่อนแล้ว พี่สาวน้องสาวจะใกล้ชิดกันมากสักหน่อยก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา เจ้าจะมาทำเป็นผิดแปลกไปเพื่ออะไร? “


 


 


ตู๋กูซิงหลันและซูเม่ย “??? “


 


 


อันหร่วนเองก็อึ้มอึ้งไปเหมือนกัน นางคาดการณ์เอาไว้ไม่สมควรจะเป็นเช่นนี้ ทำไมฮ่องเต้ถึงได้ไม่เอาเรื่องกัน?


 


 


เขาเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับระเบียบกฎเกณฑ์เสมอมามิใช่หรือ?


 


 


” หมัวมัวอยู่ที่นี่ก็พอดีเลย อีกหนึ่งเดือนจะถึงวันเกิดของเรา ทางกรมพิธีการยังไม่มีเวลาตกฟากโดยละเอียด หมัวมัวท่านเป็นคนทำคลอดเรา ย่อมต้องรู้อย่างชัดเจน? “


 


 


จีเฉวียนตรัสถามออกไปอย่างสบายๆ แต่กลับทำให้อันหร่วนตื่นตัวขึ้นมาในทันที


 


 


นางกำไม้เท้าในมือแน่นเข้า ว่ากันตามโบราณประเพณีในราชวงค์ของต้าโจว ทุกครั้งที่มีองค์ชายประสูติออกมา ย่อมต้องมีการจดลงในบันทึกของราชวงศ์โดยละเอียด


 


 


แต่ว่าของจีเฉวียนนั้นแตกต่างออกไป ฉางซุนฮองเฮาทรงเกรงว่าจะมีคนทำร้ายเขา จึงใส่เพียงช่วงเวลาเกิดคร่าวๆ ไม่ได้ระบุรายละเอียดลงไป


 


 


ผู้ที่ทราบช่วงเวลาก็มีแต่ฉางซุนฮองเฮา อดีตฮ่องเต้ และก็นาง


 


 


ยามนี้อยู่ๆ จีเฉวียนก็ทรงไต่ถามขึ้นมา หรือว่าเขาจะไปพบเจออะไรเข้า?


 


 


เป็นไปไม่ได้…..พิธีหุ่นไม้สาปเป็นศาสตร์ลึกลับ คนทั่วไปไม่มีทางรู้จัก หรือต่อให้เขาจะมีความสามารถไปรู้อะไรมาอยู่บ้าง ก็ไม่มีทางสืบพบเรื่องนี้ได้


 


 


” บ่าวอายุมากแล้วเพคะ จดจำได้แต่ช่วงเวลาที่ฝ่าบาททรงพระสูติ แต่รายละเอียดที่ว่ากี่โมงกี่ยามนั้น คิดอย่างไร……ก็คิดไม่ออกจริงๆ เพคะ ” ยามที่อันหร่วนทูลตอบกลับไป หัวใจก็เต้นแรงยิ่งกว่าเดิม


 


 


จีเฉวียนยังคงมีสีพระพักตร์เย็นชาปานภูเขาน้ำแข็ง รอจนอันหร่วนทูลจบ เขาถึงถอนพระทัยเบาๆ ” ถ้าเช่นนั้นก็น่าเสียดายแล้ว “


 


 


” ปากก็บอกว่าห่วงใยฝ่าบาท แต่แม้กระทั่งช่วงเวลาประสูติที่แน่นอนก็ยังจำไม่ได้ อันกูกูช่างใส่ใจเหลือเกินนะ ” สายตาของตู๋กูซิงหลันเย็นชาขึ้นมาอีกหลายส่วน


 


 


ตั้งแต่ที่จีเฉวียนเอ่ยพระโอษฐ์ถามอันหร่วน นางก็รู้แล้วว่าเขาคิดจะทำอะไร


 


 


หากว่านางคาดเดาไม่ผิดละก็ เขาคงจะรู้ตัวแล้วว่าตอนที่อยู่ที่ลี่โจวนั้น มีคนใช้คาถาหุ่นไม้สาปแช่งเขา


 


 


วิธีการสาปแช่งนี้จำเป็นจะต้องระบุวันเดือนปีเกิดและช่วงเวลาตกฟากที่แน่นอนลงไป


 


 


หมากตานี้ของจีเฉวียน หากใช้อย่างผิดพลาดก็คือตีหญ้าให้งูตื่น


 


 


หากใช้ได้ถูกก็จะเป็น ล่องูออกจากถ้ำ


 


 


คนที่เป็นฮ่องเต้ย่อมต้องมีฝีมือที่หลากหลายอยู่แล้ว และไม่เคยเชื่อใจผู้ใดอีกด้วย 

 

 


ตอนที่ 213 เขา! ตั้ง! ครรภ์!

 

ที่ผ่านมาตู๋กูซิงหลันคิดว่าจีเฉวียนทรงให้ความเคารพอันหร่วนอย่างสูงมาตลอด เนื่องเพราะอันหร่วนเป็นแม่นมของฉางซุนฮองเฮา ทั้งยังเป็นพระพี่เลี้ยงของเขา


 


 


ด้วยความผูกพันที่จีเฉวียนมีต่อฉางซุนฮองเฮา เขาย่อมต้องให้ความสำคัญกับอันหร่วนเหนือธรรมดา


 


 


แต่คิดไม่ถึงเลยว่า ความเชื่อใจของเขาจะเบาบางถึงเพียงนี้


 


 


กับบุคคลเช่นฮ่องเต้พระองค์นี้ จะต้องเป็นคนเช่นไรหรือจึงจะสามารถมีคุณสมบัติยืนอยู่ข้างกายเขาได้กัน?


 


 


ท่านราชครู?


 


 


ดูท่าคงจะมีแต่เขาเท่านั้น


 


 


ยามนี้ในใจของอันหร่วนยิ่งเคร่งเครียดกว่าเดิม ถึงแม้ว่านางจะยังคงฝืนรักษาความสงบบนสีหน้าเอาไว้ได้ แต่ว่าฝ่ามือที่กำไม้เท้าเอาไว้กลับซีดขาว


 


 


ดวงตาชราคู่นั้นจับจ้องตู๋กูซิงหลัน แล้วก็หันกลับมามองจีเฉวียน สุดท้ายจึงหลุบตาลง ” ยามที่ฝ่าบาททรงประสูติ ฮองเฮาทรงตกพระโลหิตมากเกินไป สถานการณ์คับขันอันตราย บ่าวมัวแต่หาคนมาช่วยฮองเฮา จึงพลาดช่วงเวลาที่ฝ่าบาทประสูติโดยละเอียดไป บ่าวผิดไปแล้วเพคะ “


 


 


ได้ฟังแล่ว จีเฉวียนก็ไม่ได้ทำให้นางต้องลำบากใจ ” ตอนนั้น หมัวมัวต้องลำบากมากแล้วจริงๆ “


 


 


ไม่รู้ว่าทำไม พออันหร่วนได้ยิ่งเขาตรัสออกมาเช่นนี้แล้ว ในใจก็ยิ่งไม่สงบกว่าเดิม


 


 


อาจเพราะว่าการสาปแช่งที่ล้มเลว ทำให้นางสูญเสียพลังไปจำนวนมากยามนี้ถึงกับมีเม็ดเหงื่อเย็นๆ เกาะอยู่ที่หน้าผากชั้นหนึ่ง


 


 


พอยิ่งดูจีเฉวียนมองมากเข้าหน่อย ฝ่าเท้าของนางก็ถึงกับอ่อนแรงขึ้นมา


 


 


ฮ่องเต้เห็นท่าทางของนาง พระพักตร์ที่งดงามก็เพิ่มพูนความห่วงใย ” หมัวมัวร่างกายไปค่อยสบาย ก็สมควรจะรักษาตัวอยู่ในตำหนักชางอู๋ อย่าได้ออกมาเดินเยอะเกิน “


 


 


อันหร่วนมองเห็นความห่วงใยจากเขาได้อย่างชัดเจน แต่ขณะเดียวกันเมื่อตรัสอย่างแจ่มชัดเช่นนี้ก็หมายความว่าต้องการกักบริเวณนางด้วย


 


 


ตอนนี้นางถึงกับมองไม่ออกเลยว่าที่จริงแล้วฮ่องเต้ทรงคิดเช่นไรกันแน่


 


 


หากว่าเขาห่วงใยนางจริงใยจึงต้องกักบริเวณนางด้วย?


 


 


ฮ่องเต้พระองค์นี้แต่ไหนแต่ไรมาก็ชักสีหน้าเย็นชาอยู่ตลอด นอกจากครั้งนั้นที่นางส่งเสื้อหนาวให้เขา จึงได้เห็นวี่แววแสดงความห่วงใยจากเขาแล้ว ช่วงเวลาอื่นๆ ที่เหลือก็ไม่เคยเห็นสิ่งใดอีกเลย


 


 


อันหร่วนไม่กล้ามองเขาให้มากเกินไป ได้แต่ขยับตัวถวายบังคมลา ถือไม้เท้าจากไปอย่างรวดเร็ว


 


 


จีเฉวียนมองดูเงาหลังของนาง สีหน้าที่มีความห่วงใยค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง จนไม่เหลือวี่แววใดๆ อีก


 


 


ตู๋กูซิงหลันจับตามองจากด้านข้าง ดูอย่างไรนางก็รู้สึกว่าจีเฉวียนกำลังวางเบ็ดดักปลาใหญ่อยู่เป็นแน่


 


 


คนผู้นี้ไม่เพียงมีอุบายชั่วร้ายอยู่เต็มท้อง ทั้งยังรู้จักแสดงแกล้งทำอย่างแนบเนียน


 


 


ตั้งแต่ตอนที่อยู่ที่ลี่โจวแล้ว ก็มิใช่ว่าเขาหลอกลวงจีหรานได้สำเร็จอยู่หมัดหรอกรึ?


 


 


ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอย่างเหม่อลอยนั้น ก็เห็นเขาหันกลับมามองดูนางและซูเม่ยแว่บหนึ่ง


 


 


ซูเม่ยเองสัมผัสได้ถึงไอสังหารจากสายตาของเขาในทันที


 


 


นางอ้าปากขึ้นมา แต่ยังไม่ทันจะได้กล่าวอะไร ก็ได้ยินฮ่องเต้ทรงตรัสว่า ” หวงกุ้ยเฟย ในเมื่อตั้งครรภ์แล้วก็อย่าได้วิ่งวุ่นวาย สงบจิตสงบใจอยู่แต่ในตำหนักให้ดี ถ้าครรภ์นี้เป็นองค์ชายใหญ่ หากว่าเกิดปัญหาใดขึ้นมา เจ้าคงรับผิดชอบไม่ไหว”


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “!!! “


 


 


ซูเม่ย “!!!!! “


 


 


ในสมองของซูเม่ยมีเสียงดังวิ้ง คนราวกับว่าหล่นลงไปในห้องเย็นใต้ดิน!


 


 


เขา! ท้อง! แล้ว!


 


 


เขาที่เป็นบุรุษตัวโตตั้งครรภ์แล้ว ทั้งยังตั้งครรภ์ขึ้นมาในช่วงที่ฮ่องเต้มิได้ประทับอยู่ในวัง?


 


 


ฮ่องเต้ทรงผลักเขาลงไปตายแน่ๆ!


 


 


แม้แต่หลี่กงกงที่อยู่ข้างพระวรกายฮ่องเต้ ก็ยังตาโตขึ้นมา


 


 


พวกเขาฟังไม่ผิดใช่หรือไม่?


 


 


หวงกุ้ยเฟยช่างปิดบังได้อย่างยอดเยี่ยมนัก ผ่านมานานถึงเพียงนี้ก็ยังไม่มีเสียงเล่าลือใดๆ เล็ดลอดออกมาเลยสักนิด


 


 


ฝ่าบาทพึ่งจะทรงกลับเข้าวัง ก็ทรงประกาศข่าวใหญ่เช่นนี้ออกมาด้วยพระองค์เอง


 


 


สมแล้วที่เป็นหวงกุ้ยเฟย นับว่ามีฝีไม้ลายมือไม่เบาเลย


 


 


ไม่รู้หลี่กงกงคิดอย่างไร ถึงได้เหลือบตาไปมองดูตู๋กูซิงหลันอยู่แว๊บหนึ่ง


 


 


ไทเฮาน้อยยามนี้คงต้องพ่ายแพ้แล้วละมั้ง?


 


 


ช่วงที่ฝ่าบาทเสด็จออกไปนอกวัง ไทเฮาทรงเป็นทุกข์เสียพระทัยอย่างยิ่งถึงขนาดไม่ได้ก้าวออกมาจากตำหนักเฟิ่งหมิงเลยสักก้าว ตอนนี้ยังต้องมารับรู้ข่าวที่หวงกุ้ยเฟยทรงพระครรภ์อีก คิดๆ ดูแล้ว เขาก็รู้สึกทุกข์ร้อนแทนนางอยู่เหมือนกัน


 


 


หลังจากที่จีเฉวียนทรงประกาศ ‘ข่าวดี’ นี้ออกไป ก็ทรงเหลือบพระเนตรดูตู๋กูซิงหลันแว๊บหนึ่งเขาคิดจะตรัสอะไรเพิ่ม


 


 


แต่ก็พลันได้เห็นสีหน้าที่ประหลาดใจของตู๋กูซิงหลันเปลี่ยนเป็นความยินดี!


 


 


นางรีบหันไปคว้าซูเม่ยเอาไว้ จากนั้นก็ย่อตัวลงไป เอาหูแนบกับหน้าท้องของเขา ฟังดูความเคลื่อนไหว พลางกล่าวว่า ” คิดไม่ถึงเลย ว่าข้าจะได้เป็นเสด็จย่าอย่างรวดเร็วขนาดนี้ สวรรค์ทรงโปรด ลูกของพวกเจ้าทั้งสองคนจะหน้าตาดีขนาดไหนกันนะ”


 


 


ไม่กล้าจะคิดเลยจริงๆ ลูกของจีเฉวียนกับซูเม่ยจะออกมาน่ารักงดงามถึงเพียงไหน!


 


 


ถึงแม้ว่าตอนนี้นางจะมีหลานสาวสายนอกที่แสนน่ารักอย่างซุ่นเออร์อยู่แล้ว แต่สำหรับราชวงศ์แล้วย่อมไม่รังเกียจที่จะมีหลานให้มากเข้าไว้ นึกภาพว่าอีกหน่อยจะมีหลายชายหลานสาวที่น่ารักอยู่รอบๆ เอว นางก็คงทำให้ใช้ชีวิตยามชราได้อย่างสุขใจ


 


 


ตู๋กูซิงหลันแนบหน้ากับท้องของซูเม่ยฟังดูอย่างใส่ใจ ราวกับว่านางก็คือบิดาของลูกเขาก็ไม่ปาน


 


 


ซูเม่ย “……..” ว่ากันตามจริงเลยนะ เห็นอาหลันดีใจถึงเพียงนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือว่าเสียใจดี


 


 


เขาเคยครุ่นคิดมาหลายครั้งหลายหน ว่าสักวันหนึ่งเขาจะกลับไปป็นบุรุษ มีอาหลันเป็นภรรยา เมื่อนางท้อง เขาก็จะเอาหูมาแนบกับท้องของนางเช่นนี้เหมือนกัน คอยฟังเสียงของเจ้าตัวน้อยที่แสนสำคัญของพวกเขาอย่างใจจดใจจ่อ


 


 


แต่ว่าตอนนี้ภาพทั้งหมดกลับข้างกันเสียแล้ว


 


 


สีพระพักตร์ของฝ่าบาทดำทะมึน หางตาก็กระตุกไม่ยอมหยุด เขาไม่ทนรอให้ตู๋กูซิงหลันทำอะไรมากไปกว่านี้ ก็ชิงเสด็จเข้ามาหา ยื่นพระหัตถ์ออกมาคว้าตัวนางไป


 


 


พระดำรัสที่คิดจะสั่งสอนนางให้รู้จักกริยาการวางตัวทั้งหลาย พอมาริมพระโอษฐ์กลับตรัสอะไรไม่ออก ได้แต่ใช้พระหัตถ์ข้างหนึ่งคว้าตัวนางเอาไว้ สายพระเนตรก็สาดไปยังร่างของซูเม่ย ” นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ทุกๆ วันจะมีคนส่งยาบำรุงครรภ์ไปที่ตำหนักชุ่ยเว่ยกง หวงกุ้ยเฟยต้องสงบจิตใจรักษาร่างกาย จะได้คลอดพระนัดดาที่น่ารักมาถวายไทเฮา “


 


 


ซูเม่ย “…….”


 


 


เพื่อจะแยกเขาและอาหลันออกจากกันฮ่องเต้ถึงกับทำได้ทุกวิธี


 


 


จีเฉวียนไม่ทรงให้โอกาสซูเม่ยกล่าววาจา หันไปรับสั่งให้หลี่กงกงส่งคนกลับไปในทันที


 


 


หลังจากนั้นถึงได้หันกลับมารับสั่งกับตู๋กูซิงหลัน ” หวงกุ้ยเฟยตั้งครรภ์ เจ้าไม่รู้สึกโกรธเคืองเลยสักนิด? “


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “? ” แล้วทำไมนางถึงจะต้องโกรธด้วย? มีพระนัดดาไม่ดีตรงไหน?


 


 


พอทอดพระเนตรเห็นสีหน้าที่มึนงงของนาง จีเฉวียนก็ทรงทราบแล้วว่าคำตอบคืออะไร เขาหรี่พระเนตรลง ข่มความหงุดหงิดในพระทัยลงไป


 


 


ว่าแล้วก็ทรงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปในทันที ” เจ้าจะออกไปนอกวัง? “


 


 


ตู๋กูซิงหลันกลับมามีสมาธิอีกครั้ง ” คิดจะกลับจวนไปดูพี่รองสักหน่อยเพคะ “


 


 


พอถูกจ้องจนปั่นป่วนไปเมื่อครู่ นางก็เกือบจะลืมไปแล้วว่าตนเองต้องการจะทำอะไร


 


 


” เราก็จะออกไปนอกวังพอดี เพื่อลดความยุ่งยาก จะให้เจ้านั่งรถม้าไปด้วยก็แล้วกัน ” จีเฉวียนตรัสพลางก็ลากนางออกเดินไปด้วย


 


 


ตู๋กูซิงหลันถูกเขาหิ้วออกไปอย่างไร้กำลังจะต่อต้านราวกับว่าเป็นลูกเจี๊ยบตัวหนึ่ง


 


 


………………………..


 


 


 


 


ยามดึก ในพระตำหนักตี้หัว


 


 


 


 


จีเฉวียนยังทรงประทับอยู่ในห้องทรงพระอักษร จัดการกับกองภูเขาฎีกาที่ส่งเข้ามาในช่วงตลอดหลายวันนี้


 


 


ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ก็มีเงาดำลงมาจากบนเพดาน


 


 


” ฝ่าบาท ” คนชุดดำผู้นั้นคุกเข่าถวายคำนับอยู่ที่ด้านหน้าของเขา พลางดึงกล่องใบหนึ่งออกมาจากในอก


 


 


” สิ่งนี้ถูกค้นพบจากใต้ตำหนักของหรานอ๋องในลี่โจวพะยะค่ะ “


 


 


จีเฉวียนอนุญาตให้เขาลุกขึ้น คนชุดดำก็ถวายของชิ้นหนึ่งถึงเบื้องหน้าของพระองค์


 


 


ทันทีที่กล่องถูกเปิดออก ก็รู้สึกได้ถึงไอหยินที่เข้มข้นและรุนแรง หมอกสีดำขดม้วนเป็นวง ด้านในมีหยกสีดำขนาดเท่าเล็บนิ้วมืออยู่ชิ้นหนึ่ง


 


 


จีเฉวียนทรงหรี่พระเนตรหงส์คู่นั้นลง พอยื่นพระหัตถ์ออกก็ปิดทับลงไปบนกล่องใบนั้น


 


 


” ฝ่าบาท กระหม่อมยังต้องติดตามสืบเสาะต่อไปหรือไม่พะยะค่ะ? “


 


 


ตอนนั้นฝ่าบาททรงส่งเขาไปยังลี่โจว ก็ไม่ใช่เพียงแค่ทำเรื่องง่ายๆ อย่างส่งมอบเงินบรรเทาทุกข์เท่านั้น


 


 


จีหรานมีสิ่งนี้อยู่ในครอบครองแต่กลับไม่รู้วิธีใช้ ช่างน่าหัวเราะนัก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)