อัจฉริยะสมองเพชร 2098-2101

 ตอนที่ 2098 มันเกิดอะไรขึ้น?

“เราจะทำอย่างไรดี?” เจียงเหยาถามผู้อาวุโสจ้าวเยว่อย่างวนกระวาย


เพราะคำนึงถึงความปลอดภัยของเธอ ตู้ชิงหย่วนจึงไม่ยอมบอกใครว่าเธอกำลังจะเดินทางไปไหน ไม่มีใครสักคนในตำหนักคว้าดาวที่รู้เรื่องนี้


ด้วยทุกอย่างที่เธอทำลงไป แน่นอนว่าเธอมั่นใจว่าปกปิดร่องรอยของตัวเองได้มิดชิด แทบเป็นไปไม่ได้ที่พวกนั้นจะตามตัวเธอพบ


ผู้อาวุโสจ้าวเยว่พลันนึกอะไรได้บางอย่าง เธอรีบนำตราหยกอันหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ “ก่อนหัวหน้าจะจากไป เธอบอกให้ฉันหักตราหยกอันนี้ถ้าหากเธอไม่กลับมา…”


ทันทีที่พูดจบ จ้าวเยว่ก็หักตราหยก


วิ้งงงงง!


เกิดแสงสว่างวาบ ตัวอักษรหลายแถวปรากฏขึ้นกลางอากาศ


“ถ้าฉันไม่ได้กลับสู่ตำหนักคว้าดาว ผู้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าตำหนักคว้าดาวจะต้องเป็นจางเซวียนจากสำนักดาบเมฆเหินเท่านั้น ปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพสูงสุดและเชื่อฟังคำสั่งของเขาโดยปราศจากเงื่อนไข”


เมื่ออ่านตัวอักษรเหล่านั้นจบ ผู้อาวุโสที่ 1 จ้าวเยว่กับเจียงเหยาสบตากันก่อนจะรีบหันไปมองจางเซวียน


จางเซวียนก็งงงันกับเรื่องที่เกิดขึ้น


ตู้ชิงหย่วนแสดงเจตจำนงให้เขารับตำแหน่งหัวหน้าตำหนักคว้าดาวต่อจากเธอ…มันเกิดอะไรขึ้น?


เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เขาเห็นภาพลวงตาภาพหนึ่งอยู่ถัดจากข้อความนั้น จางเซวียนเลิกคิ้วขณะรีบชี้ภาพดังกล่าวและถามว่า “สุภาพสตรีที่อยู่ตรงนั้นคือหัวหน้าของพวกคุณใช่ไหม?”


ภาพลวงตานั้นคือเทพเจ้าที่เคยปรากฏตัวในทวีปแห่งปรมาจารย์เมื่อครั้งที่อำมาตย์เฉินหย่งประกอบพิธีกรรมเพื่อเรียกหลัวลั่วชิง


ผู้อาวุโสที่ 1 จ้าวเยว่พยักหน้า “นั่นคือหัวหน้าของเรา”


“ผมนึกแล้ว…” จางเซวียนพยักหน้าก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ


เขาคาดเดาไว้แล้วตอนที่ได้รู้ว่าประชากรท้องถิ่นที่อาศัยอยู่บนเกาะคว้าดาวคือเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น


อีกนิดเดียวเขาก็จะได้รู้ความจริง ใครจะไปคิดว่าจะเกิดความผิดพลาดขึ้นตอนนี้?


สุภาพสตรีผู้นี้น่าจะเป็นคนเดียวในทวีปที่ถูกลืมที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของหลัวลั่วชิงและรู้ว่าเธอจากไปที่ไหน ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับตู้ชิงหย่วนจริงๆ แหล่งข้อมูลเดียวของเขาก็จะหายไป


ตอนแรก เขาออกจะประหลาดใจที่ตู้ชิงหย่วนมอบตำแหน่งหัวหน้าตำหนักคว้าดาวคนต่อไปให้เขา แต่หลังจากใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก็พอเข้าใจเหตุผล


กลุ่มอำนาจเดียวที่เก่งกาจพอจะบีบบังคับเธอ ซึ่งเป็นหนึ่งในนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดของทวีปที่ถูกลืมให้จนมุมได้ก็คือหอเทพเจ้า


และผู้เดียวที่มีพละกำลังมากพอจะสู้กับหอเทพเจ้าได้ก็คือตัวเขา, เจ้าสำนักดาบเมฆเหินคนใหม่ผู้ทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ!


ยิ่งไปกว่านั้น แม้ชื่อหลิวหยางกับเจิ้งหยางจะฟังดูไม่คุ้นหูกับคนอื่นๆ แต่เธอคือผู้ช่วยชีวิตหวู่เฉินไว้ จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ตู้ชิงหย่วนจะพอรู้ข้อมูลบางส่วนจากอีกฝ่าย และคาดเดาได้ว่าชื่อเหล่านั้นล้วนเป็นเขา


ก็เพราะพละกำลังและอิทธิพลของจางเซวียนในทวีปที่ถูกลืมที่ทำให้เธอไว้วางใจมอบตำหนักคว้าดาวให้ เพื่อให้เขานำพาตำหนักคว้าดาวผ่านช่วงเวลาคับขันนี้ไปให้ได้


“เจ้าสำนักจาง” เจียงเหยาหันมาประสานมือให้จางเซวียน “พวกเราเชื่อว่าหัวหน้าตู้มีเหตุผลที่ออกคำสั่งแบบนั้น และเราก็เต็มใจทำตามคำสั่งของเธอ ไม่ทราบว่าคุณมีความเห็นในเรื่องนี้อย่างไร?”


ทั้งคู่ได้เห็นอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ทั้ง 4 ตัวของจางเซวียนมากับตา จึงไม่สงสัยเรื่องความเก่งกาจของเขา


ยิ่งไปกว่านั้น ตู้ชิงหย่วนก็เป็นคนฉลาดและระแวดระวังมาก พวกเขาไว้ใจการตัดสินใจของเธอ


“ในเมื่อหัวหน้าตู้ไว้ใจผม ผมก็ยินดีรับตำแหน่งหัวหน้าคนใหม่ของตำหนักคว้าดาว” จางเซวียนพยักหน้า


เขาเคยคิดว่าการเป็นผู้นำของแต่ละสำนักสร้างความยุ่งยากไม่น้อย แต่หอเทพเจ้าเป็นคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจเหนือความคาดหมายของเขา เพื่อตอบโต้คนเหล่านั้น…6 สำนักใหญ่จะต้องผนึกกำลังกันเป็นหนึ่งเดียว แต่ก็ต้องมีใครสักคนที่บงการและชี้นำได้


ถ้าเขาได้เป็นหัวหน้าตำหนักคว้าดาว ก็จะมีความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นอีกมาก


ที่สำคัญกว่านั้น ตำหนักคว้าดาวยังสามารถติดต่อหลัวลั่วชิงได้ ต่อให้ตอนนี้ตู้ชิงหย่วนจะหายตัวไปก็ตาม


“ขอบคุณมาก เจ้าสำนักจาง” ผู้อาวุโสที่ 1 จ้าวเยว่โค้งคำนับอย่างงาม “พวกเราจะไปจัดเตรียมพิธีสถาปนาเดี๋ยวนี้ ระหว่างนี้ คุณพักผ่อนในที่พักที่เราเตรียมไว้ให้ก่อนก็แล้วกัน การเดินทางจากเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายคงสร้างความเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย กลุ่มคนจากอีก 5 สำนักใหญ่คงจะมาถึงพรุ่งนี้”


5 สำนักใหญ่จะมารวมตัวกันเพื่อหารือรายละเอียดของการรับมือกับสะพานเบื้องบน คงจะดีหากจัดพิธีสถาปนาตอนที่มีกลุ่มคนจาก 5 สำนักใหญ่มาเป็นสักขีพยานและเป็นเกียรติให้


พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมตู้ชิงหย่วนถึงเสนอชื่อเจ้าสำนักดาบเมฆเหินคนใหม่ให้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าตำหนักคว้าดาวของเธอ และพูดกันตามตรง ก็ยังรู้สึกขัดข้องใจอยู่บ้าง แต่ก็รู้ดีว่าสิ่งนี้จะนำพาประโยชน์มาให้มากมาย


การมีผู้นำย่อมทำให้รากฐานของความสัมพันธ์ระหว่างแต่ละสำนักมั่นคงขึ้น พวกเขาจะรับมือกับหอเทพเจ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าเดิม


“ผมเข้าใจแล้ว” จางเซวียนพยักหน้า “ระหว่างนี้ผมจะเข้าไปที่หอสมุดของตำหนักคว้าดาวก่อน”


แม้เขาจะสำเร็จวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงแล้ว แต่ก็ไม่อาจยกระดับวรยุทธได้อีกจนกว่าจะรวบรวมเทคนิควรยุทธได้มากพอที่จะประมวลเคล็ดวิชาเทียบฟ้าของวรยุทธระดับอมตะขั้นสูง


“ได้สิ ให้ฉันพาคุณไปนะ” ผู้อาวุโสจ้าวเยว่พูด


เธอรีบพาจางเซวียนไปที่หอสมุดก่อนจะจากไปเพื่อจัดเตรียมพิธีสถาปนา


จางเซวียนรีบถ่ายโอนหนังสือทั้งหมดที่อยู่ภายในหอสมุด


ครึ่งวันให้หลัง เขาก็ออกจากหอสมุดแล้วมุ่งหน้าไปยังห้องลับ


สมกับเป็นกลุ่มอำนาจที่สามารถสื่อสารกับเทพเจ้า ตำหนักคว้าดาวมีหนังสือเทคนิควรยุทธจำนวนมหาศาล มากกว่าสำนักดาวเจ็ดดวงเสียอีก โดยเฉพาะหนังสือที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณ


หนังสือที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณในสำนักอื่นนั้นจัดว่าพื้นๆหากเทียบกับที่นี่


“ประมวล!”


หอสมุดเทียบฟ้ากระตุก แล้วหนังสือที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณทั้งหมดก็ถูกประมวลขึ้นเป็นศาสตร์แห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้าของวรยุทธระดับอมตะขั้นสูง


ไม่นานหลังจากนั้น จางเซวียนก็ประมวลเทคนิควรยุทธระดับอมตะขั้นสูงทั้งหมดที่เขารวบรวมได้


เขาพลิกหน้าหนังสือที่ถูกประมวลขึ้นใหม่ด้วยนิ้วอันสั่นเทา หลังจากพิจารณาแล้ว ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก


“ยังเหลือข้อบกพร่องอยู่ 3 ข้อ แต่แก้ไขได้ด้วยการใช้ของบางอย่างเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา…”


แม้เทคนิควรยุทธระดับอมตะขั้นสูงของตำหนักคว้าดาวจะมีจำกัด แต่ก็โชคดีที่พวกเขารวบรวมภูมิปัญญาและประสบการณ์การฝึกฝนวรยุทธของนักรบอมตะขั้นสูงมาเนิ่นนานหลายปีแล้ว


“หยดน้ำสีเงิน โลหะกระจ่างดาว หญ้าใบขบ…”


ทั้ง 3 อย่างนี้ สามารถแก้ไขข้อบกพร่องข้อหนึ่งได้ แต่พวกมันล้วนเป็นของล้ำค่าที่มีมูลค่าสูงอย่างน่าทึ่ง มีค่ามากกว่าคริสตัลเพชรที่สำนักดาวเจ็ดดวงใช้ที่ทะเลพลัดดาวเสียอีก


“เราบังเอิญเก็บหญ้าใบขบมาได้จำนวนหนึ่งจากเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย ศักยภาพของมันสูงกว่าที่พบได้ทั่วๆไป เพราะฉะนั้นก็ไม่มีปัญหา…” จางเซวียนรีบสำรวจข้าวของต่างๆที่เขามีอยู่


เมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายมีอันตรายอยู่โดยรอบ แต่ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในสถานที่แห่งนั้นก็ยังดึงดูดนักรบรุ่นแล้วรุ่นเล่าให้ฝ่าอันตรายเพื่อเดินทางเข้าไป


ในครั้งนั้น ก่อนที่จางเซวียนจะพบกับอสูรเสื่อมถอย เขาได้เก็บสมุนไพรทุกชนิดที่หาได้ และโชคดีที่หญ้าใบขบเป็นหนึ่งในนั้น


“ส่วนโลหะกระจ่างดาว…โป๊ะเชะ! ในแหวนเก็บสมบัติของไป่ซวนเฉิงมีอยู่ก้อนหนึ่ง!”


จางเซวียนแอบถอดแหวนเก็บสมบัติของเจ้าสำนักไป่ซวนเฉิงมา และก่อนหน้านี้ก็รีบตรวจสอบข้าวของที่อยู่ในนั้นแล้ว มีของล้ำค่ามากมายหลายชนิด, อาวุธระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ 2 ชิ้น, สมุนไพรล้ำค่า, สินแร่ และทรัพยากรหลากหลายที่ใช้ในการฝึกฝนวรยุทธ ซึ่งโลหะกระจ่างดาวก็เป็นหนึ่งในนั้น


ด้วยเหตุนี้ อย่างเดียวที่เขายังขาดอยู่ก็คือหยดน้ำสีเงิน


เขาเคยอ่านเรื่องราวของมันในหนังสือมาก่อน ก็เหมือนกับลูกมังกรทะเลเหนือ หยดน้ำสีเงินมีอยู่ในส่วนลึกของมหาสมุทร ทำให้พบเจอได้ยากมาก แม้แต่สำนักดาวเจ็ดดวงที่มีเครือข่ายข้อมูลข่าวสารอันกว้างใหญ่และสายสัมพันธ์ที่กว้างขวางก็ยังไม่รู้เงื่อนงำว่าจะหาหยดน้ำสีเงินได้ที่ไหน


“บางทีเราควรเข้าไปดูที่หอนิรันดร์ น่าจะดีกว่าถ้าหาซื้อมันได้ ไม่อย่างนั้นคงลำบาก”


ในเมื่อรายละเอียดของมันปรากฏในหนังสือ ก็หมายความว่าจะต้องมีใครสักคนในโลกที่เคยใช้มันมาก่อน ซึ่งกลุ่มอำนาจเดียวที่มีเครือข่ายข้อมูลข่าวสารกว้างขวางกว่าสำนักดาวเจ็ดดวงก็คือหอนิรันดร์


หอนิรันดร์มีสาขาอยู่ทั่วทั้งทวีปที่ถูกลืม และนักรบส่วนใหญ่ก็เข้าสู่หอนิรันดร์บ่อยๆ แม้เขาจะยังคงแคลงใจในหอนิรันดร์หลังจากปะทะกับฟู่เฉิงสื่อ แต่ก็รู้สึกว่านี่คือความเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้


เพราะไม่อย่างนั้น ก็ไม่มีอะไรบอกได้ว่าเขาจะพบหยดน้ำสีเงินเมื่อไหร่


ถ้าเขายกระดับวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ได้สำเร็จ ก็จะมีภาษีดีกว่าในการรับมือกับเหล่านักรบของหอเทพเจ้า


เมื่อคิดขึ้นได้ จางเซวียนออกจากห้องแล้วรีบตามหาผู้อาวุโสจ้าวเยว่


“นี่คือตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลของวรยุทธระดับอมตะขั้นสูง ตำหนักคว้าดาวตั้งอยู่บนเกาะคว้าดาวอันห่างไกล เราจึงไม่แยกตัวออกจากหอนิรันดร์ฝ่ายนอก คุณเข้าสู่หอนิรันดร์จากที่นี่ก็ได้” ผู้อาวุโสจ้าวเยว่พูดขณะยื่นตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลให้


“ขอบคุณมาก” จางเซวียนตอบยิ้มๆ


ส่วนเจียงเหยาก็มองจางเซวียนอย่างไม่ค่อยเห็นด้วย ก่อนในที่สุดจะพูดขึ้น “ระวังตัวด้วยนะ ฉันไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน แต่ตอนนี้ไม่มั่นใจแล้วว่าหอนิรันดร์ยังควรค่าแก่การไว้ใจอยู่หรือเปล่า”


“ผมรู้ ผมจะระวังตัว” จางเซวียนตอบอย่างเคร่งขรึมก่อนจะจากไป


เขาเข้าสู่ห้องลับและทรุดตัวลงนั่ง กำตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลไว้ในมือ จากนั้นก็จ้องเขม็งที่ผนังตรงหน้า


เมื่อลองนึกดู…สองครั้งก่อนที่เราเข้าสู่หอนิรันดร์ ก็เกิดการลอบสังหารจากนักรบของหอเทพเจ้าตามมา แล้วคราวนี้จะเป็นแบบเดิมไหม?


หลังจากที่เขาเข้าสู่หอนิรันดร์ของเมืองอู๋ไห่เพื่อซื้อยาเม็ดอมตะขั้นสุดยอด ก็ถูกพวกนั้นลอบโจมตี เหตุการณ์แบบเดียวกันเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองที่เมืองปี้หยวน


เขาเคยคิดว่ามันออกจะแปลกที่ในครั้งนั้นหอเทพเจ้าระบุตัวตนของเขาได้ถูกต้อง ซึ่งเขาก็วนเวียนอยู่แถวนั้นอีกพักใหญ่เพื่อจะดูให้แน่ใจว่าหอเทพเจ้ามองทะลุการปลอมตัวของเขาได้จริงๆหรือไม่


หรือว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับหอนิรันดร์?


ตอนที่ 2099 การทดลองครั้งแรก

แม้แต่ฟู่เฉิงสื่อซึ่งเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของหอนิรันดร์ก็ยังลงเอยด้วยการสมรู้ร่วมคิดกับหอเทพเจ้า เรื่องนี้น่าเป็นห่วงมาก


พฤติกรรมของปรมาจารย์ขงที่แสดงออกต่อทวีปแห่งปรมาจารย์บ่งบอกว่าเขาเป็นผู้มีจิตใจเมตตากรุณาและเห็นแก่ประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ ไม่มีทางที่คนอย่างปรมาจารย์ขงจะร่วมมือกับหอเทพเจ้าและสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในทวีปที่ถูกลืม


แต่ไม่อาจพูดแบบเดียวกันนี้กับเหล่าบริวารในสังกัดของปรมาจารย์ขง เพราะถึงอย่างไร หอนิรันดร์ก็ก่อตั้งขึ้นมาหลายพันปีแล้ว


แน่นอนว่าเจตจำนงเบื้องต้นในการก่อตั้งหอนิรันดร์เป็นเจตจำนงที่ดี แต่เมื่อองค์กรขยายตัวและพัฒนาขึ้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านไป ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่มันจะต้องเปลี่ยนแปลง


แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการคาดเดา เราต้องทดสอบให้รู้ว่าเราคิดถูกหรือไม่ จางเซวียนคิดขณะเปิดใช้งานตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลและเพ่งสมาธิเข้าไป


หอนิรันดร์ของนักรบระดับอมตะขั้นสูงดูจะโหรงเหรงเมื่อเปรียบเทียบกับหอนิรันดร์ที่อื่นๆ แต่ด้วยจำนวนนักรบอมตะขั้นสูงที่มีอยู่ไม่มากนักในโลกใบนี้ ก็พอจะคาดเดาสิ่งนี้ได้


จางเซวียนเดินตรงไปหาเจ้าหน้าที่ต้อนรับ “ไม่ทราบว่าผมจะขอซื้อหยดน้ำสีเงินได้หรือไม่?”


“หยดน้ำสีเงิน?” เจ้าหน้าที่ย้อนถามพร้อมกับขมวดคิ้ว ดูจะงุนงงกับชื่อที่ไม่คุ้นหู “ขอเวลาสักครู่ ผมจะตรวจสอบให้”


เขารีบพลิกดูหนังสือเล่มหนึ่ง ครู่ต่อมาก็ยิ้มออก “คุณลูกค้า แม้หยดน้ำสีเงินจะหายากมาก แต่หอนิรันดร์ของเรามีเก็บไว้จำนวนหนึ่ง แต่ราคาออกจะสูงอยู่สักหน่อยนะ”


“เท่าไหร่?” จางเซวียนถาม


“ราวๆ 5 ล้านเหรียญนิรันดร์” เจ้าหน้าที่ตอบ


นี่มันปล้นกันกลางวันแสกๆ!


“ผมไม่มีเหรียญนิรันดร์อยู่กับตัวมากขนาดนั้นหรอก แต่จะขอแลกเปลี่ยนสิ่งนี้กับหยดน้ำสีเงินได้ไหม?” จางเซวียนนำขวดหยก 3 ใบออกมาวางบนโต๊ะ


เจ้าหน้าที่เปิดจุกขวดหยกใบหนึ่งออกด้วยความสงสัย พลังจิตวิญญาณเข้มข้นพวยพุ่งออกจากขวดนั้น เขามีสีหน้าไม่อยากเชื่อขณะพึมพำ “นี่มัน…หยดเลือดของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์?”


“พอไหม?” จางเซวียนถาม


“พะ-พอ พอแน่นอน!” เจ้าหน้าที่ละล่ำละลัก “ผมจะประเมินราคาให้เดี๋ยวนี้”


ในทวีปที่ถูกลืมมีนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อยู่ไม่มาก ทำให้หยดเลือดของพวกเขากลายเป็นของล้ำค่าที่ประเมินค่ามิได้ ทุกหยดมีพลังงานมหาศาล


แถมยังเป็นเรื่องยากที่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์สักคนจะถ่ายเลือดให้เต็มขวดทั้ง 3 ใบได้โดยไม่ทำให้ร่างกายกระทบกระเทือน ต่อให้ใช้เวลาหลายสิบปีก็ตาม!


ครู่ต่อมา เจ้าหน้าที่ก็กลับมาและยื่นขวดหยก 5 ใบให้จางเซวียน


“คุณลูกค้า นี่คือหยดน้ำสีเงิน 5 ขวด”


“อือ” จางเซวียนพยักหน้าอย่างโล่งอก


เมื่อมีตัวเร่งปฏิกิริยาทั้ง 3 ตัวแล้ว เขาคงไม่มีปัญหาในการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อีก สิ่งเดียวที่ต้องทำในเวลานี้ก็คือรอดูว่าเขาจะถูกลอบสังหารโดยทีมนักรบจากหอเทพเจ้าอีกหรือไม่


จางเซวียนออกจากหอนิรันดร์ เขารีบติดตั้งค่ายกลป้องกันตัวหลายชั้นเพื่อเตือนให้เขารู้ล่วงหน้า หากมีผู้บุกรุกเข้ามา หลังจากนั้นจึงนำตัวเร่งปฏิกิริยาทั้ง 3 กับหยดเลือดของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ออกมาขวดหนึ่ง


จางเซวียนกระดิกนิ้ว แล้วหยดเลือดของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ก็แปรสภาพเป็นกระแสพลังจิตวิญญาณอันทรงพลังที่โอบล้อมร่างของเขาไว้ราวกับพายุทอร์นาโด


แม้หยดเลือดของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์จะเป็นของล้ำค่าสำหรับนักรบทุกคน แต่ตอนนี้จางเซวียนก็มีใช้ไม่ขาดมือ จะว่าไป เขามีหยดเลือดกว่า 20 ขวดอยู่ในแหวนเก็บสมบัติ เท่านั้นก็เกินพอให้ใช้อย่างสบาย


จางเซวียนได้หยดเลือดเหล่านี้มาด้วยการเค้นร่างของฟู่เฉิงสื่อกับชายวัยกลางคนจากหอเทพเจ้าจนเหือดแห้ง แน่นอนว่า เขาไม่ลืมที่จะกำจัดบรรยากาศของการเสื่อมถอยโดยใช้ซุปไก่


จางเซวียนตั้งต้นขับเคลื่อนเคล็ดวิชาเทียบฟ้า และวรยุทธของเขาก็พุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง


อมตะขั้นสูงระดับล่าง, อมตะขั้นสูงปฐพี…


เพียงหนึ่งชั่วโมง เขาก็ยกระดับวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ได้สำเร็จ!


เพราะยังขาดแคลนเทคนิควรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ นี่จึงเป็นวรยุทธขั้นสูงสุดที่จางเซวียนเข้าถึงได้ในเวลานี้


เราคงยังประมวลเคล็ดวิชาเทียบฟ้าของวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ไม่ได้ วิธีเดียวที่จะยกระดับวรยุทธได้ก็คือค้นหาเส้นทางของตัวเองและรังสรรค์เทคนิควรยุทธขึ้นใหม่ จางเซวียนครุ่นคิดด้วยสีหน้าที่บ่งบอกความยุ่งยากใจ


เขารู้ปัญหาของตัวเองดี


เคล็ดวิชาเทียบฟ้าปราศจากข้อบกพร่องก็จริง แต่สิ่งที่ย้อนแย้งกันก็คือลักษณะเฉพาะตัวของมัน นั่นแหละที่เป็นข้อบกพร่องใหญ่หลวงที่สุด


สิ่งนี้เกิดขึ้นกับเขาเมื่อคราวก่อนที่วรยุทธของเขาถูกธาตุไฟเข้าแทรก


โลกนี้ไม่มีความสมบูรณ์แบบที่แท้จริง แม้แต่สวรรค์ยังมีข้อบกพร่อง แล้วจะมีอะไรสมบูรณ์แบบได้? ทุกอย่างเป็นแค่มุมมอง


แต่ก็แน่นอนว่าการฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้าทำให้เขามีพละกำลังเหนือชั้นกว่าใครๆ มันอาจไม่สมบูรณ์แบบอย่างที่หวังไว้ แต่ก็ดีที่สุดเท่าที่เขามี


แต่ชุดความคิดแบบนี้เป็นผลเสียอย่างมากกับเขา มันทำให้เขาผูกติดอยู่กับเคล็ดวิชาเทียบฟ้า ความคิดที่ว่าจะต้องฝึกฝนเทคนิควรยุทธที่มีข้อบกพร่องทำให้เขาขยะแขยงเสียจนทำอะไรไม่ได้ ต่อให้เขาคิดค้นบางอย่างขึ้นมาเป็นของตัวเอง ความสงสัยคาใจที่ว่าสิ่งนั้นอาจมีข้อบกพร่องก็จะค้างคาใจต่อไป จนในที่สุดก็กลายเป็นปีศาจใต้สำนึกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตัวเขา


ดังนั้น วรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์จึงเป็นปราการใหญ่หลวงที่จางเซวียนต้องก้าวข้ามไปให้ได้ ดูเหมือนเขาต้องคิดค้นเทคนิควรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ด้วยภูมิปัญญาของตัวเอง


มันอาจจะยาก แต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อคนอื่นทำได้ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะทำไม่สำเร็จ


เมื่อเกิดความคิดนั้น จางเซวียนเข้าสู่หอวรยุทธที่อยู่ภายในหอสมุดเทียบฟ้า มันคือมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงที่หลัวลั่วชิงผนึกเอาไว้กับหอสมุดเทียบฟ้าก่อนเธอจะจากไป


ภายในหอวรยุทธแห่งนี้ กระแสกาลเวลาไหลเร็วกว่าในทวีปแห่งปรมาจารย์ถึง 10 เท่า


จางเซวียนเคยคิดว่ากระแสกาลเวลาภายในหอวรยุทธอาจเปลี่ยนแปลงเมื่อเข้ามาอยู่ในทวีปที่ถูกลืม แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจที่พบว่ามันยังคงเหมือนเดิม พูดอีกอย่างก็คือ กระแสกาลเวลาในหอวรยุทธแห่งนี้เร็วกว่าในทวีปแห่งปรมาจารย์ถึง 10 เท่า ซึ่งก็หมายความว่ามันเร็วกว่าทวีปที่ถูกลืมถึงร้อยเท่าเลยทีเดียว!


ต่อให้เขาใช้เวลาอยู่ในหอวรยุทธเป็นร้อยวัน เวลาในทวีปที่ถูกลืมก็จะผ่านไปแค่วันเดียว


จางเซวียนเริ่มด้วยการพิจารณาเคล็ดวิชาเทพดาบเมฆเหินซึ่งเป็นเทคนิควรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เทคนิคเดียวที่เขารู้จัก ก่อนจะใช้มันเป็นข้อมูลอ้างอิงเพื่อพัฒนาเคล็ดวิชาเทียบฟ้าของเขาต่อไป


จางเซวียนหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหวอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะตั้งต้นขับเคลื่อนพลังปราณ แต่ไม่ช้าก็ไอออกมาเป็นเลือด


การทดลองครั้งแรก, ล้มเหลว!


จางเซวียนไม่ยอมแพ้ เขาพยายามอีกครั้ง…แต่ก็ล้มเหลว


เขาทำต่อไปอีก 100 ครั้ง แต่ก็ไม่คืบหน้าไปไหน


“การฝ่าด่านวรยุทธไปสู่วรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์นั้นไม่ง่ายเลย…” จางเซวียนส่ายหน้าอย่างจนปัญญา


โชคดีที่เขามีซุปไก่ ทำให้ฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บได้เร็ว ไม่อย่างนั้น ไม่ช้าไม่นานเขาก็คงต้องบาดเจ็บสาหัสเพราะการทดลองอย่างบ้าระห่ำ


จางเซวียนเหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจจากการใช้ความคิดและการทดลอง ในที่สุดเขาก็ถอนจิตใต้สำนึกออกจากมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง


รวมแล้ว เวลาในโลกแห่งความเป็นจริงผ่านไปเพียงไม่ถึงหนึ่งก้านธูป


จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาถอนเจตจำนงเสี้ยวสุดท้ายออกมาแล้วเพ่งสมาธิเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้าเพื่อค้นคว้าหาวิธีการพัฒนาเทคนิควรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ต่อไป


จากนั้นเขาก็เดินออกจากห้องลับ


เมื่อสำเร็จวรยุทธอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์แล้ว พละกำลังของเขาก็เทียบได้กับนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์โดยทั่วไป จางเซวียนรู้สึกมั่นใจ เขาถอนค่ายกลที่อยู่โดยรอบออกทั้งหมดก่อนจะเดินหน้าต่อไป


พูดกันตามตรง จางเซวียนออกจะประหลาดใจที่ไม่เห็นหอเทพเจ้าเคลื่อนไหวอะไรขณะที่เขากำลังฝึกฝนวรยุทธ หรือเขาจะเดาผิด?


เป็นไปได้ไหมว่าพวกนั้นลังเลที่จะเปิดการโจมตีเพราะตอนนี้เขาอยู่ในตำหนักคว้าดาว? สองครั้งล่าสุดที่เขาถูกลอบทำร้ายนั้น เขาเพิ่งออกจากหอนิรันดร์และก้าวเข้าสู่พื้นที่สาธารณะ


ข้อสันนิษฐานนี้ดูจะไม่เข้าท่านัก เพราะหอเทพเจ้าก็เล่นงานฉู่อิงกับผู้อาวุโสจ้าวเยว่ตอนที่พวกเขาอยู่ในตำหนักคว้าดาวเหมือนกัน แต่ก็น่าทดสอบดูว่าจะเป็นไปตามนั้นหรือเปล่า


จางเซวียนจึงลักลอบออกจากตำหนักคว้าดาวโดยไม่บอกใคร แล้วมุ่งหน้าไปยังดินแดนห่างไกลที่อยู่เหนือทะเลพลัดดาว


เขากระดิกนิ้ว จากนั้นก็ปล่อยหยดน้ำสีเงิน 2-3 หยดลงในมหาสมุทร


แม้ตอนนี้เขาจะมีวิธีการปกป้องตัวเองอยู่มากมาย แต่ก็ไม่กล้าปล่อยให้การ์ดตกเมื่อคู่ต่อสู้ของเขาคือหอเทพเจ้า


จางเซวียนทรุดตัวลงนั่งบนผิวหน้าของมหาสมุทรอีกกว่า 2 ชั่วโมง แต่ทุกอย่างเงียบกริบ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย


หรือว่าจะเป็นไปตามนั้น? จางเซวียนครุ่นคิดด้วยสีหน้ากังวลใจอย่างหนัก


ข้อสันนิษฐานเบื้องต้นของเขาก็คือมีหนอนบ่อนไส้กลุ่มหนึ่งในหอนิรันดร์ที่บอกตำแหน่งที่อยู่ของเขาให้กับหอเทพเจ้าทันทีที่เขาเข้าสู่หอนิรันดร์ แต่เท่าที่เห็นตอนนี้ ก็ดูจะไม่ใช่


สิ่งนี้ทำให้เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องพิจารณาข้อสันนิษฐานอื่น ถ้าข้อสันนิษฐานข้อนี้เป็นความจริง นั่นก็หมายความว่าเขากำลังเจอสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด


คงต้องลอง…


จางเซวียนรีบปลอมแปลงรูปร่างหน้าตา รังสีของจิตวิญญาณ และสายเลือดของเขาอีกครั้งโดยใช้เครื่องรางแห่งการปลอมตัว ก่อนจะเข้าสู่หอนิรันดร์


เขาเดินไปหาเจ้าหน้าที่ต้อนรับ แสดงตราสัญลักษณ์ที่ได้รับจากปรมาจารย์ขงและพูดว่า “ผมอยากได้ยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ ช่วยนำมาให้ผมมากที่สุดเท่าที่จะหาได้”


“ตะ-ตราสัญลักษณ์อันนี้! แขกผู้มีเกียรติ กรุณารอสักครู่…ฉันจะเตรียมยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ของคุณให้เดี๋ยวนี้แหละ!” เจ้าหน้าที่ละล่ำละลักก่อนจะรีบผละไป


1 ชั่วโมงต่อมา เธอก็กลับมาพร้อมกับขวดหยก 2 ใบ “ต้องขออภัยด้วย แต่ตอนนี้เรารวบรวมยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ได้เพียง 20 เม็ดเท่านั้น”


“ไม่เป็นไร” จางเซวียนพูดพร้อมกับโบกมือ


ลำพังแค่ยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ 20 เม็ดก็เพียงพอจะทำให้ผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในทวีปที่ถูกลืมต้องอ้าปากค้างแล้ว ยาเม็ดอมตะขั้นสุดยอดมีราคาเม็ดละ 20,000 เหรียญนิรันดร์ ซึ่งยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์มีมูลค่าสูงกว่านั้น 100 เท่า


พูดอีกอย่างก็คือ สิ่งที่เขาเพิ่งได้รับมามีมูลค่ากว่า 40 ล้านเหรียญนิรันดร์…


ตอนที่ 2100 เรื่องนี้ไม่น่าเป็นไปได้!

แม้แต่หยดน้ำสีเงินที่แสนจะหายากก็มีราคาเพียง 5 ล้านเหรียญนิรันดร์เท่านั้น!


จางเซวียนถอนจิตใต้สำนึกออกจากหอนิรันดร์และนำยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ของเขาออกมา เขาเปิดจุกขวดหยกใบหนึ่งและถอนหายใจด้วยความยำเกรงเมื่อรู้สึกได้ถึงพลังจิตวิญญาณมหาศาลที่อยู่ในยาแต่ละเม็ด


แม้ด้วยระดับวรยุทธในปัจจุบันของเขา ยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ก็ยังมีประโยชน์มาก


ขอแค่เราพบเทคนิควรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ดีๆสักเทคนิคหนึ่ง ก็คงฝ่าด่านวรยุทธโดยใช้ยาเม็ดเหล่านี้ได้


พละกำลังของเขาในเวลานี้เทียบเท่ากับนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์โดยทั่วไป หยดเลือดของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์จึงไม่มีประโยชน์กับเขามากนัก จางเซวียนครุ่นคิดหนักว่าทำอย่างไรจึงจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้


แต่เมื่อมียาเม็ดเหล่านี้ในมือ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนั้นอีก!


จางเซวียนยืดหลังบิดขี้เกียจก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นยืน เขาเหลียวมองรอบตัวอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“เอาเถอะ มันอาจไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้…” เขาพึมพำอย่างโล่งอก จากนั้นก็พยักหน้าด้วยความมั่นอกมั่นใจและหันหลังกลับเพื่อมุ่งหน้าสู่ตำหนักคว้าดาว


แต่ทันใดนั้น มิติที่อยู่โดยรอบก็เริ่มบิดเบี้ยว แสงแดดเจิดจ้าดูจะหายไปจากท้องฟ้า ผลักเขาเข้าสู่ โลกของความมืดมิดที่เต็มไปด้วยดวงดาว


ฟึ่บ!


ชายชราคนหนึ่งปรากฏตัวตรงหน้า


อีกฝ่ายดูมีอายุราว 50-60 ปี สวมเสื้อคลุมสีเทาแบบเรียบง่าย เพียงแค่ยืนนิ่งอยู่กับที่ เขาก็ดูเหมือน ปีศาจที่อยู่ภายใต้ความมืดมิดยามค่ำคืน ทำให้ผู้พบเห็นหวาดกลัวจนจับขั้วหัวใจ


“คุณมาจากหอเทพเจ้าหรือ?” จางเซวียนหรี่ตา


แบบนี้ไม่ดีแน่ การที่ชายชราผู้ทรงพลังมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ที่สำคัญกว่าก็คือความจริงที่ว่าชายชราปรากฏตัวขึ้นทันทีหลังจากที่เขาใช้ตราสัญลักษณ์ของปรมาจารย์ขงในหอนิรันดร์


พูดอีกอย่างก็คือ ตราสัญลักษณ์ที่ปรมาจารย์ขงมอบให้เขาทำหน้าที่เหมือน GPS ที่ส่งข้อมูลให้หอเทพเจ้ารับรู้!


เท่าที่เขาได้ฟังจากหานเจี้ยนชิว ดูเหมือนปรมาจารย์ขงมอบตราสัญลักษณ์นี้ให้หานเจี้ยนชิวด้วยมือของเขาเอง โอกาสที่ใครจะได้แตะต้องมันจึงมีน้อยมาก หรือว่าครูบาอาจารย์ของโลกผู้นี้สมรู้ร่วมคิดกับหอเทพเจ้า?


หรือเป็นแค่การเข้าใจผิด?


จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่และส่ายหน้า


ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร ก็ถือว่าดีที่เขาค้นพบเรื่องนี้ อย่างน้อยที่สุดก็จะได้รู้ว่าต่อไปต้องระมัดระวังตัวจากใคร


จางเซวียนหันกลับไปมองชายชราขณะขับเคลื่อนพลังปราณของเขาอย่างดุเดือด


จางเซวียนต้องประหลาดใจที่แม้วรยุทธระดับตัวเขาก็ไม่อาจหยั่งถึงวรยุทธอันล้ำลึกของชายชรา


ถึงตอนนี้ นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาเคยพบก็คือหานเจี้ยนชิว ฟู่เฉิงสื่อ และชายวัยกลางคน แต่ชายชราที่อยู่ตรงหน้าอยู่คนละระดับกับคนเหล่านั้นอย่างสิ้นเชิง


รังสีที่เขาแผ่ออกมาดูจะกลืนกินโลกได้ทั้งใบ ความมืดมิดที่โอบล้อมพวกเขาอยู่เป็นผลจากรังสีของชายชราที่กลืนกินแสงสว่างในบริเวณนั้น ดูราวกับว่าจะไม่มีทางหนีพ้นจากเขาได้เลย


“ทำให้อสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ยอมจำนนได้ถึง 4 ตัว ทั้งยังสังหารฟู่เฉิงสื่อกับหยิงเฉินด้วย ไม่แปลกใจแล้วที่นายท่านให้ความสำคัญกับคุณมาก ถึงขนาดเลือกผลักดันผมให้มารับมือกับคุณ” ชายชราตั้งข้อสังเกต “ช่างเหนือจินตนาการจริงๆที่คุณมาได้ไกลขนาดนี้ภายในเวลาเพียง 10 วัน แม้แต่ตัวผม กว่าจะจับตัวคุณได้ก็แสนยาก”


“คุณรู้ว่าผมคือผู้สังหารฟู่เฉิงสื่อกับชายวัยกลางคน” จางเซวียนตัวแข็งขึ้นมาเล็กน้อย


ดูเหมือนหยิงเฉินจะเป็นชื่อของชายวัยกลางคนจากหอเทพเจ้าที่เล่นงานเจียงเหยาในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย


แต่เขาอยู่ในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายตอนที่สังหาร 2 คนนั่น และสกัดกั้นพื้นที่โดยรอบไว้อย่างดีเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครแอบส่งข้อความออกไปถึงหอเทพเจ้าได้ แล้วทำไมชายชราผู้นี้ถึงรู้เรื่องทั้งหมด?


ที่สำคัญกว่านั้น ไม่มีใครรู้ว่าเขามีอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เป็นของตัวเองถึง 4 ตัวนอกจากเจียงเหยา


การที่เขาทำให้เต่าหลังดำยอมจำนนได้ในนามของหลิวหยางคงไม่ได้ทำให้หอเทพเจ้าเกิดความระแวงในตัวเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวงหรอกนะ?


เรื่องนี้ไม่น่าเป็นไปได้!


เขาไม่คิดว่าจะปกปิดเรื่องนี้ไว้ได้ตลอดไป แต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะมีใครล่วงรู้ได้รวดเร็วขนาดนี้!


“ไม่มีอะไรที่หอเทพเจ้าไม่รู้” ชายชราตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่ “มากับผม คุณอาจมีอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ถึง 4 ตัวและของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ แต่คุณสู้ผมไม่ได้หรอก”


“ผมจะรู้ได้อย่างไรถ้าไม่ลอง?” จางเซวียนคำราม


เขาสะบัดข้อมือ นำเต่าหลังดำกับฉลามสามพี่น้องออกมา ทั้ง 4 พุ่งเข้าใส่ชายชราอย่างโกรธเกรี้ยว จากนั้นจางเซวียนก็เสริมกำลังการโจมตีด้วยของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์และดาบระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์อีก 10 เล่ม เขาใช้ของเหล่านี้ตรงเข้าเล่นงานชายชรา


พละกำลังมหาศาลที่เกิดขึ้นแทบจะทำให้ดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้าร่วงลงมา แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ไม่ว่าพวกนั้นจะตรงเข้าเล่นงานหนักหน่วงแค่ไหน ก็ไม่อาจเข้าถึงตัวชายชราได้ ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว แต่ช่องว่างเล็กๆนี้ดูเหมือนอยู่ไกลกันคนละโลก


จางเซวียนหรี่ตา ผืนทรายแห่งมิติ?


เขาเคยเจอสถานการณ์แบบนี้เมื่อตอนอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ ในครั้งนั้น มิติแปรสภาพกลายเป็นผืนทราย ถึงขนาดที่ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวเร็วแค่ไหนก็ไม่คืบหน้าเลยสักนิด


หรือว่าชายชราเข้าถึงความสามารถแบบนั้นด้วย?


การระเบิดมิติที่อยู่ตรงหน้าเขาให้กลายเป็นผุยผงทำให้ผู้ที่ก้าวเข้ามารู้สึกเหมือนกำลังเหยียบทรายดูด แม้จะทรงพลังแค่ไหน ก็ขยับตัวไม่ได้สักนิ้ว


จางเซวียนตาโต ไม่ล่ะ นี่ไม่ใช่แล้ว…มันไม่ใช่ผืนทรายแห่งมิติ เรารู้สึกเหมือนกับว่าท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวคือบริวารของเขา ผู้ที่ก้าวเข้ามาในมิติแห่งนี้จะต้องทำตามกฎเกณฑ์ที่เขาสร้างขึ้น ใครก็ตามที่อ่อนแอกว่าจะไม่มีทางเข้าถึงตัวเขาได้เลย เว้นเสียแต่เขาจะอนุญาต!


ต่อให้ผืนทรายแห่งมิติก็ไม่อาจยับยั้งการเคลื่อนไหวของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้ ขอแค่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ปลดปล่อยพลังงานของพวกเขาออกมา ทรายดูดก็จะถูกกำจัดไป


แต่การที่เต่าหลังดำกับฉลามสามพี่น้องไม่อาจเล่นงานอีกฝ่ายได้บ่งบอกว่าฝ่ายตรงข้ามมีพละกำลังมากกว่า


ดูๆไป ชายชราน่าจะกำลังใช้ความสามารถที่เหมือนกับกฎเกณฑ์ของโลกของปรมาจารย์ขง


พูดอีกอย่างก็คือ ทุกคนที่พลัดหลงเข้ามาในมิติแห่งนี้จะต้องทำตามกฎเกณฑ์ของเขา แล้วจางเซวียนจะเอาชนะการต่อสู้แบบนี้ได้อย่างไร?


ในตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งรู้ตัวว่าประเมินความเก่งกาจของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ต่ำไปอีกครั้ง


จางเซวียนเคาะกระสอบอสูรและถามว่า “ไก่น้อย ตอนนี้แกยังตายอยู่หรือ?”


ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยที่อยู่ในกระสอบอสูรของเขาเป็นความหวังยิ่งใหญ่ที่สุดที่จะช่วยพลิกผันสถานการณ์ แม้มันจะทำตัวไว้ใจไม่ค่อยได้จนน่ากลัว แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีพละกำลังที่สร้างปาฏิหาริย์ได้อยู่เนืองๆ


ไก่น้อยยังคงแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่ในกระสอบอสูร ไม่มีปฏิกิริยาต่อเสียงเรียกของเขา


ตั้งแต่มันกลืนกินโลหิตเทพเจ้าที่ทะเลว่างเปล่า ก็เงียบกริบและแน่นิ่งมาตลอด


รู้ดีว่าคงทำอะไรไม่ได้ จางเซวียนได้แต่กัดฟันอย่างหงุดหงิด


เราคงต้องพึ่งตัวเองไปก่อนจนกว่าเจ้านั่นจะออกมา จางเซวียนคิดขณะประเมินชายชราที่อยู่ตรงหน้า


อีกฝ่ายยืนนิ่งอยู่กับที่พร้อมกับยิ้มน้อยๆ ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว จางเซวียนรู้สึกเหมือนเขากำลังมองภาพวาด


แม้อีกฝ่ายจะไม่เคลื่อนไหว แต่อสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ทั้ง 4 และกำลังเสริมอื่นๆของเขาก็เข้าไม่ถึงตัวชายชราเช่นกัน


“เสียเวลาเปล่า ในมิติแห่งนี้น่ะ ต่อให้คุณเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ คุณก็ทำอะไรผมไม่ได้หรอก” ชายชราเปรยขณะยกมือขึ้นโบก


พลั่ก!


เต่าหลังดำกับอสูรตัวอื่นๆลอยละลิ่วไปกระแทกกับผิวหน้าของมหาสมุทร พวกมันพยายามตั้งตัวและลุกขึ้น แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง มันรู้สึกราวกับโลกทั้งโลกถล่มทับ ทำให้ขยับตัวไม่ได้


หลังจากเล่นงานอสูรทั้ง 4 แล้ว ชายชราก็ยกมือขึ้นอีกครั้ง แล้วโซ่โลหะที่มีวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ก็ลอยเข้าสู่มือของเขา “ผมจะเอามันไปด้วย”


ทันทีที่มือของชายชราแตะโซ่โลหะ จางเซวียนเลิกคิ้ว “จัดการ!”


ศพที่มีวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ 2 ศพตรงเข้าประกบหน้าหลังชายชรา


บึ้มมมม! บึ้มมมม!


เสียงระเบิดดังสนั่นดังขึ้น 2 ครั้งพร้อมกัน ทำให้บริเวณนั้นถูกฉีกกระชากเพราะคลื่นความสั่นสะเทือน ราวกับผืนผ้าสีดำที่ห่อหุ้มท้องฟ้าไว้ถูกกระชากออกอย่างแรง รอยแยกมากมายปรากฏบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว


ชายชรานึกไม่ถึงว่าจางเซวียนจะโหดเหี้ยมถึงขนาดขัดเกลาศพที่มีวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ 2 ศพและระเบิดพวกมันใส่เขาโดยปราศจากความลังเล ยิ่งไปกว่านั้น ยังใช้ของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เป็นเหยื่อล่อให้เขาไม่ทันระวังตัวด้วย…


จากความรุนแรงของการระเบิดเมื่อครู่ เป็นไปได้ว่าของล้ำค่าชิ้นนั้นน่าจะได้รับความบอบช้ำรุนแรงจนเสียหายอย่างถาวร


อันที่จริง ถ้าไม่ใช่เพราะดินแดนแห่งนี้ปกป้องเขาไว้ แรงระเบิดคงทำให้เขาเสียชีวิตไปแล้ว


ชายชรานัยน์ตาแดงก่ำด้วยฤทธิ์โทสะ เขาตวาดก้องด้วยแววตาที่เป็นประกายโหดเหี้ยม “คุณมันเจ้าหนุ่มอวดดี ผมไว้ชีวิตคุณแล้ว แต่คุณก็ทดสอบความอดทนของผมอยู่นั่น ใช่ไหม?”


“ทั้งที่เป็นแค่หนังหุ้มกระดูกแก่ๆ แต่ผมก็ต้องยอมรับว่าคุณน่ะทนทายาดเหมือนแมลงสาบ” จางเซวียนคำรามโต้


เขาหลอมศพของฟู่เฉิงสื่อกับชายวัยกลางคนให้เป็นหุ่นโลหะไร้วิญญาณ คิดว่าลำพังหุ่น 2 ตัวนี้ก็คงเป็นไม้ตายที่รุนแรงพอจะใช้ตอบโต้หอเทพเจ้าแล้ว ซึ่งก็โชคดีเหลือหลายที่เขาทำแบบนั้น


เขายังสงสัยอยู่ว่าจะส่งหุ่น 2 ตัวนี้เข้าประชิดชายชราได้อย่างไร ซึ่งหลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ลงท้ายก็ตัดสินใจใช้โซ่โลหะเป็นเหยื่อล่อ


โซ่โลหะเป็นของล้ำค่าระดับกึ่งสรวงสวรรค์ที่หายากมาก มันปรับเปลี่ยนรูปแบบของตัวเองได้ ทำให้มีความยืดหยุ่นและเหมาะกับการต่อสู้ จางเซวียนมั่นใจว่าชายชราจะต้องอยากครอบครองโซ่เส้นนั้น และนั่นจะเป็นโอกาสเหมาะสมที่สุดที่เขาจะเข้าโจมตี


เขาจึงสร้างมิติลี้ลับเล็กๆขึ้นที่บริเวณด้านหน้าและด้านหลังของโซ่โลหะ และใส่หุ่นโลหะไร้วิญญาณทั้ง 2 ตัวไว้ข้างใน ซึ่งก็เป็นไปตามคาด มันทำงานได้ดี


เพียงแต่เขาไม่คิดว่าชายชราจะทรงพลังถึงขนาดเอาชีวิตรอดจากแรงระเบิดของหุ่นโลหะไร้วิญญาณทั้ง 2 ตัวได้ทั้งที่อยู่ใกล้ขนาดนั้น


ไม่แปลกใจแล้วที่คราวนี้หอเทพเจ้าส่งคนมารับมือกับเขาเพียงคนเดียว เห็นได้ชัดว่าพวกนั้นรู้ว่า การส่งนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์โดยทั่วไปมาเล่นงานเขาย่อมไม่ได้ผล จึงตัดสินใจส่งนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดมา


โชคดีที่เขาไม่ได้วางใจ แถมยังเตรียมการล่วงหน้าไว้อย่างดี ไม่อย่างนั้นคงต้องจนมุมแน่


ตอนที่ 2101 วรยุทธของคุณ…

“คุณมันไอ้ชั่วร้าย ผมจะฆ่าคุณ!”


ชายชราพุ่งเข้าใส่จางเซวียน แต่ทันทีที่เขาเคลื่อนไหว มิติที่อยู่โดยรอบก็บิดเบี้ยวอีกครั้ง หมอกดำ กระจายตัวปกคลุมทุกหนแห่ง


หมอกนั้นดูคล้ายกับควันที่ลอยโขมงขึ้นจากปล่องภูเขาไฟ แรงระเบิดเมื่อครู่ทำให้เกิดรอยแยกในมิติที่เป็นดินแดนของชายชรา ทำให้หมอกสีดำเล็ดลอดเข้ามาได้


“คุณคิดว่าค่ายกลกักกันระดับนี้จะยับยั้งผมได้หรือ?” ชายชราคำราม “คุณสบประมาทผมเสียแล้วล่ะ เจ้าหนุ่ม, สิ่งนี้ไม่มีความหมายอะไรเลย ผมจะฆ่าอสูรทั้ง 4 ตัวของคุณและลากคุณไปอยู่ตรงหน้านายท่านของผมให้ได้!”


บึ้มมมม!


พลังจิตวิญญาณที่อยู่โดยรอบพุ่งเข้าใส่ร่างของชายชรา อาการบาดเจ็บของเขาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนชายชราจะใช้ศาสตร์ลับบางอย่างที่ทำให้เยียวยาตัวเองได้อย่างรวดเร็ว


“ความสามารถในการเยียวยาของคุณช่างเหนือชั้น ผมประทับใจนะ นายท่านของคุณคงแข็งแกร่งกว่านี้มาก แต่คุณไม่คิดว่ามันไร้เดียงสาไปหน่อยหรือที่จะเหมาว่าสิ่งนี้เป็นค่ายกลกักกันทั่วๆไป” จางเซวียนหัวเราะหึๆขณะเฝ้ามองทีท่าของชายชราด้วยอาการสุขุม


“มันไม่ใช่หรือไง?” ชายชราชะงัก พริบตาต่อมาเขาก็ตาค้าง ตัวสั่นด้วยความไม่อยากเชื่อ “คงไม่ใช่ว่าคุณนำบรรยากาศของการเสื่อมถอยออกจากเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายและถ่ายทอดมันเข้าไปในค่ายกลหรอกนะ? คุณ เป็นบ้าไปแล้ว!”


“ผมรู้ว่าผมต้องใช้วิธีการพิเศษถึงจะเล่นงานแมลงสาบทนทายาดอย่างคุณได้ ถ้าคุณไม่ได้รับบาดเจ็บ บรรยากาศของการเสื่อมถอยก็ไม่อาจทำอันตรายใดๆ อันที่จริง ผมเชื่อว่าคุณน่าจะมีวิธีระงับบรรยากาศของการเสื่อมถอยและป้องกันไม่ให้มันซึมซาบเข้าสู่ร่างกายของคุณได้นะ…”


“แต่น่าเสียดาย คุณกระเหี้ยนกระหือรือจะจับตัวผมเสียจนละเลยสภาพแวดล้อมโดยรอบ การซึมซับพลังจิตวิญญาณอย่างบ้าคลั่งทำให้คุณเยียวยาอาการบาดเจ็บได้เร็วก็จริง แต่นั่นก็เป็นสาเหตุให้คุณซึมซับบรรยากาศของการเสื่อมถอยปริมาณมากเข้าสู่ร่างกายโดยไม่ได้ตั้งใจด้วย ผมอยากรู้เหลือเกินว่าคุณจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหนหลังจากถูกพิษรุนแรงแบบนี้” จางเซวียนคำราม


บรรยากาศของการเสื่อมถอยมีฤทธิ์รุนแรงร้ายกาจขนาดนี้ เขาจะไม่นำมันมาใช้เป็นอาวุธได้อย่างไร?


โดยส่วนใหญ่ นักรบอมตะขั้นสูงขึ้นไปมักมีความสามารถในการปัดป้องบรรยากาศของการเสื่อมถอยออกไปได้ อานุภาพของมันจึงลดน้อยถอยลงมากหากเขาใช้มันตรงๆ จางเซวียนรู้ดีว่าเขาต้องหาวิธีทำให้ชายชราได้รับบาดเจ็บสาหัสเสียก่อนถึงจะใช้มันได้


หรืออย่างน้อย ถ้าเขาบีบให้ชายชราตกอยู่ในสภาพที่ต้องรับเอาบรรยากาศของการเสื่อมถอยเข้าไป ก็เป็นอันจบสิ้นชะตากรรมของอีกฝ่าย


พลั่ก!


ชายชรากระอักเลือดสีดำออกมาติดๆกันสามกองใหญ่ ขณะร่างสั่นสะท้านไม่หยุด เขารู้สึกเหมือนศีรษะกำลังจะระเบิด


เขามาที่นี่ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าจะปฏิบัติภารกิจได้สำเร็จ ไม่มีทางล้มเหลว เขารู้ว่าชายหนุ่มคนนี้ฉลาดเฉลียว แต่ไม่คิดว่าสติปัญญาของอีกฝ่ายจะอยู่เหนือพละกำลังของเขา ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะพบจุดจบแบบนี้!


ซรืดดดดดด!


ขณะที่บรรยากาศของการเสื่อมถอยไหลเวียนทั่วร่างของชายชรา อวัยวะภายในของเขาก็ถูกกัดกร่อนเสียหายไปเรื่อยๆ การมองเห็นค่อยๆพร่าเลือน ร่างกายเริ่มโงนเงน ดูเหมือนเขาพร้อมหมดสติได้ทุกเมื่อ


“ผมประเมินคุณต่ำไป แต่ถึงผมทำร้ายคุณไม่ได้ คุณก็ฆ่าผมไม่ได้เหมือนกัน ฝากไว้ก่อนเถอะ!”


รู้ดีว่าภารกิจครั้งนี้ล้มเหลว ชายชรากัดฟันและบินหนี ด้วยสภาพแบบนี้ ความหวังเดียวของเขาคือรีบกลับสู่หอเทพเจ้าและขอความช่วยเหลือจากนายท่านให้ช่วยกำจัดบรรยากาศของการเสื่อมถอยที่อยู่ในตัวออกไป


ไม่อย่างนั้น ภายในไม่ถึง 1 ชั่วโมง เขาจะต้องกลายเป็นศพสีดำสนิท


“คุณคิดว่าผมลงทุนเตรียมการขนาดนี้เพียงเพื่อปล่อยให้คุณหนีไปในวินาทีสุดท้ายหรือ?”จางเซวียนหัวเราะกับตัวเอง “สายไปแล้วล่ะที่คุณจะคิดหนี!”


ฟิ้วววว!


ง้าวเล่มหนึ่งพุ่งลงมาจากกลางอากาศ ตรงเข้าใส่ศีรษะของชายชรา ด้วยความตกใจ ชายชราพยายามหลบ แต่ช้าไป


ง้าวพุ่งเข้าปักหัวไหล่ของเขา ทำให้เขาหยุดกึก


ง้าวเล่มนี้คือของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์สำหรับการโจมตีที่เขาได้มาจากชายวัยกลางคน แน่นอนว่าเขาไม่ลืมที่จะทำให้มันยอมจำนนระหว่างการเดินทางมาที่นี่ และเหตุผลเดียวที่เขาไม่ได้นำมันออกมาจนถึงตอนนี้ก็เพราะวางแผนจะใช้มันเล่นงานศัตรูหากอีกฝ่ายพยายามหลบหนี


ถ้าชายชราอยู่ในสภาพเต็มร้อย การโจมตีของเขาไม่มีทางได้ผล แต่อาการบาดเจ็บสาหัสและการกัดกร่อนของบรรยากาศของการเสื่อมสลายได้ลดทอนประสิทธิภาพการต่อสู้ของชายชราลงจนเหลือไม่ถึงหนึ่งในร้อย แถมชายชรายังพยายามหลบหนีสุดชีวิตด้วย


แม้ชายชราจะหลบเลี่ยงการถูกง้าวแทงศีรษะได้ แต่ง้าวก็ทำให้เขาไม่อาจหลบหนี


ตู้มมมม!


เมื่อต้านทานแรงปะทะของง้าวไม่ไหว ชายชราร่วงลงไปในน้ำ ทำให้น้ำกระเซ็นเป็นลำสูงขึ้นกลางอากาศ


เห็นภาพนั้น เต่าหลังดำกับฉลามสามพี่น้องออกปฏิบัติการทันที มหาสมุทรคือสนามรบของพวกมัน และศักดิ์ศรีของพวกมันคือการไม่ปล่อยให้มนุษย์หน้าไหนเข้ามารุกล้ำ


พื้นน้ำปั่นป่วนขึ้นมาทันที กระแสคลื่นเกรี้ยวกราดถาโถมเข้าใส่ลูกแล้วลูกเล่า


2-3 อึดใจต่อมา ชายชราที่อยู่ในสภาพร่อแร่ก็ถูกฉลามหมายเลข 1 ลากขึ้นจากผิวน้ำ


ถ้าวิธีการของจางเซวียนทำลายพละกำลังของชายชราไปได้ 90% การตีวงล้อมของอสูรทั้ง 4 ก็ทำลายอีก 90 เปอร์เซ็นต์ของพละกำลัง 10 เปอร์เซ็นต์ที่เหลืออยู่


ถ้าไม่ใช่เพราะจิตใจที่มั่นคงแข็งแกร่งของชายชรา เขาคงอยู่ในภาวะโคม่าเพราะความบอบช้ำมากมายที่ได้รับ


จางเซวียนเผชิญหน้ากับชายชราที่แน่นิ่งไปเพราะอสูรทั้ง 4 เขาจ้องชายชราเขม็งและตั้งคำถาม “ใครเป็นเจ้านายของคุณ? ทำไมถึงพยายามฆ่าผม?”


เขากำลังใช้วิถีทางของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณเพื่อสอบสวนชายชรา การล่อลวงจิตใต้สำนึกของคนๆหนึ่งให้สับสนมีโอกาสทำให้ผู้นั้นเผยความลับในส่วนลึกที่สุดออกมาได้


เพียงแต่เขาไม่ค่อยเต็มใจจะใช้วิธีการเหล่านี้


“ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมนายท่านถึงอยากจับตัวคุณนัก ความเก่งกาจของคุณจัดว่าไร้เทียมทานจริงๆ” ชายชราตอบอย่างสุขุม ไม่สะทกสะท้านกับวิธีการของจางเซวียน “ผู้ชนะย่อมได้ทุกอย่าง ในเมื่อผมแพ้ ชะตากรรมเดียวที่รอคอยผมอยู่ก็คือความตาย คุณอย่าได้ฝันเลยว่าจะเค้นข้อมูลใดๆออกจากปากผมได้…”


“เวรละ! ถอย!”


ยังไม่ทันที่ชายชราจะพูดจบ จางเซวียนหรี่ตาด้วยความพรั่นพรึง เขารีบดึงอสูรทั้ง 4 มาและดำดิ่งลงสู่ก้นมหาสมุทร


บึ้มมมมม!


2-3 อึดใจต่อมาก็เกิดการระเบิดหนักหน่วง เสียงของมันดังสนั่นจนหนวกหู แรงกดดันมหาศาลและคลื่นความร้อนที่มีอานุภาพทำลายล้างกระจายไปทั่วทะเลพลัดดาว พร้อมจะทำลายทุกอย่าง


เมฆรูปดอกเห็ดขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นกลางอากาศ น้ำที่อยู่ภายในรัศมีของการระเบิดกระจายวงกว้างออกไปหลายร้อยลี้ เกิดฝนกระหน่ำตามมา


พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!


เลือดกระอักออกจากปากของจางเซวียนกับอสูรทั้ง 4 ใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าพวกเขาจะตั้งตัวได้


เป็นเวลาเพียง 3 อึดใจเท่านั้นนับจากวินาทีที่จางเซวียนรู้ตัวว่าชายชราคิดจะทำอะไรจนถึงวินาทีที่เกิดการระเบิด ด้วยความเร็วอันน่าทึ่งของเผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำที่มีวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ พวกเขาจึงดำดิ่งลงไปได้หลายหมื่นเมตรภายในระยะเวลาอันสั้น


ไม่อย่างนั้น แรงระเบิดคงทำให้จางเซวียนกับอสูรทั้ง 4 แหลกเป็นชิ้นๆ


หากพวกเขายืนอยู่ข้างชายชราตอนที่อีกฝ่ายระเบิดวรยุทธ ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณคงป่นปี้ไม่มีเหลือ!


“แล้วเขายังมีหน้ามาบอกว่าเราเป็นบ้า…” จางเซวียนพึมพำขณะมองหลุมขนาดมหึมาที่ปรากฏบนผิวทะเลซึ่งเป็นผลจากการระเบิด


แม้แต่เต่าหลังดำซึ่งมีประสิทธิภาพเยี่ยมยอดในการป้องกันตัวก็ได้แต่ตัวสั่นเมื่อรู้ตัวว่าเข้าใกล้ความตายมากแค่ไหน


มันรู้มานานแล้วว่าหอเทพเจ้ามีบุคคลอันตรายอยู่มากมาย แต่ใครจะคิดว่าจะเสียสติได้ขนาดนี้?


ปฏิบัติการระเบิดพลีชีพโดยปราศจากความลังเล ลำพังแค่ความตกใจก็ย่นอายุขัยของมันไปหลายปีแล้ว!


น่าสะพรึงจริงๆ!


“เสียดายนะ…” จางเซวียนส่ายหน้า


“เสียดายที่นักรบผู้ทรงพลังอย่างเขาจบไม่สวย…” ฉลามหมายเลข 1 พยักหน้าอย่างเห็นพ้อง


“ไม่ใช่อย่างนั้น ผมเสียดายที่ต้องเสียข้าวของไปมากมายเพื่อปราบเขา แต่แล้วก็ไม่ได้อะไรกลับมาเลย ในโลกนี้จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้อีก?” จางเซวียนบ่นพึม


“….” อสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ทั้ง 4


จางเซวียนทุ่มสุดตัวเพื่อเอาชนะชายชรา เขาใช้หุ่นโลหะไร้วิญญาณขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ 2 ตัวและบรรยากาศของการเสื่อมถอยจนหมด แม้แต่ของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ของเขาก็ได้รับความบอบช้ำสาหัสเพราะแผนการครั้งนี้


เขาเคยคิดว่าอย่างน้อยก็ยังพอคุ้มค่าหากเขาเสียข้าวของเหล่านี้ไปเพื่อจะได้หุ่นโลหะไร้วิญญาณที่ทรงพลังกว่าเดิมมา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรเลย!


พูดให้ง่ายขึ้นก็คือเขาลงทุนหนักในการต่อสู้ครั้งนี้ แต่ไม่มีอะไรกลับคืนมา จึงเป็นธรรมดาที่จะต้องรู้สึกคับอกคับใจ


แต่เมื่อคิดอีกที ในเมื่อคู่ต่อสู้เก่งกาจระดับนี้ ก็ถือว่าโชคดีแล้วที่ยังมีชีวิตอยู่


จางเซวียนกวักมือ แล้วโซ่โลหะขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่พังยับเยินก็ลอยมาหา เขานำซุปไก่ออกมาหลายขวด แล้วราดลงไปบนโซ่โลหะนั้นจนชุ่ม


ซรืดดดดดด!


ไม่ช้าโซ่โลหะก็กลับคืนสู่สภาพเดิม


จางเซวียนรู้อยู่แล้วว่าเขาสามารถทำแบบนี้ได้ ไม่อย่างนั้นคงทําใจได้ยากเต็มทีถ้าจะต้องเสียของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่มีประโยชน์ชิ้นนี้ไป


“กลับกันเถอะ!”


รู้ดีว่าหอเทพเจ้าคงยังไม่ส่งใครมาตามล่าเขาในระยะเวลาอันใกล้นี้หลังจากเสียนักรบผู้ทรงพลังไปคนหนึ่ง จางเซวียนรีบเก็บอสูรทั้ง 4 กลับเข้าไปในกระสอบอสูร เตรียมตัวจะออกจากพื้นที่


ในตอนนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหัว “นายท่าน เมื่อครู่นี้คุณเรียกหาผมใช่ไหม? เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”


ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยเดินเตาะแตะมายืนตรงหน้า ร่างเล็กกระจิ๋วหลิวปวกเปียกของมันโงนเงนไปมา


เห็นภาพนั้น จางเซวียนอยากรี่เข้าไปซ้อมมันอย่างชนิดที่เรียกว่ามันจะไม่มีวันลืม


ตอนที่เขาต้องการความช่วยเหลือของมัน เจ้าไก่น้อยก็เอาแต่หลับอุตุราวกับท่อนไม้ แต่ทันทีที่ศัตรูพ่ายแพ้และทุกอย่างจบสิ้น มันก็โผล่หน้ามาและถามว่าเขาอยากได้ความช่วยเหลือหรือเปล่า ราวกับกำลังเยาะเย้ย!


ถ้าไม่ใช่เพราะจางเซวียนอารมณ์ดีและมีความเป็นไปได้ที่เขาอาจพ่ายแพ้ให้มัน เขาคงซ้อมมันไปนานแล้ว!


“วรยุทธของคุณ…ไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นเลยหรือ?” ฉลามหมายเลข 1 ตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงที่แสดงความสงสัย


จางเซวียนประหลาดใจที่ได้ยินคำถามนั้น เขารีบหันไปมองและเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ


เขาเคยคิดว่าหลังจากที่ไก่น้อยกลืนกินโลหิตเทพเจ้าไปแล้ว ก็น่าจะเติบโตอย่างพรวดพราดและสำเร็จวรยุทธขั้นเดียวกันกับเต่าหลังดำและอสูรตัวอื่นๆ แต่กลับตรงกันข้ามกับที่เขาคาดไว้ มันดูไม่ต่างอะไรจากเดิม ระดับวรยุทธไม่เปลี่ยนแปลง และแม้แต่รูปลักษณ์ภายนอกก็เหมือนเดิมทุกอย่าง ราวกับโลหิตเทพเจ้าไม่ได้ส่งผลอะไรกับมันสักนิด


ว่าแต่…เป็นแบบนั้นได้อย่างไร?


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)