ข้ามกาลบันดาลรัก 209-214.1
ตอนที่ 209 สอบสวนชิวผิงด้วยการทรมาน
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เกิดอารมณ์ ยังคงยิ้มตาหยีพูดว่า “แม่นางชิวผิงเข้มแข็งถึงเพียงนี้ ข้าขอนับถือจากใจจริง หากไม่เพราะจุดยืนไม่ถูกต้อง ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้”
ชิวผิงถ่มน้ำลาย “ถุย” “ไม่ต้องมาเสแสร้งตีหน้าเป็นคนดี หากไม่เพราะเจ้าทำข้าเสียเรื่อง ข้าได้ทำสำเร็จไปแล้ว ตอนนี้ข้าอยากฆ่าเจ้าที่สุด”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงยิ้มพูดด้วยน้ำเสียงเดิม “เมื่อแม่นางชิวผิงเอาแต่ร้องขอความตาย เช่นนั้นข้าจะสงเคราะห์ให้ เพียงแต่ว่ากระบวนการนี้อาจจะทรมานบ้าง เจ้าต้องอดทนเสียหน่อยเล่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่นระริกไปทั้งร่าง ถามอย่างขวัญผวา “เจ้าจะทำอะไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบกริชที่ชิวผิงเพิ่งใช้เมื่อครู่เก็บติดมือมาด้วย ยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อครู่ข้าขอร้องแทนเจ้า ยับยั้งไม่ให้คุณชายเปาตัดนิ้วของเจ้า แต่เจ้ากลับไม่รับน้ำใจ ข้าก็เกรงใจไม่อาจให้คุณชายเปามาอีกครั้งได้ จึงต้องลงมือด้วยตัวเอง” พูดจบ ถือกริชวาดลวดลายไปมาบนนิ้วมือทั้งหมดของชิวผิง ถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร “เห็นแก่ที่พวกเราเป็นผู้หญิงเหมือนกัน ข้าจะให้โอกาสเจ้าเลือก เจ้าพูดมาว่าเจ้าอยากถูกตัดนิ้วมือไหนก่อน”
เห็นนางส่งยิ้มหวานถามคำถามอำมหิตเช่นนี้ บรรดาเจ้าหน้าที่ต่างตัวสั่นขวัญกระเจิง ยิ่งให้รู้สึกหวาดกลัวเมิ่งเชี่ยนโยวจับขั้วหัวใจ ต่างลอบพึมพำกับตัวเอง ต่อไปจะหาเรื่องใครก็ได้แต่ห้ามเป็นแม่นางน้อยเด็ดขาด
ชิวผิงก็หวาดผวาจับขั้วหัวใจ จนฟันสั่นกระทบกัน
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมองนางแวบหนึ่ง วางกริชไว้บนมือที่ยังสมบูรณ์ดีของนาง พูดว่า “ดูก็รู้ว่าคุณชายเปาไม่มีประสบการณ์ อยู่ๆ ก็ตัดนิ้วเจ้าทิ้งทีเดียวสองนิ้วได้อย่างไร ไม่น่าสนุกเลยสักนิด”
พูดจบ ออกแรงกดกริชไปบนนิ้วมือหนึ่งของชิวผิง แล้วบดขยี้เต็มแรง พูดด้วยใบหน้าไม่สะทกสะท้าน “สมควรทำเช่นนี้ ต้องค่อยๆ ตัดทิ้ง”
เมื่อครู่เปาอีฝานลงมือด้วยความคลุ้มคลั่ง กว่าชิวผิงจะรู้สึกเจ็บ นิ้วมือก็ถูกตัดทิ้งไปแล้ว ดังนั้นจึงมีเพียงความเจ็บปวด ไม่มีความหวาดกลัว แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน ชิวผิงวางกริชไว้บนมือนาง ใช้รูปแบบการเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ให้นางเห็นนิ้วมือตัวเองถูกตัดออก ชิวผิงทนรับความน่าหวาดกลัวนี้ไม่ไหว หวีดร้องเสียงหลง “ข้าพูด! ข้าพูด!”
สองพ่อลูกเปาชิงเหอตกตะลึงมองชิวผิงที่ขวัญกระเจิงไปแล้วกับเมิ่งเชี่ยนโยวที่ยังยิ้มหวานไม่เปลี่ยน หันหน้าสบตากัน ต่างก็เห็นความเลื่อมใสในแววตาของกันและกัน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหล่าเจ้าหน้าที่ ต่างยอมศิโรราบให้นางอย่างไร้เงื่อนไขพลัน
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บกริชขึ้น พูดอย่างเสียดาย “เหตุใดแม่นางชิวผิงถึงจะพูดแล้วเล่า เจ้ายืนหยัดอีกประเดี๋ยวก็ไม่ได้ ตั้งแต่ข้าเรียนวิชานี้มายังไม่เคยได้ใช้มาก่อน คิดอยากจะลองกับเจ้าสักครั้ง”
เจ้าหน้าที่เกือบจะหน้าหงาย
ชิวผิงให้ยิ่งสั่นผวา
สองพ่อลูกเปาชิงเหอหันหน้ามองกัน เปาชิงเหอโบกมือพูดกับเจ้าหน้าที่ “ที่นี่ไม่มีธุระของพวกเจ้าแล้ว ออกไปรอรับคำสั่ง เมื่อข้าเรียกพวกเจ้าถึงเข้ามา”
เจ้าหน้าที่ขานรับคำ ต่างทยอยกันออกไป เหลือเพียงเจ้าหน้าที่ที่ไม่ยอมปริปากยืนอยู่ด้านใน
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาใบหน้าสงบนิ่ง ยืนตัวแข็งตรง เห็นก็รู้ว่าได้รับการฝึกฝนมา หรี่หลุบนัยน์ตาลง
หลังจากให้คนทั้งหมดออกไปแล้วเปาชิงเหอก็พูดกับชิวผิง “พูดมา เจ้าเป็นใคร มาจากที่ไหน ใครที่อยู่เบื้องหลังเจ้า พวกเขาให้เจ้าวางยาฮูหยินข้าด้วยมีจุดประสงค์ใด?”
ชิวผิงยังขวัญผวาไม่หาย เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตาหยีมองนาง กลืนน้ำลายอึกใหญ่ แล้วพูดเสียงสั่น “ข้าเป็นเด็กกำพร้า ตอนอายุห้าปีถูกคนพาเข้าไปรับการฝึกในพรรคหนึ่ง ตอนที่อายุสิบปีได้รับคำสั่ง ให้แสร้งทำเป็นพลัดหลงกับพ่อแม่นอนหิวสลบอยู่ข้างทางที่ฮูหยินเปาจะขึ้นเขาไปไหว้เจ้า เพื่อให้ฮูหยินเปารับข้าไปเลี้ยง ให้ข้าคอยอยู่ข้างกายนาง หลังจากนั้นนอกจากจะคอยมีคนติดต่อพวกเราเป็นระยะ ก็ไม่มีภารกิจอื่นใด กระทั่งก่อนหน้านี้หนึ่งเดือน ข้าถึงได้รับคำสั่ง บอกให้ข้าวางยาพิษในอาหารของฮูหยินเปา หลายปีมานี้ฮูหยินดีต่อข้ามาตลอด ในตอนนั้นข้าลังเลใจอยู่เป็นนาน แต่ข้าเคยเห็นวิธีลงทัณฑ์คนของพรรค หากไม่ทำตามที่พวกเขาบอก ข้าคงต้องตายอย่างน่าสังเวช ดังนั้นหลังจากลังเลหลายตลบ ข้าก็ทำตามความต้องการของพวกเขาใส่ยาพิษปริมาณน้อยลงในอาหารของฮูหยิน ต่อมาฮูหยินค่อยๆ ซูบผอมลง กินอาหารไม่ลง ข้าก็นำยาพิษใส่ในยาของนาง สำหรับผู้อยู่เบื้องหลัง ข้าไม่รู้จริงๆ”
“เหตุใดพวกเขาถึงให้เจ้ามาติดตามท่านแม่ข้า? ทั้งตอนนี้ยังให้เจ้าวางยาท่านแม่ข้าอีก?” เปาอีฝานถาม
ชิวผิงส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้ ข้าเคยถามคนติดต่อข้าในอดีต เขาเตือนให้ข้าจัดการเรื่องของตัวเองให้ดีก็พอ สิ่งที่ไม่ควรถามก็อย่าได้ถาม”
เปาชิงเหอคำรามเสียงลั่น “โกหก เจ้าจักต้องรู้จุดประสงค์ของพวกเขา”
ชิวผิงลนลานพูด “ข้าไม่รู้จริงๆ พวกเขาไม่ได้บอกอะไรข้าทั้งนั้น เมื่อข้ายอมรับสารภาพแล้ว ก็ไม่มีทางปิดบังพวกท่านอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มพูด “แม่นางชิวผิง ความอดทนข้ามีจำกัด หากเจ้ายอมรับสารภาพแต่โดยดี ข้าก็จะให้เจ้าได้ไปสบาย ไม่เช่นนั้น ข้าจักไม่พูดดีด้วยเหมือนเมื่อครู่อีก”
คิดถึงท่าทางการตัดนิ้วตัวเองด้วยรอยยิ้มหวานของนาง ชิวผิงตกใจตัวสั่น ร้อนรนพูด “ตอนข้าติดต่อกับพวกเขา ได้ยินพวกเขาพูดโดยบังเอิญว่า วันพรุ่งพวกเขามีงานใหญ่ที่ต้องลงมือในงานแต่งงานของคุณชายเปา ส่วนที่ว่าเป็นอะไรนั้น ข้าไม่รู้จริงๆ”
เห็นนางยังไม่ยอมพูดความจริง เมิ่งเชี่ยนโยวถามจี้ใจดำ “เมื่อเจ้าไม่รู้อะไรสักอย่าง เจ้ารู้จักองครักษ์หลวงได้อย่างไร?”
ได้ยินนางเอ่ยถึงองครักษ์หลวง เจ้าหน้าที่ที่ยืนตัวตรงแข็งมีปฏิกิริยาเล็กน้อย แล้วกลับคืนสู่สภาวะเดิมทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บพฤติกรรมละเอียดอ่อนนี้ของเขาไว้ในแววตา
สองพ่อลูกเปาชิงเหอก็ตะลึงค้างมองนาง
ชิวผิงเริ่มส่อแววตาล่อกแล่ก อึกๆ อักๆ ไม่ยอมพูด
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วยู่ย่น พลันลุกขึ้นยืน ชิวผิงตกใจร้องลั่น “ข้าพูด! ข้าพูด!”
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลง
ชิวผิงพูดว่า “ตอนที่ข้าได้รับภารกิจ หัวหน้าพรรคบอกข้าว่า ใต้เท้าเปาจะต้องมีองครักษ์หลวงคอยพิทักษ์ข้างกาย ให้ข้าคอยเฝ้าสังเกตให้ดี เมื่อพบเบาะแสของพวกเขาให้รีบใช้นกพิราบส่งข่าวแก่เขาทันที แต่ข้าเฝ้าติดตามข้างกายฮูหยินมานานหลายปี วันนี้เพิ่งจะเป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นพวกเขาหนึ่งคนในนั้น ส่วนที่ว่าองครักษ์หลวงมีหน้าที่อะไร ข้าไม่รู้จริงๆ”
สองพ่อลูกเปาชิงเหอเห็นนางไม่รู้ที่มาขององครักษ์หลวง ก็ให้ถอนใจโล่งอกพร้อมกัน เปาชิงเหอเปลี่ยนเรื่องทันควัน “เมื่อเจ้าไม่รู้อะไรเลย พวกเราสืบต่อไปก็ไม่มีความหมายอะไร นี่ก็ดึกมากแล้ว แม่นางเมิ่งสมควรกลับไปพักผ่อนได้แล้ว ส่วนที่เหลือพวกเราจะจัดการกันเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมองสองพ่อลูก ถามขึ้น “เมื่อครู่ชิวผิงก็พูดแล้ว พรุ่งนี้พวกเขาจะมีความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ ท่านใต้เท้าเปาแน่ใจว่าตัวเองจะจัดการได้?”
เปาชิงเหอถูกนางมองจนร้อนตัว หลบสายตานางอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากพูด “ท่านใต้เท้าเปาวางใจ ข้าเพียงอยากช่วยพวกท่านสืบหาผู้บงการเบื้องหลัง สิ่งที่ไม่ควรถามข้าจักไม่ถามเด็ดขาด”
ใบหน้าชราของเปาชิงเหอแดงฝาด
คนทั้งหมดสอบสวนเสร็จเรียบร้อย เปาชิงเหอตะโกนเรียกผู้คุมเข้ามา ให้เขาไปหาคนมาทำแผลให้ชิวผิงแล้วเอาตัวไปขังเดี่ยวในคุก ทั้งกำชับเด็ดขาดว่าห้ามให้เกิดความผิดพลาดใดๆ กับชิวผิง ไม่เช่นนั้น เขาจะเอาเรื่องกับผู้คุมเพียงคนเดียว
ผู้คุมก้มหน้าโค้งคำนับรับปากเต็มปากเต็มคำ แล้วลากชิวผิงออกไป
เจ้าหน้าที่ที่ไม่ยอมปริปากในที่สุดก็เปล่งเสียง “ท่านใต้เท้าเปา เมื่อไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ข้าขอตัวลา”
เปาชิงเหอพยักหน้า
เจ้าหน้าที่หันหลังจากไป
มองดูแผ่นหลังที่จากไปอย่างมั่นคงรวดเร็วราวบินได้ เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่นัยต์ลาลงอีกครั้ง
สองพ่อลูกเปาชิงเหอและเมิ่งเชี่ยนโยวออกมาจากห้องสอบสวน เจ้าหน้าที่ที่ยืนรออยู่ด้านนอกเห็นพวกเขาออกมา ก็รีบลุกขึ้นยืนตัวตรง
เปาชิงเหอสั่งการพวกเขา “ฟ้าใกล้จะสางแล้ว พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนเสียหน่อยเถอะ หลังจากฟ้าสางแล้ว ให้รีบมารวมพลกันที่ศาลาว่าการ จะได้คอยช่วยคุณชายรับขบวนเจ้าสาว”
ทำงานจนดึกดื่น เจ้าหน้าที่ต่างง่วงงุนนานแล้ว ได้ยินคำสั่งเปาชิงเหอ ต่างเดินกอดคอจากไปอย่างดีอกดีใจ
ทั้งสามออกมาจากคุก ก็เดินกลับเข้ามาเรือนด้านหลังศาลาว่าการ
เกิดเรื่องชิวผิงขึ้น บรรดาสาวใช้บ่าวไพร่ในเรือนต่างก็ตัวสั่นงันงก เห็นพวกเขากลับเข้ามา บ่าวรับใช้รักษาการณ์รีบเข้าไปถาม “นายท่าน ท่านจะกลับไปห้องฮูหยินหรือไปห้องหนังสือขอรับ?”
เปาชิงเหอตอบ “พวกเรายังมีธุระต้องไปหารือที่ห้องหนังสือ เจ้าจงไปชงชาหนึ่งกาเข้ามา”
บ่าวรับใช้รับคำแล้วจากไป
ทั้งสามคนเข้ามานั่งภายในห้องหนังสือของเปาชิงเหอ
ตอนเช้าเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งรถม้าเข้ามาสองชั่วยาม พอมาถึงก็ไม่ได้เว้นว่าง ยุ่งวุ่นวายมาถึงตอนนี้ ใบหน้าแสดงออกถึงความอิดโรย
เปาอีฝานเห็นแล้วพูดอย่างรู้สึกผิด “เดิมข้าคิดจะเชิญเจ้ามาร่วมงานแต่งงานอย่างมีความสุขด้วยกัน ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องมากมายเช่นนี้ขึ้น ตอนนี้ยังต้องให้เจ้ามาร่วมหารือด้วย ต้องขออภัยเจ้าจริงๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “อย่าว่าแต่เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ยังมีความสนิทสนิทที่มีกับคุณหนูซุน ข้าย่อมต้องช่วยนางขจัดปัญหาเหล่านี้ ให้ภายหน้านางได้ใช้ชีวิตกับท่านอย่างไม่ต้องเป็นกังวลอีก”
บ่าวรับใช้ยกชาเข้ามา เทให้คนละถ้วยแล้วถอยออกไป งับบานประตู ยืนด้านนอกพร้อมรอรับคำสั่ง
เปาชิงเหอเอ่ยปากพูด “เมื่อชิวผิงพูดว่าพรุ่งนี้พวกเขาจะเคลื่อนไหวใหญ่ ข้าคิดว่าพวกเขาจะต้องลงมือตอนรับตัวเจ้าสาว เช่นนี้แล้ว พรุ่งนี้ตอนรับตัวเจ้าสาว พวกเราควรจะเพิ่มกำลังคุ้มครองซุนฮุ่ยหรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “พรุ่งนี้เป็นวันรับตัวเจ้าสาวของคุณชายเปา คนทั้งอำเภอต่างรู้กันโดยทั่ว วันพรุ่งบนท้องถนนจะต้องมีคนไม่น้อยมาดูความคึกคัก หากพวกเขาลงมือตอนรับตัวเจ้าสาว จะโกลาหลเกินไป หากลงมือไม่สำเร็จ คิดจะหนีก็ยากลำบาก ดังนั้นข้าคิดว่ามีความเป็นไปได้ค่อนข้างน้อยที่พวกเขาจะลงมือตอนรับตัวเจ้าสาว”
เปาอีฝานก็พยักหน้าเห็นพ้อง “เมื่อพวกเขาใช้วิธีวางยาลอบฆ่าท่านแม่ ก็ไม่น่าจะลงมืออย่างเอิกเกริก หรือก็คือพวกเขาจะต้องพาคนมาไม่มาก เช่นนี้พวกเขายิ่งไม่มีทางลงมือตอนรับตัวเจ้าสาว ความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือชิงตัวฮุ่ยเอ๋อร์ตอนที่นางลงจากเกี้ยว ขู่บังคับพวกเรา”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงส่ายหน้า “เมื่อพวกเขาจะไม่ลงมือตอนรับตัวเจ้าสาว เช่นนั้นพวกเขายิ่งไม่มีทางลงมือหน้าประตูศาลาว่าการ คนของพวกเราอยู่รอบศาลาว่าการ คนฉลาดไม่มีทางเลือกลงมือในตอนนี้”
เปาอีฝานขมวดคิ้วมุ่น “หรือพวกเขาคิดจะลงมือตอนที่พวกเรากราบไหว้ฟ้าดิน?”
เปาอีฝานขบคิดแล้วพูดขึ้น “ไม่น่าจะเป็นตอนกราบไหว้ฟ้าดิน ข้าเดาว่า พวกเขาน่าจะลงมือหลังจากกราบไหว้ฟ้าดินเสร็จ ทุกคนกินดื่มข้าวปลาอาหาร”
เปาชิงเหอไม่เห็นด้วย “พรุ่งนี้จะมีแขกเหรื่อมากมาย อีกทั้งเจ้าใหญ่นายโตจากทั่วทุกสารทิศ พาเด็กรับใช้ บ่าวไพร่มาก็ไม่น้อย หากพวกเขาลงมือตอนนั้น จักต้องเกิดความโกลาหล พวกเขายิ่งไม่อาจทำได้สำเร็จ”
“เช่นนั้นก็มีแต่ตอนกลางคืนแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “เหน็ดเหนื่อยมาหลายวัน คนล้าม้าเพลีย คืนวันพรุ่งนี้ในที่สุดทุกคนจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ มีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะฉวยโอกาสลงมือตอนนั้น”
เปาอีฝานพยักหน้าสนับสนุน “คืนวันพรุ่งนี้เป็นโอกาสลงมือที่ดีโดยแท้”
เปาชิงเหอพูดว่า “ต่อให้พวกเราคาดเดาว่าพวกเขาจะลงมือในคืนวันพรุ่งนี้ ตอนกลางวันพวกเราก็จะผ่อนคลายความระแวดระวังไม่ได้ ต้องให้เจ้าหน้าที่คอยเฝ้าสังเกตว่ามีคนน่าสงสัยเข้ามาวนเวียนละแวกใกล้เคียงหรือไม่ ยังต้องให้พวกเขาเฝ้าจับตาดูคนที่มาตั้งแผงลอยด้านนอก หากมีความเคลื่อนไหวใด ให้รีบส่งสัญญาณทันที พวกเราจะได้เตรียมการรับมือได้ทันท่วงที”
เปาอีฝานพยักหน้า “ทราบแล้ว ท่านพ่อ”
เปาชิงเหอพูดอีกว่า “เช่นนั้นพวกเรามาหารือว่าคืนพรุ่งนี้จะรับมือพวกเขาอย่างไรเถิด?”
“ข้าเพิ่งจะเกิดข้อสงสัยหนึ่ง” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “เหตุใดพวกเขาถึงไม่สังหารท่านป้าโดยทันที แต่กลับวางยาพิษอ่อนๆ ให้นาง เพียงเพื่อมิให้ชิวผิงถูกจับได้เท่านั้นหรือ?”
ได้ฟังวาจานาง เปาอีฝานก็ขมวดคิ้วย่นยู่ ถามขึ้นทันที “ความหมายของแม่นางเมิ่งคือพวกเขายังมีเป้าประสงค์อื่น”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “จุดหมายที่แท้จริงของพวกเขาน่าจะใช้อาการป่วยหนักของท่านป้า ให้คุณชายเปาเร่งจัดงานแต่งงาน แล้วใช้โอกาสนี้ลงมือกับพวกท่าน หากเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่ต้องพาคนมามาก เพียงสิบคนก็เพียงพอแล้ว เพราะในคืนพรุ่งนี้ภายในเรือนจะเหลือเพียงพวกท่านทั้งครอบครัวและสาวใช้บ่าวรับใช้อีกไม่กี่คน ทว่าพวกเขาก็น่าจะรู้ว่าคุณชายเปามีวรยุทธ์ หากไม่ใช้วิธีต่ำช้า คนที่พวกเขานำมาก็จะต้องมีวรยุทธ์สูง ดังนั้นคืนวันพรุ่งนี้มีเพียงคุณชายเปาคนเดียวและเหล่าเจ้าหน้าที่รักษาการณ์ไม่มีทางรับมือพวกเขาได้ อีกทั้งอาจจะต้องเสียชีวิตพวกเขาไปเปล่าก็เป็นได้”
เปาชิงเหอตกตะลึง “แม่นางหมายความว่าพวกเขาต้องการชีวิตพวกเราทั้งครอบครัว?”
ตอนที่ 210 เปาอีฝานที่ไม่เดินตามแผน
“มีความเป็นไปได้สองแบบ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “แบบที่หนึ่งพวกเขาฆ่าสาวใช้และบ่าวรับใช้ แล้วลอบลักพาตัวพวกท่านไปทั้งครอบครัว ส่วนอีกแบบหนึ่งคือพวกเขาฆ่าล้างพวกท่านหมดทั้งศาลาว่าการ”
เปาชิงเหอตะลึงงัน “อย่างไรข้าก็เป็นบิดาแห่งประชาราษฎร์ ใครกันที่บังอาจเ**้ยมหาญ กล้ากระทำเรื่องเช่นนี้ได้?”
เมิ่งเชี่ยนโยววิเคราะห์ “เช่นนั้นท่านใต้เท้าเปาคงต้องคิดให้ดีแล้ว เจ็ดปีก่อนพวกเขาก็เริ่มส่งชิวผิงมาดักซุ่มอยู่ข้างกายพวกท่าน จักต้องไม่ใช่คนธรรมดาที่ท่านไปล่วงเกินเข้า น่าจะเชื่อมโยงท่านไปถึงเรื่องใหญ่บางอย่าง พวกเขาถึงคิดจะอาศัยเรื่องที่ท่านทำเป็นทางผ่าน เพื่อควานหาเบาะแส ตอนนี้ไม่ว่าพวกเขาต้องการจะลอบลักพาตัวพวกท่าน หรือฆ่าพวกท่านทิ้ง คงเพราะเรื่องที่เกี่ยวโยงกันมีเค้าลางแล้ว หรือไม่พวกเขาก็แน่ใจเรื่องบางอย่างแล้ว กลัวว่าจากนี้ไปการมีอยู่ของท่านจะขัดขวางพวกเขา ถึงได้เกิดแผนการนี้ และเลือกที่จะลงมือตอนกลางคืน แม้ฟ้าสางแล้ว มีคนสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ ก็ไม่ทันการ พวกเขาต่างหายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว”
สิ้นเสียงนาง เปาชิงเหอหรี่นัยน์ตาลง
สีหน้าเปาอีฝานเริ่มมีอาการปรวนแปร
สองพ่อลูกหันสบตากัน คล้ายว่าจะคิดอะไรขึ้นได้พร้อมกัน ขมวดคิ้วแน่น
เมิ่งเชี่ยนโยวลอบสังเกตความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าอาการของพวกเขา
อึดใจหนึ่งเปาชิงเหอถึงพูดว่า “หากเป็นอย่างที่แม่นางพูดจริงๆ เช่นนั้นก็ยิ่งไม่ควรทิ้งเจ้าหน้าที่ไว้ในศาลาว่าการ ให้พวกเขาต้องเสี่ยงเสียชีวิตไปโดยเปล่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดอะไร พลันลุกขึ้นยืนพูดว่า “เรื่องรายละเอียดการเตรียมการ ท่านใต้เท้าเปาปรึกษากับคุณชายเปาเถิด ข้าคงช่วยอะไรไม่ได้มาก ขอตัวกลับไปพักผ่อนแล้ว”
เปาชิงเหอสะท้อนแววตาชื่นชม และมิได้ดึงรั้ง พูดว่า “ข้าจะให้บ่าวส่งเจ้ากลับไปที่เรือน”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ
เปาชิงเหอร้องเรียกคน “เด็กๆ!”
บ่าวรับใช้ที่เฝ้ารออยู่ด้านนอกขานรับแล้วเข้ามา
เปาชิงเหอสั่งกำชับเขา “พาแม่นางเมิ่งไปพักผ่อนยังห้องที่จัดเตรียมไว้แล้ว บอกสาวใช้ให้ดูแลนางเป็นอย่างดี”
บ่าวรับใช้ขานรับ เปิดประตูห้องหนังสือให้เมิ่งเชี่ยนโยว พานางออกมาด้วยความระวัง แล้วงับประตูอย่างเบามือ พานางไปยังเรือนรับรอง
สาวใช้เข้ากะยามนี้เห็นพวกเขาเข้ามา รีบเข้าไปต้อนรับ บ่าวรับใช้ถ่ายทอดคำพูดของเปาชิงเหอ สาวใช้ได้ฟังยิ่งไม่กล้ารอช้า ผลุนผลันออกไปตักน้ำมาให้เมิ่งเชี่ยนโยวชำระล้าง
เมิ่งเชี่ยนโยวอาบน้ำเสร็จ ล้มตัวนอนบนเตียง ไม่นานก็เข้าสู่ห้วงนิทรา
พอเมิ่งเชี่ยนโยวจากไป เปาชิงเหอก็พูดว่า “หากแม่นางเมิ่งวิเคราะห์ได้ถูกต้อง พวกเขาจะต้องมาเพราะเรื่องที่นายท่านฝากฝังไว้ น่าจะเกี่ยวข้องกับที่ก่อนหน้านี้มีคนใช้แผ่นหยกมาขึ้นเงินที่ตำบลชิงซี พวกเขาคงจะกลัวพวกเราช่วยนายท่านทำเรื่องนี้สำเร็จ ขัดขวางเรื่องของพวกเขา ถึงลงมือกับพวกเราอย่างโหดเ**้ยม”
เปาอีฝานพยักหน้า “ข้าเองก็คิดเช่นนี้ ดังนั้นไม่ว่าคืนพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร พวกเราก็ไม่ควรปล่อยเจ้าหน้าที่ไว้ที่นี่ นอกจากจะกลัวพวกเขาต้องมาจบชีวิตไปโดยเปล่า เรื่องนั้นก็ยิ่งแพร่งพรายไม่ได้เด็ดขาด ทางที่ดีที่สุดคือให้องครักษ์หลวงปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ แยกย้ายไปตามจุดต่างๆ หากพวกเขากล้าเข้ามา พวกเราก็จับรวบพวกเขาทั้งหมด เค้นถามเหตุผล”
เปาชิงเหอเห็นพ้อง “เมื่อเป็นเช่นนี้ พอฟ้าสางพ่อจะไปติดต่อพวกเขา ให้พวกเขาพาคนมาเพิ่ม จัดการพวกนั้นอย่างไม่ให้มีใครรู้”
เปาอีฝานขานรับคำ “ขอรับ”
เปาชิงเหอพูด “พรุ่งนี้เจ้าจงไปรับเจ้าสาวอย่างสบายใจ เรื่องทั้งหมดพ่อจัดการเอง ขอเพียงพวกมันกล้ามา พวกเราจะให้พวกมันไม่มีชีวิตรอดกลับไป”
เปาอีฝานพยักหน้า สองพ่อลูกหารือกันอย่างถี่ถ้วนอีกรอบ ฟ้าใกล้สางแล้ว ถึงออกมาจากห้องหนังสือ
หลังจากกลับเข้ามาในห้องเปาอีฝานหลับตาลงครู่หนึ่ง ฟ้าเริ่มสว่างแจ้งแล้ว สาวใช้และบ่าวรับใช้ในบ้านต่างตื่นนอน ออกมาทำงานเต็มไปทั่วทั้งลานเรือน
เปาอีฝานลุกขึ้น อาบน้ำแต่งตัว แล้วเข้ามาในเรือนฮูหยินเปา
สีหน้าฮูหยินเปาดูดีขึ้นมาก มีเลือดฝาดอ่อนๆ บนใบหน้า เห็นเปาอีฝานเข้ามา กวักมือให้เขามานั่งข้างเตียงตัวเอง พูดกำชับมากมาย
เปาอีฝานจดจำไว้ทั้งหมด สั่งสาวรับใช้ตั้งโต๊ะอาหารเช้า นั่งกินข้าวเช้าพร้อมเปาชิงเหอและฮูหยินเปา แล้วกลับมาแต่งตัวใหม่ที่ห้องตัวเองอีกครั้ง เปลี่ยนมาใส่ชุดเจ้าบ่าว เตรียมพร้อมรอเวลา ออกไปรับเจ้าสาวที่จวนซุน
เซี่ยเจียงเฟิง จูหลานและอันอี่หยวนก็ทยอยกันมาถึงหลังจากที่เปาอีฝานเปลี่ยนชุดเสร็จ พอเห็นเข้าเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว ก็พูดเหน็บแนม “ดูท่าเจ้าจะทนรอไม่ไหวแล้ว ถึงได้เปลี่ยนชุดเจ้าบ่าวแต่เช้าเช่นนี้”
หลังจากเปาอีฝานหมั้นหมายกับซุนฮุ่ย ก็มักจะเจอกันบ่อยๆ มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อซุนฮุ่ย พอคิดว่าวันนี้จะได้ไปรับตัวนางกลับบ้าน แม้จะมีเรื่องกลัดกลุ้มใจ แต่ก็มีความสุขจนปากหุบไม่ลง จึงไม่ได้ยินเสียงเหน็บแนมของพวกเขา
ทั้งสามประหลาดใจ ปกติเปาอีฝานดูภายนอกเหมือนจะมีอัธยาศัยดี แต่ส่วนตัวแล้วมักถือว่าตัวเองมีวรยุทธ์ ใครพูดไม่เข้าหูก็จะลงไม้ลงมือ พวกเขาถูกเขาอัดมาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว แต่สำหรับคำเหน็บแนมของพวกเขาในวันนี้ ไม่เพียงไม่มีข้อโต้แย้งไม่ลงมือ แม้แต่เซี่ยเจียงเฟิงคนดีที่สุดของกลุ่มยังอดไม่ได้พูดเหน็บแนมเขาอีกครั้ง “จบแล้ว ครานี้อำเภอชิงเหอจะมีทาสภรรยาเพิ่มขึ้นอีกคนแล้ว”
ทั้งสามหัวเราะร่วน
เปาอีฝานเหล่มองพวกเขาสามคนช้าๆ
ทั้งสามรู้สึกเย็นวาบไปทั้งต้นคอ รีบหุบปากเงียบเสียง แสร้งทำทีช่วยเหลือรีบเข้าไปตรวจตราสิ่งของรับตัวเจ้าสาวนอกลานเรือน
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาในลานเรือนเห็นภาพนี้เข้าพอดี เกิดความกังขา สิ่งของวันแต่งงานควรจะเตรียมไว้แต่เนิ่นๆ แล้วมิใช่หรือ? เหตุใดวันนี้ถึงเพิ่งคิดจะให้พวกเขามาตรวจความเรียบร้อย
เห็นนางเดินเข้ามา คนทั้งหมดยกยิ้มกล่าวทักทายนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวขานรับคำ เดินเข้าไปในห้อง พูดว่า “เมื่อคืนวานข้าลืมพูดเรื่องหนึ่งไป เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องคาดไม่ถึง ทำให้ท่านพี่ซุนบาดเจ็บ ข้าตัดสินใจจะไปรับเจ้าสาวด้วย ท่านช่วยจัดเตรียมให้ข้าด้วยเถิด”
จำนวนคนสำหรับงานแต่งงานถูกกำหนดไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว แต่ละคนต้องทำอะไรก็ถูกกำหนดไว้แล้วเช่นกัน จู่ๆ เมิ่งเชี่ยนโยวก็มาเสนอความคิดเห็นเช่นนี้ในตอนนี้ เปาอีฝานจำต้องพูดอย่างรู้สึกผิด “หากเจ้าจะไป คงต้องแต่งตัวเป็นสาวใช้ในขบวนรับเจ้าสาวแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่แยแสอะไร พยักหน้าตกลง
เปาอีฝานสั่งสาวใช้ไปช่วยเมิ่งเชี่ยนโยวแต่งตัว ทั้งสั่งให้สาวใช้นางหนึ่งสับเปลี่ยนกับนาง
พวกเซี่ยเจียงเฟิงสามคนนึกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกสนุก จึงไม่ได้เอามาใส่ใจ
ถึงโมงยามออกเดินทาง เปาอีฝานลุกขึ้นเดินมานอกศาลาว่าการ พวกจูหลานสามคนตามมาด้านหลัง
นอกศาลาว่าการเตรียมม้าตัวสูงใหญ่และเกี้ยวไว้พร้อมแล้ว
เปาอีฝานพลิกตัวขึ้นหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว พอสะบัดมือ ขบวนรับตัวเจ้าสาวก็เคลื่อนตัวไปจวนซุนพร้อมเสียงแตรสั่วน่าที่โหมบรรเลงไปตลอดทาง ผู้คนมาห้อมล้อมมุงดูกันไม่น้อย ต่างชี้มือชี้ไม้ ซุบซิบวิพากษ์ขบวนรับตัวเจ้าสาว
เปาอีฝานนั่งบนหลังม้า ใบหน้ายิ้มแย้มตลอดทาง
ขบวนรับตัวเจ้าสาวมาถึงจวนซุน ฝ่ายต้อนรับก็เตรียมพร้อมอยู่แล้ว พอเห็นขบวนเข้ามา ก็รีบวิ่งแจ้นเข้าไปรายงาน เปาอีฝานลงจากหลังม้า ยืนรอหน้าประตู
เมิ่งเชี่ยนโยวและสาวใช้คนอื่นๆ รวมถึงสี่ผอ[1]ถูกคนของจวนซุนพาเข้ามาถึงห้องนอนของซุนฮุ่ย
ภายในห้องมีผู้คนมากมาย ส่งเสียงกระซิบกระซาบเซ็งแซ่ ซุนฮุ่ยมีผ้าคลุมหน้านั่งอยู่บนเตียง ตื่นเต้นจนไม่กล้าเคลื่อนไหว แม่ซุนยืนอยู่ข้างๆ ดวงตาแดงเอ่อ
สี่ผอเดินขึ้นหน้า หลังจากกล่าวคำมงคลชุดใหญ่ ก็ถึงเวลาอันเป็นมงคลฤกษ์ ให้สาวใช้ประคองซุนฮุ่ยขึ้นเกี้ยว
สาวใช้ของซุนฮุ่ยเดินขึ้นหน้า เข้าไปประคองซุนฮุ่ยอีกด้าน ส่วนอีกด้านเมิ่งเชี่ยนโยวก็รีบเข้าไปประคองนาง
ซุนฮุ่ยเดินตัวแข็งทื่อให้พวกนางประคองออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกได้ว่าซุนฮุ่ยตื่นเต้นจนไม่รู้จะก้าวเท้าไหนแล้ว จึงเข้าไปกระซิบข้างหูนางอย่างละมุนละไม พูดว่า “ท่านพี่ซุน ข้าคือโยวเอ๋อร์ ท่านมิต้องตื่นเต้น ข้าอยู่ข้างๆ ท่านแล้ว”
ได้ยินเสียงของนาง ซุนฮุ่ยปิติยินดีมาก พยักหน้าหงึกๆ ผ่อนคลายร่างกายลง ค่อยๆ เดินออกไปภายใต้การประคองของคนทั้งสอง
เปาอีฝานยืนรอด้านนอกอย่างหน้าชื่นตาบาน เห็นซุนฮุ่ยมีผ้าคลุมหน้า ถูกประคองเดินออกมา ก็ให้ปลาบปลื้มยินดี รีบเดินขึ้นหน้าอุ้มซุนฮุ่ยขึ้น ท่ามกลางเสียงอุทานร้องลั่นของนาง ค่อยๆ วางนางเข้าไปในเกี้ยว
ผู้คนโดยรอบส่งเสียงร้องยินดี
สี่ผอรับตัวเจ้าสาวมานานหลายปีไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน ตกใจเล็กน้อย แล้วได้สติกลับมา ร้องพูดเสียงดังอย่างมีความสุข “คุณชายเปาของพวกเราช่างเอาอกเอาใจนัก ต่อไปเจ้าสาวจะพบแต่ความผาสุกแล้ว”
เกิดเสียงหัวเราะครื้นเครงโดยรอบ
คนส่งตัวจากจวนซุนก็ดีใจกันไม่น้อย
สี่ผอขยับลูกคอ กล่าวด้วยน้ำเสียงปลาบปลื้มปิติดังลั่น “ถึงเวลาฤกษ์งามยามดีแล้ว ยกเกี้ยวได้”
เปาอีฝานพลิกตัวขึ้นรถม้า นำหน้าไปอย่างแช่มชื่นเบิกบาน ขบวนรับตัวเจ้าสาวและขบวนส่งตัวเจ้าสาวเดินตามหลังไปพร้อมเสียงตีฆ้องร้องป่าว
เดินทางแคล้วคลาดปลอดภัยมาตลอดเส้นทางจนถึงศาลาว่าการ
เปาอีฝานลงจากหลังม้า เกี้ยวจอดสนิท สาวใช้เลิกม่านขึ้น ช่วยกันประคองซุนฮุ่ยออกมาพร้อมเมิ่งเชี่ยนโยว เตรียมจะให้นางก้าวข้ามกองไฟ
เปาอีฝานเดินขึ้นหน้า เข้าไปอุ้มซุนฮุ่ยขึ้นอีกครั้ง กำชับสาวใช้ “งดเว้นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมด” พูดจบ อุ้มซุนฮุ่ยก้าวอาดๆ เข้าไปในศาลาว่าการ
ผู้คนที่มาเฝ้าดูความคึกคักหน้าศาลาว่าการส่งเสียงไชโยโห่ร้อง
ครั้งนี้สี่ผองงเป็นไก่ตาแตก ยืนตะลึงค้างอยู่ตรงนั้น
พวกจูหลานทั้งสามคนก็ตกใจเบิกตาโพลง ยืนทื่อเหม่อมองเปาอีฝานที่อุ้มซุนฮุ่ยเข้าไปโดยไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผน
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปากเร่งฝีเท้าเดินตามหลังไป
ฝูงคนที่มามุงดูความคึกคักต่างส่งเสียงโห่ร้องไม่ขาด
เปาชิงเหอเห็นเปาอีฝานอุ้มซุนฮุ่ยเข้ามาอย่างปลอดภัยดี ก็ให้ถอนใจโล่งอก
ฮูหยินเปาที่หน้าตาสดใสขึ้นมากแล้วกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ เห็นเปาอีฝานอุ้มเจ้าสาวเข้ามาด้วยใบหน้าชื่นบานก็งงตาค้าง คาดว่าหากวันนี้มิใช่วันมงคล นางได้ตำหนิว่าเปาอีฝานยกใหญ่แล้ว
พอเดินเข้ามาในห้อง เปาอีฝานก็วางซุนฮุ่ยลงอย่างทะนุถนอม
เมิ่งเชี่ยนโยวและสาวใช้อีกคนรีบเดินเข้าไปประคองนาง
สี่ผอยืนตะลึงจังงังอยู่นอกประตู หลังได้ยินการร้องเตือนจากจูหลานถึงลุกลนตามเข้ามา
แขกเหรื่อที่มาร่วมอวยพรต่างก็ไม่เคยเห็นภาพการรับตัวเจ้าสาวเช่นนี้มาก่อน ต่างมองตาค้างเป็นตาเดียวกัน
สี่ผอรีบเดินเข้าไปในห้อง ยังไม่ทันได้สูดลมหายใจปรับสมดุล ก็เปล่งเสียงดังกังวาน “บ่าวสาวคำนับฟ้าดิน”
เปาอีฝานและซุนฮุ่ยทำตามที่ได้ยิน
สี่ผอร้องพูดต่อ “คำนับบิดามารดา”
เปาชิงเหอและฮูหยินเปาที่นั่งบนเก้าอี้มองพวกเขาอย่างเอ็นดู กล่าวชื่นชมยินดี
สุดท้ายสี่ผอร้องพูดว่า “บ่าวสาวคำนับกันและกัน”
ทั้งสองหันหน้าคำนับกันและกัน
สี่ผอโล่งใจ เปล่งเสียงร้องพูดอย่างชื่นบาน “ทำพิธีเสร็จสิ้น ส่งตัวเข้าหอได้”
กลุ่มคนนึกว่าครั้งนี้เปาอีฝานจะอุ้มซุนฮุ่ยพาไปส่งยังห้องหออีก ไม่คิดว่าเปาอีฝานจะหยิบผ้าแพรแดงขึ้นมาจูงซุนฮุ่ยเข้าห้องหอตามขนบพิธีอย่างว่านอนสอนง่าย
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปากเดินตามติดไปตลอด
หลังจากมาถึงห้องหอ จัดแจงที่ทางให้ซุนฮุ่ยเรียบร้อย เปาอีฝานก็ถูกคนกลุ่มหนึ่งลากออกไปดื่มเหล้า จูหลานเซี่ยเจียงเฟิงรวมถึงอันอี่หยวนก็ตามออกไปช่วยดื่มเหล้าแทน
ห้องหอที่ครึกครื้นสนุกสนานพลันเงียบเหงาไปถนัดตา หลังจากกล่าวคำมงคลอีกสองสามคำ สี่ผอก็ถูกสาวใช้ที่รู้งานยัดซองแดงขับออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งข้างซุนฮุ่ย
สาวใช้ของซุนฮุ่ยไม่รู้เรื่อง คิดจะไล่นางออกไปด้วย เพื่อให้ซุนฮุ่ยได้พักผ่อนเต็มที่
ซุนฮุ่ยกลับออกปากสั่งนาง “เจ้าก็ออกไปเถอะ ให้นางอยู่กับข้าก็พอ”
สาวใช้มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง แล้วเดินออกไปแต่โดยดี งับบานประตูห้องหอ เฝ้ารออยู่ด้านนอก
กระทั่งภายในห้องเงียบสนิทแล้ว ซุนฮุ่ยถึงเลิกผ้าคลุมศีรษะของตัวเองขึ้น สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ พูดว่า “ข้าตื้นเต้นจะแย่แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดแขวะนาง “ท่านตื่นเต้นเพราะเรื่องแต่งงาน หรือเพราะคุณชายเปาอุ้มท่านไปอุ้มท่านมากันเล่า?”
ซุนฮุ่ยหน้าแดงเรื่อ ทุบนางเบาๆ อย่างอดไม่ได้ “เจ้าเด็กคนนี้ นับวันยิ่งไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ แม้แต่เรื่องเช่นนี้ยังกล้าเอามาพูดเล่น เอาไว้ข้ามีเวลาค่อยมาจัดการเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ร้องขอ ยังคงพูดหยอกเย้านาง “คนเราพอแต่งงานก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว ตอนนี้วาจาท่านพี่ซุนน่าหวาดผวายิ่งนัก”
ซุนฮุ่ยยิ่งหน้าแดงก่ำ พูดว่า “ยังจะพูดอีก อยากโดนจริงๆ ใช่หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะร่วนพูดว่า “ตอนนี้ท่านมีคนให้ท้ายแล้ว ข้าสู้ท่านไม่ได้หรอก ท่านให้อภัยข้าเถิดนะ”
ซุนฮุ่ยไม่โกรธเคือง หัวเราะตามไปด้วย
[1] 喜婆 สี่ผอ เป็นอาชีพหนึ่งของหญิงสาว ในอดีตเป็นตัวแทนสัญลักษณ์แห่งความโชคดี โดยจะตามขบวนเจ้าบ่าวไปรับตัวเจ้าสาวจากเรือน หลังจากทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินเสร็จ จะตามเข้าไปในห้องหอพร้อมเจ้าสาว คอยสอนการปรนนิบัติสามีรอจนกว่าเจ้าบ่าวจะเข้าห้องหอมา
ตอนที่ 211 ทุกอย่างเตรียมพร้อม
บุตรชายคนเดียวของนายอำเภอแต่งงาน ไม่มีใครกล้าปลุกห้องเจ้าสาว พวกจูหลานก็วุ่นวายกับการช่วยดื่มเหล้าแทนเปาอีฝาน จึงไม่ว่างเข้ามา ดังนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวจึงอยู่กับซุนฮุ่ยในห้องหอจนกระทั่งแขกเหรื่อเริ่มทยอยกลับ ถึงยิ้มพูดว่า “ท่านพี่ซุน อีกประเดี๋ยวคุณชายเปาก็คงมาแล้ว ข้าคงไม่อยู่ต่ออีก”
ซุนฮุ่ยพยักหน้าให้อย่างประหม่า
เมิ่งเชี่ยนโยวปลอบใจนาง “ท่านรู้จักกับคุณชายเปามานาน รักใคร่ชอบพอกัน ย่อมแตกต่างจากคนอื่น ท่านไม่จำเป็นต้องตกประหม่าเช่นนี้”
กล่าวเช่นนี้ก็ถูก แต่อย่างไรการแต่งงานก็เป็นใหญ่ของชีวิต จะบอกว่าไม่ตื่นเต้นประหม่าก็โกหกกันเกินไป ทว่า คำพูดปลอบใจของเมิ่งเชี่ยนโยวก็นับว่าได้ผลอยู่บ้าง ซุนฮุ่ยผ่อนคลายอาการกระวนกระวายใจลง พูดกับนางด้วยความตื้นตัน “น้องโยวเอ๋อร์ ขอบใจเจ้านัก”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มคลุมผ้าปิดศีรษะให้นาง เดินออกไปจากห้องหอ
สาวใช้ของซุนฮุ่ยคอยเฝ้าอยู่นอกประตู เห็นนางออกมา จึงเดินเข้าไป ถามซุนฮุ่ยว่าต้องการกินอะไรหรือไม่?
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมาไม่กี่ก้าว เห็นเปาอีฝานที่ดื่มจนเริ่มมีอาการกึ่มๆ เดินเข้ามา จึงใช้ข้ออ้างร่วมอวยพรเดินเข้าหา “ยินดีกับคุณชายเปาด้วยในที่สุดก็ได้แต่งกับท่านพี่ซุนแล้ว”
เปาอีฝานยิ้มตอบ “ขอบใจๆ”
พูดจบ ยกมือทำท่าที่เตรียมไว้แล้วให้นาง
เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าพินิจมอง เห็นแววตาสุกสกาวของเขา หาได้มีเงาแห่งความเมามายแม้แต่น้อย รู้ว่าเขามีเจตนาล่อหลอกอีกฝ่าย อมยิ้มอย่างรู้ทัน แล้วเบี่ยงตัวหลบ ให้เขาเดินโงนๆ เงนๆ ผ่านไป
แขกเหรื่อต่างกลับไปเกือบทั้งหมดแล้ว เหลือเพียงจูหลาน เซี่ยเจียงเฟิงรวมถึงอันอี่หยวนที่คอยช่วยดื่มเหล้าแทนมีอาการเมามายนั่งอยู่ข้างโต๊ะ
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้สนใจพวกเขาสามคน เดินมาหาเมิ่งเสียนและเหวินเปียวเหวินหู่ ยิ้มพูดกับเมิ่งเสียนว่า “พี่ใหญ่ เมื่อคืนข้าอยู่คุยกับท่านพี่ซุนไม่ได้นอนทั้งคืน วันนี้รู้สึกเหนื่อยล้ามาก ไม่อยากกลับไปแล้ว รอวันพรุ่งเช้าตรู่พวกเราค่อยกลับบ้านได้หรือไม่” พูดจบ ยังหาวหวอดใหญ่ได้อย่างถูกเวลา
เมิ่งเสียนเห็นนางดูเหนื่อยล้าจริงๆ ก็ให้ปวดใจ ไม่แม้แต่จะคิดก็พยักหน้าตกลง “ได้ พวกเราค่อยกลับบ้านกันพรุ่งนี้ เจ้ารีบตามข้าไปโรงเตี๊ยม จะได้พักผ่อนให้เต็มที่”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “คุณชายเปาเตรียมสถานที่ให้ข้าเรียบร้อยแล้ว คืนวันนี้ข้าจะนอนพักที่นี่ พรุ่งนี้หลังจากพวกท่านกินอาหารเช้าเสร็จค่อยมารับข้าก็พอ”
เมิ่งเสียนไม่คิดอะไรมาก หลังจากกำชับให้นางกลับถึงห้องแล้วให้พักผ่อนให้มากๆ ก็พาเมิ่งเสียนและเหวินหู่จากไป
เมิ่งเชี่ยนโยวรั้งเขาไว้ สั่งกำชับเหวินเปียวและเหวินหู่ “หลังจากพวกเจ้ากลับโรงเตี๊ยมแล้ว อย่าได้คิดอะไรมาก นอนห้องเดียวกับพี่ใหญ่ข้าก็พอ”
นับตั้งแต่ที่เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งฆ่าคนได้อย่างไม่สะทกสะท้าน เหวินเปียวก็เกิดความกริ่งเกรงต่อนางเพิ่มขึ้นอีกขั้น รู้ว่าคำพูดที่คล้ายจะปกติทั่วไปของนางมักแฝงด้วยความหมายลึกซึ้ง จึงพยักหน้ารับคำ
เหวินหู่ย่อมไม่คัดค้าน
เมิ่งเสียนนึกว่านางทำเพื่อประหยัดเงินค่าห้อง จึงไม่มีความเห็นต่าง
เห็นทั้งสามคนไปไกลแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวถึงเดินมาตรงหน้าพวกจูหลานที่เมามายอย่างเห็นได้ชัด พูดสัพยอกกับพวกเขา “คุณชายทั้งสามท่านคุยโวว่าดื่มเก่งมิใช่หรือ? เหตุใดวันนี้ถึงดื่มจนมีสภาพเช่นนี้ได้”
จูหลานดื่มจนสติสตังพร่าเลือน ฝืนเงยหน้าขึ้น พูดอ้อแอ้ลิ้นคับปาก “แม่งเอ๊ย เจ้าพวกต่ำช้าเหลือขอ รู้ว่าแกล้งเปาอีฝานไม่ได้ ก็เลยมารุมมอมเหล้าพวกเราเหมือนตกลงกันมาแล้วอย่างนั้น ฝากไว้ก่อนเถอะ วันไหนมันแต่งงาน ข้าจะให้คนไปมอมเหล้ามันให้เละเทียว”
รู้จักเขามานานหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเขาพูดคำหยาบ คิดว่านี่คงจะเป็นพฤติกรรมโดยปกติของพวกเขา เพียงแต่หลบซ่อนไว้ยามเมื่อเจอตนเองเท่านั้น
อันอี่หยวนก็เงยศีรษะโงนๆ เงนๆ ขึ้น พูดงึมงำคล้อยตาม “ใช่ๆ มอมมันให้เละเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นสภาพของพวกเขาก็ให้หลุดขำ
มีบ่าวรับใช้สามคนเข้ามา แยกกันไปยืนข้างพวกเขาสามคน หลังจากร้องเรียกนายน้อย ก็แยกกันประคองพวกเขาเดินโซซัดโซเซออกไป
เห็นคนทั้งหมดถูกบ่าวประคองออกไปไกลแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวเลือนหาย ขบคิดเล็กน้อย ร้องเรียกบ่าวรับใช้คนหนึ่งเข้ามาถามว่าร้านยาที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ใด
หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืน ในใจของสาวใช้และบ่าวรับใช้ยกให้เมิ่งเชี่ยนโยวมีสถานะไม่ต่างจากเปาอีฝานแล้ว พอได้ยินนางถามถึงร้านยาที่ใกล้ที่สุด ก็รีบร้อนรับคำบอกว่าจะพานางไปเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ตามบ่าวรับใช้เดินพ้นประตูใหญ่ศาลาว่าการออกไป
คนที่มาตั้งแผงหน้าประตูศาลาว่าการแยกย้ายกลับไปไม่น้อยแล้ว ส่วนที่เหลือก็กำลังทยอยเก็บข้าวของ เหลือเพียงไม่กี่แผงที่ดูไม่มีทีท่าจะเก็บแผงแม้แต่น้อย
เมิ่งเชี่ยนโยวพินิจมอง เป็นแผงบุคคลต้องสงสัยที่เมื่อวานตนเองสำรวจดังคาด หรี่หลุบนัยน์ตาลง
บ่าวรับใช้เชิญนางไปทางซ้ายด้วยความนอบน้อม เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดตามองพวกแผงที่ยังเหลืออยู่ทั้งหมดแวบหนึ่ง ถึงเดินตามบ่าวรับใช้มาร้านยา
โบราณว่าคนเฝ้าประตูเสนาบดีเทียบเท่าข้าราชการระดับสาม บ่าวรับใช้ท่านนายอำเภอหาได้มีสถานะต่ำต้อย พนักงานร้านยาเห็นเขาเข้ามา รีบเข้ามาต้อนรับอย่างเป็นกันเอง กระตือรือร้นถามบ่าวรับใช้ว่าต้องการซื้อยาใด?
บ่าวรับใช้มองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกยาสมุนไพรออกไปสองชนิด
พนักงานตะลึงงัน แล้วรีบเข้าไปหน้าตู้จัดยาออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวจ่ายเงินแล้วเดินตามบ่าวรับใช้กลับ กำลังจะเดินถึงหน้าประตู เจ้าของแผงหนึ่งเดินถือแป้งประหน้าเข้ามา ก้มโค้งคำนับศีรษะลดสถานะตัวเอง พูดอย่างระวัง “เมื่อวานพี่ชิวผิงจวนแห่งนี้มาสั่งจองแป้งประหน้ากับข้าไว้ นัดข้านำมาให้วันนี้ แต่วันนี้ข้ารอมาทั้งวันก็ไม่เห็นนาง รบกวนท่านฝากบอกนางด้วย ให้นางรีบออกมาเอา ข้ารอจะเก็บแผงแล้ว”
บ่าวรับใช้ชะงักอึ้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างปกติราบเรียบ “วันนี้ฮูหยินของพวกเราป่วยหนัก หลังจากฝืนจนคุณชายทำพิธีเสร็จ ก็นอนซมลุกไม่ขึ้น พี่ชิวผิงคอยปรนนิบัติไม่ได้ห่างกาย เกรงว่าจะไม่มีเวลาออกมาพบเจ้า”
เจ้าของแผงร้อง “อ่อ” แสดงสีหน้าผิดหวัง
เมิ่งเชี่ยนโยวถามขึ้น “ไม่ทราบว่าแป้งประหน้านี้ราคาเท่าใด ข้าจะช่วยซื้อไปให้พี่ชิวผิงเอง”
เจ้าของแผงแสดงสีหน้ายินดี “เช่นนั้นก็ดีมาก ทั้งหมดห้าสิบอีแปะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจ “เป็นแป้งประหน้าแบบใดกันถึงราคาแพงเช่นนี้?”
เจ้าของแผงลุกลนพูด “แป้งประหน้านี้เป็นสูตรเฉพาะที่ได้รับตกทอดมา ใช้ดีเป็นอย่างมาก ราคาห้าสิบอีแปะถือว่าเป็นราคาที่ถูกมากแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งทำท่าทีสนอกสนใจ พูดว่า “เจ้าเอามาให้ข้าดูบ้าง หากว่าดีข้าจะซื้อสักตลับ”
เจ้าของแผงสีหน้าชะงักค้าง จากนั้นตีหน้าตายเปิดแป้งประหน้าออก ยื่นไปตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางดูเถิด แป้งประหน้าข้าละเอียดเพียงใด เมื่อทาไปบนใบหน้าจะทำให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้นหลายปี”
เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งชำเลืองดูเล็กน้อย พยักหน้า “ไม่เลวจริงๆ ข้าก็เอาด้วยหนึ่งตลับ”
เจ้าของแผงรีบร้อนพูด “ต้องขออภัยด้วย แม่นาง วันนี้ข้านำมาเพียงตลับเดียว หากท่านต้องการ พรุ่งนี้ข้าจะนำมาให้ใหม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวแสดงสีหน้าผิดหวัง “เช่นนั้นก็ได้ พรุ่งนี้เจ้ารีบนำมาให้แต่เนิ่นๆ เล่า”
เจ้าของแผงค้อมศีรษะรับประกัน
เมิ่งเชี่ยนโยวล้วงเงินห้าสิบอีแปะออกมามอบให้เขา แล้วเดินเข้าศาลาว่าการไปพร้อมบ่าวรับใช้
เจ้าของแผงเผยรอยยิ้มบรรลุเป้าประสงค์ หลังจากส่งสัญญาณมือให้ด้านหลัง ก็หันกลับไปหน้าแผงลงมือเก็บข้าวของ
คนที่เหลือได้รับสัญญาณมือจากเขาก็เริ่มลงมือเก็บแผงอย่างไม่รีบไม่ร้อน
แขกเหรื่อที่มาร่วมแสดงความยินดีกลับไปหมดแล้ว ในลานบ้านเหลือเพียงสาวใช้และบ่าววิ่งวุ่นเก็บของไปมา
หลังจากบอกขอบใจบ่าวรับใช้ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถือแป้งประหน้ากลับมายังห้องที่จัดเตรียมไว้ นั่งนิ่งบนเก้าอี้ เปิดแป้งประหน้าออก ตั้งใจสูดดม ไม่พบกลิ่นผิดปกติใด จึงควักออกมาจำนวนหนึ่ง วางดมแนบปลายจมูก ก็ยังไม่พบสิ่งผิดปกติ เริ่มรู้สึกประหลาดใจ หยิบตลับแป้งขึ้นมาพินิจดูอย่างละเอียด ก็เห็นเป็นตลับแป้งปกติทั่วไป ความแตกต่างเดียวก็คือมีความประณีต ทว่าเมื่อวางชั่งน้ำหนักด้วยมือกลับเบามาก หัวใจกระตุก ออกแรงดึงแป้งส่วนที่เป็นด้านบนของตลับออก ด้านล่างปรากฏให้เห็นก้นตลับ มีสิ่งของที่มีลักษณะคล้ายผงแป้งบรรจุอยู่ด้านใน ใช้นิ้วมือจุ่มขึ้นมาเล็กน้อย เอามาดมที่ปลายจมูก รู้แจ้งกระจ่าง
เมิ่งเชี่ยนโยวนำแป้งบรรจุใส่ตลับตามเดิม แล้วเดินมายังเรือนฮูหยินเปา
สาวใช้ที่เฝ้ารับใช้ในลานเรือนเห็นนางเข้ามา รีบแสดงความเคารพนาง
“ใต้เท้าเปาอยู่ด้านในหรือไม่?” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
ไม่รอให้สาวใช้ตอบ ฮูหยินเปาที่ได้ยินเสียงนางก็ส่งเสียงยินดีออกมา “แม่นางเมิ่งใช่ไหม รีบเข้ามาเถิด!”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปในบ้าน
คงเพราะวันนี้ฮูหยินเปาฝืนร่างกายจนเหนื่อย สีหน้าเริ่มไม่สู้ดี นอนเอนตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง เปาชิงเหอนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงคอยดูแลนาง
เห็นนางเข้ามา ฮูหยินเปาก็กวักมือให้นางอย่างเบิกบาน “รีบมา มานั่งข้างๆ ข้า”
เปาชิงเหอหลีกทางให้ ไปนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ อีกตัว
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินขึ้นหน้าไปข้างกายฮูหยินเปา
ฮูหยินเปาดึงมือนางมาพูดอย่างซาบซึ้งใจ “วันนี้ข้าได้เข้าร่วมงานแต่งงานของฝานเอ๋อร์อย่างกระปรี้กระเปร่า เป็นเพราะเจ้าโดยแท้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านป้า พวกเราเคยพูดกันว่าอย่างไร? ต่อไปคำพูดเกรงใจพวกนี้ไม่ต้องพูดอีก”
ฮูหยินเปายิ้มตบหลังมือนาง “ใช่ๆๆ ไม่พูดๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่คุยกับฮูหยินเปาอีกครู่ใหญ่ ถึงพูดเกลี้ยกล่อม “ท่านป้า สุขภาพของท่านเพิ่งจะฟื้นตัว ไม่ควรให้เหนื่อยล้าเกินไป ท่านนอนพักผ่อนเสียหน่อยเถิด”
ฮูหยินเปาอ่อนล้ามากจริงๆ แล้ว พยักหน้า ค่อยๆ เอนตัวลงนอนโดยมีเมิ่งเชี่ยนโยวคอยช่วย จากนั้นพูดขึ้นว่า “นายท่านบอกว่าชิวผิงก็ไม่สบาย อาการร้ายแรงมาก หากแม่นางเมิ่งมีเวลาว่างช่วยไปดูนางให้ด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ได้เจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าจะไปดู”
ฮูหยินเปาหลับตาลง เข้าสู่ห้วงนิทรา
เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่เปาชิงเหอ
เปาชิงเหอรับรู้ทันที ลุกขึ้นกำชับสาวใช้ให้ดูแลฮูหยินเปาให้ดี จากนั้นพานางมาห้องหนังสือ
เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดตลับแป้งออก เผยให้เห็นผงแป้งที่ก้นตลับแป้ง “เมื่อครู่เจ้าของแผงที่อยู่ด้านนอกคนหนึ่งให้ข้านำมามอบให้ชิวผิง ข้าดมอย่างถี่ถ้วนแล้ว ผงแป้งนี้น่าจะเป็นตัวยาที่ทำให้คนสลบไสลไม่ได้สติ ดูท่าพวกเขาต้องการจะนอกในโจมตีประสาน เริ่มจากให้ชิวผิงวางยาพวกเรา จากนั้นค่อยจัดการพวกท่านอย่างไม่ให้รู้เนื้อรู้ตัว”
เปาชิงเหอพยักหน้า เปล่งเสียงออกไปด้านนอก “เด็กๆ ไปตามนายน้อยเข้ามา”
ด้านนอกมีคนขานรับ เร่งฝีเท้าจากไป
ไม่นานเปาอีฝานก็เข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยววางตลับแป้งไว้เบื้องหน้าเขา
เปาอีฝานมองนางอย่างไม่เข้าใจ เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบายอีกครั้ง
เปาอีฝานพูดเกรี้ยวกราด “อำมหิตเ**้ยมโหดนัก พวกมันหมายจะจัดการไม่ให้เหลือรอดสักคนหรือ?”
เปาชิงเหอก็พูดด้วยสีหน้าเหยเก “ข้าสั่งการแล้ว วันนี้จะต้องจับเป็น ข้าอยากเห็นนักว่าใครกันที่หมายจะเอาชีวิตของพวกเรา”
“เมื่อครู่ข้าไปซื้อยาสมุนไพรสองชนิดมาจากร้านยา ประเดี๋ยวข้าจะปรุงยานอนหลับออกมา หลังจากกินอาหารค่ำแล้ว พวกท่านแยกกันนำไปให้ท่านป้าเปาและท่านพี่ซุนกิน เลี่ยงไม่ให้พวกนางตกใจขวัญผวากลางดึก” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เปาอีฝานพยักหน้า “ขอบใจแม่นาง”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ถามว่าพวกเขาวางแผนกันอย่างไร กลับมาปรุงยาที่ห้องตัวเอง หลังจากปรุงเสร็จแล้ว ให้บ่าวรับใช้นำไปให้สองพ่อลูกเปาชิงเหอ
สองพ่อลูกเปาชิงเหอแยกกันเทยาลงในอาหารของฮูหยินเปาและซุนฮุ่ยอย่างปกติเรียบเฉย มองดูพวกนางกินลงไป
ผ่านไปสองเค่อ ตัวยาออกฤทธิ์ ฮูหยินเปาและซุนฮุ่ยนอนหลับสนิท
สองพ่อลูกเปาชิงเหอต่างจัดการพวกเขาอย่างเหมาะสม ทั้งกำชับสาวใช้และบ่าวที่เหนื่อยมาทั้งวันแล้วไม่ต้องเฝ้ายาม ให้แยกย้ายกลับห้องไปพักผ่อน
เมื่อคืนวานตกใจขวัญผวา วันนี้ก็เหน็ดเหนื่อยตลอดทั้งวันอีก บรรดาสาวใช้และบ่าวรับใช้ต่างเหนื่อยสายตัวแทบขาดแล้ว ได้ยินคำสั่งของเปาชิงเหอ ต่างรับคำด้วยความยินดี กลับไปพักผ่อนที่ห้องตัวเอง
กลางดึก เรือนด้านหลังศาลาว่าการเงียบเหมือนป่าช้า
ชายคลุมหน้าชุดดำคนหนึ่งกระโดดขึ้นมาบนกำแพงศาลาว่าการ อาศัยความมืดยามรัตติกาลลอบสอดส่องความเคลื่อนไหวภายในลานเรือน เห็นเพียงความมืดมิดปกคลุมไปทั่ว ไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวใด นึกว่าชิวผิงจัดการเรียบร้อยแล้ว ให้นึกกระหยิ่มในใจ กวักมือให้คนนอกกำแพง มีเงาร่างคนอีกสิบกว่าชีวิตกระโดดขึ้นมา มองสอดส่องเล็กน้อย แล้วกระโดดลงลานเรือนพร้อมกัน จากนั้นแยกเป็นสองกลุ่มเข้าไปในเรือนของเปาชิงเหอและเปาอีฝาน
ตอนที่ 212 การเข่นฆ่าครั้งใหญ่
ลานเรือนของเปาชิงเหอเงียบสงบเกินไป ราวกับไม่มีคนอาศัยอยู่ หัวหน้าชายชุดดำรู้สึกผิดปกติ ยกมือห้ามคนทั้งหมดเดินขึ้นหน้า
ชายชุดดำด้านหลังไม่เข้าใจ ถามด้วยน้ำเสียงที่แทบจะไม่ได้ยิน “พี่ใหญ่ เกิดอะไรขึ้น?”
หัวหน้าชายชุดดำก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเช่นเดียวกัน “ลานเรือนเงียบสงัดเกินไป ข้ารู้สึกมีบางอย่างผิดปกติ”
“คนถูกพวกเราวางยาหมดแล้ว จะไม่เงียบสงัดได้อย่างไร?” ชายชุดดำที่ซักถามตอบกลับ
หัวหน้าชายชุดดำยังคงรู้สึกผิดปกติ “เช่นนั้นชิวผิงเล่า? พวกเรานัดเวลาลงมือกับชิวผิงไว้แล้ว เหตุใดถึงไม่เห็นนางมารับหน้าพวกเรา?”
“ชิวผิงอาจจะเพื่อไม่ให้พวกเขาเกิดความสงสัยจึงกินอาหารที่วางยาลงไปด้วยก็เป็นได้ พี่ใหญ่ มาถึงขั้นนี้แล้ว อย่าลังเลอีกเลย รีบลงมือเถอะ หากชักช้าฟ้าจะสางแล้ว” ชายชุดดำที่ซักถามพูดเตือน
หัวหน้าชายชุดดำสำรวจโดยรอบอย่างละเอียด พบว่าไม่มีข้อพิรุธใด จึงขจัดความสงสัยกังวลออกไป ส่งสัญญาณให้ชายชุดดำทั้งหมดเดินขึ้นหน้า
คนทั้งหมดรับคำสั่ง ใช้เท้าถีบประตูห้องเปาชิงเหอออก ชูดาบขึ้นพุ่งตรงมาข้างเตียงแล้วฟันฉับไม่ยั้ง
คนบนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด
หัวหน้าชายชุดดำรู้สึกผิดปกติ สั่งห้ามคนทั้งหมด เดินขึ้นหน้าเลิกผ้าห่มออก พบว่าใต้ผ้าห่มไม่มีคน ร้องอุทานลั่น “แย่แล้ว รีบหนี!”
ชายชุดดำจำนวนหนึ่งพุ่งทะลวงออกไป ขณะที่กำลังม้วนตัวลอยค้างกลางอากาศ เสียงของเปาชิงเหอก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ “เหล่าสหาย เมื่อมาถึงแล้ว ก็จงอย่าเพิ่งไป พวกเรามานั่งคุยกันก่อน”
ชายชุดดำตกใจขวัญหนีดีฝ่อ ชูมีดดาบมองไปรอบทิศ กลับไม่เห็นเงาร่างของเปาชิงเหอ
หัวหน้าชายชุดดำส่งเสียงคำราม “เปาชิงเหอ เจ้าเลิกแกล้งเป็นผีหลอกคนได้แล้ว รีบออกมารับความตายซะ”
ในลานเรือนพลันสว่างไสว เปาชิงเหอยืนหน้าประตูเรือนด้วยใบหน้าเ**้ยมเกรียม ด้านหลังมีเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่ง
ชายชุดดำทั้งหมดหันหน้ามองกัน ไม่พูดไม่จา ชูดาบขึ้นแล้วพุ่งตรงเข้าหาเปาชิงเหอ แววตาชัดแจ้งว่าต้องการชีวิตเขา
เจ้าหน้าที่ด้านหลังเปาชิงเหอเดินขึ้นหน้า ชูดาบขึ้นขวางคนทั้งหมดไว้
เหล่าชายชุดดำหาได้เห็นเจ้าหน้าที่อยู่ในสายตาไม่ ลงมือไม่ยั้งอย่างรุนแรงเ**้ยมโหด คิดว่าในสองกระบวนท่าก็จะจัดการพวกเขาได้ ไม่คิดว่าผ่านไปห้าหกกระบวนท่าแล้ว ไม่เพียงไม่ทำให้เจ้าหน้าที่ล่าถอยไปได้ ตนเองยังถูกบีบให้ต้องถอยออกห่างจากเปาชิงเหอ
ในที่สุดหัวหน้าชายชุดดำก็รับรู้ถึงความผิดปกติ หลังจากถูกบีบให้ถอยร่นอีกครั้ง ก็ร้องเสียงลั่นว่า “พวกเจ้าหาใช่เจ้าหน้าที่ทางการไม่ พวกเจ้าคือองครักษ์หลวง!”
เหล่าเจ้าหน้าที่ก็ไม่พูดอะไร เข้าโรมรันโจมตีพวกเขาต่อ
ชายชุดดำได้ยินหัวหน้าชายชุดดำร้องตะโกน เกิดความขลาดกลัว ก้าวเท้าถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว คนทั้งหมดค่อยๆ ถูกล้อมจนแผ่นหลังชนกัน ต่างชูดาบขึ้นอย่างสั่นประหม่าเผชิญหน้าเหล่าเจ้าหน้าที่
เปาชิงเหอเดินขึ้นหน้าช้าๆ พูดเสียงเ**้ยม “พูดมา ใครส่งพวกเจ้ามา หากพวกเจ้าสารภาพตามจริง ข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า!”
หัวหน้าชายชุดดำสบถ “ถุย” “เปาชิงเหอ เราต่างก็ทำงานรับใช้คนอื่น วันนี้ไม่ใช่เจ้าตายก็ข้าอยู่ อย่าคิดเอาคำพูดหลอกล่อคนร้ายมาใช้กับพวกเรา”
เปาชิงเหอหัวเราะเยาะหยัน “พวกเจ้าคิดผิดแล้ว หากพวกเจ้าไม่ตอบว่าใครส่งพวกเจ้ามา เกรงว่าจะต้องอยู่ก็เหมือนตายทั้งเป็น”
ชายชุดดำหาได้หวาดหวั่นไม่ พูดโต้กลับ “เจ้าอย่าได้ดีใจเร็วเกินไป พวกเราพี่น้องมากันไม่น้อย แค่องครักษ์หลวงไม่กี่คนนี้ จะทำอะไรพวกเราได้”
สิ้นเสียงเขา เสียงเปาอีฝานก็เปล่งดังขึ้น “เจ้าหมายถึงพวกเขาไม่กี่คนนี่ใช่หรือไม่?” พูดจบ มีเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งคุมตัวชายชุดดำหกเจ็ดคนเข้ามาในสภาพทุเรศทุรัง เดินหน้าซีดคอตกเข้ามา
หัวหน้าชายชุดดำถามอย่างไม่อยากเชื่อ “เหตุใดพวกเจ้าถึงถูกจับกุมได้เร็วเช่นนี้?”
ชายชุดดำทั้งหมดไม่ตอบ เปาอีฝานบอกพวกเขาอย่างหวังดี “พวกเขาหมายจะฆ่าตัวตาย ถูกพวกเราชักคางออก”
หัวหน้าชายชุดดำตื่นตกใจ คนที่มาวันนี้ล้วนมีวรยุทธ์สูง กลับถูกพวกเขาจับกุมได้อย่างง่ายดาย เช่นนั้นเจ้าหน้าที่ที่พวกเขาเผชิญหน้าอยู่นี้ก็ยิ่งไร้ซึ่งความหวังแล้ว ตัดสินใจเด็ดเดี่ยว พูดเสียงดังลั่น “พี่น้องทั้งหลาย อย่างไรก็ต้องตาย จงสู้กับพวกเขาให้ถึงที่สุด”
ชายชุดดำได้รับการฝึกฝนเฉพาะมา รู้ว่าเมื่อตกอยู่ในมือศัตรูจะมีจุดจบที่น่าสังเวชเพียงใด ได้ฟังดังนั้นก็กำดาบในมือแน่น เข้าโรมรันกับเหล่าเจ้าหน้าที่ สู้ยิบตาไม่ถอย
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนมองชายชุดดำและเจ้าหน้าที่ฟาดฟันกันด้านหลัง เห็นแต่ละดาบของเจ้าหน้าที่ประหัตถ์ประหารฟาดฟัน มิใช่แสดงท่าทางล่อหลอก บีบจนชายชุดดำไม่อาจโต้กลับ หรี่หลุบนัยต์ตาลง
ทั้งสิบกว่าคนฟาดฟันกันไปมา กระทั่งชายชุดดำทั้งหมดถูกจับกุม และถูกชักคางออกอย่างไม่มีใครรอดพ้น
เจ้าหน้าที่กุมตัวคนทั้งหมดมาเบื้องหน้าเปาชิงเหอ
เปาชิงเหอตวาดถามอีกครั้ง “พูดมา ใครส่งพวกเจ้ามา?”
ไม่มีใครขานตอบ
เปาอีฝานก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ชักดาบแล้วเก็บดาบ ศีรษะของชายชุดดำคนหนึ่งร่วงตกลงมา
เป็นครั้งแรกที่เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทีอำมหิตที่แท้จริงของเขา ยิ่งให้ทวีความคลางแคลงในใจ
ชายชุดดำเห็นศีรษะของสหายร่วงสู่พื้น ต่างสั่นเทิ้มโดยไม่รู้ตัว แต่ก็ยังไม่มีใครเอ่ยปาก
เหล่าเจ้าหน้าที่คล้ายว่าจะเห็นจนคุ้นชินแล้ว ไม่มีความเคลื่อนไหวแม้แต่ขนคิ้ว
เปาอีฝานเปล่งเสียงดั่งพญายมราชจากแดนอเวจี “ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง ใครที่ส่งพวกเจ้ามา?”
ยังคงไม่มีใครขานตอบ
เปาอีฝานบันดาลโทสะ สะบัดดาบสังหารไปอีกสองคน คราบเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว
ชายชุดดำเห็นสหายของตัวเองถูกฆ่า เริ่มมีบางคนออกอาการสั่นผวา ทว่ากลับยังคงไม่เอ่ยปากพูด
เปาอีฝานถือดาบที่มีเลือดไหลหยดเดินวนรอบชายชุดดำที่ถูกควบคุมตัว แล้วหยุดลงตรงหน้าหัวหน้าชายชุดดำ เค้นเสียงถาม “ใครส่งเจ้ามา?”
ชายชุดดำไม่ตอบ
เปาอีฝานชักดาบแล้วเก็บดาบ ตัดแขนข้างหนึ่งของเขาทิ้ง
ชายชุดดำถูกชักคางออก เปล่งเสียงร้องโหยหวนไม่ได้ ทำได้เพียงกุมแขนที่ถูกตัดร้องอู้อี้กลิ้งไปมา
เปาอีฝานทำราวกับมองไม่เห็น คล้ายว่าจะเลือดขึ้นตา สูญสิ้นสติสัมปชัญญะแล้ว ยกดาบตวาดถามชายชุดดำอีกคน “จะพูดไม่พูด?”
ชายชุดดำยังไม่ทันสนองตอบ เปาอีฝานจึงฟันฉับไปที่ขาข้างหนึ่งของเขา
ร้องอู้อี้กลิ้งไปมากับพื้นอีกคน
แม้ชายชุดดำจะเ**้ยมโหด แต่ไม่เคยได้เห็นสหายของตัวเองถูกตัดแขนตัดขากับตาเช่นนี้มาก่อน พลันสติแตกขวัญกระเจิง ร่างกายสั่นระริกราวกับกระชอน
ตอนที่เปาอีฝานยกดาบขึ้นตวาดถามอีกครั้ง ในที่สุดก็มีคนทนไม่ไหวแล้ว ร้องอู้อี้ส่งสัญญาณว่าตัวเองจะพูด
เจ้าหน้าที่นายหนึ่งเดินขึ้นหน้า ล้วงหาสิ่งที่ซ่อนอยู่ในฟันพวกเขา แล้วงับปากของเขาลง ชายชุดดำคนนี้ถึงพูดเสียงสั่นว่า “ข้าพูดๆ”
เปาอีฝานใช้นิ้วชี้ปลายจมูกเขา พูดด้วยน้ำเสียงดุดัน “หากเจ้ากล้าพูดปดแม้เพียงครึ่งคำ ข้าจะตัดหูตัดแขนขาเจ้าทิ้ง”
ชายชุดดำยิ่งให้สั่นผวา พูดว่า “ข้าพูด ข้าจะพูดตามจริง”
เปาชิงเหอเอ่ยปาก “พูดมา ใครส่งพวกเจ้ามา การปฏิบัติการในวันนี้ของพวกเจ้าคืออะไร เหตุใดต้องทำเช่นนี้?”
ชายชุดดำมองมีดดาบในระยะสายตาแวบหนึ่ง พูดเสียงสั่น “พวกเราถูกพระชายารองของท่านอ๋องฉีส่งตัวมา…”
ได้ยินเขาเอ่ยถึงอ๋องฉี เมิ่งเชี่ยนโยวพลันยืดตัวตั้งตรง ตั้งใจฟังที่เขาจะพูดต่อมา
ชายชุดดำพูดต่อ “พระชายารองของพวกเรารู้ว่านายท่านที่ชักใยเบื้องหลังพวกท่านเป็นใคร หลายปีก่อนหลังจากที่รู้ว่าพวกท่านมาที่ตำบลด้วยเหตุผลใด จึงส่งชิวผิงมาซุ่มซ่อนข้างกายพวกท่าน คิดว่าสักวันหากพวกท่านพบคนแล้ว นางจะได้ส่งคนมาขัดขวาง แต่หลายปีผ่านไป พวกท่านกลับไม่มีความเคลื่อนไหว พระชายารองคิดว่าบัดนี้คนผู้นั้นคงไม่ปรากฏตัวแล้ว ไม่คิดว่าก่อนหน้านี้ไม่นาน จู่ๆ ตำบลชิงซีก็มีคนถือแผ่นหยกมาขอขึ้นเงิน พระชายารองอกสั่นขวัญหาย รีบส่งคนมาสืบข่าวในตำบลชิงซี เวลาล่วงเลยผ่านไป พวกเขาไม่เพียงไม่ส่งข่าวใดๆ กลับมา แม้แต่คนก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย พระชายารองสงสัยว่าพวกเขาคงจะพบเบาะแสเกี่ยวข้องกับคนผู้นั้นแล้ว ถูกพวกท่านพบเข้า ส่งคนออกตามฆ่า และเพราะกลัวว่าพวกท่านหาคนผู้นั้นพบ ส่งตัวเขากลับมา จะกีดขวางการขึ้นเป็นองค์ชายของคุณชายใหญ่ของพวกเรา พระชายารองจึงสั่งพวกเรามาอำเภอชิงเหอฆ่าพวกท่านทิ้ง ตัดขาดการติดต่อของพวกท่านกับทางเมืองหลวง เช่นนี้ก็จะไม่มีใครตามหาคนผู้นั้นได้เร็วกว่าพวกเรา”
เมิ่งเชี่ยนโยวลอบพรึงเพริดในใจ ไม่คิดว่าการใช้แผ่นหยกแลกเงินมาเพียงครั้งเดียวของตัวเอง จะก่อเรื่องราวมากมายเช่นนี้ขึ้น แม้แต่ครอบครัวเปาชิงเหอก็เกือบถูกฆ่ายกครัว มิน่าเล่าเหวินซื่อถึงโมโหมาตำหนินางถึงบ้าน
เปาชิงเหอฟังจบขมวดคิ้วมุ่น ถามเสียงเข้ม “เช่นนั้นเหตุใดพวกเจ้าถึงไม่ลงมือโดยตรง กลับวางยาฮูหยินของข้าก่อน”
ชายชุดดำตอบกลับ “อย่างไรท่านก็เป็นคนของราชสำนัก อยู่ๆ มาถูกฆ่าตายอย่างไรสาเหตุ เบื้องบนจักต้องส่งคนมาตรวจสอบ หากสืบสาวราวเรื่องมาถึงนางจะยุ่งยาก ดังนั้นนางจึงให้พวกเราหาโอกาสเหมาะ ทั้งฆ่าพวกท่านได้ และไม่ให้คนอื่นสงสัยได้ พวกเราขบคิดกันอยู่เป็นนาน ถึงคิดวิธีนี้ได้ โดยให้ชิวผิงวางยาพิษฮูหยินเปา เมื่อนางเริ่มรู้สึกสุขภาพไม่แข็งแรงจักต้องขอร้องให้คุณชายเปาแต่งงานโดยไว พวกเราก็จะลงมือในคืนวันแต่งงาน หลังจากฆ่าพวกท่านแล้ว จะสร้างสถานการณ์เป็นโจรป่าบุกเข้ามาปล้นสดม ให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าพวกเขาละโมบในทรัพย์สินของพวกท่านถึงฆ่าพวกท่านทั้งครอบครัว”
“เจ้ายังมีอะไรไม่ได้พูดอีก?” เปาชิงเหอถามเสียงเ**้ยม
ชายชุดดำส่ายหน้า “ไม่มีแล้ว ที่ข้ารู้ก็มีเท่านี้ บอกกับพวกท่านไปหมดแล้ว”
ดาบเล่มใหญ่ของเปาอีฝานเข้าใกล้ห่างเพียงหนึ่งนิ้ว ตวาดถาม “มีเพียงเท่านี้จริงๆ?”
ชายชุดดำหวาดผวาตัวสั่น ร้องพูดเสียงหลง “มีเพียงเท่านี้จริงๆ”
เปาอีฝานมองดูชายชุดดำสิบกว่าคนแวบหนึ่ง ร้องถาม “พวกเจ้ายังมีใครจะพูดอีก หากพูดออกมาข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า”
ชายชุดดำส่ายหน้า
เปาชิงเหอพ่นออกมาเพียงพยางค์เดียว “ฆ่า!”
สิ้นเสียง ดาบในมือเจ้าหน้าที่ตัดฉับ ชายชุดดำไม่มีแม้แต่เสียงหวีดร้อง ก็หมดลมสิ้นลมหายใจ แม้แต่ชายชุดดำที่ถูกตัดแขนตัดขาก็ไม่ละเว้น
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูฝีมือการฆ่าคนอย่างเฉียบไวของเหล่าเจ้าหน้าที่ เกิดความกังขา กลับมิได้เอื้อนเอ่ยถาม ยืนนิ่งสงบอยู่ด้านข้างมองดูทุกสิ่งทุกอย่างนี้
เจ้าหน้าที่นายหนึ่งเห็นเด็กสาวตัวน้อยอย่างนางเห็นภาพน่าสยดสยองนี้ ไม่เพียงไม่กรีดร้อง กลับมองพวกเขาได้อย่างสงบนิ่ง เผยแววตาชื่นชมยกย่อง
เปาอีฝานมองดูศพและเลือดสดๆ เต็มลานเรือน แววอำมหิตเ**้ยมโหดเลือนหายไป กลับคืนสู่สภาพปกติดังเดิม
หลังจากฆ่าคนเสร็จ เจ้าหน้าที่ทั้งหมดราวกับได้รับการฝึกฝนมา นำถุงกระสอบที่เตรียมไว้บรรจุศพละถุง ทั้งล้างคราบเลือดบนพื้นจนสะอาดเอี่ยมถึงพูดกับเปาชิงเหอว่า “ท่านใต้เท้าเปา พวกเราขอตัวลา”
เปาชิงเหอพยักหน้า “ลำบากทุกท่านแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะไปเขียนจดหมายถึงนายท่าน บอกเรื่องในวันนี้ทั้งหมด ให้เขาเตรียมการรับมือ ศพพวกนี้รบกวนพวกท่านจัดการด้วย”
เจ้าหน้าที่ทั้งหมดพยักหน้า ถอดชุดเจ้าหน้าที่บนตัวออก จากนั้นแบกถุงกระสอบคนละใบอย่างเบาสบาย จากไปใต้ความมืดแห่งรัตติกาลอย่างเงียบสงัด
เปาอีฝานทำราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เดินมาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ยกยิ้มถาม “ทำเจ้าตกใจหรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวกรอกตาขาวใส่ ถามขึ้น “ข้าบอกว่าตกใจ ท่านจะเชื่อหรือไม่?”
เปาอีฝานหัวเราะเสียงต่ำ “ย่อมไม่เชื่อ ตอนเจ้าฆ่าคนโหดกว่าข้าอีก เจ้าตกใจก็แปลกแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งแสดงท่าทีกระหยิ่มใจ “คุณชายเปา ท่านกำลังชมเชยข้าหรือ? ข้าดีใจนัก”
เปาอีฝานเก็บคืนสีหน้า จริงจังถาม “อยากรู้หรือไม่ว่านายของข้าเป็นใคร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ยิ่งรู้มาก ยิ่งตายเร็ว ข้าเป็นเพียงเด็กบ้านนอกธรรมดาคนหนึ่ง เรื่องน่าสะพรึงพวกนี้ไม่รู้จะเป็นการดีกว่า”
เปาอีฝานหัวเราะเสียงต่ำอีกครั้ง “หากคำพูดนี้ของเจ้าเล็ดลอดออกไป เกรงจะทำให้คนทั้งหมดหัวเราะฟันร่วงหมดปาก”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่อ่อนข้อให้ “รวมถึงท่านด้วยหรือไม่? โชคดีที่ท่านพี่ซุนยังไม่ร่วมห้องหอกับท่าน วันพรุ่งข้าจะเกลี้ยกล่อมให้นางแต่งงานใหม่”
เปาอีฝานสะอึกกึก
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเสียงต่ำ หันหลังโบกมือ “พรุ่งนี้ยังต้องถอนพิษให้ท่านป้าเปา ข้าไปนอนก่อนล่ะ”
เปาชิงเหอเห็นแผ่นหลังนางจากไป ถอนใจแผ่ว “ถึงว่านายท่านบอกว่านางเป็นเด็กสาวที่ไม่เหมือนใคร สมคำเล่าลือนัก”
ตอนที่ 213 ถอนพิษ
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้ามาในห้องตัวเอง เก็บคืนสีหน้าหยอกเย้า ล้มตัวนอนลงบนเตียง ย้อนขบคิดถึงคำพูดที่ได้ยินจากชายชุดดำในคืนนี้และพวกคนที่ปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่อย่างละเอียดอีกครั้ง ถึงสะลึมสะลือหลับไป
พอตื่นขึ้นมา ฟ้าก็สางมากแล้ว ด้านนอกกลับไม่มีเสียงใดๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตัวลุกขึ้น ร้องตะโกนออกไปด้านนอก “มีใครอยู่บ้าง!”
มีสาวใช้ขานรับแล้วเข้ามาถาม “แม่นาง ท่านต้องการสิ่งใด?”
“ตอนนี้กี่โมงกี่ยามแล้ว เหตุใดถึงไม่มีใครปลุกข้าตื่น?”
สาวใช้ตอบอย่างอ่อนน้อม “ตอนนี้เป็นยามเว่ย[1]แล้วเจ้าค่ะ คุณชายบอกว่าเมื่อวานแม่นางเหนื่อยเกินไป กำชับพวกเราไม่ให้รบกวนท่าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่คิดว่าตัวเองจะหลับไปจนถึงยามนี้ รีบร้อนลงจากเตียง ถามขึ้น “มีใครมาหาข้าหรือไม่?”
“เหมือนว่าพี่ใหญ่ของแม่นางจะมาหาท่าน แต่ถูกคุณชายเรียกไปที่เรือนของเขาแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบ
เห็นนางหลับไปทั้งชุด ก็ให้มองนางอย่างตกใจแวบหนึ่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวโล่งอก
“แม่นางจะล้างหน้าแต่งตัวตอนนี้หรือไม่?” สาวใช้ถามอย่างระวัง
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
สาวใช้ยกน้ำเข้ามา หลังจากเห็นนางล้างหน้าเสร็จ ก็ถามขึ้น “ทางห้องครัวยังเตรียมอาหารไว้ให้แม่นาง จะให้ยกมาตอนนี้เลยหรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้สึกหิวแล้ว พูดว่า “ยกเข้ามาในห้องเถอะ”
สาวใช้ยกสำรับอาหารเข้ามาอย่างไม่รอช้า
เมิ่งเชี่ยนโยวกินไปพลางพูดกับนางว่า “เจ้าไปบอกคุณชายเปาและพี่ใหญ่ข้าหน่อยเถิด บอกว่าข้าตื่นแล้ว อีกประเดี๋ยวจะเข้าไปหาพวกเขา”
สาวใช้รับคำแล้วออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวกินอาหารเสร็จ ไม่รอคำสั่ง สาวใช้ก็ยกอาหารที่เหลือออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น กล่าวขอบใจ แล้วเดินมายังเรือนของเปาอีฝาน
ซุนฮุ่ยถอดล้างเครื่องเคราสำหรับเจ้าสาวหมดแล้ว กำลังนั่งคุยเป็นเพื่อนเมิ่งเสียนพร้อมกับเปาอีฝาน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา กระวีกระวาดเข้ามาต้อนรับ พูดอย่างรู้สึกผิด “สองวันนี้ทำเจ้าเหนื่อยแย่แล้ว เหตุใดถึงไม่นอนเยอะกว่านี้?”
เมิ่งเสียนก็ลุกขึ้น มองนางอย่างปวดใจ พูดว่า “เจ้าไม่เคยตื่นสายขนาดนี้มาก่อน จักต้องเหนื่อยล้ามาก เจ้าไปพักต่ออีกหน่อยเถิด พวกเราถึงบ้านตอนไหนก็ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ข้าพักผ่อนเต็มที่แล้ว กลับไปเอนตัวก็นอนไม่หลับแล้ว ท่านป้าเปายังไม่สบายดี ประเดี๋ยวพอข้ารักษาให้นางเสร็จ พวกเราจะได้กลับบ้านเร็วขึ้น กลับไปช้า ท่านแม่จะเป็นห่วงได้”
เมิ่งเสียนพยักหน้า “ได้ เจ้าไปเถอะ ข้าจะรออยู่ที่นี่”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รอช้า เดินมาห้องฮูหยินเปาพร้อมซุนฮุ่ย หลังจากจับชีพจรให้นาง วินิจฉัยอาการเขียนใบสั่งยา แล้วมอบให้ซุนฮุ่ย
ซุนฮุ่ยกำชับสาวใช้รีบไปจัดยาตามใบสั่ง
เปาชิงเหอไม่วางใจ ฉวยโอกาสด้านหน้าไม่มีงานกลับมาดูอาการ
เปาอีฝานให้บ่าวคอยดูแลเมิ่งเสียนอย่างรู้สึกผิด ตนเองก็เข้ามาในห้องฮูหยินเปา
สาวใช้จัดยากลับมาอย่างเร็วรี่
เมิ่งเชี่ยนโยวตรวจดูอย่างละเอียด พบว่าไม่มีปัญหา จึงหยิบยาออกมาหนึ่งเทียบสั่งคนไปต้มให้ดี อีกประเดี๋ยวพอตนเองต้องการจะให้พวกนางยกเข้ามาทันที ทั้งให้คนเตรียมถังใหญ่สองใบ ให้ห้องครัวต้มน้ำร้อนในปริมาณที่เพียงพอเตรียมรอไว้
บ่าวรับใช้ทำตามคำสั่งนางเตรียมทุกอย่างไว้เสร็จสรรพ
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างขึงขังกับฮูหยินเปา “ท่านป้า ท่านป่วยมายาวนาน อาศัยแต่ตัวยาไม่อาจฟื้นตัวได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ ตอนนี้ข้าจะใช้วิธีและการรักษาแบบพิเศษ ระหว่างการรักษาท่านอาจจะต้องทุกข์ทรมานบ้าง”
ฮูหยินเปานอนรักษาตัวบนเตียงมานาน แทบอยากจะหายทันทีให้รู้แล้วรู้รอด ได้ฟังเช่นนี้ก็พูดว่า “เจ้าวางใจ ขอเพียงโรคของข้าหายได้เร็ววัน ให้ทรมานเพียงใดข้าก็ทนได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ด้านหนึ่งสั่งให้คนตักน้ำใส่ถังใบใหญ่ค่อนถัง ด้านหนึ่งพูดกับสองพ่อลูกเปาชิงเหอ “การรักษาต่อจากนี้ของฮูหยินเปา ไม่เหมาะให้พวกท่านเฝ้าดู พวกท่านออกไปรอด้านนอกเถิด”
เห็นนางสั่งคนตักน้ำใส่ถัง สองพ่อลูกเปาชิงเหอเข้าใจแล้วว่านางจะรักษาฮูหยินเปาอย่างไร พยักหน้าพร้อมกัน แล้วเดินออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวนำยาอีกขนานเทลงไปในน้ำเดือด ใช้สิ่งของคนให้เข้ากัน รอจนอุณหภูมิน้ำไม่เดือดมาก ถึงให้ฮูหยินเปาถอดเสื้อผ้าลงไปแช่น้ำในถังจนมิดตัว
อุณหภูมิน้ำยังร้อนมาก ไม่นานฮูหยินเปาก็ทนไม่ไหว คิดจะยืดตัวระบายความร้อนบ้าง เมิ่งเชี่ยนโยวยับยั้งนาง “ท่านป้า ท่านต้องอดทน หากครั้งนี้ไม่รักษาอาการป่วยของท่านให้หายขาด หลงเหลือต้นตอโรคไว้ ภายหน้าท่านจะต้องทุกข์ทรมานยิ่งกว่านี้”
ฮูหยินเปาได้ฟังกัดฟันอดทนห่อหดร่างกายกลับลงไป
เมิ่งเชี่ยนโยวใช้มือคอยวัดอุณหภูมิน้ำอยู่ตลอด พอรู้สึกว่าน้ำเริ่มเย็นก็จะให้คนเทน้ำร้อนลงไป
ฮูหยินเปาราวกับกุ้งต้มสุก แดงฝาดไปทั้งร่าง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด ขณะที่ฮูหยินเปากำลังจะทนไม่ไหวสลบไปนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวก็ร้องพูดขึ้น “ยกยาเข้ามา”
สาวใช้ที่คอยเฝ้าอยู่หน้าประตูรีบร้อนยกยาเข้ามา
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับฮูหยินเปาที่กำลังจะสลบไสล “ท่านป้า ท่านดื่มยานี้ก่อน แล้วอดทนอีกนิด ไม่นานก็จะเสร็จแล้ว”
ฮูหยินเปาฝืนพยักหน้า ดื่มยาจนหมดเกลี้ยงภายใต้การช่วยเหลือของซุนฮุ่ยและเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วทิ้งตัวกลับลงไปในถังน้ำอย่างไร้เรี่ยวแรง
ซุนฮุ่ยปวดใจเหลือจะเอ่ย ไม่รู้ว่าฮูหยินเปาป่วยเป็นโรคร้ายแรงอะไรกันแน่ ถึงต้องทนทรมานเช่นนี้
เมิ่งเชี่ยนโยวคอยมองดูน้ำในถัง กระทั่งน้ำค่อยๆ เปลี่ยนสี ก็ร้องพูดว่า “เปลี่ยนน้ำ”
บรรดาสาวใช้ยกน้ำร้อนเดินเป็นพรวนเข้ามา เทน้ำใส่ถังใหญ่อีกใบ
เมิ่งเชี่ยนโยวให้ซุนฮุ่ยและสาวใช้อีกคนประคองฮูหยินเปาไปนั่งในถัง พูดว่า “ท่านป้า ท่านอดทนอีกนิด ใกล้จะเสร็จแล้ว”
ไม่รอให้ฮูหยินเปาพยักหน้า เมิ่งเชี่ยนโยวรวบรวมกำลังภายในตบแผ่นหลังนาง
ฮูหยินเปาพ่นเลือดสีดำออกมาพลัน แล้วสลบไป
ซุนฮุ่ยและคนอื่นๆ หวีดร้องเสียงลั่น
เปาชิงเหอและเปาอีฝานที่รออยู่ด้านนอกได้ฟังก็ตกใจขวัญผวา เปาอีฝานทนไม่ได้ถามขึ้น “ฮุ่ยเอ๋อร์ ท่านแม่เป็นอย่างไร?”
ซุนฮุ่ยริมฝีปากสั่นระริกยังไม่ทันขานตอบ เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวก็เปล่งดังขึ้น “ถอนพิษได้แล้ว ท่านป้าหมดสติไป”
เปาชิงเหอได้ยินว่าฮูหยินเปาหมดสติไป หุนหันจะเดินเข้ามาในห้อง
เมิ่งเชี่ยนโยวราวกับรู้พฤติกรรมของพวกเขา ร้องห้ามพวกเขา “พวกท่านรอประเดี๋ยว รอให้พวกเราชำระล้างตัวให้ท่านป้าเสร็จแล้วพวกท่านค่อยเข้ามา”
ทั้งสองชะงักฝีเท้า สะกดกลั้นจิตใจกระสับกระส่าย รอด้านนอกอย่างไม่เป็นสุข
เมิ่งเชี่ยนโยวเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก กำชับเหล่าสาวใช้ให้อุ้มฮูหยินเปาไปล้างตัวในถังอีกใบ ถึงใส่เสื้อผ้าให้นางได้
เหล่าสาวใช้ทำตามที่นางสั่ง ช่วยกันคนละไม้ละมือย้ายฮูหยินเปาไปวางในถังอีกใบ ล้างตัวนางจนสะอาด เช็ดตัวจนแห้ง แล้วเพียงใส่เสื้อและกางเกงชั้นในให้นาง แล้วพานางไปวางบนเตียงอย่างระวัง ห่มด้วยผ้านวม
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย สาวใช้คนหนึ่งเปิดประตูออก ร้องเรียกบ่าวรับใช้นอกเรือนให้มายกถังน้ำสองใบในห้องออกไป
สองพ่อลูกเปาชิงเหอเร่งรุดเข้าไป เดินมาข้างเตียง มองสีหน้าแดงฝาดของฮูหยินเปา ดวงตาหลับสนิท เปาชิงเหอถามอย่างตื่นกังวล “ฮูหยินข้าไม่เป็นอะไรแล้ว?”
“ท่านป้าร่างกายอ่อนแอ ทนการรักษาไม่ไหวจึงหมดสติไป รอท่านฟื้นขึ้นมาก็จะไม่เป็นอะไรแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เปาอีฝานกระวนกระวายถาม “เช่นนั้นท่านแม่ข้า…” คิดจะถามว่าถอนพิษไปแล้วหรือไม่ คิดได้ว่าซุนฮุ่ยไม่รู้เรื่องที่ฮูหยินเปาถูกวางยา จึงเปลี่ยนคำพูด “อาการป่วยของท่านแม่ข้าหายเป็นปลิดทิ้งแล้ว?”
“ยังต้องพักฟื้นอีกระยะหนึ่งถึงจะหายดี ทว่าไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้ว พวกท่านวางใจได้” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เปาอีฝานพยักหน้ารับทราบ กล่าวขอบคุณจากใจจริง “ขอบใจมาก”
ซุนฮุ่ยก็กล่าวขอบคุณด้วย
วุ่นวายมาครึ่งค่อนวัน เสื้อผ้าชั้นนอกของเมิ่งเชี่ยนโยวชื้นชุ่มไปทั้งตัว ได้ฟังก็โบกมือ “คำขอบคุณไม่จำเป็นแล้ว ท่านพี่ซุนช่วยหาชุดมาให้ข้าเปลี่ยนสักชุดเถอะ”
ซุนฮุ่ยรีบสั่งสาวใช้นำผ้าแพรมาห่อร่างเมิ่งเชี่ยนโยวไว้ พานางกลับมาในห้องหอตัวเอง หยิบชุดของตัวเองออกมาจากใน**บให้นางเปลี่ยน
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เกรงใจ เปลี่ยนเสื้อผ้าโดยไม่รอรี
ซุนฮุ่ยกำชับสาวใช้ให้รีบนำไปซัก
สาวใช้รับคำถือชุดเดินออกไป
ซุนฮุ่ยดึงมือเมิ่งเชี่ยนโยวมาพูดว่า “น้องโยวเอ๋อร์ เจ้าบอกข้ามาตามจริง ท่านแม่ป่วยเป็นอะไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่คิดว่าซุนฮุ่ยจะจับสังเกตได้ ตะลึงเล็กน้อย ไม่ได้ตอบนาง กลับพูดด้วยน้ำเสียงกระเซ้า “โย้ เปลี่ยนคำเร็วยิ่งนัก เมื่อวานยังเป็นท่านป้า วันนี้กลายเป็น “ท่านแม่” แล้ว”
ซุนฮุ่ยหน้าแดงก่ำฉับพลัน “ยายตัวดี หยอกเย้าข้าอีกแล้ว ดูว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเว้าวอน “ท่านพี่แสนดี อภัยให้ข้าเถิด อีกประเดี๋ยวข้ายังต้องไปรักษาอาการให้ “ท่านแม่” ท่านอีกเล่า”
ซุนฮุ่ยไม่โอนอ่อนให้แล้ว ยื่นมือออกไปจั๊กจี้ไปตามตัวเมิ่งเชี่ยนโยว พูดข่มขู่ด้วยน้ำเสียงเบิกบาน “ดูสิว่าต่อไปเจ้าจะกล้าแหย่เย้าข้าอีกหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะหลบหลีก
ทั้งสองหัวเราะร่วนอลวนพักหนึ่ง จนเหนื่อยหอบถึงยอมรามือ
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “สุขภาพของท่านป้าเปาไม่มีอะไรร้ายแรงแล้ว เพียงแต่ระยะเวลาที่เจ็บป่วยนานเกินไป ข้ากลัวว่าปล่อยให้ยืดเยื้อต่อร่างกายนางจะรับไม่ไหว ถึงใช้วิธีเหนื่อยครั้งเดียวเพื่อความสบายที่ยืนยาว ท่านไม่ต้องเป็นกังวล พอนางฟื้นขึ้นมาให้กินยาอีกไม่กี่เทียบก็จะหายเป็นปลิดทิ้งแล้ว”
ซุนฮุ่ยเห็นนางพูดด้วยน้ำเสียงเบาสบาย เชื่อว่าเป็นจริง จึงยอมวางใจลง พูดว่า “ไม่เป็นไรก็ดี ท่านแม่ปฏิบัติต่อข้าราวกับบุตรสาวแท้ๆ หลังจากแต่งงานแล้วข้ายังต้องการจะกตัญญูต่อนางให้มากๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตบบ่านาง ยิ้มพูดอย่างสุขใจ “ท่านป้าโชคดียิ่งนัก คนอื่นแต่งได้ลูกสะใภ้เข้ามา นางกลับดี ได้ลูกสาวมาคนหนึ่งเทียว”
ซุนฮุ่ยเขินอายหน้าแดง
ทั้งสองพูดหยอกเอินกันอีกครู่หนึ่ง ถึงกลับมาที่ห้องฮูหยินเปาด้วยกัน
ฮูหยินเปายังคงไม่ฟื้น สองพ่อลูกเปาชิงเหอนั่งอยู่ในห้องคอยมองนางด้วยสีหน้ากังวล
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “พวกท่านวางใจเถิด ท่านป้าจักต้องไม่เป็นอะไร เมื่อนางหลับเพียงพอแล้ว ก็จะฟื้นเอง”
แม้นางจะคอยพูดว่าไม่เป็นอะไรแล้ว แต่การที่ฮูหยินเปาไม่ฟื้น ทำให้พวกเขาอย่างไรก็ไม่อาจวางใจลงได้
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจความรู้สึกของพวกเขา จึงไม่พูดเกลี้ยกล่อมอีก แต่เขียนใบสั่งยาอีกใบมอบให้ซุนฮุ่ย “นี่เป็นใบสั่งยา พวกท่านจงไปจัดยาตามที่เขียนนี้มาต้ม ให้นางดื่มติดต่อกันสามวัน สุขภาพของนางก็จะฟื้นคืน”
ซุนฮุ่ยรับใบสั่งยามากำชับสาวใช้ให้ไปจัดยา
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “อาการป่วยของท่านป้าไม่มีอะไรร้ายแรงแล้ว พี่ใหญ่ก็ยังรอข้ากลับบ้าน ข้าคงต้องขอตัวกลับแล้ว”
ฟ้าใกล้จะยามเที่ยง สองพ่อลูกเปาชิงเหอย่อมไม่ยินยอม ดึงรั้งนางให้อยู่กินอาหารเที่ยงก่อนค่อยไป
เมิ่งเชี่ยนโยวต้านทานน้ำใจของพวกเขาไม่ได้ จำต้องอยู่กินอาหารเที่ยง ถึงได้นั่งรถม้าเดินทางกลับพร้อมเมิ่งเสียน
ระหว่างทาง เมิ่งเชี่ยนโยวมิได้มีสภาพจิตใจที่ผ่อนคลาย ในสมองมีแต่คำพูดของชายชุดดำวนเวียนไปมา เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องในใจหนักอึ้ง
เมิ่งเสียนสังเกตเห็นความผิดปกติของนาง ถามอย่างเป็นห่วง “น้องสาว เจ้าเป็นอะไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวได้สติกลับมา ส่งยิ้มให้เขา “คงเพราะสองวันมานี้เหนื่อยเกินไป ยังปรับสภาพจิตใจไม่ได้”
เมิ่งเสียนปวดใจยิ่งนัก รีบขยับร่างกายเข้ามาด้านหนึ่งของรถม้า พูดว่า “เจ้าเอนตัวพักสักหน่อยเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า พูดว่า “ไม่ต้องแล้ว รอไปพักผ่อนที่บ้านให้เต็มที่ดีกว่า”
เมิ่งเสียนกำชับเหวินเปียวให้บังคับรถม้าให้เร็วขึ้น
รถม้าเพิ่มความเร็ว ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงบ้าน
ตั้งแต่ที่เมิ่งเจี๋ยเคยหายตัวไปในอำเภอ เมิ่งชื่อก็มีโรคหวาดผวาอย่างลุ่มลึกกับตัวอำเภอ เห็นพวกเขาสองพี่น้องไม่ได้กลับมาตามเวลาที่นัดหมายไว้ เกิดความวิตกกังวลหนัก คอยชะเง้อชะแง้คอมองอยู่หน้าประตูตั้งแต่ช่วงเช้า กระทั่งเห็นรถม้าสองคันเข้ามา ถึงถอนใจโล่งอก
รถม้าจอดสนิท เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้าเห็นเมิ่งชื่อยืนสีหน้าเป็นกังวลอยู่หน้าประตู ก็รู้ว่านางจะต้องกระวนกระวายใจมาก ตนเองเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องถูกพร่ำบ่นหนึ่งชุด ดวงตากลิ้งกลอก ยื่นมือทั้งสองออกไปแล้วโผเข้าหาเมิ่งชื่อ พูดด้วยน้ำเสียงชื่นบาน “ท่านแม่ของข้า ไม่เจอตั้งหลายวัน ข้าคิดถึงท่านจะแย่แล้ว” พูดจบก็กอดเมิ่งชื่อแน่นเป็นหมี
เมิ่งชื่อไม่เคยได้ยินวิธีการพูดเช่นนี้มาก่อน ตกตะลึงจังงัง แล้วเรียกสติกลับมายิ้มพูดทันควัน “เจ้าไม่ต้องใช้วิธีนี้มาหลอกล่อแม่ ตกลงกันแล้วว่าพอพวกเขาแต่งงานกันเสร็จก็จะกลับมาทันที แล้วดูเจ้าเถิด เพิ่งจะกลับมาเอาป่านนี้ เจ้ารู้ไหมว่าแม่เป็นห่วงมากเพียงใด?”
[1] ยามเว่ย คือ เวลา 13.00-15.00น.
ตอนที่ 214-1 ซุนเหลียงไฉถูกลงโทษ
เมิ่งเชี่ยนโยวถูกจับไต๋แผนการได้ แลบลิ้นซุกซน เปลี่ยนมากอดแขนข้างหนึ่งของเมิ่งชื่อ แสดงกิริยาเด็กสาวไร้เดียงสา พูดออดอ้อน “ข้ามิใช้เด็กน้อยแล้ว ไม่เกิดเรื่องอันใดหรอก อีกอย่างก็ยังมีพี่ใหญ่ตามไปด้วย”
“ก็เพราะว่าเจ้าเป็นสาวแล้ว แม่ถึงเป็นห่วง หากเกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้น เสียใจไปทั้งชีวิตก็สายไปแล้ว” เมิ่งชื่อพูด
เมิ่งเชี่ยนโยวแลบลิ้นแผล็บๆ ไม่กล้าต่อล้อต่อเถียง
เมิ่งเสียนเห็นนางยอมจำนน แอบหัวเราะอยู่อีกด้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง เมิ่งเสียนรีบร้อนอธิบาย “ท่านแม่ ฮูหยินเปาไม่สบาย น้องสาวช่วยรักษาอาการให้นาง พวกเราถึงได้กลับกันมาช้า”
เมิ่งชื่อถูกเปลี่ยนเรื่อง ถามอย่างเป็นกังวล “ฮูหยินเปาป่วยเป็นอะไรหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาชื่นชมให้เมิ่งเสียน แล้วกอดแขนเมิ่งชื่อเดินเข้าไปด้านในพลางตอบนางว่า “ท่านป้าเปา ได้รับเชื้อไข้ลมมาเดือนกว่าแล้ว หมอในอำเภอคงจะไม่กล้าใช้ยาแรงกับนาง อาการป่วยของนางจึงยิ่งรุนแรง แทบจะลุกจากเตียงไม่ได้ หลังจากข้าไปถึง คุณชายเปาขอร้องให้ข้าช่วยดูอาการ ข้าไม่อาจปฏิเสธได้ จึงใช้เวลาช่วงเช้าวันนี้รักษาให้นาง สุขภาพนางไม่มีอะไรหนักหนาแล้ว เพียงแค่ล้มป่วยมานาน ร่างกายจึงยังอ่อนแออยู่บ้าง”
เมิ่งชื่อพยักหน้า “ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว เพิ่งจะแต่งสะใภ้เข้าบ้านก็มาล้มหมอนนอนเสื่อ จะไม่ดีกับคุณหนูซุนไปด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
เมิ่งชื่อบ่นกระปอดกระแปดอีกสองสามคำ เมิ่งเชี่ยนโยวล้วนพยักหน้าตอบรับอย่างเชื่อฟัง เมิ่งชื่อถึงยอมให้นางกลับไปพักผ่อนที่ห้อง
เมิ่งเชี่ยนโยวที่เดิมไม่ง่วงงุน ครั้นพอเอนตัวลงบนเตียงเตาครุ่นคิดเรื่องราว ไม่ทันไรก็เคลิ้มหลับไป ยามที่ตื่นขึ้นมานั้น ฟ้าก็มืดสนิทแล้ว ในลานบ้านเต็มไปด้วยเสียงร้องเจี๊ยวจ้าวอย่างสนุกสนานของเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิง
เมิ่งเชี่ยนโยวขยี้ตางัวเงีย นอนฟังเสียงหัวเราะอย่างเบิกบานของพวกเขาอย่างสบายอารมณ์ คิดว่าหากเป็นเช่นนี้ไปได้ตลอดจะดีเพียงใด นี่ถึงจะเป็นชีวิตที่ตัวเองต้องการมาตลอด
เมิ่งชื่อทำอาหารเสร็จ ให้เมิ่งเจี๋ยเข้าไปดูว่าเมิ่งเชี่ยนโยวตื่นแล้วหรือไม่
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งเสียงขานรับออกมา “ข้าตื่นแล้ว จะออกไปเดี๋ยวนี้”
พูดจบ ลุกขึ้นจัดการเนื้อตัว เดินออกมาจากในห้อง
เมิ่งอี้เซวียนเห็นนาง ดวงตาลุกวาว
เมิ่งเชี่ยนโยวซักถามเขาและซุนเหลียงไฉถึงการเรียนในช่วงนี้
เรื่องเรียนไม่เป็นปัญหาสำหรับเมิ่งอี้เซวียนอยู่แล้ว มีแต่ซุนเหลียงไฉที่ไม่ไหว อึกๆ อักๆ พูดไม่ออก
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม พูดว่า “ดูท่าช่วงเวลานี้นายน้อยซุนจะมีชีวิตสุขสำราญเกินไป แม้แต่เรื่องที่สมควรต้องทำก็ไม่รู้แล้ว”
ซุนเหลียงไฉตกใจโบกมืออุตลุด “ไม่ใช่ๆ ข้าตั้งใจเรียนแล้ว เพียงแต่ท่านอาจารย์พูดลึกเกินไป ข้าเลยฟังไม่เข้าใจ”
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังก็ขมวดคิ้วมุ่น “เช่นนั้นพี่เมิ่งเหรินฟังเข้าใจหรือไม่?”
“เขาย่อมต้องเข้าใจ ข้าจะไปเทียบกับเขาได้อย่างไร” ซุนเหลียงไฉตอบ
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเล็กน้อย “เช่นนั้นเจ้าเทียบกับใครได้เล่า เจี๋ยเอ๋อร์หรือว่าชิงเอ๋อร์?”
ซุนเหลียงไฉกะพริบตาปริบๆ ไม่กล้าปริปาก
“ข้าว่าเจ้าไปเรียนที่สถานศึกษาพร้อมเจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์เถอะ ท่านอาจารย์จะได้มีเวลาเหลือมาสอนสั่งพี่เมิ่งเหริน” เมิ่งเชี่ยนโยวเจตนาพูดขึ้น
ซุนเหลียงไฉร้องพูด “ข้าไม่ไปเรียนสถานศึกษากับเด็กน้อยพวกนั้นแน่”
เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งทำสีหน้าขรึม “นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่เอา เจ้าต้องการอะไรกันแน่?”
ซุนเหลียงไฉลนลานรับประกัน “ต่อไปข้าจะตั้งใจเรียน พยายามทำการบ้านให้เสร็จ”
“ก็ดี นับตั้งแต่คืนวันนี้ไป ข้าจะตรวจการบ้านเจ้า หากเจ้าทำไม่เสร็จ พรุ่งนี้เช้าต้องยืนท่านั่งม้าเพิ่มอีกหนึ่งชั่วยาม”
ซุนเหลียงไฉร้องโอดครวญ หันไปมองเมิ่งเสียน หวังว่าเขาจะช่วยพูดแทนตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวอ่านความคิดเขาออก พูดให้เขาเสียกำลังใจ “เจ้ามองพี่ใหญ่ไปก็ไม่มีประโยชน์ เขาไม่ช่วยเจ้าหรอก”
ซุนเหลียงไฉบ่นพึมพำไม่พอใจ “มีพี่เขยเช่นนี้จะมีประโยชน์อะไร สู้ไม่มีเสียดีกว่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวหูไว ได้ยินเขาพูดชัดเจน โมโหจนขำ “เจ้าควรจะยินดีที่พี่สาวเจ้ายังไม่แต่งเข้ามา ไม่เช่นนั้นคงไม่ใช่ลงโทษให้ยืนท่านั่งยองธรรมดาๆ นี้แล้ว คาดว่าอาจจะตีจนเจ้าต้องร้องขอชีวิตด้วย”
ซุนเหลียงไฉร้องโอดครวญอีกครั้ง ไม่มีแม้แต่อารมณ์กินข้าว ฟุบไปบนโต๊ะอาหาร พูดอย่างไม่ยอม “เหตุใดข้าถึงโชคร้าย มีพี่สาวเยี่ยงนี้ได้”
คนทั้งหมดต่างขบขันในปฏิกิริยาของเขา
หลังกินอาหารค่ำเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบท่อนไม้ขนาดเล็กที่ไม่ได้ใช้มานานออกมา ชั่งน้ำหนักด้วยมืออีกข้างเดินเข้ามาในห้องนอนพวกเขา
ซุนเหลียงไฉและเมิ่งอี้เซวียนกำลังเตรียมจะทำการบ้าน เห็นนางถือท่อนไม้เข้ามา พูดตะกุกตะกักขึ้นว่า “เจ้า เจ้าวางท่อนไม้ในมือลงก่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
ซุนเหลียงไฉถูกมองจนขนลุกชูชัน รีบพูดประนีประนอม “ก็ได้ เจ้าอยากถือก็ถือไป แต่เจ้าห้ามตีข้าอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร นั่งลงบนเก้าอี้อีกด้าน
ช่วงเวลานี้เมิ่งเชี่ยนโยวค่อนข้างยุ่ง ไม่มีเวลาตรวจตราเขา ซุนเหลียงไฉเอาแต่เล่นจนเพลิน ไฉนเลยจะมีแก่ใจร่ำเรียนหนังสือ แม้โจวหลี่จะไม่พอใจในตัวเขาค่อนข้างมาก แต่อย่างไรก็เพิ่งเป็นอาจารย์ครั้งแรก ไม่รู้ว่าสมควรจะสอนสั่งเขาอย่างไร บวกกับตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวฝากฝังมิได้พูดกับเขาชัดแจ้ง ว่าจะต้องให้ความรู้ซุนเหลียงไฉถึงขั้นไหน ดังนั้นโจวหลี่จึงยอมหลับตาข้างหนึ่ง ให้ซุนเหลียงไฉมามั่วอยู่ในห้องเรียน ดังนั้นช่วงเวลานี้การเรียนของซุนเหลียงไฉจึงย่ำแย่เป็นอย่างมาก ทั้งโคลงกวี กลยุทธ์ เขียนบทความ ล้วนไม่ได้เรื่อง ตอนนี้เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวชั่งน้ำหนักท่อนไม้ลงนั่งข้างตัวเอง จิตใจหวาดผวา ยิ่งทำให้เรียนไม่รู้เรื่อง
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ถามมาก เพียงถามซุนเหลียงไฉว่าวันนี้ท่านอาจารย์สอนสิ่งใด ให้เขาท่องออกมาก็พอ
ซุนเหลียงไฉสะท้อนแววตาล่อกแล่ก พูดตะกุกตะกัก เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ว่าอะไร จับท่อนไม้ในมือเคาะไปที่เขา ซุนเหลียงไฉเปล่งเสียงหวีดร้อง เมิ่งชื่อที่อยู่ในเรือนหลักได้ยินเสียงหวีดร้องทำเอาสะดุ้งตัวสั่น
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่พูดมากกับซุนเหลียงไฉอีก เรียกร้องให้เขาท่องสิ่งที่อาจารย์สอนในวันนี้ให้ได้ก่อน ไม่ว่าจะนานแค่ไหน นางก็รอได้
ซุนเหลียงไฉตัวสั่นงันงก ท่องกุกๆ กักๆ พอผิดพลาด ท่อนไม้ในมือเมิ่งเชี่ยนโยวก็ฟาดลงมา
เมิ่งชื่ออยู่ในห้องได้ยินเสียงร้องโหยหวนของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า อดใจไม่ไหว คิดว่าสองครอบครัวก็เกี่ยวดองกันแล้ว นางปฏิบัติเช่นนี้ต่อซุนเหลียงไฉดูไม่เป็นการดี คิดจะไปห้ามปราบนาง
เมิ่งเอ้ออิ๋นรั้งนางไว้ พูดว่า “ช่วงเวลาก่อนหน้านี้เหลียงไฉเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นมากแล้ว ตอนนี้กลับไปมีสภาพเหมือนก่อน เป็นเพราะยังไม่แน่วแน่พอ หากไม่ใช้ยาแรง ให้เขาเปลี่ยนนิสัยไม่ดีนี้ ภายหน้าให้ทำการสิ่งใดก็ไม่มีทางทำให้ดีได้ โยวเอ๋อร์ทำก็เพราะหวังดีกับเขา เจ้าอย่าได้เข้าไปก่อกวนเลย”
เมิ่งชื่อพูดอย่างเป็นกังวล “ตอนนี้พวกเราเกี่ยวดองกับซุนซ่านเหรินแล้ว ซุนเหลียงไฉก็คือน้องชายภรรยาของเมิ่งเสียน ไม่ว่าเมื่อก่อนเป็นอย่างไร ตอนนี้ใครๆ ต่างก็เฝ้ามองครอบครัวเรา เหลียงไฉส่งเสียงร้องลั่นเช่นนี้ หากคนอื่นมาได้ยินเข้า นำไปพูดต่อ บอกว่าพวกเราทารุณเขาจะเป็นเรื่องยุ่งได้”
เมิ่งเอ้ออิ๋นไม่สนใจ “ขอเพียงซุนซ่านเหรินไม่ว่าอะไร ใครอยากพูดสิ่งใดก็ให้เขาพูดไป รอให้โยวเอ๋อร์สอนเหลียงไฉจนได้ดีแล้ว คำซุบซิบนินทาเหล่านั้นก็จะหายไปเอง”
เมิ่งชื่อทอดถอนใจ “จะพูดเช่นนี้ก็ไม่ผิด แต่การพูดปากต่อปากอย่างไรก็ไม่ดีต่อชื่อเสียงของครอบครัวเรา ทั้งไม่ดีต่อชื่อเสียงของโยวเอ๋อร์ด้วย”
เมิ่งเอ้ออิ๋นหว่านล้อมนาง “โยวเอ๋อร์ทำเช่นนี้ย่อมมีเหตุผลของนาง ข้าว่าช่วงนี้เจ้าลูกคนนี้มักมีอารมณ์ฉุนเฉียว จักต้องมีเรื่องอัดอั้นในใจที่บอกพวกเราไม่ได้ พวกเราอย่างไปเพิ่มความลำบากให้นางอีก ให้นางจัดการไปเถิด อย่างไรนางก็ไม่คิดร้ายต่อเหลียงไฉ”
เมิ่งชื่อถอนหายใจยาว ไม่พูดอะไรอีก
ล่วงมาถึงกลางดึก ในลานเรือนยังคงมีเสียงร้องโหยหวนของซุนเหลียงไฉดังเป็นระลอก แม้แต่สองผู้เฒ่าหลี่ต้าฉุยและภรรยาที่อาศัยในเรือนอีกด้านก็ได้ยินเสียงร้องนี้ เกิดความกังขา ใครกันที่หาเรื่องเมิ่งเชี่ยนโยว ถูกนางตีจนน่าสังเวชเช่นนี้
เมิ่งเสียวเถี่ยที่อยู่อีกเรือนได้ยินเสียงร้องโหยหวน ก็นอนไม่หลับ เฝ้าคิดอย่างละเอียดว่าช่วงเวลานี้ตนเองมีสิ่งใดที่ทำไม่ถูกต้องหรือไม่
กระทั่งเช้าวันต่อมาขณะที่ทุกคนตื่นขึ้นมาฝึกวรยุทธ์แต่เช้า ซุนเหลียงไฉกลับเดินสะโหลสะเหลเข้ามา พวกอู๋ต้าเห็นสภาพน่าสังเวชของเขา หัวใจสั่นวูบ ต่างพยายามยืดตัวให้ตรงแน่ว เลี่ยงไม่ให้เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พอใจหาเรื่องกับพวกเขา
เหวินเปียวและเหวินหู่มองดูพวกเขาที่เช้าวันนี้ดูคึกคักฮึกเหิมผิดปกติ ให้รู้สึกฉงนสงสัย
หลังจากฝึกฝน ล้างหน้าล้างตา กินอาหารเช้าเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวไปส่งซุนเหลียงไฉเข้าเรียนด้วยตัวเอง
เมิ่งเหรินมารออยู่แล้ว เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวมาด้วย เข้าไปทักทายอย่างสนิทสนม
เมิ่งเชี่ยนโยวซักถามว่าเขาเรียนเป็นอย่างไรบ้าง?
เมิ่งเหรินตอบอย่างดีใจว่าท่านอาจารย์สอนได้ดีกว่าอาจารย์ในอำเภอ
เมิ่งเชี่ยนโยวมองซุนเหลียงไฉแวบหนึ่ง ซุนเหลียงไฉก้มหน้าก้มตาไม่กล้าปริปาก
โจวหลี่เข้ามาสอนหนังสือ เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็อยู่ด้วย ชะงักเล็กน้อย
เมิ่งเชี่ยนโยวให้เมิ่งเหรินและซุนเหลียงไฉเข้าไปรอในห้อง แล้วพูดกับโจวหลี่ว่า “ท่านอาจารย์ รบกวนท่านเพิ่มความเข้มงวดในการสั่งสอนซุนเหลียงไฉด้วยเถอะ เด็กคนนี้ไม่ใช่คนขลาดเขลา เพียงแค่ถูกคนในครอบครัวตามใจจนเสีย ติดนิสัยชอบเล่นไปบ้าง”
โจวหลี่ศึกษาโคลงกลอนมาอย่างลึกซึ้ง อยู่ในเมืองหลวงก็เคยคบหาคนหลายประเภท ย่อมเข้าใจความหมายแฝงของนาง พยักหน้ารับคำ “ข้าทราบแล้ว แม่นางวางใจเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็ไม่พูดมากความอีก หลังจากเชิญท่านอาจารย์เข้าไปสอนหนังสืออย่างอ่อนน้อม ก็หันหลังกลับบ้าน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น