ท่านเทพมาแล้ว 209-212

 บทที่ 209 การเลือกอันยากลำบาก

โดย

Ink Stone_Romance

อ๋าวเจียงพูดอย่างดีใจ “สำเร็จแล้ว!”


มู่จิ่วพยักหน้า แต่กลับไม่ทันได้ยินดี นางรีบเก็บตาข่ายสวรรค์ไว้ในกำไล มุ่งไปทางเสียงที่เสือร้องดังมาต่อ!


แต่เพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ใต้เท้าทั้งสองกลับพลันเหยียบความว่างเปล่า ชัดเจนว่าใต้เท้าตรงนั้นจมลงไปทันที!


“จับข้าให้แน่น!”


อ๋าวเจียงเป็นสัตว์เทพจึงหูไวตาไวกว่า ขณะเดียวกันกับตอนที่จมลงไป เขาพลันกลายร่างเป็นมังกรเปล่งแสงสีเงินสว่างไปรอบด้าน จับมู่จิ่วม้วนขึ้นไปกลางอากาศ


และตำแหน่งที่จมลงไปกลับพลันมีไฟพุ่งออกมา หินหนืดสีแดงเพลิงพุ่งกระจายไปทุกทิศ เปลวไฟนั้นเหมือนกับลิ้นแดงที่ยาวไร้ขอบเขตหลายเส้น คิดจะจับพวกเขาลงหลุมอย่างบ้าคลั่ง!


“รีบไป! พวกเราสู้ธาตุไฟไม่ได้ หากดึงดันต่อไปอาจไม่มีชีวิตรอด!”


มู่จิ่วจับเขามังกรไว้ พลิกตัวทีเดียวก็อยู่บนหลังเขา ก่อนเร่งกระตุ้นพลังลมปราณช่วยเขาขยับหนี


ท่าทางแบบนี้ แม้แต่ตาข่ายสวรรค์ก็ไม่มีประโยชน์! เพราะควบคุมตาข่ายสวรค์ต้องใช้พลังนาง อีกทั้งธาตุไฟสามารถข่มธาตุทอง นางเรียกพลังออกมาไม่ได้ ตาข่ายสวรรค์ก็ทำงานไม่ได้!


อ๋าวเจียงไม่ลังเล ลากเสียงยาวก้องกังวาน หัวจรดหางกระโดดออกจากเปลวเพลิงไปยังกลางอากาศ จากนั้นอาศัยชั้นเมฆบินออกจากหลุมไฟนี้!


จนไม่รู้สึกถึงพลังไฟแล้วเขาจึงหยุดลง อย่างไรก็ตาม เท้าเพิ่งแตะลงพื้นเขาก็หมอบลง ก่อนกระอักเลือดดังอึก…ถึงแม้พวกเขามีปฏิกิริยาตอบกลับได้ทันเวลา แต่เปลวเพลิงยังคงแผดเผาเขาจนเป็นแผลหลายแผลบนร่าง พลังไฟที่แข็งแกร่งมากเมื่อสักครู่ ก็ทำให้เขาสูญเสียพลังฤทธิ์ไปมากตอนเข้าปะทะ


“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” มู่จิ่วรีบเข้าไปสำรวจบาดแผลอ๋าวเจียง จากนั้นรีบนำยาสองเม็ดใส่เข้าปากเขา


สภาพอ๋าวเจียงไม่ค่อยดีนัก ก่อนหน้านี้ก็ได้รับบาดเจ็บหนักที่วังหงส์เพลิง ถึงแม้หลังจากกินยาไปแล้วฟื้นฟูขึ้นมาบ้าง แต่ไหนเลยจะรับการโจมตีซ้ำๆ ได้? ย้อนกลับมาดูมู่จิ่ว เมื่อครู่ได้เขาปกป้องไว้ทันจึงไม่มีบาดแผล ความกังวลของนางตอนนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้


“ข้าเรียกพลังขึ้นมาไม่ไหวแล้ว เจ้าไปช่วยพวกอาฝู ไม่ต้องสนใจข้า” เขาผลักนางออกไป หายใจหอบพลางพูด “เต้าจู่กับพ่อข้าล้วนไม่มีข่าวคราว ก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องหรือไม่ เจ้าไปก่อน ระวังตัวหน่อยแล้วกัน” เขาพูดพลางหมอบอยู่บนพื้นอย่างอ่อนแรง ราวกับแม้แต่แรงเปิดตายังไม่มี


มู่จิ่วรีบพูด “ข้าจะทิ้งเจ้าไว้ที่นี่คนเดียวได้อย่างไร? หากเจออันตรายอีก…”


นางไม่ใช่คนที่จะทิ้งพวกพ้องของตนไว้เสียหน่อย!


“ไม่หรอก” อ๋าวเจียงปรับลมหายใจก่อนพูด “ป่านี้ตายแล้ว ต้องพบเจอพลังวิญญาณถึงจะมีพลังสังหาร ข้านอนนิ่งๆ อยู่ที่นี่ ไม่ตายหรอก! กลับกันหากเจ้าไม่ไป เกรงว่าพวกอาฝูจะมีอันตราย! อย่าลังเล รีบไปเถอะ!”


เขากลั้นหายใจ ผลักนางออกไปอีก


และตอนนี้เสียงร้องคำรามของเสือดังขึ้นจากที่ไกลๆ อีก ขณะเดียวกันก็มีเสียงต่อสู้มาด้วย!


ใจมู่จิ่วยิ่งกังวล ตอนนี้ไม่รู้ลู่ยาไปที่ไหน?


นางเร่งพลังฤทธิ์บนกำไลม่วงทอง ทว่าไม่มีเสียงตอบกลับอยู่นาน!


…แม้แต่ลู่ยาก็ไร้ร่องรอยไปแล้ว!


“ไม่ต้องรอแล้ว! รีบไป!”


อ๋าวเจียงผลักนางเต็มแรง จากนั้นจึงหมดแรงล้มลงไปบนพื้น


เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว มู่จิ่วก็ไม่ลังเลอีก นางลุกขึ้นมา ถอดกำไลม่วงทองออกจากมือไปใส่มือเขา “เจ้าใส่สิ่งนี้ไว้ ห้ามทำหายเด็ดขาด! อีกเดี๋ยวลู่ยาต้องหาเจ้าเจอแน่นอน!”


พูดจบนางก็มุ่งไปทางป่าลึกทิศตะวันตกเฉียงเหนืออย่างรวดเร็วโดยไม่หันหน้ากลับ!


อ๋าวเจียงคืบคลาน คิดจะคืนกำไลให้นาง แต่ยังไม่ทันลุกได้ ด้านหน้าก็พลันมืดลง สลบลงกับพื้น


ลู่ยาก็ดูออกว่ากองหินระเกะระกะมีภูมิประเทศรอบด้านเหมือนกับค่ายกลผังแปดทิศ เขากลัวว่าพวกมู่จิ่วตามมาจะขวางทาง ดังนั้นจึงให้พวกเขารออยู่ที่เดิม


เมื่อมองไปรอบด้านรอบหนึ่ง จึงพบว่าถึงแม้จะเป็นรูปแบบของผังค่ายกลจริง แต่แก่นค่ายกลเสียหายไปแล้ว อีกทั้งผ่านมายาวนาน ไม่รู้แล้วว่าใครเป็นคนสร้างขึ้น กำลังกลับไปถึงกองหินระเกะระกะเพื่อบอกให้พวกเขาสองคนเปลี่ยนที่ค้นหา ไหนเลยจะรู้ว่ากลับมาแล้วไม่เห็นเงาพวกเขา! ลู่ยารีบเคลื่อนไหวด้ายแดงบนข้อมือ ทว่าไม่มีการตอบกลับเช่นกัน!


“อาจิ่ว!”


เขาเริ่มตะโกนเรียก รอบด้านสงบเงียบ แม้แต่เสียงลมสักนิดยังไม่มี!


พวกเขาไปไหน?


จิตใจของเขาหนักอึ้งทันที อ้อมหุบเขาไปหลายรอบ ก็ไม่มีการตอบกลับมาแม้แต่น้อย! เขาร้อนใจจนควานมือวุ่นวายในแขนเสื้อ ก่อนพลิกเอาผ้าเช็ดหน้าพิมพ์ลายดอกเหมยแดงออกมา นี่คือแร่ปรอทที่กดมาจากหน้าผากนางตอนวาดภาพอยู่เรือนในวันนั้น แต่เดิมตอนนั้นแค่เล่นกัน ตอนนี้มันกลับกลายเป็นอุปกรณ์ที่ดีที่สุดในการตามหานาง!


เขาตามกลิ่นอายมู่จิ่วทางด้านหน้าไปจนถึงกลางป่า ตลอดทางไม่มีอะไรผิดปกติ อย่างไรก็ตาม ยิ่งเดินเข้าไปอีกหลายก้าวกลับรู้สึกว่าพลังวิญญาณเคลื่อนไหวอย่างประหลาดมาก กลิ่นอายของนางลอยวนไปมาอยู่กลางป่า


“เป็นค่ายกลไร้รูป!”


ไร้รูปเป็นวิธีการพูดของศาสนาพุทธ แต่ในอดีตองค์ยูไลก็แยกออกมาจากลัทธิเต๋า ดังนั้นค่ายกลนี้ไม่เพียงมีแก่นแท้ของวิชาเต๋า ยังรวบรวมทุกสรรพสิ่งของวิชาพุทธไว้ด้วย!


เขารีบรวบรวมพลังฤทธิ์เพื่อฉีกมุมทางเหนือของค่ายกล อาศัยไฟสมาธิทำลายค่ายกลนี้ จากนั้นกระตุ้นด้ายแดงบนข้อมืออีกครั้ง ครั้งนี้กระดิ่งเล็กด้านบนเคลื่อนไหว ส่งเสียงกระจ่างใสออกมา!


ในขณะเดียวกัน เสียงกระดิ่งก็ได้ชี้นำทิศทาง เขาพุ่งไปยังป่าลึกโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย!


เมื่อถึงที่ราบ กระดิ่งจึงค่อยๆ หยุดลง แต่บนตะไคร่น้ำที่ราบภูเขากลับมีคนหมอบอยู่ กำไลม่วงทองบนข้อมือทิ่มแทงสายตาเหมือนดาวในคืนหิมะ!


“อาจิ่ว!”


ลู่ยาหลุดเสียงพุ่งเข้าไป แต่นี่คือมู่จิ่วเสียที่ไหน? ดูเสื้อก็ชัดเจนแล้วว่าเป็นอ๋าวเจียงที่อยู่กับนาง!


ใจลู่ยาราวกับมีเปลวไฟ ไม่ทันได้พูดสิ่งใด มือก็กดลงไปบนอกอ๋าวเจียง พลังลมปราณราวกับคลื่นยักษ์กระทบเข้าไปในหัวใจเขาอย่างรุนแรง


อ๋าวเจียงไหนเลยจะรับพลังแข็งแกร่งขนาดนี้เข้าไปได้? ตอนนี้อ้าปากกว้างราวกับปลาใกล้ตายหอบหายใจ! แต่เช่นนี้ทำให้เขาฟื้นขึ้นมา หลังจากเปิดตาแล้วเห็นชัดว่าเป็นลู่ยาก็เตรียมเปิดปากพูด แต่ลู่ยากลับบีบคอเขาไว้พลางพูดอย่างเกรี้ยวกราด “อาจิ่วล่ะ?! นางไปไหน! ทำไมกำไลของนางถึงมาอยู่ในมือเจ้า!”


อ๋าวเจียงที่เพิ่งฟื้นกลับมาถูกลู่ยาบีบคอไว้แบบนี้ก็พลันอยากตาย เขาปรับลมหายใจอย่างยากลำบาก ก่อนพูด “นางไปช่วยอาฝู นางเอากำไลให้ข้า กลัวข้า…กลัวข้าตายที่นี่…”


ในดวงตาลู่ยาพลันมีประกายไฟลุกโชน เพื่อปกป้องคนอื่นนางถึงกับทิ้งกำไลที่เขาให้ไปไว้หรือ?


นั่นเป็นกำไลที่เขาให้นาง!


เป็นเขาที่ย้ำแล้วย้ำอีกว่าห้ามถอดออก!


ไม่มีกำไลเขาจะไปหานางได้ที่ไหน?!


ใจเขาพูดไม่ออกว่ารู้สึกแบบใด เขาเก็บมือกลับมา ลูบหน้าอย่างอ่อนล้า


ลู่ยาเงยหน้ามองรอบๆ พยายามปรับอารมณ์ให้สงบ “นางมุ่งหน้าไปทางไหน?”


“ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ!” อ๋าวเจียงฝืนชี้ไปด้านหลังเขาพลางพูด


เขาไม่รู้ว่ากำไลนี้สื่อแทนความหมายอะไร สีหน้าของลู่ยาทำให้ใจเขารู้สึกถึงลางร้าย ราวกับกลัวอีกฝ่ายเปลี่ยนใจ เขาใช้มือทั้งสองยันพื้นยืนขึ้น ก่อนชี้ไปข้างหน้า “ข้าจะไปกับท่าน! อาฝูมีอันตราย นางรอพวกเราไปช่วยนางอยู่!”


ลู่ยายืนขึ้นมองเขาคราหนึ่ง จากนั้นกัดฟันหันหน้าเดินไป


…………………………………………………………


บทที่ 210 โกรธ โกรธ โกรธ โกรธ!

โดย

Ink Stone_Romance

ตลอดทางมู่จิ่วเดินไปทิศตะวันตกเฉียงเหนือไม่หยุด เสียงเสือร้องและเสียงต่อสู้ดังอยู่ข้างหูเหมือนฝนที่ตกอย่างต่อเนื่อง


แต่ตลอดทาง นอกจากเสียงนี้แล้วกลับไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรอีก เสียงนั้นยิ่งฟังยิ่งเหมือนมาจากนอกฟ้าอันห่างไกล


นางเริ่มรู้สึกว่าแปลกประหลาด ทำไมตอนที่นางกับอ๋าวเจียงเผชิญหน้ากับอันตราย ลู่ยากลับไม่ปรากฏตัวออกมาแม้แต่น้อย? เขาไม่ได้ยินเสียงร้องของอาฝูหรือ? นี่ชัดเจนว่าเป็นไปไม่ได้


หากเกิดเรื่องขึ้นกับอาฝู ลู่ยาต้องไปช่วยเหลือเร็วกว่าพวกเขา ขณะเดียวกันก็ต้องบอกให้พวกเขารู้แน่ แต่ตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่เห็นเขาโผล่หน้าออกมาเลย หากบอกว่าตอนพวกเขากลับเข้าป่ามาไม่ทัน แบบนั้นตอนนางเจอไฟโจมตีเขาอยู่ที่ไหน?


ว่ากันตามเหตุผล เขาไม่อาจไม่รู้ได้ว่านางเจออันตราย ทว่าตั้งแต่แรกล้วนเป็นนางกับอ๋าวเจียงสองคนต่อสู้อยู่ กระทั่งแม้แต่กระตุ้นกำไลม่วงทองที่เขาเคยกำชับอย่างเคร่งครัดว่าให้ใช้หากพบอันตรายและต้องการความช่วยเหลือ นางก็ยังกระตุ้นไม่ได้เลย เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขา? หรือเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนางและอ๋าวเจียง?


นางหยุดเท้าลงทันที มองดูต้นสนใหญ่ที่โค้งงออยู่ด้านหน้า


ต้นสนนี้นางเห็นมาแล้วสองรอบ!


และทั้งสองรอบนั้นล้วนอยู่บนทางที่นางแยกจากอ๋าวเจียงมาตามหาอาฝู!


นางมองดูรอบตัวเร็วๆ หนึ่งรอบ ไม่ผิด! นางเดินกลับมาที่เดิมอีกแล้วจริงๆ และไม่เพียงเท่านี้ ต้นไม้รอบด้านดูไปแล้วแต่ละต้นกลับคล้ายกันนัก แม้แต่พื้นก็เรียบราวสร้างขึ้นจากพื้นตะไคร่น้ำที่เหมือนกันเชื่อมต่อกันไป ไม่ว่ามองไปมุมไหนก็ดูไม่ต่าง นั่นก็หมายความว่า ตอนนี้แม้แต่ทิศทางนางก็ยากจะแยกแยะแล้ว!


รอบด้านแม้แต่ลมก็ไม่มี…


ต้นไม้แต่ละต้น ใบไม้แต่ละใบ ล้วนเป็นเหมือนต้นไม้จำลองที่วาดไว้ข้างๆ ไม่มีเสียงของอาฝูแล้ว เสียงต่อสู้ก็ไม่มีเช่นกัน เลือดลมนางในอกเริ่มเคลื่อนไหวปั่นป่วน นางรีบนั่งลงปรับลมหายใจ แต่ครั้งนี้กลับระงับลงไปไม่ได้ พลังวิญญาณรอบกายเหมือนกับน้ำที่ถูกกวนในกระทะ จะอย่างไรก็หยุดไม่ได้!


ในที่สุดนางก็แน่ใจได้ว่าตนเองติดกับดักแล้ว เสียงร้องของอาฝูเป็นของปลอม เสียงต่อสู้ก็เป็นของปลอม ไม่แน่ว่าแม้แต่ไฟก่อนหน้านี้ก็อาจเป็นของปลอมเหมือนกัน ตอนนี้นางถูกขังอยู่ในป่า แม้แต่ทิศทางลมยังจับไม่ได้ ที่จริงแม้แต่ทิศทั้งสี่ก็หาไม่เจอแล้ว!


“ลู่ยา! อาฝู!”


นางเริ่มตะโกนขึ้น!


แต่เสียงที่ส่งออกไปกลับกลายเป็นเสียงสะท้อน มีเพียงที่เปิดโล่งและปิดแน่นถึงจะสามารถเกิดเสียงสะท้อนได้ และถึงแม้ตำแหน่งที่นางอยู่คือหุบเขา แต่รอบด้านล้วนมีต้นไม้ ไม่มีอะไรขวางทาง กลับมีเสียงสะท้อนได้!


แม้นางยอมรับว่าตนเองใจกล้า แต่ตอนนี้กลับอดหวาดกลัวอยู่บ้างไม่ได้


นางตัดสินใจวิ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง แต่ไม่ว่านางวิ่งไปไกลแค่ไหน ต้นไม้ด้านข้างก็ยังเป็นต้นไม้เหล่านั้น พื้นใต้เท้าก็ยังเป็นตะไคร่น้ำผืนนั้น นางวิ่งจนเท้าอ่อนแรง หายใจหอบ เหมือนแข่งวิ่งกับตนเองอยู่คนเดียวในพื้นที่อันว่างเปล่า


จนในที่สุดนางก็หมดแรง กอดต้นไม้แห้งต้นหนึ่งคุกเข่าลงไป หยาดเหงื่อเหมือนฝนหยดลงบนดินโคลน นางปิดตาแน่น บังคับให้ตนเองสงบใจ


นางเริ่มเข้าใจแล้วว่าไอมารที่ลู่ยาพูดถึงในป่านี้หมายความว่าอะไร นางต้องเตรียมใจให้ดีกับการที่ลู่ยาจะหานางไม่เจอ แต่ก็ไม่อาจถูกขังตายอยู่ในนี้ได้


นางต้องมีชีวิตรอดออกไป!


นางยังอยากไปเจอลู่ยา ยังอยากเลื่อนขั้นให้สำเร็จราบรื่นตามที่หลิวหยางปรารถนา!


นางขบฟัน เปิดตาขึ้น


อย่างไรก็ตาม ไม่รู้ว่าตรงหน้ามีทางเล็กขรุขระเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นตอนไหน ต้นกำเนิดของเส้นทางเริ่มมาจากหยดเหงื่อของนาง ถนนสายนี้มุ่งไปไกล ทิวทัศน์เริ่มเปลี่ยนแปลง และมีแสงบางๆ ปรากฏออกมา


นางกลัวว่านี่ยังเป็นภาพมายา ดังนั้นจึงกัดนิ้วตนเองหยดเลือดไปตามทาง นี่คือหนึ่งในวิชาคลายภาพมายาที่มู่หรงหลิวเย่ให้นาง และเป็นวิชาคลายเพียงหนึ่งเดียวที่นางใช้ได้ตอนนี้ ตัวผู้ฝึกวิชาภาพมายาสามารถใช้เลือดสลายวิชามายาได้ แต่ระดับสูงต่ำของการสลายขึ้นอยู่กับพลังบำเพ็ญของผู้ฝึกวิชานี้


หยดเลือดตรงไปข้างหน้าตามเส้นทาง ทิวทัศน์สองฝั่งเปลี่ยนไปไม่หยุด นางเริ่มเพิ่มความเร็ววิ่งไปข้างหน้า ทว่าตอนที่นางกำลังพุ่งออกจากป่านี้ ตีนเขาด้านหน้าพลันมีพลังขนาดใหญ่โจมตีมา!


“อึก…”


นางไม่สามารถต้านทานการโจมตีนี้อีกต่อไป เสียงในลำคอดังขึ้นอย่างอึดอัด ร่างล้มลงกับพื้นทันควันราวกับดาวตก พลังลมปราณที่พลุ่งพล่านในร่างกายยิ่งรวดเร็วจนควบคุมได้ยากขึ้น มันไหลวนที่แขนขาและร่างของนาง!


ตอนนี้ในที่สุดมู่จิ่วก็เริ่มเชื่อว่าจุดจบของตนเองมาถึงแล้ว ถึงแม้นางไม่ถูกพลังที่ด้านนอกขุมนี้ปะทะจนตาย ก็ต้องตายด้วยพลังในร่างกายของตนเอง!


แม้แต่พลังฤทธิ์นางก็ไม่สามารถใช้ได้จริง ยิ่งใช้ผลสะท้อนกลับมาก็ยิ่งแรง


แต่หากไม่ใช้แล้วละก็ นางทำได้เพียงรอความตายเท่านั้น!


ทว่าตอนที่นางกำลังเค้นสมองคิดว่ายังมีวิธีอะไรบ้าง มือคู่หนึ่งกลับพยุงนางไว้อย่างมั่นคงจากด้านหลัง! ดวงตาคู่หนึ่งเหมือนกับน้ำนิ่งก้มมองนาง บนใบหน้ายังมีความโกรธที่พยายามอดกลั้นไว้!


“ลู่ยา!”


มู่จิ่วกลั้นกลิ่นคาวในลำคอ ทั้งร่างผ่อนคลายขึ้น


ลู่ยาคลายมือวางนางบนพื้น ถามนางว่า “กัวมู่จิ่ว กำไลม่วงทองที่ข้าให้เจ้าล่ะ!”


มู่จิ่วซวนเซจับก้อนหินยืนให้มั่น “อ๋าวเจียงบาดเจ็บ ข้ากลัวเขามีอันตราย…”


“เรื่องที่ข้าสั่งเอาไว้ เจ้าไม่เก็บมาใส่ใจแบบนี้หรือ?”


ความโกรธเกรี้ยวของลู่ยาย่อมไม่ยอมให้นางพูดจนจบ “ข้าระมัดระวังปกป้องเจ้าไม่ให้เจ้าตาย คราวก่อนมอบหยกประดับให้เก็บไว้ให้ดี สุดท้ายเจ้าก็ปลดมันออก ครั้งนี้ข้ากำชับเจ้าขนาดนั้นว่าห้ามให้กำไลนี้ห่างตัวเด็ดขาด เจ้ากลับเอามันให้คนอื่น แต่ไหนแต่ไรเจ้าไม่เคยใส่ใจข้าใช่หรือไม่!”


มู่จิ่วสับสน นางกระอักกระอ่วนพูด “เจ้าฟังข้าอธิบายก่อน เมื่อครู่ข้าเจออันตราย อ๋าวเจียงบาดเจ็บเพราะข้า และเมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงอาฝูได้รับอันตราย ข้าไม่รู้จะทำอย่างไร คิดได้แต่วิธีนี้ ข้าไม่ได้ไม่ใส่ใจเจ้านะ!”


ตลอดมานางไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้ นี่ทำให้นางยิ่งร้อนรนกว่าตอนที่ถูกขังอยู่ในภาพมายาคนเดียวเสียอีก


ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น ที่จริงนางไม่ได้ครุ่นคิดมากนัก นางคิดเพียงอ๋าวเจียงมีกำไลม่วงทอง ลู่ยาต้องหาเขาเจอ เขาต้องไม่ตายแน่…นางไม่ได้คิดว่าที่พวกเขาเจอทั้งหมดล้วนเป็นกับดัก หากรู้แต่แรก หรืออ๋าวเจียงไม่บาดเจ็บเพราะนาง นางจะไม่ทำแบบนี้เด็ดขาด!


แต่ตอนนี้พูดอย่างไรเขาถึงจะเข้าใจนางเล่า?


พลังลมปราณในร่างกายนางยิ่งเคลื่อนไหวรุนแรงมากขึ้นตามอารมณ์ที่แปรปรวน


แต่นางใส่ใจกับเรื่องมากมายขนาดนี้ไม่ได้


“เจ้ารู้เพียงว่าเขาบาดเจ็บเพราะเจ้า ข้าทำเพื่อเจ้ามากขนาดนั้น เจ้ากลับมองไม่เห็น?!”


ลู่ยาอดกลั้นความโกรธในอกไม่ได้แล้ว ไปกับเขาโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ช่างเถอะ กลับยังเอากำไลที่เขาให้ใส่ในมือผู้ชายคนอื่น นี่นางกำลังบอกเขาว่านางไม่เห็นค่าสิ่งของของเขา? ไม่เห็นค่าความใส่ใจของเขาหรือ?! หรือความรู้สึกของเขาสามารถเหยียบย่ำได้ตามใจชอบ ไม่ต้องมองเป็นเรื่องสลักสำคัญ?


…………………………………………………


บทที่ 211 คนหลอกลวง!

โดย

Ink Stone_Romance

ความโกรธในตาเขาพลันกลายเป็นความเย็นชา ขนาดฟันที่กัดแน่นยังแผ่ความเยียบเย็นออกมา แม้แต่คำพูดที่ออกจากปากก็ยิ่งเสียดแทงกระดูก


“กำไลม่วงทองนั้นเป็นยันต์ปกป้องชีวิตที่ข้าให้แก่ภรรยาในอนาคต เจ้าคิดว่าสิ่งของของข้าไม่ว่าใครก็คู่ควรกับมันหรือ? แม้แต่ชีวิตตนเองเจ้าก็ไม่สนใจ เพียงเพราะเขาบาดเจ็บเพราะเจ้าหนึ่งครั้ง หากวันนี้ข้าไม่มีพลังตามหาเจ้า เจ้าคิดจะถูกขังตายจนอยู่ที่นี่ เพื่อให้ได้ชื่อเสียงจอมปลอมยอมสละชีพเพื่อคุณธรรมหรืออย่างไร! ข้ากลัวเจ้าตายขนาดนั้น แต่กลับแสร้งเป็นคนดีมีเมตตาน่าสมควรตายอะไรนั่นอีก!”


แรงกดดันรอบกายที่แผ่ซ่านออกมาตามความโกรธของเขา แต่ละคลื่นทำลายต้นไม้รอบด้านจนล้มระเนระนาด


มู่จิ่วรู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งร่างคำพูดอ่อนโยนมาถึงริมปากก็กลืนกลับลงไปในท้องในพริบตาเดียว นางทำเพื่อชื่อเสียงจอมปลอม? นางทำเพื่อแสร้งเป็นคนดีมีเมตตา?!


นางก็โกรธแล้วเช่นกัน


ช่างหัวคู่หมั้นเขาเถอะ!


ไม่ว่าอะไรนางก็ไม่อยากพูดกับเขาแล้ว!


นางผลักเขาออกไป เดินซวนเซไปข้างหน้า


ที่แท้นางกัวมู่จิ่วในใจของเขาเป็นเพียงคนต่ำต้อยจอมเสแสร้งที่กระหายในชื่อเสียง พอกันที เจ้าเป็นเทพเซียน เจ้าไปสำราญของเจ้าเองเถอะ! คนไร้ตัวตนอย่างนางขอไม่ร่วมทาง!


ลู่ยามองนางที่จากไปอย่างดื้อดึง ฟันใกล้ถูกบดจนเป็นผงแล้ว!


แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยสละให้คนคนหนึ่งมากขนาดนี้มาก่อน ตลอดมาไม่เคยคิดทำดีกับใครสักคนโดยไม่มีเงื่อนไข เขาเข้าใจว่าสิ่งที่ทำทั้งหมดมากพอจะทำให้นางรู้สึกว่าตนเองควรค่ากับความไว้วางใจแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางกลับไม่เคยเอาความใส่ใจของเขามาใส่ใจเลย!


เขารู้สึกผิดหวัง ที่แท้ไม่ว่าในสถานการณ์เช่นใด นางกลับไม่เคยมีความมั่นคงต่อเขาเลยสักนิด!


เขารู้ว่านางกังวลอะไร นางกลัวว่าอายุขัยจะไม่ยืนยาว ไม่มีหนทางมีอนาคตร่วมกับเขา เขาก็เหมือนกับนาง กลัวนางตายเช่นเดียวกัน กลัวว่าถึงแม้นางสามารถกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งก็จะลืมเขาจดหมดสิ้น ด้านหนึ่งเขาต้องการปล่อยให้นางฝึกฝนคนเดียว อีกด้านหนึ่งก็อยากยืนยันว่านางจะอยู่อย่างสงบปลอดภัย แต่นางเล่า? กลับไม่สนใจแต่แรกว่าเขาต้องการคำตอบรับหรือไม่!


ถึงตอนนี้นางกลับยังผลักไสเขาออกอย่างถือดี!


ผู้หญิงไร้จิตใจ!


“ในเมื่อเจ้าจะไป แบบนั้นภายหลังหวังว่าข้ากับเจ้าจะไม่มีวันพบกันอีก!”


ต้องการตัดความสัมพันธ์ ใครเล่าทำไม่ได้?


เขาทำหน้านิ่งพูดไปหนึ่งประโยค จากนั้นหมุนตัวขึ้นเมฆ พริบตาเดียวก็หายไปบนฟ้า


มู่จิ่วหันกลับมามองทิศที่เขาจากไป ยิ้มเยาะเย้ยสองครา กระบอกตากลับเจ็บขึ้นทันที


ไม่เจอกันก็ไม่เจอกัน! มีอะไรพิเศษกัน?


แต่แรกก็รู้แล้วว่าพวกเขาทั้งสองไม่มีปลายทางที่ดีอะไร เขาต้องการหยอกนางเล่น ตอนนี้เจอเรื่องเล็กน้อยก็สะบัดก้นจากไป คนแบบนี้ สุดท้ายแล้วมีความมั่นใจจากไหนมาบอกว่าจะให้นางผัดปลาให้เขาไปตลอดชีวิต? นางไม่ได้อธิบายเหตุผลหรือ? กำไลนั่นนางจงใจไม่ใส่หรือไร? ผัดปลาของย่าเจ้าเถอะ! ไปให้เร็วก็ดี!


มู่จิ่วยกมือขึ้นลูบหน้าอย่างโกรธเกรี้ยว แต่น้ำตากลับใกล้จะร่วงลงมา


เจ้าคนหลอกลวง! เจ้าคนหลอกลวงผู้นี้!


เคยพูดชัดเจนว่าอยู่ด้วยกันกับนางได้ เคยพูดว่าอยากมีลูกกับนาง ยังพูดอีกว่าอนุญาตนางผัดปลาให้เขากินแค่คนเดียว ตอนนี้ล้วนโกหกทั้งนั้น!


คำพูดที่เขาเคยพูดเอง กลับกลายเป็นลมพัดผ่านหู!


นางผิดนางแก้ไขก็พอแล้วมิใช่หรือ? ตอนเขาเอากำไลให้นางก็ไม่ได้บอกว่านี่คือสิ่งยืนยันว่านางเป็นคู่หมั้นของเขา เวลาเขาพูดมีมากแค่ไหนที่เป็นความจริง? สุดท้ายจะให้นางถือเอาคำไหนของเขาเป็นจริง คำไหนเป็นหลอก? หากรู้แต่แรกว่าเร็วขนาดนี้ก็ตัดสินใจไม่เจอกันตลอดไป คำเหล่านั้นก่อนหน้านี้พูดกับนางทำไม? ทำมากมายขนาดนั้นทำไม?


เห็นนางเป็นคนใจแข็ง เจ็บปวดไม่เป็นเสียใจไม่เป็นจริงๆ หรือ?


คิดแบบนี้น้ำตาของนางก็ร่วงหล่นลงมาหยดแล้วหยดเล่า ความเจ็บปวดในใจยิ่งรุนแรงขึ้น เลือดลมที่พลุ่งพล่านไม่หยุดยิ่งเคลื่อนไหวรุนแรงขึ้นตามอารมณ์ สุดท้ายนางทำได้เพียงคุกเข่าลงไปนั่งบนพื้น ให้น้ำตาบนหน้าเอ่อล้นออกมาอาบทุกที่


นางไม่รู้ว่าตนเองร้องไห้อะไร ก็แค่ผู้ชายพึ่งพาไม่ได้คนหนึ่งมิใช่หรือ คนเหมือนพวกเขาไม่ช้าก็เร็วต้องแยกกันนี่?


นางไม่ร้อง นางควรดีใจถึงจะถูก…


ต่อไปก็หาชายชาตรีสามัญสักคน เป็นแบบนี้ถึงจะมีความสุขสบาย!


…แต่ ยิ่งเป็นแบบนี้นางยิ่งทรมานใจ นางผิดแล้ว ชัดเจนว่านางรับปากว่าจะไม่ถอดกำไลออก…ถึงแม้สาปเขาพันหมื่นรอบ ด่าเขาพันหมื่นรอบ แล้วอย่างไร? สรุปคือนางไม่ทำตามสัญญา เขาต้องไม่รู้ว่าแต่แรกนางก็มองเขาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตในอนาคตแล้ว เขาต้องไม่รู้แน่ว่ายามนางคิดถึงเขาจะยิ้มออกมา ยามเห็นเขาก็ดีใจอย่างมาก เขาเจ้าคนหลอกลวง เจ้าคนเย็นชา เขากลับทิ้งนางไว้แบบนี้ ไม่สนใจนางแล้ว!


กลิ่นคาวในคอตีกลับขึ้นมา นางกลืนลงไปพร้อมกับกลั้นน้ำตา


แต่ความกังวลในใจและความเสียใจจะอดกลั้นอย่างไร?


อารมณ์เหมือนกับคลื่นยักษ์ แต่ละคลื่นถาโถมเข้าสู่การรับรู้ของนาง คล้อยหลังการเคลื่อนไหวเหล่านี้ จมูกพลันมีของเหลวไหลออกมา นางยกมือขึ้นลูบดู มันคือเลือดที่ติดหลังมือมา


นางเลือดไหล?


ยังไม่รอให้นางคืนสติ ในอกนางพลันกระตุกระลอกหนึ่ง เลือดกลุ่มหนึ่งกระอักออกมาจากปากโดยไม่มีสัญญาณเตือนแม้แต่น้อย


พลังฤทธิ์ที่กดลงไปเมื่อครู่เหมือนม้าป่าที่ไร้การควบคุม เริ่มกระโดดอยู่ในร่างนาง! เลือดที่กลืนกลับเข้าไปในปากไหลออกมาอีกครั้ง ไม่นานเสื้อคลุมด้านหน้าก็เปียกไปหมด เสื้อสีเขียวกลายเป็นสีแดงจนออกดำ แต่หัวใจนางกลับเดือดพล่าน นางแทบรู้สึกถึงเลือดลมที่ไหลทะลักออกมาไม่หยุดจากหัวใจ เหมือนกับร่างนางเป็นน้ำพุ!


แต่ไหนแต่ไรนางไม่เคยสูญเสียการควบคุมพลังแบบนี้ และยิ่งไม่เคยมีพลังแข็งแกร่งไร้ขอบเขตเช่นนี้มาก่อน…


นี่นางเป็นอะไร?


นางมองตนเองอย่างเหม่อลอย สติเชื่องช้าอยู่บ้าง แต่ชีพจรทุกที่กลับมีพลังฤทธิ์พุ่งออกมา นางสูญสิ้นการควบคุมตนเองโดยสิ้นเชิง หัวใจที่เดือดพล่านยังคงดำเนินต่อ และยิ่งโจมตีร่างกายนางรุนแรงขึ้น! เลือดที่ยังไม่พ่นออกมากลับกลายเป็นคลื่นลมขุมหนึ่ง พวกมันแต่ละคลื่นพุ่งจากหัวใจตรงไปยังแขนขาร่างกาย กระแทกจนนางมึนศีรษะ สายตาพร่าเลือน แม้แต่ท่านั่งยังรักษาไว้ไม่ได้!


ความตระหนักรู้ของนางล้วนเหลือเพียงเรื่องที่ลู่ยาจากไปเท่านั้น นอกจากเรื่องนี้แล้ว เรื่องอะไรนางก็ล้วนจำไม่ได้!


นางไม่เชื่อว่าเขาจะจากไปแบบนี้จริง!


เขาไม่ให้โอกาสนางอธิบายก็ไปแล้วหรือ?


“ลู่ยา…”


การยึดมั่นถือมั่นเหมือนกับอสูรร้าย ค่อยๆ กลืนกินหัวใจนาง


นางผิดจริงหรือ?


นางเพียงแค่ไม่อยากให้อ๋าวเจียงตายก็ผิดแล้วหรือ?


เพราะความผิดนี้ นางถึงต้องจ่ายค่าตอบแทนอันยิ่งใหญ่แบบนี้?


ระหว่างการรักษาสัญญากับความเป็นความตายของพวกพ้อง ไม่มีหนทางประนีประนอมจริงหรือ?


นางโอนเอนลุกขึ้นมา มองท้องฟ้าอย่างใจลอย สายตาของนางว่างเปล่าแต่ยืนหยัด ราวกับจุดจบของชีวิตก็ยังต้องการหาคำตอบจากจักรวาลอันไร้ขอบเขตนี้ เลือดลมยิ่งวิ่งบ้าคลั่งรุนแรงทั่วร่างกายนาง พลังกลายเป็นทะเลกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ทำให้นางหายใจไม่ออกและงุนงง


นางไม่ใช่ตัวนางเองแล้ว


นางใช้กำลังกายทั้งหมดกรีดร้องออกมา


คล้อยหลังเสียงกรีดร้อง บนหัวมีเสียงอสุนีบาตหนักหนา ฟ้ามืดกว้างใหญ่เต็มไปด้วยดาวพลันปรากฏเมฆดำรัศมีกว่าร้อยลี้อย่างรวดเร็ว ในชั้นเมฆมีเสียงอสุนีบาตดังเข้าหูไม่หยุด ตำแหน่งที่นางอยู่พลันมีแสงสว่างสีทองส่องออกไปรอบด้าน!


ลมคลั่งพัดเส้นผมและเสื้อของนางขึ้น ในดวงตาของนางสว่างเจิดจ้า สว่างจนแม้แต่ตนเองยังรู้สึกว่าใกล้ถูกพลังฤทธิ์ในร่างกายกลืนกิน!


นางนำพลังที่พวยพุ่งอย่างบ้าคลั่งทั้งหมดเคลื่อนไปยังช่วงอกและแขนขา เสียงกรีดร้องมุ่งไปยังทิศห่างไกล ดังก้องทะลุเมฆไปถึงหมื่นลี้!


นางต้องการทำลายโลกใบนี้ และให้ความไม่สบายใจแผ่ซ่านไปทั่วชั้นฟ้า!


นี่ราวกับเป็นหนทางเรียกตนเองกลับมาเพียงอย่างเดียวที่นางนึกได้…


……………………………………………………


บทที่ 212 สังหารเขาเสีย!

โดย

Ink Stone_Romance

ลู่ยาจากไปพันลี้อย่างเร็ว ไฟความโกรธในใจยังคงคุกรุ่น วันเดือนที่ผ่านมาช่างน่าสับสนยิ่งนัก บางทีอาจตั้งใจกลั่นแกล้งคนมามาก แต่เขาแต่ไหนแต่ไรไม่เคยให้ความสำคัญกับหญิงคนหนึ่งถึงขั้นนี้มาก่อน และก็ไม่เคยคิดหยอกเย้าอะไรนาง เขาไม่คิดเลยว่าสิ่งที่ความจริงใจของตนเองได้ตอบแทนมาจะเป็นความไม่ใยดีของนาง…


ถึงแม้นางบอกว่าเรื่องมีสาเหตุ แต่เขายังรู้สึกเจ็บปวด เขาหวังว่าคนที่นางจะใส่ใจยิ่งกว่าคือเขา ไม่ใช่ความเป็นตายของคนข้างๆ! ขนาดเขายังไม่มีความคิดจะทำตัวเป็นผู้กอบกู้โลก นางมีสิทธิอะไรในใจถึงมีเรื่องนั้นเรื่องนี้แต่กลับไม่มีเขา?


แม้แต่หลังจากเขาพูดคำที่รุนแรงขนาดนั้นออกมา นางล้วนไม่สะทกสะท้าน และก็ไม่เคยโอนอ่อนยอมเขาก่อน เขาไม่มีหนทางเชื่อได้เลยว่าในใจนางมีเขาอยู่ บางทีเขาอาจจะเข้าใจผิดมาตลอด ตลอดมานางไม่เคยชอบเขา และการเปลี่ยนแปลงของนางในภายหลังล้วนเป็นเพียงเขากดดันให้ตอบรับมา นางไม่เคยมองเขาเป็นคนที่สามารถใช้ชีวิตเคียงคู่ไปตลอดอย่างจริงจัง!


เขากลั้นความแสบร้อนบนกระบอกตา กัดฟันแน่น กระตุ้นพลังฤทธิ์เพิ่มความเร็วบินต่อไปข้างหน้า!


ทว่าเขาเพิ่งก้าวเท้า ตอนนี้เองกลับพลันได้ยินเสียงกรีดร้องดังทะลุเมฆมาจากด้านหลังที่ห่างไกลออกไป! เสียงตะโกนนี้เหมือนกับค้อนหนักที่ทุบลงไปบนใจเขาแรงๆ! เขาจำเสียงนี้ได้ ถึงแม้จะห่างไปพันหมื่นลี้ เขาก็จำได้ว่านี่เป็นเสียงของนาง! คล้อยหลังเสียงนี้ยังมีเสียงอสุนีบาตดังอยู่ไกลๆ ต่อเนื่องไม่หยุด!


เขาหยุดทันทีก่อนหันกลับไป เห็นเพียงบนฟ้าเหนือทิวเขานั้นไม่รู้ฟ้าดินกลับเปลี่ยนสีไปตอนไหน เมฆหนาเป็นชั้นตามด้วยลมบ้าคลั่งม้วนตลบอย่างรุนแรง ใต้ชั้นเมฆมีลำแสงสีทองทะลุขึ้นมาหลายสาย ทั้งเขตคุนหลุนตะวันออกถูกอาบจนกลายเป็นสีทองผืนหนึ่งราวกับวิหคทองเข้าใกล้โลก ความทะมึนอันแปลกประหลาดของที่นั่นหายไปหมด!


อาจิ่ว!


ลำคอของเขากระตุก มือทั้งสองกำแน่นจนเหมือนหมัดเหล็ก!


นั่นคือสถานที่ที่นางอยู่ใช่หรือไม่?


นางเจออันตรายเช่นนั้นหรือ?


เขากลั้นหายใจอยู่สักครู่ แล้วพลันกลายเป็นลำแสงสายหนึ่งพุ่งไปยังแสงทองนั้น!


มู่จิ่วนั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดหินในหุบเขา สองตามองไปข้างหน้าอย่างว่างเปล่า ไม่สนลมเมฆที่ลอยเคลื่อนอยู่รอบกายตนเอง!


ความรู้สึกของนางชัดเจนยิ่งขึ้น นางจำได้เพียงคนเดียว ลู่ยา จำได้เพียงเรื่องเดียว เขาไปแล้ว


ความยึดมั่นในหนทางเซียนตลอดสองพันปีของนาง แต่ไหนแต่ไรไม่เคยกลัวอุปสรรคใด แต่ตอนนี้นางสิ้นหวังแล้ว


นางต้องการคำตอบ นางผิดจริงหรือ? นางผิดจริงหรือ?


นางปวดหัวจนแทบระเบิด นางไม่พบคำตอบ!


“อาจิ่ว!”


มีเสียงดังมากลางอากาศ ถึงแม้แทรกผ่านช่องว่างเสียงอสุนีบาตเข้ามา กลับชัดเจนถึงหูนาง


เป็นเสียงของเขา


เขามาแล้ว?


นางเงยหน้าขึ้น มองไปอย่างตื่นตระหนก บนก้อนเมฆที่ลอยตรงเมฆชั้นนอกมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ แสงทองตกลงบนใบหน้าเขา ส่องโครงร่างเขาอย่างพร่าเลือน เขาสวมเสื้อดำ คอเสื้อเปิดออกเล็กน้อย ผมสีน้ำหมึกแผ่กระจาย โบกสะบัดอยู่ในสายลม ใบหน้าซีดขาวเหมือนหิมะในวังขั้วโลกเหนือที่ปกคลุมอยู่ตลอดปี หางตาทั้งคู่ที่ชี้ขึ้นเล็กน้อยของเขาราวต้องการดึงนางกลับขึ้นไป!


นี่ไม่ใช่เขา!


เขาไม่ใช่ลู่ยา ยังมาเรียกนางแบบนี้อีก?


นั่นไม่ใช่เขา แต่กลับกล้ามายุแหย่นางในเวลานี้?


พลังที่ควบคุมไม่ได้ทั้งหมดของนางพลันพุ่งออกมา พลังฤทธิ์รอบตัวกลายเป็นพายุ แสงทองนั้นยิ่งสาดออกไปสี่ด้านแปดทิศเหมือนธนู!


“อาจิ่ว!”


ลู่ยายืนอยู่บนเมฆ มองภาพตรงหน้าอย่างตื่นตกใจ! เห็นเพียงสถานที่ที่นางกับเขาเจอกันก่อนหน้านี้ปกคลุมไปด้วยเมฆทะมึน พลังของคนคนหนึ่งที่ใต้เมฆดุจคลื่นยักษ์ในทะเล แต่ละคลื่นโจมตีจนหินทรายกระจายไปรัศมีร้อยลี้กว่า หินใหญ่ขนาดพันจินบินว่อนไปทุกทิศเหมือนกับหินกรวด ต้นไม้ในเขตป่าอุดมสมบูรณ์ก็ล้วนถูกถอนรากออก ประดุจมีกำลังพลิกฟ้าดิน!


คนตรงกลางที่บึ้งตึงเย็นชาและมีไอสังหารแพร่กระจายไปทั่วคือมู่จิ่ว แต่ก็ไม่ใช่มู่จิ่ว!


นางเป็นหัวเสินน้อยที่ไม่ว่าอะไรนิดหน่อยก็ต้องให้เขาปกป้อง แต่เดิมนางไม่มีพลังแข็งแกร่งขนาดนี้! แต่ขุมพลังเบื้องหน้าที่แม้แต่เขายังพบเจอมาน้อยมากไม่เพียงออกมาจากร่างนาง ทว่ายังเปลี่ยนไปตามการเคลื่อนไหวของนาง! เหมือนได้เข้าไปในจิตต้นกำเนิด หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความตระหนักรู้และอารมณ์ของนางนานแล้ว!


“อาจิ่ว เจ้ามานี่!”


เสียงของเขาเจือความสั่นเครือ นี่เป็นครั้งที่สองตั้งแต่เขาเกิดมา ครั้งแรกคือตอนอาจารย์ปฐมวิญญาณกลายเป็นวิถีฟ้า เขารับความเจ็บปวดจากการแยกจากไม่ได้จึงร้องไห้เสียงสั่นออกมา เขาเข้าใจว่าตนเองควบคุมฟ้าดินได้นานแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าหลังจากหลายหมื่นปีเขาจะสั่นเทาอีกเพราะความกลัวที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ!


“อาจิ่วเด็กดี เจ้ามานี่!”


เขายื่นมือไปหานาง เสียงอ่อนแรงจนแม้แต่ตนเองยังกลัว


เขาไม่กล้าเข้าไป กลัวว่าพลังของเขาจะกระตุ้นให้พลังบนร่างนางเสียการควบคุม พลังฤทธิ์ของนางแข็งแกร่งเกินไป แข็งแกร่งจนหากเสียการควบคุมเพียงนิดอาจทำให้นางสลายกลายเป็นผุยผง! เขาไม่กล้าสู้กับผลลัพธ์นี้!


มู่จิ่วยืนขึ้นมา แต่วินาทีถัดมากลับพลันกระโดดขึ้น ฝ่ามือทั้งสองพลิกไปมากลางอากาศสี่ห้ารอบ พลังลมปราณสายหนึ่งที่รวมขึ้นมาในพริบตาเดียวพุ่งเข้าโจมตีเขาอย่างเนืองแน่น!


“อาจิ่ว!”


ลู่ยาไม่ทันตกใจ ถอยหลังหลบอย่างรวดเร็ว แต่จากนั้นนางชักกระบี่ออกมาแล้วสร้างค่ายกลกระบี่โจมตีเขา!


แหสวรรค์ตาข่ายกระบี่เป็นวิชาพิเศษที่หลิวหยางสอนให้มู่จิ่ว แต่เดิมพลังการเข่นฆ่าก็รุนแรงมาก ตอนนี้อาศัยพลังในร่างนาง ทั้งคุนหลุนตะวันออกพลันปกคลุมไปด้วยแสงเยียบเย็น! ป่าทึบที่แต่ก่อนมืดทึมพากันเหี่ยวแห้งภายใต้พลังกระบี่ที่มาถึง เขาที่สูงกว่าร้อยจั้งบริเวณใกล้ๆ ก็ล้มลงเสียงดังครืน ทั้งหุบเขาสั่นสะเทือนทันใด ได้ยินเพียงเสียงโครมครามสะเทือนแก้วหู!


ลู่ยาตกใจกลัว ทั้งไม่สามารถเข้าใกล้และไม่มีทางถอนตัวจากไป จึงทำได้เพียงหยิบขลุ่ยหยกจากในแขนเสื้อออกมารับมือ!


ไม่ลงมือคงยังไม่รู้ แต่เพียงลงมือ ตอนพลังสองฝั่งปะทะกัน ทั้งแผ่นดินเก้าทวีปก็สะเทือนเลื่อนลั่น!


บนโลกนี้คนที่สามารถต่อกรกับเขาได้มีไม่มากนัก แต่ตอนนี้มู่จิ่วคือหนึ่งในนั้น!


ทั้งตัวนางเหมือนอยู่ในสภาวะคลุ้มคลั่ง เขายิ่งเข้าใกล้ เสียงกรีดร้องของนางยิ่งดังเสียดแทงหู กระบี่บนมือยิ่งเคลื่อนไหวโหดเหี้ยมขึ้นตามการขับเคลื่อนของพลัง! นางตอนนี้มีแค่พลังฤทธิ์เท่านั้น ยังไม่ปรากฏการหนุนด้วยวิชาพลังบำเพ็ญลึกล้ำ ถึงแม้ลู่ยารับมืออย่างสบายๆ แต่จะไม่ตกใจกลัวไม่กังวลได้อย่างไร?!


แต่ถึงแม้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ กลับไม่กล้าใช้แรง เขาแพ้ไม่สำคัญ เขาไม่ตาย หากนางแพ้ต้องควบคุมพลังขุมนั้นไม่อยู่ สุดท้ายจะจบลงด้วยการสลายเป็นผุยผง!


ฟ้าทั้งผืนเหนือคุนหลุนตะวันออกล้วนถูกเมฆดำที่เคลื่อนไหวไม่หยุดปกคลุม


คลื่นลมที่พลังนำมาโจมตีต้นไม้บนภูเขาจนเกือบราบคาบหมด


สัตว์ปีกสัตว์บกที่หลับสนิทอยู่ไกลๆ พากันหวีดร้องและหนีไปที่ไกล


มู่จิ่วกลับไม่ได้ยิน มองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ ในใจนางมีเพียงความตั้งใจเดียว สังหารคนผู้นี้ซะ! สังหารเขา! ลู่ยาโทษนางว่าเสแสร้งเป็นคนดีมีเมตตา นางจะยืนยันให้เขาดู นางก็ใจคอโหดเหี้ยมได้ เห็นคนตายโดยไม่ช่วยได้ และสามารถไม่สนใจคำสาบานที่จะสร้างสุขให้สรรพสัตว์ซึ่งพูดไว้ตอนเข้าสู่เส้นทางบำเพ็ญเป็นเซียน!


เพื่อเขา ไม่ว่าอะไรนางก็สามารถเปลี่ยนได้…


การเคลื่อนไหวของกระบี่นางยิ่งรวดเร็วขึ้น พลังฤทธิ์กลายเป็นมังกรทองร่ายระบำ สีฟ้าเข้มของไอกระบี่เคียงคู่ไปกับแสงทองที่พวยพุ่งจากบนร่าง เหมือนกับกิเลสที่เกาะติดใจ พาการโจมตีแทงไปยังอกของลู่ยาอย่างหมายเอาชีวิต!


…………………………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)