อัจฉริยะสมองเพชร 2086-2093

 ตอนที่ 2086 บอกมาได้เลย

ครึ่งวันให้หลัง จางเซวียนก็มาถึงเกาะคว้าดาว


“คารวะเจ้าสำนักหลิว” คุ่ยเฉี่ยวประสานมือ


เขาคิดว่าชายหนุ่มคงแค่ออกสำรวจบริเวณโดยรอบ ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเพิ่งเดินทางเข้าสู่ทะเลว่างเปล่าที่แสนอันตราย


“เจ้าสำนัก?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


“ผมเพิ่งสั่งการเหล่าผู้อาวุโสให้ให้ส่งข่าวอย่างเป็นทางการไปถึง 5 สำนักใหญ่ นับจากวันนี้ไปคุณคือเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวงของพวกเรา” คุ่ยเฉี่ยวพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง “ไม่ต้องกังวลไป ผมจะคอยช่วยเหลือคุณในฐานะผู้อาวุโสคนหนึ่ง”


จางเซวียนนึกไม่ถึงว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วแบบนี้ เขาทำได้แค่ส่ายหน้า


ในเมื่อตกปากรับคำกับคุ่ยเฉี่ยวไปแล้ว ก็ไม่อาจคืนคำได้ อีกอย่าง อิทธิพลของเขาในฐานะเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวงจะทำให้เขาเดินทางตระเวนไปทั่วทวีปที่ถูกลืมได้สะดวกขึ้นมาก


สิ่งที่เขาต้องทำก็คือทิ้งเต่าหลังดำไว้ให้เป็นการตอบแทนก่อนที่เขาจะออกจากดินแดนนี้


“ความสัมพันธ์ของสำนักดาวเจ็ดดวงกับตำหนักคว้าดาวเป็นอย่างไร?” จางเซวียนตั้งคำถาม


“โดยรวม ตำหนักคว้าดาวไม่เป็นมิตรเท่าไหร่กับอีก 5 สำนักใหญ่ที่เหลือ ซึ่งสำนักดาวเจ็ดดวงก็ติดต่อกับตำหนักคว้าดาวเฉพาะเรื่องธุรกิจเท่านั้น ส่วนที่นอกเหนือจากนั้น ผมเกรงว่าเราจะไม่มีสายสัมพันธ์ใดๆกับพวกเขา” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวตอบ


“พูดอีกอย่างก็คือ เราไม่ได้สนิทสนมกับพวกนั้นใช่ไหม?” จางเซวียนถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


“จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ผิด” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวพยักหน้า “แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการเจรจาต่อรองกับพวกเขาจะเป็นไปไม่ได้ ในฐานะเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวง ขอแค่สิ่งที่คุณร้องขอไม่ได้เกินขอบเขตไป พวกเขาก็น่าจะพยายามทำตามคำขอของคุณเพื่อรักษามารยาทพื้นฐานไว้”


แม้ทั้งสองสำนักจะไม่ได้สนิทสนมกัน แต่ในฐานะเจ้าสำนักของ 6 สำนักใหญ่ ก็ยังพอเอื้อประโยชน์ให้กันและกันบ้าง เพราะถึงอย่างไร ต่างคนก็ยังต้องพึ่งพากัน โดยเฉพาะเมื่อมีภัยคุกคามใหญ่หลวงรอคอยอยู่


คงไม่ฉลาดนักหากจะผิดใจกันด้วยเรื่องเล็กน้อย


“ผมอยากเข้าพบหัวหน้าตำหนักคว้าดาวเพื่อถามอะไรสักหน่อย” จางเซวียนพูด


“ถ้าคุณต้องการแค่ถามคำถามล่ะก็ คงไม่มีปัญหาหรอก” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวพยักหน้า “ขอแค่เรื่องนั้นไม่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมและเหล่าเทพเจ้าของพวกเขา ผมก็ไม่เห็นว่าจะมีอุปสรรคใด อย่างที่คุณรู้ ความยิ่งใหญ่สูงสุดของตำหนักคว้าดาวคือความสามารถในการเข้าถึงเทพเจ้า จึงเป็นธรรมดาที่เรื่องนั้นจะเป็นความลับของพวกเขา คงไม่เข้าทีหากจะขอให้พวกเขาแบ่งปันเรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้”


ในครั้งนั้น ตอนที่เจ้าสำนักทั้ง 6 รวมตัวกันเพื่อหารือเรื่องแผนการเข้าสู่สะพานเบื้องบน หัวหน้าฉิงหย่วนเปรยเรื่องนี้ขึ้นมาเพียงเล็กน้อย แต่นั่นก็เกือบทำให้พวกเขามีเรื่องกัน


ขอแค่คำถามของชายหนุ่มไม่แตะต้องประเด็นอ่อนไหวนี้ ทุกอย่างก็น่าจะราบรื่น


“เอ่อ…”


คำพูดนั้นทำให้จางเซวียนตาค้าง


นั่นคือสองเรื่องที่เขาตั้งใจจะถามหัวหน้าตำหนักคว้าดาว!


เห็นอาการของชายหนุ่ม ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวตาโตขณะถามอย่างระแวง “เจ้าสำนักหลิว คุณตั้งใจจะสอบถามเรื่องพวกนั้นกับพวกเขาหรือ?”


“มีบางเรื่องที่สำคัญมากกับผม ซึ่งผมอยากขอความชัดเจนจากหัวหน้าตู้” จางเซวียนตอบอย่างลังเล “ว่าแต่…คุณรู้หรือเปล่าว่าผมจะเข้าถึงตัวเธอได้อย่างไร?”


แม้เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวจะทำให้เขาหมดกำลังใจไปแล้ว แต่ก็ยังอยากลองดู


ถ้าเขาเข้าพบหัวหน้าตู้ชิงหย่วนและสอบถามเธอในฐานะเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวง ก็น่าจะได้รับปฏิกิริยาตอบสนองที่ดีกว่าการเข้าไปในฐานะศิษย์สายตรงคนหนึ่ง


เห็นชายหนุ่มตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวกุมขมับด้วยความลำบากใจ เขาเพิ่งบอกอีกฝ่ายไปหยกๆว่าส่งมอบตำแหน่งเจ้าสำนักให้ แต่หมอนี่ก็ตั้งต้นสร้างปัญหาทันที


แต่เพราะเห็นแก่ความที่ชายหนุ่มเป็นเจ้าสำนักของพวกเขาแล้ว ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวพูดต่อ “การเข้าถึงตัวเธอไม่ได้ยากเกินไป ผมพอจะช่วยคุณจัดการพบปะได้ แต่ผู้อาวุโสหลิว…คุณจะต้องหนักแน่นและวางตัวให้ดีนะ หัวหน้าตำหนักตู้เป็นคนอารมณ์ฉุนเฉียวมาก ถ้าคุณเกิดความขัดแย้งใดๆกับเธอล่ะก็ คงต้องขอให้คุณระงับอารมณ์และคำนึงถึงผลประโยชน์ของสำนักของเราก่อน…”


พูดตามตรง เขาไม่กังวลเรื่องความปลอดภัยของชายหนุ่มมากนัก เพราะถึงตู้ชิงหย่วนจะเป็นนักรบผู้เก่งกาจไร้เทียมทาน แต่เจ้าสำนักคนใหม่ของพวกเขาก็มีของล้ำค่าขั้นสรวงสวรรค์และเต่าหลังดำอยู่กับตัว หากเกิดการต่อสู้ขึ้นจริงๆ ฝ่ายที่เสียเปรียบก็ไม่น่าจะเป็นเขา


แต่ก็นั่นแหละ หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความขัดแย้งเลยย่อมดีกว่า ในฐานะเจ้าสำนัก ความสัมพันธ์ที่ดีหรือแย่ย่อมมีผลต่อการชี้ชะตาของกลุ่มอำนาจแต่ละกลุ่มในอนาคต


“วางใจเถอะ ผมแค่ถามคำถามพื้นๆไม่กี่ข้อ ไม่คิดจะทำลายสัมพันธไมตรีหรอก” จางเซวียนตอบยิ้มๆ


จางเซวียนผ่านสถานการณ์ที่ต้องใช้วิธีต่อตาฟันต่อฟันมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งเขาจะไม่สร้างความวุ่นวายใดๆถ้าอีกฝ่ายไม่ยั่วยุเขาก่อน โดยเฉพาะเมื่อมีความสัมพันธ์ระหว่างสำนักเป็นเดิมพัน


“แบบนั้นก็ค่อยยังชั่ว!” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวยกมือทาบอกอย่างโล่งใจเมื่อได้รับคำมั่นสัญญา “เอาเถอะ ผมจะช่วยคุณติดต่อเธอเดี๋ยวนี้”


จากนั้นเขาก็นำตราหยกสื่อสารออกมาอันหนึ่งและแตะมันเบาๆ


ครู่ต่อมา ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวเงยหน้า “เจ้าสำนักหลิว หัวหน้าตู้ตอบตกลงที่จะพบคุณ แต่เธออยากให้การพบปะครั้งนี้เกิดขึ้นที่ตำหนักคว้าดาว”


จางเซวียนพยักหน้า


เรื่องสถานที่ไม่ใช่ปัญหา


ภายใต้การนำของผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยว ทั้งคู่ออกเดินทางไปอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าก็มายืนอยู่หน้าประตูบานใหญ่ของตำหนักคว้าดาว


ตำหนักคว้าดาวไม่เหมือนสำนักอื่นๆ ที่นี่ดูไม่ต่างกับวังธรรมดาๆแห่งหนึ่ง มันตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองใหญ่เหมือนสำนักดาวเจ็ดดวง แต่หน้าตาของวังเทียบความสง่างามกับอาคารสูงตระหง่านทั้ง 7 ของสำนักดาวเจ็ดดวงไม่ได้


แต่ถ้าพิจารณาให้ถี่ถ้วน ก็จะรู้สึกได้ว่าพลังจิตวิญญาณในรัศมีหลายล้านลี้พุ่งตรงเข้าสู่วังนั้นอย่างต่อเนื่อง เกิดเป็นค่ายกลขนาดมหึมา


ก็เพราะรากฐานอันมั่นคงแข็งแกร่งนี้ ตำหนักคว้าดาวจึงยืนหยัดอยู่ได้แม้จะถูกห้อมล้อมด้วยเผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำที่ทรงพลังจำนวนมากมาย


ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวยื่นสมุดแนะนำตัว แล้วทั้งคู่ก็เข้าสู่ตำหนักทันที ภายใต้การนำของบริวารสตรีคนหนึ่ง พวกเขาเดินเลี้ยวซ้ายขวาหลายครั้งก่อนจะหยุดที่ห้องรับแขกขนาดใหญ่


ทั้งคู่รออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นสุภาพสตรีคนหนึ่งก็เข้ามาในห้องรับแขกและพูดว่า “เจ้าสำนักหลิว หัวหน้าตำหนักของเราอยากพบคุณเป็นการส่วนตัว ฉันคงต้องขอให้ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวรอที่นี่”


“ผมเข้าใจ” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวพยักหน้า


เขารู้ดีว่าชายหนุ่มมีความลับบางอย่างที่อยากหารือกับตู้ชิงหย่วน จึงไม่เหมาะสมนักถ้าเขาจะอยู่ด้วย


ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวเตือนชายหนุ่มให้ระวังตัวก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้


จางเซวียนเดินตามสุภาพสตรีผู้นั้นออกจากห้องรับแขกไป จากนั้นก็ผ่านทางเดินที่นำไปสู่ห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง


ภายในห้องเงียบกริบจนน่ากลัว ร่างหนึ่งที่สวมผ้าคลุมศีรษะผืนใหญ่ยืนอยู่ที่ใจกลางห้อง ผืนผ้านั้นบดบังสายตาไว้


เสียงสุขุมนุ่มลึกดังมาจากใต้ผ้าคลุมศีรษะนั้น “ยินดีต้อนรับเจ้าสำนักหลิว ฉันเพิ่งได้ข่าวการสถาปนาตำแหน่งของคุณ และไม่คิดว่าคุณจะมาถึงที่นี่รวดเร็วขนาดนี้”


“สำนักดาวเจ็ดดวงเป็นพันธมิตรคู่ค้ากับตำหนักคว้าดาวมาตลอด ฉันเชื่อว่าเรื่องที่ทำให้เจ้าสำนักหลิวอยากพบฉันในครั้งนี้จะต้องสำคัญมาก ฉันจะพยายามเต็มที่ที่จะทำตามคำขอของคุณหากอยู่ในวิสัยที่ฉันทำได้”


จางเซวียนออกจะไม่พอใจที่เห็นหัวหน้าตำหนักคว้าดาววางท่าใส่เขาด้วยการพูดจาผ่านผ้าคลุมศีรษะ เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าตู้ชิงหย่วนมีนิสัยแบบนี้ อดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังพยายามทดสอบหรือไม่ก็ดูถูกเขา


แต่จางเซวียนก็ประสานมือและตอบว่า “ผมมีเรื่องด่วนที่อยากขอความช่วยเหลือคุณ, หัวหน้าตู้”


สุภาพสตรีที่สวมผ้าคลุมศีรษะพยักหน้า “บอกมาได้เลย”


“หัวหน้าตู้ ผมได้ยินว่าเมื่อ 2 เดือนก่อน คุณประกอบพิธีกรรมเพื่อเรียกเทพเจ้าให้ลงมายังทวีปที่ถูกลืม ผมอยากถามอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเทพเจ้าสักหน่อย” จางเซวียนพูด


ในเมื่อเขามาถึงที่นี่แล้ว ก็ต้องขจัดข้อสงสัยที่ค้างคาใจให้ได้


“เจ้าสำนักหลิว, ฉันไม่รู้ว่าคุณได้ข่าวนั้นมาจากไหน แต่ฉันไม่รู้จริงๆว่าคุณพูดเรื่องอะไร เพราะฉะนั้น…เกรงว่าคงบอกอะไรคุณไม่ได้” ร่างที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมศีรษะตอบอย่างเฉยชา


จางเซวียนย่นหน้าผาก เขาพูดต่อ “ผมไปที่ทะเลว่างเปล่าเพื่อสืบเสาะเรื่องนี้ด้วยตัวเอง มีพยานบอกผมว่าเมื่อ 2 เดือนก่อนคุณไปเยือนสถานที่แห่งนั้น คุณประกอบพิธีกรรมเพื่อเรียกเทพเจ้าลงมา แต่พิธีกรรมนั้นล้มเหลว ส่งผลให้เทพเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสระหว่างที่กำลังหาทางลงมาสู่ทวีปที่ถูกลืม”


“เจ้าสำนักหลิวคงเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะ ฉันเก็บตัวอยู่ในตำหนักคว้าดาวมาหลายปีแล้ว ไม่มีทางที่ฉันจะไปทะเลว่างเปล่า เกรงว่าจะไม่รู้จริงๆว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไร” ร่างนั้นตอบ “ถ้าคุณพยายามจะเค้นเอาเรื่องราวให้ได้ล่ะก็ เจ้าสำนักหลิว…ฉันคงไม่มีเวลาหารือกับคุณ เสี่ยวชิง, ส่งแขก!”


สุภาพสตรีที่พาจางเซวียนเข้ามาเดินมาหาและเชิญเขาออกไป “เจ้าสำนักหลิว เชิญทางนี้”


“ถ้าคุณไม่เต็มใจเปิดเผยข้อมูลเรื่องนั้นล่ะก็ หัวหน้าตู้ ยกโทษให้ความไร้มารยาทของผมด้วยก็แล้วกัน!”


จางเซวียนไม่ใส่ใจสุภาพสตรีคนนั้น เขาคำรามก่อนจะยกเท้าขึ้น


เขารู้ดีว่าตู้ชิงหย่วนจะต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลัวลั่วชิง ต่อให้เขาต้องพลิกทั้งตำหนักคว้าดาว ก็จะต้องค้นหาความจริงให้ได้


ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาอาจต้องคิดหนัก แต่เมื่อมีของล้ำค่ากับอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์คอยคุ้มกัน เขาก็มีวิธีที่จะบีบบังคับให้อีกฝ่ายเปิดปาก


หากเป็นเรื่องอื่น จางเซวียนไม่เดือดร้อนที่จะรอ แต่สำหรับเรื่องนี้ เขารอไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว


“ไร้มารยาท?” เสียงจากผ้าคลุมศีรษะเย็นเยียบขึ้นมาทันที “เจ้าสำนักหลิว คุณคิดจะเป็นศัตรูกับตำหนักคว้าดาวหรือ?”


“ผมไม่อยากทำแบบนั้นหรอก ที่ผมต้องการก็คือขอให้คุณช่วยไขข้อสงสัยเล็กน้อยของผมเท่านั้น, หัวหน้าตู้” จางเซวียนตอบพร้อมกับโบกมือ


ฟึ่บ!


อสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ 4 ตัวปรากฏขึ้นในห้องนั้นพร้อมกัน


“เชิญหัวหน้าตู้มาตรงนี้!”


“ขอรับ นายท่าน!”


แม้ฉลามสามพี่น้องกับเต่าหลังดำจะเป็นเผ่าพันธุ์อสูรที่อยู่ใต้น้ำ แต่เพราะพวกมันสำเร็จวรยุทธขั้นสูงแล้ว จึงใช้ชีวิตบนบกได้ เพียงแต่พละกำลังของพวกมันจะลดลงเล็กน้อย


เมื่อเผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำ 4 ตัวสำแดงพละกำลังออกมาพร้อมกัน พลังงานมหาศาลก็ระเบิดขึ้นสู่กลางอากาศ


“บังอาจ!”


ตอนที่ 2087 คิดจะประกาศสงครามหรือ?

ร่างที่อยู่ใต้ผ้าคลุมศีรษะคิดไม่ถึงว่าเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวงคนใหม่จะอวดดีถึงขนาดเปิดศึกในดินแดนของเธอ


ฟึ่บ!


ผู้อาวุโสหลายคนที่มีวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์กรูกันเข้ามาในห้อง เกิดกระแสลมหอบใหญ่


“ส่งผู้บุกรุกพวกนี้กลับไป” จางเซวียนสั่งการอย่างเคร่งขรึม


พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!


ผู้อาวุโสทั้งหมดที่เพิ่งเข้ามากระเด็นออกไปกระแทกพื้นพร้อมๆกัน แต่ละคนได้รับบาดเจ็บสาหัส


วรยุทธระดับอมตะขั้นสูงกับกึ่งสรวงสวรรค์นั้นมีความแตกต่างกันมาก แม้เผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำจะปลดปล่อยพละกำลังของของมันออกมาได้เพียง 80% เมื่ออยู่บนพื้นดิน แต่ก็ยังเหนือชั้นเกินกว่าที่นักรบระดับอมตะขั้นสูงจะรับมือได้


พลั่ก!


ขณะที่ฉลามหมายเลข 1 เล่นงานผู้อาวุโสคนหนึ่ง ฉลามหมายเลข 2, หมายเลข 3 และเต่าหลังดำก็ตรงเข้าล้อมร่างที่อยู่ใต้ผ้าคลุมศีรษะไว้ พวกมันผนึกกำลังกันผลักดันอีกฝ่ายให้มาอยู่ตรงหน้าจางเซวียน


“คุณไม่ใช่หัวหน้าตู้ชิงหย่วนนี่? คุณเป็นใคร?”


เมื่อเห็นสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้า จางเซวียนตั้งคำถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


แม่สาวที่อยู่ตรงหน้าเขาสวมชุดสีม่วงอ่อน รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น หน้าตาของเธอดูเหมือนอายุไม่เกิน 25 ปี ดังนั้นอายุที่แท้จริงของเธอก็ย่อมไม่เกินร้อยปี อีกอย่าง เธอเป็นแค่นักรบอมตะขั้นสูงระดับล่าง!


แน่นอนว่าคนระดับตู้ชิงหย่วนย่อมเก่งกาจพอที่จะปกปิดอายุและวรยุทธที่แท้จริงได้ แต่เห็นได้ชัดว่าสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าเขากำลังหวาดผวาอย่างหนักแม้จะพยายามวางท่าเข้มแข็ง แล้วเธอจะเป็นหัวหน้าตำหนักคว้าดาวได้อย่างไร?


ร่ำลือกันว่าตู้ชิงหย่วนแข็งแกร่งกว่าผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวเสียอีก ดังนั้น ถึงเธอจะไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้นำของ 6 สำนักใหญ่ แต่ก็น่าจะอยู่ใน 3 อันดับแรก!


“คุณกล้าสร้างความวุ่นวายในตำหนักคว้าดาว…คิดจะประกาศสงครามหรือ?” สาวน้อยคำรามด้วยใบหน้าแดงก่ำ


เธอนึกไม่ถึงว่าเจ้าสำนักหลิวที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวงคนใหม่จะไร้เหตุผลขนาดนี้ ไม่ใส่ใจมารยาทของการพบปะพูดคุยระหว่างสำนักและจับตัวเธอมาดื้อๆ


จางเซวียนเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เขาก้าวออกไปด้วยท่วงท่าสง่างามแล้วจับจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา “ผมว่าคุณเองก็อวดดีไม่แพ้ผม ผมส่งคำขอพบปะหัวหน้าตู้ด้วยความจริงใจ แต่คุณพยายามปั่นหัวผมด้วยการส่งบริวารมา แบบนี้ไม่เท่ากับยั่วยุสำนักดาวเจ็ดดวงหรือ? คุณคิดจะประกาศสงครามใช่ไหม?”


ถึงอย่างไรเขาก็มาที่นี่ในฐานะตัวแทนของสำนักดาวเจ็ดดวง เขาส่งคำขอพบปะอย่างเป็นทางการและยื่นสมุดแนะนำตัวบริเวณประตูทางเข้าด้วย ถ้าหัวหน้าตู้ไม่อยากพบเขาก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่คนพวกนี้พยายามตบตาเขาด้วยการใช้ตัวปลอม แบบนี้ไม่เรียกว่าปั่นหัวหรือไง?


ไม่แปลกใจแล้วที่พวกเขาไม่ยอมให้ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวเข้ามา


เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้ล่อหลอกเขาเพราะเห็นว่าเขาเป็นคนหน้าใหม่และไม่รู้จักตู้ชิงหย่วนตัวจริง!


“คุณ…” สาวน้อยตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว


ดูเหมือนเธอมีอะไรจะพูดมากมาย แต่ก็ไม่มีคำไหนหลุดออกจากปาก


เธอรู้ดีว่าตำหนักคว้าดาวเป็นฝ่ายผิด


“หัวหน้าตู้อยู่ไหน? ให้เธอออกมาพบผมเดี๋ยวนี้ แล้วผมจะไม่เอาเรื่อง ไม่อย่างนั้น ถ้าเรื่องนี้ลุกลามออกไปล่ะก็ จะไม่มีพวกคุณคนไหนรับผิดชอบไหว!” จางเซวียนคำรามขณะกวาดสายตาข่มขู่ไปทั่วห้อง


เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าเหตุผลคืออะไร แต่ดูเหมือนตู้ชิงหย่วนไม่เต็มใจพบเขา ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่สั่งการให้บริวารเล่นละครตบตาเขาแบบนี้ เมื่อเห็นกันชัดๆว่าพูดกันต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ จางเซวียนจึงเลือกใช้ไม้แข็งเพื่อบีบตำหนักคว้าดาวให้ส่งตู้ชิงหย่วนออกมา


ไม่ว่าอย่างไร เขาจะต้องเสาะหาข้อมูลของหลัวลั่วชิงให้ได้!


สาวน้อยกัดฟันกรอด แต่ไม่ยอมปริปาก


“ปิดปากเงียบงั้นสิ? จะเล่นแบบนี้ใช่ไหม? ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นผมจะไม่เกรงใจแล้วนะ” จางเซวียนพูดพร้อมกับโบกมือ


ฟิ้วววว!


อสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ 4 ตัวปล่อยรังสีของมันออกมาทันที เล่นงานบรรดานักรบที่อยู่โดยรอบ


เพราะเป็นกลุ่มอำนาจใหญ่ของทะเลพลัดดาว เผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำทั้ง 4 จึงผ่านการสู้รบมาไม่น้อย รังสีของพวกมันมีเจตนาสังหารอันน่าสะพรึงที่ทำให้ผู้อ่อนแอกว่าแทบจะหยุดหายใจ


“เจ้าสำนักหลิว กรุณาระงับอารมณ์ก่อน!”


ในตอนนั้น เสียงหนึ่งก็แว่วมาจากที่ไกลๆ จากนั้น สุภาพสตรีสูงอายุที่มีวรยุทธอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ก็บินเข้ามาในห้อง


“ฉันคือผู้อาวุโสที่ 1 ของตำหนักคว้าดาว, จ้าวเยว่ ส่วนสาวน้อยคนนี้คือศิษย์สายตรงของหัวหน้าตำหนักของเรา, ฉู่อิง ขออภัยด้วยถ้าเธอทำให้คุณขุ่นเคืองใจ”


จางเซวียนจ้องสุภาพสตรีสูงอายุเขม็ง รอฟังว่าเธอจะพูดอะไรต่อไป


“หัวหน้าตู้มีภารกิจที่ต้องจัดการ ตอนนี้จึงไม่ได้อยู่ในตำหนักคว้าดาว พวกเราเกรงว่าคงไม่ดีนักหากจะปล่อยให้คนนอกรู้ จึงตัดสินใจปิดข่าวไว้ ฉันขออภัยคุณสำหรับเรื่องนั้นด้วย” ผู้อาวุโสที่ 1 จ้าวเยว่ประสานมือ


คำพูดนั้นทำให้จางเซวียนย่นหน้าผาก


การที่หัวหน้าตำหนักไม่อยู่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร มีเหตุผลที่จำเป็นต้องปิดบังเรื่องเล็กๆแบบนี้ด้วยหรือ?


ในทางกลับกัน พฤติกรรมแบบนี้มีแต่จะทำให้ความน่าเชื่อถือของตำหนักคว้าดาวลดลงหากเรื่องราวรั่วไหลออกไป ผลที่ได้มีแต่จะตรงกันข้าม!


อีกอย่าง ต่อให้หัวหน้าตำหนักไม่อยู่ ก็ยังมีผู้อาวุโสอีกมากมายที่พร้อมดูแลภารกิจต่างๆ ด้วยกลไกการทำงานที่ทำให้ตำหนักดำรงอยู่ได้ ก็ไม่น่าจะเกิดเรื่องผิดพลาดแบบนี้ขึ้น


ใช่ว่าสำนักอื่นๆจะส่งกองทัพเข้ามาสร้างความปั่นป่วนทันทีที่รู้ว่าหัวหน้าตำหนักไม่อยู่เสียเมื่อไหร่!


ผู้อาวุโสที่ 1 จ้าวเยว่รู้สึกได้ถึงความแคลงใจของจางเซวียน เธอประสานมือพร้อมกับยิ้มแหยๆ “พวกเรามีเหตุผลส่วนตัวที่ทำให้ต้องแก้ไขสถานการณ์ด้วยวิธีนี้…ฉันขอวิงวอนให้เจ้าสำนักหลิวเข้าใจด้วย”


“เหตุผล?” จางเซวียนทวนคำ


“ขออภัยด้วยเถอะ แต่ฉันไม่สะดวกใจที่จะพูดถึงเรื่องนี้จริงๆ ในเมื่อตอนนี้หัวหน้าตำหนักของเราไม่อยู่ ฉันคงต้องขอให้คุณกลับมาวันหลัง, เจ้าสำนักหลิว ครั้งนี้ตำหนักของเราทำผิดพลาดจริงๆ แต่คุณวางใจได้เลยว่าหัวหน้าตู้จะมีคำอธิบายที่ดีให้เมื่อเธอกลับมา” ผู้อาวุโสที่ 1 จ้าวเยว่พูด


จางเซวียนจับจ้องอีกฝ่ายเพื่อประเมินความจริงใจในทีท่าของเธอ ก่อนในที่สุดจะพยักหน้า “ไม่เป็นไร ผมไม่ติดใจเอาความกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ แต่คงต้องขอให้คุณแจ้งผมทันทีที่หัวหน้าตู้กลับมาถึงตำหนักคว้าดาว”


เขามาที่นี่เพียงเพื่อสอบถามเรื่องหลัวลั่วชิง ไม่มีเจตนาจะทำให้ตำหนักคว้าดาวเป็นศัตรูกับสำนักดาวเจ็ดดวง ในเมื่ออีกฝ่ายมีท่าทีอ่อนลงแล้ว ก็คงดูไม่ดีหากเขาไม่ยอมจบ


จางเซวียนโบกมือและส่งอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ทั้ง 4 กลับเข้าไปในกระสอบอสูร


“ลาก่อน”


จากนั้นเขาก็หันหลังกลับและออกจากห้อง


ทันทีที่มาถึงห้องรับแขก ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวลุกขึ้นยืนและเดินเข้ามาด้วยสีหน้ากระวนกระวาย


“ผมรู้สึกได้ถึงกระแสพลังงานที่แผ่ออกมาจากบริเวณที่คุณอยู่…เมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น?”


เขาเกรงว่าชายหนุ่มจะมีเรื่องกับหัวหน้าตู้ชิงหย่วน ซึ่งนั่นทำให้หวั่นใจอยู่ลึกๆ


“กลับไปแล้วผมจะเล่ารายละเอียด” จางเซวียนไม่ยอมอธิบาย


แล้วทั้งคู่ก็ออกจากตำหนักคว้าดาว


แต่หลังจากที่บินมาได้เพียงครู่เดียว จางเซวียนก็หยุดกึก


“เจ้าสำนักหลิว…” เห็นสีหน้าของชายหนุ่มไม่สู้ดี ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวตั้งคำถาม “เมื่อครู่นี้มันเกิดอะไรขึ้น? คุณได้พบหัวหน้าตู้หรือเปล่า? กระแสพลังงานที่เกิดขึ้นคืออะไร?”


คงไม่ใช่ว่าพวกเขาต่อสู้กันหรอกนะ ใช่ไหม?


เจ้าสำนักหลิว…คุณสัญญากับผมแล้วนี่ว่าจะไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม!


“ผมไม่ได้พบหัวหน้าตู้หรอก” จางเซวียนส่ายหน้า


เขาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวฟัง


“คุณบอกว่าหัวหน้าตู้ไม่ได้อยู่ในสำนัก ศิษย์สายตรงของเธอจึงปลอมตัวเป็นเธอเพื่อมาพบคุณ?” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวงุนงงกับเหตุการณ์ที่พลิกผัน


การที่เจ้าสำนักจะไม่อยู่ในสำนักของตัวเองเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อยๆ…การที่พวกเขาอยู่ที่ตำหนักคว้าดาวในเวลานี้ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง


มีความจำเป็นอะไรที่ใครสักคนจะต้องปลอมตัวเป็นตู้ชิงหย่วน?


มีบางอย่างผิดปกติแน่ๆ!


ดูไม่สมเหตุสมผลเลยที่ตำหนักคว้าดาวซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปีจะไม่รู้ที่ถูกที่ควรและตัดสินใจทำอะไรโง่ๆแบบนี้


“ผมก็ว่ามันแปลก ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยว, ตอนนี้คุณกลับสำนักดาวเจ็ดดวงไปก่อนนะ ผมจะกลับไปที่ตำหนักคว้าดาวเพื่อตรวจสอบสถานการณ์” จางเซวียนพูด


ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็เห็นชัดว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นภายในตำหนักคว้าดาว สถานการณ์ที่ปรากฏเมื่อครู่นี้ดูประหลาดมาก เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เลย!


หัวหน้าตู้คือคนเดียวที่รู้รายละเอียดเรื่องการลงมายังทวีปที่ถูกลืมของหลัวลั่วชิง เขาต้องพบเธอให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหนก็ตาม!


“ผมจะไปด้วย!” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวพูดอย่างเป็นห่วง


“ผมเกรงว่าอาจเกิดบางอย่างขึ้นระหว่างที่เราไม่อยู่ ควรมีใครสักคนคอยรับมือหากมีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ” จางเซวียนตอบอย่างเคร่งขรึม


ได้ยินคำนั้น ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวไม่ดึงดัน “อย่างนั้นก็ได้ แต่คุณระวังตัวด้วยนะ”


ถ้าตำหนักคว้าดาวแสดงพฤติกรรมประหลาดแบบนี้ จะต้องมีเหตุการณ์สำคัญบางอย่างเกิดขึ้นแน่ คงไม่ดีนักหากไม่มีนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์สักคนคอยดูแลสถานการณ์ในสำนักดาวเจ็ดดวง


จางเซวียนกระโจนเข้าสู่ตรอกเล็กๆแห่งหนึ่งโดยไม่ลังเล เมื่อเดินออกมาอีกครั้ง รูปร่างหน้าตาของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขาไม่ใช่หลิวหยางอีกต่อไป


หลังจากปลอมตัวแล้ว จางเซวียนก็รีบเดินทางกลับสู่ตำหนักคว้าดาว


แต่คราวนี้ แทนที่จะเดินผ่านประตูใหญ่ เขาลักลอบเข้าไป การปกปิดตัวเองของเขาหลอกสายตาได้แม้แต่กับนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ นับประสาอะไรกับผู้คนที่นี่!


ไม่ช้าจางเซวียนก็มาถึงห้องที่เขาเข้าไปเมื่อครู่


เขาแอบเข้าไปเงียบๆและซ่อนตัวอยู่บนเพดาน


เหล่าผู้อาวุโสที่ถูกเล่นงานเมื่อครู่นี้หายตัวไปหมดแล้ว ร่องรอยของการต่อสู้ก็หายไปด้วย


ผู้ที่ยังอยู่มีแต่ผู้อาวุโสจ้าวเยว่กับฉู่อิง


“ผู้อาวุโสที่ 1, แบบนี้ไม่ได้การแน่ ถ้าแม้แต่เจ้าสำนักหลิวยังมองทะลุการปลอมตัวของฉันได้ คนพวกนั้นก็คงมองเห็นเหมือนกัน” ฉู่อิงพูดอย่างกังวลใจ “ฉันเลียนเสียงท่านอาจารย์ได้ แต่เลียนแบบบุคลิกและรังสีของท่านอาจารย์ไม่ได้หรอก”


“ฉันรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะเลียนแบบท่านหัวหน้าได้อย่างแนบเนียนไร้ที่ติ แต่เราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ทำได้แค่ยื้อเวลาให้นานที่สุด!” ผู้อาวุโสที่ 1 พูด


“ฉันเข้าใจ…ว่าแต่ตอนนี้จะทำอย่างไร?” ฉู่อิงกัดริมฝีปากอย่างกระวนกระวาย


“นี่คือตราหยกสัญลักษณ์ที่บรรจุพลังปราณของท่านหัวหน้าไว้ แค่คุณกำไว้ในมือและเปิดใช้งาน มันก็จะแผ่รังสีของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ออกมา ไม่ต่างอะไรกับหัวหน้าของเรา” ผู้อาวุโสที่ 1 จ้าวเยว่พูด


“ฉันจะพยายามเต็มที่ก็แล้วกัน” ฉู่อิงพยักหน้าอย่างลังเล


เธอกำตราหยกสัญลักษณ์ไว้ในมือ พริบตาต่อมา รังสีของเธอก็เปลี่ยนไปราวกับกลายเป็นคนละคน บุคลิกของเธอเยือกเย็นขึ้น ทำให้ใครๆไม่อยากเข้าใกล้ ในเวลาเดียวกัน พละกำลังที่ทำให้นักรบทั่วไปไม่กล้าต่อกรด้วยก็ระเบิดออกมา


ตอนที่ 2088 หอเทพเจ้า?

“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คุณต้องสงบสติอารมณ์ให้ได้ หากจนมุมขึ้นมาก็ไม่ต้องตกใจ ฉันจะคอยช่วย…” ผู้อาวุโสที่ 1 จ้าวเยว่เสริม


ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบ รังสีอันทรงพลังก็ปรากฏขึ้นในลานที่อยู่บริเวณหน้าห้อง


ผู้อาวุโสที่ 1 หยุดกึกขณะมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที เธอรีบรุนหลังฉู่อิงให้ดึงผ้าคลุมศีรษะขึ้นมา


ทันทีที่ทุกอย่างเรียบร้อย เสียงเรียบเย็นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “ไม่ทราบว่าหัวหน้าตู้ตัดสินใจอย่างไร?”


คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาด้วยฝีเท้าหนักแน่น พวกเขามีกันทั้งหมด 5 คน ผู้ที่เดินนำหน้าคือชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาซึ่งมีวรยุทธล้ำลึกเกินหยั่งราวกับมหาสมุทรอันไร้ขอบเขต แทบไม่อาจประเมินพละกำลังของเขาได้


“พวกนั้น…” จางเซวียนมองกลุ่มผู้มาเยือน เขาตัวสั่นเล็กน้อยด้วยความไม่อยากเชื่อขณะพึมพำ “หอเทพเจ้า?”


เขาเคยต่อสู้กับกลุ่มคนจากหอเทพเจ้ามาแล้ว 2 ครั้ง ทั้งยังสังหารนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ไปอีกหลายคน จึงรู้ซึ้งในคนเหล่านั้นเป็นอย่างดี


ชายทั้ง 5 แผ่รังสีอันเป็นเอกลักษณ์ออกมา ทั้งคมกริบและทำให้ผู้พบเห็นเกิดความไม่สบายใจ แค่มองแวบเดียว ก็แน่ใจได้เลยว่าพวกเขามาจากหอเทพเจ้า


“นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์คนหนึ่งกับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์อีกสี่คน…ช่างดาหน้ากันมาดีจริง” จางเซวียนหรี่ตา


เหล่านักรบของหอเทพเจ้ามีพละกำลังเหนือชั้น ถึงขนาดที่แม้แต่นักรบระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ของพวกเขาก็มีพละกำลังมากพอจะต้านทานนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ทั่วไปได้


ดังนั้น จึงประเมินความไร้เทียมทานของชายกลุ่มนี้ได้ไม่ยาก


ต่อให้หัวหน้าตู้อยู่ที่นี่ ก็คงรับมือกับพวกเขาแทบไม่ไหว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะเอาชนะพวกเขาไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรที่นี่ก็คือตำหนักคว้าดาว, อาณาเขตของเธอ


เพียงแต่คงต้องเหนื่อยยากไม่น้อยกว่าจะเอาชนะได้สำเร็จ


การสั่งสมพลังของ 6 สำนักใหญ่ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมาเป็นเรื่องที่ไม่อาจสบประมาทได้


ยกตัวอย่างสำนักดาบเมฆเหิน พวกเขามีนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เพียงคนเดียว คือหานเจี้ยนชิว จึงดูเหมือนว่าจางเซวียนน่าจะเอาชนะพวกนั้นได้โดยง่าย แต่หากเขากล้าบุกรุกสำนักดาบเมฆเหินเมื่อไหร่ ผู้ที่ต้องพ่ายแพ้ก็น่าจะเป็นเขา


ลำพังแค่เจตจำนงเพลงดาบมากมายนับไม่ถ้วนที่ถูกเก็บรักษาไว้ในหอภูมิปัญญาเพลงดาบก็เกินพอจะเล่นงานอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ทั้ง 4 ตัวของเขาแล้ว แถมทั้งสำนักก็ยังได้รับการคุ้มกันจากเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าที่มาจากผู้ก่อตั้งด้วย


นี่คือเหตุผลที่หอเทพเจ้าไม่กล้าบุกเข้าเล่นงาน 6 สำนักใหญ่อย่างบุ่มบ่าม เพราะถึงแม้พวกเขาจะแข็งแกร่งกว่า 6 สำนักใหญ่มาก แต่ก็ไม่อาจแน่ใจว่าจะสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ง่ายๆ


แน่นอนว่า 6 สํานักใหญ่ก็ไม่ปล่อยไม้ตายของพวกเขาออกมาง่ายๆเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อไม้ตายส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียว ถ้าสำนักดาบเมฆเหินแตะต้องหอภูมิปัญญาเพลงดาบ ก็จะเป็นการทำลายมรดกตกทอดของตัวเอง ทำให้ไม่อาจถ่ายทอดความรู้ของเหล่าบรรพบุรุษไปสู่คนรุ่นหลังได้


ด้วยเหตุผลนี้ หากไม่ใช่ช่วงเวลาคับขันจริงๆ ก็ไม่มีใครคิดจะใช้ไม้ตาย


การที่ตำหนักคว้าดาวอยู่รอดได้ทั้งที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีกับอีก 5 สำนักใหญ่ที่เหลือ ก็บ่งบอกชัดว่าพวกเขาย่อมมีไม้ตายเช่นกัน ลำพังแค่ความสามารถในการสื่อสารกับเหล่าเทพเจ้าก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนแล้ว แม้ออกจะดูหลงตัวเองไปสักหน่อยหากจะหวังให้เทพเจ้าลงมาต่อสู้แทน แต่เทพเจ้าก็มอบของล้ำค่าอันทรงพลังให้พวกเขาเป็นการตอบแทนเครื่องบรรณาการที่ได้รับ


“ฉันไตร่ตรองเรื่องนี้แล้ว ออกจะยากอยู่สักหน่อยที่ตำหนักคว้าดาวจะยอมรับคำขอของพวกคุณ” ร่างที่อยู่ใต้ผ้าคลุมศีรษะตอบ


น้ำเสียงของเธอมั่นคงหนักแน่นกว่าเดิม อย่างที่หัวหน้าตำหนักควรจะเป็น


“ยาก?” ชายวัยกลางคนจากหอเทพเจ้าหัวเราะหึๆ “คุณก็รู้นี่ว่าความอดทนของหอเทพเจ้ามีจำกัด ถ้าคุณไม่รีบฉวยโอกาสตอนนี้ ในอนาคตจะต้องเจอกับผลที่ตามมาอีกมากมายนะ”


“อย่างนั้นหรือ? มีเรื่องหนึ่งที่ฉันอยากรู้มากและหวังว่าคุณจะตอบให้กระจ่างได้ หอเทพเจ้าวางตัวสูงส่งเสมอ ไม่เคยเข้ามาก้าวก่ายกิจธุระของทวีปที่ถูกลืม แล้วมันเรื่องอะไรพวกคุณถึงตามล่าตำหนักคว้าดาวของพวกเราในเวลานี้?”


“คุณไม่จำเป็นต้องถามหรอก รู้ในสิ่งที่คุณต้องรู้ก็พอ พวกเราแค่ทำตามคำสั่งของนายท่าน” ชายวัยกลางคนจากหอเทพเจ้าตอบด้วยทีท่าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย


“อย่าหลอกตัวเองน่ะ หอเทพเจ้าได้สิ่งที่ต้องการเสมอ ต่อให้คุณปฏิเสธเรา เราก็มีอีกหลายวิธีที่จะทำให้บรรลุเป้าหมาย เหตุผลเดียวที่เราให้เวลาคุณพิจารณาเรื่องนี้ก็เพราะไม่อยากทำให้เกาะอันงดงามของพวกคุณต้องนองเลือด ผมขอแนะนำคุณนะว่าอย่าทดสอบพวกเรา”


เกิดความเงียบงันครู่หนึ่งก่อนที่เสียงจากร่างใต้ผ้าคลุมศีรษะจะดังขึ้นอีกครั้ง “ฉันไม่ปฏิเสธหรอกว่าพวกเราไม่มีโอกาสเอาชนะความทรงพลังของหอเทพเจ้าได้เลย แต่ถ้าคุณทำอะไรหนักมือไปล่ะก็ ชื่อเสียงและศักดิ์ศรีของหอเทพเจ้าจะต้องด่างพร้อย”


“คุณเป็นห่วงพวกเราหรือ?” ชายวัยกลางคนจากหอเทพเจ้าหัวเราะลั่น “ชื่อเสียงน่ะไม่มีความหมายกับคนแบบพวกเราหรอก ต่อให้ไม่มีชื่อเสียง ก็แล้วใครจะกล้าตั้งคำถามหรือแคลงใจในอำนาจของเรา? ตำหนักคว้าดาวอาจมีไม้ตาย แต่อย่าพลาดนะ การที่พวกเราจะเหยียบย่ำพวกคุณให้จมดินน่ะไม่ใช่เรื่องยาก!”


ชื่อเสียงมีความสำคัญก็เฉพาะกับผู้ที่ทัดเทียมกันเท่านั้น สำหรับพวกเขาที่เปรียบเสมือนยักษ์ใหญ่ ทุกย่างก้าวทำให้โลกสั่นสะเทือน ลำพังความเห็นของฝูงมดจะมีความหมายอะไร?


ต่อหน้าพละกำลังอันแข็งแกร่ง เสียงของความคลางแคลงใจเหล่านั้นไร้ความสำคัญอย่างสิ้นเชิง


พวกหอเทพเจ้าช่างวางโตอะไรอย่างนี้! จางเซวียนกำหมัดแน่นขณะเฝ้ามองเหตุการณ์จากด้านบน


คำพูดเหล่านั้นระคายหูของเขามาก แต่จางเซวียนก็รู้ดีว่ามีความจริงอยู่ไม่น้อย


เรื่องนี้ทำให้เขานึกถึงชนเผ่าแมนจูในชีวิตเก่า ผู้ที่กล้าไว้ทรงผมตามใจจะไม่อาจรักษาชีวิตของตัวเองไว้ได้ ด้วยพละกำลังมหาศาลที่มี คนเหล่านั้นบีบบังคับให้ดินแดนอาณานิคมยอมรับวัฒนธรรมของพวกเขาด้วย


เห็นได้ชัดว่าหอเทพเจ้ากำลังเจริญรอยตาม


นี่คือโลกที่ความแข็งแกร่งของกำปั้นคือทุกอย่าง!


“พวกคุณคิดจะโจมตีตำหนักคว้าดาวจริงๆหรือ?” ร่างที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมศีรษะนึกไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดนั้น เสียงของเธอสั่นเครือ


“พวกเราไม่ต้องลงมือเองหรอก ทั้งหมดที่ต้องทำก็แค่สังหารคุณผู้เป็นเสาหลักของตำหนักคว้าดาว ผมเชื่อว่าเพียงเท่านี้ ก็มีสำนักอีกมากมายที่ยิ่งกว่าเต็มใจจะปิดจ๊อบให้เพื่อจะได้เข้ามาแทนที่คุณ” ชายวัยกลางคนจากหอเทพเจ้าตอบด้วยเสียงเย็นเยียบ


ถ้าตำหนักคว้าดาวสูญเสียนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ของพวกเขาไป ก็จะค่อยๆหมดสิทธิ์หมดเสียงในเรื่องราวใดๆของโลกใบนี้ ตำหนักคว้าดาวจะถูกบีบบังคับให้ยอมจำนนครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายก็จะถึงจุดที่ต้องร่วงลงจากการเป็นกลุ่มอำนาจชั้นนำ


นี่คือความเป็นจริงอย่างง่ายๆ


“คุณ…”


ร่างที่อยู่ใต้ผ้าคลุมศีรษะเงียบกริบ ครู่ต่อมาก็พูดว่า “ฉันเต็มใจที่จะประนีประนอม แต่สิ่งที่คุณร้องขอคือรากฐานของตำหนักคว้าดาวของเรา แม้แต่ตัวฉันก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”


“หัวหน้าตู้ตั้งใจจะบอกว่า…”


“ขอเวลาฉันอีกวันหนึ่ง ฉันจะหารือเรื่องนี้กับเหล่าผู้อาวุโสของตำหนัก แล้วพรุ่งนี้จะให้คำตอบที่น่าพอใจกับคุณ” ร่างที่อยู่ใต้ผ้าคลุมศีรษะตอบ


“คุณขอเวลาอีกหนึ่งวันหรือ?” ชายวัยกลางคนจากหอเทพเจ้าคำราม “ต่อให้ผมให้เวลาคุณอีกหนึ่งวัน ผมก็ยังสงสัยอยู่ว่าตัวปลอมอย่างคุณจะมีปัญญาระดมพลหรือเปล่า ผมพูดถูกไหม?”


บึ้มมมม!


ทันทีที่ประโยคนั้นสิ้นสุด กระแสดาบฉีก็ระเบิดออกมา ฉีกผ้าคลุมศีรษะออกเป็น 2 ส่วน เผยให้เห็นร่างของฉู่อิง


“คุณ…”


เมื่อรู้ตัวว่าถูกจับได้ ฉู่อิงตัวสั่นด้วยความกลัว


เธอเคยคิดว่าการปลอมตัวของเธอแนบเนียนพอจะตบตาอีกฝ่ายแล้ว แต่ดูเหมือนคนจากหอเทพเจ้าจะไม่หลงกล


“คุณสงสัยหรือว่าผมรู้ได้อย่างไรว่าคุณเป็นตัวปลอม?” ชายวัยกลางคนคำราม


ฉู่อิงได้แต่กำหมัดแน่นขณะจ้องชายที่อยู่ตรงหน้าเธออย่างหวาดวิตก ผู้อาวุโสจ้าวเยว่ก็ตัวแข็งด้วยความพรั่นพรึง


“เมื่อวานนี้ ตอนที่หัวหน้าตู้บอกว่าจะให้คำตอบกับผมในวันรุ่งขึ้น ผมก็รู้แล้วว่าพวกคุณคิดอะไรอยู่ คุณเห็นพวกเราเหล่านักรบจากหอเทพเจ้าเป็นคนโง่ใช่ไหม?” ชายวัยกลางคนคำราม


“ผมก็แค่เล่นไปตามน้ำเพื่อดูว่าคุณจะไปได้ไกลแค่ไหน แต่พูดก็พูดเถอะ ต้องยอมรับว่าน่าประทับใจมาก แม้จะอายุยังน้อย แต่ก็ปลอมตัวเป็นตู้ชิงหย่วนได้ดี ผมดูออกว่าคุณต้องใช้ความพยายามมากทีเดียว!”


“ถ้าคุณรู้ตั้งแต่แรก แล้ว…” ฉู่อิงถึงกับผงะ


ในเมื่อพวกเขารู้ความจริงตั้งแต่แรก ทำไมถึงยอมต่อเวลาให้อีกหนึ่งวันเพื่อต่อรองเรื่องนี้? ทำไมถึงยืดเวลาให้ตำหนักคว้าดาวแทนที่จะใช้กำลังเข้าแย่งชิงของล้ำค่า?


“ง่ายนิดเดียว ผมต้องการให้คุณมอบของล้ำค่าให้ผมด้วยมือของคุณเอง พวกเรารู้ว่าตู้ชิงหย่วนเดินทางออกไป และได้ส่งกองกำลังของเราไปจัดการเธอ เป็นไปได้ว่าหัวหน้าของคุณน่ะ ป่านนี้คงถูกจับตัวไว้ หรือไม่ก็ถูกฆ่าตายไปแล้ว” ชายวัยกลางคนตอบ


“เหตุผลที่เรายังอยู่ที่นี่ก็เพื่อเล่นงานพวกคุณให้แพ้ราบคาบ คุณคิดจริงๆหรือว่าลูกไม้เสร่อแบบนั้นจะใช้กับพวกเราได้?”


ฉู่อิงกับผู้อาวุโสจ้าวเยว่หน้าซีดเผือด ทั้งคู่ถอยกรูดไปโดยไม่รู้ตัว


ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง…ก็หมายความว่าหัวหน้าตู้ของพวกเขาตกอยู่ในอันตรายแล้วใช่ไหม?


เมื่อเห็นว่าคำพูดใดๆก็ไม่จำเป็นในช่วงเวลาแบบนี้ ขายวัยกลางคนโบกมือและสั่งการ “จับพวกเขาให้หมด!”


นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ทั้ง 4 คนที่อยู่ด้านหลังตบเท้าออกมาทันที


“คุ้มกันผู้อาวุโสที่ 1!”


อีกด้านหนึ่ง ผู้อาวุโสที่มีวรยุทธอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์สิบกว่าคนก็บุกเข้ามาจากทุกทิศทาง


3 นาทีให้หลัง ผู้อาวุโสทั้งหมดของตำหนักคว้าดาวต่างนอนแผ่อยู่กับพื้น ทุกคนหมดสภาพ


แม้จะเป็นนักรบอมตะขั้นสูง แต่เหล่านักรบจากหอเทพเจ้าทรงพลังกว่าผู้อาวุโสทั่วไปของแต่ละสำนักมาก พวกเขาไม่อาจเทียบชั้นกันได้ ผลการต่อสู้จึงคาดเดาได้ตั้งแต่เริ่ม


ในเวลาเดียวกัน ฉู่อิงกับผู้อาวุโสที่ 1 จ้าวเยว่ก็ถูกจับตัวไว้


“นำตัวพวกเขากลับไปด้วย คงจะดีที่สุดถ้าเราจับตัวตู้ชิงหย่วนได้ แต่ต่อให้ไม่สำเร็จ เราก็จะใช้สองคนนี้เป็นตัวประกันเพื่อบีบให้เธอยอมแพ้!” ชายวัยกลางคนสั่งการก่อนจะหันหลังกลับ


ระหว่างนั้น จางเซวียนขับเคลื่อนพลังปราณของเขาอย่างช้าๆขณะเตรียมการจะช่วยคนของตำหนักคว้าดาวจากเงื้อมมือของหอเทพเจ้า


ตอนที่ 2089 ขอบคุณที่ช่วยชีวิตพวกเรา

เขายั้งมือไว้ ไม่ได้โจมตีตั้งแต่แรกเพราะอยากเห็นว่ากลุ่มคนจากหอเทพเจ้าจะมีไม้ตายอะไร อีกอย่าง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญหน้ากับนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์จากหอเทพเจ้า จึงจะโจมตีก็ต่อเมื่อมั่นใจว่าตัวเองจะได้ชัยชนะ เพราะไม่อย่างนั้น ไม่เพียงแต่จะช่วยคนอื่นไม่ได้ ตัวเขาเองก็จะตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง


แต่โชคไม่ดีที่กลุ่มคนจากตำหนักคว้าดาวไม่อาจผลักดันให้นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ปล่อยการโจมตี


แม้จะยังไม่แน่ใจ แต่จางเซวียนก็รู้ว่าไม่อาจปล่อยให้หอเทพเจ้านำตัวคนพวกนี้ไปได้ เหตุผลข้อแรกก็คือจะทำให้ตู้ชิงหย่วนตกอยู่ในอันตราย ซึ่งนั่นจะทำให้เขาเสาะหาข้อมูลที่ต้องการได้ยากขึ้นอีก


และที่ลืมไม่ได้ก็คือเขามีความขัดแย้งกับหอเทพเจ้าด้วย จางเซวียนไม่แน่ใจว่าหอเทพเจ้าคิดอะไร แต่การจะเข้าไปก้าวก่ายสิ่งที่พวกนั้นกำลังทำก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย


จางเซวียนแอบนำดาบถงซังกับดาบระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์อีก 4 เล่มออกมา เขาตั้งใจจะรีบสังหารนักรบระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ทั้ง 4 คนโดยเร็ว ก่อนจะเล่นงานนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์คนนั้น


แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร ลมหอบใหญ่ก็พัดมาแต่ไกล จากนั้นแรงกดดันมหาศาลก็แผ่ซ่านเข้ามาในห้อง


นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อีกคนหนึ่งหรือ? จางเซวียนเลิกคิ้ว


เขารีบยับยั้งการขับเคลื่อนพลังปราณและปกปิดรังสีของตัวเองต่อไป


ใครน่ะ?


ชายวัยกลางคนจากหอเทพเจ้ารับรู้ได้ถึงผู้บุกรุก เขาจับจ้องบริเวณโดยรอบอย่างถี่ถ้วน


เสียงอบอุ่นนุ่มนวลเสียงหนึ่งดังขึ้น “สหาย ไม่รู้สึกบ้างหรือว่าทำเกินไปแล้ว? ผมคงต้องขอให้คุณปล่อยคนของตำหนักคว้าดาวซะ”


จากนั้น ชายชราที่สวมเสื้อคลุมสีเขียวก็ร่อนลงมาที่บริเวณทางเข้าก่อนจะเดินเข้ามาข้างใน


เขาดูมีอายุราว 60 ปี มีเคราพลิ้วไหวที่บ่งบอกความเป็นนักปราชญ์


เป็นอย่างที่จางเซวียนคิดไว้ วรยุทธของอีกฝ่ายคือขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ และรังสีก็ล้ำลึกอย่างเหลือเชื่อ ดูเหมือนจะมองทะลุความลึกลับต่างๆได้ เขาน่าจะแข็งแกร่งกว่าหานเจี้ยนชิวเสียอีก


เขามาจากสำนักอมตะเลือนหายหรือเปล่า? จางเซวียนขมวดคิ้ว


เขาได้พบ 4 ใน 6 เจ้าสำนักแล้ว ขาดแต่หัวหน้าตู้กับเจ้าสำนักอมตะเลือนหาย


เหตุผลเดียวที่ฉลามสามพี่น้องกับเต่าหลังดำฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จก็เพราะโลหิตเทพเจ้า และด้วยธรรมชาติของหอเทพเจ้า จึงไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะมีนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อยู่มากมาย


นอกจากคนเหล่านั้น ในโลกนี้ก็น่าจะมีแต่ผู้นำ 6 สํานักใหญ่ที่มีวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์


เห็นได้ชัดว่าชายชราที่เพิ่งปรากฏตัวไม่ใช่พันธมิตรของหอเทพเจ้า นัยน์ตาของฉู่อิงกับผู้อาวุโสที่ 1 จ้าวเยว่ฉายความงุนงงอย่างชัดเจน


เพราะฉะนั้น คนเดียวที่เป็นไปได้ก็คือเจ้าสำนักอมตะเลือนหาย


ชายวัยกลางคนจากหอเทพเจ้าคำราม “คุณอยากให้ผมปล่อยพวกเขา? พิสูจน์ตัวเองก่อนสิว่าคู่ควรกับการพูดแบบนั้นออกมา!”


ฟึ่บ!


นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ 2 คนจากหอเทพเจ้าเงื้อดาบขึ้นและพุ่งเข้าใส่ชายชรา


แม้ทั้งสองจะไม่ได้จงใจผนึกกำลังกัน แต่เจตจำนงเพลงดาบของพวกเขาก็ดูจะหลอมรวมเข้าด้วยกัน เกิดเป็นพลังที่ฉีกกระชากความว่างเปล่าในมิติตรงหน้า


ในแง่ของความเชี่ยวชาญในศิลปะเพลงดาบ ทั้งสองไม่ได้อ่อนด้อยกว่าผู้อาวุโสเหอเทียนและคนอื่นๆในสำนักดาบเมฆเหินเลย


เมื่อรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ทั้งสองแผ่ออกมา จางเซวียนได้แต่กำหมัดแน่น


เมื่อไม่นานมานี้เขาเพิ่งยกระดับวรยุทธขึ้นได้อีกมาก ทำให้เกือบจะเป็นผู้ไร้เทียมทานในบรรดานักรบอมตะขั้นสูงทั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้น ก็ต้องยอมรับว่าพละกำลังของนักรบทั้งสองจัดว่าไร้เทียมทานมาก หากสำแดงพละกำลังให้ดี ก็คงบีบให้เขาจนมุมได้


ต่อให้อสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อย่างเต่าหลังดำก็คงรับมือกับสองคนนี้ได้ยาก


จางเซวียนพุ่งความสนใจไปที่ชายชรา อยากเห็นว่าอีกฝ่ายจะรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไร


จางเซวียนเห็นรอยยิ้มปรากฏบนฝีปากของชายชราขณะที่ปล่อยการโจมตี ชายชราชูมือขึ้นแล้วโบกเบาๆ


พลั่ก! พลั่ก!


นักรบระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์สองคนจากหอเทพเจ้าถูกสอยกระเด็นไปกระแทกพื้น ทั้งคู่หน้าซีดขณะกระอักเลือดออกมา


มันเป็นแค่การโจมตีครั้งเดียว แต่พวกเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว!


จางเซวียนตาโต


เขาเคยคิดว่าชายชราคงแข็งแกร่งกว่าหานเจี้ยนชิวเพียงเล็กน้อย แต่กลับกลายเป็นว่าเขาประเมินพละกำลังของอีกฝ่ายต่ำไปมาก


ยากที่จะเชื่อว่าสิ่งที่ดูเหมือนการโบกมือธรรมดาๆจะมีพละกำลังเหลือเชื่อขนาดนั้น!


หลังจากสอยนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ทั้งคู่กระเด็นไป ชายชราก็พุ่งเข้าใส่นักรบระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์อีกสองคนที่จับตัวฉู่อิงกับผู้อาวุโสที่ 1จ้าวเยว่ไว้ ก่อนจะโบกมือเบาๆอีกครั้ง


มันเป็นกระบวนท่าเรียบง่ายที่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบมากมายนับไม่ถ้วนอยู่ภายใน นักรบทั้งสองพยายามตอบโต้ แต่ทุกอย่างที่พวกเขาสำแดงออกไปก็ถูกตีกลับอย่างง่ายดาย


ตุ้บ! ตุ้บ!


เกิดเสียงตุ้บเบาๆอีก 2 ครั้ง แล้วทั้งคู่ก็ถูกสอยกระเด็นไปกระแทกพื้น บาดเจ็บสาหัส เท่าที่ดูจากบาดแผล ในเร็วๆนี้คงไม่อาจสู้รบกับใครได้อีก


“ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้วนะ” ผู้อาวุโสพูดยิ้มๆขณะกระดิกนิ้วเพื่อปลดปล่อยฉู่อิงกับผู้อาวุโสที่ 1 จ้าวเยว่จากพลังที่พันธนาการพวกเขาไว้


“พวกเราสำนึกในบุญคุณอย่างสูงสุดที่คุณช่วยชีวิตเรา” ฉู่อิงกับผู้อาวุโสจ้าวเยว่รีบโค้งคำนับ


“นั่นคือสิ่งที่ผมควรทำ” ชายชราตอบพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ก่อนจะหันไปมองชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ “คุณจะทำอะไรก็ทำสิ”


“คุณนี่ไม่ธรรมดาเลยนะ” ชายวัยกลางคนตั้งข้อสังเกตพร้อมกับหรี่ตา


เขานึกไม่ถึงว่าผู้บุกรุกจะเก่งกาจถึงขนาดเล่นงานลูกน้องทั้ง 4 คนของเขาที่เป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย เพราะแม้แต่ตัวเขาก็ต้องใช้เวลาระยะหนึ่งหากจะเล่นงานคนเหล่านี้


แต่ยังไม่ทันจะได้ใคร่ครวญให้ดี ชายชราที่อยู่ตรงหน้าก็พุ่งเข้าใส่เขาแล้ว


ชายวัยกลางคนพุ่งออกไปเพื่อตอบโต้การโจมตีนั้น


การต่อสู้ระหว่างนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์สองคนทำให้เกิดรอยแยกมากมายนับไม่ถ้วนในมิติโดยรอบ โชคดีที่ห้องนี้มีค่ายกลปกป้องไว้ ไม่อย่างนั้น กว่าการต่อสู้จะสิ้นสุด เกาะคว้าดาวทั้งเกาะคงแตกเป็นเสี่ยงๆ


จางเซวียนรู้ดีว่าโอกาสจะได้เห็นการต่อสู้ของนักรบทรงพลังระดับนี้ถึง 2 คนไม่ใช่เรื่องง่าย จึงเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้และเฝ้าดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด


การโจมตีของชายวัยกลางคนนั้นทรงพลัง เฉียบคม และหนักหน่วง แต่ชายชราก็สามารถนำหลากหลายวิธีการมาตอบโต้


เพียงครู่เดียว ทั้งสองก็โรมรันพันตูกันอย่างดุเดือด น่าประหลาดที่พวกเขาดูจะสู้กันได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ


ว่าแต่…ทำไมกระบวนท่าของชายชราผู้นี้ถึงดูคุ้นตานัก? จางเซวียนครุ่นคิดพร้อมกับขมวดคิ้ว


ดูเผินๆ กระบวนท่าของชายชราเหมือนจะเรียบง่าย แต่ทุกกระบวนท่าล้วนมีเป้าหมายที่จุดสำคัญของคู่ต่อสู้ ทำให้ปัดป้องได้ยาก เห็นได้ชัดว่าชายชราเป็นรองชายวัยกลางคนในด้านพละกำลังและความบริสุทธิ์ของพลังปราณ แต่ขณะที่การต่อสู้ดำเนินไป ก็ดูเหมือนชายวัยกลางคนจะถูกบีบให้ล่าถอยครั้งแล้วครั้งเล่า


เห็นได้ชัดว่าใครเป็นฝ่ายได้เปรียบ


เทคนิคการต่อสู้ของชายชราค่อนข้างจะใกล้เคียงกับเทคนิคการต่อสู้เทียบฟ้าฉบับเรียบง่าย มันประกอบด้วยแนวคิดอันล้ำลึกและกระบวนท่าเรียบง่ายที่สามารถดึงประสิทธิภาพการต่อสู้สูงสุดออกมา จางเซวียนคิด


เขาค่อยๆรู้สึกได้ถึงอาการเดจาวูที่ดูจะมาจากความเหมือนในเทคนิคการต่อสู้ของพวกเขา สไตล์การต่อสู้ของชายชราคือหลบเลี่ยงไปมาและหาโอกาสโจมตีจุดอ่อนของคู่ต่อสู้


เขาน่าจะชนะ…จางเซวียนพยักหน้า


พลั่ก!


ทันทีที่จางเซวียนเกิดความคิดนั้น ชายวัยกลางคนจากหอเทพเจ้าก็ถูกเล่นงานอย่างจังที่หน้าอก ทำให้ต้องถอยกรูดไปหลายก้าว


“แก ไอ้สารเลว! ดูซิว่าแกจะรับมือกับสิ่งนี้อย่างไร!”


ชายวัยกลางคนคำรามก้อง จากนั้นก็ชักดาบออกมาแล้วถ่ายทอดกระแสดาบฉีเข้าไป ก่อนจะพุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง


เท่าที่เห็น ดูเหมือนสิ่งนี้น่าจะเป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของชายวัยกลางคน เขาตั้งใจจะเล่นงานชายชราให้อยู่หมัดให้ได้


ชายชรามีสีหน้าเคร่งเครียด เขากำลังจะตอบโต้ ก็พอดีกับที่ร่างที่อยู่ตรงหน้าพร่าเลือนไป ทั้งชายวัยกลางคนและนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ทั้ง 4 หายวับไปพร้อมกัน


“คราวนี้ผมยกให้ ฝากไว้ก่อน อย่าให้ผมเจอคุณอีกก็แล้วกัน…”


ด้วยคำพูดทิ้งท้ายนั้น นักรบทั้งกลุ่มจากหอเทพเจ้าหายวับไปจากตำหนักคว้าดาว


“เอ่อ…”


ชายชราถึงกับผงะกับการตอบโต้ที่ไม่เอาไหนจากหอเทพเจ้าผู้สูงส่ง เขาหัวเราะหึๆก่อนจะส่ายหน้า จากนั้นก็โผขึ้นสู่กลางอากาศเพื่อสำรวจบริเวณโดยรอบ เมื่อแน่ใจว่ากลุ่มคนจากหอเทพเจ้าจากไปแล้ว จึงกลับมาหาฉู่อิงกับผู้อาวุโสที่ 1 จ้าวเยว่


“ผู้อาวุโส ขอบคุณที่ช่วยชีวิตพวกเรา”


ทั้งคู่ประสานมือและโค้งคำนับอย่างงาม


“ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจหรอก ผมมาช่วยตำหนักคว้าดาวเพราะคำสั่งของนายท่าน” ชายชราตอบพร้อมกับยิ้มให้


“นายท่าน?”


ฉู่อิงกับผู้อาวุโสที่ 1 จ้าวเยว่มองหน้ากันอย่างงุนงง


ผู้อาวุโสจ้าวเยว่ประสานมืออีกครั้งและตั้งคำถาม “ไม่ทราบว่าฉันพอจะมีโอกาสได้รู้ชื่อของคุณและสำนักที่คุณสังกัดไหม?”


ในฐานะผู้อาวุโสที่ 1 ของตำหนักคว้าดาว จ้าวเยว่รู้จักนักรบชั้นนำของทั้ง 6 สำนักใหญ่ทุกคน แต่ไม่เคยเห็นชายชราที่อยู่ตรงหน้ามาก่อน ซึ่งทั้งๆที่เป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ใช่เจ้าสำนัก


แล้วสำนักนั้นจะต้องไร้เทียมทานขนาดไหน?


“ได้สิ ผมชื่อฟู่เฉิงสื่อ” ชายชราตอบด้วยน้ำเสียงที่เจือความภาคภูมิใจขณะลูบเครา “ผมเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งจากหอนิรันดร์!”


“หอนิรันดร์?”


ฉู่อิงกับผู้อาวุโสที่ 1 จ้าวเยว่ชะงัก


แม้ตำหนักคว้าดาวจะมีผู้มาเยือนมากมาย แต่ทั้งคู่ก็ไม่คิดเลยว่าชายชราผู้นี้จะมาจากหอนิรันดร์


จางเซวียนก็อึ้ง


เขารู้ว่าหอนิรันดร์ที่ปรมาจารย์ขงเป็นผู้ก่อตั้งมีนักรบผู้เชี่ยวชาญอยู่มากมาย แต่ใครจะไปคิดว่านักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ของพวกเขาจะทรงพลังขนาดนี้?


สมกับเป็นกลุ่มอำนาจที่ได้รับตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ ไปทั้งหมด


“ใช่” ผู้อาวุโสฟู่เฉิงสื่อพยักหน้า “หัวหน้าขงจับตาดูการเคลื่อนไหวของหอเทพเจ้ามาตลอด และรู้ว่าพวกนั้นตั้งใจจะเล่นงานตำหนักคว้าดาว จึงส่งผมมาช่วย โชคดีที่ผมมาทันเวลา ไม่อย่างนั้น สิ่งที่ตามมาคงแย่กว่านี้มาก”


“พวกเราโล่งอกเหลือเกิน ผู้อาวุโสฟู่, ฉันต้องขอรบกวนคุณให้แสดงความสำนึกในบุญคุณของพวกเราต่อหัวหน้าขงด้วย” ผู้อาวุโสที่ 1 จ้าวเยว่ประสานมือ


“คุณเกรงอกเกรงใจเกินไปแล้ว” ฟู่เฉิงสื่อตอบพร้อมกับพยักหน้า


ตอนที่ 2090 เราควรตามเขาไป…

จากนั้นสีหน้าของเขาก็ดูเคร่งเครียดกว่าเดิม เขามองผู้อาวุโสจ้าวเยว่แล้วเปรยด้วยความสงสัย “หอเทพเจ้าไม่เคยก้าวก่ายกิจธุระของทวีปที่ถูกลืม ขออภัยด้วยเถอะ แต่ผมขอทราบเหตุผลที่พวกนั้นเลือกโจมตีตำหนักคว้าดาวในช่วงเวลาแบบนี้ได้ไหม?”


“คือ…” ผู้อาวุโสจ้าวเยว่ลังเลเล็กน้อย


เห็นความลำบากใจของอีกฝ่าย ฟู่เฉิงสื่อเสริม “คิดเสียว่าผมไม่เคยถามคำถามนั้นก็แล้วกันถ้าคุณไม่สะดวกใจจะตอบ ผมแค่นึกเป็นห่วงหัวหน้าตู้ขึ้นมา ผมคงทำอะไรต่อไปได้ยากหากไม่รู้รายละเอียดที่แท้จริงของสิ่งที่เกิดขึ้น”


“ผู้อาวุโสที่ 1, ผู้อาวุโสฟู่คือผู้ช่วยชีวิตพวกเรานะ…” ฉู่อิงมองผู้อาวุโสจ้าวเยว่


เรื่องสำคัญในเวลานี้คือช่วยชีวิตหัวหน้าตู้ ด้วยพละกำลังของทั้งคู่ ไม่มีทางที่จะทำเรื่องนั้นสำเร็จ ต้องพึ่งพาชายชราที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น


ฉู่อิงไม่เข้าใจว่าทำไมผู้อาวุโสที่ 1 ถึงยังลังเล ทั้งๆที่ตำหนักคว้าดาวกำลังลำบากแบบนี้


“…ฉันคิดว่าเราคงไม่มีทางเลือกอื่นแล้วล่ะ” ผู้อาวุโสที่ 1 จ้าวเยว่พยักหน้าพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ “ในเมื่อผู้อาวุโสฟู่คือผู้เชี่ยวชาญจากหอนิรันดร์ เล่าให้เขาฟังก็คงไม่เสียหายอะไร”


แม้หอนิรันดร์จะเป็นองค์กรลึกลับสำหรับทวีปที่ถูกลืม แต่พวกเขาก็มักทำอะไรเพื่อผลประโยชน์ของทวีปเป็นสำคัญ ไม่เคยมีข่าวคราวว่าคนเหล่านี้ร่วมมือกับหอเทพเจ้าหรือทำอะไรที่ไม่เหมาะสม


ดังนั้น หากจะคิดว่าอีกฝ่ายไว้วางใจได้ ก็คงไม่ผิด


“อันที่จริง หอเทพเจ้าเข้ามาที่ตำหนักคว้าดาวของพวกเราก็เพื่อหวังจะครอบครองทรัพย์สมบัติล้ำค่าสูงสุดที่เรามี”


“ทรัพย์สมบัติล้ำค่าสูงสุดของพวกคุณ?” ฟู่เฉิงสื่อทวนคำพร้อมกับขมวดคิ้ว


“ใช่ มันคือแท่นบูชาที่ตำหนักคว้าดาวใช้ในการประกอบพิธีกรรม” ผู้อาวุโสที่ 1 จ้าวเยว่อธิบาย


“แท่นบูชา?” ฟู่เฉิงสื่อเลิกคิ้ว


เหตุผลที่ตำหนักคว้าดาวเป็นที่ยำเกรงอย่างมากของสำนักอื่นๆก็เพราะความสามารถในการสื่อสารกับเหล่าเทพเจ้าผ่านพิธีกรรมของพวกเขา


พิธีกรรมเหล่านี้ไม่ได้ต้องการแค่เครื่องบรรณาการที่เหมาะสม ยังต้องมีแท่นบูชาที่ใช้รองรับเครื่องบรรณาการด้วย


ไม่น่าเชื่อว่าหอเทพเจ้าจะพยายามฉกฉวยแท่นบูชาไปจากตำหนักคว้าดาว!


“แท่นบูชาคือรากฐานของตำหนักคว้าดาว แล้วพวกเราจะมอบให้คนอื่นโดยง่ายได้อย่างไร? ด้วยเหตุนี้ หัวหน้าตู้จึงมอบหมายภารกิจให้พวกเรายื้อเวลาออกไปจนกว่าเธอจะหาสถานที่ที่เหมาะสมในการประกอบพิธีกรรมเพื่อรายงานเรื่องนี้ต่อเทพเจ้า พวกเขาจะได้ชดเชยความเสียหายของเรา” ฉู่อิงอธิบาย


“ผมเข้าใจแล้ว” ฟู่เฉิงสื่อพยักหน้า


จางเซวียนที่ซ่อนตัวอยู่บนเพดานก็ตาโตเมื่อถึงบางอ้อ


เขานึกสงสัยมาตลอดว่าทำไมตำหนักคว้าดาวถึงให้ศิษย์สายตรงคนหนึ่งปลอมตัวเป็นตู้ชิงหย่วน เหตุผลที่แท้จริงคือแบบนี้


เมื่อหอเทพเจ้าจับตาดูสำนักคว้าดาวอยู่ ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะยอมปล่อยให้ตู้ชิงหย่วนประกอบพิธีกรรมเพื่อรายงานเหตุการณ์ต่างๆให้เทพเจ้ารับรู้ เธอจึงต้องหาพื้นที่ลับหูลับตาเพื่อประกอบพิธีกรรมให้สำเร็จ และเพื่อยื้อเวลา ตําหนักคว้าดาวจึงเลือกฉู่อิงให้ปลอมตัวเป็นตู้ชิงหย่วนเพื่อหวังว่าหอเทพเจ้าจะไม่รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ


แต่ก็น่าเสียดายที่ดูเหมือนหอเทพเจ้าจะมองเห็นการจัดฉากของพวกเขาได้ทะลุปรุโปร่งตั้งแต่ต้น


“ผู้อาวุโสฟู่ ดูเหมือนท่านอาจารย์ของฉันยังถูกนักรบจากหอเทพเจ้าตามล่าอยู่ ฉันขอวิงวอนให้คุณช่วยชีวิตเธอด้วย” ฉู่อิงทรุดตัวลงคุกเข่าและร่ำร้อง


“ถ้าผมทำได้ ผมจะช่วยเธอทันทีโดยไม่ลังเล” ฟู่เฉิงสื่อตอบอย่างเคร่งขรึม “แต่คุณต้องบอกผมว่าเธอมุ่งหน้าไปทางไหน และตั้งใจจะประกอบพิธีกรรมที่ไหน ไม่อย่างนั้น ผมก็เกรงว่าจะช่วยอะไรไม่ได้”


“คือ…”


รู้ดีถึงความสำคัญของเรื่องนี้ ฉู่อิงมองหน้าผู้อาวุโสที่ 1 จ้าวเยว่ จากนั้นทั้งคู่ก็ครุ่นคิดหนัก


ที่หมายของหัวหน้าตู้เป็นความลับสุดยอด ซึ่งก่อนจะออกเดินทาง อีกฝ่ายก็กำชับพวกเขาไว้ว่าไม่ให้บอกใคร


“หอเทพเจ้ารู้เป้าหมายของพวกคุณแล้ว มีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาน่าจะส่งคนตามล่าหัวหน้าตู้ เธอกำลังตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง ผมช่วยเธอไม่ได้หรอกจนกว่าจะรู้ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน”ฟู่เฉิงสื่อพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด


“ผมเชื่อว่าพวกคุณคงรู้ดีกว่าใครว่าหัวหน้าตู้กับแท่นบูชามีความสําคัญต่อตำหนักคว้าดาวแค่ไหน ถ้าคุณสูญเสียทั้งคู่ไป ตำหนักคว้าดาวคงล่มสลาย และนี่ไม่ใช่สิ่งที่หอนิรันดร์อยากเห็น”


ฉู่อิงกับผู้อาวุโสจ้าวเยว่กำหมัดแน่น


ทั้งคู่รู้ดีว่าสิ่งที่ฟู่เฉิงสื่อพูดเป็นความจริง


การสูญเสียแท่นบูชาไปก็ไม่ต่างอะไรกับการสูญเสียไม้ตายที่แข็งแกร่งที่สุด เทียบได้กับการที่สำนักดาบเมฆเหินสูญเสียเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าเลยทีเดียว


ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับหัวหน้าตู้ในเวลานี้ ตำหนักคว้าดาวจะต้องอลหม่านแน่ เผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำที่เฝ้ารอเข้าคุกคามมาเนิ่นนานหลายปีจะใช้โอกาสนี้สังหารหมู่ทุกคนบนเกาะคว้าดาว!


ดังนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจะต้องปกป้องหัวหน้าตู้กับแท่นบูชาให้ได้!


ผู้อาวุโสที่ 1 จ้าวเยว่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นด้วยอาการไตร่ตรอง “ผู้อาวุโสฟู่ ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ไว้ใจคุณ แต่การเปิดเผยที่อยู่ของหัวหน้าตู้อาจส่งผลร้ายแรงตามมา เราต้องพิจารณาเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน”


ฟู่เฉิงสื่อมองทั้งคู่โดยไม่พูดไม่จา จากนั้นก็พยักหน้า “ถ้านี่คือเจตจำนงของตำหนักคว้าดาว ผมก็จะวางมือและกลับหอนิรันดร์”


จากนั้น เขาก็หันหลังกลับแล้วออกจากห้อง


การผลุนผลันกลับไปของฟู่เฉิงสื่อทำให้ผู้อาวุโสจ้าวเยว่ตื่นตระหนก เธอรีบอุทานออกมา “กรุณารอสักเดี๋ยวเถอะ!”


ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับหัวหน้าตู้ของพวกเขาจริงๆ ชายชราคนนี้ก็คือความหวังสูงสุดและหนึ่งเดียวที่จะช่วยได้ ถ้าเขาผลุนผลันกลับไปแบบนี้ หัวหน้าตู้อาจต้องเสียชีวิตด้วยน้ำมือของหอเทพเจ้า!


ฟู่เฉิงสื่อชะงักฝีเท้าและมองทั้งคู่


“ผู้อาวุโสฟู่ ฉันขอดูตราสัญลักษณ์ของคุณได้ไหม?” ผู้อาวุโสที่ 1 จ้าวเยว่ถาม


“ผมเข้าใจเจตนาของคุณ เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหรอก” ฟู่เฉิงสื่อตอบขณะนำตราสัญลักษณ์ออกมา


ที่จารึกไว้บนตราสัญลักษณ์คือตัวอักษรคำว่า ‘หอนิรันดร์’ ตัวอักษรนี้มีแนวคิดอันล้ำลึกอยู่เบื้องหลัง ถึงขนาดที่ต่อให้จิตรกรที่มีความสามารถระดับจางเซวียนก็ไม่อาจเลียนแบบการจารึกตัวอักษรนั้นได้


“มันคือตราสัญลักษณ์ผู้อาวุโสของหอนิรันดร์จริงๆ” ผู้อาวุโสจ้าวเยว่ถอนหายใจอย่างโล่งอก


“ขอบคุณมาก ผู้อาวุโสฟู่”


ฉู่อิงกับผู้อาวุโสจ้าวเยว่ประสานมือขณะกล่าวแสดงความสำนึกในบุญคุณ


เราควรตามเขาไป…


เมื่อคิดขึ้นได้ จางเซวียนลอบออกจากห้องนั้นไปอย่างแผ่วเบาราวกับลมโชย ก่อนจะรีบมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ฟู่เฉิงสื่อหายตัวไป


เป้าหมายของเขาในการมาตำหนักคว้าดาวคือหาตัวตู้ชิงหย่วนและสืบเสาะข้อเท็จจริงเรื่องหลัวลั่วชิง ในเมื่ออีกฝ่ายน่าจะอยู่ในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย เขาก็จำเป็นต้องมุ่งหน้าไปที่นั่น


ไม่อย่างนั้น ถ้าตู้ชิงหย่วนถูกสังหารก่อนที่เขาจะได้พบเธอ เขาก็จะสูญเสียเงื่อนงำสุดท้ายที่เชื่อมโยงกับหลัวลั่วชิงไป


ความเร็วในการเดินทางของฟู่เฉิงสื่อนั้นว่องไวมาก กว่าจางเซวียนจะออกจากตำหนักคว้าดาว อีกฝ่ายก็หายวับไปแล้ว


“ดวงตาหยั่งรู้!”


พริบตาต่อมา คลื่นรบกวนเบาบางในอากาศที่ฟู่เฉิงสื่อทิ้งไว้ ซึ่งเป็นผลจากการเคลื่อนไหวของเขาก็ปรากฏชัดต่อสายตาของจางเซวียน


จางเซวียนรุดหน้าตามรอยนั้นไป


ไม่ช้าเขาก็ออกมาพ้นอาณาเขตของเกาะคว้าดาว ขณะมุ่งหน้าไป ร่องรอยอีกมากมายก็ปรากฏแก่สายตา ดูเหมือนจะมีคนกลุ่มหนึ่งสะกดรอยตามฟู่เฉิงสื่อไปด้วย


ร่องรอยเหล่านี้เป็นของนักรบทั้ง 5 จากหอเทพเจ้า แต่เมื่อครู่นี้พวกนั้นถูกฟู่เฉิงสื่อเล่นงานจนบาดเจ็บไปแล้วไม่ใช่หรือ? จางเซวียนขมวดคิ้ว


หรือพวกเขาใช้ศาสตร์ลับบางอย่างที่ทำให้ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว? แต่ถึงอย่างไร การที่พวกนั้นตามฟู่เฉิงสื่อไปก็ไม่ใช่สัญญาณที่ดี


เราต้องเร่งความเร็วแล้ว จางเซวียนคิดอย่างกระวนกระวาย


ไม่ว่า 5 คนนั้นจะรีรออยู่เพื่อตามฟู่เฉิงสื่อไปยังที่อยู่ของตู้ชิงหย่วนหรือด้วยเหตุผลอื่น แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ก็คือ-ข้อมูลเรื่องที่อยู่ของตู้ชิงหย่วนได้รั่วไหลเข้าหูของหอเทพเจ้าแล้ว


รู้ดีว่าความเร็วของเขายังอ่อนด้อยเมื่อเทียบกับนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ จางเซวียนรีบนำฉลามหมายเลข 1 ออกมาและเร่งให้มันเดินทาง


ครึ่งวันให้หลัง…


หลังจากเดินทางมาได้กว่า 1 ล้านลี้ ร่องรอยทั้งหมดก็หายวับไป จางเซวียนสั่งการฉลามหมายเลข 1 ให้หยุดและกลับเข้าไปในกระสอบอสูร ก่อนที่เขาจะเริ่มสำรวจบริเวณโดยรอบ


ตอนนี้เขาอยู่ท่ามกลางทะเลทรายแห้งแล้งทุรกันดาร ทรายสีเหลืองมีมากมายสุดลูกหูลูกตา ดูเหมือนจะไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดของมันอยู่ที่ไหน


ร่องรอยสิ้นสุดที่นี่…เป็นไปได้ไหมว่าเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายตั้งอยู่ภายใต้ผืนทรายสีเหลืองแห่งนี้? จางเซวียนครุ่นคิด


การที่ร่องรอยสิ้นสุดที่นี่ก็หมายความว่าตอนนี้เขาอยู่ไม่ไกลจากเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายแล้ว จางเซวียนจึงพยายามทบทวนรายละเอียดของเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายที่เขาได้อ่านจากหนังสือ


เมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายคืออาณาจักรโบร่ำโบราณแห่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ชนพื้นเมืองยังมีบทบาททั่วทั้งทวีปที่ถูกลืม มันถูกซ่อนไว้ในทะเลทรายกว้างใหญ่…


จางเซวียนรีบซึมซับข้อมูลทั้งหมดเข้าสู่หัวสมอง


บรรดาหนังสือที่อยู่ในหอสมุดของสำนักดาบเมฆเหิน หอนานาอสูร และสำนักดาวเจ็ดดวงล้วนมีรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับสถานที่แห่งนั้น


มันควรจะอยู่ในบริเวณนี้แหละ…


จางเซวียนสำรวจพื้นที่โดยรอบ ทันใดนั้นก็เลิกคิ้ว เขาเดินตรงไปยังทิศทางหนึ่ง ไม่ช้าก็มาถึงสันทราย


เมื่อมองด้วยตาเปล่า บริเวณนี้ดูจะไม่มีอะไรผิดแปลก แต่หากสำรวจอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก็จะรู้สึกได้ถึงรังสีดึกดำบรรพ์ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผืนทรายสีเหลืองนั้น โลกที่ปลาสนาการไปจากสายตาของชาวโลกแล้วซ่อนอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขานี่เอง


จางเซวียนเดินวนรอบสันทรายอย่างช้าๆขณะพิจารณาอย่างถี่ถ้วน


จากนั้นเขาก็ก้าวออกไปก้าวหนึ่งและกระทืบเท้าอย่างแรง


ฟึ่บ!


เกิดแรงดูดมหาศาลที่ฉุดเขาให้ร่วงลงไปทันที


จางเซวียนรีบตั้งตัวก่อนจะโผขึ้นสู่กลางอากาศ เมื่อมองบริเวณที่อยู่โดยรอบอีกครั้ง ก็พบว่าเขาไม่ได้อยู่ในทะเลทรายแล้ว


ที่อยู่ตรงหน้าเขาคือเมืองขนาดใหญ่ที่ชำรุดทรุดโทรม มีแต่ซากปรักหักพังที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของประวัติศาสตร์ ดูราวกับเขาได้ก้าวเข้าสู่โลกใบใหม่


พื้นที่นี้แห้งแล้งมาก ไม่มีพืชพันธุ์ใดๆให้เห็น แถมยังมีบึงขุ่นคลั่ก หากเมื่อครู่นี้เขาตกลงไปในบึง คงถูกกลืนลงไปทั้งตัวแน่


นี่คือเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายหรือ? จางเซวียนหน้าตาเคร่งเครียด


ตอนที่ 2091 ต้องหนีแล้ว!

เขารู้มาว่าสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยอันตราย และเท่าที่เห็น ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ เขาเข้าใจว่าเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายน่าจะเป็นสถานที่หนึ่งที่อยู่ในทวีปที่ถูกลืม แต่แท้ที่จริงแล้วมันกลับเป็นมิติลี้ลับที่อยู่ในทะเลทราย


จางเซวียนรีบกวาดสายตาไปโดยรอบ


เส้นทางที่เขาเข้ามานั้นหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย แม้จางเซวียนจะมีสัมผัสที่ไวต่อมิติ แต่ก็หาร่องรอยของมันไม่พบ


พูดอีกอย่างก็คือ เขาถูกขังอยู่ในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายแล้ว ต้องหาทางออกอีกทางหนึ่งหากอยากจะออกไปจากที่นี่


ถึงเวลาแล้วค่อยคิดก็แล้วกัน สำหรับตอนนี้ เราต้องหาตู้ชิงหย่วนให้พบก่อน จางเซวียนคิดขณะ โยนความรู้สึกขัดข้องกังวลใจทิ้งไป เขามองเมืองขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าและเดินเข้าไปช้าๆ


วิ้งงงง!


ยังไม่ทันจะถึงเมือง ก็พลันรู้สึกได้ถึงความเย็นเยือกจับขั้วหัวใจที่อยู่ด้านหลัง พริบตาต่อมา กระแสดาบฉีก็ระเบิดออกจากบึง พุ่งเข้าใส่หน้าอกของเขา


พร้อมกันนั้น กระแสดาบฉีอีกสายหนึ่งก็พุ่งลงมาจากด้านบน


เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่ผนึกกำลังกันเพื่อสังหารเขาให้ได้ภายในกระบวนท่าเดียว


ซุ่มโจมตีหรือ? จางเซวียนหรี่ตา


เขามัวแต่สนใจการติดตามฟู่เฉิงสื่อ จนไม่คิดว่าจะเจอกับการซุ่มโจมตีที่นี่


“หอเทพเจ้างั้นสิ ฮะ?” จางเซวียนระบุตัวตนของผู้ลอบโจมตีเขาได้ทันที


เจตนาสังหารที่ก่อให้เกิดความไม่สบายใจและความคมกริบแม่นยำราวกับไม้บรรทัดบ่งบอกชัดเจน นั่นคือเอกลักษณ์ของผู้ฝึกฝนศิลปะเพลงดาบของหอเทพเจ้า


ที่สำคัญกว่านั้น ทั้งมุม ตำแหน่ง และช่วงเวลาของการโจมตีที่พวกเขาผนึกกำลังกันนั้นล้วนเฉียบคมอย่างน่าทึ่ง ถึงขนาดที่ต่อให้นักรบขั้นกึ่งสวรรค์ก็หลบเลี่ยงการโจมตีของพวกเขาได้ยาก สิ่งเดียว ที่พอจะคิดได้ก็คือความสามารถระดับนี้จะต้องมาจากหอเทพเจ้าเท่านั้น


“แค่นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ 2 คนหรือ?” จางเซวียนถอนหายใจเฮือกอย่างโล่งอก


เมื่อ 10 วันก่อน เขาอับจนหนทางเมื่อถูกรุมโจมตี แต่สำหรับตัวเขาในเวลานี้ คนเหล่านั้นไม่ใช่ปัญหาอีกแล้ว


ถึงตอนนี้จะมีคู่ต่อสู้แค่ 2 คน แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าชายวัยกลางคนที่มีวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์คนนั้นอาจจะรออยู่ใกล้ๆ


จางเซวียนจึงส่งโทรจิตหาอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ทั้ง 4 ตัวที่อยู่ในกระสอบอสูร เพื่อเร่งมันให้เตรียมตัวให้พร้อม ในเวลาเดียวกัน เขาก็ชักดาบถงซังออกมาแล้วปลดปล่อยเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าเข้าปิดกั้นบริเวณโดยรอบ


“เจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้า? คุณคือจางเซวียน, เจ้าสำนักดาบเมฆเหินคนใหม่?”


ผู้บุกรุกทั้งสองเกิดความระแวง หนึ่งในนั้นตั้งท่าจะหนี


ถ้าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาเป็นแค่นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ พวกเขาก็จะทุ่มสุดตัวเพื่อเล่นงานหมอนั่นให้ได้ แต่ชายหนุ่มสำเร็จวรยุทธอมตะขั้นสูงแล้ว!


เมื่อพิจารณาถึงการที่ความพยายามลอบสังหาร 2 ครั้งก่อนหน้านี้ไม่เป็นผล ทั้งคู่ก็ใช้เวลาไม่นานในการสรุปว่าคู่ต่อสู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่คนที่พวกเขาจะเอาชนะได้


สิ่งที่ต้องทำตอนนี้ก็คือแจ้งข่าวให้หัวหน้ารู้โดยเร็วที่สุด!


ถ้าเขาจับตัวชายหนุ่มผู้นี้ได้ ความดีความชอบที่ได้รับจะยิ่งใหญ่เสียกว่าการฉกฉวยแท่นบูชาของตำหนักคว้าดาวได้เสียอีก


“สายไปแล้วล่ะ” จางเซวียนพูดเบาๆ


ดาบของเขาพุ่งลงมาราวกับลมหอบใหญ่ ดูเผินๆเหมือนจะเนิบช้า แต่กระบวนท่าเดียวนั้นสกัดกั้นหนทางหลบหนีของอีกฝ่ายเอาไว้ทั้งหมด


เขาติดกับแล้ว


ฟึ่บ!


เลือดซึมออกจากหว่างคิ้วของนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ที่อยู่ด้านบน จากนั้นจิตวิญญาณของเขาก็สูญสลาย เป็นอันจบสิ้นชะตากรรม


จางเซวียนคว้าศพที่กำลังร่วงลงมาแล้วโยนเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ


รวมแล้ว นับตั้งแต่วินาทีที่นักรบทั้งสองพยายามลอบสังหารเขาจนถึงตอนที่นักรบอมตะขั้นสูงสวรรค์คนหนึ่งถูกสังหาร เวลาก็ผ่านไปเพียงไม่ถึงหนึ่งอึดใจเท่านั้น ในขณะเดียวกัน กระแสดาบฉีจากนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ที่อยู่ด้านล่างก็พุ่งถึงตัวเขา


ฟึ่บ!


ขณะที่ดูเหมือนว่ากระแสดาบฉีกำลังจะพุ่งทะลุหน้าอกของจางเซวียน น้ำเต้าลูกหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าและสกัดกั้นกระแสดาบฉีไว้


“บ้าจริง! จัดการมัน!”


นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ที่อยู่ด้านล่างกัดฟันกรอดเพื่อขับเคลื่อนพลังปราณจนเต็มพิกัด หวังจะเล่นงานน้ำเต้าให้แตกเป็นเสี่ยงๆ แต่น้ำเต้านั้นแข็งแกร่งราวกับกำแพงป้อมปราการ ขนาดใช้พละกำลังเต็มพิกัดแล้วก็ยังทำลายมันไม่ได้


“หรือว่าจะเป็นของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์?” นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ตัวสั่น


ตัวเขาเป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ ดาบในมือก็มีวรยุทธขั้นเดียวกัน จึงไม่มีทางที่ของล้ำค่าระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์จะยับยั้งการโจมตีของเขาได้


แต่น้ำเต้าลูกหนึ่งสกัดกั้นเขาได้สำเร็จ เขาไม่กล้าคิดเลยว่าของล้ำค่าชิ้นนั้นจะมีวรยุทธขั้นไหน!


“ไม่สำเร็จแล้วล่ะ เราไม่มีทางเอาชนะปีศาจแบบเขาได้ ต้องหนีแล้ว!”


รู้ดีว่าลำพังตัวเขาไม่มีทางสังหารอีกฝ่ายได้สำเร็จ เขารีบหันหลังกลับและเตรียมเผ่นหนี แต่ยังไม่ทันจะได้ไปไหน ทุกอย่างก็ดับวูบ


น้ำเต้าลอยมาอยู่ตรงหน้า


ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว น้ำเต้ากระแทกเข้าที่ศีรษะของนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์อย่างจัง อีกฝ่ายถึงกับเห็นดาวและร่วงลงไปกองกับพื้นอย่างหมดสภาพ


ไม่น่าเชื่อว่านักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์อย่างเขาจะตกม้าตายเพราะน้ำเต้าลูกเดียว…


ฟึ่บ!


จางเซวียนรีบเก็บศพนั้นเข้าสู่แหวนเก็บสมบัติ


แม้จะเล่นงานนักรบระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ไปได้ 2 คนแล้ว แต่จางเซวียนก็ไม่แสดงอาการลิงโลดออกมา เขาสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างหวาดระแวง


2-3 อึดใจผ่านไป แต่ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆเกิดขึ้น จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่


“ดูเหมือนพวกซุ่มโจมตีจะมีแค่สองคนนั้น”


มีความเป็นไปได้ว่ากลุ่มคนที่เขาต่อสู้ด้วยเมื่อครู่นี้อาจรอคอยเขาอยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่งแล้วยังไม่มีใครปรากฏตัว ก็น่าจะเป็นไปได้ว่ามีเพียงเท่านี้ เพราะไม่อย่างนั้น พวกที่เหลือจะต้องตรงเข้าเล่นงานจุดอ่อนที่จางเซวียนเปิดเผยออกมาระหว่างที่รับมือกับการโจมตีของนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์สองคนนั้น


“สองคนนี้จะต้องเป็นม้าเร็วที่คอยแจ้งข่าวในกรณีที่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ คนอื่นๆคงเข้าถึงตัวหัวหน้าตู้กับแท่นบูชาแล้ว…”


จางเซวียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “เราสกัดกั้นมิติโดยรอบไว้หมดแล้วก่อนสังหาร 2 คนนั่น ทั้งกระแสพลังงานและข่าวนี้คงยังไม่รั่วไหลออกไป เพราะฉะนั้น คนอื่นๆที่เหลือคงยังไม่รู้ว่าเราเข้ามา…”


ฟึ่บ!


ร่างหนึ่งที่เหมือนกับตัวเขาโผล่ขึ้นมาข้างๆ


ตัวโคลน!


หลังจากทำให้อสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ 4 ตัวยอมจำนนได้แล้ว จางเซวียนก็มอบหยดเลือดส่วนหนึ่งของพวกมันให้ไอ้โหดกับตัวโคลนของเขา เพราะขาดแคลนเทคนิควรยุทธ จางเซวียนจึงยังฝึกฝนวรยุทธต่อไม่ได้ แต่เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหากับตัวโคลน อีกฝ่ายสำเร็จวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์แล้ว


ป่วยการที่จะพูดว่าตอนนี้ตัวโคลนกลับมาแข็งแกร่งกว่าเขาอีกรอบ


“คุณเป็นหมอนี่นะ ผมจะเป็นอีกคนหนึ่ง” จางเซวียนพูด


“ได้สิ!”


เมื่อรับรู้กระแสความคิดของจางเซวียน ตัวโคลนพยักหน้า พริบตาต่อมา ตัวโคลนก็แปลงร่างเป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์คนที่ถูกน้ำเต้าเล่นงาน


แม้ตัวโคลนจะไม่มีเครื่องรางแห่งการปลอมตัว แต่บัวเก้าหัวใจก็ทำให้ร่างกายของเขามีคุณสมบัติเหมือนน้ำ สามารถแปรสภาพได้อย่างอิสระ เป็นอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาคืนสภาพเดิมได้อย่างง่ายดายแม้ร่างกายจะถูกเล่นงานจนยุบเข้าไป


หลังจากปรับเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาแล้ว ตัวโคลนก็รีบนำเสื้อผ้าของอีกฝ่ายมาใส่ก่อนจะกดข่ม กระแสพลังจิตวิญญาณให้เหลือน้อยที่สุด


ส่วนจางเซวียนก็แปลงร่างเป็นนักรบอีกคนหนึ่ง ด้วยการเคาะนิ้วเบาๆ เขาก็ทำให้ดาบทั้งสองเล่มของนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ทั้งคู่ยอมจำนนได้


การปลอมตัวของเขานั้นไร้ที่ติ ต่อให้ตรวจสอบสายเลือดก็ไม่มีทางดูออก แต่ก็มีความแตกต่างอยู่บ้างกับการปลอมตัวของตัวโคลน อย่างเช่นรังสีของจิตวิญญาณ


แต่การที่ทั้งคู่ถือดาบของนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์สองคนนั้นก็แนบเนียนเกินพอแล้ว


ของล้ำค่าระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ได้ชื่อว่ามีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง การจะทำให้มันยอมจำนนถือเป็นเรื่องยาก ขอแค่พวกนั้นเห็นเขากับตัวโคลนถือดาบของนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ทั้งสอง ก็ไม่น่าจะต้องตรวจสอบอะไร


หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการ จางเซวียนตรวจสอบการปลอมตัวของเขากับตัวโคลนอีกครั้งขณะเพิ่มเติมเสริมแต่งเล็กน้อย เมื่อปราศจากช่องโหว่ใดๆแล้วก็พยักหน้า


เขาออกเดินนำ มีตัวโคลนตามไปติดๆ


เพื่อให้แน่ใจว่านักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์สองคนนั้นจะตามรอยพวกเขาได้ ชายวัยกลางคนที่เป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่จากไปก่อนหน้านี้จึงทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้ การสะกดรอยตามทั้งกลุ่มไปจึงไม่ใช่เรื่องยาก


ไม่ช้าจางเซวียนกับตัวโคลนก็เข้าสู่อาณาเขตของเมืองโบร่ำโบราณ


กำแพงเมืองที่ผุกร่อนบ่งบอกถึงการเสื่อมถอย ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกหนักอึ้งอยู่ภายใน สภาพแวดล้อมดูอึดอัด ทำให้ผู้ที่เดินเข้าไปหายใจลำบาก


แม้แต่นักรบระดับจางเซวียนก็ยังรู้สึกว่าวรยุทธของเขาถูกกดข่มให้ต่ำลงมากจนไม่อาจสำแดงพละกำลังเต็มพิกัดได้


จางเซวียนพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เขาทำบาดแผลเล็กๆไว้ที่แขน


ซรืดดดดด!


ทันทีที่เกิดบาดแผล บรรยากาศของการเสื่อมถอยที่อยู่โดยรอบก็เข้าเกาะกุมบาดแผลนั้นไว้ ทำให้ไม่อาจรักษาได้


จางเซวียนรีบขับเคลื่อนพลังปราณเทียบฟ้าเพื่อขับไล่บรรยากาศของการเสื่อมถอยและเยียวยาอาการบาดเจ็บของเขา แต่แล้วก็ต้องส่ายหน้าอย่างหมดปัญญา


โดยปกติ บาดแผลเล็กๆแบบนี้ ใช้เวลาเยียวยาไม่ถึง 1 อึดใจก็หายสนิท แต่ทั้งๆที่ขับเคลื่อนพลังปราณเทียบฟ้าเข้าไป 2-3 นาทีแล้ว บาดแผลก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น


นี่คือสิ่งที่น่ากังวลมากของสถานที่แห่งนี้


ไม่แปลกใจแล้วที่ผู้อาวุโสไป๋เย่ไม่อาจเยียวยาอาการบาดเจ็บของตัวเองได้ ทำให้ไม่มีทางเลือกนอกจากนอนรอความตาย เรื่องนี้คงสืบเนื่องมาจากบรรยากาศของการเสื่อมถอยนี่เอง


จางเซวียนนำขวดหยกใบหนึ่งออกมาแล้วหยดซุปไก่ลงบนบาดแผลของเขา ควันสีดำลอยโขมง จากนั้นบาดแผลก็เยียวยาตัวเองอย่างรวดเร็ว


ดูเหมือนเมื่ออยู่ในดินแดนนี้ เราต้องทำอะไรอย่างระมัดระวังและพยายามเต็มที่ที่จะไม่เจ็บตัว จางเซวียนคิดหนัก


นักรบคนอื่นๆไม่ได้โชคดีอย่างเขาที่มีซุปไก่อยู่กับตัว พูดอีกอย่างก็คือ ทันทีที่คนเหล่านั้นได้รับบาดเจ็บ ร่างกายของพวกเขาจะถูกกัดกร่อนด้วยบรรยากาศของการเสื่อมถอย ทำให้อาการบาดเจ็บทรุดหนักกว่าเดิมอย่างรวดเร็ว ลงท้ายก็ต้องตายอย่างน่าอนาถ


ตอนที่ 2092 เกิดการต่อสู้ขึ้นที่นี่

“ผมให้คุณขวดหนึ่งก็แล้วกัน” จางเซวียนพูดขณะโยนขวดหยกให้ตัวโคลน


ในเมื่อพลังปราณเทียบฟ้าใช้ไม่ได้ผลกับเขา ก็คงไม่ได้ผลกับตัวโคลนเช่นกัน จะเกิดปัญหาใหญ่กับตัวโคลนแน่ถ้าอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บ


ตัวโคลนรับขวดหยกมา แต่ไม่ได้เก็บไว้ เขากลับมองจางเซวียนและเบะปาก ก่อนจะกรีดแขนตัวเองด้วยกระแสพลังปราณจากปลายนิ้ว


เกิดบาดแผลลึกบนแขนของตัวโคลน เลือดทะลักออกมา


จางเซวียนขมวดคิ้วเมื่อเห็นภาพนั้น เขาไม่เข้าใจว่าตัวโคลนคิดอะไร


พริบตาต่อมา ตัวโคลนก็ขับเคลื่อนพลังปราณเข้าสู่ร่างกาย


ซรืดดดดด!


ควันสีดำโขมงหายไปจากบาดแผล แผลนั้นเยียวยาตัวเองอย่างรวดเร็วจนหายดี ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน


จางเซวียนตาค้าง


“ผมไม่ต้องการไอ้นี่หรอก”


ตัวโคลนเอาสองมือไพล่หลังไว้ จากนั้นก็มองจางเซวียนและส่ายหน้า “ไม่ได้เรื่อง”


จางเซวียน คุณจะตายไหมถ้าไม่อวดดีสักวัน?


จางเซวียนคับอกคับใจจนพูดไม่ออก เขาตัดสินใจเมินตัวโคลนและเดินหน้าต่อไป


แม้จะมีบรรยากาศของการเสื่อมถอยอยู่ภายในเมืองโบร่ำโบราณ แต่ก็พอมีความเขียวชอุ่มอยู่บ้างท่ามกลางซากปรักหักพัง ดูเหมือนฤดูใบไม้ผลิครั้งใหม่กำลังก่อตัวขึ้นบนดินแดนที่กำลังเสื่อมถอยแห่งนี้


ชีวิตเกิดขึ้นในดินแดนแห่งความตาย ราวกับทั้งโลกกำลังสำแดงพละกำลังของธรรมชาติเพื่อกวาดล้างความเสื่อมโทรมและฟื้นฟูดินแดนทั้งหมด


สมุนไพรที่ขึ้นอยู่ในบรรยากาศของการเสื่อมถอยมีคุณสมบัติทางยาเข้มข้นมาก ทั้งยังมีหลากหลายชนิดด้วย ไม่น่าแปลกใจแล้วที่ผู้เชี่ยวชาญมากมายพากันเดินทางเข้าสู่เมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายแม้จะมีอันตรายอยู่ทั่วไป


เพราะหากได้หลอมยาเม็ดจากสมุนไพรที่หาได้ที่นี่ ยาเม็ดนั้นก็จะมีศักยภาพสูงกว่าธรรมดา


ขณะที่สะกดรอยตามรอยเท้าของกลุ่มคนจากหอเทพเจ้า จางเซวียนก็ไม่ลืมเก็บสมุนไพรระหว่างทางที่อยู่ในระยะเอื้อมถึง


ไม่ช้า เศษซากปรักหักพังของอาคารกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏแก่สายตา


ที่นี่ไม่ต่างอะไรกับที่เขาเคยเห็นมาก่อน


สถานที่ที่เขาเคยเข้าไปก่อนหน้านี้เสื่อมสลายเพราะหยาดเหงื่อและหยดน้ำตาของกาลเวลา แต่ซากปรักหักพังของอาคารกลุ่มนี้ยังมีร่องรอยใหม่ๆอยู่มาก ราวกับใครสักคนเพิ่งทำลายมัน


“เกิดการต่อสู้ขึ้นที่นี่” จางเซวียนตั้งข้อสังเกต


ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้อันเฉียบคม เขาดูออกว่าร่องรอยเหล่านี้เพิ่งเกิดขึ้นได้ราว 1 ชั่วโมง ไม่อย่างนั้น ด้วยบรรยากาศของการเสื่อมถอยที่อบอวลอยู่ในพื้นที่ ต่อให้ร่องรอยที่เกิดขึ้นใหม่ก็ย่อมเสื่อมสลายไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ยากที่จะบอกความแตกต่าง


“กลุ่มคนจากหอเทพเจ้าตามฟู่เฉิงสื่อทัน? หรือพวกเขาเจอตัวหัวหน้าตู้แล้ว?” จางเซวียนครุ่นคิดอย่างกังวลใจ


การปรากฏของร่องรอยการต่อสู้ใหม่ๆบอกชัดว่าคนสองกลุ่มเพิ่งปะทะกัน


จางเซวียนชะงักฝีเท้า ตั้งใจจะพิจารณาร่องรอยเหล่านั้นใกล้ๆเผื่อจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์


แต่แล้วก็พลันรู้สึกได้ว่าเหงื่อเย็นๆไหลท่วมร่าง กระแสพลังงานหนักหน่วงระเบิดลงมาจากกลางอากาศ จางเซวียนรีบถอยไปขณะชักดาบ 6 เล่มออกมาสร้างปราการคุ้มกันตัวเขา


เสียงดังเปาะแปะเหมือนฝนตกดังก้องไปทั่ว จางเซวียนมองดู เห็นเงาดำกลุ่มใหญ่โผล่พรวดขึ้นมาจากพื้นดิน เหมือนกองทัพภูตผีที่หลุดรอดออกมาจากนรกขุมลึก


เงาดำที่อยู่ตรงหน้าเขามีลักษณะคล้ายหมอก ไม่มีรูปร่างที่ชัดเจนหรือจับต้องได้ แต่พละกำลังของพวกมันนั้นไม่อาจสบประมาทได้เลย มันต้านทานได้แม้แต่กระแสดาบฉีของจางเซวียน


จางเซวียนพึมพำด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “หรือว่าพวกมันคือ…อสูรเสื่อมถอย?”


เขาเคยอ่านเรื่องของอสูรเสื่อมถอยในหนังสือมาแล้ว


มันคือสิ่งมีชีวิตชนิดพิเศษของเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย เติบโตและได้รับการบ่มเพาะจากบรรยากาศของการเสื่อมถอยที่อบอวลอยู่ในพื้นที่ พวกมันขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยมดุร้ายมาก ผู้ที่ต้องปะทะกับมันจะพบว่าบรรยากาศของการเสื่อมถอยซึมซาบเข้าสู่ร่างกาย กัดกร่อนทำลายทั้งอวัยวะภายในและแม้แต่พลังปราณ


และที่เลวร้ายกว่าเดิมก็คือ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกำจัดบรรยากาศของการเสื่อมถอยออกจากร่างกายของผู้นั้น


ในครั้งนั้น ผู้อาวุโสไป๋เย่คงได้รับบาดเจ็บเพราะอสูรเสื่อมถอยเช่นกัน


“ขอดูหน่อยเถอะว่าพวกแกทรงพลังแค่ไหน!”


หลังจากแน่ใจในตัวตนของอีกฝ่ายแล้ว จางเซวียนชักดาบถงซังออกมาและปล่อยกระแสดาบฉีหลายสิบสายเข้าใส่อสูรเสื่อมถอย


คลื่นดาบ!


นี่คือศิลปะเพลงดาบที่ไม่ได้ยากเย็นเกินไป ขอแค่นักรบคนหนึ่งมีพลังปราณมากพอ ก็เรียนรู้ได้อย่างง่ายดาย แต่หากลงลึกในเทคนิคที่ซับซ้อนมากขึ้น ก็จะรู้ว่ามีรายละเอียดอีกมากมายที่ต้องจดจำให้ขึ้นใจระหว่างสำแดงศิลปะเพลงดาบนั้น ซึ่งรายละเอียดพวกนี้จะได้รับการขัดเกลาอย่างช้าๆด้วยตัวนักดาบผู้นั้นเอง ผ่านการฝึกฝนแบบลองผิดลองถูก


ด้วยเหตุนี้ มันจึงได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในศิลปะเพลงดาบที่ฝึกฝนให้เชี่ยวชาญได้ยากที่สุด


ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของสำนักดาบเมฆเหิน มีนักรบไม่มากนักที่เชี่ยวชาญเทคนิคนี้ และจางเซวียนคือหนึ่งในคนเหล่านั้น


ด้วยพละกำลังที่เหนือชั้นกว่านักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ทั่วไป กระแสดาบฉีหลายสิบสายพุ่งเข้าใส่อสูรเสื่อมถอย


บึ้ม! บึ้ม! บึ้ม!


อสูรเสื่อมถอยระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กลุ่มอาคารผุกร่อนที่อยู่ด้านหลังพวกมันพังพินาศราบคาบ


“ดูเหมือนพวกนี้จะไม่ค่อยทรงพลังเท่าไหร่…”


เมื่อเห็นว่าฆ่าอสูรเสื่อมถอยได้ด้วยกระแสดาบฉี จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่ยังไม่ทันจะลดดาบลง เงาดำที่อยู่ตรงหน้าก็สั่นไหวอีกครั้ง อสูรเสื่อมถอยที่แหลกสลายไปแล้วก่อตัวขึ้นใหม่อย่างรวดเร็วและพุ่งเข้าโจมตีเขาต่อไป


“ภูมิคุ้มกันสมบูรณ์แบบของกายเนื้อ?” จางเซวียนหน้าดำคร่ำเครียด


เขาคิดไม่ถึงว่าอสูรเสื่อมถอยเหล่านี้จะกลับสู่สภาพเดิมได้รวดเร็วแบบนั้น ถึงขนาดที่กระแสดาบฉีของเขาทำอะไรพวกมันไม่ได้เลย


“ถ้าใช้การโจมตีจิตวิญญาณจะดีกว่าไหม?”


จางเซวียนรีบถอดจิตวิญญาณออกจากกายเนื้อและปล่อยพลังจากฝ่ามือเข้าใส่อสูรเสื่อมถอย


ฝ่ามือปีศาจสวรรค์โทมนัส!


นี่คือศิลปะสุดยอดของนักปราชญ์โบราณชิวอู๋ แต่เขาได้ปรับเปลี่ยนจนแข็งแกร่งกว่าของดั้งเดิมมาก มันคือหนึ่งในเทคนิคการต่อสู้หายากที่ผนวกเอาการโจมตีโดยใช้กายเนื้อและจิตวิญญาณไว้ด้วยกัน ประสิทธิภาพของมันจะสูงขึ้นอีกเมื่อนักรบผู้นั้นสำแดงออกมาในสภาวะที่ตัวเขาเป็นจิตวิญญาณ สามารถสร้างความบอบช้ำที่ไม่อาจเยียวยาได้ให้กับจิตวิญญาณของอีกฝ่าย


พลังจากฝ่ามือของจางเซวียนฉีกกระชากฝูงอสูรเสื่อมถอยให้แหลกเป็นชิ้นๆ แต่ก็เหมือนเดิม เพียง 2-3 อึดใจ พวกมันก็คืนร่าง


จางเซวียนสูดหายใจลึก เขาทดลองอีก 2-3 วิธี แต่ไม่มีวิธีไหนได้ผลเลย


คราวนี้เขาจนปัญญาจริงๆ


ถ้าอสูรพวกนี้คืนร่างเดิมได้ไม่ว่าเขาจะเล่นงานพวกมันด้วยวิธีไหน ก็คงไม่มีโอกาสเอาชนะมันได้เลย สุดท้าย ต่อให้พลังปราณที่ไร้ขีดจำกัดของเขาก็ต้องหมดลง


“ดวงตาหยั่งรู้!”


หลังจากเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้ ในที่สุดจางเซวียนก็เห็นข้อผิดพลาด


ทุกครั้งที่อสูรเสื่อมถอยถูกสังหาร บรรยากาศของการเสื่อมถอยที่อยู่โดยรอบจะเข้าโอบล้อมมัน ทำให้มันคืนร่างเดิมและฟื้นคืนชีพได้อีกครั้ง


“พูดได้เลยว่าอสูรเสื่อมถอยพวกนี้คือผลงานของบรรยากาศของการเสื่อมถอยที่อบอวลอยู่ในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย” จางเซวียนตาโตเมื่อพลันเข้าใจ “ตราบใดที่บรรยากาศของการเสื่อมถอยยังอบอวลอยู่ ก็ไม่มีทางเอาชนะอสูรพวกนี้ได้…”


ไม่น่าแปลกใจแล้วที่เขากำจัดพวกมันไม่สำเร็จเสียทีไม่ว่าจะใช้วิธีไหน คงจะถูกต้องกว่าถ้าจะกล่าวว่าอสูรเสื่อมถอยคือบรรยากาศของการเสื่อมถอย มากกว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่ได้โดยอาศัยบรรยากาศของการเสื่อมถอยนั้น พวกมันไม่มีวันตาย เว้นเสียแต่คู่ต่อสู้จะกำจัดบรรยากาศของการเสื่อมถอยออกไปได้


“ถ้าอย่างนั้น…วิธีเดียวที่จะรับมือกับอสูรเสื่อมถอยพวกนี้ก็คือเบี่ยงเบนความสนใจของพวกมัน”


จางเซวียนปล่อยกระแสดาบฉีออกมาอีกครั้ง คราวนี้เป้าหมายของเขาไม่ได้อยู่ที่อสูรเสื่อมถอย แต่เป็นซากปรักหักพังของอาคารที่อยู่โดยรอบ


บึ้มมมม!


เศษอิฐหินปูนกระจัดกระจายไปทั่วขณะที่อาคารพังทลายหนักกว่าเดิม เกิดร่องรอยใหม่ๆขึ้นมากมาย


ทันทีที่ร่องรอยเหล่านั้นปรากฏ บรรยากาศของการเสื่อมถอยก็ตรงเข้าโอบล้อมและซึมซาบเข้าสู่ร่องรอยเหล่านั้นเพื่อกัดกร่อนมัน จางเซวียนฉวยโอกาสนี้รีบสังหารอสูรเสื่อมถอยด้วยการระเบิดพลังปราณ


คราวนี้เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ พวกมันไม่อาจคืนสภาพเดิมได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตัวที่ยังอยู่ก็เชื่องช้ากว่าเดิมด้วย


“เราต้องรีบแล้วล่ะ ไม่นานอสูรเสื่อมถอยกลุ่มใหม่ก็จะก่อตัวขึ้นอีก และจะมีปริมาณมากกว่าเดิม” จางเซวียนตั้งข้อสังเกต


นี่คือเรื่องที่แสนประหลาดของเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย


แม้ร่องรอยใหม่ๆที่เกิดขึ้นบนกลุ่มอาคารที่เพิ่งพังพินาศไปสดๆร้อนๆจะช่วยดึงดูดบรรยากาศของการเสื่อมถอยไปสู่พวกมัน แต่ปัญหาก็คือจะใช้วิธีการนี้บ่อยครั้งเกินไปไม่ได้ อีกอย่าง ยิ่งการผุกร่อนพังทลายขยายตัวมากขึ้นเท่าไหร่ บรรยากาศของการเสื่อมถอยก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ทำให้อสูรเสื่อมถอยที่อยู่ในบริเวณนี้มีปริมาณเพิ่มขึ้น


พูดอีกอย่างก็คือ แม้จะหลีกเลี่ยงวิกฤตนี้ได้ด้วยการทำลายกลุ่มอาคารที่อยู่โดยรอบ แต่นั่นก็หมายความว่าต่อไปจะมีอันตรายมากกว่าเดิม บรรยากาศของการเสื่อมถอยจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆจนไม่มีใครรับมือกับมันได้อีก


“อยากรู้เหลือเกินว่าต้นกำเนิดของบรรยากาศของการเสื่อมถอยมาจากไหน เรื่องนี้ซับซ้อนเกินกว่าความเข้าใจของนักรบอมตะขั้นสูงและแม้แต่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์…”


จางเซวียนรีบสลัดความคิดนั้นออกจากสมองก่อนจะรุดหน้าต่อไป


เพราะเจอกับอสูรเสื่อมถอยมาแล้ว จางเซวียนกับตัวโคลนของเขาจึงเดินทางอย่างเงียบๆ ไม่กล้าเก็บสมุนไพรที่อยู่สองข้างทางอีก


หลังจากเดินไปได้อีกราว 10 นาที ทั้งคู่ก็พลันรู้สึกถึงกระแสพลังปราณเกรี้ยวกราดที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนกำลังเกิดการต่อสู้


จางเซวียนชำเลืองมองตัวโคลนก่อนจะเดินต่อไป เมื่อพ้นกำแพง ทั้งคู่ก็เห็นสองร่างอยู่ตรงหน้า


พวกเขาคือนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ 2 คนที่บุกเข้าไปในตำหนักคว้าดาว!


1 ใน 2 คนนั้นสูญเสียแขนข้างหนึ่ง ขณะที่อีกคนมีบาดแผลฉกรรจ์บริเวณกลางอก ด้วยการกัดกร่อนของบรรยากาศแห่งการเสื่อมถอย บาดแผลนั้นจึงเริ่มเน่าเฟะ ส่งกลิ่นเหม็นตลบไปทั่ว


“แกน่ะ ลงนรกซะเถอะ!”


“แกมันไอ้สารเลว ฉันจะฉีกแกเป็นชิ้นๆ!”


ทั้งคู่คำรามกร้าวก่อนจะชักดาบและฟาดฟันกัน


พวกเขามีพละกำลังทัดเทียมกัน จึงบอกได้ยากว่าใครถือไพ่เหนือกว่า


“ทำไมพวกนั้นถึงสู้กันเอง?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


เขาคิดว่าฝ่ายหนึ่งน่าจะเป็นฟู่เฉิงสื่อหรือไม่ก็ตู้ชิงหย่วน ใครจะไปคิดว่านักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์สองคนนี้จะสู้กันเอง? แถมยังปะทะกันอย่างเอาเป็นเอาตายด้วย


ตอนที่ 2093 คุณทำอะไรน่ะ?

เรื่องนี้ยากจะทำความเข้าใจ


จางเซวียนตาโตขณะอุทานออกมา “ไม่ใช่น่ะ ดูเหมือนพวกเขาจะตกหลุมพรางของค่ายกลภาพลวงตาเสียมากกว่า…”


เขาเคยปะทะกับนักรบจากหอเทพเจ้ามาแล้ว คนเหล่านั้นยึดถือเหตุผลเป็นใหญ่ ไม่ปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำหน้าที่ แต่สองคนนี้กระเหี้ยนกระหือรือจะฉีกเนื้อของอีกฝ่าย ทั้งยังโจมตีกันอย่างรุนแรงและดุเดือด เห็นได้ชัดว่าหัวสมองของพวกเขาถูกบางอย่างครอบงำ


มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีค่ายกลภาพลวงตาอยู่ในบริเวณนี้


จางเซวียนรีบเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้และสำรวจพื้นที่โดยรอบ แต่ไม่ช้าก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ


ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลผู้ช่ำชอง ความเข้าใจเรื่องค่ายกลของเขาอยู่ในระดับต้นๆของทวีปที่ถูกลืม ถ้ามีค่ายกลภาพลวงตาอยู่บริเวณนี้จริงๆ ก็น่าจะมีคลื่นรบกวนจากพลังจิตวิญญาณที่อยู่โดยรอบ ไม่มีทางที่ดวงตาหยั่งรู้ของเขาจะมองข้ามสิ่งนั้น


แต่จากการเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้ ทุกอย่างเงียบสงบ ไม่มีคลื่นรบกวนของพลังงานอยู่เลย ทั้งยังไม่พบธงค่ายกลหรือแกนกลางของค่ายกลด้วย


“ถ้าไม่มีธงค่ายกลกับแกนกลางค่ายกล ก็ไม่มีทางจะมีค่ายกลภาพลวงตาได้ ซึ่งถ้าไม่ใช่ แล้วมันเป็นอะไร?”


จางเซวียนรีบสำรวจบริเวณโดยรอบอีกครั้ง ไม่ช้าเขาก็จับจ้องที่ดอกไม้ประหลาดกลุ่มหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ห่างออกไปนัก


ดอกไม้เหล่านี้มีสีแดงเร่าร้อนชวนให้หลงใหล พวกมันขึ้นกระจัดกระจายออกไปโดยแผ่เป็นวงกลม ด้วยดวงตาหยั่งรู้ เขาเห็นพวกมันซึมซับบรรยากาศของการเสื่อมถอยจากบริเวณโดยรอบเข้าไป


“นี่มัน…ดอกไม้ปีศาจใต้สำนึก!”


ดอกไม้ปีศาจใต้สำนึกคือพืชในตำนานที่แผ่รังสีชนิดพิเศษซึ่งให้กำเนิดปีศาจใต้สำนึก การทำงานของมันคล้ายกับหินโชกเลือด ภายใต้สถานการณ์ปกติ ดอกไม้เหล่านี้จะไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อให้มีใครเข้าใกล้พวกมัน มันจะตอบโต้ก็ต่อเมื่อถูกโจมตีเท่านั้น


หรือว่าทั้งคู่เปิดการโจมตีดอกไม้ปีศาจใต้สำนึกพวกนี้ก่อน ทำให้พวกมันตอบโต้?


แต่ในฐานะนักรบของหอเทพเจ้า พวกเขาไม่น่าจะโง่เง่าจนแยกแยะสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆไม่ออก โดยเฉพาะในสถานที่อันตรายอย่างเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย!


“ไม่น่ะ ไม่น่าจะเป็นแบบนั้น” จางเซวียนตรวจสอบสถานการณ์อย่างถี่ถ้วนก่อนจะได้ข้อสรุป “มันจะต้องเป็นกับดักที่ใครคนหนึ่งติดตั้งไว้ล่วงหน้า แล้วสองคนนี้ก็บังเอิญติดกับ”


เขารู้ว่ามีกระแสพลังงานมากมายถูกฝังไว้ในบริเวณใกล้กับดอกไม้ปีศาจใต้สำนึก ซึ่งหากใครเข้าใกล้จุดนั้น กระแสพลังงานก็จะระเบิดออก ทำให้ดอกไม้เกิดความโกรธเกรี้ยว


อาจเป็นได้ว่านักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ทั้งคู่หลงกล ทำให้ตกอยู่ในสภาพนี้


“ฝีมือตู้ชิงหย่วนหรือเปล่า?”


ตู้ชิงหย่วนรู้ดีว่ามีภัยอันตรายมากมายอยู่ในเมืองแห่งมิติที่ถูกลืม แต่ก็ยังยืนกรานจะมาที่นี่ นั่นบ่งบอกว่าเธอคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของที่นี่เป็นอย่างดี และตั้งใจใช้มันให้เป็นประโยชน์กับตัวเองในการกำจัดคู่ต่อสู้


“ไม่ว่าเรื่องจริงคืออะไร แต่ก็เป็นผลดีกับเรา”


หลังจากเข้าใจสถานการณ์แล้ว จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก เขารุดหน้าต่อไป แต่พยายามหลีกเลี่ยงไม่เข้าใกล้ดอกไม้ปีศาจใต้สำนึก


แต่หลังจากเดินไปได้ไม่กี่เมตร เขาก็หยุดกึก


“แบบนี้ไม่ได้การ ออกมาเฉยๆอย่างนี้ก็เสียดายแย่ ถึงอย่างไรสองคนนั้นก็จะตายอยู่แล้ว จัดการให้เสร็จๆไปเสียดีกว่า!”


เมื่อคิดได้ จางเซวียนปล่อยกระแสดาบฉีมากมายออกสู่พื้นที่โดยรอบ


วิ้งงงง!


เขากระทืบเท้า แล้วปราการรูปทรงกลมก็ปรากฏขึ้น ล้อมนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์สองคนนั้นไว้ ปกป้องพวกเขาจากรังสีของดอกไม้ปีศาจใต้สำนึก


ไม่ช้าทั้งคู่ก็ค่อยๆรู้สึกตัว นัยน์ตาที่แดงก่ำเริ่มจางลง


“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”


“เราทำอะไรลงไปนี่…”


เมื่อฟื้นคืนสติ ทั้งคู่รีบเก็บดาบ


ขณะที่ยังคงงุนงงกับการหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้น จางเซวียนที่ปลอมตัวเป็นนักรบคนหนึ่งของหอเทพเจ้าก็เดินเข้ามาและพูดว่า “พวกคุณสู้กันเองเพราะอิทธิพลของดอกไม้ปีศาจใต้สำนึกที่อยู่ในบริเวณนี้!”


“ดอกไม้ปีศาจใต้สำนึก…”


เมื่อรู้ตัวว่าเกือบจะฆ่ากันเอง นักรบทั้งสองที่ได้รับบาดเจ็บเหงื่อไหลท่วมตัว


พวกเขาเคยได้ยินชื่อเสียงอันน่าสะพรึงของดอกไม้ปีศาจใต้สำนึกมานานแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะตกเป็นเหยื่อ


“ผมเกรงว่าผลกระทบจากดอกไม้ปีศาจใต้สำนึกจะยังคงตกค้างอยู่ในร่างกายของคุณ เพื่อป้องกันไม่ให้คุณทั้งคู่ต่อสู้กันเองอีก ผมคงต้องขอให้พวกคุณมอบดาบให้ผมก่อน” จางเซวียนสั่งการอย่างหนักแน่น


คำสั่งนั้นทำให้นักรบทั้งสองย่นหน้าผาก


“เร็วเข้าเถอะ ถ้าพวกคุณพ่ายแพ้ให้ดอกไม้ปีศาจใต้สำนึกอีกรอบ พวกคุณตายกันหมดแน่!” จางเซวียนตวาดก้องขณะยื่นมือออกไปดึงอาวุธของทั้งคู่มา


นักรบทั้งสองบาดเจ็บสาหัสอยู่แล้วเพราะการต่อสู้เมื่อครู่ จึงทำอะไรไม่ได้แม้จะถูกจางเซวียนฉกฉวยอาวุธไป ยังไม่ทันจะรู้ตัว อาวุธของพวกเขาก็อยู่ในมือของอีกฝ่ายแล้ว


“คุณ…”


เห็นอีกฝ่ายใช้กำลังดึงอาวุธของพวกเขาไปดื้อๆ ทั้งคู่ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ


“ผมก็ไม่อยากทำแบบนี้หรอก ที่ทำไปก็เพื่อให้พวกเรามีชีวิตรอดออกจากสถานที่เลวร้ายแบบนี้” จางเซวียนเก็บดาบ 2 เล่มนั้นไว้ในแหวนเก็บสมบัติก่อนจะตบไหล่ของอีกฝ่ายเพื่อปลอบใจ


จากนั้น เขาก็โผขึ้นสู่กลางอากาศและบินหนีไป ปล่อยให้ทั้งคู่ยืนเซ่อกับคำพูดสุดท้าย “เอาล่ะ คุณสองคนสนุกกันที่นี่ละกันนะ…”


ฟึ่บ!


ปราการที่จางเซวียนติดตั้งไว้ก่อนหน้านี้ระเบิดออก ทำให้รังสีของดอกไม้ปีศาจใต้สำนึกซึมซาบเข้ามาอีกครั้ง


“คุณทำอะไรน่ะ?”


เมื่อรู้สึกได้ว่าสภาวะจิตของพวกเขาเปลี่ยนไป นักรบจากหอเทพเจ้าทั้งสองคนงุนงงอย่างหนัก


หมอนั่นไม่ได้มาเพื่อช่วยชีวิตพวกเขาหรือ?


ทำไมจู่ๆก็ปล่อยให้รังสีของดอกไม้ปีศาจใต้สำนึกเล็ดลอดเข้ามาได้อีก?


แล้วที่เขาพูดว่า ‘สนุกกัน’ หมายความว่าอย่างไร? สถานการณ์แบบนี้มีอะไรให้สนุก?


แต่ความคิดเหล่านั้นก็ตกค้างอยู่ในหัวสมองของพวกเขาได้เพียงครู่เดียวก่อนจะถูกภาพลวงตาเข้าครอบงำอีกครั้ง ไม่ช้า นัยน์ตาของทั้งคู่ก็แดงก่ำ จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่กัน


ตุ้บ! พลั่ก!


แม้ปราศจากอาวุธ พวกเขาก็ไม่ยั้งมือ ทุกการโจมตีตรงเข้าจุดเป็นจุดตาย ถึงขนาดที่พร้อมคร่าชีวิตของอีกฝ่ายได้


ไม่ช้าทั้งคู่ก็กระอักเลือดกองใหญ่ออกมาและทรุดฮวบลงกับพื้นพร้อมกัน เท่าที่เห็น พวกเขาหมดสภาพแล้ว


แม้ในวินาทีของความตาย ทั้งคู่ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนร่วมทีมถึงปล่อยให้พวกเขาฆ่ากันเองหลังจากฉกฉวยอาวุธของพวกเขาไป


“ไม่มีอะไรต้องดูแล้วล่ะ ไปกันเถอะ!”


เมื่อเห็นผลลัพธ์ จางเซวียนคร้านจะเสียเวลา เขารุดหน้าต่อไป


ในเมื่อพวกนั้นกำลังจะตายอยู่แล้ว ก็คงสูญเปล่าหากจะทิ้งอาวุธไว้ที่นั่น ส่วนศพของคนเหล่านั้น…ตอนนี้เขามีศพของนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์อยู่ในแหวนเก็บสมบัติกองใหญ่ ไม่จำเป็นต้องมีเพิ่ม


ขณะรุดหน้าไป ตัวโคลนของจางเซวียนสงบเสงี่ยมลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่แสดงความถือดีและหลงตัวเองอย่างที่เคยเป็น


ดูเหมือนความน่าพรั่นพรึงของเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายจะอยู่เหนือความคาดหมายของมัน


มันไม่สงสัยแล้วว่าทำไมถึงไม่ค่อยมีใครเดินทางมาที่นี่ เพราะเพียงแค่บรรยากาศของการเสื่อมถอยที่อบอวลอยู่ทั่วบริเวณก็เป็นพิษภัยต่อนักรบส่วนใหญ่แล้ว


ด้วยดวงตาหยั่งรู้และหอสมุดเทียบฟ้า จางเซวียนมองเห็นภัยอันตรายล่วงหน้าและหลบเลี่ยงหรือปัดป้องพวกมันได้ ทำให้ขจัดความยุ่งยากไปได้มาก แต่ถึงอย่างนั้น ภายในระยะทางไม่ถึง 10 ลี้ เขาก็ถูกโจมตีถึง 3 ครั้งและเกือบติดกับอีก 2 ครั้ง


แต่ทั้งคู่ก็ก้าวข้ามความท้าทายต่างๆไปได้และเดินหน้าต่อไป ไม่ช้าก็รู้สึกได้ถึงกระแสพลังงานเข้มข้นที่อยู่ตรงหน้า


จางเซวียนกับตัวโคลนสบตากันก่อนจะย่องเข้าไป


จัตุรัสขนาดใหญ่ปรากฏแก่สายตา


ฝั่งซ้ายคือสุภาพสตรีคนหนึ่งที่สวมชุดเต็มยศพร้อมกับหน้ากากทองแดงปิดบังใบหน้า มีแท่นบูชาอันหนึ่งลอยตัวอยู่เงียบๆกลางอากาศไม่ห่างจากเธอมากนัก เปลวไฟสีฟ้าพวยพุ่งอยู่บนนั้น ดูเหมือนพิธีกรรมเริ่มต้นแล้ว


เส้นผมของเธอปลิวไสวขณะที่ถ่ายทอดพลังปราณทั้งหมดเข้าสู่แท่นบูชา ทำให้มิติโดยรอบบิดเบี้ยว


ฝั่งขวาคือชายวัยกลางคนจากหอเทพเจ้าที่มีใบหน้าคุ้นตา เขากำลังจับจ้องแท่นบูชาด้วยนัยน์ตาเย็นเยียบ


ฟู่เฉิงสื่อ?


ไม่ห่างจากตรงนั้น ร่างหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น เลือดสดๆทะลักออกจากหน้าอกของเขา บ่งบอกอาการบาดเจ็บสาหัส ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฟู่เฉิงสื่อจากหอนิรันดร์


จางเซวียนคาดการณ์ไว้แล้วว่าฟู่เฉิงสื่อน่าจะต้องปะทะกับชายวัยกลางคน แต่ใครจะไปคิดว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้?


หรือสุภาพสตรีที่สวมหน้ากากทองแดงคนนั้นคือหัวหน้าตู้ชิงหย่วน? จางเซวียนคิดขณะเขม้นมอง


เขาไม่รู้ว่าพิธีกรรมมีขึ้นเพื่ออะไร แต่รับรู้ได้ถึงกระแสพลังปราณมหาศาลที่แผ่ออกจากร่างของสุภาพสตรีคนนั้น เท่าที่ดูจากพละกำลังของเธอ เห็นได้ชัดว่าเธอสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์แล้ว


ผู้หญิงเพียงคนเดียวใน 6 สํานักใหญ่ที่สำเร็จวรยุทธขั้นนี้ก็มีแต่ตู้ชิงหย่วน ดังนั้น นักรบที่อยู่ตรงหน้าเขาจึงน่าจะเป็นเธอ


ชายวัยกลางคนมองฟู่เฉิงสื่อด้วยสายตาเย็นชา “นายท่านของคุณจงใจจะเป็นศัตรูกับหอเทพเจ้าเหมือนกันหรือ?”


จางเซวียนออกจะงุนงง


เขาไม่ได้เห็นการต่อสู้ตั้งแต่ต้น แต่ฟู่เฉิงสื่อก็น่าจะแข็งแกร่งกว่าชายวัยกลางคน จริงอยู่ว่าอาจเกิดอะไรขึ้นก็ได้ในการต่อสู้ แต่ในเมื่อฟู่เฉิงสื่อผนึกกำลังกับตู้ชิงหย่วน ก็ยากที่จะเชื่อว่าเขาจะลงเอยด้วยการได้รับบาดเจ็บสาหัสแบบนี้


หรือว่าตอนนั้น…ชายวัยกลางคนจงใจยอมแพ้เพื่อล่อฟู่เฉิงสื่อให้มาที่นี่?


ข้อสันนิษฐานนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้


จากเหตุการณ์ต่างๆที่จางเซวียนพบเจอ เขารู้สึกว่าหอเทพเจ้ามักเล่นไม่ซื่อเพื่อให้ตัวเองบรรลุเป้าหมาย ซึ่งแม้การเสียสละชีวิตก็ไม่ได้เกินเลยไปจากความคิดของพวกเขา การใช้ลูกไม้แบบนี้จึงไม่ได้แปลกอะไร


“ถ้าคุณทำอะไรหัวหน้าของพวกเราได้ล่ะก็-แค่ก แค่ก-คุณคงทำไปนานแล้ว!” ฟู่เฉิงสื่อคำรามขณะไอเป็นเลือด จากนั้นก็หันไปมองสุภาพสตรีที่สวมหน้ากากทองแดงและเตือนด้วยความยากลำบาก “หัวหน้าตู้ คุณต้องระวังตัวนะ เขามีของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์!”


สุภาพสตรีที่สวมหน้ากากทองแดงไม่แยแสคำเตือนของฟู่เฉิงสื่อ เธอจับจ้องชายวัยกลางคนด้วยเจตนาสังหารเย็นเยียบ


พลั่ก!


ฝ่ามือขนาดมหึมาที่ผงาดเงื้อมเหนือดินแดนนั้นปรากฏขึ้นกลางอากาศและพุ่งลงมาด้วยพละกำลังอันน่าทึ่ง


“ฝ่ามืออำนาจเบื้องบน, ไม่เลว!” ชายวัยกลางคนหัวเราะลั่นขณะพุ่งเข้าใส่พร้อมกับดาบในมือ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)