อัจฉริยะสมองเพชร 2084-2085

 ตอนที่ 2084 ผมจะฉีกคุณเป็นชิ้นๆ!

“แล้วเราจะทำอย่างไร?” เต่าหลังดำตั้งคำถามอย่างกังวล


มันเตือนนายท่านครั้งแล้วครั้งเล่าว่าอย่ามาที่นี่ แต่เขาก็ไม่ฟัง สุดท้ายหายนะก็เกิดขึ้นจริงๆ


นี่มันจะต้องตายด้วยน้ำมือของฉลามสามพี่น้องที่มันเคยลงทุนลงแรงหลบหนีด้วยความเหนื่อยยากจริงๆหรือ?


“ในเมื่อหนีไปไหนไม่ได้ ก็ต้องยืนหยัดสู้” จางเซวียนพูดขณะลุกขึ้นยืนจังก้าบนกระดองของเต่าหลังดำ


คู่ต่อสู้อาจเป็นอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ถึง 3 ตัว แต่ตัวเขามีของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ อสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ ตัวโคลน และหุ่นโลหะไร้วิญญาณอีกมากมาย ฉลามนั่นคงเล่นงานเขาไม่ได้ง่ายๆ


“คุณคิดจะสู้กับพวกมันหรือ?” เต่าหลังดำตัวสั่นด้วยความกลัว “สู้แบบไหน? ผมถ่วงเวลาได้แค่ระยะสั้นๆเท่านั้นนะ…”


“ไม่เป็นไรน่ะ แค่ถ่วงเวลาไว้ขณะที่ผมพยายามฆ่าพวกมัน ขอแค่เราฆ่าพวกมันได้สักตัว มันก็จะลังเล…” จางเซวียนกัดริมฝีปาก


ฉลามทั้งสามตัวร่วมเป็นพันธมิตรกันและประกาศว่าพวกมันคือ ‘สามพี่น้อง’ แต่เขาพนันได้เลยว่าความสัมพันธ์ของพวกมันอยู่บนผลประโยชน์มากกว่าความสนิทสนมที่แท้จริง


ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ขอแค่เขาฆ่าฉลามได้สักตัว ฉลามอีก 2 ตัวที่เหลือและเผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำระดับอมตะขั้นสูงอีกหลายร้อยตัวที่อยู่โดยรอบจะต้องคิดให้ดีก่อนที่จะเล่นงานเขา


ซึ่งนั่นจะทำให้เขามีโอกาสหลบหนี!


เพราะถึงอย่างไร เป้าหมายของจางเซวียนก็คือเอาชีวิตรอดออกจากที่นี่มากกว่าจะกำจัดคู่ต่อสู้


“ก็ได้!”


เต่าหลังดำกัดฟัน จากนั้นก็หดคอและขาเข้าไปในกระดองก่อนจะพุ่งเข้าชนฉลามตัวหนึ่ง


ในเวลาเดียวกัน จางเซวียนแปรสภาพโล่ของเขาให้กลายเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ที่ทำจากโซ่โลหะ และพุ่งปราดออกไปพร้อมกับเต่าหลังดำ


“คู่ต่อสู้ของคุณคือผม!”


แต่ยังไม่ทันจะไปได้ไกล ฉลามตัวหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่และสะบัดหาง


จางเซวียนกางตาข่ายโซ่โลหะเพื่อปัดป้องการโจมตี แต่แรงปะทะอันทรงพลังนั้นอัดเขาติดกำแพง เกิดเป็นรอยยุบขนาดใหญ่


“ฮึ่มมมม!”


จางเซวียนเช็ดเลือดออกจากริมฝีปาก เขานำหุ่นโลหะไร้วิญญาณตัวหนึ่งออกมาแล้วสั่งให้มันเล่นงานฉลาม


“คุณมีผู้ช่วยหรือ? ฮ่า!” ฉลามอ้าปากกว้างแล้วกัดกร้วมลงไปที่หุ่นโลหะไร้วิญญาณโดยไม่ลังเล “สิ่งที่คุณมีน่ะทำอะไรผมไม่ได้หรอก เป็นได้แค่อาหาร!”


“มันก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากจะย่อยมันหรือเปล่า?” จางเซวียนเยาะ


บึ้มมมม!


หุ่นโลหะไร้วิญญาณระเบิดทันที


พลั่ก!


แรงระเบิดมหาศาลนั้นทำให้ฉลามกระอักเลือดออกมากองใหญ่ แถมฟันหลุดออกมา 1 ซี่ ทำให้มันอยู่ในสภาพดูไม่ได้


“กล้าดีอย่างไรทำให้ผมบาดเจ็บ? ผมจะฉีกคุณเป็นชิ้นๆ!”


อาการเจ็บแปลบทำให้ฉลามโมโหเดือด มันไม่เคยเจอกับความเจ็บปวดแบบนี้นับตั้งแต่สำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์!


ฟึ่บ!


ฉลามพุ่งเข้าใส่จางเซวียนอีกครั้งด้วยปากที่อ้ากว้าง ตั้งใจจะเขมือบเขาทั้งตัว


ส่วนจางเซวียนก็ตาค้างด้วยความไม่อยากเชื่อ “ฉลามหน้าด้านนั่นยังไม่เป็นอะไรเลยหรือหลังจากเจอแรงระเบิดแบบนั้น?”


นั่นคือหุ่นโลหะไร้วิญญาณที่มีวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ การที่มันระเบิดในร่างของฉลามย่อมทำลายทุกอย่างภายในรัศมี 100 เมตรจนราบคาบ แต่สิ่งที่ฉลามทำคือกระอักเลือดออกมากองหนึ่งและฟันร่วงซี่หนึ่งเท่านั้น


อสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์แข็งแกร่งทนทานขนาดนี้เลยหรือ?


จางเซวียนรีบแปรสภาพโซ่โลหะให้กลายเป็นโล่ขนาดใหญ่อีกครั้งเพื่อปัดป้องการขย้ำของฉลาม เขากำลังจะโยนหุ่นโลหะไร้วิญญาณอีกตัวเข้าปากของมัน ก็พอดีกับที่เห็นฉลามตัวสุดท้ายวนเวียนอยู่ด้านหลัง


“บ้าจริง คงต้องใช้ตัวโคลนแล้วล่ะ!”


รู้ดีว่าเขาไม่มีทางรับมือกับอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ 2 ตัวพร้อมกันได้ คงต้องตายแน่ๆ!


เพราะหมดหนทาง จางเซวียนคิดถึงการนำตัวโคลนและไอ้โหดออกมาช่วย ก็พอดีกับที่ฉลามตัวที่อยู่ด้านหลังหยุดกึก


จากนั้น เสียงกึกก้องก็ดังสนั่นข้ามคู


“หยุดนะ!”


ผู้ออกคำสั่งคือฉลามตัวที่นั่งอยู่บนบัลลังก์กลางเมื่อตอนที่อยู่ในถ้ำ มันคือตัวที่แข็งแกร่งที่สุด


เสียงตะโกนนั้นทำให้ฉลามที่ตั้งใจจะกลืนจางเซวียนลงไปล่าถอย ส่วนอีกตัวหนึ่งที่กำลังสู้กับเต่าหลังดำก็หยุด


“พี่ใหญ่ หมอนี่กล้าบุกรุกอาณาเขตของพวกเรา แถมยังขโมยโลหิตเทพเจ้าด้วย ถือเป็นอาชญากรรมที่ให้อภัยไม่ได้ พวกเราต้องสั่งสอนบทเรียนให้เขา!” ฉลามตัวที่สูญเสียฟันไปซี่หนึ่งร้องออกมาอย่างหงุดหงิด


“พี่ใหญ่ ผมเห็นด้วยกับพี่รอง ทำไมเราจะต้องปรานีมัน? พวกนั้นอาจมียุทธวิธีต่างๆซ่อนไว้มากมาย แต่หากพวกเราผนึกกำลังกัน ก็เล่นงานเขาได้ไม่ยาก!” ฉลามอีกตัวหนึ่งที่กำลังเผชิญหน้ากับเต่าหลังดำส่งเสียงแสดงความเห็นด้วย


“หุบปากซะ!” ฉลามตัวที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่ตวาดก้อง


หลังจากทำให้ทั้ง 2 ตัวเงียบปากแล้ว มันก็หันกลับไปหาจางเซวียนและใช้ดวงตาคู่ใหญ่ประเมินเขาอย่างถี่ถ้วน


จางเซวียนงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาหรี่ตาและขับเคลื่อนพลังปราณอย่างหวาดระแวง เกรงว่าอีกฝ่ายกำลังถ่วงเวลาเพื่อจะเล่นงานเขา


แต่พริบตาต่อมา ฉลามตัวมหึมาที่อยู่ตรงหน้าก็ทรุดตัวลงคุกเข่าและประกาศ “บริวารผู้ถ่อมตัวของนายขอคารวะนายท่าน!”


“นายท่าน?”


“บริวารผู้ถ่อมตัว?”


เต่าหลังดำกับจางเซวียนมองหน้ากัน ไปต่อไม่ถูกกับสถานการณ์ที่พลิกผันอย่างกะทันหัน


เมื่อครู่ก่อน ฉลามพวกนี้ยังกระเหี้ยนกระหือรือจะฉีกพวกเขาเป็นชิ้นๆ แล้วทำไมจู่ๆถึงกลายเป็นบริวารได้?


ผู้ที่ตกตะลึงไม่ได้มีแค่จางเซวียนกับเต่าหลังดำ เผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำตัวอื่นๆก็งุนงง


ราชาของพวกมันเกลียดชังมนุษย์จับใจ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกมันจะต้องฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ทันทีหากทำได้ เมื่อครู่นี้ก็ยังหารือเรื่องแผนการสั่งสอนบทเรียนให้ 6 สำนักใหญ่อยู่เลย ทำไมจู่ๆหนึ่งในราชาของพวกมันถึงเปลี่ยนใจ?


แถมยังโค้งคำนับอย่างงามเสียจนตัวแทบจะเป็นสี่เหลี่ยม ทั้งยังเรียกขานมนุษย์ที่ขโมยโลหิตเทพเจ้าของพวกมันไปว่านายท่านอีกด้วย


“พี่ใหญ่ ทำไมคุณถึงยอมรับเจ้าคนชั่วร้ายนั่นเป็นเจ้านาย?”


ฉลามอีก 2 ตัวแทบไม่เชื่อหู


“หุบปากนะ!” ‘พี่ใหญ่’คำรามอย่างโกรธเกรี้ยว “รีบมาคารวะนายท่านของพวกคุณเสีย!”


ฉลามทั้งสองไม่รู้ว่าพี่ใหญ่คิดอะไร แต่ไม่กล้าขัดคำสั่ง พวกมันสะบัดหางแล้วว่ายมาอยู่ตรงหน้าจางเซวียน จากนั้นก็ชำเลืองมองพี่ใหญ่อย่างลังเลแวบหนึ่ง แต่เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย ก็ตัวสั่นงันงกและรีบโค้งคำนับ “บริวารผู้ถ่อมตัวของคุณขอคารวะนายท่าน!”


“เอ่อ…” จางเซวียนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดออกไป “ยอมรับผมเป็นเจ้านายของคุณเสีย”


ไม่ว่าพวกมันจะแสดงละครอยู่หรือไม่ แต่ทันทีที่พวกมันทำสัญญาผูกมัดจิตวิญญาณกับเขา ก็จะไม่เกิดความผิดพลาดใดๆอีก


“ได้!”


จางเซวียนต้องประหลาดใจที่ฉลาม ‘พี่ใหญ่’ มอบหยดเลือดของมันให้เขาโดยปราศจากความลังเล ส่วนฉลามอีก 2 ตัวที่เหลือ พวกมันหันรีหันขวางอยู่ครู่หนึ่ง แต่หลังจากเจอสายตาเชือดเฉือนจาก ‘พี่ใหญ่’ เข้าไป ก็รีบมอบหยดเลือดให้


จางเซวียนรับหยดเลือดของฉลามสามพี่น้องไว้และทำสัญญาผูกมัดจิตวิญญาณ เมื่อการส่งโทรจิตเชื่อมโยงทำได้สำเร็จ เขาก็รู้ว่าทั้งสามไม่ได้เล่นละคร พวกมันยอมรับเขาเป็นเจ้านายด้วยความจริงใจ


“คือ…”


เมื่อครู่นี้เองที่พวกมันยังพยายามจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆ แต่แล้วก็กลับกลายมาเป็นอสูรของเขาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย สถานการณ์แปลกประหลาดนี้ทำให้จางเซวียนงงมาก


หรือว่า…เขาหล่อและมีบุคลิกโดดเด่นจนพวกมันอดไม่ได้ที่จะต้องยอมรับเขาเป็นเจ้านายเมื่อได้เห็นแล้วว่าตัวเขาเจิดจรัสแค่ไหน?


แต่เขาก็ไม่ได้จงใจปลดปล่อยรังสีของความสง่างามหรืออะไรทำนองนั้นออกมานี่!


ฉลาม ‘พี่ใหญ่’ ดูจะรับรู้ความสงสัยของจางเซวียน มันอธิบาย “โลหิตเทพเจ้าทำให้พวกเราฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้ นายท่าน…คุณมีตราสัญลักษณ์เทพเจ้าอยู่กับตัว จึงเป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องรับใช้คุณ!”


“ตราสัญลักษณ์เทพเจ้า?” จางเซวียนก้มลงมองจี้สีแดงก่ำที่ห้อยอยู่รอบคอโดยอัตโนมัติ ปกติเขาจะใช้เสื้อผ้าปกปิดไว้ แต่ด้วยความร้อนแผดเผาที่จี้แสดงปฏิกิริยาตอบโต้โลหิตเทพเจ้า เขาจึงต้องนำมันออกมาแขวนไว้นอกเสื้อ


“ใช่” ฉลามตอบอย่างนอบน้อม


จางเซวียนตาโตเมื่อพลันเข้าใจ


เขาคิดไว้แล้วว่าโลหิตเทพเจ้าต้องเกี่ยวข้องกับหลัวลั่วชิง ซึ่งเรื่องนี้ก็ช่วยย้ำความคิดของเขา


เพราะการดื่มเลือดสดๆของหลัวลั่วชิงที่หยดลงไปในมหาสมุทร เต่าและฉลามพวกนี้จึงสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ ดังนั้น พวกมันจึงมีความยำเกรงในตัวเธอโดยสัญชาตญาณ


แต่ไม่ว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็ถือว่าน่าโล่งใจมากที่ในที่สุดเขาก็พ้นอันตราย จางเซวียนรีบดื่มซุปไก่ขวดหนึ่งเพื่อเยียวยาอาการบาดเจ็บก่อนจะหันไปบอกฉลาม ‘พี่ใหญ่’ “บอกอสูรตัวอื่นๆให้แยกย้าย ผมมีอีก 2-3 คำถามที่อยากถามคุณ”


ฉลามสามพี่น้องรีบทำตามคำสั่ง


เผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำที่มีวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงตัวอื่นๆรู้ว่าข้อตกลงก่อนหน้านี้ของพวกมันจะเป็นโมฆะแน่หากแยกย้ายกันตอนนี้ ทุกตัวรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก แต่ก็ไม่กล้าขัดขืนคำสั่งของฉลามที่มีวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ จึงได้แต่ออกจากพื้นที่นั้นไปด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ


หลังจากบรรดาเผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำออกไปแล้ว จางเซวียนหันกลับไปมองฉลามสามพี่น้องและพยักหน้า “ในเมื่อพวกคุณยอมจำนนให้ผมแล้ว ผมก็จะตั้งชื่อให้เพื่อจะได้เรียกขานได้สะดวกกว่าเดิม คุณคือฉลามหมายเลข 1, คุณคือฉลามหมายเลข 2, ส่วนคุณคือฉลามหมายเลข 3”


ฉลามทั้ง 3 ถึงกับงง


จางเซวียนไม่ใส่ใจสีหน้าเหมือนปลาท้องผูกของฉลามที่อยู่ตรงหน้า เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ผมอยากให้พวกคุณทบทวนรายละเอียดให้ผมฟังว่าหัวหน้าตำหนักคว้าดาวประกอบพิธีกรรมเพื่อเรียกเทพเจ้าจากสวรรค์ลงมาได้อย่างไร และจากนั้นเทพเจ้าเดินทางไปที่ไหน”


“เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 2 เดือนก่อน…” ฉลามหมายเลข 1 เริ่มทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น “จู่ๆหัวหน้าตำหนักคว้าดาวก็ปรากฏตัวที่ทะเลว่างเปล่า ในตอนนั้นพวกเราไม่รู้ว่าเป็นเธอ เราแค่ไม่พอใจที่เห็นมนุษย์คนหนึ่งรุกล้ำเข้ามา จึงเล่นงานเธอทันที แต่ด้วยความเหลื่อมล้ำของพละกำลัง พวกเราจึงพ่ายแพ้ยับเยิน”


ในครั้งนั้น พวกมันเป็นแค่อสูรที่มีวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ จึงเป็นธรรมดาที่จะสู้กับหัวหน้าตำหนักตู้ชิงหย่วนไม่ได้


“จากนั้น เธอก็ใช้เลือดสดๆของพวกเราเป็นเครื่องบรรณาการสำหรับการประกอบพิธีกรรม เธอฉีกกระชากสวรรค์และเรียกเทพเจ้าลงมา ความพยายามครั้งแรกของเธอล้มเหลว เธอจึงขับเคลื่อนพละกำลังจนเต็มพิกัดและพยายามเป็นครั้งที่ 2 ในครั้งที่ 2 นี้เธอน่าจะใช้พลังงานไปเกือบหมด หน้าตาของเธอจึงเหี่ยวย่นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นยายแก่ ดูเหมือนเธอใกล้ตายเต็มทีเพราะความอ่อนแรง พวกเราคิดว่าทุกอย่างคงจบเห่แล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่า…เทพเจ้าปรากฏตัวขึ้นในเวลานั้นจริงๆ”


ตอนที่ 2085 พูดอีกอย่างก็คือ…

ขณะที่ฉลามหมายเลข 1 พูดถึงเทพเจ้า มันก็ตัวสั่นไม่หยุด ยากที่จะบอกได้ว่าเป็นเพราะความหวาดกลัวหรือความตื่นเต้น


“ผมจำไม่ได้แน่ชัด แต่ดูเหมือนแม้แต่การประกอบพิธีกรรมครั้งที่ 2 ก็เป็นความสำเร็จเพียงส่วนเดียวเท่านั้น บางที อาจเป็นเพราะหัวหน้าตำหนักคว้าดาวยังมีพละกำลังอ่อนด้อยไปหน่อย หรือไม่ ปราการแห่งมิติก็แข็งแกร่งเกินไป แต่เทพเจ้าไม่อาจฝ่าปราการมิติลงมายังโลกของเราได้ เธอจึงใช้กำลังทำลายมัน และในที่สุดก็ทำสำเร็จ แต่ก็ต้องลงเอยด้วยความสูญเสียครั้งใหญ่ พฤติกรรมการใช้ความรุนแรงของเธอทำให้เกิดแรงตีกลับอย่างหนักจากสรวงสวรรค์ของทวีปที่ถูกลืม ทำให้เธอสูญเสียเลือดไม่น้อย”


“ในฐานะเครื่องบรรณาการสำหรับการประกอบพิธีกรรม พวกเราทั้งสามอยู่แถวๆนั้นตอนที่เทพเจ้าฝ่าปราการมิติลงมา เมื่อพวกเราเห็นเลือดของเธอหยดลงสู่มหาสมุทร ก็รู้แล้วว่านี่คือโอกาสทอง จึงรีบดื่มเลือดเข้าไปคนละหยด ยังไม่ทันจะรู้ตัว พวกเราก็สลบไป ไม่รู้เลยจริงๆว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น…”


“คุณไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น? เดี๋ยวก่อน…คุณเคยบอกว่าหลังจากนั้นเทพเจ้าก็จากไปไม่ใช่หรือ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


“ผมเองแหละที่เห็น…” ฉลามหมายเลข 3 โพล่งออกมา “ผมออกจะขี้ขลาดกว่าใครๆ จึงลังเลเล็กน้อยก่อนจะกลืนโลหิตเทพเจ้าลงไป ผมเห็นรางๆว่าเทพเจ้าวางฝ่ามือของเธอลงบนศีรษะของหัวหน้าตำหนักคว้าดาว แล้วอีกฝ่ายก็ค่อยๆกลายสภาพกลับสู่ความสาวดังเดิม ทั้งคู่พูดจากันสองสามคำ และไม่นานหลังจากนั้น ก็ดูเหมือนจะมีอีกพิธีกรรมหนึ่งเกิดขึ้นที่ไหนสักแห่ง รอยแยกแห่งมิติอีกอันปรากฏ แล้วเทพเจ้าก็จากทวีปที่ถูกลืมไปโดยผ่านรอยแยกนั้น”


“มีอีกพิธีกรรมเกิดขึ้นที่ไหนสักแห่ง?” จางเซวียนครุ่นคิดหนัก


ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็มีความเป็นไปได้ว่าอีกพิธีกรรมหนึ่งน่าจะเป็นพิธีกรรมที่อำมาตย์เฉินหย่งทำขึ้นเพื่อเรียกหลัวลั่วชิงมาสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์


เมื่อลองคิดดู ก็น่าจะเป็นเพราะแรงตีกลับจากปราการแห่งมิติทั้ง 2 อันที่ทำให้หลัวลั่วชิงมีพละกำลังลดลงมากในครั้งแรกที่เธอมาถึงทวีปแห่งปรมาจารย์ ด้วยเหตุนั้น เธอจึงจำเป็นต้องปลอมตัวเป็นปรมาจารย์ระดับ 6 ดาวจนกว่าจะเรียกคืนพละกำลังกลับมาได้ดังเดิม


แน่นอนว่านี่เป็นแค่ข้อสันนิษฐาน ส่วนเรื่องจริงจะเป็นอย่างไรนั้น เขาจะแน่ใจได้ก็ต่อเมื่อได้คุยกับหัวหน้าตำหนักคว้าดาว


จางเซวียนนำภาพเหมือนของหลัวลั่วชิงออกมาเพื่อตรวจสอบกับฉลามสามพี่น้องว่ากำลังพูดถึงคนคนเดียวกันอยู่หรือไม่ แต่ก็เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับเต่าหลังดำ แม้ฉลามสามพี่น้องจะพอจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่อาจจดจำรูปร่างหน้าตาของเทพเจ้าได้ รู้เพียงแต่ว่าเธอเป็นผู้หญิง


“ถ้าอย่างนั้น คุณรู้ได้อย่างไรว่านี่คือตราสัญลักษณ์เทพเจ้า?” จางเซวียนตั้งคำถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


“ในตอนนั้น เทพเจ้าใช้จี้อันนี้ฝ่าปราการแห่งมิติลงมา มันเจิดจ้าราวกับแสงอาทิตย์ พวกเราทุกตัวเห็นมันชัดเจน ไม่มีทางที่จะจำไม่ได้” ฉลามหมายเลข 1 ตอบ


พวกมันอาจหลงลืมรูปร่างหน้าตาของเทพเจ้า แต่ไม่มีวันลืมความเจิดจ้าของพละกำลังของเธอ


พิธีกรรมนั้นไม่สมบูรณ์ เทพเจ้าจึงไม่อาจลงมายังทวีปที่ถูกลืมได้ แต่เพราะเธอใช้พละกำลังของจี้อันนั้นฉีกกระชากปราการแห่งมิติ สุดท้ายจึงลงมาที่นี่ได้สำเร็จ


ก็เพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้พวกมันหวาดกลัวพละกำลังของจี้และไม่กล้าเคลื่อนไหวใดๆ


โลหิตเทพเจ้าเพียงหยดเดียวก็เกินพอสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธของพวกมันแล้ว ในเมื่อชายหนุ่มคนนี้มีตราสัญลักษณ์เทพเจ้าอยู่ในครอบครอง ก็มีความเป็นไปได้ว่าเขาน่าจะมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับเทพเจ้า


หากในอนาคตพวกมันอยากเข้าถึงวรยุทธขั้นที่สูงกว่ากึ่งสรวงสวรรค์ ชายหนุ่มผู้นี้ก็น่าจะช่วยได้


เกียรติยศศักดิ์ศรี?


เรื่องพวกนั้นไม่มีความหมายอะไรเลยเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพละกำลังเหนือชั้นของเทพเจ้า


จี้อันนี้ฉีกกระชากปราการแห่งมิติได้หรือ? จางเซวียนครุ่นคิดขณะกำจี้สีแดงก่ำไว้แน่น


มันยังคงอุ่น เขาพยายามถ่ายทอดพลังปราณเข้าไป แต่ก็ไม่เกิดอะไรขึ้นเลย


จางเซวียนเคยลองใช้ทั้งหินโลหิตเทพเจ้า ดวงตาหยั่งรู้ และพลังปราณของเขากับจี้สีแดงก่ำอันนี้ แต่ทุกอย่างก็ล้วนไม่ได้ผล


ถ้าไม่ใช่เพราะความมหัศจรรย์ที่มันสำแดงออกมาเป็นครั้งคราว เขาคงจะสงสัยว่าแท้ที่จริงแล้วมันอาจเป็นแค่จี้ธรรมดาหรือเปล่า?


คงเป็นเพราะวรยุทธของเรายังอ่อนด้อย จางเซวียนส่ายหน้าขณะหวนนึกถึงช่วงเวลาที่วรยุทธของเขาเกือบถูกธาตุไฟเข้าแทรก


เพราะหลัวลั่วชิงไว้ใจมอบของล้ำค่าชิ้นนี้ให้ ตัวมันจึงน่าจะมีบางอย่างที่สำคัญมาก การที่มันสามารถกดข่มปีศาจใต้สำนึกและอาจทำลายได้แม้แต่หอสมุดเทียบฟ้าก็บ่งบอกอะไรหลายอย่างแล้ว


“ในเมื่อพวกคุณทั้งสามยอมจำนนให้ผม คุณก็จะต้องติดตามผมนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป มีหลายอย่างที่ผมต้องการความช่วยเหลือ วางใจได้เลยว่าพวกคุณจะได้รับรางวัลตอบแทนอย่างงาม” จางเซวียนพูดขณะนำจี้สีแดงก่ำใส่กลับเข้าไปในอกเสื้อ


ด้วยการสวามิภักดิ์ของฉลามสามพี่น้อง เขาจะอยู่ภายใต้การคุ้มกันของอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ถึง 4 ตัว ซึ่งเมื่อรวมกับของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่เขามีอยู่ในครอบครอง ต่อให้หอเทพเจ้าก็ต้องคิดให้ดีถ้าอยากจะเล่นงานเขา!


จางเซวียนน้ำซุปไก่ออกมาขวดหนึ่ง แล้วยื่นให้ฉลามที่ได้รับบาดเจ็บเพื่อจะได้เยียวยาอาการบาดเจ็บของมัน


เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาตั้งคำถามอีก 2-3 ข้อเกี่ยวกับโลหิตเทพเจ้า


จางเซวียนได้รู้ว่าทั่วทั้งทะเลว่างเปล่าแห่งนี้ เผ่าพันธุ์อสูรที่ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จมีแต่ฉลามสามพี่น้องกับเต่าหลังดำเท่านั้น เพราะพวกมันอยู่ใกล้กับจุดเกิดเหตุมากที่สุด ฉลามหมายเลข 1 ไหวตัวทันและเก็บโลหิตของเทพเจ้าไว้ได้อีกหนึ่งหยด แต่ลงท้ายก็กลายเป็นอาหารไก่


ส่วนเผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำที่เหลือ พวกมันอาศัยอยู่กระจัดกระจายกันไปทั่วทั้งทะเลว่างเปล่า แม้หยดเลือดที่แผ่ซ่านไปทั่วท้องทะเลจะทำให้เผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำและพืชพรรณในบริเวณนี้แข็งแกร่งขึ้น แต่ก็ไม่เข้มข้นพอที่จะทำให้พวกมันฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นกึ่งสรวงสวรรค์


จางเซวียนตั้งใจจะศึกษาโลหิตเทพเจ้าอีกหยดหนึ่งที่เหลืออีกครั้งเพื่อความแน่ใจ แต่ในเมื่อไม่มีเหลือแล้ว ก็ต้องล้มเลิกความคิดนั้น


ยังมีอีกทางหนึ่ง คือบีบคอไก่น้อยให้คายหยดเลือดออกมา…แต่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้


จากนั้น จางเซวียนถ่ายเลือดจำนวนหนึ่งจากฉลามสามพี่น้องและมอบให้มังกรอสรพิษ นกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัวกับตัวอื่นๆที่เหลือ แต่พวกมันก็ยังฝ่าด่านวรยุทธไม่สำเร็จ


ดูเหมือนการจะได้เป็นอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์นั้นไม่ง่าย ต้องใช้มากกว่าหยดเลือดของอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ถึงจะก้าวข้ามขั้นสุดท้ายได้


เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น จางเซวียนเก็บฉลามหมายเลข 2, หมายเลข 3 และเต่าหลังดำกลับเข้าไปในกระสอบอสูร ก่อนจะขี่หลังฉลามหมายเลข 1 มุ่งหน้าไปยังเกาะคว้าดาว


…..


ขณะที่จางเซวียนกำลังสำรวจทะเลว่างเปล่า เหล่าสมาชิกจากหอนานาอสูรที่กำลังอยู่ระหว่างการเดินทางไปยังเกาะคว้าดาวก็ได้รับข่าวจากสำนักดาวเจ็ดดวง


“ผู้อาวุโสฉิงหย่วน มีอะไร?” ผู้อาวุโสเลี่ยวตั้งคำถาม


ผู้อาวุโสฉิงหย่วนตอบขณะที่นัยน์ตายังจ้องเขม็งที่ตราหยกสื่อสารในมือ “ผมได้ข่าวว่าสำนักดาวเจ็ดดวงเพิ่งคัดเลือกเจ้าสำนักคนใหม่…”


ผู้อาวุโสเลี่ยวประหลาดใจกับข่าวกะทันหันนี้ เขาตั้งคำถาม “ใครกัน?”


“เป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อหลิวหยาง วรยุทธของเขาคืออมตะขั้นสูงระดับล่าง แต่สามารถฝึกฝนเทคนิคการต่อสู้ทั้งหมดของสำนักดาวเจ็ดดวงจนเชี่ยวชาญได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ความปราดเปรื่องในศิลปะการต่อสู้ของเขานั้นเรียกว่าไม่มีใครเทียบได้ แถมวรยุทธก็ยอดเยี่ยม” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนพูด


ใครจะไปคิดว่าหลังจากพวกเขาพบหัวหน้าคนใหม่ผู้ปราดเปรื่องได้ไม่นาน สำนักดาวเจ็ดดวงก็ได้ตัวผู้สืบทอดคนใหม่เช่นกัน


อย่างคำพูดที่ว่ากันว่า ‘สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ’ บางทีสิ่งนี้อาจเป็นลางร้ายที่กำลังบอกพวกเขาว่าวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่รออยู่


“หลิวหยาง…ผมไม่เคยได้ยินชื่อนั้นเลย” ผู้อาวุโสเลี่ยวพึมพำ


ข่าวเดียวกันนี้เข้าหูสำนักดาบเมฆเหินที่กำลังรุดหน้าสู่เกาะคว้าดาวเช่นกัน


กลุ่มของสำนักดาบเมฆเหินมีหานเจี้ยนชิว ผู้อาวุโสที่ 1 เหอเทียน และคนอื่นๆ


สิ่งหนึ่งที่น่าจับตาก็คือหวู่เฉิน, เด็กชายวัยรุ่นคนนั้นที่เดินทางไปถึงสำนักดาบเมฆเหินเพื่อตามหาจางเซวียน เขาอยู่ในกลุ่มด้วย


“หลังจากที่พวกเราแต่งตั้งจางเซวียนให้เป็นเจ้าสำนักคนใหม่ได้ไม่นาน หอนานาอสูรกับสำนักดาวเจ็ดดวงก็รีบร้อนทำแบบเดียวกัน…” หานเจี้ยนชิวส่ายหน้าเมื่อได้ข่าว


“รีบร้อนทำแบบเดียวกัน? คุณหมายความว่าอย่างไร?” ผู้อาวุโสเหอเทียนถามด้วยความสงสัย


“เมื่อ 2-3 วันก่อน หอนานาอสูรแต่งตั้งชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ชื่อเจิ้งหยางให้เป็นหัวหน้าคนใหม่ ส่วนเมื่อครู่นี้ ผมได้ข่าวจากสำนักดาวเจ็ดดวงว่าคุ่ยเฉี่ยวลงจากตำแหน่งแล้ว เขามอบตำแหน่งให้ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อหลิวหยาง!” หานเจี้ยนชิวพูด


“จางเซวียน เจิ้งหยาง หลิวหยาง…” ได้ยินสามชื่อที่คุ้นหู หวู่เฉินเกิดลางสังหรณ์เลวร้ายขึ้นทันที เขาอ้าปากค้าง จากนั้นก็พึมพำอย่างไม่อยากเชื่อ “คงไม่ใช่ว่า…พวกเขาเป็นคนเดียวกันหรอกนะ?”


ผู้คนในทวีปที่ถูกลืมมีหลายพันล้าน จึงไม่แปลกอะไรหากจะมีบางส่วนใช้ชื่อเดียวกัน แต่ดาวเด่นดวงใหม่ 2 ดวงของอีก 2 สำนักมีชื่อเดียวกันกับศิษย์สายตรงของจางเซวียนหรือ?


ไม่มีทางที่จะเกิดเรื่องบังเอิญขนาดนั้นได้!


ถึงคนอื่นๆในทวีปที่ถูกลืมจะไม่รู้จักศิษย์สายตรงของจางเซวียน แต่หวู่เฉินคุ้นเคยกับพวกเขาดี การเข้าสู่ทวีปที่ถูกลืมไม่ใช่เรื่องง่าย เท่านี้ก็เหลือเชื่อเต็มทีแล้วที่จางเซวียนหาทางมาถึงที่นี่ได้ด้วยพละกำลังของตัวเอง แล้วเขาจะพาศิษย์สายตรงมาด้วยได้อย่างไร?


แถมยังยากที่จะทำใจให้เชื่อว่าศิษย์สายตรงเหล่านั้นพัฒนาตัวเองได้รวดเร็วอย่างอาจารย์


พูดอีกอย่างก็คือ…หวู่เฉินสงสัยว่าเจิ้งหยางกับหลิวหยางคนนั้นคือชื่อปลอมของจางเซวียน!


เมื่อหวนนึกถึงวันคืนที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ จางเซวียนมักใช้ชื่อและตัวตนใหม่ๆเสมอ เช่นหยางชวน หลัวเทียนหยา ซุนฉาง…คนแบบเขาจะใช้วิธีอื่นใดได้นอกจากวิธีนี้?


หานเจี้ยนชิวได้ยินเสียงพึมพำของหวู่เฉิน เขาหันมาถาม “พวกเขาเป็นคนเดียวกันหรือ? คุณหมายความว่าอย่างไร?”


“อ๋อ ไม่มีอะไรมากหรอก” หวู่เฉินส่ายหน้า “ผมก็แค่ตั้งข้อสังเกตตามธรรมดา”


“อือ” หานเจี้ยนชิวพยักหน้าก่อนจะพูดต่อ “ดูเหมือนคราวนี้จะต้องเกิดความอึกทึกครึกโครมครั้งใหญ่ที่สะพานเบื้องบนแน่ ผมสงสัยว่าจางเซวียนจะสู้กับเจิ้งหยางและหลิวหยางได้หรือไม่ บอกตามตรงนะ ผมอยากเห็นอัจฉริยะทั้ง 3 คนสู้กันในสังเวียนประลอง”


จะต้องเป็นการดวลที่น่าสนใจมาก” ผู้อาวุโสเลี่ยวพยักหน้า


หวู่เฉินหลบตา เขาพึมพำออกมาด้วยเสียงที่เบาจนมีแต่ตัวเขาเท่านั้นได้ยิน “ถือว่าควรค่าแก่การรอคอย แต่ผมแค่อยากรู้ว่าเขาจะคิดแบบเดียวกันหรือเปล่า…”


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)