ยอดหญิงสกุลเสิ่น 207.1-208.1
ตอนที่ 207-1 พระชายาจิ้นอ๋องมีคำเชิญ
พูดเรื่องสมรสของหร่วนเหิงจบแล้ว หร่วนเจิ้นเทียนก็เปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง “ไม่ใช่ว่ากันว่าเจ้าไปวัดต้าเจวี๋ยมาอีกแล้วหรือ” เขามองประเมิณหลานสาวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าปราดหนึ่ง รู้สึกว่าคราวนี้จะต้องเป็นฉากบังตาอีกแน่นอน คราวก่อนวิ่งไปกระโดดโลดเต้นที่ซีเจียงเที่ยวหนึ่ง คราวนี้ไปไหนมาอีกเล่า
เสิ่นเวยก็ไม่คิดจะปิดบังท่านตานาง “ไปอวิ๋นโจวมาเที่ยวหนึ่ง” ไม่รอให้ตานางไต่ถามนางก็เล่าให้ฟังด้วยตัวเอง “ข้ามีท่านอาอยู่คนหนึ่งใช่หรือไม่ ตอนนั้นไม่ใช่ว่าแต่งงานกับเด็กยากจนหรอกหรือ เด็กยากจนผู้นี้กับครอบครัวของเขาเป็นพวกจอมปลอม ใช้สินเดิมของท่านอามีชีวิตที่ดี แต่กลับรังเกียจท่านอาที่ไร้ประโยชน์ ไม่สามารถให้ตำแหน่งขุนนางที่ใหญ่กว่านี้แก่เขาได้ ชีวิตของท่านอาไปต่อไม่ได้แล้ว ท่านปู่รู้เรื่องจึงให้วิ่งไปอวิ๋นโจวเที่ยวหนึ่งพาท่านอากับลูกผู้น้องกลับมา เลี่ยงไม่ให้พวกนางตรอมใจตาย”
“หย่าหรือ” หร่วนเจิ้นเทียนเลิกคิ้วขึ้น
“ก็แน่น่ะสิ มาถึงขั้นนั้นแล้วจะยังเหลือความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาอะไรอีก ตัดขาดเสีย ข้ากลับจวนโหวไปเป็นสตรีสูงศักดิ์ของข้าเหมือนเดิม พวกเจ้าก็กลับไปยังที่ดินสองหมู่[1]นั่นที่บ้านเก่าพวกเจ้าต่อ ผืนฟ้ากว้างแผ่นดินกว้าง หย่ากันแล้วใครกันแน่ที่จะอยู่ไม่ได้” เสิ่นเวยกล่าวอย่างไม่สนใจ
หร่วนเจิ้นเทียนเหลือบมองหลานสาวปราดหนึ่ง กล่าว “ดูไม่ออกว่าเจ้าเป็นคนถือหางให้ท้าย”
เมื่อเสิ่นเวยได้ยินดังนี้ก็ไม่พอใจแล้ว วางถาดผลไม้ลงบนโต๊ะ วางมาดเตรียมจะถกเถียงกับตานาง “ดูท่านตาพูดเข้า ถือหางให้ท้ายแล้วอย่างไร ญาติของตัวเอง จะไม่ถือหางได้อย่างไร ถือหางให้ท้ายถือเป็นข้อดีของข้า! ลูกผู้พี่ลูกผู้น้องคนไหนบ้างที่ข้าไม่ถือหาง นึกถึงตอนนั้นที่ลูกผู้น้องถูกเด็กแซ่ฉินผู้นั้นรังแกข้างถนน เดิมข้าไม่คิดจะยุ่งเรื่องคนอื่น ต่อมาได้ยินว่านี่คือลูกผู้น้อง ข้าก็สั่งคนไปจัดการเด็กคนนั้นทันทีไม่ใช่หรือ ยังมีลูกผู้พี่ ที่ซีเจียงมีครั้งไหนบ้างที่เขาออกรบแล้วข้าไม่ตามไป ไม่ใช่ว่ากลัวเขาเป็นอะไรไปแล้วจะส่งผลกระทบต่อการสืบสกุลตระกูลหร่วนหรอกหรือ อย่าว่าแต่ท่านที่ลำบาก ต่อให้เป็นแม่ข้า ก็ต้องวิ่งกลับมากลางดึกพูดคุยกับข้า! คิดว่าง่ายนักหรือ”
สาธยายยืดยาว แต่สิ่งที่พูดก็ดันเป็นเรื่องจริง ชั่วขณะหร่วนเจิ้นเทียนก็รู้สึกปวดหัว รีบหัวเราะตัดบทนาง “พอๆๆ เป็นตาที่พูดผิดไปเอง เจ้าถือหางลูกผู้พี่ลูกผู้น้อง ตาซาบซึ้งบุญคุณเจ้า”
เสิ่นเวยกล่าวอย่างจริงจัง “พูดว่าซาบซึ้งบุญคุณก็เหินห่างไปหน่อย ใครให้พวกเราเป็นญาติแท้ๆ เล่า ไม่ไว้หน้าใครก็ยังต้องไว้หน้าแม่ข้าบ้าง นางอุส่าให้กำเนิดข้า บุญคุณที่ใหญ่เท่าฟ้า ยังไม่รอข้าโตตอบแทนบุญคุณนางนางก็ไม่อยู่แล้ว ผู้ที่เป็นลูก ข้าก็ต้องทำอะไรให้นางบ้างมิใช่หรือ นอกจากน้องชายที่นางวางใจไม่ได้ที่สุดตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็คือบ้านท่านตานี่แหละ ข้าจึงต้องพยายามปกป้องแทนนางบ้าง”
คำพูดเหล่านี้พูดจนหร่วนเจิ้นเทียนคนใจแข็งผู้นี้แทบจะน้ำตาไหล คิดอยู่เสมอว่าบุตรสาวโชคร้ายเกินไป ให้กำเนิดลูกสาวที่ดีเพียงนี้แล้วแต่กลับไม่มีสักวันที่ได้เสพสุข หากนางยังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ แม้ว่านิสัยจะอ่อนแอ สุขภาพจะไม่ดี แต่มีเวยเจี่ยเอ๋อร์ลูกสาวคนนี้อยู่ ไม่ว่าใครก็แตะต้องตำแหน่งเรือนหลังของนางไม่ได้ เสิ่นหงเซวียนหลานชั่วผู้นั้นจะกล้าปฏิบัติไม่ดีต่อบุตรสาวเขาแม้แต่นิดเดียวเชียวหรือ ไม่ต้องให้เขาออกหน้า เวยเจี่ยเอ๋อร์ก็จัดการเขาได้อย่างเสร็จสรรพ
ชะตาเอ๋ย นี่ล้วนเป็นชะตา! บุตรสาวที่ชะตาขมขื่นไม่มีชะตาที่ได้เสพสุขเลย!
ในใจหร่วนเจิ้นเทียนเศร้าสลด แววตาที่เหลือบมองเสิ่นเวยก็ยิ่งเมตตา เขาลูบหนวดแล้วกล่าว “ข้าเลื่อมใสปู่เจ้าก็ตรงนี้ หากเป็นตระกูลอื่น อย่าว่าแต่หย่า เกรงว่ายังจะกดดันบุตรสาวของตนให้อดทนด้วยตัวเอง ก็เพื่อชื่อเสียงที่ว่านั่น” บนใบหน้าเขาเผยความเหยียดหยัน
จุดนี้เสิ่นเวยเองก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง กล่าวด้วยสีหน้าภูมิใจ “ถูกต้อง สติปัญญาของปู่ข้าเทียบกับคนทั่วไปได้หรือ หากไม่ใช่พวกข้าปู่หลานจะมีใครนิสัยตรงกันเช่นนี้ได้อีก ท่านตา ข้าจะบอกท่านให้ หากไม่ใช่ปู่ข้าสายตาดีเพียงนี้ ไม่หัวโบราณ ไม่คร่ำครึ ไม่ดูถูกสตรี ข้าจะคงจะปลดระวางไปนานแล้ว ข้าจะสนหรือว่าซีเจียงของท่านจะปกป้องไว้ได้หรือไม่ จะสนหรือว่าท่านจะเป็นจะตาย ข้าจะสนหรือว่าจวนจงอู่โหวของท่านจะมีอำนาจค้ำฟ้าหรือล่มสลายเป็นฝุ่นผง สตรีผู้หนึ่งเช่นข้าไหนเลยจะส่งผลกระทบถึงชีวิต แต่จะว่าไป หากไม่ใช่ท่านปู่ ก็ไม่มีใครยอมให้ข้าออกหน้าหรอก!”
ชื่นชมปู่นางรอบหนึ่ง เสิ่นเวยก็เปลี่ยนเรื่องเปิดฉากเสียดสี “ข้าเกลียดตระกูลใหญ่ตระกูลโตที่สุด พูดให้น่าฟังว่านั่นคือกฎระเบียบเคร่งครัด อันที่จริงก็ไร้ความปรานี บุตรสาวเจอคนชั่วทำร้ายไม่อยากลงโทษคนชั่ว กลับแต่งบุตรสาวเข้าไปเพื่อชื่อเสียงอะไรนั่น ไม่ก็ส่งไปที่วัด ยังมีคนที่ใจร้ายยิ่งกว่าต้องการจะเอาชีวิตบุตรสาว บุตรสาวถูกรังแกที่บ้านสามี แทบจะเอาชีวิตไม่รอด บ้านฝั่งมารดากลับกดดันไม่ยอมให้หย่า แม้ว่าจะหย่าก็ไม่ให้เข้าบ้าน กฎบ้าอะไรกัน! ยังมีอะไรสำคัญกว่าชีวิตของบุตรสาวอีก ไม่เห็นบุตรสาวเป็นคน บุตรสาวที่แต่งออกไปแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออกไปอะไรกัน ไม่มีสตรีแล้วใครจะให้กำเนิดเจ้า”
แม้ว่าหร่วนเจิ้นเทียนจะไม่คร่ำครึแม้แต่นิดเดียว ทั้งยังไม่ดูถูกสตรี แต่เขาก็ยังคงถูกคำพูดนี้ของหลานสาวทำให้ตกตะลึงจนพูดไม่ออก เนิ่นนานกว่าจะกล่าวด้วยสีหน้าซับซ้อน “เวยเจี่ยเอ๋อร์ เอ่อ คำพูดนี้เจ้าพูดต่อหน้าตาก็พอ อย่าได้พูดข้างนอกเชียวล่ะ!”
เสิ่นเวยกรอกตาขาว “แน่นอนอยู่แล้ว” นางเองก็บ่นต่อหน้าที่คนสนิทและไว้ใจก็ทันนั้น อยู่ข้างนอกปากของนางปิดสนิท นางไม่โง่จนไปท้าทายกฎระเบียบในยุคสมัยนี้หรอก
“ข้าเลยรู้สึกโชคดีอย่างยิ่งที่ตัวเองเป็นหลานสาวของท่านปู่ ตอนนี้ท่านปู่หนุนหลังให้ท่านอาได้ ไม่สนคำวิพากย์วิจารณ์ของมวลชนสนับสนุนให้นางหย่า ทั้งยังรับกลับมาดูแลในจวนอย่างดี เช่นนั้นในภายหน้าหากข้ามีชีวิตที่ไม่ดี เขาเองก็สามารถหนุนหลังให้ข้าได้” นี่เองก็เป็นเหตุผลสำคัญที่เสิ่นเวยยอมทุ่มเทแรงให้จวนจงอู่โหว หากเจอผู้อาวุโสที่เชื่อใจไม่ได้ นางหลบไปไกลได้เท่าไรก็คงจะหลบไปไกลเท่านั้น
“นั่นกลับไม่จำเป็น” หร่วนเจิ้นเทียนมองหลานสาวของเขาปราดหนึ่งแล้วกล่าว “เจ้ายังบอกเองเลยว่าคนที่อาเจ้าแต่งงานด้วยเป็นเด็กยากจน จะหย่าก็เป็นเรื่องที่ปู่เจ้าสั่งได้มิใช่หรือ แต่เจ้าไม่เหมือนกัน ที่เจ้าแต่งด้วยคือราชนิกุล นั่นคือหลานชายแท้ๆ ของฝ่าบาท แม้ว่าปู่เจ้าจะอยากออกหน้าแทนเจ้า แต่ก็ทำไม่ได้! เขาจะเป็นใหญ่ไปกว่าราชนิกุลได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังเป็นการสมรสพระราชทานจากฝ่าบาท การหย่าเป็นเรื่องที่ไม่ต้องแม้แต่จะคิดเลย เจ้าคิดว่าจะใช้ชีวิตให้ผ่านไปได้ด้วยดีอย่างไรจึงจะถูก”
เห็นหลานสาวไม่พูด หร่วนเจิ้นเทียนก็กล่าวต่อ “ได้ข่าวคุณชายสวีโย่วบ้างหรือไม่ อาการป่วยเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ไม่ใช่บอกว่าดีขึ้นแล้วหรือ เหตุใดโรคเก่าถึงกำเริบอีกแล้วเล่า” ดวงตาของเขามีความกังวลแวบผ่าน คู่หมั้นผู้นี้ของเวยเจี่ยเอ๋อร์ดีทุกอย่าง อย่างเดียวที่ไม่ดีก็คือสุขภาพของคุณชายใหญ่สวีไม่ดี ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าคุณชายใหญ่สวีสร้างคุณูปการที่ซีเจียงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นอ๋อง หลานชายของเขาก็บอกเช่นกันว่าคุณชายใหญ่สวีนอกจากจะดูผอมไปหน่อยนอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรไม่ดี หัวใจดวงนี้ของเขาเพิ่งจะวางลง คุณชายใหญ่สวีก็มีโรคเก่ากำเริบ หากว่าเขา…เช่นนั้นชั่วชีวิตหลานสาวผู้นี้ของเขาใช่จะต้องพังทลายหรือไม่
มือที่ถือส้มของเสิ่นเวยหยุดชะงัก หลังจากนั้นก็กล่าวราวกับไม่เป็นปัญหา “ไม่มี ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไร น่าจะไม่เป็นไรหรอกกระมัง” สุดท้ายนางก็ไม่ได้บอกว่าคุณชายใหญ่สวีนำพระราชการโองการลับออกไปทำงานข้างนอก ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจท่านตา แต่ไม่จำเป็นต้องให้เขารู้แล้วเป็นกังวล
ความกังวลในแววตาของหร่วนเจิ้นเทียนก็ยิ่งมากขึ้น “ไม่ได้สืบถามกับจวนจิ้นอ๋องหรือ ทางฝ่าบาทจะต้องมีข่าวบ้างสิ เขาไม่ได้หลุดปากบอกปู่เจ้าบ้างเลยหรือ”
เสิ่นเวยส่ายหน้า “ไม่มี ท่านปู่ไม่ได้พูดอะไร” ใครจะรู้ว่าตอนนี้เขาไปซ่อนตัวอยู่ที่มุมไหน
หร่วนเจิ้นเทียนยังคิดว่าคุณชายใหญ่สวีป่วยหนัก ถอนหายใจขึ้นมา กล่าวเตือน “เวยเจี่ยเอ๋อร์ เจ้าต้องเตรียมใจไว้บ้าง หากว่า หากว่าคุณชายใหญ่สวี…” เขามองดวงตาที่ใสกระจ่างของหลานสาว พูดไม่ออกแล้ว ถุยๆๆ ต้องเป็นเขาที่คิดมากไปแน่ๆ หลานสาวเขาคงไม่โชคร้ายเพียงนั้นหรอก
ทว่าเสิ่นเวยกลับกล่าวอย่างปลอบโยน “ท่านตา ไม่เป็นไร ฟังว่าบนเขาลูกนั้นที่คุณชายใหญ่สวีไปรักษามีหมอเทวดาอาศัยอยู่ เขาจะต้องไม่เป็นไรแน่นอน
ในใจกลับไม่ยอมรับ อย่าว่าแต่สวีโย่วคนโรคจิตผู้นั้นไม่ได้มีโรคเก่ากำเริบอย่างสิ้นเชิง ต่อให้เขาจะมีชะตาไม่ดีตายม่องเท่งจริงๆ แล้วอย่างไร จากประสบการณ์ในวันเวลาเหล่านี้ นางรู้ดีว่าต่อให้ตอนนี้นางจะไม่ได้แต่งเข้าไป แต่มีพระราชโองการพระราชทานสมรสอยู่ นางก็คือสะใภ้ราชนิกุลอย่างไม่อาจเลี่ยง แม้สวีโย่วจะไม่อยู่แล้ว แต่นางก็ไม่อาจเปลี่ยนคู่สมรสได้ ต้องครองตัวเป็นหม้ายไปตลอดชีวิต
หลังจากเข้าใจสถานะของสะใภ้ราชนิกุลแล้วนางก็ไม่คัดค้านแม้แต่นิดเดียว เหมือนอย่างเช่นนาง เดิมทีนางก็เป็นจวิ้นจู่อยู่แล้ว แต่งเข้าไปก็เป็นจวิ้นหวังเฟย ตำแหน่งนับว่าสูงอย่างยิ่ง บวกกับที่นางครองตัวเป็นหม้าย ราชวงศ์ก็จะให้อภิสิทธิ์มากเป็นพิเศษไม่ใช่หรือ ด้วยเหตุนี้ การเลี้ยงดูมีแล้ว ฐานะมีแล้ว นางก็สามารถใช้ชีวิตไปวันๆ ตามแต่ใจต้องการได้ เป็นอนาคตที่ดีงามยิ่งนัก!
ทว่าสวีโย่วที่ตัวอยู่ในวัดจยาหลานกลับไม่รู้ว่าเด็กเนรคุณของเขากำลังคาดการณ์ถึงชีวิตอันดีงามหลังจากเขาไม่อยู่แล้ว ตอนนี้เขากำลังเดินเล่นอยู่ในลานวัดภายใต้การประคองของเจียงเฮยเจียงไป๋ พระอาจารย์เต้ากวงบอกว่าร่างกายเขาอ่อนแอเกินไป แนะนำให้เขาขยับตัวเยอะๆ นี่ตรงกับความคิดของเขา เขากำลังกังวลที่ไม่มีข้ออ้างไปเดินเล่นในวัดอยู่พอดี
ด้วยเหตุนี้ทุกวันหลังทานข้าวเสร็จหลวงจีนวัดจยาหลานก็จะเห็นคุณชายสูงศักดิ์ที่มารักษาผู้นั้นเดินอย่างช้าๆ ภายใต้การพยุงของบ่าวรับใช้ ผ่านไปหลายวันพวกเขาก็เห็นเงาร่างของพวกเขาในวัดจนชินแล้ว บางครั้งเจอหน้าพวกเขาก็ยังหลบไปข้างๆ ให้คุณชายท่านนี้เดินก่อน น่าสงสารเขายิ่งนัก
สวีโย่วเดินเล่นอยู่ในวัดเช่นนี้หลายต่อหลายวัน กลับไม่เห็นอะไรผิดปกติ แต่มีอยู่เย็นวันหนึ่งเขาเห็นชายชุดดำสองคนอยู่ทางฝั่งป่าไผ่เพียงชั่วพริบตาก็หายไปแล้ว และที่บังเอิญก็คือกุฏิของพระอาจารย์เต้ากวงที่รักษาสวีโย่วผู้นั้นก็อยู่ละแวกนั้นพอดี
สวีโย่วเดินเข้าไปใกล้ๆ ป่าไผ่ภายใต้การพยุงของเจียงเฮยเจียงไป๋อยู่หลายรอบก็ไม่เห็นชายชุดดำสองคนนั้น แต่หลวงจีนเต้ากวงที่นั่งสมาธิอยู่ในกุฏิกลับถูกรบกวนแล้ว “อมิตาพุทธ คารวะโยม”
สวีโย่วรีบคำนับกลับ “มิบังอาจ มิบังอาจ โชคดีที่ได้พระอาจารย์ออกมือ อาการป่วยของผู้น้อยก็ดีขึ้นแล้ว หลายวันมานี้ผู้น้อยทำตามคำชี้แนะของพระอาจารย์ ออกมาเดินทุกวัน กำลังวังชากลับดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก” พูดจบก็คำนับให้หลวงจีนเต้ากวงอีกครั้ง
หลวงจีนเต้ากวงยิ้มน้อยๆ “พระพุทธองค์เมตตา ช่วยคนตายพยุงคนเจ็บคือหลักธรรมคำสอน นี่เองก็เพราะโยมกับอาตมามีวาสนาต่อกัน เพียงแต่โยมยังต้องรู้ไว้ว่า ทุกเรื่องมีขอบเขต อาการป่วยของโยมไม่อาจหายได้โดยง่าย ยังต้องเป็นไปตามลำดับขั้นตอน เดินทุกวันมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูร่างกายของโยม แต่ไม่อาจทำจนเหนื่อยเกินไปได้ เช่นนั้นผลลัพธ์จะกลับกัน”
สวีโย่วกล่าวขอบคุณอย่างจริงจัง “ขอบคุณพระอาจารย์ที่เตือนสติ ผู้น้อยจะจำไว้”
สวีโย่วมั่นใจว่าตนไม่ได้ตาฝาด สองคนนั้นสวมชุดดำ ศีรษะมีผม แตกต่างจากหลวงจีนที่หัวโล้นในวัดอย่างยิ่ง ตนไม่มีทางดูผิดแน่นอน
แต่ชายสองคนไม่อาจหายไปอย่างไร้ร่องรอยได้กระมัง ข้างนอกไม่มี คงไม่ใช่ว่าเข้าไปข้างในห้องแล้วหรอกนะ สวีโย่วอ้างว่ากระหายน้ำ ขอชากับหลวงจีนเต้ากวงอย่างหน้าหนา ชาสองแก้วดื่มหมดแล้ว ก็ยังไม่พบร่องรอยใดๆ ทำได้เพียงกลับไปอย่างไม่ยินดี
[1] หมู่ หน่วยวัดขนาดพื้นที่ของจีน หนึ่งหมู่เท่ากับ 666.67 ตารางเมตร
ตอนที่ 207-2 พระชายาจิ้นอ๋องมีคำเชิญ
สวีโย่วคิดว่าเขาเดินเตร่ไปมาเช่นนี้ไม่ได้แล้ว ต้องมีคนไปสืบข่าวจากหลวงจีนเต้ากวง และกุฏิของเจ้าอาวาสจึงจะถูก ให้ใครไปดีเล่า แม้ว่าหลวงจีนในวัดจยาหลานจะเป็นมิตรกับพวกเขาอย่างยิ่ง แต่เขาก็รู้ว่าพวกเขาไม่ได้ลดการเฝ้าติดตามพวกเขามาโดยตลอด ดังนั้นเขากับเจียงเฮยเจียงไป๋จึงลงมือไม่ได้ กระทั่งคนอื่นๆ ที่ขึ้นเขามาพร้อมกับเขาก็ไม่ได้เช่นกัน เช่นนั้นก็ทำได้เพียงหาคนกลางจากข้างนอก สวีโย่วขมวดคิ้ว นิ้วมือเคาะโต๊ะเบาๆ ในสมองคิดอย่างรวดเร็วว่าจะพาคนกลางขึ้นเขาอย่างไร สืบข่าวอย่างไร
เรือนส่วนในจวนจิ้นอ๋อง พระชายาจิ้นอ๋องปรนนิบัติจิ้นอ๋องถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก ร้อนอกร้อนใจไปพลาง “นี่ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าอาการป่วยของโย่วเกอเอ๋อร์ดีขึ้นแล้วหรือยัง ไม่มีแม้แต่ข่าว ข้าร้อนใจจะแย่แล้ว”
ฝีเท้าของจิ้นอ๋องที่หมุนตัวพลันหยุดชะงัก ทันใดนั้นก็กล่าว “บนเขามีหมอเทวดาเก่าแก่อยู่ หลายปีมานี้โย่วเกอเอ๋อร์ก็ป่วยมาหลายรอบแล้ว ครั้งไหนบ้างที่ไม่ร้ายแรงแต่ไม่มีอันตราย เจ้าวางใจลงเถอะ ไม่เป็นไรหรอก”
พระชายาจิ้นอ๋องยังคงกระวนกระวาย “ข้าไหนเลยจะวางใจได้ เมื่อคิดภาพว่าโย่วเกอเอ๋อร์ทรมานอยู่บนเขา หัวใจของข้าก็เจ็บราวกับถูกเข็มแทง ท่านอ๋อง ต้องเป็นบนเขาเท่านั้นหรือ พวกเราไม่อาจเชิญหมอเทวดากลับจวนอ๋องหรือ ข้าได้เห็นโย่วเกอเอ๋อร์จิตใจก็จะได้สบายขึ้นหน่อย”
สบสายตาที่มองมาของหวังเฟย จิ้นอ๋องก็ส่ายหน้า “ยอดฝีมือเหล่านั้นต่างก็มีนิสัยประหลาดดื้อรั้น เจ้าคิดว่าเสด็จพี่ไม่เคยคิดจะเชิญหมอเทวดาลงเขาหรือ จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเขาไม่ยินยอม คงไม่อาจฆ่าเขาได้กระมัง เช่นนั้นใครจะรักษาโรคให้โย่วเกอเอ๋อร์เล่า”
พระชายาจิ้นอ๋องกล่าวในใจ ฆ่าเสียก็ดี ลูกบุญธรรมขี้โรคผู้นั้นควรจะตายไปตั้งนานแล้ว ก่อนหน้านี้ยังดีหน่อย ตั้งแต่ครั้งก่อนที่กลับมาจากเขาก็สร้างความรำคาญให้ตนมาโดยตลอด เริ่มที่สมรสพระราชทานอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ต่อมาก็ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นอ๋องอะไรนั่น เป็นหลานแท้ๆ เหมือนกัน ฝ่าบาทช่างลำเอียง
อ้อ ยังมี ตนหวังดีเสนอให้เขาแต่งฮุ่ยเอ๋อร์เป็นอนุภรรยา เขาไม่ซาบซึ้งก็ไม่เป็นไร แต่กลับกระแทกกระทั้นบอกว่าตนมีเจตนาไม่ดี เพียงแค่วางคนของตัวเองไว้ข้างกายเขาเพื่อให้วางใจก็เท่านั้น เจ้าคนขี้โรคที่แม้แต่เรื่องร่วมรักยังไม่รู้ว่าทำเป็นหรือไม่ ข้าจะวางแผนร้ายอะไรเจ้าได้ เหอะ ช่างเป็นสุนัขที่แว้งกัดคนให้อาหารจริงๆ ไม่รู้จักความหวังดีของคนอื่น สมน้ำหน้าที่เจ้าป่วย สมน้ำหน้าที่เจ้าทนทรมาน
ในใจพระชายาจิ้นอ๋องคิดอย่างสบายใจ แต่สีหน้าบนใบหน้ากลับไม่มีพิรุธแม้แต่นิดเดียว “ท่านอ๋อง พวกเราเป็นพ่อแม่ยังกระวนกระวายใจเช่นนี้ คุณหนูสี่จวนจงอู่โหวใช่จะเป็นกังวลยิ่งกว่าหรือไม่ เฮ้อ น่าสงสาร ใกล้จะแต่งเข้าบ้านอยู่แล้ว โย่วเกอเอ๋อร์ดันมาป่วย ฝ่าบาทก็ออกพระราชโองการเลื่อนวันสมรส แม่นางผู้นั้นอายุยังน้อยอาจจะตกใจกลัวก็เป็นได้” สีหน้านางมีความเห็นใจ
จิ้นอ๋องได้ยินหวังเฟยพูดเช่นนี้ เมื่อคิดตามอย่างละเอียดยังรู้สึกว่าเป็นปัญหาเช่นนี้จริงๆ จึงกล่าว “หากหวังเฟยไม่สบายใจ ก็ถือโอกาสเรียกคุณหนูสี่ผู้นั้นมาปลอบขวัญหวังเฟยสักหน่อย อย่างไรเสียไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องเป็นสะใภ้ของตระกูลเราอยู่ดี”
พระชายาจิ้นอ๋องแอบดีใจในใจ แต่ใบหน้ากลับแสดงสีหน้าลังเล “เช่นนี้จะดีหรือ จะทำให้เกิดการนินทาหรือไม่ จะเป็นการขู่ขวัญคุณหนูผู้นั้นหรือไม่”
จิ้นอ๋องไม่เห็นด้วย “นี่ไม่ใชเรื่องฝ่าฝืนกฎอะไร เพียงแค่คนที่เป็นแม่สามีพบลูกสะใภ้ล่วงหน้า ใครอยากนินทานก็ปล่อยให้เขานินทาไป ก็แค่ฮูหยินที่พูดไปเรื่อยเปื่อยไม่มีหน้าออกงานสังคมไม่กี่คนเท่านั้นเอง หวังเฟยไม่ต้องไปสนใจ”
พระชายาจิ้นอ๋องพยักหน้าด้วยความดีใจ “เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว” ดวงตาลุกวาวกล่าว “ข้าฟังว่าคุณหนูสี่ผู้นี้เป็นคนดี โย่วเกอเอ๋อร์ของพวกเราป่วยวันแรก วันที่สองคุณหนูสี่ผู้นี้ก็ไปสวดมนต์ขอพรให้เขาที่วัดต้าเจวี๋ย ถือศีลกินเจเป็นเดือนกว่าจะกลับมา เฮ้อ ไม่รู้ว่าจะซีดเซียวจนเป็นเช่นไรแล้ว พอคิดดูแล้วข้าก็ปวดใจ”
“มีเรื่องนี้ด้วยหรือ เช่นนั้นครั้งนี้เสด็จพี่กลับหาภรรยาที่ดีให้โย่วเกอเอ๋อร์ได้จริงๆ” จิ้นอ๋องประหลาดใจหลายส่วน
ทว่าพระชายาจิ้นอ๋องกลับลอบมองเขาปราดหนึ่ง “ดูจิ้นอ๋องพูดเข้า ฝ่าบาทรักโย่วเกอเอ๋อร์เพียงใด จะหาคนไม่ดีมาให้เขาได้อย่างไร หากไม่ดีจะได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นจู่หรือ อย่าว่าแต่ฝ่าบาทชอบ แม้แต่ข้าเองก็ชอบสตรีที่มีเมตตามีคุณธรรมเช่นนี้เหมือนกัน!”
พูดถึงตรงนี้ นางก็ชะโงกหน้าออกไปตะโกนกับข้างนอก “หวาเยียน หวาเยียน รีบหา**บเครื่องประดับมาให้ข้า” จากนั้นก็หันกลับมาอธิบายกับท่านอ๋องต่อ “ข้าต้องเลือกของขวัญพบหน้าให้คุณหนูสี่แซ่เสิ่นดีๆ เสียแล้ว อ้อจริงสิ ยังมีเสื้อผ้า ท่านอ๋อง วันนั้นข้าใส่ชุดไหนดี ท่านอ๋องรีบช่วยข้าเลือกเร็ว” นางดึงจิ้นอ๋องท่าทางดีอกดีใจ
จิ้นอ๋องเห็นหวังเฟยยุ่งอยู่กับการเลือกของขวัญพบหน้าทั้งยังเลือกเครื่องแต่งกายด้วยความเริงร่าเช่นนี้ ก็หลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้ “ดึกเพียงนี้แล้วเจ้ายังจะทำอะไรอีก เจ้าเป็นแม่สามีเพียงแค่นั่งวางมาดก็พอแล้ว นางเป็นชนรุ่นหลังจะมาจับผิดเจ้าได้อย่างไร”
“ไม่ใช่ว่าข้ารีบร้อนจนลืมไปแล้วหรือ” พระชายาจิ้นอ๋องเหลือบมองจิ้นอ๋องด้วยความออดอ้อนปราดหนึ่ง หันหน้ากลับมาบนใบหน้าก็มีความกังวล “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเจอคุณหนูสี่แซ่เสิ่น ไม่อาจทำให้คุณหนูรู้สึกว่าข้าเป็นแม่สามีใจร้ายได้กระมัง ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณหนูสี่แซ่เสิ่นจะชอบทานอะไรชอบเล่นอะไร”
จิ้นอ๋องหัวเราะขึ้นมา กล่าวหยอกล้อนาง “เจ้าเป็นแม่สามีมาสองครั้งแล้ว เหตุใดถึงยังไม่เลิกตื่นเต้นอีก ตอนที่สะใภ้ของเยี่ยเอ๋อร์เข้าเรือนก็ไม่เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้
ทว่าพระชายาจิ้นอ๋องกลับกล่าวอย่างมีเหตุผล “จะเหมือนกันได้อย่างไร โย่วเกอเอ๋อร์เป็นบุตรชายคนโตในจวนจิ้นอ๋องของพวกเรา ซ้ำยังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นอ๋อง มีอนาคตกว่าเยี่ยเอ๋อร์เหยียนเอ๋อร์เสียอีก เขาแต่งงานข้าย่อมต้องเอาจริงเอาจังหน่อย”
รอยยิ้มบนใบหน้าของจิ้นอ๋องกลับจางลง “พอแล้ว ไม่ต้องหาเรื่องใส่ตัว สงบอารมณ์เสีย” แม้ว่าบุตรคนโตจะได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นอ๋องนานแล้ว แต่เมื่อจิ้นอ๋องได้ยินหวังเฟยพูดว่าบุตรคนโตมีอนาคตกว่าบุตรทั้งสามเสียอีก ในใจเขาก็ไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง เป็นบุตรชายเขาเหมือนกัน สุขภาพก็ยังดีกว่าคนขี้โรคมิใช่หรือ โดยเฉพาะเยี่ยเอ๋อร์บุตรคนรอง อายุสิบสามสิบสี่ก็ตามเขาไปทำงานแล้ว ช่วยเขาไปมากเพียงใด เหตุใดถึงเทียบคนขี้โรคที่ตลอดปีรักษาตัวอยู่บนเขาไม่ได้ ก็แค่ฝ่าบาทลำเอียงเท่านั้นเอง
ตอนนี้ จิ้นอ๋องไม่พอใจเสด็จพี่ของเขาขึ้นมาแล้ว
พระชายาจิ้นอ๋องลอบมองสีหน้าบนใบหน้าจิ้นอ๋อง ย่อมโอนอ่อนผ่อนตามอย่างว่าง่าย
อะไรนะ พระชายาจิ้นอ๋องเชิญนางไปพูดคุยที่จวนหรือ เสิ่นเวยได้ยินคำพูดของท่านป้าสะใภ้ใหญ่นางก็แทบจะพ่นชาในปากออกมา ความคิดแรกในสมองก็คือ พระชายาจิ้นอ๋องจะเล่นลูกไม้อะไร
ไม่แปลกที่เสิ่นเวยคิดเช่นนี้ อันที่จริงจังหวะที่พระชายาจิ้นอ๋องเลือกก็ไม่ถูกจริงๆ คุณชายใหญ่สวียังรักษาตัวอยู่บนเขา ว่าที่แม่เลี้ยงสามีของเจ้าเรียกนางไปที่จวนทำไม มัดใจด้วยอุบาย เตือนสติ หรือว่าแสดงอำนาจ ชั่วพริบตาเสิ่นเวยก็คิดไปต่างๆ นานา
ทว่าฮูหยินสวี่กลับกล่าวอย่างดีอกดีใจ “คนที่มาบอกข่าวคือแม่นมซือประจำกายพระชายาจิ้นอ๋อง ฟังจากเจตนาในคำพูดของนาง พระชายาจิ้นอ๋องให้ความสำคัญกับเจ้ามากเป็นพิเศษ คุณชายใหญ่สวีไม่ใช่กลับมาป่วยอีกแล้วหรือ หวังเฟยเป็นห่วงว่าเจ้าจะคิดมาก อยากรับเจ้าเข้าจวนไปพูดคุย ถือโอกาสปิดปากคนเหล่านั้นข้างนอกอีกด้วย”
เสิ่นเวยตาลุกวาว ลางสังหรณ์บอกว่าไม่เชื่อ แม่เลี้ยงสามีปลอบขวัญว่าที่สะใภ้งั้นหรือ ภาพๆ นี้ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ผิดปกติ หากพระชายาจิ้นอ๋องผู้นี้เป็นคนใจกว้างเมตตาจริงๆ เช่นนั้นสวีโย่วคนโรคจิตผู้นั้นจะมีนิสัยเย็นชาเช่นนั้นหรือ ยิ่งไปกว่านั้นตำแหน่งซื่อจื่อจวนจิ้นอ๋องยังตกอยู่ในมือลูกชายแท้ๆ ของหวังเฟยผู้นี้ แม้ทุกคนต่างก็พูดว่าเพราะร่างกายสวีโย่วไม่ดี เหอะ หลอกใครหรือ เสิ่นเวยไม่เชื่ออย่างยิ่งว่าในนั้นจะไม่มีฝีมือของหวังเฟยผู้นั้น
ฮูหยินสวี่จับมือของเสิ่นเวยอธิบายต่างๆ นานา “วันกำหนดไว้เป็นวันหลัง อีกทั้งแม่นมซือผู้นั้นยังมารับ ถึงตอนนั้นเจ้าแต่งตัวสวยๆ งามๆ สร้างความประทับให้หวังเฟย อืม ให้แม่นมมั่วไปเป็นเพื่อนเจ้าด้วย นางมาจากในวัง คุ้นเคยกับกฎมารยาทราชนิกุล มีตรงไหนที่ไม่เข้าใจนางจะได้เตือนเจ้าได้” นางสาธยายยืดยาว กลัวว่าเสิ่นเวยทำไม่ดีตรงไหนจะเป็นการยั่วโมโหว่าที่แม่สามี
เสิ่นเวยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “อืม อืม ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ หลานทราบแล้ว จะไม่ทำให้จวนโหวของพวกเราเสียหน้าแน่นอน”
ฮูหยินสวี่ลูบศีรษะของเสิ่นเวย ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งคราแล้วกล่าว “เวยเจี่ยเอ๋อร์ ป้ากลับไม่ได้สนใจว่าเจ้าจะทำจวนโหวเสียหน้า เจ้าต้องรู้ไว้ว่า ในภายหน้าเจ้าแต่งเข้าจวนจิ้นอ๋อง พระชายาจิ้นอ๋องก็คือแม่สามีของเจ้า คุณชายใหญ่สวี่ไม่ใช่คนที่นางให้กำเนิด ที่นางปฏิบัติต่อพวกเจ้าเป็นเพียงภายนอก เจ้าต้องเอาใจนาง ชีวิตจึงจะดี เจ้ายังเล็ก ไม่เข้าใจ หากคนที่เป็นแม่สามีมีเจตนาอยากทำร้ายลูกสะใภ้ เจ้าก็จะไม่มีหนทางแม้แต่นิดเดียว อย่างไรเสียนางก็ถือครองกฎในตระกูล”
คำพูดที่จริงใจเช่นนี้ก็มีเพียงแม่แท้ๆ ที่จะพูดกับบุตรสาวได้ เสิ่นเวยย่อมซาบซึ้ง “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่วางใจ หลานจะรับปากอย่างดี”
ไปจวนจิ้นอ๋องล่วงหน้าก็ดีเหมือนกัน อย่างไรเสียนั่นก็เป็นสถานที่ใช้ชีวิตต่อจากนี้ของนาง พบหน้าพระชายาจิ้นอ๋องผู้นั้นล่วงหน้า จะได้เลี่ยงไม่ให้แต่งเข้าไปแล้วตื่นตระหนกไม่ใช่หรือ
เหอะๆ คุณชายใหญ่สวี อีกประเดี๋ยวข้าก็จะไปพบแม่เลี้ยงแสนดีผู้นั้นของเจ้าแล้ว เจ้าคิดว่าอย่างไร ให้ข้าถือโอกาสช่วยเจ้าระบายความแค้นดีหรือไม่
ตอนที่ 208-1 ไปจวนจิ้นอ๋อง
เดิมเสิ่นเวยก็อยากไปสืบข่าวเรื่องตระกูลราชบัณฑิตสวี่จากป้าสะใภ้ใหญ่ ตอนนี้ถูกนางดึงไว้พูดเรื้อยเจื้อยไม่หยุดปาก กลับลืมเรื่องหลักไปเสียแล้ว เมื่อป้าสะใภ้ใหญ่นางออกจากเรือนเฟิงหวาไปเสิ่นเวยก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ ตบหน้าผากด้วยหงุดหงิดอย่างอดไม่ได้ ช่างมัน ช่างมัน อย่างไรเสียก็ไม่เกินวันสองวันนี้ รอนางไปรับมือกับพระชายาจิ้นอ๋องก่อนแล้วค่อยว่ากัน
พระชายาจิ้นอ๋องเชิญคุณหนูสี่ไปสนทนา ข่าวๆ นี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งจวนโหวราวกับกระพือปีก มีคนอิจฉา มีคนริษยา ทั้งยังมีใบหน้าบางคนที่มีความดุร้ายและโกรธแค้นแวบผ่าน
คนที่อิจฉาก็คือฮูหยินจ้าวบ้านรอง นางลากเสิ่นเซวียนมาข้างหน้าตน เห็นท่าทางที่ไม่สนใจนั้นของลูกสาว ก็เจ็บใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้
“ดูชะตาพี่สี่เจ้าสิ ทั้งได้รับพระราชทานสมรสทั้งได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นจู่ ตอนนี้ยังถูกพระชายาจิ้นอ๋องเรียกไปสนทนา จุๆๆ ในเมืองหลวงยังนับได้ว่าเป็นครั้งแรก เซวียนเอ๋อร์ เจ้าตั้งใจฟังที่แม่พูดหรือไม่” ฮูหยินจ้าวเห็นว่าลูกสาวใจลอย ชั่วขณะก็โมโหอย่างยิ่ง
“ท่านแม่ ฟังอยู่ ฟังอยู่ เจ็บยิ่งนัก” เสิ่นเซวียนกุมบริเวณที่แม่นางใช้นิ้วจิ้ม พูดด้วยความไม่พอใจ
ฮูหยินจ้าวถลึงตามองลูกสาวปราดหนึ่ง “แม่ให้เจ้าไปเล่นกับพี่สี่เจ้าบ่อยๆ ไม่ใช่หรือ วันทั้งวันเจ้าเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องจะได้ประโยชน์อะไร ไม่ใช่ว่าแม่หวังดีกับเจ้าหรือ ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้…”
เห็นแม่นางกำลังจะร่ายยาวไม่หยุดอีกครั้ง เสิ่นเซวียนก็อึดอัดจนลำไส้แทบจะบิดเป็นเกลียว รีบลุกขึ้นยืนตัดบท “ท่านแม่ ลูกต้องกลับเรือนแล้ว ตอนบ่ายแม่นมเหยาจะทดสอบกฎมารยาท ลูกยังไม่ได้ฝึกให้ดีเลย”
มองแผ่นหลังที่ออกไปราวกับวิ่งหนีของลูกสาว ฮูหยินจ้าวก็ตบโต๊ะหลายครั้งด้วยความเคียดแค้น “เด็กคนนี้นี่ ไม่คิดบ้างหรือว่าแม่หวังดีกับเจ้า หนึ่งคนสองคน ล้วนแต่ทำให้แม่กลัดกลุ้ม หากนางมีโชคได้ครึ่งหนึ่งของเวยเอ๋อร์ ข้าจะยังต้องกลุ้มใจอะไรอีก”
ช่วงนี้นางกำลังดูเรื่องสมรสให้เซวียนเอ๋อร์มาโดยตลอด ส่วนใหญ่ในนั้นนางล้วนแต่ไม่ชอบ มีเพียงสองสามตระกูลที่ยังนับว่าไม่เลว แต่ก็ยังห่างจากความต้องการในใจนางอยู่ดี เป็นคุณหนูจวนจงอู่โหวเหมือนกัน แม้เซวียนเอ๋อร์จะไม่อาจเทียบเวยเอ๋อร์ได้ แต่ก็ไม่อาจด้อยกว่าเกินไปมิใช่หรือ
ชุ่ยหนงสาวใช้ใหญ่เองก็รู้ว่าฮูหยินของตนกำลังเป็นทุกข์เรื่องสมรสของคุณหนูอยู่ จึงลอบมองสีหน้านางอย่างระมัดระวังแล้วกล่าวเสียงเบา “ฮูหยิน มะรืนนี้คุณหนูสี่ไปจวนจิ้นอ๋อง หากคุณหนูของพวกเราตามไปได้ ถึงตอนนั้นเข้าตาพระชายาจิ้นอ๋อง ขอเพียงแค่พระชายาจิ้นอ๋องพูดถึงคุณหนูของเราดีๆ ที่ข้างนอก เช่นนั้นเรื่องสมรสของคุณหนูยังจะต้องเป็นกังวลไปไยอีก”
ฮูหยินจ้าวได้ยินดังนั้นก็คล้ายครุ่นคิด ตริตรองอยู่ครู่หนึ่งกลับส่ายหน้า “ไม่ควร เวยเอ๋อร์ไปจวนจิ้นอ๋องเป็นครั้งแรก ตนเองก็ต้องรวบรวมสติให้ดี ไหนเลยจะแบ่งความสนใจมาดูแลเซวียนเอ๋อร์ได้อีก ไม่ควร ไม่ควร”
ข้อเสนอนี้แม้ว่าฮูหยินจ้าวจะสนใจอย่างถึงที่สุด แต่นางก็ไม่ได้สายตาสั้นจนไม่ใส่ใจอะไรทั้งสิ้น เวยเอ๋อร์ไปจวนจิ้นอ๋องเป็นครั้งแรก ตนเองก็ต้องตื่นเต้นมากอยู่แล้ว เซวียนเอ๋อร์อย่าไปสร้างปัญหาเพิ่มจะดีกว่า แต่ว่าที่ชุ่ยหนงพูดกลับเตือนสตินางได้ ตอนนี้ไปไม่ได้ รอเวยเอ๋อร์แต่งเข้าไปแล้ว เซวียนเอ๋อร์จะไปไม่ได้หรือไร อืม ต้องกำชับเซวียนเอ๋อร์ให้ผูกมิตรกับเวยเอ๋อร์ไว้จะดีกว่า
เรือนเหลียนอี หลิวรุ่ยฟังกำลังนั่งเย็บปักถักร้อยกันสองคนในห้องเหอหลินหลิน
หลิวรุ่ยฟังมาเยี่ยมเยียนถึงที่ด้วยตัวเอง เสิ่นหย่าย่อมไม่อาจไล่คนไปข้างนอกได้ บวกกับที่นางปากหวานรู้จักพูดจา อายุก็พอๆ กับบุตรสาวของตน นางเองก็หวังว่าบุตรสาวจะไปมาหาสู่กับแม่นางน้อยรุ่นราวคราวเดียวกัน ดังนั้นจึงเป็นมิตรกับหลิวรุ่ยฟังมากเป็นพิเศษ ทั้งยังให้ของขวัญพบหน้าเป็นเครื่องประดับศีรษะแก่นางหนึ่งชิ้น
หลิวรุ่ยฟังถอนหายใจเฮือกใหญ่หนึ่งครา นับแต่นั้นมาก็มาเล่นกับเหอหลินหลินอยู่บ่อยครั้ง ทั้งสองทำงานเย็บปักไม่ก็เล่นแต่งหน้าด้วยกัน แม้หลิวรุ่ยฟังจะเป็นเพียงบุตรสาวขุนนางยศเล็ก แต่อย่างไรเสียก็เติบโตมาในเมืองหลวง ความรู้ประสบการณ์ย่อมสูงกว่าเหอหลินหลินที่ถูกขังอยู่ในเรือนหลังมาตั้งแต่เล็ก กลับสอนเหอหลินหลินได้ไม่น้อยเลยจริงๆ
เสิ่นหย่าเห็นท่าทีก็ไม่ห้ามให้หลิวรุ่ยฟังมาที่เรือนเหลียนอีแล้ว ไปๆ มาๆ เด็กทั้งสองกลับสนิทกันหลายส่วนจริงๆ
“น้องหลินได้ยินหรือไม่ วันนี้จวนจิ้นอ๋องมีคนมา” หลิวรุ่ยฟังกล่าวอย่างแสร้งทำทีไม่สนใจ
เหอหลินหลินสนใจขึ้นมาดังคาด “ใช่จวนจิ้นอ๋องว่าที่บ้านสามีของญาติผู้พี่สี่หรือไม่ ผู้ใดมา มีเรื่องอะไรหรือ” เสิ่นหย่าสองแม่ลูกคิดเพียงแต่จะอาศัยจวนโหวใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ย่อมไม่เหมือนหลิวรุ่ยฟังที่กระโดดโลดเต้นขึ้นลงเช่นนี้ ดังนั้นข่าวในเรือนเหลียนอีจึงไม่รวดเร็วที่สุด เรื่องที่จวนจิ้นอ๋องส่งคนมาเหอหลินหลินยังคงไม่รู้จริงๆ
หลิวรุ่ยฟังกล่าว “ฟังว่าคนที่มาคือแม่นมประจำกายพระชายาจิ้นอ๋อง มาเชิญญาติผู้พี่สี่ไปสนทนาที่จวนจิ้งอ๋อง” ดวงตาของนางมีความอิจฉาแวบผ่าน นั่นคือจวนจิ้นอ๋อง จวนอ๋องจะต้องทรงอำนาจกว่าจวนโหวใช่หรือไม่ หากตามไปดูสักหน่อยได้ก็คงดียิ่งนัก
“เหตุใดเล่า ญาติผู้พี่สี่ยังไม่แต่งเข้าเรือนเลยมิใช่หรือ เข้าบ้านเช่นนี้จะดีหรือ” อย่างไรเสียความคิดของเหอหลินหลินก็ใสซื่อ บนใบหน้านางมีความกังวลแวบผ่าน
ในใจหลิวรุ่ยฟังร้อนผ่าว ก้มหน้ากัดปลายด้ายบนผ้าเช็ดหน้า “จะเป็นอะไรไป คุณชายใหญ่สวีไม่อยู่มิใช่หรือ ข้าคิดว่าเป็นเพราะคุณชายใหญ่สวีไม่อยู่ พระชายาจิ้นอ๋องจึงให้เกียรติญาติผู้พี่สี่เช่นนี้ พระชายาจิ้นอ๋องดีต่อญาติผู้พี่สี่จริงๆ” ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความอิจฉา
เมื่อเหอหลินหลินได้ฟังก็ดีใจ “นั่นก็เพราะว่าญาติผู้พี่สี่เป็นคนดีอย่างไรเล่า” ในใจนาง ญาติผู้พี่สี่เป็นคนที่นอกจากแม่นางแล้วก็ดีต่อนางที่สุด ทั้งสวยทั้งมีความสามารถ พระชายาจิ้นอ๋องดีต่อนางก็เป็นสิ่งสมควรแล้ว เหอหลินหลินดีใจแทนนางจากใจจริง
โง่นัก ในสายตาของหลิวรุ่ยฟังมีบางอย่างแวบผ่านไปอย่างรวดเร็ว “ฟังว่าจวนจิ้นอ๋องทรงอำนาจอย่างยิ่ง หากได้เห็นกับตาก็คงจะดี น่าเสียดายที่พวกเราไม่ได้โชคดีเหมือนญาติผู้พี่สี่” นางเท้าคาง ทั้งใบหน้าเฝ้าใฝ่ฝัน
เหอหลินหลินกลับไม่ได้รู้สึกสนใจต่อเรื่องนี้ จากมุมมองของนางจวนโหวก็ทรงอำนาจมากแล้ว ต่อให้จวนจิ้นอ๋องจะร่ำรวยทรงอำนาจแล้วอย่างไร มิหนำซ้ำยังเป็นเพียงที่อยู่อาศัย เห็นจนชินแล้วก็เหมือนกันทั้งหมด
การตอบสนองของเหอหลินหลินจากมุมมองของหลิวรุ่ยฟังก็คือคำว่า ‘โง่’ เพียงคำเดียว ไม่มีพัฒนาการเกินไปแล้ว ดวงตานางกะพริบวาบ แสร้งกระแทกแขนเหอหลินหลินอย่างมีเลศนัย “น้องหลิน ไม่ใช่ว่าเจ้ามีความสัมพันธ์อันดีกับญาติผู้พี่สี่หรอกหรือ เจ้าไม่อยากตามญาติผู้พี่สี่ไปเปิดหูเปิดตาที่จวนจิ้นอ๋องหรือ”
เหอหลินหลินปฏิเสธตามจิตใต้สำนึกทันที “ข้าจะไปทำไม คนที่นางเชิญก็ไม่ใช่ข้า อีกทั้งข้ายังเรียนไม่ครบแม้แต่กฎมารยาท ไปแล้วไม่ใช่จะไปทำให้ญาติผู้พี่ขายหน้าหรอกหรือ ข้าไม่ไปหรอก”
หลิวรุ่ยฟังสีหน้าแข็งทื่อ เป็นคนโง่จริงๆ นี่จะให้นางพูดอะไรต่อดี ตอนนี้ เบื้องลึกในใจนางมีความริษยาเปี่ยมล้นหนึ่งกลุ่มพุ่งขึ้นมา มีสิทธิอะไร นางเทียบญาติผู้พี่สี่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ทว่าแม้แต่คนโง่เช่นเหอหลินหลินก็ยังโชคดีกว่านาง อย่างน้อยนางก็เป็นหลานสาวตาแท้ๆ ของนายท่านผู้เฒ่าโหว ภายหลังคู่หมั้นที่ดีก็คงหนีไม้พ้น อีกทั้งยังมีมารดาที่รักนาง แม่นางมีนางเพียงคนเดียว สินเดิมมหาศาลก็ต้องเป็นของนางคนเดียวทั้งหมดมิใช่หรือ ไหนเลยจะเหมือนนาง พ่อไม่รัก แม้แต่แม่แท้ๆ ก็ยังใส่ใจน้องชายที่สำคัญยิ่งกว่านาง
ต่อมาหลิวรุ่ยฟังก็ใจลอยเล็กน้อย นางไม่พูด เหอหลินหลินก็ก้มหน้าตั้งใจปักกระเป๋าเงินใบเล็ก ญาติผู้พี่สี่ช่วยพวกนางแม่ลูกเยอะเพียงนี้ นางไม่มีสิ่งอื่นที่จะตอบแทนได้ ทำได้เพียงเย็บปักสิ่งของเล็กน้อยเพื่อแสดงความจริงใจ ตั้งแต่เล็กแม่ก็สอนนางว่า ‘เป็นคนต้องรู้จักตอบแทนคุณ’
เมื่อหลิวรุ่ยฟังไป เหอหลินหลินก็เก็บ**บเข็มด้ายไปยังห้องของแม่นาง “ท่านแม่ ข้าไม่ชอบญาติผู้พี่รุ่ยฟัง”
เสิ่นหย่าเห็นท่าทางไม่มีความสุขของลูกสาว ก็กล่าวอย่างอ่อนโยน “เป็นอะไรไปเล่า ทะเลาะกันหรือ ใช่เจ้าขี้งอนหรือไม่”
เหอหลินหลินเขยิบเข้าไปนั่งใกล้แม่นาง “เปล่าเจ้าค่ะ ก็ญาติผู้พี่รุ่ยฟังน่ะสิ นางเอาแต่พูดว่าญาติผู้พี่สี่โชคดีต่างๆ นานา แล้วยังยุงยงให้ลูกตามญาติผู้พี่สี่ไปจวนจิ้นอ๋อง นาง นางเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร” เหอหลินหลินเบ้ปาก ท่าทางน้อยใจอย่างถึงที่สุด
นางเพียงแค่ไร้เดียงสา ไม่ได้โง่จริงๆ เจตนาในคำพูดนอกคำพูดของญาติผู้พี่หลิวรุ่ยฟังนางจะฟังไม่ออกได้อย่างไร เดิมนางคิดว่าทุกวันที่ญาติผู้พี่รุ่ยฟังมาหานางก็เพราะว่าชอบนาง ไม่นึกว่าเพียงแค่คิดว่านางโง่ต้องการใช้ประโยชน์จากนางก็เท่านั้น นี่ทำให้จิตใจเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเหอหลินหลินเสียใจยิ่งนัก
ในดวงตาเสิ่นหย่ามีความเข้าใจแวบผ่าน นางลูบศีรษะของลูกสาว กล่าวชี้แนะจากใจจริง “หลินเอ๋อร์ เรื่องมากมายบางเรื่องก่อนหน้านี้แม่ก็ไม่เคยสอนเจ้า จึงเลี้ยงให้เจ้ามีนิสัยที่ไร้เดียงสาเช่นนี้ แม่หวังเสมอว่าเจ้าจะมีชีวิตที่เรียบง่ายมีความสุข ตอนนี้พวกเรากลับมาเมืองหลวงแล้ว แม่ก็เสียใจเล็กน้อย นิสัยที่ไร้เดียงสาของเจ้านี้เดินออกไปข้างนอกจะไม่ถูกคนหลอกแย่หรือ นี่เป็นความผิดของแม่เอง แม่ควรจะสอนเจ้าให้มากกว่านี้”
แม้นางจะมีชีวิตที่ยากลำบาก แต่กลับพยายามคิดจะค้ำฟ้าที่สะอาดฟากหนึ่งให้ลูกสาว ไม่อยากให้มลทินเรือนหลังกับอุบายที่โสมมแปดเปื้อนจิตใจที่ดีงามของลูกสาว
“ท่านแม่” น้ำเสียงที่สำนึกผิดของมารดาทำให้เหอหลินหลินรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ขยับตัวเงยหน้ามองแม่นางอย่างอดไม่ได้
เสิ่นหย่ายิ้มอย่างปลอบประโลมให้ลูกสาว ตบแขนของนางแล้วกล่าว “แต่ว่าตอนนี้พวกเรากลับเมืองหลวงแล้ว เรื่องจำนวนมากเจ้าเองก็ควรจะเรียนรู้ได้แล้ว ไม่ต้องรีบร้อน แม่จะค่อยๆ สอนเจ้า”
หยุดครู่หนึ่งนางจึงกล่าวต่อ “เจ้าสามารถสังเกตเห็นแผนการของฟังเอ๋อร์ได้ อีกทั้งยังนิ่งเฉย แม่ดีใจยิ่งนัก หลินเอ๋อร์เจ้าต้องจำไว้ แม่เป็นสตรีที่หย่ากลับมา ตาเจ้าเป็นห่วงความผูกพันในสายโลหิตจึงให้พวกเราอาศัยอยู่ในจวนโหว แต่พวกเราก็ต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัว ไม่อาจสร้างปัญหาให้ในจวนได้ ไม่ว่าใครจะพูดอะไรกับเจ้า เจ้าก็ต้องคิดในสมองหลายๆ รอบ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับญาติผู้พี่สี่ของเจ้า ญาติผู้พี่สี่ของเจ้ามีบุญคุณใหญ่หลวงกับพวกเรา พวกเราไม่อาจถูกคนใช้ประโยชน์เพื่อทำร้ายจิตใจญาติผู้พี่สี่ของเจ้าได้” สีหน้าบนใบหน้าเสิ่นหย่าจริงจังขึ้นมา
เหอหลินหลินรีบพยักหน้า “ท่านแม่ ลูกทราบแล้ว วันนี้ตลอดเวลาที่ญาติผู้พี่รุ่ยฟังพูด ข้าไม่ได้พูดอะไรเลย” ญาติผู้พี่สี่ดีที่สุด นางไม่มีทางช่วยคนนอกวางแผนให้ร้ายญาติผู้พี่สี่หรอก
สีหน้าท่าทางของเสิ่นเวยจึงอ่อนโยนลงเล็กน้อย พูดต่อ “สำหรับฟังเอ๋อร์ ในใจเจ้ารู้ว่านางเป็นคนเช่นไรก็พอแล้ว ไม่ต้องถอยห่างจากนางฉับพลัน ก่อนหน้านี้เป็นเช่นไร หลังจากนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น เจ้าต้องรู้ไว้ว่า ข้าวสวยเหมือนกันยังเลี้ยงคนให้มีนิสัยร้อยแปดพันเก้า เจ้าไม่อาจขอให้คนอื่นเป็นเหมือนเจ้าได้ทั้งหมด ฟังว่าฟังเอ๋อร์อยู่ในจวนหลิวไม่ค่อยน่าพอใจนัก พ่อนางรักอี๋เหนียงและบุตรสาวอนุภรรยา น้องชายแม่เดียวกันของนางก็มีสุขภาพไม่ค่อยดีตั้งแต่เล็ก แม่นางก็ไม่ใส่ใจนาง นางถือโอกาสหาช่องทางคิดเพื่อตัวเองเช่นนี้ก็ไม่อาจตำหนิมากได้ ต่อจากนี้นางมาหาเจ้า เจ้าก็ปฏิบัติต่อนางเหมือนเดิม อย่าได้เผยพิรุธเชียว”
แม้เสิ่นหย่าจะมีนิสัยอ่อนแอ อย่างไรเสียก็ใช้ชีวิตมามากกว่าลูกสาวหลายปีเพียงนั้น สายตาที่มองคนและประสบการณ์ชีวิตยังนับได้ว่ามี แวบแรกที่เห็นฟังเอ๋อร์ก็รู้แล้วว่านี่คือคนที่มีแผนการเต็มสมอง นางเองก็เคยลังเลว่าควรจะให้ลูกสาวเล่นกับนางหรือไม่ แต่แม่นมโน้มน้าวนาง แม่นมพูดมาหนึ่งประโยค ‘คุณหนูท่านไม่อาจติดตามคุณหนูน้อยไปได้ตลอดชีวิตนะเจ้าคะ’
ถูกต้อง ลูกสาวต้องเติบโต ต้องแต่งงาน นางไม่อาจอยู่กับลูกสาวไปตลอดชีวิตได้ แทนที่จะปกป้องนางเป็นอย่างดี ไม่สู้ให้นางออกไปเรียนรู้ด้วยตัวเอง แม้ว่าจะเสียเปรียบถูกทำร้าย นั่นก็ถือเป็นประสบการณ์
ดูสิ ตอนนี้ลูกสาวแสดงออกมาได้ดีอย่างยิ่งมิใช่หรือ ดวงตาของเสิ่นหย่ามีความภูมิใจปรากฎขึ้นมา
“ญาติผู้พี่รุ่ยฟังน่าสงสารจริงๆ” เหอหลินหลินได้ยินว่าพ่อของญาติผู้พี่รุ่ยฟังโปรดปรานอี๋เหนียงและบุตรสาวอนุภรรยา ก็นึกถึงตัวเองทันที บนใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสารและเห็นใจ
เสิ่นหย่าเห็นสีหน้าท่าทางของลูกสาวก็ยิ่งเอ็นดู ลูกสาวของนางดีเพียงใด น่าสงสาร คนที่น่าสงสารบนโลกนี้มีมากแล้ว หลินเอ่อร์ของนางไม่น่าสงสารหรือ แต่น่าสงสารก็ไม่ใช่ข้ออ้าง นางไม่มีวันปล่อยให้ลูกสาวใช้ข้ออ้างว่าน่าสงสารไปทำเรื่องวางแผนให้ร้ายผู้อื่น
“ดังนั้นหลังจากนี้หลินเอ๋อร์จึงต้องปฏิบัติต่อฟังเอ๋อร์ให้เหมือนปกติ สิ่งที่นางพูดหรือทำเจ้าคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่ดีก็ไม่ต้องไปสนใจ กลับมาเล่าให้แม่ฟัง ให้แม่สอนเจ้า” เสิ่นหย่าฉวยโอกาสชี้แนะลูกสาว อย่างไรเสียก็อดใจทำลายความดีงามในจิตใจลูกสาวไม่ได้ ช่างเถอะ เพียงแค่ให้หลินเอ๋อร์รู้สึกว่าฟังเอ๋อร์เป็นคนที่ให้อภัยได้ก็พอ ชีวิตยังอีกยาวไกล นางจะต้องเห็นกับตาตัวเองสักวัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น