อัจฉริยะสมองเพชร 2068-2077

 ตอนที่ 2068 ควรเริ่มเสียที

ในเมื่อชายหนุ่มได้สิ่งที่เขาต้องการแล้ว อยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่น่ามีประโยชน์ หลังจากเรื่องน่าตกตะลึงทั้งหลายแหล่ที่พวกเขาได้เจอ ดวงอาทิตย์ก็โผล่พ้นขอบฟ้า


จางเซวียนพยักหน้ารับอย่างเงียบๆ


อสูรอมตะบินได้ 8 ตัวถูกจัดเตรียมไว้เพื่อการเดินทางครั้งนี้ ทุกตัวแบกสัมภาระหนักอึ้ง แต่ก็ยังมีที่ว่างเหลือเฟือแม้ทั้งกลุ่มจะขึ้นขี่หลังมันแล้ว


จางเซวียนมองออกไปนอกหน้าต่าง รู้สึกได้ว่าความเร็วของการเดินทางครั้งนี้เร็วกว่าความเร็วของมังกรอสรพิษมาก


หลังจากแน่ใจแล้วว่ากำลังมุ่งหน้าไปยังทะเลพลัดดาว เขาก็ละความสนใจจากสิ่งรอบข้างและตั้งต้นฝึกฝนวรยุทธต่อไป ผ่านไป 2 วัน จางเซวียนก็ขัดเกลาวรยุทธของจิตวิญญาณได้สำเร็จ


ถึงเวลาที่เราจะพยายามฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูงแล้ว จางเซวียนคิดขณะนำยาเม็ดสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธที่ได้จากเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวออกมา


ตอนนี้ทั้งพลังปราณ กายเนื้อ และวรยุทธของจิตวิญญาณของเขาอยู่ในขั้นอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์แล้ว ขอแค่เขาสำเร็จวรยุทธระดับอมตะขั้นสูง ก็จะมีพละกำลังและอำนาจเพียงพอที่จะปกป้องตัวเองได้เมื่ออยู่ในมิติเบื้องบน ต่อให้เขาต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของนักรบขั้นสูงสรวงสวรรค์จากหอเทพเจ้าอีก ก็จะไม่จนปัญญาเหมือนเดิมอีกแล้ว


ความขัดข้องข้อเดียวของแผนการนี้ก็คือจางเซวียนยังไม่ได้ประมวลเคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับสมบูรณ์ของวรยุทธระดับอมตะขั้นสูง ซึ่งก็ไม่แน่ใจด้วยว่าในอนาคตอันใกล้นี้จะทำสำเร็จหรือไม่


แต่เรารอนานขนาดนั้นไม่ได้…


เมื่อวรยุทธของเขาเพิ่มสูงขึ้น ก็เป็นธรรมดาที่หนังสือเทคนิควรยุทธที่มีจะมีจำนวนลดลง เขาคงไม่อาจหยุดการฝึกฝนวรยุทธเพียงเพราะไม่สามารถประมวลเคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับสมบูรณ์ได้ จริงไหม?


ถึงเวลาก้าวข้ามความกลัวแล้ว!


อีกอย่าง เมื่อครั้งอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ จางเซวียนก็สำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณได้โดยไม่ได้ประมวลเคล็ดวิชาเทียบฟ้า


ความสมบูรณ์แบบหรือความปลอดภัย นี่คือสิ่งที่เขาต้องเลือกในเวลานี้ ตอนนี้เขาให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมากกว่า


ถ้าเขาไม่รีบยกระดับวรยุทธ หายนะครั้งใหญ่จะต้องมาเยือนแน่ เขาไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถหลบเลี่ยงหอเทพเจ้าได้นานนัก


“ควรเริ่มเสียที”


จางเซวียนตัดสินใจ เขาเปิดจุกขวดหยกและกลืนยาเม็ดสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธที่อยู่ในนั้นลงไป


ฟิ้ววววว!


พลังงานเข้มข้นภายในเม็ดยาพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่างของเขา ทำให้รู้สึกเหมือนมีเปลวเพลิงแผดเผาอยู่ในร่างกาย


จางเซวียนเพ่งสมาธิกับการรวบรวมพลังปราณทั้งหมดให้ฝ่าด่านคอขวดที่ขวางทางของเขา เพื่อก้าวไปสู่การเป็นนักรบระดับอมตะขั้นสูงให้ได้


เคล็ดวิชาเทียบฟ้าเปรียบเสมือนกุญแจที่ใช้เปิดประตูระหว่างวรยุทธแต่ละขั้น ขอแค่เขาได้กุญแจนี้มา ไม่ว่าประตูจะหนักอึ้งสักแค่ไหน ก็จะเปิดมันได้อย่างง่ายดาย แต่ในเมื่อตอนนี้เขาไม่มีกุญแจนั้นอยู่กับตัว ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำลายประตูให้ได้โดยใช้พละกำลัง!


ขอแค่เขารวบรวมพลังงานได้มากพอที่จะสร้างพละกำลังนั้นได้ ก็จะสำเร็จวรยุทธระดับอมตะขั้นสูง


บึ้มมมม!


เกิดเสียงดังกึกก้องขณะที่พลังปราณพุ่งออกไปทำลายกำแพง เลือดทะลักออกจากปากของจางเซวียนทันที


มันยากกว่าที่เราคิดไว้มาก…


จางเซวียนเคยคิดว่าด้วยระดับวรยุทธที่มี การจะสำเร็จวรยุทธเป็นนักรบอมตะขั้นสูงคงไม่ยากเกินไป แต่ด่านคอขวดนี้แข็งแกร่งราวกับโลหะนิรภัย ไม่ว่าเขาจะพุ่งเข้าใส่อย่างรุนแรงแค่ไหน มันก็ไม่สะทกสะท้าน


“คุณกำลังพยายามฝ่าด่านวรยุทธด้วยการใช้พละกำลังหรือ?”


เมื่อรู้ว่าจางเซวียนกำลังพยายามทำอะไร เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวกับคนอื่นๆถึงกับขนลุกขนชัน


วรยุทธระดับอมตะขั้นสูงคือหนึ่งในอุปสรรคที่ยากเย็นที่สุดที่นักรบผู้หนึ่งในทวีปที่ถูกลืมจะก้าวข้ามได้ มีผู้เชี่ยวชาญมากมายที่อุทิศชีวิตให้กับการค้นหากรรมวิธีฝ่าด่านคอขวดนี้ แต่หมอนี่กลับคิดจะฝ่ามันไปให้ได้โดยใช้เพียงพละกำลัง!


ไม่ต่างอะไรกับการโถมตัวเข้าใส่กำแพงที่หนาร้อยเมตร!


มันจะเป็นไปได้อย่างไร?


ถ้าเพียงแค่ใช้พละกำลังก็ฝ่าด่านวรยุทธได้ บรรดานักรบที่ติดแหงกอยู่กับวรยุทธขั้นอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์คงไม่เดือดร้อนอย่างที่เป็นอยู่


ในเวลาเดียวกัน จางเซวียนก็รู้ตัวว่าความพยายามของเขาไม่ได้ผล จึงหันไปถามคนอื่นๆ “พวกคุณมียาเม็ดอมตะมหัศจรรย์บ้างไหม?”


ยาเม็ดอมตะขั้นสุดยอดมีอานุภาพไม่เพียงพอต่อการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูง ถ้าเขาอยากทำให้สำเร็จ ก็ต้องใช้สิ่งที่มีอานุภาพมากกว่านั้น


“ผมมี 2 เม็ด” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวต่อพร้อมกับนำขวดหยกใบหนึ่งออกมา


ในทวีปที่ถูกลืมมียาเม็ดอมตะมหัศจรรย์อยู่ไม่มากนัก แม้แต่หัวหน้าองค์กรที่ร่ำรวยที่สุดในโลกใบนี้ก็มีมันอยู่เพียงเล็กน้อย


“ผมจะตอบแทนคุณทันทีที่เราไปถึงทะเลพลัดดาวแล้ว” จางเซวียนพูดขณะรับขวดหยกมาโดยไม่มีพิธีรีตองใดๆ


เขารู้ดีว่ายาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ทั้ง 2 เม็ดนี้จะมีบทบาทสำคัญในการช่วยเขาให้ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ จางเซวียนหยิบยาทั้ง 2 เม็ดใส่ปากโดยไม่ลังเล


“….” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวตาค้างด้วยความตกใจ


แม้แต่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อย่างเขาก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 วันในการซึมซับพลังงานที่อยู่ในยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเป็นแค่นักรบอมตะตัวจริงเท่านั้น แต่กลับกลืนมันลงไปทีเดียว 2 เม็ด


ไม่กลัวว่าตัวจะระเบิดตายหรือ?


เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวเดินไปหาจางเซวียนและสั่งการคนอื่นๆที่เหลือ “ทุกคนจับตาดูไว้ให้ดี!”


การใช้กำลังฝ่าด่านวรยุทธมาพร้อมกับความเสี่ยงใหญ่หลวง พวกเขาจะต้องจับตาดูให้ดีเพื่อจะได้เข้าช่วยได้ทันเวลาหากวรยุทธของชายหนุ่มถูกธาตุไฟเข้าแทรก


ผู้อาวุโสที่ 1, ผู้อาวุโสหงอู่และคนอื่นๆรีบตีวงล้อมจางเซวียน


ชายหนุ่มคนนี้เป็นความหวังของสำนักดาวเจ็ดดวง ต่อให้เจ้าสำนักจางเซวียนหรือหัวหน้าเจิ้งหยางก็ไม่น่าจะสู้กับปีศาจอัจฉริยะตนนี้ได้ พวกเขาจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อปกป้องอีกฝ่าย


ฟิ้ววววว!


เมื่อยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ทั้ง 2 เม็ดหลอมละลาย จางเซวียนรู้สึกได้ว่ามีพลังงานมหาศาลไหลเข้าสู่ทางเดินพลังปราณของเขา


ถ้ายาเม็ดเพื่อการฝ่าด่านวรยุทธได้สร้างแม่น้ำสายหนึ่งขึ้นในร่างกายของเขา หลังจากกินยา 2 เม็ดนี้เข้าไป แม่น้ำนั้นก็ได้แปรสภาพกลายเป็นสึนามิขนาดมหึมาที่พุ่งเข้าใส่ประตูของวรยุทธอมตะขั้นสูงอันแสนจะแข็งแกร่ง


ตึ้งงงงง! ตึ้งงงงง!


ความพยายามทำลายประตูในแต่ละครั้งทำให้จางเซวียนได้รับความบอบช้ำใหญ่หลวงจากแรงปะทะ เลือดทะลักออกจากจมูก ปาก และหูทั้งสองข้างของเขา แต่แม้จะพยายามแล้วหลายครั้ง ประตูก็ยังไม่ยอมเปิด เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่างกายใกล้จะต้านทานไม่ไหว


จางเซวียนรีบนำขวดหยกที่บรรจุน้ำจากการต้มน้ำเต้าตงฉู่ออกมา เมื่อดื่มเข้าไปแล้วจึงรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย เขากัดฟันกรอดขณะมองไปข้างหน้าด้วยนัยน์ตาเด็ดเดี่ยวเป็นประกาย


ฟึ่บ!


ด้วยการโบกมือ จางเซวียนนำขวดหยกออกมาอีกหลายใบ พลังงานมหาศาลแผ่ออกจากขวดหยกเหล่านั้น


มันคือขวดที่บรรจุหยดเลือดของนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์แห่งหอเทพเจ้า!


ก่อนจะหลอมศพของเหล่านักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์จากหอเทพเจ้าให้เป็นหุ่นโลหะไร้วิญญาณ จางเซวียนได้รวบรวมเลือดของพวกเขาและเก็บไว้อย่างปลอดภัยในขวดหยก เลือดเหล่านี้มีพละกำลังมหาศาลตามแบบของนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ จึงมีพลังงานอยู่เต็มเปี่ยม


ป๊อก!


เขาเปิดจุกขวดหยก หยดเลือดพุ่งขึ้นสู่กลางอากาศก่อนจะซึมซาบเข้าร่างของเขาผ่านทางจุดชีพจร


ผิวหนังของจางเซวียนเปล่งประกายเจิดจ้าสีแดงก่ำ ร่างของเขาเริ่มส่ออาการว่าจะหมดสภาพ ดูเหมือนเขารวบรวมพลังงานปริมาณมหาศาลไว้ภายในจนดูคล้ายพลังงานนั้นกำลังจะกลืนกินเขา


“ฮึ่มมม!”


จางเซวียนคำราม พยายามอดทนกับความเจ็บปวดแสนสาหัสและขับเคลื่อนเคล็ดวิชาเทียบฟ้าของวรยุทธระดับอมตะตัวจริงจนเต็มพิกัด เขาควบคุมกระแสพลังงานที่พลุ่งพล่านอยู่ภายในร่างกายและส่งมันเข้าปะทะประตูอีกครั้ง


ครืนนนนน!


ด้วยการรวมตัวกันของพลังงานปริมาณมหาศาล ประตูเริ่มสั่นคลอน


“ได้ผล!” จางเซวียนตาโต


เขารีบรวบรวมพลังงานอีกครั้งเพื่อพยายามทำซ้ำ


แต่ก็ต้องยอมรับว่าด่านคอขวดของวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงน่าสะพรึงกว่าที่เขาคิดไว้มาก


จางเซวียนรวบรวมพลังงานไว้กับตัวในปริมาณมากจนเกือบจะสูญเสียการควบคุมแม้จะใช้เคล็ดวิชาเทียบฟ้า เขาเคยคิดว่าลงทุนทำขนาดนี้แล้ว คงฝ่าด่านวรยุทธได้ไม่ยาก แต่แม้จะพยายามแล้วหลายครั้ง ประตูนั้นก็ยังไม่พังทลาย


นี่เป็นอุปสรรคครั้งใหญ่ที่สุดที่เขาเคยเผชิญนับตั้งแต่เริ่มฝึกฝนวรยุทธ


“ต่อไปเขาจะฝ่าด่านวรยุทธได้ยากหากคราวนี้ทำไม่สำเร็จ พวกเราต้องช่วยเขา” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวสั่งการ


เขาทาบฝ่ามือลงบนแผ่นหลังของจางเซวียนแล้วถ่ายทอดพลังงานบริสุทธิ์เข้าสู่ร่างของอีกฝ่าย


เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวเคยเห็นอัจฉริยะมากมายที่เพียรพยายามจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูงให้ได้ แต่ก็ต้องล้มเหลว อัจฉริยะเหล่านั้นมักพยายามซ้ำแล้วซ้ำอีกตลอดชั่วชีวิตของพวกเขา แต่ความยากก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนถึงขั้นที่มักลงเอยด้วยการที่พวกเขาไม่อาจฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จอีกเลยจนชั่วชีวิต


ทันทีที่พลังงานภายในร่างของชายหนุ่มเริ่มสงบลง ต่อไปเขาก็จะฝ่าด่านวรยุทธได้ยาก ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ความหวังของพวกเขาที่มีต่อสะพานเบื้องบนก็ย่อมล่มสลาย


ดังนั้น ต่อให้ต้องรวบรวมพละกำลังของทุกคน พวกเขาก็จะต้องทำให้ได้เพื่อให้มั่นใจว่าชายหนุ่มจะฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ!


ได้ยินคำนั้น ผู้อาวุโสที่ 1 กับคนอื่นๆรีบรวมตัวกัน


ทุกคนถ่ายทอดกระแสพลังปราณเข้าสู่ร่างของจางเซวียน พลังปราณของพวกเขาหลอมรวมเข้ากับกระแสสึนามิเชี่ยวกรากในร่างของอีกฝ่าย ทำให้มีทั้งพละกำลังและแรงโน้มถ่วงสูง


“พวกคุณได้รับความสำนึกในบุญคุณจากผม”


จางเซวียนไม่คิดว่าคนเหล่านี้จะยอมทำถึงขนาดช่วยเขาให้ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูงได้สำเร็จ เขาอดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่นด้วยความตื่นเต้น จากนั้น ก็ควบคุมกระแสสึนามิของพลังงานไว้และปล่อยมันเข้าใส่ประตูอีกครั้ง


ครืนนนนน!


ประตูสั่นสะท้านอีกรอบ ด้วยความช่วยเหลือของผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้น จางเซวียนรู้สึกได้ว่าด่านคอขวดของเขาอ่อนแรงลงมาก


แต่ผลจากการมีพลังงานที่แตกต่างกันหลากหลายชนิดอยู่ในร่างกายก็เริ่มแสดงออกมา เกิดรอยแตกบนร่างของจางเซวียน บ่งบอกชัดว่าร่างกายของเขาใกล้พังเต็มที


จางเซวียนดื่มน้ำที่ได้จากการอาบน้ำเต้าตงฉู่ลงไปอีกหลายขวดก่อนจะหันกลับมาเพ่งสมาธิกับการฝ่าด่านวรยุทธของเขา


บึ้มมมม!


ตอนที่ 2069 ไปเป็นเทพเจ้าตัวจริง?

หลังจากพยายามอีกนับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดประตูก็ถูกเปิดออก ปล่อยให้กระแสพลังงานไหลผ่านเข้าไปได้ ทันทีที่พลังงานเหล่านั้นไหลเวียนไปรอบร่างของเขา รังสีของจางเซวียนก็พุ่งออกมา


วรยุทธระดับอมตะขั้นสูง สำเร็จแล้ว!


ด้วยความช่วยเหลือของยาเม็ดสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธ หยดเลือดของนักรบอมตะขั้นสูง ยาเม็ดอมตะมหัศจรรย์ และพลังปราณของนักของเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวกับคนอื่นๆ ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ!


พลังปราณในร่างของจางเซวียนเข้มข้นขึ้นอย่างรวดเร็วและมีพลังมากขึ้น ขณะที่พลังปราณเข้มข้นไหลเวียนไปทั่ว อาการบาดเจ็บสาหัสที่จางเซวียนได้รับในระหว่างการฝ่าด่านวรยุทธก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว


ในเวลาเดียวกัน จิตวิญญาณและกายเนื้อของเขาก็ได้รับการบ่มเพาะด้วย


“เป็นพลังปราณที่บริสุทธิ์อะไรอย่างนี้…”


ขณะที่พลังงานไหลเวียนทั่วร่าง จางเซวียนรู้สึกได้ถึงพลังชีวิตที่เขาไม่เคยได้รับมาก่อน


ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมนักรบอมตะขั้นสูงถึงได้รับการเคารพยกย่องกว่านักรบอมตะตัวจริงมาก ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมอย่างน้อยหลายเท่า


เพราะเขาไม่มียาเม็ดอมตะมหัศจรรย์เหลือแล้ว จึงได้แต่ดื่มเลือดของนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์เพื่อดำเนินการฝ่าด่านวรยุทธต่อไป ต้องใช้เลือดราว 12 ขวดกว่าที่พลังปราณของเขาจะสงบลง


ถึงจางเซวียนจะได้เป็นนักรบอมตะขั้นสูงแล้ว แต่เพราะไม่มีเคล็ดวิชาเทียบฟ้า จึงไม่อาจก้าวไปได้ไกลกว่านั้น


แต่ก็นั่นแหละ แม้เขาจะเป็นแค่นักรบอมตะขั้นสูงระดับล่าง แต่พละกำลังที่เขามีก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสบประมาทได้


ถ้าเขาเผชิญหน้ากับนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ 3 คนนั้นที่เคยพยายามคร่าชีวิตเขา ต่อให้ไม่ต้องใช้ความช่วยเหลือจากภายนอกหรือยุทธวิธีใดๆ ก็สามารถเล่นงานพวกนั้นให้ถึงตายได้ไม่ยาก


ทันทีที่วรยุทธของจางเซวียนเริ่มมั่นคง เสียงของเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวก็ดังขึ้น “โล่งอกไปทีที่ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี…”


จางเซวียนเงยหน้า เห็นเหล่าผู้อาวุโสที่ให้ความช่วยเหลือเขาก่อนหน้านี้กำลังมองมาด้วยใบหน้าซีดเผือด พลังปราณในร่างกายของคนเหล่านั้นเหือดแห้งไปเกือบหมด


“ผมซาบซึ้งใจมากกับความช่วยเหลือของพวกคุณ” จางเซวียนโค้งคำนับอย่างงาม


ถ้าไม่ใช่เพราะการทุ่มเทความช่วยเหลือของคนเหล่านี้ เขาคงไม่มีทางฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ได้สำเร็จ


จางเซวียนรีบยื่นขวดน้ำที่บรรจุน้ำจากการอาบน้ำเต้าให้แต่ละคนและพูดว่า “ดื่มเสีย มันจะช่วยเยียวยาความบอบช้ำของพวกคุณได้”


ทุกคนรับขวดไปและรีบดื่มน้ำ เลือดฝาดกลับคืนสู่ใบหน้าซีดเผือดของพวกเขาอย่างรวดเร็ว


พลังงานที่เหือดแห้งไปเมื่อครู่นี้ส่งผลให้เกิดความบอบช้ำบางอย่างในร่างกายของพวกเขา เป็นอาการบาดเจ็บที่โดยปกติแล้วรักษาให้หายได้ยาก แต่น้ำที่ได้จากการอาบน้ำเต้าช่วยให้พวกเขาฟื้นตัวได้ในชั่วพริบตา


ทุกคนยังคงอ่อนแรงอยู่จากการขาดแคลนพลังงาน แต่ก็ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว


“ยานี้…”


เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวกับคนอื่นๆงุนงง น้ำที่พวกเขาเพิ่งดื่มไปมีอานุภาพสูงส่งกว่ายาฟื้นฟูร่างกายชนิดไหนๆที่เคยกินมา


“มันคือยาฟื้นฟูสภาพร่างกายที่ผมผสมขึ้นเป็นพิเศษ ดื่มมันเสียถ้าคุณยังรู้สึกว่ามีอาการบาดเจ็บอยู่” จางเซวียนพูดขณะนำน้ำจากการอาบน้ำเต้าออกมาอีกหลายขวดและแจกจ่ายให้ฝูงชน


ทุกคนช่วยเหลือเขาไว้มาก เขาจึงไม่ควรขี้เหนียว


เมื่อเหล่าสมาชิกของสำนักดาวเจ็ดดวงได้ยาฟื้นฟูสภาพร่างกายแล้ว จางเซวียนก็ทรุดตัวลงนั่งเพื่อขัดเกลาวรยุทธของเขา


ใช้เวลา 3 วันเต็มกว่าทุกคนจะหายเป็นปลิดทิ้งจากอาการบอบช้ำที่ได้รับ ในเวลาเดียวกัน จางเซวียนก็ขัดเกลาวรยุทธอมตะขั้นสูงระดับล่างของเขาได้สำเร็จ


“มีการทดสอบวรยุทธของผู้ที่ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูงได้สำเร็จหรือเปล่า?” จางเซวียนถามด้วยความสงสัย


ในทวีปแห่งปรมาจารย์ ผู้ที่สำเร็จวรยุทธระดับเซียนขั้น 5 จะต้องเจอกับการทดสอบวรยุทธ ยากที่จะคาดหวังว่าจะไม่มีการทดสอบวรยุทธใดๆเมื่อสำเร็จวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงแล้ว


“ทวีปที่ถูกลืมคือดินแดนที่เหล่าเทพเจ้าละเลย แม้ทุกวันนี้จะไม่มีเทพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว แต่ก็ยังเป็นมิติที่ทรงพลังมาก นักรบระดับอมตะขั้นสูงยังมีพละกำลังไม่มากพอที่จะสั่นคลอนกฎเกณฑ์ของโลก สวรรค์จึงยังไม่ส่งการลงทัณฑ์ที่รุนแรงมาทดสอบพวกเขา” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวพูด “กรณีเดียวที่นักรบจะต้องเผชิญหน้ากับการทดสอบวรยุทธก็คือเมื่อเขาพยายามฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นเทพเจ้าตัวจริง”


“ไปเป็นเทพเจ้าตัวจริง?”


“ในฐานะผู้ที่ถูกละเลย พวกเรามีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะได้เป็นเทพเจ้าตัวจริงหรอก ถ้าเราพยายามฝ่าด่านวรยุทธ ก็จะต้องเผชิญกับแรงตีกลับจากหอเทพเจ้าทันที สวรรค์จะรู้สึกว่าพวกเราข่มขู่คุกคามและส่งการลงทัณฑ์จากสวรรค์ลงมา อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นการทดสอบสายฟ้า และยังมีเปลวเพลิงสวรรค์กับการทำลายล้างจากสวรรค์ด้วย มีนักรบผู้ปราดเปรื่องมากมายในทวีปที่ถูกลืมที่พยายามฝ่าด่านวรยุทธ แต่แล้วก็ต้องจบชีวิตอย่างน่าอนาถ” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวพูดพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ


“ด้วยเหตุนี้ นักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปที่ถูกลืมจึงเป็นแค่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์นั้นคือผู้ที่เป็นเพียงเสมือนเทพเจ้า ไม่มีอะไรที่สามารถเทียบชั้นกับเทพเจ้าตัวจริง แต่นักรบผู้หนึ่งก็จะต้องเผชิญหน้ากับอำนาจของหอเทพเจ้าถึงจะสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้ มันไม่ใช่สิ่งที่จะสำเร็จลุล่วงด้วยความปราดเปรื่องเพียงอย่างเดียว!”


“เผชิญหน้ากับอำนาจของหอเทพเจ้า?” จางเซวียนทวนคำ


“ในการจะได้เป็นเทพเจ้า ผู้นั้นจะต้องได้การยอมรับจากเหล่าเทพเจ้าทั้งปวง” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวอธิบาย “นี่คือเหตุผลที่ทำให้ 6 สำนักใหญ่ทุ่มเทสุดกำลังที่จะเข้าสู่หอเทพเจ้าเพื่อฉกฉวยตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ มาให้ได้ เพียงแค่ครึ่งหนึ่งของตัวอักษรคำว่าเทพเจ้าก็บ่งบอกถึงคุณสมบัติและความเป็นไปได้ที่จะได้สำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์แล้ว”


จางเซวียนพยักหน้า


ไม่น่าแปลกใจแล้วที่ทั้ง 6 สํานักใหญ่ใจจดจ่อกับการฉกฉวยตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ เขาเคยคิดว่าเป็นเพราะคนเหล่านั้นกระหายอยากใช้ชื่อเทพเจ้าเป็นส่วนหนึ่งในชื่อสำนัก ใครจะไปคิดว่าแท้ที่จริงแล้วมันคือรากฐานของการนำไปสู่ความรุ่งโรจน์กว่าเดิม


ในเวลาเดียวกัน จางเซวียนก็ถึงบางอ้อว่าเหตุใดเขาจึงได้รับตำแหน่งหัวหน้าและผู้อาวุโสของหอนานาอสูรกับสำนักดาบเมฆเหินอย่างง่ายดาย


เป็นไปได้ว่าคนเหล่านั้นฝากความหวังไว้ที่เขา ถ้าเขาสามารถฉกฉวยตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ จากหอเทพเจ้าได้สำเร็จ ผู้ที่ติดแหงกอยู่กับวรยุทธอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ก็จะสามารถฝ่าด่านวรยุทธ ไปสู่ระดับขั้นที่สูงขึ้นได้ ทั้งอายุขัยและประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกเขาจะเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก


“ผมได้ยินว่าสำนักดาบเมฆเหินได้ตัวอักษรนั้นมาเพียงครึ่งเดียว ทำให้พวกเขาใช้คำว่าเทพเจ้าได้เฉพาะกับหอเทพดาบ แทนที่จะใช้ในชื่อสำนักของพวกเขา” จางเซวียนพูดขณะครุ่นคิด “นี่หมายความว่าสำนักดาบเมฆเหินมีวิถีทางของการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่วรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เหมือนกันใช่ไหม?”


“พวกเขามี แต่ความลำบากยากเย็นก็มีไม่น้อย ทั่วทั้งทวีปที่ถูกลืม กลุ่มอำนาจเดียวที่ได้ตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ มาทั้งหมดก็คือหอนิรันดร์ พูดอีกอย่างก็คือมีความเป็นไปได้สูงที่พวกหอนิรันดร์จะมีนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อยู่มากที่สุด และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไม 6 สำนักใหญ่ถึงไม่กล้ามีเรื่อง กับพวกเขา” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวอธิบาย


จางเซวียนพยักหน้าอีกรอบ


6 สำนักใหญ่มีอาณาบริเวณและขอบเขตอำนาจของตัวเอง แต่ละสำนักจะไม่เข้าไปก้าวก่ายกิจธุระของกันและกัน แต่หอนิรันดร์คือกลุ่มอำนาจที่แผ่อิทธิพลทั่วทั้งมิติเบื้องบน


สุดท้ายก็กลับกลายเป็นว่าตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ เพียงคำเดียวคือกุญแจของทุกอย่าง


“ถ้ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะฝ่าด่านวรยุทธโดยปราศจากตัวอักษรคำว่าเทพเจ้า…ขออภัยด้วยที่ผมต้องถามแบบนี้ แต่ดูเหมือนตัวคุณจะสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์นานแล้วไม่ใช่หรือ? แล้วมันเป็นแบบนั้นได้อย่างไร?” จางเซวียนตั้งคำถามด้วยความสงสัย


เจ้าสำนักของ 3 ใน 6 สำนักใหญ่ที่เขาได้พบล้วนแต่เป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ ถ้าหากมันเป็นไปไม่ได้ที่จะฝ่าด่านวรยุทธโดยไม่มีตัวอักษรนั้น แล้วพวกเขาสำเร็จวรยุทธอย่างทุกวันนี้ได้อย่างไร?


“นี่คือเหตุผลว่าทำไมพวกเราถึงตามหาคุณ” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวตอบยิ้มๆ


“ฮะ?”


“คุณคงเคยได้ยินแล้วว่าสะพานเบื้องบนซึ่งเป็นเส้นทางที่นำไปสู่หอเทพเจ้าจะลงมาทุก 100 ปี ผู้ที่อยู่ในทวีปที่ถูกลืมจะสามารถเข้าถึงหอเทพเจ้าได้ผ่านทางสะพานนี้ และมีโอกาสฉกฉวยตัวอักษรคำว่าเทพเจ้ามาได้ การเอาชนะการต่อสู้ได้ในแต่ละครั้งจะทำให้ผู้นั้นได้ซึมซับเศษเสี้ยวของรังสีสวรรค์ซึ่งเป็นกุญแจของการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ เมื่อร้อยปีก่อน ผมเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ท้าทายนั้น!” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวตอบ


“ผู้นั้นจะได้ซึมซับเศษเสี้ยวของรังสีสวรรค์ด้วยการเอาชนะการต่อสู้? แล้วถ้า…แพ้ล่ะ?”


“ผู้แพ้จะต้องเสียชีวิต”


“เสียชีวิต?” จางเซวียนประหลาดใจ “ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเจ้าสำนักทั้ง 6 ล้วนแต่เอาชนะการต่อสู้ได้ใช่ไหม?”


หานเจี้ยนชิว ฉิงหย่วน และคุ่ยเฉี่ยวต่างเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ แม้เขาจะยังไม่ได้พบผู้นำของอีก 3 สำนักที่เหลือ แต่คนเหล่านั้นก็ไม่น่าจะอ่อนแอ แปลว่าพวกเขาเอาชนะการต่อสู้ได้เหมือนกันใช่ไหม?


พูดกันตามตรง จางเซวียนออกจะทำใจให้เชื่อได้ยาก เพราะเขาเคยสู้กับเหล่าผู้เชี่ยวชาญของหอเทพเจ้ามาแล้ว จึงรู้ดีว่าคนพวกนั้นน่าสะพรึงแค่ไหน


คงไม่เป็นการพูดเกินจริงหากจะกล่าวว่าคนของหอเทพเจ้าคือผู้ไร้เทียมทานในระดับวรยุทธของตัวเอง ต่อให้หานเจี้ยนชิวกับคุ่ยเฉี่ยวก็ไม่น่าเอาชนะได้


ทั้งสองอาจมีโอกาสชนะถ้าดวงดี แต่ดูจะเป็นเรื่องบังเอิญมากเกินไปหากทั้ง 6 เจ้าสำนักเอาชนะการต่อสู้ได้ทั้งหมด!


“เจ้าสำนักทั้ง 6 เอาชนะเหล่านักรบจากหอเทพเจ้าได้ แต่ไม่ได้มาจากการต่อสู้ในครั้งเดียวกัน อย่างตู้ชิงหย่วนแห่งตำหนักคว้าดาว เธอสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์มากว่า 1000 ปีแล้ว ซึ่งนับจากนั้นก็มีเหล่าผู้ท้าทายจากตำหนักคว้าดาวอยู่บ้าง แต่ไม่มีใครเอาชีวิตรอดจากการต่อสู้ได้เลย”


“กว่า 1000 ปีแล้ว?” จางเซวียนหรี่ตาด้วยความอัศจรรย์ใจ “นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์มีชีวิตอยู่ได้ยาวนานขนาดนั้นเลยหรือ?”


นักรบอมตะขั้นสูงส่วนใหญ่มีชีวิตอยู่ได้ราว 300 ปี แต่ตู้ชิงหย่วนสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์มากว่าพันปีแล้ว นั่นหมายความว่าเธอมีชีวิตอยู่เกินกว่าพันปีแล้วใช่ไหม?


เท่ากับหมื่นในปีในทวีปแห่งปรมาจารย์เลยทีเดียว!


น่าสะพรึงจริงๆ


ตอนที่ 2070 นี่คือทะเลพลัดดาว

“โดยทั่วไป นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ส่วนใหญ่จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างมาก 500 ปี แต่เหล่าสมาชิกของตำหนักคว้าดาวมีสภาวะร่างกายที่ออกจะพิเศษกว่าคนอื่น พวกเขามีอายุขัยยืนยาวกว่าพวกเรามาก แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ก็เห็นได้ชัดว่าตู้ชิงหย่วนเข้าสู่บั้นปลายชีวิตแล้ว เธอน่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ปีเท่านั้น ส่วนหัวหน้าฉิงหย่วนก็เหมือนกัน คือใกล้สิ้นอายุขัย” เจ้าสำนักคุ่ยตอบพร้อมกับส่ายหน้า


“ดังนั้น พวกเขาจึงหวังว่านักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์คนใหม่จะปรากฏตัวขึ้นในสำนักของพวกเขา ไม่อย่างนั้น ความสมดุลอันเปราะบางระหว่างกลุ่มอำนาจทั้ง 6 จะเกิดการสั่นคลอน…”


จางเซวียนพยักหน้าช้าๆ


ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมฉิงหย่วนถึงมอบตำแหน่งหัวหน้าหอนานาอสูรให้เขาอย่างไม่ลังเล


เพราะใกล้สิ้นอายุขัย ฉิงหย่วนจึงทำได้แค่ฝากความหวังไว้กับตัวเขา หวังว่าเขาจะเข้าสู่สะพานเบื้องบนได้สำเร็จและกลายเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ เพื่อจะได้เป็นเสาหลักของหอนานาอสูรไปอีก 500 ปี


แม้ความสัมพันธ์ระหว่าง 6 สํานักใหญ่จะค่อนข้างราบรื่นสงบสุข แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าทุกอย่างอาจเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหากสำนักใดสำนักหนึ่งแสดงอาการอ่อนแอแปรปรวนออกมา


ต่อให้สำนักอื่นๆไม่เข้าโจมตี แต่สำนักนั้นก็จะสูญเสียทรัพยากรและเหล่าอัจฉริยะของตัวเองให้กับกลุ่มอำนาจอื่น เมื่อเวลาผ่านไป สุดท้ายพวกเขาก็จะกลายเป็นกลุ่มอำนาจชั้นรอง เกียรติยศศักดิ์ศรีที่เคยมีจะกลายเป็นแค่อดีต


จางเซวียนพลันนึกอะไรได้บางอย่าง “เจ้าสำนักคุ่ย คุณเคยบอกว่ามีการดวลระหว่าง 6 สำนักใหญ่ แต่ไม่มีอันตราย ผมขอถามได้ไหมว่านั่นหมายความว่าอย่างไร?”


เมื่อหวนนึกดู ก็ออกจะแปลกๆที่เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวขอร้องให้เขาเข้าร่วมการดวลกับกลุ่มอำนาจอื่นแทนที่จะเข้าท้าทายสะพานเบื้องบน เพราะเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่เจ้าสำนักคุ่ยอยากให้เขาเข้าร่วมกับสำนักดาวเจ็ดดวงก็เพราะต้องการให้เขาเป็นตัวแทนของสำนักในการท้าทายสะพานเบื้องบนแห่งนี้


“เมื่อครู่นี้คุณอยากรู้ไม่ใช่หรือว่าทำไมถึงมีนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อยู่ในสำนักทั้งหก?” เจ้าสำนักคุ่ยย้อนถาม “มีนักรบ 5 คนคอยอารักขาสะพานเบื้องบนอยู่ ถ้าคุณเอาชนะการดวลของ 6 สำนักใหญ่ได้ คุณก็จะได้เป็นผู้นำในการปฏิบัติภารกิจ ซึ่งถ้าเป็นไปตามนั้น คุณก็จะได้เข้าสู่หอเทพเจ้าขณะที่ปล่อยให้สมาชิกอีก 5 คนที่เหลือรับมือกับนักรบทั้ง 5…พูดอีกอย่างก็คือ คุณจะชนะการต่อสู้โดยที่ยังไม่ต้องต่อสู้เลย ด้วยสิ่งนี้ คุณจะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้!”


“ผู้นำในการปฏิบัติภารกิจจะสามารถเข้าสู่หอเทพเจ้าโดยไม่ต้องต่อสู้หรือ? เดี๋ยวก่อน…แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับสมาชิกอีก 5 คนที่ต้องสู้กับนักรบทั้ง 5 ของหอเทพเจ้า?” จางเซวียนถาม


“พวกเขาอาจเสียชีวิต” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวตอบอย่างเคร่งขรึม “สำหรับเรื่องนี้ ถ้าตัวแทนทุกคนมีพละกำลังทัดเทียมกัน การดวลจะถูกยกเลิกไป ตำแหน่งผู้นำในการปฏิบัติภารกิจจะถูกเลือกด้วยการจัดลำดับ โดยรอบนี้เป็นโอกาสของสำนักดาบเมฆเหินที่จะได้เป็นผู้นำในการปฏิบัติภารกิจ ส่วนคราวต่อไปจะเป็นโอกาสของหอนานาอสูร จากนั้นก็สำนักดาวเจ็ดดวง การจัดลำดับแบบนี้จะช่วยรักษาความสมดุลของอำนาจระหว่าง 6 สำนักไว้ได้ และทำให้พวกเราต่อสู้กับหอเทพเจ้าได้อย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันด้วย”


“แต่ก็มีหลายครั้งที่เกิดความเหลื่อมล้ำอย่างมากในด้านพละกำลัง ซึ่งหากเป็นอย่างนั้น การจัดลำดับจะถูกยกเลิกไป สิ่งนี้จะช่วยให้อัจฉริยะผู้เป็นตัวแทนสามารถสงวนพละกำลังของเขาไว้เพื่อเข้าไปฉกฉวยตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ จากหอเทพเจ้า”


“กรณีแบบนี้เกิดขึ้นในยุคสมัยของหัวหน้าขง ด้วยพละกำลังมหาศาลของเขา แม้เขาจะไม่ได้รับตำแหน่งผู้นำในการปฏิบัติภารกิจ แต่ก็สามารถฝ่าด่านสะพานเบื้องบนและเข้าสู่หอเทพเจ้าได้อย่างง่ายดาย สถานการณ์แบบนี้ทำให้มีนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์มากขึ้น แม้ทั้ง 6 สำนักจะไม่ได้ประสบความสำเร็จทั้งหมด แต่ก็มีอย่างน้อย 2-3 สำนัก”


จางเซวียนพยักหน้า


ต่อให้พวกเขาเลือกผู้นำในการปฏิบัติภารกิจโดยหมุนเวียนกันไปในแต่ละครั้ง แต่ด้วยอายุขัยของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่ยาวนานเพียง 500 ปี ก็ย่อมมีบางเวลาที่บางสำนักจะไม่มีนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อยู่เลย


นั่นหมายถึงช่วงเวลาแห่งความเปราะบางของสำนักนั้น ทุกอย่างอาจผิดพลาดได้โดยง่าย


ด้วยเหตุนี้ จึงยังคงต้องมีการแข่งขันเพื่อช่วงชิงตำแหน่งผู้นำในการปฏิบัติภารกิจ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมสำนักต่างๆถึงมอบตำแหน่งผู้อาวุโสให้เขาและพร้อมจัดหาทรัพยากรให้ทุกรูปแบบ เห็นได้ชัดว่าพวกนั้นอยากให้เขาคว้าตำแหน่งผู้นำในการปฏิบัติภารกิจให้ได้


ขอแค่มีใครสักคนคอยปกป้องสำนักเอาไว้ เรื่องอื่นก็ล้วนแต่เป็นรอง


เมื่อพูดจบ เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวมองจางเซวียนอย่างคาดหวัง “ผู้อาวุโสหลิว คุณต้องทำให้เต็มที่นะ เราจะสรรหาทุกอย่างที่คุณต้องการเพื่อการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์มาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”


แม้ตอนที่เขาท้าทายชายหนุ่มคนนี้โดยลดระดับวรยุทธลงมาเป็นนักรบอมตะตัวจริง อีกฝ่ายก็เอาชนะเขาได้สบาย จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าชายหนุ่มน่าจะเอาชนะตัวแทนคนอื่นๆจากอีก 5 สำนักที่เหลือได้อย่างง่ายดายเช่นกัน!


มันคือโชคชะตาของชายหนุ่มที่จะต้องสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ให้ได้ เขาเป็นแม้กระทั่งแสงสว่างแห่งความหวังที่จะฉกฉวยตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ มาให้สำนักดาวเจ็ดดวง ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ความรุ่งโรจน์เจิดจรัสในภายภาคหน้าของสำนักดาวเจ็ดดวงก็เป็นอันรับประกันได้!


“วางใจเถอะ” จางเซวียนพยักหน้า


ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายยอมเสียสละตัวเอง เขาคงไม่สามารถฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูงได้ บุญคุณครั้งนี้มากเกินพอที่จะทำให้เขายอมทุ่มสุดตัวเพื่อช่วยเหลือคนเหล่านั้น


เมื่อเข้าใจสถานการณ์แล้ว จางเซวียนหันกลับไปดำเนินการขัดเกลาวรยุทธของเขาต่อ


ระหว่างนั้น อสูรอมตะบินได้ก็เร่งความเร็ว เพียงไม่ถึงครึ่งวัน มหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาลก็ปรากฏตรงหน้า


“ในที่สุดพวกเราก็มาถึงทะเลพลัดดาวแล้ว” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวลุกขึ้นยืน


จางเซวียนเดินไปดูที่หน้าต่าง


เขาเห็นผืนน้ำสีฟ้าล้ำลึกอยู่เบื้องล่าง เมื่อมองลงไป ก็ดูเหมือนมหาสมุทรกำลังหลอมรวมเข้ากับท้องฟ้า มันตัดกันและเกิดเป็นมิติลึกลับระหว่างท้องฟ้ากับมหาสมุทร


มีฝูงปลากับฝูงนกอยู่มากมาย เกิดเป็นทัศนียภาพที่งดงามอย่างน่าทึ่ง


“นี่คือทะเลพลัดดาว?” จางเซวียนทึ่งจัด


ไม่น่าเชื่อว่าเหล่านักรบของทวีปที่ถูกลืมต่างไม่เต็มใจจะเหยียบย่างเข้ามาในโลกที่งดงามแบบนี้


“ใช่แล้ว ในยามค่ำคืน มหาสมุทรเบื้องล่างจะดูเหมือนมีหมู่ดาวร่วงลงไป ทำให้เกิดความกระหายที่จะไขว่คว้ามัน บางครั้ง…ถ้าคุณเดินทางได้เร็วพอ ก็อาจจะจับมันได้ นี่คือเหตุผลของการตั้งชื่อสถานที่แห่งนี้ว่าตำหนักคว้าดาว” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวพูด


“แต่ธรรมชาติดูจะมอบอันตรายไว้ให้อยู่คู่กับความงดงาม เหตุผลเดียวที่พวกเรายังไม่ถูกโจมตีก็เพราะเราอยู่บนพาหนะที่มีสัญลักษณ์ของสำนักดาวเจ็ดดวงและขับเคลื่อนด้วยอสูรอมตะขั้นสูงมากมาย นักรบทั่วไปไม่มีทางทำได้ขนาดนี้ พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับอันตรายนับไม่ถ้วน แล้วจะเอาอารมณ์ที่ไหนมาชื่นชมกับความงดงาม?”


“ผมเข้าใจ” จางเซวียนตอบ


คงเป็นความโง่เง่าอย่างมากหากประมาทสิ่งที่อยู่ภายใต้ผิวน้ำอันราบเรียบนั้น เป็นไปได้ว่าน่าจะมีอสูรทรงพลังมากมายนับไม่ถ้วนซ่อนตัวอยู่ในทะเลพลัดดาว


ผู้ที่บุ่มบ่ามบุกรุกเข้ามาในดินแดนของพวกมันจะต้องตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง


จางเซวียนเฝ้าดูอสูรอมตะค่อยๆเดินทางเข้าสู่ทะเลพลัดดาว เขาอดถามไม่ได้ “แล้วตำหนักคว้าดาวอยู่ที่ไหน?”


“ที่ใจกลางมหาสมุทร มีเกาะขนาดใหญ่เกาะหนึ่งชื่อเกาะคว้าดาว ตำหนักคว้าดาวและประชากรท้องถิ่นของทวีปที่ถูกลืมพำนักอยู่ที่นั่น” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวอธิบาย


อสูรอมตะยังคงมุ่งหน้าต่อไป หลังจากบินไปได้อีกราว 2 พันลี้ จางเซวียนก็เห็นอสูรมากมายแหวกว่ายอยู่ในมหาสมุทร ดูพร้อมจะบุกเข้าโจมตี


ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวปล่อยรังสีของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ออกมากำราบพวกมันไว้ อสูรเหล่านั้นน่าจะเล่นงานพวกเขาแน่


ไม่แปลกใจแล้วที่ไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้าสู่พื้นที่นี้ เพราะนอกจากภัยคุกคามจากประชากรในพื้นที่ เพียงแค่อสูรอมตะพวกนี้ก็เกินพอจะยับยั้งเหล่านักรบได้แล้ว


ราวครึ่งวันให้หลัง เกาะขนาดใหญ่ก็ปรากฏแก่สายตา


มันมีความกว้างหลายพันลี้ มีเมืองขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง


เมื่อมองจากระยะไกล จะรู้สึกได้ถึงรังสีพิเศษที่ครอบคลุมทั้งเมืองไว้ เกิดเป็นสนามพลังที่ดูน่าเกรงขาม


“รังสีนี้ดูคุ้นๆนะ…” จางเซวียนชะงักไปเล็กน้อย


เขาแน่ใจว่าเคยรู้สึกได้ถึงสนามพลังพิเศษแบบนี้จากที่ไหนสักแห่ง จึงเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้เพื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน


ฟึ่บ!


จางเซวียนหรี่ตาด้วยความประหลาดใจขณะตัวแข็งทื่อ


“นี่มันรังสีของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นไม่ใช่หรือ?”


พลังงานที่คุ้นเคยแผ่ซ่านออกจากเกาะขนาดมหึมานั้น มันคือเจตนาสังหารที่เป็นเอกลักษณ์ของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น


เหตุผลที่จางเซวียนไม่รู้สึกถึงมันในทันทีก็เพราะเจตนาสังหารนี้ลดความรุนแรงลงเมื่อผสมผสานเข้ากับพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทของมิติเบื้องบน ทำให้มันมีความอบอุ่น


ถึงอย่างไร การปรากฏของเจตนาสังหารก็หมายความว่ามีเผ่าพันธุ์ปีศาจอยู่บนเกาะนี้ หรือว่า ‘ประชากรท้องถิ่น’ ที่เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวพูดถึงจะหมายถึงเผ่าพันธุ์ปีศาจ?


เรื่องนี้อธิบายต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นได้!


พวกมันน่าจะหลุดรอดไปสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ด้วยการฝ่าปราการแห่งมิติ นำหายนะครั้งใหญ่ไปสู่สิ่งมีชีวิตที่นั่น


เมื่อเกิดความคิดนั้น จางเซวียนรีบพิจารณาผู้คนที่เดินไปมาคลาคล่ำอยู่ในเมืองใหญ่ แต่สิ่งที่เขาเห็นยิ่งทำให้งุนงงกว่าเดิม


คนเหล่านั้นมีขนาดของร่างกายเท่ากับมนุษย์ธรรมดาสามัญ ไม่มีอะไรผิดแปลก ไม่มีความดุร้ายกระหายเลือดตามแบบของเผ่าพันธุ์ปีศาจเลย


หรือว่าประสาทสัมผัสของเขาจะผิดเพี้ยนไป?


ตอนที่เราอยู่ในอาณาจักรคุนฉื่อ เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นที่ได้สัมผัสกับพลังจิตวิญญาณหน้าตาเหมือนปรอทก็สูญเสียสัญชาตญาณการใช้ความรุนแรงและความกระหายเลือดเหมือนกัน สิ่งนี้น่าจะเป็นสาเหตุของความผิดปกติที่เกิดขึ้น จางเซวียนคิด


นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงกับพรรคพวกได้ทำการทดลองกับเผ่าพันธุ์ปีศาจเพื่อทดสอบความทนทานของพวกมันที่มีต่อพลังจิตวิญญาณหน้าตาเหมือนปรอท ซึ่งพวกเขาได้ข้อพิสูจน์แล้วว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ผ่านการทดสอบจะมีคุณสมบัติเหมือนมนุษย์ธรรมดาสามัญทุกอย่าง


ตอนที่ 2071 คุณรู้จักหินโลหิตเทพเจ้า?

“ตำหนักคว้าดาวตั้งอยู่ใจกลางเกาะ ถ้าเราบินตรงไปที่นั่นเลย จะต้องเกิดเรื่องแน่ เพราะฉะนั้นเราจะร่อนลงตรงนี้ก่อน” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวบอกจางเซวียน


อสูรอมตะบินได้ลดความเร็วลง ไม่ช้าก็ร่อนลงบนลานแห่งหนึ่ง


ทันทีที่ลงจอด องครักษ์ในชุดเกราะเต็มยศกลุ่มหนึ่งก็ตบเท้าเข้ามา


ผู้อาวุโสหงอู่เดินเข้าไปและแสดงตราสัญลักษณ์ของเขา เหล่าองครักษ์พิจารณาตราสัญลักษณ์นั้นก่อนจะเปิดทางให้


จางเซวียนประเมินองครักษ์ 2 คนที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างถี่ถ้วน


เป็นอย่างที่คิดไว้ พวกเขาคือเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นที่ได้ซึมซับพลังจิตวิญญาณหน้าตาเหมือนปรอท


ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนยังแต่งกายเหมือนเหล่าเทพเจ้าจากสรวงสวรรค์ที่ลงมายังทวีปแห่งปรมาจารย์


หรือว่าคนเหล่านี้คือปลายทางของพิธีกรรมของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นที่อาศัยอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์?


ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เป็นไปได้หรือไม่ว่าเทพเจ้าสุภาพสตรีที่นำตัวอำมาตย์เฉินหย่งไปและกล่าวว่า เธอรู้ว่าหลัวลั่วชิงอยู่ที่ไหนจะเป็นผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งของตำหนักคว้าดาว?


ดูเหมือนต่อไปเขาต้องหาคำตอบเรื่องนี้ให้ได้


“ผู้อาวุโสหลิว สำนักดาวเจ็ดดวงของเรามีสาขาอยู่ที่นี่ ผมจะพาคุณไปที่นั่น แล้วจะช่วยคุณจัดหา ทรัพยากรที่คุณต้องการสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวพูด


จางเซวียนพยักหน้ารับ


ทั้งกลุ่มรุดหน้าไปตามถนน


เมืองนี้ใหญ่โตมาก น่าจะใหญ่กว่าเมืองปี้หยวนหลายเท่า ถ้าก่อนหน้านี้จางเซวียนยังไม่แน่ใจ การลัดเลาะไปตามถนนก็ทำให้เขาแน่ใจแล้ว


ทุกคนที่อาศัยอยู่บนเกาะคว้าดาวแห่งนี้ล้วนแต่เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น


ความดุร้ายและกระหายเลือดของพวกเขาถูกพลังจิตวิญญาณที่มีหน้าตาเหมือนปรอทกำจัดออกไป แต่คนเหล่านี้ยังคงมีความหวงแหนในเผ่าพันธุ์ จึงมีท่าทีเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจนกับคนแปลกหน้า


เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวเห็นจางเซวียนมองไปรอบๆ จึงส่งโทรจิตหา “ถึงสำนักดาวเจ็ดดวงจะมีสาขาที่นี่ แต่ก็ยังถูกมองเป็นคนนอกอยู่ดี เราทำการค้าขายแลกเปลี่ยนกับพวกเขา แต่ไม่มีสายสัมพันธ์วงในที่แน่นแฟ้นใดๆ พวกเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายที่นี่มากเท่าไหร่ เพราะมันอาจเป็นไฟที่ย้อนกลับมาเล่นงานเราเอง”


จางเซวียนพอเข้าใจคำพูดนั้น ไม่ใช่ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้หัวใจและรู้จักแค่การเข่นฆ่า แต่เรื่องจริงก็คือพวกนั้นมีสัญชาตญาณของความกระหายสงคราม


ถ้าอะไรๆไม่เป็นไปอย่างที่คิด สัญชาตญาณเบื้องต้นของคนเหล่านี้ก็คือการใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่พวกเดียวกัน ดังนั้น การสานสัมพันธ์กับพวกเขาจึงไม่ใช่เรื่องง่าย


ด้วยเหตุนี้ มีปฏิสัมพันธ์ให้น้อยเข้าไว้จึงดีที่สุด ไม่อย่างนั้นอาจก่อให้เกิดปัญหา


สำหรับจางเซวียนก็ไม่ต่างกัน เมื่อครั้งอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ เขาคือนักรบผู้ไร้เทียมทาน แต่สำหรับที่นี่ มีนักรบมากมายที่ปราบเขาได้ ทำตัวเงียบหงิมไว้จึงดีที่สุด


หลังจากเดินไปได้อีกราว 2 ชั่วโมง สาขาของสำนักดาวเจ็ดดวงก็ปรากฏตรงหน้า ที่นี่ไม่ต่างกับสำนักงานใหญ่ในเมืองปี้หยวน มีทรัพย์สมบัติตั้งเรียงรายอยู่มากมาย แต่ระดับขั้นของพวกมันดูจะอ่อนด้อยกว่า


ทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไป ผู้จัดการก็รีบมาต้อนรับอย่างอบอุ่นพร้อมกับจัดเตรียมที่พักที่ดีที่สุดให้


“ผู้อาวุโสหลิว ระหว่างนี้คุณพักที่นี่ไปก่อนนะ ผมจะไปจัดเตรียมทรัพยากรที่คุณต้องการ” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวพูด


“ขอผมถามได้ไหมว่าคุณคิดจะเตรียมอะไร?” จางเซวียนตั้งคำถามด้วยความสงสัย “ถึงวรยุทธอมตะขั้นสูงระดับล่างกับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์จะเป็นวรยุทธขั้นเดียวกัน แต่การจะก้าวจากขั้นย่อยหนึ่งไปสู่อีกขั้นย่อยหนึ่งภายในระยะเวลาอันสั้นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เท่าที่ผมฟัง…ดูเหมือนคุณจะมีวิธีที่ทำให้ผมฝ่าด่านวรยุทธได้อย่างรวดเร็ว”


การฝ่าด่านวรยุทธของวรยุทธอมตะขั้นสูงนั้นเป็นอุปสรรคยิ่งใหญ่ เส้นทางของมันไม่ได้ราบรื่น การจะก้าวจากวรยุทธอมตะขั้นสูงระดับล่างไปเป็นอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ไม่ใช่งานง่ายเลย


หากเปรียบวรยุทธอมตะตัวจริงเป็นสระน้ำ วรยุทธอมตะขั้นสูงก็จะเทียบเท่ากับมหาสมุทร การเติมสระน้ำให้เต็มไม่ใช่เรื่องยากเกินไป แต่การเติมมหาสมุทรถือเป็นเรื่องใหญ่มาก นักรบจะต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงลิ่วหากอยากเร่งกระบวนการทั้งหมดให้เร็วขึ้น


อีกอย่าง สิ่งที่เขาขาดอยู่ในเวลานี้ไม่ได้มีเพียงแค่ทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธ แต่เป็นหนังสือเทคนิควรยุทธด้วย


ต่อให้มหาสมุทรกว้างใหญ่แค่ไหน ขอแค่มีแม่น้ำที่ไหลลงสู่มหาสมุทรอย่างต่อเนื่อง ไม่ช้าไม่นานมันก็ต้องเต็ม


แต่จางเซวียนยังไม่ได้สร้างแม่น้ำที่จะไหลลงสู่มหาสมุทรของเขาเลย ถ้าเขาอาศัยแต่น้ำฝน จะต้องใช้เวลานานแค่ไหนมันถึงจะเต็ม?


สถานการณ์เป็นแบบนี้ แต่เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวกลับพูดราวกับว่าจะช่วยเขาให้ฝ่าด่านวรยุทธจนสำเร็จ จางเซวียนจึงอดไม่ได้ที่จะอยากรู้ว่าอะไรทำให้อีกฝ่ายมั่นอกมั่นใจขนาดนั้น


“ว่ากันว่าครั้งหนึ่งอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เคยปรากฏตัวในทะเลพลัดดาว ถ้าผมจับตัวมันและนำเลือดกับแก่นอสูรของมันมาได้ การที่คุณจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ก็ไม่ยากเกินไป” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวเปิดเผยความคิดของเขา


“อสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์?” จางเซวียนขมวดคิ้ว “ก็คุณพูดเองไม่ใช่หรือว่านักรบจะต้องเข้าท้าทายสะพานเบื้องบนเพื่อให้สำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์?”


ตามที่เขาได้ฟัง ดูเหมือนโอกาสของการได้เข้าท้าทายสะพานเบื้องบนจะถูก 6 สำนักยึดครองแล้ว เผ่าพันธุ์อสูรไม่น่ามีโอกาสเข้าถึง


เมื่อได้ยินคำถามนั้น เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวมองรอบตัวอย่างระแวดระวังก่อนจะส่งโทรจิตหาจางเซวียน “ก็เป็นอย่างนั้นแหละ แต่ไม่นานมานี้เพิ่งมีข้อยกเว้น เมื่อ 2 เดือนก่อน…ที่อาณาบริเวณส่วนหนึ่งของทะเลพลัดดาว ท้องฟ้าได้พังทลายลงมาและมีบางอย่างตกลงสู่พื้น มันกระแทกกับก้อนหินที่อยู่ใกล้ๆและเปลี่ยนก้อนหินเหล่านั้นให้กลายเป็นสีแดงก่ำ ไม่มีเปลวเพลิงและอาวุธใดทำอันตรายพวกมันได้ ถ้าอสูรระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์เข้าใกล้ ก็จะมีโอกาสฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้สำเร็จ”


“ก้อนหิน? หรือว่าจะเป็นหินโลหิตเทพเจ้า?” จางเซวียนหรี่ตาอย่างอัศจรรย์ใจ ตัวเกร็งขึ้นมาทันที


อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาอยากมาเยือนทะเลพลัดดาวก็คือเพื่อเสาะหาต้นกำเนิดของหินโลหิตเทพเจ้า ไม่คิดเลยว่าเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวจะรู้เรื่องนี้


ถ้าการที่หินเหล่านั้นแปรสภาพเป็นหินโลหิตเทพเจ้าไม่ได้มีนัยอะไร แต่การที่แม้แต่อสูรอมตะก็สามารถฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้นั้น อย่างน้อยที่สุดก็บ่งบอกอะไรบางอย่าง


“คุณรู้จักหินโลหิตเทพเจ้า?” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวย้อนถาม


“ผมเคยได้ยินเรื่องของมัน” จางเซวียนพยักหน้า


“ผมเคยอ่านเรื่องหินโลหิตเทพเจ้าในบันทึกโบร่ำโบราณ ก้อนหินพวกนั้นน่าจะเป็นหินโลหิตเทพเจ้า ถ้าเราจับตัวอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์และนำเลือดกับแก่นอสูรของมันมาได้ ต่อให้ไม่มากพอจะทำให้ฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้สำเร็จ แต่อย่างน้อยก็น่าจะเพียงพอให้คุณได้เป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวพูด


ในฐานะเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวง เขามีความรอบรู้เรื่องของล้ำค่าและทรัพย์สมบัติต่างๆ


ต่อให้ไม่มีเทคนิควรยุทธที่เหมาะสม ชายหนุ่มก็น่าจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ได้ด้วยเลือดและแก่นอสูร


เพียงแต่…


การล่าตัวอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์นั้นเป็นเรื่องที่การพูดถึงง่ายกว่าลงมือทำมาก นอกจากความแข็งแกร่งของมัน หากพวกมันพยายามหลบหนี เขาก็ไม่มั่นใจนักว่าจะตามจับมันได้สำเร็จ


อีกอย่าง มันก็เป็นแค่ความเป็นไปได้ ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามนั้น


“ไม่ทราบว่าก้อนหินพวกนั้นอยู่ที่ไหน?” จางเซวียนถาม


เขาแทบระงับความตื่นเต้นไว้ไม่ไหวเพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลัวลั่วชิง


“ผมก็ไม่แน่ใจเรื่องตำแหน่งที่แน่นอนของมัน แต่ผมเห็นอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ตัวหนึ่งอยู่ไม่ห่างจากจุดนี้มากนัก ถ้าเราอยากรู้ตำแหน่งของหินโลหิตเทพเจ้าล่ะก็ จับตัวมันมาซักถามก็ได้ ผมตั้งใจจะไปทดสอบพละกำลังของมันเดี๋ยวนี้แหละ คงจะดีถ้ามันอ่อนแอพอที่ผมจะเอาชนะมันได้” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวพูด


แม้ในหมู่นักรบที่มีวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เหมือนกันก็ยังมีความเหลื่อมล้ำของพละกำลังอยู่


เขาสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์มาหลายปีแล้ว แม้จะยังสู้หานเจี้ยนชิวไม่ได้ แต่อสูรที่เพิ่งสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เมื่อ 2 เดือนก่อนก็น่าจะอยู่ในขอบเขตที่เขารับมือไหว


ขอแค่อสูรเหล่านั้นไม่ได้มีสายเลือดที่ทรงพลังเกินไป เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวก็มั่นใจว่าจะจับพวกมันได้


“ผมอยากตามไปดูด้วย” จางเซวียนพูด


“คุณอยากไปด้วยหรือ?” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวขมวดคิ้ว


“วางใจเถอะ ถึงผมจะเป็นแค่นักรบอมตะขั้นสูงระดับล่าง แต่ก็มีวิธีการของตัวเอง ต่อให้อสูรนั่นแข็งแกร่งกว่า ผมก็มั่นใจว่าจะรับมือกับมันได้สบาย” จางเซวียนให้ความมั่นใจกับเจ้าสำนักคุ่ย


“งั้นหรือ?” เจ้าสำนักคุ่ยลังเลครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า “ตามนั้นก็ได้!”


เขาเคยคิดว่าคงเป็นโอกาสดีสำหรับชายหนุ่มคนนี้ที่จะได้เห็นพละกำลังของอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ เพื่อต่อไปจะได้เตรียมตัวรับมือกับพวกมันได้ อย่างมากที่สุดก็แค่ให้อีกฝ่ายเฝ้ามองอยู่ไกลๆ เพื่อกันไว้ไม่ให้ได้รับผลกระทบจากการต่อสู้


“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ” เจ้าสำนักคุ่ยพูด


เขาลดระดับวรยุทธลงเป็นนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ก่อนจะโผขึ้นสู่กลางอากาศ


จางเซวียนตามไปติดๆ


ตัวเขาเป็นนักรบอมตะขั้นสูงแล้ว ดังนั้น ต่อให้ไม่ใช้เจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าก็สามารถบินได้


ทั้งคู่บินไปราว 4 ชั่วโมง จนกระทั่งรอบตัวมีแต่ผืนน้ำ


ฟ้ามืดแล้ว และเป็นอย่างที่เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวบอกไว้ ท้องฟ้าที่มีดวงดาวดารดาษเปล่งประกายสะท้อนกับพื้นมหาสมุทร จนดูเหมือนหมู่ดาวร่วงลงไปในพื้นน้ำ ดวงดาวเหล่านั้นเปล่งประกายระยิบระยับ ราวกับว่าเพียงเอื้อมมือไปก็จะเก็บมันได้


ทั้งคู่รอคอยอย่างอดทน ก่อนที่เรือเล็กลำหนึ่งจะแล่นมา


“เจ้าสำนักคุ่ย…”


ที่ยืนอยู่บริเวณหัวเรือคือผู้อาวุโสคนหนึ่งในชุดสีเขียว


จางเซวียนมองผู้อาวุโสที่อยู่ตรงหน้า รู้สึกว่าไม่อาจประเมินความแข็งแกร่งที่แท้จริงของอีกฝ่ายได้ ผู้อาวุโสสำเร็จวรยุทธอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์เหมือนกัน และน่าจะแข็งแกร่งกว่าผู้อาวุโสที่ 1


“เป็นอย่างไรบ้าง?” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวตั้งคำถาม


ผู้อาวุโสประสานมือ “เจ้าสำนักคุ่ย เมื่อเดือนก่อน ผมนำสิ่งที่คุณมอบให้ผมไปไว้ที่ก้นมหาสมุทร และมันทำงานได้ผลดีมาก สองสามวันที่ผ่านมานี้ อสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ตัวนั้นมาที่นี่ แต่มันดูหวาดระแวงมาก ยังไม่ยอมเคลื่อนไหว”


“ดี อสูรตัวไหนก็ตามที่เอาตัวรอดได้ในมหาสมุทรแห่งนี้และสำเร็จวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ย่อมมีสัญชาตญาณที่ไวต่อสิ่งอันตราย ไม่อย่างนั้นมันคงตายไปนานแล้ว” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวพูดยิ้มๆ ไม่ประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน


ตอนที่ 2072 พูดมาได้เลย

โลกของเหล่าอสูรโหดร้ายกว่ามนุษย์มาก อสูรตัวหนึ่งจะต้องมีชีวิตรอดจนสำเร็จวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ให้ได้ ถึงจะมีโอกาสได้เป็นอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์


อสูรที่มีวรยุทธระดับนั้นเรียกได้ว่าเป็นหัวกะทิ มีจมูกที่ไวเป็นพิเศษต่อสิ่งอันตราย ไม่อย่างนั้นพวกมันคงกลายเป็นเหยื่อของอสูรตัวอื่นๆไปนานแล้ว


“เจ้าสำนักคุ่ย ผมติดตั้งค่ายกลเสร็จแล้ว ถ้าเรารอสักหน่อย ไม่ช้าอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์จะต้องเข้าโจมตีแน่ แต่ผมไม่แน่ใจว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน” ผู้อาวุโสพูด


“ไม่เป็นไร ไปดูกันเถอะ!” เจ้าสำนักคุ่ยตอบขณะลงเรือ


จางเซวียนรีบตามไป


“ผู้อาวุโสหลิว นี่คือผู้อาวุโสเฟิงเฉียนจากสำนักของเรา, ผู้อาวุโสเฟิง ชายหนุ่มคนนี้คือผู้อาวุโสหลิวหยาง เขาจะเป็นตัวแทนจากสำนักของเราเข้าสู่การท้าทายสะพานเบื้องบน” เจ้าสำนักคุ่ยรีบแนะนำทั้งสองให้รู้จักกัน


“ผู้อาวุโสหลิวหยาง!” ผู้อาวุโสเฟิงเฉียนทักทายจางเซวียน แต่มีรอยย่นเล็กน้อยบนหน้าผาก


เขาคิดว่าชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายเจ้าสำนักคงเป็นแค่ศิษย์สายตรงคนหนึ่ง ใครจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายคือตัวแทนของพวกเขาที่จะเข้าสู่การท้าทายสะพานเบื้องบน?


การตัดสินใจแบบนี้หมายความว่าชายหนุ่มคือนักรบชั้นยอดในบรรดานักรบที่มีอายุต่ำกว่าร้อยปี


แต่อีกฝ่ายเพิ่งอายุเพียง 20 ต้นๆเท่านั้น!


สำนักดาวเจ็ดดวงกลายเป็นองค์กรที่อ่อนแอขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?


“ในเมื่อผู้อาวุโสหลิวได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนเข้าสู่การท้าทายสะพานเบื้องบน ผมก็เชื่อว่าคุณคงเก่งกาจเหนือชั้นกว่าใครๆ บังเอิญว่าผมมีความสับสนบางอย่างเกี่ยวกับวรยุทธของผมที่อยากขอปรึกษาคุณ” ผู้อาวุโสเฟิงพูดพร้อมกับประสานมือ


เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวดูออกว่าผู้อาวุโสเฟิงกำลังพยายามทำอะไร แต่ก็ไม่ขัดขวาง


ขอแค่จางเซวียนเอาชีวิตรอดจากสะพานเบื้องบนได้ ก็น่าจะได้เป็นเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวงคนต่อไป ส่วนผู้อาวุโสเฟิงก็เป็นคนสนิทที่สุดของเขา แบกรับหน้าที่และความรับผิดชอบในภารกิจทั้งหมดเอาไว้โดยไม่เปิดเผยตัวตนกับใคร ถ้าจางเซวียนอยากสืบทอดตำแหน่งด้วยความราบรื่น ก็จะต้องได้การยอมรับจากผู้อาวุโสเฟิงด้วย


นี่จึงเป็นโอกาสดีสำหรับผู้อาวุโสหลิวที่จะได้เอาชนะใจผู้อาวุโสเฟิงและสร้างฐานอำนาจภายในสำนัก


หากเขาไม่ได้รับการสนับสนุนแม้แต่จากผู้อาวุโสเฟิง ก็คงยากที่จะได้การยอมรับจากทั้งสำนัก ตำแหน่งเจ้าสำนักของเขาคงไม่มั่นคงแน่


“พูดมาได้เลย” จางเซวียนตอบรับพร้อมกับพยักหน้า


“ผมฝึกฝนฝ่ามือเจ็ดดาวจนถึงขั้น 3 แล้ว แต่พบว่าไม่อาจพัฒนาความเชี่ยวชาญให้สูงขึ้นกว่านี้ได้อีก ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสหลิวมีข้อเสนอแนะดีๆไหม?” ผู้อาวุโสเฟิงตั้งคำถาม


ฝ่ามือเจ็ดดาวคือหนึ่งในเทคนิคการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักดาวเจ็ดดวง มีผู้อาวุโสมากมายที่เคยฝึกฝนมัน


ยังไม่ทันที่จางเซวียนจะได้ตอบ เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวก็ขัดขึ้น “คำถามของคุณออกจะกว้างไปสักหน่อยไหม?”


การที่ผู้อาวุโสเฟิงอยากทดสอบจางเซวียนก็พอเข้าใจได้ เพราะอีกฝ่ายคือว่าที่เจ้าสำนักคนต่อไป แต่อย่างน้อยที่สุด คำถามก็ควรลงรายละเอียดลึกกว่านี้!


มีหลายร้อยเหตุผลที่ใครสักคนจะไม่อาจฝึกฝนฝ่ามือเจ็ดดาวให้เหนือไปกว่าขั้น 3 ได้ แถมผู้อาวุโสเฟิงก็ไม่ยอมระบุสภาพร่างกายของตัวเองด้วย แล้วใครจะมีปัญญาตอบคำถามของเขา?


แม้แต่เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวเองก็คงตอบไม่ได้


“ไม่เป็นไร เจ้าสำนักคุ่ย” จางเซวียนยกมือขึ้นพร้อมกับยิ้มให้ จากนั้นก็หันไปพูดกับผู้อาวุโสเฟิง “ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เมื่อ 81 ปีก่อน คุณได้รับความบอบช้ำสาหัสภายในจนร่อแร่ปางตายใช่ไหม?”


“ใช่” ผู้อาวุโสเฟิงพยักหน้าขณะสบตาเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวแวบหนึ่ง


เมื่อ 81 ปีก่อน เขาถูกไล่ล่าโดยศัตรูตัวฉกาจของเขาและเกือบเสียชีวิต เป็นเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวที่ช่วยชีวิตเขาไว้ เขาจึงมอบความจงรักภักดีทั้งหมดให้กับชายผู้นี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาเต็มใจรับใช้สำนักดาวเจ็ดดวงโดยไม่เปิดเผยตัวตนกับใคร พร้อมแก้ปัญหาและภัยคุกคามต่างๆนานาที่สำนักต้องเผชิญ


เรื่องนี้เป็นหนึ่งในความลับสุดยอดของสำนัก ใครจะไปคิดว่าเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวจะไว้ใจชายหนุ่มถึงขนาดบอกเรื่องนี้ให้อีกฝ่ายรู้?


“ผมไม่ได้บอกเขานะ” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดของจางเซวียน


เจ้าหนุ่มคนนี้ไม่รู้จักคุณเสียด้วยซ้ำก่อนที่จะได้พบกันเมื่อครู่นี้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขารู้เรื่องเมื่อ 81 ปีก่อนได้อย่างไร!


เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวกำลังจะถามจางเซวียนว่ารู้ได้อย่างไร ก็พอดีกับที่อีกฝ่ายพูดต่อ “ผมไม่ต้องรอให้ใครบอก มองแวบเดียวก็เห็นชัดแล้ว ในครั้งนั้น คุณต้องใช้สมบัติล้ำค่าและสมุนไพรมากมาย จึงเรียกวรยุทธกลับคืนมาได้”


“แต่เรื่องจริงก็คืออาการบาดเจ็บที่คุณได้รับทิ้งความบอบช้ำใหญ่หลวงไว้กับร่างกายของคุณ เมื่อพลังปราณของคุณไหลผ่านจุดชีพจรเจินไห่และเจียงหย่ง คุณจะรู้สึกได้ถึงอาการชาและกระตุกทั่วทั้งร่างกาย และจุดชีพจร 2 จุดนี้ก็บังเอิญเป็นจุดสำคัญในการฝึกฝนฝ่ามือเจ็ดดาว อาการชาและการอุดตันของจุดชีพจรเป็นตัวขัดขวางการเคลื่อนไหวของคุณ ทำให้คุณไม่อาจฝึกฝนฝ่ามือเจ็ดดาวขั้น 4 ได้!”


“คุณรู้ได้…” ผู้อาวุโสเฟิงตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ


ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความลับสุดยอดของเขา เขาไม่เคยบอกใครมาก่อนแม้แต่กับเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยว แต่ชายหนุ่มกลับระบุได้ถูกต้อง หรือว่าอีกฝ่ายมองทะลุสภาวะร่างกายของเขาได้จริงๆ?


“ไม่เพียงเท่านั้นนะ แขนซ้ายของคุณยังติดขัดและแข็งเกร็งขึ้นเรื่อยๆตลอดหลายปีที่ผ่านมา จนคุณควบคุมมันไม่ได้แล้ว ถูกไหม?” จางเซวียนตั้งคำถาม


ผู้อาวุโสเฟิงหน้าดำคร่ำเครียด


ชายหนุ่มพูดถูกเผง


เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่มือซ้ายของเขาเริ่มมีปัญหาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ก่อนจะขัดข้องอย่างสิ้นเชิง เขาพยายามแก้ปัญหานี้ทุกวิถีทางแล้ว แต่ไม่ได้ผล ถึงกับปรึกษานายแพทย์ผู้โด่งดังมากมายหลายคนด้วย แต่ไม่มีใครอ่านอาการป่วยของเขาได้เลย แล้วชายหนุ่มคนนี้รู้ได้อย่างไร?


“เทคนิควรยุทธที่คุณเริ่มฝึกฝนคือศิลปะมรกตพลิ้วไหว มันถูกคิดค้นโดยบรรพบุรุษคนหนึ่งตอนที่เขาเกิดแรงบันดาลใจอย่างกะทันหันในการล่องไปตามทะเลมรกตพลิ้วไหว…แต่หลังจากได้รับบาดเจ็บสาหัสเมื่อ 81 ปีก่อน คุณก็รู้สึกว่าเทคนิควรยุทธนี้ไม่แข็งแกร่งพอสำหรับคุณ และบังเอิญว่าพลังปราณของคุณก็เหือดแห้ง คุณจึงเปลี่ยนไปฝึกฝนเทคนิควรยุทธที่เรียกว่าศิลปะตะวันผงาด…”


“…พละกำลังจากกระบวนท่าของคุณมีมากขึ้นก็จริง แต่ทางเดินพลังปราณที่เคยได้รับการบ่มเพาะจากองค์ประกอบของน้ำในศิลปะมรกตพลิ้วไหวก็ถูกแทนที่อย่างปุบปับด้วยองค์ประกอบของไฟในศิลปะตะวันผงาด สิ่งนี้เทียบเท่ากับการปล่อยให้แสงอาทิตย์เจิดจ้าแผดเผาทุ่งนาโดยไม่ได้ให้น้ำอย่างเพียงพอ แล้วคุณคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น?” จางเซวียนอธิบายพร้อมกับยิ้มน้อยๆ


เมื่อรู้สึกตัวว่าทำพลาด ผู้อาวุโสเฟิงหรี่ตาด้วยความประหลาดใจ “ทุ่งนาก็จะเหือดแห้งและแตกระแหง เก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ธัญญาหารไม่ได้…”


“ทุ่งนาที่ไร้พืชผลยังเป็นเรื่องเล็ก เมื่อเวลาผ่านไป มันจะกลายเป็นดินแดนแห่งความตายที่ไม่มีชีวิตไหนดำรงอยู่ได้เลย!” จางเซวียนพูด


“ดินแดนแห่งความตายที่ไม่มีชีวิตไหนดำรงอยู่ได้เลย? ไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้นนะ” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวขมวดคิ้ว


เขาเองก็รู้ว่าผู้อาวุโสเฟิงเปลี่ยนเทคนิควรยุทธ อันที่จริง ศิลปะตะวันผงาดก็มาจากเขา


ในครั้งนั้น เขาพยายามโน้มน้าวให้อีกฝ่ายเปลี่ยนใจ เพราะรู้ดีว่าการเปลี่ยนแปลงเทคนิควรยุทธอย่างกะทันหันมีความเสี่ยงสูง แต่ผู้อาวุโสเฟิงตัดสินใจแล้ว เขาพร้อมแบกรับทุกความเสี่ยงตราบใดที่ได้ล้างแค้น


สุดท้าย เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวก็แนะนำผู้อาวุโสเฟิงให้รู้จักศิลปะตะวันผงาด เขาเฝ้าดูสภาวะร่างกายของอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิดขณะฝึกฝนวรยุทธเผื่อกรณีที่อาจเกิดความผิดพลาด ด้วยประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาในฐานะนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์และยาสมุนไพรล้ำค่ามากมาย เขาแน่ใจว่าจะรักษาอาการบอบช้ำของผู้อาวุโสเฟิงได้


เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวคิดว่าปัญหาทุกอย่างคลี่คลายแล้ว ใครจะไปรู้ว่าแท้ที่จริงไม่ได้เป็นแบบนั้น?


“ร่างกายมนุษย์มีขีดจำกัดของความทนทาน” จางเซวียนเอาสองมือไพล่หลังขณะเริ่มอธิบาย


“อาการบาดเจ็บสาหัสที่ผู้อาวุโสเฟิงได้รับในครั้งนั้นได้ทำลายอวัยวะสำคัญภายใน ในสภาวะแบบนั้น เขาควรจะบ่มเพาะร่างกายอย่างระมัดระวังเพื่อค่อยๆเรียกพละกำลังกลับคืนมา แต่เขากลับเลือกที่จะเปลี่ยนเทคนิควรยุทธอย่างปุบปับ โชคดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่ตายไปตั้งแต่ตอนนั้น ผมยังนึกไม่ออกเลยว่าคุณต้องสูญเสียสมบัติล้ำค่าไปมากมายเท่าไหร่เพื่อเยียวยาเขา!”


“ผมจะพูดกับคุณตามตรงนะ อาการขัดและแข็งเกร็งที่แขนของคุณนั้นเป็นแค่อาการเบื้องต้น ภายใน 2 ปีข้างหน้า อาการนี้จะลุกลามไปที่ขา กระดูกสันหลังของคุณจะเริ่มคดงอ ทำให้เดินเหินลำบาก ถ้าคุณไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ภายใน 5 ปีล่ะก็ ทางเดินพลังปราณที่ค่อยๆอ่อนแรงลงก็จะล่มสลาย ทำให้วรยุทธของคุณสาบสูญไปด้วย”


ผู้อาวุโสเฟิงหน้านิ่วคิ้วขมวด “ที่คุณพูดมาน่ะ…เป็นความจริงหรือ?”


จริงอยู่ว่าชายหนุ่มมองเห็นอาการขัดและแข็งเกร็งที่แขนซ้ายของเขา แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะเชื่อทุกอย่างที่อีกฝ่ายพูด


เพราะถึงอย่างไร ก็ออกจะเหลือเชื่อเกินไป!


นอกจากปัญหาที่แขนซ้ายที่เขาต้องเจอเป็นครั้งคราว เขาก็ไม่รู้สึกว่าจะมีอาการอื่นใดที่รุนแรงมากนัก จึงทำใจให้เชื่อได้ยากว่าวรยุทธของเขาจะสาบสูญไปภายใน 5 ปี


“ถ้าคุณไม่เชื่อผมล่ะก็ เราทำการทดสอบแบบรวบรัดก็ได้” จางเซวียนพูดขณะกระดิกนิ้วเบาๆ


มันเป็นการเคลื่อนไหวเรียบง่ายที่ปราศจากกระแสดาบฉีหรือกระแสพลังงานใดๆ นิ้วนั้นเคาะเบาๆที่ไหล่ของผู้อาวุโสเฟิง แต่ร่างของอีกฝ่ายกระตุกทันที ราวกับมีใครจี้จุดเขา ร่างนั้นแข็งทื่อ เหงื่อไหลเป็นทางลงมาตามร่องแก้มขณะเตรียมถอยกรูดตามสัญชาตญาณ


แต่ยังไม่ทันจะได้ถอย นิ้วของจางเซวียนก็เคาะเข้าที่กลางอกของเขาอีกครั้ง


การเคาะเพียงครั้งเดียวนั้นทำให้ผู้อาวุโสเฟิงกระตุก เกิดความเจ็บปวดแสนสาหัสในทางเดินพลังปราณ


พลั่ก!


ผู้อาวุโสเฟิงกระอักเลือดออกมา ความเจ็บปวดนั้นทำให้รอยย่นของเขาเพิ่มขึ้น ดูราวกับแก่ไปอีก 10 ปีในชั่วพริบตา


จางเซวียนชักนิ้วกลับและตั้งคำถาม “รู้สึกอย่างไรบ้าง?”


“ผม…ผมรู้สึกเหมือนทางเดินพลังปราณกำลังจะแตกสลาย…” ผู้อาวุโสเฟิงอ้าปากหอบหายใจขณะตอบคำถามด้วยนัยน์ตาที่เบิกโพลงอย่างพรั่นพรึง เขาจ้องชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าครู่หนึ่งก่อนจะรีบประสานมือ “ผู้อาวุโสหลิว ผมขอวิงวอนให้คุณชี้ทางให้ผมด้วย ถ้าคุณช่วยชีวิตผม ผมจะมอบความจงรักภักดีให้คุณและอุทิศตัวรับใช้คุณในฐานะเจ้าสำนักคนต่อไปด้วยความเต็มใจสูงสุด!”


การที่ชายหนุ่มมองเห็นปัญหาของเขาและถึงกับรู้เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังอาการเจ็บป่วยด้วยนั้นบ่งบอกว่าอีกฝ่ายเก่งกาจมาก เขาไม่มีความขัดข้องใจใดๆที่จะรับใช้คนแบบนี้


ตอนที่ 2073 น่าทึ่งอะไรอย่างนี้!

“วิธีแก้นั้นง่ายมาก คุณต้องกลับมาฝึกฝนศิลปะมรกตพลิ้วไหวอีกครั้ง” จางเซวียนตอบพร้อมกับหัวเราะหึๆ


“ฝึกฝนศิลปะมรกตพลิ้วไหวอีกครั้ง? มัน…มันจะเป็นไปได้อย่างไร?”


คราวนี้ผู้พูดไม่ใช่ผู้อาวุโสเฟิง แต่เป็นเจ้าสำนักคุ่ย เขารู้สึกว่าจางเซวียนพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้


ด้วยสภาวะที่แสนเปราะบางของทางเดินพลังปราณของผู้อาวุโสเฟิง ถ้าอีกฝ่ายฝึกฝนศิลปะมรกตพลิ้วไหวตอนนี้ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่มันจะปะทะกับศิลปะตะวันผงาด ความประมาทเลินเล่อเพียงเล็กน้อยอาจทำให้วรยุทธของเขาถูกธาตุไฟเข้าแทรก หรือแม้แต่ถึงแก่ชีวิต!


“แน่นอนว่าผมไม่ได้หมายถึงศิลปะมรกตพลิ้วไหวแบบเดิมที่คุณเคยฝึกฝน สิ่งที่คุณจะต้องฝึกตอนนี้คือเวอร์ชั่นที่ผมปรับปรุงแล้ว” จางเซวียนพูด


จางเซวียนนำตราหยกอันหนึ่งออกมาและเคาะเบาๆ จิตใต้สำนึกเสี้ยวหนึ่งของเขาซึมซาบเข้าสู่ตราหยกและถ่ายทอดศิลปะมรกตพลิ้วไหวฉบับปรับปรุงใหม่ลงไป จากนั้นเขาก็ยื่นตราหยกให้ผู้อาวุโสเฟิง


เมื่อรับตราหยกมา ผู้อาวุโสเฟิงอ่านรายละเอียดที่อยู่ในนั้น แล้วพลังปราณของเขาก็เริ่มไหลเวียนตามวงจรที่ถูกบันทึกไว้ ครู่ต่อมา เขาก็กระอักเลือดสีดำออกมาสามกองใหญ่


ในชั่วพริบตา ร่างกายของเขากลับเบาสบายและผ่อนคลายกว่าเดิมมาก ด่านคอขวดที่เคยสกัดกั้นเขาไว้สลายตัวไป แขนซ้ายก็ไม่แข็งเกร็งแล้ว


“รวดเร็วเหลือเกิน…” ผู้อาวุโสเฟิงกำหมัดแน่นขณะมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาที่บ่งบอกทั้งความเคารพและพรั่นพรึงระคนกัน


เขารู้สภาวะร่างกายของตัวเองดี เพียงแค่ฝึกฝนเทคนิควรยุทธที่อีกฝ่ายมอบให้ ร่างกายของเขาก็มีอาการดีขึ้นกว่าเดิมมาก ผู้อาวุโสเฟิงรู้ว่าขอแค่เขาฝึกฝนตามนี้อย่างเคร่งครัด ไม่ช้าก็จะหายดีเป็นปลิดทิ้ง!


ปัญหาที่เกาะกุมเขาตลอด 81 ปีที่ผ่านมาและทำให้ต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรล้ำค่ามากมายจากสำนักดาวเจ็ดดวงถูกคลี่คลายในชั่วพริบตาด้วยการมองเพียงแวบเดียวของชายหนุ่ม


น่าทึ่งอะไรอย่างนี้!


ผู้อาวุโสเฟิงไม่ใช่คนเดียวที่ประหลาดใจ เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวก็พูดไม่ออก


เขาเคยกังวลว่าหลิวหยางยังอ่อนอาวุโสเกินไปที่จะได้การสนับสนุนจากสำนัก แต่ด้วยความเก่งกาจของอีกฝ่าย ดูเหมือนเขาจะกังวลไปเปล่าๆ


ความปราดเปรื่องของชายหนุ่มไม่ได้มีแค่ความสามารถในการเรียนรู้เทคนิคการต่อสู้ได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังรู้จักวิถีทางของการรักษาโรคในระดับที่เรียกว่าน่าทึ่งอีกด้วย ถึงขนาดที่เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวนึกไม่ออกว่าจะมีใครเทียบชั้นกับอีกฝ่ายได้


“เอาล่ะ ขอแค่คุณฝึกฝนเทคนิควรยุทธนี้อย่างเคร่งครัด ก็จะหายดีภายในครึ่งปี อันที่จริง คุณอาจยกระดับวรยุทธได้ด้วยซ้ำ” จางเซวียนพูดพร้อมกับโบกมือ


สำหรับตัวเขา เรื่องนี้ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก จึงไม่รู้สึกอะไรที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลืออีกฝ่าย


ผู้อาวุโสเฟิงสำแดงเทคนิคการต่อสู้เพื่อขับเคลื่อนเรือมาตลอดทาง จางเซวียนจึงประมวลหนังสือของอีกฝ่ายขึ้นในหอสมุดเทียบฟ้าและมองเห็นปัญหาทั้งหมด และด้วยหนังสือมากมายที่เขาเพิ่งอ่าน การจะหาวิธีแก้ไขที่เหมาะสมย่อมไม่ยากเกินไป


“ขอบคุณมาก ผู้อาวุโสหลิว!”


ผู้อาวุโสเฟิงโค้งคำนับอย่างงาม


จางเซวียนรู้ดีว่าเขาเอาชนะใจผู้อาวุโสเฟิงได้แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองอีก เขาตั้งคำถามโดยตรงเข้าประเด็น “ค่ายกลและฉนวนที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นฝีมือคุณใช่ไหม?”


ขณะที่ทั้งสามกำลังสนทนากัน เรือลำนั้นก็เล่นไปได้อีกราว 200 ลี้ พวกเขามาถึงบริเวณที่ผิวหน้าของมหาสมุทรราบเรียบ ไม่ต่างอะไรกับกระจกเงา


“พื้นที่นี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อทะเลคันฉ่องน้อย ค่ายกลและฉนวนที่ผมติดตั้งไว้ก็ถูกซ่อนอยู่ที่นี่” ผู้อาวุโสเฟิงพูดพร้อมกับพยักหน้า


มีสินแร่พิเศษบางอย่างในทะเลคันฉ่องน้อยที่ดึงดูดสิ่งมีชีวิตบางชนิดให้มารวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ ทำให้เกิดการสะท้อนของผิวน้ำในมหาสมุทร


ค่ายกลและฉนวนที่เขาติดตั้งไว้ก็ล้วนแต่ถูกซ่อน จนแม้แต่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ก็ไม่อาจมองเห็นได้โดยง่าย แล้วชายหนุ่มรู้ได้อย่างไร?


ขณะที่ผู้อาวุโสเฟิงกำลังคิดหนัก ชายหนุ่มก็พูดต่อ “ค่ายกลคู่วังวนวารีสามารถพรางตัวในน้ำได้ ทำให้สังเกตเห็นได้ยาก พละกำลังของมันก็รับมือด้วยได้ยากเช่นกัน แต่มันออกจะอ่อนด้อยไปสักหน่อยหากจะใช้ดักอสูรที่มีวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ ที่สำคัญกว่านั้น คู่ต่อสู้คือสิ่งมีชีวิตที่มีถิ่นฐานในน้ำ อ่อนไหวและไวต่อกระแสการไหลของน้ำมาก ทันทีที่มันรับรู้ได้ว่ามีค่ายกลอยู่ ก็จะใช้ประโยชน์จากการกระเพื่อมของวังวนนั้นผลักดันตัวมันออกไป”


“คุณอ่านกลไกค่ายกลของผมได้?” ผู้อาวุโสเฟิงถึงกับผงะ


โดยปกติ ค่ายกลคู่วังวนวารีจะใช้หยดน้ำหลอมรวมกันเป็นธงค่ายกล มันจะไหลไปตามกระแสน้ำ กลมกลืนถึงขนาดที่แม้การรับรู้จิตวิญญาณของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ก็ไม่อาจตรวจจับได้


แต่ชายหนุ่มคนนี้มองเห็นมันทันทีที่มาถึง แถมยังชี้ข้อบกพร่องของค่ายกลได้ด้วย ประสิทธิภาพการหยั่งรู้ของเขาน่าสะพรึงเหลือเกิน!


“ผู้อาวุโสหลิว อสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่เรากำลังตามล่าคือเต่าหลังดำ มันขึ้นชื่อเรื่องความเชื่องช้า ค่ายกลคู่วังวนวารีคือกับดักที่เหมาะสมที่สุดแล้ว” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวโพล่งออกมา


ในเมื่อพวกเขาตั้งใจตามล่าอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ จึงเป็นธรรมดาที่ต้องหาข้อมูลล่วงหน้า พวกเขาพิจารณาแล้วถึงความเป็นไปได้ที่อสูรจะใช้การกระเพื่อมของวังวนเพื่อหลบหนี แต่ในเมื่อเป้าหมายคือเต่าหลังดำ พวกเขาจึงตัดสินใจใช้ค่ายกลนี้ต่อไป


ด้วยรูปร่างใหญ่โตเทอะทะของเต่าหลังดำ มันไม่มีทางใช้กระแสน้ำเพิ่มความเร็วของตัวเองได้ ขอแค่พวกเขาควบคุมการกระเพื่อมของน้ำได้ดีพอ ก็จะก่อเกิดปราการที่สามารถดักเต่าหลังดำไว้ได้อย่างรัดกุม


“ความถนัดของเต่าหลังดำคือการป้องกันตัว ไม่ใช่ความเร็ว ด้วยรูปร่างใหญ่โตของมัน การใช้ค่ายกลคู่วังวนวารีถือเป็นความคิดที่ไม่เลว แต่เราไม่ควรลืมเรื่องสภาพแวดล้อมที่นี่ ตอนนี้เราอยู่ในทะเลคันฉ่องน้อยและมีดวงจันทร์ส่องสว่างอยู่เหนือศีรษะด้วย” จางเซวียนพูด


“ฮะ?”


เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวกับผู้อาวุโสเฟิงงุนงงกับคำพูดของจางเซวียน พวกเขาไม่รู้ว่าชายหนุ่มตั้งใจจะพูดถึงอะไร


เรากำลังพูดถึงค่ายกลกับเต่าหลังดำไม่ใช่หรือ? แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับทะเลคันฉ่องน้อยกับดวงจันทร์ที่ส่องสว่าง?


“พวกคุณเคยคิดบ้างไหมว่าเต่าหลังดำอาจไม่ได้ออกห่างเพียงเพราะความหวาดระแวง? คิดบ้างหรือเปล่าว่าอาจเป็นไปได้ที่มันรู้ว่าพวกคุณติดตั้งค่ายกลไว้ และกำลังรอเวลาเพื่อหาโอกาสเหมาะๆเข้าโจมตี?” จางเซวียนย้อนถาม


เขานึกสงสัยขึ้นมาทันทีตอนที่ผู้อาวุโสเฟิงพูดว่าอสูรตัวนั้นกำลังหวาดระแวง


อสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์คือสิ่งมีชีวิตที่น่าจะทรงพลังที่สุดในทะเลพลัดดาว! มีเหตุผลอะไรที่มันต้องหวาดระแวงในเมื่อแทบไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ทำอันตรายมันได้?


ถ้าเป็นอาการลังเลชั่วครั้งชั่วคราวก็อาจเรียกได้ว่าเป็นความหวาดระแวง แต่การรักษาระยะห่างเป็นเวลาหลายวันแบบนี้…แน่นอนว่าต้องมีอะไรมากกว่าที่เห็น!


หลังจากตรวจสอบค่ายกลและพิกัดแล้ว จางเซวียนก็ถึงบางอ้อ


“คุณหมายความว่าอย่างไร?” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวตั้งคำถาม


เขาไม่อาจปะติดปะต่อเงื่อนงำต่างๆเข้าด้วยกันได้


“คุณควรจะรู้นะว่าทำไมทะเลคันฉ่องน้อยถึงราบเรียบเหมือนกระจกเงา เพราะด้วยสินแร่พิเศษที่มีอยู่บริเวณนี้ สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่ชื่อแมลงเม่าใบไม้สีเงินจึงมารวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่อยู่ในน้ำ”


ทั้งสองพยักหน้ารับ


พวกเขาเคยได้ยินชื่อแมลงเม่าใบไม้สีเงินมาก่อน มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเล็กจนแทบไม่ต่างอะไรกับฝุ่นผง แต่ด้วยปริมาณที่มีมากมายมหาศาล จึงสามารถสร้างผิวหน้าที่เหมือนกระจกเงาให้เกิดขึ้นในทะเลคันฉ่องน้อยได้


“แมลงเม่าใบไม้สีเงินเหล่านี้ไม่ได้กินปะการังหรือสัตว์ต่างๆ แต่ดูดกลืนพลังงานจากสินแร่บางชนิด พื้นที่ตรงนี้มีสินแร่เหล่านั้นมากมาย ดึงดูดแมลงเม่าใบไม้สีเงินให้มารวมตัวกันจนเกิดเป็นภาพน่าทึ่งอย่างที่เห็น” จางเซวียนพูด


ผู้อาวุโสเฟิงพยักหน้า เขาเคยไปที่นั่นหลายครั้งแล้ว และได้สำรวจบริเวณนั้นอย่างถี่ถ้วน จึงรู้ว่าสิ่งที่จางเซวียนพูดเป็นความจริง


“แมลงเม่าใบไม้สีเงินพวกนี้ไม่ได้อันตรายมากนัก แต่ถ้าสินแร่ที่พวกมันกัดกินเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา พวกคุณนึกภาพออกไหมว่าอะไรจะเกิดขึ้น?”


เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ถ้าพวกมันรู้สึกว่าชีวิตกำลังถูกคุกคาม จะต้องเกิดความตื่นตระหนกอย่างหนัก พวกมันส่วนใหญ่น่าจะเคลื่อนกำลังพลเพื่อพยายามคลี่คลายสถานการณ์”


ไม่มีอสูรชนิดไหนที่ไม่กังวลหากแหล่งอาหารของมันถูกคุกคาม


“ใช่ พวกมันจะเคลื่อนไหวเพื่อหวังว่าจะคลี่คลายสถานการณ์ได้ และเมื่อแมลงเม่าจำนวนมหาศาลเคลื่อนกำลังพลพร้อมกันในคราวเดียว คุณแน่ใจหรือว่าค่ายกลคู่วังวนวารีจะยังคงมีประโยชน์?” จางเซวียนตั้งคำถาม


ผู้อาวุโสเฟิงคิดหนักขณะรีบวิเคราะห์สถานการณ์


แมลงเม่าใบไม้สีเงินมีขนาดแค่ผงธุลี หากพวกมันเพียงไม่กี่ตัวเคลื่อนไหวพร้อมกันก็ไม่ก่อให้เกิดปัญหาอะไร แต่หากทั้งฝูงที่ครอบคลุมทั่วทั้งทะเลคันฉ่องน้อยออกมาพร้อมกัน ต่อให้ค่ายกลที่แข็งแกร่งที่สุดก็ย่อมพังทลายเพราะการจู่โจมหนักหน่วงนั้น


อย่าว่าแต่จะจับเต่าหลังดำเลย พวกเขาอาจติดกับอยู่ที่นั่นด้วย!


“แต่สินแร่พวกนั้นฝังลึกอยู่ก้นทะเลมานานหลายปีแล้วนะ มันไม่เคยเคลื่อนไหวเลย ไม่น่าจะมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นอย่างปุบปับได้หรอก อีกอย่าง…เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับพระจันทร์เต็มดวง?” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวถาม


ถ้าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับสินแร่ ก็น่าจะเกิดไปนานแล้ว พวกเขาจะต้องโชคร้ายขนาดไหนถึงบังเอิญเกิดเรื่องเมื่อมาอยู่ที่นี่?


“ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าต่อไปจะไม่มี” จางเซวียนแย้ง “อีกอย่าง ถ้าสิ่งที่ผมคิดเกิดขึ้นจริงล่ะก็ พวกคุณคือต้นเหตุ!”


“พวกเราคือต้นเหตุ?” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวกับผู้อาวุโสเฟิงงุนงงหนักขึ้นกับสิ่งที่จางเซวียนพูด


พวกเราจะเป็นต้นเหตุได้อย่างไร? เรายังไม่ได้ทำอะไรที่ก่อให้เกิดปัญหาเลย!


“เต่าหลังดำชื่นชอบวัตถุที่แวววาวเป็นประกาย ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด สิ่งที่คุณฝังไว้ที่ก้นมหาสมุทรเพื่อล่อมันคือคริสตัลเพชรล้ำค่าใช่ไหม?” จางเซวียนถาม


“ผมเดาว่าคริสตัลเพชรที่คุณใช้คงส่องแสงเป็นประกายยิ่งกว่าไข่มุกกระจ่างราตรีเสียอีกเมื่ออยู่ใต้น้ำ ถึงขนาดที่เห็นได้ชัดแม้อยู่ห่างออกไปเป็นหมื่นลี้ แต่นั่นแหละ คุณต้องทำแบบนั้นเป็นอย่างน้อยถึงจะดึงดูดความสนใจของเต่าหลังดำได้ แต่เคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าพลังงานแสงที่คริสตัลเพชรเปล่งออกมานั้นมาจากไหน? ขนาดไข่มุกราตรีก็ยังต้องซึมซับแสงอาทิตย์ไว้เพื่อจะได้ส่องสว่าง และด้วยความเจิดจรัสของคริสตัลเพชร พลังงานนั้นมาจากไหน? ต่อให้มันมีแหล่งเก็บกักพลังงานอยู่ภายใน ก็ไม่มีทางที่จะเพียงพอให้เปล่งประกายได้ยาวนานหลายวัน…”


ตอนที่ 2074 นี่มัน…ค่ายกลมิติ?

“คุณอาจคิดว่าสิ่งนั้นมาจากแมลงเม่าใบไม้สีเงิน แต่ผมบอกคุณได้เลยว่าถ้าคุณกล้าซึมซับเพียงเศษเสี้ยวของพลังงานจากมันล่ะก็ พวกมันจะรวมตัวกันและกลืนกินคุณในทันที!”


“คือ…” ทั้งคู่สบตากัน ตกตะลึงกับคำพูดของจางเซวียน


จะว่าไป พวกเขาคิดว่ากำลังซึมซับพลังงานจากแมลงเม่าใบไม้สีเงินอยู่ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นแบบนั้น นี่เป็นคำถามที่น่าคิดมาก เพราะในเมื่อแสงสว่างทั้งหมดถูกผิวหน้าของผืนน้ำสะท้อนกลับไป ทุกอย่างที่อยู่ภายใต้ผิวหน้าก็น่าจะเป็นสีดำสนิท


และถ้าไม่มีแสงอาทิตย์คอยให้พลังงาน…มันจะเป็นอะไรอื่นได้?


เมื่อเห็นว่าทำให้ทั้งสองเริ่มใคร่ครวญได้สำเร็จ จางเซวียนพูดต่อ “ผมจะบอกคำตอบให้นะ คริสตัลเพชรกำลังดูดพลังงานจากสินแร่ ในคืนพระจันทร์เต็มดวง แมลงเม่าใบไม้สีเงินจะอยู่ในภาวะอ่อนแอที่สุด พวกมันจะกลืนกินพลังงานจากสินแร่อย่างบ้าคลั่งเพื่อฟื้นฟูพลังของตัวเอง แต่ตอนนี้ คริสตัลเพชรกำลังแก่งแย่งกับแมลงเม่าเพื่อดูดพลังงาน พลังงานที่สามารถซึมซับจากสิ่งแวดล้อมได้ในเวลานี้จึงมีจำกัด สถานการณ์แบบนี้ส่งผลให้เกิดปัญหาใหญ่ได้อย่างง่ายดาย ในกรณีที่เลวร้ายน้อยที่สุดก็จะเกิดการสั่นสะเทือนใต้น้ำ ทำให้น้ำมีความปั่นป่วน ส่วนกรณีเลวร้ายที่สุด น้ำวนขนาดมหึมาจะเกิดขึ้นในทะเลคันฉ่องน้อย กลืนกินทุกอย่างที่อยู่ตรงนั้น!”


เมื่อได้ฟัง ผู้อาวุโสเฟิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะถามต่อ “ถ้าเรื่องนั้นเกิดขึ้นจริงๆ ค่ายกลของผมจะสูญเสียประสิทธิภาพอย่างสิ้นเชิง และเต่าหลังดำจะได้รับผลกระทบจากความวุ่นวายต่างๆจนไม่สามารถหลบหนีได้ด้วยหรือเปล่า?”


จริงอยู่ว่าการจู่โจมของแมลงเม่าใบไม้สีเงินจะทำให้ค่ายกลของเขามีปัญหา แต่สถานการณ์แบบนั้นก็ไม่ได้เป็นประโยชน์กับเต่าหลังดำเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ทำไมมันถึงเฝ้ารอให้ถึงคืนพระจันทร์เต็มดวงถึงจะเข้าโจมตี?


“ไม่สามารถหลบหนี?” จางเซวียนหัวเราะลั่น “คุณประเมินความเก่งกาจของเต่าหลังดำที่มีวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ต่ำไปแล้วล่ะ มันเป็นอสูรที่มีความสามารถในการป้องกันตัวอย่างไร้เทียมทาน แม้แต่ในระหว่างการจู่โจมของแมลงเม่าใบไม้สีเงิน ด้วยน้ำหนักมหาศาลของมัน มันก็จะหาทางเข้าไปกลืนกินคริสตัลเพชรของคุณได้ภายใน 3 อึดใจ”


“คริสตัลเพชรที่มีวรยุทธสูงระดับนั้นไม่อาจถูกกลืนกินทั้งหมดได้โดยง่าย ซึ่งหมายความว่าแมลงเม่าใบไม้สีเงินจะสัมผัสได้ถึงพลังของสินแร่ที่แผ่ออกมาจากเต่าหลังดำ พูดอีกอย่างก็คือ มันจะกลายเป็น ‘ตัวการ’ ที่ขัดขวางการซึมซับพลังงานของแมลงเม่าใบไม้สีเงิน ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น คุณคิดว่าฝูงแมลงเม่าจะตอบโต้อย่างไร?”


“แมลงเม่าต้องเล่นงานเต่าหลังดำแน่นอน ถูกไหม?”


ทันทีที่พูดจบ ผู้อาวุโสเฟิงหรี่ตาขณะเข้าใจแจ่มชัดว่าเกิดอะไรขึ้น “สิ่งที่คุณอยากบอกก็คือเต่าหลังดำรู้แผนการของผมแล้ว และที่มันจงใจรอให้ถึงคืนพระจันทร์เต็มดวงก็ไม่ใช่เพียงเพื่อทำลายค่ายกลและฉกฉวยคริสตัลเพชรของผม แต่เพื่อใช้โอกาสนี้เล่นงานแมลงเม่าใบไม้สีเงิน…และบางที อาจรวมถึงผมด้วย ใช่ไหม?”


แมลงเม่าใบไม้สีเงินอาจขัดขวางการเคลื่อนไหวของเต่าหลังดำได้ แต่ไม่มีทางที่พวกมันจะก่อให้เกิดอันตรายใดๆ ในระยะยาว แมลงเม่าก็ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเหยื่อของเต่าหลังดำ


ในเวลาเดียวกัน พวกเขาจะติดกับอยู่ท่ามกลางการเคลื่อนพลของแมลงเม่าใบไม้สีเงินโดยไม่อาจหลบหนี ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะเปลี่ยนบทบาทจากผู้ล่ามาเป็นเหยื่อ!


ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงล่ะก็ คงน่าพรั่นพรึงมาก!


ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขาเคยคิดว่าตัวเองควบคุมสถานการณ์ได้ ใครจะไปรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วก็ติดกับของอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว?


“พละกำลังของคุณน่ะไม่มากพอจะสะดุดตามันหรอก ถ้ามันอยากเล่นงานคุณจริงๆ คงทำไปนานแล้ว เป็นไปได้ว่าเป้าหมายของมันคือเจ้าสำนักคุ่ย!” จางเซวียนพูด


เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวถึงกับชะงัก


“ถ้าผมไม่ได้อยู่ที่นี่ล่ะก็ ป่านนี้คุณคงลงไปอยู่ใต้น้ำ สำรวจบริเวณโดยรอบค่ายกลคู่วังวนวารี และเฝ้ารอให้เต่าหลังดำเข้ามาติดกับใช่ไหม?” จางเซวียนถามยิ้มๆ “ถ้าฝูงแมลงเม่าใบไม้สีเงินตรงเข้าโจมตีคุณอย่างฉับพลันล่ะก็ คุณเสร็จพวกมันแน่ แถมคุณยังไม่มีทักษะการป้องกันตัวที่เหนือชั้นแบบเต่าหลังดำด้วย ภายในเวลาไม่นาน ฝูงแมลงเม่าจะปิดกั้นจุดชีพจรของคุณได้สำเร็จ ทำให้คุณอ่อนแรงลงมาก”


ได้ยินคำนั้น เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวตัวแข็ง


เขารู้ดีว่าสิ่งที่ชายหนุ่มพูดเป็นความจริง ถ้าชายหนุ่มไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาคงดำลงไปใต้น้ำพร้อมกับผู้อาวุโสเฟิงเพื่อเตรียมการให้เต่าหลังดำเข้ามาติดกับแล้ว และถ้าแมลงเม่าใบไม้สีเงินบุกเข้ามาตอนนี้ ด้วยรูปร่างเล็กจิ๋วของมันและปริมาณที่มีมากมายมหาศาล คงยากที่พวกเขาจะป้องกันตัวได้ ไม่ช้าไม่นานก็คงถูกสกัดกั้นจุดชีพจร ทำให้ไม่อาจขับเคลื่อนพลังปราณได้ระยะหนึ่ง


เพราะถึงอย่างไร เขาก็ไม่ได้โชคดีถึงขนาดที่จะมีกระดองแข็งแกร่งไร้เทียมทานอย่างเต่าหลังดำ


แน่นอนว่าความสามารถเพียงเท่านั้นไม่อาจปราบนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อย่างเขาได้ ไม่ช้าเขาก็คงปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากฝูงแมลงเม่าใบไม้สีเงินได้สำเร็จ แต่ถ้าอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ใช้ช่วงเวลาที่เขากำลังอ่อนแอเล่นงานเขาล่ะ…


แค่คิดถึงผลที่จะตามมา ก็ทำเอาตัวสั่นแล้ว!


เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวนึกภาพตามที่จางเซวียนคาดการณ์ไว้ เขารู้สึกได้ว่าร่างกายเย็นเยือกขึ้นเรื่อยๆ


แม้จากการประเมินคร่าวๆ โอกาสที่เขาจะถูกเต่าหลังดำสังหารก็มีถึง 80% เป็นอย่างน้อย!


สถานการณ์แบบนี้ไม่อาจเกิดขึ้นโดยบังเอิญได้ โดยเฉพาะเมื่อมีสิ่งมีชีวิตขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เข้ามาเกี่ยวข้อง


มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นอย่างที่จางเซวียนพูด ขณะที่พวกเขากำลังวางกับดักเพื่อล่อเต่าหลังดำ เจ้านั่นก็ทำแบบเดียวกัน ดูเหมือนพวกเขาเสียท่าแล้ว ไม่มีอะไรที่จะเหนือชั้นไปกว่าการจัดฉากที่ทำให้เป้าหมายยอมกระโจนเข้าใส่ด้วยความเต็มใจ


ถ้าพวกเขาไม่รู้ล่วงหน้า ผู้ที่ถูกล่าจะต้องเป็นพวกเขาแน่ หรือต่อให้ใช้ไม้ตายต่างๆเพื่อหลบหนีออกมาได้ ก็จะต้องบาดเจ็บสาหัสจนแทบเอาชีวิตไม่รอด!


แค่คิดถึงความเป็นไปได้เหล่านี้ก็ทำเอาเย็นเยือกถึงกระดูกสันหลังแล้ว


หลังจากเงียบงันไปครู่ใหญ่ ผู้อาวุโสเฟิงตั้งคำถาม “ผู้อาวุโสหลิว แล้วเราควรทำอย่างไร?”


ในเวลานี้ เขาให้ความสำคัญกับผู้อาวุโสหลิวมากกว่าเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวไปโดยอัตโนมัติ ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ปฏิกิริยาแรกของเขาคือการขอคำแนะนำจากผู้อาวุโสหลิว


“คุณยังมีธงค่ายกลที่ทำจากหยดน้ำที่ใช้ติดตั้งค่ายกลคู่วังวนวารีอยู่ไหม?” จางเซวียนถาม


“ผมมี” ผู้อาวุโสเฟิงตอบ


เขาสะบัดข้อมือ จากนั้นก็นำหยดน้ำหลายหยดออกมา


แม้พวกมันจะดูเหมือนน้ำธรรมดา แต่แท้ที่จริงแล้วคือธงค่ายกล ด้วยธรรมชาติของมันที่มีความพิเศษ จึงสามารถหลอมละลายกลายเป็นน้ำได้ แต่ทันทีที่เข้าประจำตำแหน่ง ก็จะสามารถเปิดใช้งานเพื่อดึงพละกำลังของค่ายกลออกมาได้ทันที


“ดี ในเมื่อเต่าหลังดำเชื่อว่าพวกเราอยู่ในกำมือของมันแล้ว เราก็แค่ปรับเปลี่ยนค่ายกลเพื่อพลิกผันสถานการณ์” จางเซวียนพูด


“ไป!”


เขาโบกมือ จากนั้นก็สลายหยดน้ำทั้งหมดในมือของผู้อาวุโสเฟิงให้หลอมรวมกับพื้นน้ำ


ฟึ่บ!


พริบตาต่อมา หยดน้ำหลายสิบหยดนั้นก็หายวับไปภายใต้ผิวหน้าสีเงินของทะเลคันฉ่องน้อย


“เอ่อ…”


เห็นชายหนุ่มจัดการหยดน้ำทั้งหมดพร้อมกันในคราวเดียวโดยไม่ลังเล ผู้อาวุโสเฟิงชะงักไปอีกครั้ง


นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นใครสักคนติดตั้งค่ายกลด้วยวิธีแบบนี้! มันจะดูหยาบและรวบรัดไปหน่อยไหม?


“เท่านี้ก็เรียบร้อย ลงไปรอเต่าหลังดำกันเถอะ” จางเซวียนพูดพร้อมกับหัวเราะหึๆ


“แค่นี้หรือ?” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวยังรู้สึกไม่มั่นใจ


“ใช่ เราจะทำตามแผนเดิมและเฝ้ารอให้เต่าหลังดำปรากฏตัว ห้ามเคลื่อนไหวอะไรทั้งนั้น เพราะจะทำให้มันสงสัย” จางเซวียนพูด


เห็นความมั่นใจของอีกฝ่าย เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า “เราจะทำตามแผนการของผู้อาวุโสหลิว”


“ได้ เจ้าสำนักคุ่ย!” ผู้อาวุโสเฟิงพยักหน้า


พวกเขาเล่นเรือต่อไปจนถึงใจกลางทะเลคันฉ่องน้อย


“ถึงแล้ว” ผู้อาวุโสเฟิงพูด


เขายื่นมือออกไป แล้วทางเดินขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้นบนผิวน้ำ เขาจอดเรือไว้ก่อนจะดำดิ่งลงไป


จางเซวียนกับเจ้าสำนักคุ่ยตามผู้อาวุโสเฟิงไปติดๆ ทั้งสามดำดิ่งลงสู่ความล้ำลึกของทะเลดำมืด


ผิวน้ำเปล่งประกายระยิบระยับและพริ้วไหวเล็กน้อย ดูคล้ายสิ่งมีชีวิต แต่ในทางกลับกัน ก้นมหาสมุทรนั้นเงียบสนิท ไร้คลื่นใต้น้ำใดๆ ราวกับห้องลับอันเงียบงัน


มีประกายเจิดจ้าอยู่ตรงหน้าพวกเขา มาจากคริสตัลเพชรที่ผู้อาวุโสเฟิงฝังไว้ ทั้งสามจึงมุ่งหน้าไปตามทิศทางของแสงนั้น


วิธีการฝังคริสตัลเพชรของผู้อาวุโสเฟิงถือว่าละเอียดละออมาก เขาทำให้ดูเหมือนว่าคริสตัลเพชรคืออัญมณีตามธรรมชาติที่มีอยู่ในเส้นเลือดปฐพี และเหตุผลเดียวที่มันเปิดเผยตัวออกมาก็เพราะพื้นโลกเกิดรอยแยก


หากไม่รู้มาก่อนว่าเป็นสิ่งที่ถูกทำขึ้น จะต้องหลงนึกไปว่านี่คือผลงานของธรรมชาติ ทำให้ปราศจากความหวาดระแวง


“พวกเราจะซ่อนตัวที่นี่”


ทั้งสามหยุดอยู่ไม่ห่างจากคริสตัลเพชรมากนัก ผู้อาวุโสเฟิงโบกมือ เขาสร้างน้ำวนขนาดเล็กและดำดิ่งลงไป จางเซวียนกับเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวตามไปติดๆ


ทันทีที่ทั้งสามเข้าไป น้ำวนนั้นก็หายวับ ราวกับพวกเขาไม่เคยอยู่ตรงนั้นมาก่อน


“นี่มัน…ค่ายกลมิติ?”


ไม่แปลกใจแล้วที่ผู้อาวุโสเฟิงมั่นใจว่าเต่าหลังดำจะไม่รู้ว่าพวกเขาซ่อนตัวอยู่ เพราะที่จริงเขาจัดเตรียมค่ายกลมิติไว้ล่วงหน้าแล้ว หากคู่ต่อสู้ไม่สามารถหาแกนกลางของค่ายกลเพื่อทำลายโครงสร้างของค่ายกลทะลุมิติได้ ก็ยากที่จะรับรู้ถึงการปรากฏตัวของพวกเขา


ถึงตอนนี้คนนอกจะมองไม่เห็นคนทั้งสาม แต่ทุกคนเห็นสิ่งที่อยู่รอบตัวได้อย่างชัดเจน


เห็นประกายระยิบระยับที่คริสตัลเพชรเปล่งออกมา จางเซวียนอดออกความเห็นไม่ได้


“กว่าพวกคุณจะหาคริสตัลเพชรนี้ได้คงยากเย็นน่าดู!”


เพชรเม็ดนี้ไม่อาจนำไปหลอมละลายเพื่อสร้างอาวุธได้ แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือหนึ่งในวัตถุที่งดงามที่สุดของทั่วทั้งมิติเบื้องบน เพชรเพียงเม็ดเดียวก็มีราคาสูงลิ่วแล้ว น่าจะสูงกว่าของล้ำค่าระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์เสียอีก


เหตุที่ทำให้ได้มันมายากยิ่งขึ้นก็เพราะมันเป็นสินแร่หายาก ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของทวีปที่ถูกลืม คริสตัลชนิดนี้เคยปรากฏขึ้นเพียง 3 ครั้งเท่านั้น และแม้แต่เม็ดที่ใหญ่ที่สุดก็มีขนาด เพียงแค่ผลลำไย


แต่คริสตัลเพชรที่อยู่ตรงหน้าพวกเขามีขนาดใหญ่กว่ากำปั้นเสียอีก คุณค่าของมันคงแทบประเมินไม่ได้!


สำนักดาวเจ็ดดวงทุ่มสุดตัวเพื่อล่อเต่าหลังดำออกมา!


ตอนที่ 2075 มีบางอย่างไม่ถูกต้อง

“กว่าจะได้คริสตัลเพชรเม็ดนี้มา เราต้องใช้กำลังพลกว่าหมื่นคนและสิ้นเปลืองทรัพยากรมหาศาล” เจ้าสำนักคุ่ยพยักหน้า


เขาคือผู้วางแผนในปฏิบัติการครั้งนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ


จริงอยู่ว่าราคาค่างวดของมันแสนจะน่าสะพรึง แต่ก็คุ้มค่าหากจับอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์มาได้


นอกจากเลือดและแก่นอสูร แม้แต่ผิวหนังและกระดูกของพวกมันก็เป็นของล้ำค่าที่มีมูลค่ามหาศาล ถ้าสำนักดาวเจ็ดดวงเปิดประมูลชิ้นส่วนทั้งหมด ก็แน่ใจได้เลยว่าจะสามารถชดเชยเงินทองที่เสียไปและได้กลับคืนมาอย่างน้อยเป็น 10 เท่า!


เมื่อ 2 เดือนก่อน อสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ทั้งหมดที่มีอยู่ในทวีปที่ถูกลืมล้วนแต่มาจากหอเทพเจ้า พวกมันไม่เคยถูกพบที่ไหนมาก่อน จึงไม่มีใครตามล่าได้สำเร็จ


ด้วยเหตุนี้ หากพวกเขาทำได้เป็นกลุ่มแรก ก็ไม่ใช่แค่ปรากฏการณ์ใหม่ แต่ยังขายชิ้นส่วนของมันได้ราคางามด้วย


ยิ่งไปกว่านั้น แก่นอสูรกับเลือดอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ก็ช่วยยกระดับวรยุทธได้ ในโลกที่พละกำลังมีอำนาจเหนือทุกอย่าง เหล่านักรบพร้อมจ่ายไม่อั้นหากสิ่งนั้นจะช่วยยกระดับวรยุทธของพวกเขาให้สูงขึ้น


ดังนั้น สำนักดาวเจ็ดดวงจึงเริ่มเตรียมการทันทีที่ได้ข่าวว่ามีอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ปรากฏตัวขึ้นในทะเลพลัดดาว ซึ่งไม่ว่าจางเซวียนจะบังเอิญเข้ามาหรือไม่ พวกเขาก็ต้องออกตามล่ามันอยู่ดี


จางเซวียนพยักหน้า


เป็นไปได้ว่ามีแต่สำนักดาวเจ็ดดวงที่แสนมั่งคั่งเท่านั้นที่สามารถทุ่มเททรัพยากรมหาศาลเพื่อปฏิบัติการนี้ อีก 5 สำนักที่เหลือคงต้องเสี่ยงกับการหมดตัวหากจะทำตาม


แน่นอนว่าหอนิรันดร์มีทรัพยากรมากพอที่จะทำแบบนี้ แต่ก็ยากจะชี้ชัดลงไปเพราะความที่มันแสนจะลึกลับ หอนิรันดร์มีสาขามากมายอยู่ในเมืองขั้น 2 และเมืองอื่นๆที่เหลือ แต่ตำแหน่งที่ตั้งของสำนักงานใหญ่และปริมาณกำลังพลของมันก็ยังคงเป็นความลับ


ขณะที่ทั้งสามพูดคุยกัน พระจันทร์เต็มดวงก็ส่องสว่างกลางอากาศ ผิวหน้าของมหาสมุทรเกิดการกระเพื่อมทันทีราวกับมีแผ่นดินไหว


ผืนน้ำเริ่มเกรี้ยวกราด ทำให้ผิวหน้าที่มีลักษณะเหมือนกระจกเงาบิดเบี้ยวอย่างต่อเนื่อง เกิดเป็นภาพประหลาด


ในเวลานี้ ดูราวกับว่าดาวทุกดวงได้ดำดิ่งลงสู่ท้องทะเล


“มันเริ่มแล้ว” จางเซวียนพึมพำ


เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวกับผู้อาวุโสเฟิงพยักหน้า


เป็นอย่างที่จางเซวียนพูด มีบางอย่างเกิดขึ้นในทะเลคันฉ่องน้อยจริงๆ ซึ่งเป็นผลจากพระจันทร์เต็มดวง แมลงเม่าใบไม้สีเงินบินว่อนไปมาด้วยความตื่นตระหนก ทำให้ผิวน้ำที่กำลังกระเพื่อมเริ่มปั่นป่วน หากพวกเขายังใช้ค่ายกลคู่วังวนวารีอยู่ ตอนนี้มันคงหมดสภาพไปแล้ว


“มันมาแล้ว…” ผู้อาวุโสเฟิงพูด


ทั้งสามเงยหน้า เห็นเต่าทะเลตัวมหึมาว่ายช้าๆมาจากระยะไกล


เต่าทะเลตัวนี้มีรูปร่างใหญ่โตมาก เพียงแค่ความกว้างของมันก็มากกว่า 100 เมตรแล้ว มันดูเหมือนเรือดำน้ำลำใหญ่ที่ดำดิ่งลงมาในทะเล แม้ฝูงแมลงเม่าใบไม้สีเงินก็ไม่กล้าขวางทาง


“มันเป็นอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์จริงๆ” จางเซวียนพึมพำ


การเคลื่อนไหวของเต่าทะเลตัวนี้หนักแน่นและเชื่องช้า แต่ในแง่ของพละกำลัง มันเทียบเท่ากับเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวเลยทีเดียว หากต้องปะทะกัน ต่อให้พวกเขาสามคนผนึกกำลังกันก็ไม่น่าสู้กับมันได้


จางเซวียนเป็นนักรบอมตะขั้นสูงแล้ว เขามั่นใจว่าตัวเองเป็นผู้ไร้เทียมทานในบรรดานักรบที่มีวรยุทธขั้นเดียวกัน แต่ช่องว่างระหว่างวรยุทธอมตะขั้นสูงกับขั้นกึ่งสรวงสวรรค์นั้นแตกต่างกันเกินไป


หากเป็นครั้งอื่น เขาคงเผ่นหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้หากต้องเผชิญหน้ากับผู้เชี่ยวชาญระดับนี้ ไม่มีทางกล้าเผชิญหน้ากับมันโดยตรงแน่


“เตรียมเปิดใช้งานค่ายกล” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวพูดอย่างเคร่งขรึมขณะขับเคลื่อนพลังปราณเต็มพิกัด เขาพร้อมจะปล่อยพลังงานไปพร้อมกับค่ายกลเพื่อเล่นงานเจ้ายักษ์ใหญ่ตัวนี้ให้หนักหน่วงที่สุด


การจะทำให้อสูรที่มีวรยุทธระดับนี้ยอมจำนนเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แทนที่จะมัวสิ้นเปลืองความพยายาม ควรเล่นงานมันตรงๆจะดีกว่า


“มีบางอย่างไม่ถูกต้องนะ…” จางเซวียนเลิกคิ้ว


“อะไรที่ไม่ถูกต้อง?”


ทั้งคู่หันมา


เต่าหลังดำเข้าใกล้พวกเขามากแล้ว หากยังไม่เปิดใช้งานค่ายกลตอนนี้ ก็มีโอกาสสูงที่เต่าตัวนั้นจะรี่เข้าไปกลืนกินคริสตัลเพชร หากมันหนีออกจากอาณาบริเวณของค่ายกลไปได้ ทุกอย่างที่พวกเขาเตรียมการไว้ก็จะสูญเปล่า!


“เต่าหลังดำตามรอยคริสตัลเพชรมา และสถานการณ์ก็ดูเหมือนจะเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น เพราะฉะนั้น มันควรตรงรี่เข้าฉกฉวยคริสตัลเพชรไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงอ้อยอิ่งอยู่ตรงนั้นล่ะ เหมือนกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง…พวกคุณไม่รู้สึกว่ามันประหลาดบ้างหรือไง?” จางเซวียนตั้งคำถาม


เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวกับผู้อาวุโสเฟิงครุ่นคิด แล้วก็รู้สึกว่ามีบางอย่างประหลาดจริงๆ


เต่าหลังดำตัวใหญ่อยู่ในสภาพที่พร้อมจะฉกฉวยคริสตัลเพชรไปได้ทันที แต่แทนที่จะทำอย่างนั้น มันกลับวนเวียนไปมา ราวกับไม่รู้ว่าคริสตัลเพชรอยู่ที่ไหน


แผนการของมันคือฉกฉวยคริสตัลเพชร จากนั้นก็สังหารผู้อาวุโสเฟิงกับเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวด้วยการ ยืมมือแมลงเม่าใบไม้สีเงิน ซึ่งโอกาสที่จะทำอย่างนั้นได้ก็อยู่ตรงหน้าแล้ว แต่มันกลับไม่ยอมลงมือทำอะไร


“ฮ่าฮ่า…ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมมันมุ่งหน้ามาทางนี้ แปลว่ามันรู้ว่ามีสิ่งนี้อยู่ อย่างคำพูดที่ใครๆพูดกันว่า ‘มนุษย์ตายเพราะความโลภ นกก็ตายเพราะอาหาร’ ในท้ายที่สุด อสูรก็ไม่ได้เป็นมากกว่าอสูรหรอก มันยอมตายเพียงเพื่อเพชรเม็ดเดียว ชู่วววว…ผมคงจะหยาบคายไปหน่อยหากไม่ยอมทำอะไรเมื่อเหยื่อชิ้นใหญ่มาอยู่ตรงหน้าแล้ว…”


ขณะที่ทั้งสามกำลังพยายามขบคิดหาสาเหตุของความผิดปกตินี้ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านบน จากนั้นลำแสงเจิดจ้าก็ฉายลงมาจากผิวน้ำ


ร่างหนึ่งดำดิ่งลงมา แหวกผิวน้ำที่ราบเรียบเหมือนกระจกเงาจนลำแสงลอดลงมาได้ครู่หนึ่ง


“นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์?” จางเซวียนหรี่ตา


ผู้ที่เพิ่งลงมาในน้ำเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์จริงๆ เหมือนเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวกับเต่าหลังดำ!


เรื่องนั้นอธิบายได้ว่าทำไมเต่าหลังดำถึงวนเวียนอยู่แถวนี้แทนที่จะตรงเข้าฉกฉวยคริสตัลเพชรไป ดูเหมือนมันกำลังรอให้หมอนี่เปิดการโจมตีก่อน!


“เขาคือเจ้าสำนักป้อมปราการกระจกดำ, ไป่ซวนเฉิง!” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะส่งโทรจิตอธิบายสถานการณ์กับจางเซวียน


จางเซวียนประเมินผู้มาใหม่ขณะพึมพำ “เจ้าสำนักป้อมปราการกระจกดำ?”


ในบรรดา 6 สำนักใหญ่ ป้อมปราการกระจกดำขึ้นชื่อเรื่องความเชี่ยวชาญในการผลิตอาวุธ ว่ากันว่าดาบถงซังก็เป็นผลงานของหนึ่งในช่างตีเหล็กผู้มีชื่อเสียงของป้อมปราการกระจกดำ ใครจะไปคิดว่าเขาจะได้พบเจ้าสำนักป้อมปราการกระจกดำที่นี่?


“เขามาที่นี่ทำไม?” ผู้อาวุโสเฟิงถึงกับผงะ


เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวส่ายหน้า “ในเมื่อพวกเรายังรู้ว่าอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์จะมาปรากฏตัวในดินแดนนี้ ก็ไม่น่าแปลกใจหรอกที่คนอื่นๆจะรู้เหมือนกัน”


ไม่มีใครที่ไม่รู้ว่าอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์มีค่าแค่ไหน ในเมื่อสำนักดาวเจ็ดดวงอยากตามล่ามันให้ได้ สำนักอื่นๆก็คงไม่ต่างกัน


“เราควรเปิดใช้งานค่ายกลไหม?” ผู้อาวุโสเฟิงตั้งคำถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


ไป่ซวนเฉิงเข้ามาอย่างปุบปับแบบนี้ แผนการของพวกเขาจึงยุ่งเหยิงไปหมด


“ตอนนี้รอก่อน…” จางเซวียนยกมือ “ผมปรับปรุงค่ายกลคู่วังวนวารีให้มั่นคงขึ้นแล้ว มันน่าจะรับมือได้แม้แต่กับการเคลื่อนกำลังพลเข้าบุกรุกของฝูงแมลงเม่าใบไม้สีเงิน แต่ในทางกลับกัน การปรับเปลี่ยนนี้ทำให้การเปิดใช้งานมันทำได้ยากกว่าเดิมมาก ดูเหมือนจะมีผมคนเดียวที่ทำได้ ตอนนี้เราควรเก็บสิ่งนี้ไว้เป็นไม้ตายก่อน”


“ไม้ตาย?”


“ตอนแรก ผมคิดว่าเต่าหลังดำใช้ประโยชน์จากพระจันทร์เต็มดวงเพื่อล่อเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวให้เข้าไป แต่คิดดูอีกที แผนการนั้นไม่น่าเป็นไปได้ ไม่มีทางที่มันจะรู้แน่ชัดได้ว่าเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวจะมาตอนไหน”


“แต่เจ้าสำนักไป่ซวนเฉิงสะกดรอยตามมันมาระยะหนึ่งแล้ว มีความเป็นไปได้สูงที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เป้าหมายของมันน่าจะเป็นเขา” จางเซวียนตั้งข้อสังเกตพร้อมกับยิ้มออกมา


เขารู้เรื่องที่สะพานเบื้องบนกำลังจะลงมาระหว่างการเดินทางมาที่นี่ ต่อให้เต่าหลังดำรู้เรื่องนี้และคาดการณ์ว่าเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวจะปรากฏตัว ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าอีกฝ่ายจะมาถึงในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง ดังนั้น การที่มันจะเสียเวลาอยู่ที่นี่จึงไม่มีประโยชน์อะไร อีกอย่าง แผนการของมันจะถูกเปิดเผยทันทีที่คืนวันพระจันทร์เต็มดวงมาถึง ดังนั้น ในอีกแง่หนึ่ง ผู้ที่เต่าหลังดำรอคอยมาตลอดจึงไม่น่าจะเป็นเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยว!


เมื่อเจ้าสำนักไป่ซวนเฉิงปรากฏตัว เงื่อนงำชิ้นสุดท้ายก็ปะติดปะต่อกันได้อย่างสมบูรณ์


มีความเป็นไปได้สูงว่าเต่าหลังดำรู้ทั้งเรื่องของคริสตัลเพชรและเจ้าสำนักไป่ซวนเฉิง มันจึงจงใจล่ออีกฝ่ายให้มาที่นี่เพื่อใช้การเคลื่อนกำลังพลของแมลงเม่าใบไม้สีเงินสังหารเขา!


ซู่!


ขณะที่ทั้งสามกำลังหารือกัน น้ำก็กระเพื่อมรุนแรงกว่าเดิม คริสตัลเพชรซึมซับพลังงานจากสินแร่เข้าไปมากขึ้นเรื่อยๆ ฝูงแมลงเม่าใบไม้สีดำเคลื่อนไหวด้วยความวุ่นวายปั่นป่วน ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดรอยแยกบริเวณก้นทะเล


เต่าหลังดำไม่ใส่ใจเจ้าสำนักไป่ซวนเฉิง มันมองไปรอบๆ และเห็นว่าค่ายกลคู่วังวนวารีที่ถูกติดตั้งไว้ ยังคงอยู่ ความกังวลแวบหนึ่งปรากฏในแววตาของมันขณะที่เริ่มรู้สึกว่าอะไรๆไม่เป็นไปตามแผน


แต่มันรู้ดีว่ารอช้ากว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว จึงใช้ร่างกายขนาดมหึมาของมันพุ่งตรงไปข้างหน้า


ฟึ่บ!


ราวกับเกิดการทะลุมิติ เต่าหลังดำไปอยู่ตรงหน้าคริสตัลเพชรในชั่วพริบตาและกลืนมันลงไปทั้งเม็ด


“แบบนี้หรือที่คุณบอกว่าไม่เร็วนัก?” จางเซวียนอ้าปากค้างด้วยความพรั่นพรึง


เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวเคยบอกเขาว่าเต่าทะเลตัวนี้ขึ้นชื่อเรื่องประสิทธิภาพการป้องกันตัว แต่เรื่องความเร็วถือว่าอ่อนด้อย เขาเองก็รับรู้ข้อมูลนั้นและรู้สึกว่ามันดูมีเหตุผล


ใครจะไปรู้ว่าเต่าตัวใหญ่โตขนาดนี้จะพุ่งปรู๊ดปร๊าดได้แบบนั้น?


เร็วกว่าตอนที่เขาใช้พละกำลังเต็มพิกัดเสียอีก!


หากต้องสู้กัน ความเร็วของเต่าหลังดำคงทำให้เขาพ่ายแพ้แน่


เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวหันไปมองผู้อาวุโสเฟิงด้วยสีหน้าปั่นป่วน


“เอ่อ…ผม…ครั้งล่าสุดที่ผมพบมัน มันไม่ได้เคลื่อนไหวรวดเร็วแบบนี้ ความเร็วของมันก็พอๆกับผมนี่แหละ” ผู้อาวุโสเฟิงรีบอธิบาย


แน่นอนว่าเขาค้นคว้าข้อมูลของเต่าหลังดำมาแล้วก่อนจะติดตั้งกับดักเพื่อล่อมัน ซึ่งกับดักทั้งหมดที่ถูกติดตั้งก็มีไว้เพื่อเล่นงานเต่าหลังดำที่เชื่องช้า


พวกเขาไม่คิดเลยว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา มันปกปิดพละกำลังที่แท้จริงของตัวเองไว้!


“มันฉลาดกว่าที่ผมคิดมาก” จางเซวียนพูดพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ


ตอนที่ 2076 เขาเห็นพวกเราหรือ?

เต่าหลังดำรู้ดีว่าจะปิดบังความสามารถที่แท้จริงของมันได้อย่างไร อีกทั้งยังถ่วงเวลาเพื่อล่อฝ่ายตรงข้ามให้เข้ามาติดกับแบบดิ้นไม่หลุดด้วย ถึงมันจะดูทึ่มทื่ออยู่สักหน่อย แต่ที่จริงกลับเจ้าเล่ห์กว่าที่เห็นมาก


ก็อย่างที่ใครๆพูดกัน สิ่งมีชีวิตที่สำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์นั้นไม่อาจสบประมาทได้!


“คราวนี้เราจะทำอย่างไร?” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวตั้งคำถาม


“ในเมื่อเต่าหลังดำเริ่มออกตัวแล้ว เราก็ปล่อยให้พวกเขาสู้กันไป จากนั้นก็รอเก็บผลงาน!”


ตามแผนการเดิมของพวกเขา ทันทีที่เต่าหลังดำเดินเข้ามาในอาณาเขตที่กำหนดไว้ พวกเขาก็จะเปิดใช้งานค่ายกลทันที และด้วยพละกำลังของฝูงแมลงเม่าใบไม้สีเงินกับเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยว ก็น่าจะเล่นงานมันได้โดยง่าย อันที่จริง การจับตัวมันเป็นๆคงไม่ใช่ปัญหาเลยด้วยซ้ำ!


การปรากฏตัวของเจ้าสำนักไป่ซวนเฉิงถือเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย แต่นั่นไม่ได้ส่งผลกระทบกับพวกเขาเท่าไหร่


อันที่จริง กลับจะทำให้อะไรๆง่ายขึ้นด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้ทันทีที่ทั้งคู่ต่อสู้กันจนเหน็ดเหนื่อย


ขณะที่ทั้งสามกำลังหารือกัน เต่าหลังดำก็กลืนคริสตัลเพชรลงไปทั้งเม็ด แต่คริสตัลเพชรยังคงซึมซับพลังงานจากสินแร่ไม่หยุด


สิ่งนี้ทำให้แมลงเม่าใบไม้สีเงินออกอาการโกรธเกรี้ยว พวกมันเริ่มปั่นป่วน ทำให้ผิวน้ำกระเพื่อมอย่างเกรี้ยวกราด


ไม่ใช่เฉพาะเต่าหลังดำที่อยู่ภายใต้การโจมตีของพวกมัน เจ้าสำนักป้อมปราการกระจกดำ, ไป่ซวนเฉิงก็พบว่าตัวเองตกอยู่ในวงล้อมของฝูงแมลงเม่าใบไม้สีเงิน บีบให้เขาต้องปลดปล่อยพลังปราณและสร้างปราการป้องกันตัว


เจ้าสำนักไป่ซวนเฉิงไม่ทันระวังตัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างปุบปับ เขามองไปรอบๆก่อนจะพูดออกมา “เหล่าสหายที่ซ่อนตัวอยู่เบื้องล่าง นำเต่าหลังดำตัวนี้ไปด้วยเถอะ มันตัวใหญ่เกินกว่าจะพาไปไหนต่อไหนได้!”


เสียงของเขาทำให้ผืนน้ำโดยรอบกระเพื่อม ดังเข้าหูจางเซวียนกับคนอื่นๆอย่างชัดเจน


“เขาเห็นพวกเราหรือ?” ผู้อาวุโสเฟิงชะงัก


“ไม่น่าใช่นะ ขนาดเต่าหลังดำยังไม่รู้สึกว่าคริสตัลเพชรมีอะไรผิดปกติ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ เจ้าสำนักไป่ก็ไม่น่าจะรู้เหมือนกัน เป็นไปได้ว่าเขาน่าจะพยายามล่อลวงพวกเราให้ออกไปเพื่อช่วยเขารับมือกับเต่าหลังดำ…ไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องสนใจ” จางเซวียนตอบพร้อมกับส่ายหน้า


ด้วยความโดดเด่นเตะตาของคริสตัลเพชร ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ใครสักคนจะขุดมันออกไปแล้ว ออกจะบังเอิญเกินไปที่มันจะโผล่ออกมาตอนนี้ โดยเฉพาะเมื่อเต่าดำมีความชื่นชอบในวัตถุที่เป็นประกายแวววาวอยู่แล้ว


ด้วยหลักฐานเหล่านี้ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ไป่ซวนเฉิงจะเดาออกว่ามีใครบางคนวางกับดักไว้เพื่อซุ่มทำร้ายเต่าหลังดำ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครและสังกัดกลุ่มอำนาจไหน


เต่าหลังดำดูออกว่าค่ายกลยังไม่ถูกเปิดใช้งานแม้จะสิ้นเสียงตะโกนแล้ว แต่มันก็แน่ใจว่ามีใครบางคนซ่อนตัวอยู่ที่นั่น การที่ใครสักคนซึ่งซ่อนตัวอยู่ยังไม่ยอมเคลื่อนไหวแม้จะได้รับคำเชิญจากนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ ก็หมายความว่าพวกเขามั่นใจว่าตัวเองรับมือได้


ด้วยเหตุนี้ เต่าหลังดำจึงรู้ตัวว่าถ้าต่อสู้กับนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์คนนี้ก่อนจนตัวมันหมดแรง ก็มีโอกาสสูงที่มันจะเสียชีวิต มันจึงคำรามกร้าวและพุ่งเข้าชนไป่ซวนเฉิง


คราวนี้เต่าหลังดำเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงกว่าเดิม ยังไม่ทันที่ใครจะทันได้กระพริบตา ร่างมหึมาของมันก็อยู่ตรงหน้าไป่ซวนเฉิงแล้ว ความใหญ่โตนั้นทำให้รู้สึกราวกับมีดาวหางสักดวงพุ่งเข้าชน


เรี่ยวแรงของมันสามารถเล่นงานนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์คนหนึ่งได้ในชั่วพริบตา


“มาดูกันว่าใครเจ๋งกว่า!” ไป่ซวนเฉิงดูจะคาดการณ์การโจมตีของเต่าหลังดำไว้แล้ว เขาหัวเราะลั่น


เขารีบนำโล่ขนาดใหญ่ขึ้นมาป้องกันตรงหน้า


ทันทีที่โล่ปรากฏ มันก็ยืดยาวออกจนมีความกว้างและความสูงหลายร้อยเมตร ขนาดพอๆกันกับร่างของเต่าหลังดำ เมื่อสองฝ่ายปะทะกัน เสียงเสียงกึกก้องราวกับระฆังก็ดังขึ้นกลางอากาศ ฝูงแมลงเม่าใบไม้สีเงินที่อยู่โดยรอบแตกฮือทันที


เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวหรี่ตา “โล่อันนั้นเป็นของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ใช่ไหม?”


เขารู้จักไป่ซวนเฉิงมาหลายปีแล้ว ทั้งยังสนิทสนมกันเป็นอย่างดี ทั้งคู่เคยดวลกันหลายครั้ง และประสิทธิภาพการต่อสู้ก็ทัดเทียมกัน


แล้วจู่ๆอีกฝ่ายมีของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ตั้งแต่เมื่อไหร่?


ด้วยของล้ำค่าชิ้นนี้ แน่นอนว่าเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวไม่มีทางเอาชนะไป่ซวนเฉิงได้อีก


ไม่น่าแปลกใจแล้วที่เขากล้าท้าทายเต่าหลังดำโดยไม่เตรียมการใดๆ เพียงแค่มีของล้ำค่าชิ้นนี้กับวรยุทธอันเหนือชั้น ก็เกินพอที่จะยืนหยัดต่อสู้กับมันแล้ว!


“สกัดไว้!”


หลังจากขัดขวางการพุ่งเข้าใส่ของเต่าหลังดำได้สำเร็จ ไป่ซวนเฉิงหัวเราะลั่นอีกครั้ง เขาขยับโล่ในมือจนหมุนติ้ว


มันแหลกสลายและแปรสภาพกลายเป็นบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายแห โซ่โลหะนับไม่ถ้วนเกี่ยวพันกันและห่อหุ้มร่างของเต่าหลังดำไว้แน่น ทำให้มันถูกตรึงอยู่กับที่


กลับกลายเป็นว่าของล้ำค่าระดับกึ่งสรวงสวรรค์ชิ้นนี้คืออาวุธที่ยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนรูปร่างได้!


“แบบนี้ไม่เข้าที ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป เต่าหลังดำจะตกเป็นของเขาแน่!” ผู้อาวุโสเฟิงอุทานอย่างตื่นตระหนก


สำนักดาวเจ็ดดวงเตรียมการเรื่องนี้มาแล้วเกือบเดือน และเต่าหลังดำก็อยู่แค่เอื้อม ไม่นึกเลยว่าใครคนหนึ่งจะแย่งชิ้นปลามันไปได้ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้!


“ไม่ต้องตกอกตกใจน่ะ ถ้าการจับตัวเต่าหลังดำมันง่ายดายแบบนั้น ป่านนี้มันคงตายไปแล้ว” จางเซวียนยิ้มให้พร้อมกับปลอบใจ


ทันทีที่เขาพูดจบ เต่าหลังดำก็อ้าปาก แล้วคริสตัลเพชรก็ลอยออกมา


การปรากฏของคริสตัลเพชรทำให้เกิดแสงสว่างขึ้นโดยรอบ แต่คราวนี้ดูเหมือนจะเจิดจรัสเป็นประกายกว่าแต่ก่อน พร้อมกันนั้น การกระเพื่อมของน้ำโดยรอบก็หนักหน่วงยิ่งขึ้น


ซู่!


กระแสน้ำเชี่ยวกรากไหลบ่าเข้ามา เกิดคลื่นขนาดใหญ่บนพื้นมหาสมุทร


ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง เต่าหลังดำได้เพิ่มความเร็วของคริสตัลเพชรในการซึมซับพลังงานจากสินแร่


เมื่อการสั่นสะเทือนเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ฝูงแมลงเม่าใบไม้สีเงินยิ่งคลุ้มคลั่งหนักกว่าเดิม พวกมันพุ่งเข้าใส่อย่างสุดกำลัง โอบล้อมร่างของเต่าหลังดำและคริสตัลเพชรไว้ในชั่วพริบตา


“เวรละ!” เห็นภาพนั้น ไป่ซวนเฉิงหน้าดำคร่ำเครียด “ไปให้พ้นนะ ไอ้พวกแมลงสกปรก!”


เขาโบกมือไม้เป็นพัลวันเพื่อปัดป้องแมลงเม่าใบไม้สีเงินออกไป ขณะพยายามดึงโซ่โลหะที่ร้อยรัดเต่าหลังดำไว้ แต่ดูเหมือนเขาจะสูญเสียการเชื่อมต่อกับของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ชิ้นนั้น ทำให้ไม่อาจควบคุมมันได้อีก


ของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์หมดประสิทธิภาพไป มันร่วงลงจากร่างของเต่าหลังดำไปกองที่ก้นมหาสมุทร


“ผู้อาวุโสหลิว เกิดอะไรขึ้น?” แม้แต่เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวก็ไม่เข้าใจ


ของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ควรจะทรงพลังมาก แถมมีชีวิตจิตใจเป็นของตัวเองด้วย ทำไมถึงไร้เรี่ยวแรงไปได้เพียงแค่ถูกฝูงแมลงเม่าใบไม้สีเงินล้อมไว้?


“ของล้ำค่าส่วนใหญ่ถูกหลอมขึ้นจากโลหะ โซ่ที่เขาถือไว้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แม้ฝูงแมลงเม่าใบไม้สีเงินจะเป็นสิ่งมีชีวิต แต่ก็มีองค์ประกอบของโลหะปริมาณสูงมากอยู่ในร่างของมัน มันจึงสร้างพื้นผิวที่ส่องสว่างและสะท้อนแสงบนผิวน้ำได้” จางเซวียนอธิบายยิ้มๆ


“แมลงเม่าเหล่านั้นอาจมีขนาดเล็ก แต่สามารถสร้างสนามพลังรุนแรงที่ใช้สื่อสารกันได้ ก็เพราะสนามพลังนี้ พวกมันจึงสร้างค่ายกลขนาดใหญ่ได้สำเร็จ อาวุธชนิดไหนก็ตามที่เข้าใกล้อาณาบริเวณของฝูงแมลงเม่าใบไม้สีเงินจะรู้สึกได้ถึงการเชื่อมโยงระหว่างร่างของพวกมันกับจิตวิญญาณที่ก่อเกิดเป็นสนามพลังนั้น ทำให้ประสิทธิภาพของอาวุธหมดสิ้นไป เต่าหลังดำคงรู้เรื่องนี้ดี จึงจงใจล่อเจ้าสำนักไป่ซวนเฉิงให้ไปที่นั่น”


ทั้งคู่ถึงกับจังงัง


พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าแมลงเม่าใบไม้สีเงินตัวนิดเดียวจะสามารถกำจัดอานุภาพที่มีในของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้


หากพวกเขาเข้าไป จุดชีพจรคงถูกสกัดกั้นไว้ ทำให้สูญเสียประสิทธิภาพการต่อสู้เช่นกัน ใช่ไหม?


“ไม่น่าแปลกใจแล้วที่ผู้คนพูดกันว่าใครก็ตามที่ไม่ได้คุ้นเคยกับสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรก็ควรจะอยู่ให้ห่างมหาสมุทรเอาไว้ ดูเหมือนใต้น้ำจะมีเรื่องน่าพิศวงมากมายที่อยู่เหนือจินตนาการของพวกเรา” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวส่ายหน้าและถอนหายใจเฮือกใหญ่


ร่ำลือกันว่าทะเลพลัดดาวนั้นไม่ได้อันตรายน้อยกว่าเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย แต่ในฐานะนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ เขาเคยคิดว่าไม่น่ามีอะไรต้องหวาดกลัว อีกอย่าง ต่อให้อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดที่อาศัยอยู่ในน้ำก็เป็นแค่อสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เท่านั้น ซึ่งก็เป็นวรยุทธขั้นเดียวกับเขา


แต่ดูเหมือนเพียงแค่ความแข็งแกร่งจะยังไม่พอรับประกันความอยู่รอด หากประมาทเลินเล่อเมื่อไหร่ ไม่ช้าไม่นาน สิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรจะต้องเล่นงานพวกเขาแน่!


เป็นธรรมดาที่เต่าหลังดำในฐานะอสูรท้องถิ่นของทะเลพลัดดาวจะรู้เรื่องพวกนี้ดี ทำให้มันจงใจล่อเจ้าสำนักไป่ซวนเฉิงให้ใช้อาวุธของเขา ทั้งหมดนี้ก็เพื่อจัดการให้อีกฝ่ายหมดหนทางต่อสู้!


“ได้เวลาแล้ว ผู้อาวุโสเฟิง, คุณช่วยปลดปล่อยฉนวนของค่ายกลมิติอันนี้ได้ไหม?” จางเซวียนพูด


ผู้อาวุโสเฟิงชะงักไปเล็กน้อยกับคำขออย่างปุบปับนั้น เขากำลังจะพยักหน้าและทำตาม ก็พอดีกับที่ชายหนุ่มส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก แบบนี้ไม่ทันการแน่ ผมทำเองดีกว่า”


เมื่อพูดจบ เขาก็ก้าวออกไปก้าวหนึ่งและกระทืบเท้าเบาๆ


ฟึ่บ!


น้ำวนขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในค่ายกลมิติที่ถูกซุกซ่อนไว้ เกิดทางเดินที่มีลักษณะเหมือนทางเดินที่พาพวกเขาเข้ามา


เห็นภาพนั้น ผู้อาวุโสเฟิงอ้าปากค้าง และค้างอย่างนั้นอยู่นาน


เขาติดตั้งค่ายกลนี้ด้วยความเหนื่อยยาก ขนาดมีตราสัญลักษณ์ของการควบคุมค่ายกลอยู่ในมือ ก็รู้ดีว่าไม่อาจยับยั้งมันได้ในทันทีทันใด แต่อีกฝ่ายทำได้ทุกอย่างเพียงแค่กระทืบเท้า…


แบบนี้ก็ได้หรือ?


ยังไม่ทันที่ผู้อาวุโสเฟิงจะหายตกใจ ชายหนุ่มก็ยกมือขึ้นและผายมือไปยังทางเดินที่เปิดกว้างอยู่


ฟึ่บ!


พริบตาต่อมา โซ่โลหะขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่กองอยู่กับพื้นก็หายวับไป


“ปิด!”


หลังจากนำโซ่โลหะมาแล้ว ชายหนุ่มก็กระทืบเท้าอีกครั้ง แล้วค่ายกลมิติก็กลับมาใช้งานได้ดังเดิม ทั้งสามหายวับไปจากก้นมหาสมุทรอีกครั้ง


“คุณนำของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ของเจ้าสำนักไป่มาหรือ?” ผู้อาวุโสเฟิงกับเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวมองหน้ากันอย่างพรั่นพรึงสุดขีด


รู้หรือเปล่าว่าของนั้นมีค่ามากขนาดไหน? ทำแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับการประกาศตัวเป็นศัตรูกับสำนักป้อมปราการกระจกดำ!


อีกอย่าง ของล้ำค่าระดับนั้นถูกเก็บไว้ในแหวนเก็บสมบัติกันได้ง่ายๆหรือ?


ต่อให้คุณเก็บมันได้ ถ้าของล้ำค่าไม่ยอมล่ะก็ เดี๋ยวมันก็จะทำลายแหวนเก็บสมบัติของคุณและหนีไปอยู่ดี!


ตอนที่ 2077 พละกำลังของฉัน!

ไม่ใช่แค่เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวกับผู้อาวุโสเฟิงที่ทำอะไรไม่ถูก ไป่ซวนเฉิงที่อยู่ด้านบนก็แทบคลุ้มคลั่ง


การที่เขาจะสูญเสียการควบคุมของล้ำค่าของตัวเองก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ไม่คิดเลยว่ากลุ่มคนที่ซ่อนตัวอยู่ด้านล่างจะฉกฉวยอาวุธของเขาไปได้โดยไม่ลังเลสักนิด!


อาวุธชิ้นนั้นคือสิ่งที่ป้อมปราการกระจกดำต้องจ่ายเงินสูงลิ่วเพื่อให้ได้มันมา ถูกขโมยไปง่ายๆแบบนี้…เขารู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า!


“พวกคุณเป็นใคร? คืนอาวุธของผมมานะ!” ไป่ซวนเฉิงคำรามกร้าวขณะพยายามพุ่งลงสู่ก้นมหาสมุทร


ค่ายกลมิติเปิดออกเพียงครู่เดียวเท่านั้น ถึงขนาดที่แม้ด้วยระดับวรยุทธของเขา ทั้งหมดที่เขาเห็นก็คือฝ่ามือข้างหนึ่งยื่นออกมา ไม่เห็นสักนิดว่าใครซ่อนอยู่ข้างใน


แต่ไม่ว่าตัวการจะเป็นใคร ใครก็ตามที่บังอาจขโมยอาวุธของเขา…จะต้องชดใช้ด้วยชีวิต!


แต่ก็นั่นแหละ มีหรือที่เต่าหลังดำจะปล่อยให้ไป่ซวนเฉิงทำอะไรตามอำเภอใจ? กว่ามันจะปลดอาวุธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ของอีกฝ่ายได้ก็ไม่ง่าย ไม่มีทางที่มันจะปล่อยให้เขาเอาอาวุธคืนมาได้เป็นอันขาด!


เต่าหลังดำจึงพุ่งเข้าใส่ไป่ซวนเฉิงโดยไม่ลังเล


คราวนี้ ยังไม่ทันจะถึงเป้าหมาย มันก็หดหัวเข้าไปในกระดอง


พลั่ก!


กระดองของเต่าหลังดำที่แข็งแกร่งทนทานอย่างน่าทึ่งพุ่งเข้าชนไป่ซวนเฉิง ทำให้อีกฝ่ายหน้าซีดเผือด แรงปะทะนั้นหักกระดูกซี่โครงของเขาจนแหลกละเอียด ไป่ซวนเฉิงกระอักเลือดออกมา


ทั้งคู่มีวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เหมือนกัน แถมไป่ซวนเฉิงยังเหนือชั้นกว่าเล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจต้านทานการพุ่งชนอย่างหนักหน่วงของเต่าหลังดำได้


พลั่ก! พลั่ก!


หลังจากใช้กำลังโจมตีได้สำเร็จ เต่าหลังดำก็เดินหน้า ทำให้ไป่ซวนเฉิงไม่มีทางเลือกนอกจากถอยกรูด เขาพยายามรวบรวมพลังปราณเพื่อสร้างปราการขึ้นสกัดกั้นตรงหน้า จะได้ช่วยลดแรงปะทะจากการโจมตีของเต่าหลังดำได้บ้าง


ไป่ซวนเฉิงต้องปัดป้องการโจมตีที่มาเป็นชุดอย่างต่อเนื่องกว่าจะหาโอกาสตั้งตัวได้ ขณะที่เขาคิดว่าพลิกผันสถานการณ์ได้สำเร็จแล้ว คริสตัลที่เปล่งประกายเจิดจ้าเม็ดหนึ่งก็มาอยู่ตรงหน้า แสงเจิดจรัสของมันทำให้นัยน์ตาของเขาพร่ามัว


ในชั่วพริบตานั้น วิญญาณของไป่ซวนเฉิงเกือบหลุดออกจากร่าง เขาพยายามถอย แต่ก็ช้าไป ฝูงแมลงเม่าใบไม้สีเงินตีวงล้อมไว้หมด


ปราการพลังปราณของเขาถูกทำลายไปอย่างรวดเร็ว และยังไม่ทันจะได้ตอบโต้ แมลงเม่าใบไม้สีเงินก็สกัดกั้นจุดชีพจรของเขาไว้


“พละกำลังของฉัน!”


การสกัดกั้นจุดชีพจรของนักรบไม่ต่างอะไรกับการอุดท่อเครื่องยนต์ ไป่ซวนเฉิงอยู่ในสภาพที่ไม่อาจขับเคลื่อนพลังปราณได้อีก การสูญเสียพลังงานอย่างกะทันหันทำให้ร่างของเขาร่วงลงไป


พลั่ก!


เต่าหลังดำใช้โอกาสนี้รวบรวมเรี่ยวแรงอีกครั้งและพุ่งเข้าชน


ไป่ซวนเฉิงที่ทำอะไรไม่ถูกพยายามรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายเพื่อปัดป้องการโจมตีนั้น


แต่เมื่อไม่มีพลังปราณเข้ามาเสริม มือของเขาก็แหลกเป็นชิ้นๆขณะร่างร่วงลงสู่ก้นมหาสมุทร เกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่อยู่ด้านล่าง


“ทรงพลังจริงๆ…”


เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวกับผู้อาวุโสเฟิงตัวเย็นเฉียบเมื่อเห็นภาพนั้น


พวกเขาอดคิดไม่ได้ว่าหากอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับไป่ซวนเฉิงแล้วจะเป็นอย่างไร


ทั้งคู่มั่นใจในยุทธวิธีที่จะใช้เล่นงานเต่าหลังดำ โดยเฉพาะเมื่อได้ทุ่มเททรัพยากรมากมายและใช้เวลาเป็นเดือนเพื่อเตรียมการทุกอย่าง พวกเขาเคยคิดว่าด้วยทุกสิ่งที่ทำลงไป การจับตัวเต่าหลังดำคงไม่ใช่เรื่องยาก แต่สุดท้ายก็แทบไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายก็เดินเกมไปพร้อมกันเพื่อล่อพวกเขาให้เข้าไปติดกับ


ว่ากันตามตรง เจ้าสำนักไป่ซวนเฉิงเป็นนักรบผู้ไร้เทียมทานคนหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของฝูงแมลงเม่าใบไม้สีเงิน ผู้ชนะจะต้องเป็นไป่ซวนเฉิงอย่างแน่นอน


แต่สภาพแวดล้อมก็มักมีบทบาทสำคัญต่อผลการต่อสู้ ไป่ซวนเฉิงไม่ได้พิจารณาข้อนี้ ลงท้ายจึงตกอยู่ในสภาพย่ำแย่หลังจากผ่านไปไม่กี่กระบวนท่า


ถ้าผู้อาวุโสหลิวอ่านเกมของเต่าหลังดำไม่ขาด พวกเขาคงตรงเข้าไปติดกับและลงเอยด้วยการตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับไป่ซวนเฉิง หรือบางทีอาจถึงกับแย่กว่า!


พลั่ก!


แม้จะเปิดการโจมตีอันดุเดือดได้สำเร็จแล้ว แต่เต่าหลังดำก็ยังไม่ปล่อยให้การ์ดตก มันหดหัวกลับเข้าไปในกระดองและพุ่งชนไป่ซวนเฉิงไม่หยุด


“ฉันจะฆ่าแก!”


การเป็นผู้ล่าแล้วต้องกลายเป็นผู้ถูกล่าอย่างกะทันหันทำให้ไป่ซวนเฉิงหงุดหงิดมาก เขาคำรามกร้าว จากนั้นก็ชักดาบออกมา 3 เล่มและพุ่งเข้าใส่เต่าหลังดำ


สมกับที่เป็นเจ้าสำนักป้อมปราการกระจกดำ ดาบทั้ง 3 เล่มล้วนเป็นดาบระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์


ดาบนั้นฟาดฟันกระดองเต่าหลังดำ แต่ไม่อาจทำให้เกิดแม้รอยขีดข่วนหรือลดความเร็วของมันได้


ไป่ซวนเฉิงหรี่ตา เมื่อตกอยู่ในสภาพแบบนี้ เขาจะเหลือทางเลือกอะไรนอกจากหันหลังกลับแล้วเผ่นหนี


เขาสูญเสียของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ไปแล้ว แขนกับซี่โครงก็แหลกละเอียด อวัยวะภายในก็ได้รับความกระทบกระเทือน ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป เขาต้องตายแน่!


พลั่ก!


ยังไม่ทันที่ไป่ซวนเฉิงจะไปได้ไกล เต่าหลังดำก็พุ่งเข้าชนแผ่นหลังของเขาอีกครั้ง ทำให้ไป่ซวนเฉิงล้มลงกระแทกพื้น


“เราต้องเปิดการโจมตีแล้วล่ะ” จางเซวียนโพล่งออกมาขณะปลดปล่อยค่ายกลมิติแล้วพุ่งปราดออกไป


เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวกับผู้อาวุโสเฟิงที่เฝ้าดูสถานการณ์อย่างใจจดใจจ่อรีบออกจากที่ซ่อน


ทั้งคู่รู้ดีว่าหากมัวรีรอ ไป่ซวนเฉิงจะต้องตายแน่ สำนักดาวเจ็ดดวงไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับสำนักป้อมปราการกระจกดำมากนักก็จริง แต่พวกเขาก็ไม่คิดจะปล่อยให้ไป่ซวนเฉิงตาย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่หอเทพเจ้าเพิ่งมีการเคลื่อนไหว


เต่าหลังดำรับรู้ถึงการปรากฏตัวของจางเซวียนกับพรรคพวกทันที แต่มันก็ไม่รีบร้อนเข้าโจมตี มันรอคอยอย่างอดทนเพื่อจะดูว่าพวกนั้นทำอะไร


“เจ้าสำนักคุ่ย ขอรบกวนคุณด้วย” จางเซวียนพูด


“ได้ ไม่ต้องห่วง” เจ้าสำนักคุ่ยพยักหน้าขณะพุ่งปราดออกไปราวสายฟ้าฟาด


เขาถ่ายทอดพลังงานเข้าสู่ฝ่ามืออย่างรวดเร็ว เกิดเป็นกระแสพลังงานเข้มข้นที่ทำให้พื้นน้ำโดยรอบเดือดเป็นฟองต่อเนื่อง ฝูงแมลงเม่าใบไม้สีเงินที่ห้อมล้อมเต่าหลังดำอยู่แตกฮือทันที พวกมันกระจัดกระจายไปคนละทิศทางเมื่อเจอกระแสพลังงานนั้น


ระหว่างการเดินทางสู่ทะเลพลัดดาว เพื่อตอบแทนที่เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวเคยช่วยเขาให้ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ จางเซวียนได้มอบคำชี้แนะเรื่องเทคนิคการต่อสู้ให้เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวกับคนอื่นๆ แม้จะเป็นเวลาเพียง 2-3 วัน แต่คนเหล่านั้นก็พัฒนาประสิทธิภาพการต่อสู้ได้มาก


มันคือหมู่เมฆสายฟ้าฟาดที่เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวเคยสำแดงมาก่อน แต่คราวนี้แข็งแกร่งกว่าเดิมอย่างน้อย 2 เท่า สายฟ้าฟาดพุ่งฉิวออกจากฝ่ามือของเขา ดูราวกับเป็นเทพเจ้าสายฟ้า


เมื่อรู้สึกได้ถึงอันตราย เต่าหลังดำรีบหดหัวกลับเข้าไปในกระดองเพื่อซ่อนตัว สายฟ้าจากมือของเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวจึงทำได้แค่ถากผิวกระดองของมันก่อนจะสะท้อนกลับไป


การโจมตีครั้งนี้ไม่อาจสร้างความบอบช้ำภายในให้เต่าหลังดำได้


“เต่าตัวนั้นทรงพลังจริงๆ” จางเซวียนพึมพำ


ไม่เพียงแต่จะเคลื่อนไหวได้ว่องไว มันยังมีกระดองอันใหญ่ที่สะท้อนการโจมตีใดๆก็ตามได้อย่างง่ายดายด้วย เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวไม่ได้อ่อนแอก็จริง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขาทำให้มันบาดเจ็บไม่ได้


ในชั่วพริบตา ทั้งสองก็ปะทะกันไปกว่า 10 ครั้ง พละกำลังมหาศาลจากการเผชิญหน้ากันของทั้งคู่ทำให้ทะเลคันฉ่องน้อยเดือดพล่าน ไอน้ำพวยพุ่งขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างต่อเนื่อง


คลื่นความสั่นสะเทือนจากการดวลระหว่าง 2 ผู้เชี่ยวชาญขั้นกึ่งสรวงสวรรค์รุนแรงพอที่จะทำลายทุกสิ่งภายในรัศมีหมื่นลี้จนราบคาบ


ถ้าไม่ใช่เพราะทั้งคู่อยู่ใต้น้ำ การต่อสู้ครั้งนี้จะต้องดึงดูดนักรบมากมายแน่


ผู้อาวุโสเฟิงเฝ้ามองการต่อสู้ด้วยความฉงน เขาอดรู้สึกไม่ได้ว่ามีบางอย่างแปลกๆ เกิดรอยย่นบนหน้าผากของเขา ผู้อาวุโสเฟิงหันไปถามจางเซวียน “ทำไมเต่าหลังดำถึงไม่พุ่งชนเจ้าสำนักคุ่ย?”


ตอนที่เต่าหลังดำสู้กับไป่ซวนเฉิงเมื่อครู่นี้ มันใช้การพุ่งเข้าชนอย่างแรงเพื่อเล่นงานอีกฝ่าย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยว มันกลับเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายตั้งรับ ดูเหมือนจะพยายามปัดป้องการโจมตีของเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวมากกว่า


“คงเป็นเพราะค่ายกลคู่วังวนวารี มันจึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม” จางเซวียนตอบและหัวเราะหึๆ


ผู้อาวุโสเฟิงตาโตเมื่อพลันเข้าใจ


เต่าหลังดำเป็นอสูรที่ขี้ระแวงจริงๆ พื้นที่ที่มันเคลื่อนไหวไปมาระหว่างการต่อสู้ครั้งนี้อยู่นอกอาณาเขตของค่ายกล ต่อให้เปิดใช้ค่ายกลตอนนี้ ก็ไม่น่าทำอันตรายมันได้


“ไม่น่าจะใช่นะ…เมื่อครู่นี้มันรอให้ค่ายกลวังวนวารีถูกเปิดใช้งาน เพื่อที่เจ้าสำนักไป่จะได้ติดกับ แล้วมันจะได้สังหารเขา, ไม่ใช่หรือ? ก็น่าจะหมายความว่ามันไม่กลัวค่ายกลใช่ไหม?” ผู้อาวุโสเฟิงตั้งคำถาม


“ก็ใช่ แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อครู่นี้มันอาจปล่อยพลังออกมาโดยไม่ต้องคิดอะไร แต่ตอนนี้ทำแบบเดิมไม่ได้แล้วล่ะ” จางเซวียนตอบ


คำตอบนั้นทำให้ผู้อาวุโสเฟิงขมวดคิ้ว


เจ้ายักษ์ใหญ่ตัวนี้ใช้ร่างใหญ่โตของมันพุ่งชนไปทั่ว ไม่ยอมใช้พลังปราณหรือความสามารถด้านอื่น ตัวมันก็น่าจะยังเหลือพละกำลังอยู่มาก…แล้วทำไมผู้อาวุโสหลิวถึงพูดราวกับว่ามันหมดแรง?


“แมลงเม่าใบไม้สีเงินเหล่านั้นเก่งกาจถึงขนาดทำให้ของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์หมดประสิทธิภาพได้ เต่าหลังดำมีความสามารถในการป้องกันตัวก็จริง แต่คุณคิดจริงๆหรือว่ามันจะไม่ได้รับความบอบช้ำสักนิดเมื่อตกเป็นเป้าโจมตีหลักของฝูงแมลงเม่าใบไม้สีเงิน?” จางเซวียนย้อนถาม


แม้ในเวลานี้ก็ยังมีแมลงเม่าใบไม้สีเงินจำนวนมากเกาะติดร่างของเต่าหลังดำ ในเมื่อพวกมันทำได้ถึงขนาดเล่นงานของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ ก็เป็นไปไม่ได้ที่เต่าหลังดำจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆเลยจากแมลงเม่าเหล่านี้ แม้มันจะเก่งกาจในการป้องกันตัวก็ตาม


“ถ้าอย่างนั้น ทำไมเราไม่เข้าไปร่วมวงล่ะ?”


เมื่อได้ยินว่าเต่าหลังดำเริ่มหมดแรง ผู้อาวุโสเฟิงนัยน์ตาเป็นประกายขณะถอนหายใจอย่างโล่งอก


จางเซวียนโบกมือ “ไม่ต้องรีบร้อน มันถ่วงเวลาอยู่ เราก็ควรทำแบบเดียวกับมัน”


ด้วยความเชื่อใจเต็มที่ในตัวชายหนุ่ม ผู้อาวุโสเฟิงเลิกตั้งคำถามและเฝ้าดูการต่อสู้ต่อไป


ระหว่างนั้น เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวกับเต่าหลังดำปะทะกันไปแล้วกว่า 20 ครั้ง การโจมตีของเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่ดุเดือดเกรี้ยวกราดเหมือนตอนแรก ส่วนเต่าหลังดำก็ดูเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย มันอ้าปากหอบหายใจ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)