อัจฉริยะสมองเพชร 2060-2067

 ตอนที่ 2060 คุณจะดวลต่อไหม?

ครั้งหนึ่ง ผู้ก่อตั้งสำนักดาบเมฆเหินได้ฉกฉวยตัวอักษรครึ่งหนึ่งของคำว่า ‘เทพเจ้า’ มาจากหอเทพเจ้า และด้วยเหตุผลนั้น เมื่อนักรบฝึกฝนเคล็ดวิชาเทพดาบเมฆเหินจนถึงระดับ เขาก็จะสามารถข้ามผ่านขีดจำกัดของวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงและกลายเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้


โอกาสมีน้อยมากก็จริง แต่ถึงอย่างไรก็ยังพอเป็นแสงแห่งความหวัง


แต่สำนักดาวเจ็ดดวงกับสำนักอื่นๆไม่มีโอกาสได้รับสิทธิพิเศษแบบนั้น


ส่วนหอนิรันดร์…


เป็นที่รู้กันว่าหอนิรันดร์ฉกฉวยตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ มาได้ทั้งหมด แต่ทั้งองค์กรก็ดูลึกลับ ไม่มีใครรู้ว่าสำนักงานใหญ่ของมันอยู่ที่ไหนและมีผู้เชี่ยวชาญอยู่มากมายเท่าไหร่


แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ก็คือในครั้งนั้น หัวหน้าหอนิรันดร์, หัวหน้าขง, เป็นผู้ฉกฉวยตัวอักษรคำว่าเทพเจ้ามาได้ทั้งหมด เขาเก่งกาจถึงขั้นสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ และอาจเหนือไปกว่านั้นอีก!


ความคิดเหล่านี้เรียงรายเข้ามาในหัวสมองของเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยว ก่อนที่เขาจะหันไปมองสังเวียนประลองอีกครั้ง


หลังจากสำแดงฝ่ามือมังกรกลายร่าง ผู้อาวุโสที่ 1 ก็ดูเหมือนจะกลายร่างเป็นมังกรผงาด พุ่งจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งด้วยความเร็วสูง จนแทบชี้ชัดไม่ได้ว่าเขาอยู่ตรงไหน


ฝูงชนรู้สึกราวกับตัวเองได้เห็นมังกรขนาดมหึมาพุ่งตระหง่านอยู่บนสังเวียนประลอง ทั้งส่ายไปมาและปล่อยการโจมตีจากทุกทิศทาง เป็นภาพที่น่าประทับใจเสียจนไม่อาจละสายตาได้


ไม่เลว! จางเซวียนคิด


ทวีปที่ถูกลืมแห่งนี้มีนักรบผู้ไร้เทียมทานอยู่มากมายจริงๆ


หลังจากเอาชนะได้ 15 รอบติดต่อกัน เขาก็เริ่มจะคิดว่านี่คือทั้งหมดของผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในเมืองปี้หยวนแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะไม่ให้ความสำคัญกับผู้ท้าทายคนใหม่ แต่ดูเหมือนผู้ท้าทายคนนี้จะเป็นคู่ต่อสู้ที่คู่ควร


เพียงแค่การโจมตีจากฝ่ามือของอีกฝ่ายก็น่าสนใจแล้ว แม้แต่กับจางเซวียน ถ้าเขาเปิดช่องว่างแม้เพียงนิดเดียว ก็มีโอกาสที่จะพ่ายแพ้


จางเซวียนเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้ ไม่ช้าก็เห็นข้อบกพร่องจำนวนหนึ่งในกระบวนท่าของอีกฝ่าย เขาใช้นิ้วแทนดาบ แล้วแทงสวนไปด้วยความเร็วอย่างเหลือเชื่อ


เพื่อหลีกเลี่ยงการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเขา จางเซวียนจึงยังไม่ใช้เจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้า แต่เขาก็ถ่ายทอดหัวใจของศิลปะเพลงดาบเทียบฟ้าเข้าไปในนั้นด้วย


การใช้นิ้วแทงเพียงครั้งเดียวนี้มีรังสีอันทรงพลังอยู่ ดูเหมือนเป็นกระบวนท่าเรียบง่าย แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ไม่มีใครคาดเดาทิศทางของมันได้ ราวกับมันไม่ดำเนินรอยตามกฎเกณฑ์ของโลกที่บังคับและสั่งการทุกอย่างไว้ ถ้าจะมีสักคำที่ใช้บรรยายได้ ก็คงต้องเรียกว่าไม่อาจหยั่งถึง


ทันทีที่มันปรากฏ ก็ดูเหมือนจะโถมเข้าใส่ฝ่ามือมังกรกลายร่างอย่างสุดกำลัง


ฟึ่บ!


น่าประหลาดมากที่ดูเหมือนมังกรที่อยู่กลางอากาศจะถูกการจ้วงแทงด้วยนิ้วมือนั้นดึงดูด มันพุ่งเข้าใส่กระแสดาบฉีราวกับแมงเม่าพุ่งเข้ากองไฟ


เห็นภาพนี้ จางเซวียนอดหัวเราะหึๆไม่ได้


มันคือกระบวนท่าที่เขาคิดค้นขึ้นเมื่อได้รับแรงบันดาลใจจากการที่ผู้อาวุโสหยวนใช้ลูกมังกรทะเลเหนือหลอกล่อมังกรอสรพิษ


สำหรับกรณีนี้ เขาใช้กระแสดาบฉีสร้างพละกำลังที่ดึงดูดทิศทางของฝ่ามือมังกรกลายร่างให้มันพุ่งเข้าหานิ้วมือของเขา อีกฝ่ายจึงสูญเสียการควบคุมร่างกายของตัวเอง


“ไป!”


กระแสดาบฉีของจางเซวียนพุ่งออกมา


บึ้มมมมม!


เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นกลางอากาศ สังเวียนประลองสั่นสะท้านไม่หยุด


ผู้อาวุโสที่ 1 คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะใช้แรงส่งของการโจมตีจากฝ่ามือของตัวเขามาควบคุมการเคลื่อนไหวของเขาเอง ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเสียจนยังไม่ทันที่เขาจะรู้ตัว อาการเจ็บแปลบก็แทงทะลุลำคอของเขาแล้ว


เมื่อก้มลงมอง ก็เห็นว่ากระแสดาบฉีของอีกฝ่ายได้เชือดลำคอของเขา


“เป็นการโจมตีที่ไร้เทียมทานอะไรอย่างนี้ ผมไม่เคยเห็นศิลปะเพลงดาบแบบนี้มาก่อน…”


ตุ้บ!


ศีรษะของผู้อาวุโสที่ 1 ร่วงลงกระแทกพื้นด้วยสีหน้าที่ยังงุนงง ไม่ช้าร่างของเขาก็สลายไป


แม้กระทั่งในวินาทีแห่งความตาย ก็ยังไม่อยากเชื่อว่าเทคนิคขั้นสุดยอดของเขาจะถูกทำลายด้วยกระแสดาบฉีเพียงสายเดียว


“เอ่อ..”


เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวตัวแข็ง เขาตกใจจนพูดไม่ออก


ทำลายพละกำลังของฝ่ามือมังกรกลายร่างและสังหารผู้อาวุโสที่ 1 ได้ภายในกระบวนท่าเดียว…ชายผู้นี้เป็นใคร?


ด้วยประสิทธิภาพการต่อสู้ระดับนี้ หากเราขึ้นสู่สังเวียนประลอง จะมีโอกาสเอาชนะเขาได้ไหม?


“ในที่สุดเราก็รวบรวมเงินได้ตามที่ต้องการเสียที!”


จางเซวียนยินดีปรีดาที่เห็นตัวเลขตัวแรกในบัตรนิรันดร์เปลี่ยนจาก ‘1’ เป็น ‘2’


เขาเคยคิดว่าพละกำลังมหาศาลที่เขาสำแดงออกไปคงทำให้บรรดานักรบในหอนิรันดร์พากันหวาดกลัว แต่เท่าที่เห็น ดูเหมือนเขาจะเข้าข้างตัวเองไปสักหน่อย


ที่จริงก็มีพวกมาโซคิสต์อยู่มากมายที่มีความสุขกับการถูกเขาฆ่า!


ผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่ดูแลสังเวียนประลองของหอนิรันดร์มองหน้าจางเซวียนและตั้งคำถาม “คุณจะดวลต่อไหม?”


“ไม่จำเป็นแล้วล่ะ” จางเซวียนโบกมือพร้อมกับยิ้มให้ จากนั้นก็เดินลงจากสังเวียนประลอง


“รอก่อน!” ร่างหนึ่งกระโจนเข้ามา “ผมอยากดวลกับคุณ!”


ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยว


โดยปกติเขาไม่ค่อยสะทกสะเทือนกับเรื่องใดๆ แต่หลังจากได้เห็นความพ่ายแพ้ของผู้อาวุโสที่ 1 สัญชาตญาณการต่อสู้ของเขาก็ลุกโชนขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี เขาอยากรู้ว่าตัวเขาจะรับมือกับคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังขนาดนี้ได้ดีแค่ไหน


แต่ใครจะไปคิดว่าทันทีที่เขาลงทะเบียนเสร็จ อีกฝ่ายก็ถอนตัวจากการประลอง!


คุณจะมาทำให้ผมอยากแล้วจากไปแบบนี้ไม่ได้ มันไม่ยุติธรรม!


“ผมยังมีเรื่องอื่นต้องจัดการ ขออภัยด้วยที่ไม่อาจทำตามคำขอของคุณ” จางเซวียนโบกมือ


เมื่อได้เงินตามจำนวนที่ต้องการแล้ว เขาก็ไม่นึกอยากต่อสู้อีก เพราะใช่ว่าเขากระหายการต่อสู้ เขาจะต่อสู้ก็ต่อเมื่อมีความจำเป็นเท่านั้น


“ดวลกับผมก่อนแล้วค่อยไป ผมอยากเห็นว่าคุณทรงพลังแค่ไหน” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวพูดขณะปล่อยกระแสพลังปราณออกมาขวางจางเซวียน


ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวสมองของเขาหลังจากได้เห็นว่าชายหนุ่มคนนี้เอาชนะผู้อาวุโสหงอู่กับผู้อาวุโสที่ 1 ได้อย่างง่ายดาย


“ผมไม่ว่าง” จางเซวียนตอบหน้าตาเฉย


เขากำลังรีบร้อนจะนำเงินไปมอบให้ผู้อาวุโสเพื่อจะได้มุ่งหน้าไปทะเลพลัดดาวพร้อมกับคนของสำนักดาวเจ็ดดวง คงเป็นหายนะครั้งใหญ่หากเขาคลาดกันกับคนพวกนั้นเพราะมัวเสียเวลาที่นี่


“ถ้าอย่างนั้น ผมคงต้องขอให้คุณให้เวลาผม” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวคำรามขณะปล่อยการโจมตีจากฝ่ามือเข้าใส่จางเซวียน


การโจมตีจากฝ่ามือของเขาไม่ดุเดือดเหมือนฝ่ามือมังกรกลายร่าง แต่ความเฉียบคมของกระบวนท่านั้นจัดว่าอันตรายไม่น้อย มันพุ่งเข้าใส่จุดที่ทำให้จางเซวียนไม่มีทางเลือกนอกจากต้องตอบโต้ ถ้ามัวลังเลอยู่ เขาจะต้องได้รับบาดเจ็บแน่


การโจมตีอย่างปุบปับนั้นทำให้จางเซวียนขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ เขาโยกตัวเล็กน้อยและขยับไปด้านซ้าย มันเป็นแค่การเคลื่อนไหวเล็กๆ แต่ก็หลบเลี่ยงพลังจากฝ่ามือของเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวได้


“สายตาของคุณช่างเฉียบแหลมจริงๆ!” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวนัยน์ตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น


ไม่น่าแปลกใจแล้วที่อีกฝ่ายเอาชนะผู้อาวุโสที่ 1 ได้อย่างง่ายดาย ความสามารถของชายหนุ่มในการหลบเลี่ยงการโจมตีของเขาด้วยการขยับตัวเพียงนิดเดียวถือเป็นศิลปะที่งดงามมาก เขานึกไม่ถึงเลยว่าจะได้เห็นใครที่มีความสามารถแบบนี้


สำหรับสายตาที่ไม่ได้ผ่านการฝึกฝน ก็ดูไม่ต่างอะไรกับการขยับไปด้านข้าง แม้จะดูเกินจริงไปสักหน่อยที่จะประทับใจกับการเคลื่อนไหวง่ายๆแบบนั้น แต่ในฐานะผู้ปล่อยพลังจากฝ่ามือ เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวรู้ดีว่ากระบวนท่าของเขามีการปรับเปลี่ยนอยู่ในนั้นถึง 136 รูปแบบ เพื่อรับมือกับทุกสถานการณ์ ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะตอบโต้การโจมตีของเขาด้วยวิธีไหน เขาก็มีวิธีรับมือและเล่นงานอีกฝ่ายให้จนมุมได้


แต่การเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวนั้นอยู่นอกเหนือการปรับเปลี่ยนทั้งมวลของเขา นั่นเป็นเพราะจุดนั้นคือจุดบอดของการโจมตี พลังงานของเขาไม่อาจไหลเวียนได้อย่างราบรื่นหากเขาพยายาม ปล่อยพละกำลังไปที่จุดนั้น


ด้วยเหตุนี้ การโจมตีจากฝ่ามือของเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวจึงไร้ผล


เขานึกภาพไม่ออกว่าสัญชาตญาณและปฏิกิริยาตอบสนองของชายหนุ่มต้องทรงพลังแค่ไหนถึงตัดสินใจอย่างเฉียบแหลมได้ในระหว่างการต่อสู้


ด้วยความสงสัย เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวสำแดงกระบวนท่าถัดไป


ส่วนจางเซวียน เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยายามรั้งตัวเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ก็พูดออกมาพร้อมกับขมวดคิ้ว “ถ้าคุณยืนยันล่ะก็ คงต้องขอให้คุณจ่ายผมมา 2,560 เหรียญนิรันดร์”


น่าประหลาดใจที่สถานการณ์พลิกผันอย่างรวดเร็วแบบนี้ ตอนแรกเขายังกังวลอยู่ว่าพละกำลังมหาศาลของตัวเขาจะทำให้ใครต่อใครพากันหวาดกลัว ใครจะไปคิดว่าหมอนี่จะทุ่มเทอย่างสุดกำลังเพื่อรั้งตัวเขาไว้ที่นี่ให้ได้


“ถ้าคุณเอาชนะผมได้ล่ะก็ ผมจะจ่ายคุณ 10,000 เหรียญนิรันดร์เลย!” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวคำราม


กะอีแค่เหรียญนิรันดร์ มันสำคัญตรงไหน? เขามีเงินทองก่ายกองเป็นภูเขาอยู่ในแหวนเก็บสมบัติ ในฐานะเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวง ปัญหาใดก็ตามที่แก้ไขได้ด้วยการใช้เงินไม่ถือเป็นปัญหาสำหรับเขา


เขายอมจ่ายเงินเท่าไหร่ก็ได้หากจะได้รู้ว่าอีกฝ่ายมีพละกำลังแค่ไหน


“10,000 เหรียญนิรันดร์?” จางเซวียนถึงกับผงะ “คุณน่ะใจกว้างเกินไปแล้ว ผมจะรับเงินมากขนาดนั้นจากคุณได้อย่างไร?”


ตามปกติ เขาจะทำเงินได้เพียง 2,560 เหรียญนิรันดร์ต่อการดวล 1 รอบ ดังนั้นจึงออกจะประหลาดใจที่เห็นราคาพุ่งพรวดไปเป็น 4 เท่าอย่างรวดเร็ว


“คุณเอาชนะผมให้ได้ก่อนเถอะ เรื่องนั้นค่อยคุยกัน!”


เห็นอีกฝ่ายวางท่าราวกับตัวเองชนะแล้ว เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวหน้าตึง เขาคำราม จากนั้นก็ปล่อยพลังฝ่ามือออกไปด้วยความเร็วเป็น 2 เท่า


แต่ด้วยการขยับตัวเพียงเล็กน้อย จางเซวียนก็หลบเลี่ยงการโจมตีของเขาได้อย่างง่ายดาย อีกฝ่าย ใช้มือจับคางอย่างครุ่นคิดขณะเปรย “ในเมื่อคุณยอมจ่ายมากขนาดนี้ ผมก็จะไม่เอาเปรียบคุณหรอก เอาเถอะ บอกผมมาว่าคุณอยากแพ้แบบไหน ผมพร้อมจะทำตามคำขอของคุณให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้!”


“อะไรนะ?” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวแทบลมจับ


คุณกำลังถามผมว่าผมอยากแพ้แบบไหน?


เป็นบ้าอะไร?


คุณกำลังบอกว่าตัวคุณทรงพลังถึงขนาดมียุทธวิธีมากมายที่จะใช้เล่นงานผมหรือ?


ล้อเล่นแล้วล่ะ!


“ไม่ต้องตื่นเต้นน่ะ คุณก็พอจะทรงพลังอยู่ ทางเลือกของคุณคงมีไม่มากนักหรอก” จางเซวียนอธิบายยิ้มๆ


อย่างที่ใครๆพูดกันว่า ‘ลูกค้าคือพระเจ้า’ เขาจะทำอะไรอื่นได้ในเมื่ออีกฝ่ายเสนอเงินให้เขาถึง 10,000 เหรียญนิรันดร์?


ตอนที่ 2061 หมอนี่พูดจริงๆหรือเปล่า?

ทุกวันนี้การให้บริการสำคัญยิ่งกว่าตัวผลิตภัณฑ์เสียอีก ในเมื่อเขากำลังจะได้เงินก้อนโต ก็ต้องทำให้อีกฝ่ายแน่ใจว่าจะได้รื่นรมย์กับกระบวนการทั้งหมด


“มีไม่มากนัก?” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวกัดฟันกรอดด้วยความโมโห


คุณกำลังบอกผมว่าถึงผมจะแข็งแกร่ง แต่คุณก็มีหลากหลายวิธีการที่จะเอาชนะผมใช่ไหม? ก็ได้…มาดูกันว่าคุณจะทำได้แบบนั้นหรือเปล่า!


เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวโมโหจนตัวแทบระเบิด เขากำลังจะพูดต่อ ก็พอดีกับที่อีกฝ่ายขัดขึ้น


“เอาจริงๆนะ รวมแล้วก็มี 173 ทางเลือก มีแพ็คเกจ ‘ทุบศีรษะ’, แพ็คเกจ ‘ใช้พลังฝ่ามือระเบิดศีรษะ’, แพ็คเกจ ‘กระแสดาบฉีเชือดคอ’, แพ็คเกจ ‘ลูกเตะกระแทกหัวใจ’, แพ็คเกจ…ถ้าวิธีการพวกนี้ยังไม่ดีพอจะทำให้คุณพอใจล่ะก็ ผมขอเสนอบริการทำลายหัวสมองและจิตวิญญาณด้วย ไม่ทราบว่าคุณอยากได้แบบไหน?”


“173 ทางเลือก?” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวแทบกระอักเลือด


ตอนที่อีกฝ่ายพูดว่ามีไม่มาก เขาคิดว่าก็คงน้อยกว่าสิบ แต่ดูเหมือนเขาจะมองโลกในแง่ดีเกินไป


หมอนี่พูดจริงๆหรือเปล่า?


ผู้ที่เอาชนะเขาได้ในการต่อสู้นั้นนับได้เพียงแค่ใช้นิ้วมือจากสองมือ ต่อให้มีวรยุทธระดับเดียวกันก็ตาม แต่หมอนี่กำลังบอกให้เขาเลือกว่าอยากได้วิธีตายแบบไหน?


“ถ้าคุณเก่งขนาดนั้น ทำไมไม่ฆ่าผมเสียเลยล่ะ?”


ถึงตอนนี้ เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวไม่อยากเสียเวลาเจรจากับอีกฝ่าย เขารวบรวมพลังงานเข้าสู่ฝ่ามือและปล่อยมันเข้ากดดันคู่ต่อสู้


นี่คือเทคนิคการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา…หมู่เมฆสายฟ้าฟาด!


การสำแดงเทคนิคนี้ทำให้เกิดเสียงดังสนั่นราวกับสายฟ้าฟาด นักรบคนไหนก็ตามที่สำเร็จความเชี่ยวชาญในภาพรวมของเทคนิคนี้แล้วจะทำได้แม้แต่ทำลายสายฟ้าฟาดและหมู่เมฆด้วยการปล่อยพลังจากฝ่ามือเพียงครั้งเดียว


เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวไม่ค่อยได้สำแดงพลังฝ่ามือนี้เพราะไม่มีใครในสำนักดาวเจ็ดดวงต้านทานมันได้


แต่เขาทนความโอหังของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าไม่ไหวแล้ว จึงตัดสินใจใช้ไม้ตาย


ฟึ่บ!


ฝ่ามือของเขาพุ่งลงมาราวกับภูเขาลูกใหญ่ 2 ลูก ทำลายทุกอย่างที่ขวางทาง มิติโดยรอบดูจะกลายเป็นน้ำแข็งเพราะแรงกดดันหนักหน่วงนั้น ทำให้ผู้ที่อยู่ในเส้นทางของมันไม่อาจหลบหนีได้


แต่จางเซวียนยืนหัวเราะหึๆ ดูจะไม่สะทกสะท้านกับความยิ่งใหญ่ของพละกำลังนั้น


“คุณอยากถูกฆ่าตอนนี้เลยใช่ไหม? ง่ายนิดเดียว”


แล้วเขาก็เปิดการโจมตี


ฟึ่บ!


ตรงกันข้ามกับกระบวนท่าของเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยว การโจมตีจากฝ่ามือของจางเซวียนดูจะเหยาะแหยะและอ่อนแอเหมือนสายลมเบาบาง


ยังไม่ทันที่ 2 ฝ่ามือจะปะทะกัน ฝ่ามือของจางเซวียนก็ไปอยู่เหนือศีรษะของเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวแล้ว อีกฝ่ายหน้ามืดขณะที่ฝ่ามือนั้นเล่นงานหัวสมองของเขาอย่างจัง


พลั่ก!


ศพร่วงลงกับพื้น


“พิลึกเหลือเกิน ผมยื่นข้อเสนอจะให้บริการเขามากมาย แต่ทั้งหมดที่เขาต้องการก็คือถูกฆ่า รู้สึกว่าเจ้าพวกมาโซคิสต์พวกนี้รออะไรไม่ได้เลย” จางเซวียนพึมพำขณะเดินออกจากสังเวียนประลอง


พูดตามตรง พละกำลังของอีกฝ่ายถือว่าแข็งแกร่งมาก หากไม่ใช้หอสมุดเทียบฟ้า เขาก็ยอมรับว่าคงรู้สึกกดดันไม่น้อย


การเผชิญหน้ากับการลอบสังหารจากเหล่าผู้เชี่ยวชาญของขอเทพเจ้าหลายครั้งทำให้จางเซวียนมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งกว่าเดิมมากในเรื่องการต่อสู้ แม้ไม่ใช้หอสมุดเทียบฟ้า ก็ไม่มีนักรบคนไหนในระดับวรยุทธเดียวกันที่เทียบชั้นกับเขาได้อีก


ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมนี้ที่ทำให้เขากล้าเข้าสู่สังเวียนประลองและเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้มากมาย


ที่หอนิรันดร์ ผู้อาวุโสที่มีใบหน้าซีดเผือดคนหนึ่งมองเจ้าหน้าที่ที่อยู่ข้างๆพร้อมกับเอ่ยปากเร่ง “เร็วเข้า ไปตรวจสอบว่าผู้นั้นเป็นใคร!”


เขาคือผู้อาวุโสของหอนิรันดร์ที่เรียกร้องเงิน 20,000 เหรียญนิรันดร์จากจางเซวียนเพื่อแลกเปลี่ยนกับการโดยสารไปกับอสูรอมตะของสำนักดาวเจ็ดดวงเพื่อมุ่งหน้าสู่ทะเลพลัดดาว มันออกจะเหลือเชื่ออยู่สักหน่อย แต่เขาเห็นกับตาว่าชายผู้นั้นเอาชนะการดวลได้ถึง 16 รอบติดต่อกันโดยไม่บอบช้ำสักนิด!


เขาไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้ 2 คนสุดท้ายคือผู้อาวุโสที่ 1 กับเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวง แต่จากเทคนิคการต่อสู้ของพวกเขา ก็พอสันนิษฐานอะไรได้บางอย่าง


พูดอีกอย่างก็คือ ใครคนหนึ่งเพิ่งเล่นงานสำนักดาวเจ็ดดวงจนราบคาบในหอนิรันดร์แห่งเมืองปี้หยวน!


แม้แต่เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวซึ่งเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ก็เทียบชั้นกับชายหนุ่มคนนั้นไม่ได้…


เรื่องนี้จะต้องเป็นข่าวใหญ่ทั่วทั้งทวีปที่ถูกลืมแน่!


“ผู้อาวุโส อีกฝ่ายดูจะใช้ค่ายกลปิดกั้นบางชนิดที่ทำให้เราแกะรอยตามตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลของเขาไม่ได้ เราทำได้เพียงสันนิษฐานว่าเขาน่าจะอยู่ในห้องส่วนตัวห้องใดห้องหนึ่งในหอนิรันดร์ของเรา แต่ก็ยังไม่อาจระบุตัวตนของเขา” เจ้าหน้าที่รายงาน


พวกเขาตรวจสอบตัวตนของชายหนุ่มทันทีที่เขาเอาชนะเมิ่งฮั่น, ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดอันดับ 1 ของสำนักดาวเจ็ดดวงได้ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะคาดเดาไว้แล้วว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ จึงติดตั้งค่ายกลปิดกั้นไว้ล่วงหน้า พวกเขาจึงทำได้แค่ระบุตำแหน่งที่อยู่ของอีกฝ่ายอย่างคร่าวๆเท่านั้น


“ที่นี่มีห้องส่วนตัวทั้งหมด 13,700 ห้อง รีบตรวจสอบบันทึกและบีบกลุ่มเป้าหมายให้แคบลงเป็นนักรบที่สำเร็จวรยุทธขั้นอมตะตัวจริงและมีช่วงเวลาที่ประจวบเหมาะกับการมาถึงของหลิวหยางคนนั้น ผมต้องการรายชื่อของนักรบเหล่านั้นโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้” ผู้อาวุโสสั่งการ


เป็นไปไม่ได้ที่จะตรวจสอบห้องส่วนตัวเหล่านั้นทีละห้อง แต่ก็พอมีวิธีตีกรอบกลุ่มเป้าหมายให้แคบลงได้


“หลังจากพบตัวเขาแล้ว ดูแลเขาอย่างดีที่สุด ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม อย่าปล่อยให้เขาจากไป ผมจะรีบมาคารวะเขา” ผู้อาวุโสพูด


นักรบที่เอาชนะเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวงได้จะต้องเป็นคนพิเศษ แม้วรยุทธของอีกฝ่ายจะเป็นแค่นักรบอมตะตัวจริงก็ตาม


เจ้าหน้าที่พยักหน้า แต่ขณะที่เธอกำลังจะออกไปจัดการ สาวน้อยคนหนึ่งที่ประจำอยู่บริเวณเคาน์เตอร์ต้อนรับด้านหน้าก็ร้องเรียก “ผู้อาวุโส ชายหนุ่มที่ต้องการเดินทางไปทะเลพลัดดาวมาขอพบคุณด่วน…”


“เขาตามหาผม?” ผู้อาวุโสโบกมืออย่างหงุดหงิด “บอกเขาไปว่าผมไม่ว่าง ผมจะไม่เสียเวลาเจรจากับเขาหรอกถ้าเขาไม่มีเงิน!”


สิ่งที่สำคัญกว่าในเวลานี้คือตามหาตัวผู้เชี่ยวชาญคนนั้น เขาไม่มีเวลาจะเสียให้ชายหนุ่มที่เป็นแค่นักรบอมตะตัวจริง


“เขาบอกว่า…” สาวน้อยอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “เขารวบรวมเหรียญนิรันดร์ได้ตามจำนวนที่ต้องการแล้ว เขามาเพื่อจ่ายค่าโดยสาร”


“เขารวบรวมเหรียญนิรันดร์ได้ตามที่ต้องการแล้ว?” ผู้อาวุโสถึงกับผงะ ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวของเขาทันที เขารู้สึกเหมือนหัวสมองจะระเบิด นัยน์ตาของผู้อาวุโสเบิกโพลงขณะพึมพำ “หรือว่าจะเป็นเขา?”


ผู้อาวุโสรีบสั่งการ “รีบเชิญเขาเข้ามา!”


นักรบอมตะตัวจริง-ผ่าน!


เมื่อลองนึกดู อีกฝ่ายบอกเขาให้รอสักครู่ แล้วจู่ๆหลิวหยางก็ปรากฏตัวขึ้นที่สังเวียนประลองของหอนิรันดร์และเอาชนะการดวลได้ถึง 16 รอบติดต่อกัน จากนั้น ทันทีที่การดวลสิ้นสุด อีกฝ่ายก็รีบมาบอกเขาว่ารวบรวมเงินได้ตามจำนวนที่ต้องการแล้ว ช่วงเวลา-ผ่าน!


ที่สำคัญกว่านั้น หลิวหยางพูดว่าเขาหาเงินได้มากพอแล้ว และจะไม่ต่อสู้อีกหลังจากเอาชนะการดวลรอบที่ 15 ได้สำเร็จ…


จากการคิดคำนวณคร่าวๆ เงินสะสมที่ได้เมื่อจบการดวลรอบที่ 15 ก็น่าจะมากกว่า 20,000 เหรียญนิรันดร์อยู่นิดหน่อย


จำนวนเงิน-ผ่าน!


ขณะที่เขายังคงครุ่นคิด จางเซวียนก็เดินเข้ามาในห้องและยื่นบัตรนิรันดร์ให้


“นี่คือเงิน 20,000 เหรียญนิรันดร์”


ผู้อาวุโสรีบออกจากภวังค์และใช้สองมือรับบัตรนิรันดร์มา เมื่อตรวจสอบภายใน ก็พบว่ามีเงิน 20,000 เหรียญนิรันดร์จริงๆ เขาตัวแข็งทื่อขณะตั้งคำถามอย่างร้อนใจ “ไม่ทราบว่าผมควรเรียกคุณอย่างไร? อย่าเข้าใจผิดนะ ผมไม่ได้พยายามสืบเสาะตัวตนของคุณหรืออะไรทำนองนั้น เพียงแต่อยากแนะนำคุณให้กับสำนักดาวเจ็ดดวง จึงอยากรู้ชื่อและภูมิหลังของคุณสักเล็กน้อย”


“อ๋อ ได้เลย!” จางเซวียนพยักหน้า “ผมคือหลิวหยาง”


พลั่ก!


ผู้อาวุโสที่ทรุดฮวบลงไปพยายามกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน ขณะที่มองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ก็รู้สึกได้ว่าน้ำตารื้น


ถ้าเขารู้ว่าหมอนี่จะเก่งกาจขนาดนี้ คงไม่คิดจะหากำไรจากเขา!


ใครจะไปรู้ว่าชายหนุ่มที่ดูแสนจะธรรมดาสามัญคนนี้จะเอาชนะทั้งสำนักดาวเจ็ดดวงได้?


“คุณคือผู้ที่อยู่ในสังเวียนประลองเมื่อครู่นี้ใช่ไหม?” ในที่สุดผู้อาวุโสก็ตั้งคำถาม


“ก็คุณบอกว่าต้องใช้เงิน 20,000 เหรียญนิรันดร์ และผมก็หาวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ไม่ได้ในการจะหาเงินให้ครบภายในระยะเวลาอันสั้น จึงต้องเสี่ยงโชคที่สังเวียนประลอง โชคดีที่บรรดาคู่ต่อสู้ของผมไม่ค่อยแข็งแกร่งเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นผมคงเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยกว่าจะได้เงินนี้มา” จางเซวียนตอบพร้อมกับยิ้มแฉ่ง


ในเมื่อเขาไม่ได้เปิดเผยเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าหรือตัวตนที่แท้จริงในฐานะหัวหน้าหอนานาอสูร การยอมรับเรื่องเหล่านี้ก็ไม่น่ามีปัญหา


“คู่ต่อสู้ของคุณไม่ค่อยแข็งแกร่งเท่าไหร่?”


ผู้อาวุโสยืนโงนเงนขณะพยายามกลั้นเลือดที่เอ่อขึ้นมาอยู่ในลำคอ


คุณรู้ไหมว่าเพิ่งสู้กับใคร? นี่พูดจริงๆใช่ไหมว่าผู้อาวุโสที่ 1 กับเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวงไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไหร่?


ในสายตาของคุณ แบบไหนถึงเรียกว่าแข็งแกร่ง?


“ถ้าผมรู้ว่าคุณทรงพลังขนาดนี้ คงไม่กล้าเรียกร้องเงินจากคุณหรอก” ผู้อาวุโสพึมพำและถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มอีกครั้งและพูดว่า “เอาเถอะ ผมจะติดต่อสำนักดาวเจ็ดดวงให้เดี๋ยวนี้!”


ขณะที่พูด ก็ยื่นบัตรนิรันดร์กลับคืนให้จางเซวียนอย่างเงียบๆ


ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากได้เงิน แต่ไม่กล้ารับไว้!


ถ้าเขาทำให้ผู้เชี่ยวชาญระดับนี้ขัดใจ ก็รู้เลยว่าชีวิตในภายภาคหน้าคงเหมือนตกนรกทั้งเป็น


ผู้อาวุโสนำตราหยกสื่อสารออกมาและเขียนข้อความลงไป ครู่ต่อมาก็หันมาพูดกับจางเซวียน “ผู้อาวุโสหลิว เจ้าสำนักดาวเจ็ดดวงอยากพบคุณเป็นการส่วนตัว เราไปที่นั่นกันดีไหม?”


ทันทีที่เขารายงานเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น อีกฝ่ายก็สั่งการให้พาจางเซวียนไปทันที


เป็นธรรมดาที่ผู้อาวุโสจะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เขารู้ว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้ากำลังจะมีสถานภาพที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างใหญ่หลวง จึงไม่ลังเลที่จะเปลี่ยนคำเรียกขานเป็น ‘ผู้อาวุโสหลิว’


“ได้สิ” จางเซวียนพยักหน้า


สำนักดาวเจ็ดดวงตั้งอยู่ใกล้กับหอนิรันดร์ ภายใน 10 นาที พวกเขาก็อยู่บนเส้นทางที่นำไปสู่ตำหนักกระบวยสวรรค์ อาคารกลางของสำนักดาวเจ็ดดวง


ที่นั่งอยู่กลางห้องคือเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยว ผู้อาวุโสที่ 1 และผู้อาวุโสหงอู่ เมื่อเห็นทั้งคู่เดินเข้ามา ทุกสายตาก็จับจ้องที่จางเซวียน


ตอนที่ 2062 ผมเป็นนักรบพเนจร

ชายหนุ่มที่อยู่ในหอนิรันดร์เสมือนจริงอายุยังน้อย ส่วนชายที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาในเวลานี้ดูจะมีอายุมากกว่า แต่โดยรวมก็ไม่น่าจะมากกว่า 30 ปี


เขาเพิ่งอายุ 20 กว่าๆเท่านั้น แต่เป็นนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ และทรงพลังถึงขนาดที่พวกเขาเทียบชั้นไม่ได้เมื่อมีวรยุทธระดับเดียวกัน


“คุณคือนักรบที่เอาชนะการดวลถึง 16 นัดติดต่อกันในหอนิรันดร์เมื่อครู่นี้ใช่ไหม?” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวตั้งคำถาม


เพราะรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายที่ปรากฏในหอนิรันดร์กับเวลานี้แตกต่างกัน พวกเขาจึงไม่แน่ใจว่าจะเป็นคนเดียวกันหรือไม่


“ใช่” จางเซวียนพยักหน้า “ผมมีเรื่องด่วนที่ทำให้ต้องเดินทางไปทะเลพลัดดาวโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เจ้าสำนักคุ่ย, ไม่ทราบว่าจะสะดวกไหมถ้าผมจะขอเดินทางไปด้วย ผมจะจ่ายค่าโดยสารให้คุณตามราคาท้องตลาด”


ระหว่างทางที่มา ผู้อาวุโสบอกเขาแล้วว่าผู้ที่เขาจะได้พบคือเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวแห่งสำนักดาวเจ็ดดวง!


ถ้าเป็นเมื่อก่อน จางเซวียนยังพอมีความยำเกรงในตัวผู้เชี่ยวชาญขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อยู่บ้าง แต่หลังจากได้พบหานเจี้ยนชิวกับฉิงหย่วน และสังหารนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์จากหอเทพเจ้าไปถึง 4 คน แถมยังได้เห็นไก่น้อยกลืนกินของล้ำค่าระดับกึ่งสรวงสวรรค์ด้วย ความยำเกรงของเขาก็ค่อยๆลดลง


“คุณจะเดินทางไปทะเลพลัดดาวเหมือนกันหรือ?” เจ้าสำนักคุ่ยขมวดคิ้ว “น้องหลิว ไม่ทราบว่าคุณมาจากสำนักไหน? ต้องขออภัยด้วยในความไม่รู้ของผม แต่ผมไม่เคยได้ยินชื่อของคุณมาก่อนเลย”


เพราะเกรงว่าจะทำให้ประชากรในท้องถิ่นไม่พอใจ เหล่าผู้เชี่ยวชาญในทวีปที่ถูกลืมจึงแทบไม่เคยเดินทางไปยังทะเลพลัดดาว แต่อีกฝ่ายมีความประสงค์ส่วนตัวที่จะเดินทางไปที่นั่น…


เรื่องนี้ทำให้เขาหวนนึกถึงเรื่องราวของสะพานเบื้องบน หรือว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาจะเป็นอัจฉริยะจากสำนักอื่น?


ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผู้อาวุโสหงอู่ก็ไม่มีโอกาสเอาชนะได้เลย!


การจะสำเร็จวรยุทธอมตะขั้นสูงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าทางสำนักทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดให้กับการบ่มเพาะนักรบคนหนึ่ง ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป


เป็นธรรมดาที่คนปราดเปรื่องอย่างชายหนุ่มผู้นี้จะคู่ควรกับการที่ทางสำนักจะมอบทรัพยากรทั้งหมดให้


จางเซวียนประสานมือตอบ “ผมเป็นนักรบพเนจร”


หากเขาตอบไปว่ามาจากสำนักดาบเมฆเหิน อีกฝ่ายจะต้องนึกถึงเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าทันที และหากตอบไปว่ามาจากหอนานาอสูร อีกฝ่ายก็จะต้องนึกถึงหัวหน้าหอนานาอสูรที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งใหม่


แทนที่จะต้องเจอเรื่องยุ่งยากกับการพยายามอธิบายเรื่องราวของตัวเอง สู้เก็บเนื้อเก็บตัวไว้ดีกว่า


เพียงไม่นานหลังจากที่เขาสร้างความอึกทึกครึกโครมครั้งใหญ่ในสำนักดาบเมฆเหิน ก็เจอกับการลอบสังหารจากหอเทพเจ้า และเหตุการณ์แบบเดิมก็เกิดขึ้นอีกเมื่อเขาทำตัวโดดเด่นเกินไปที่หอนานาอสูร


ดังนั้น สิ่งที่เขาต้องทำในเวลานี้คือปกปิดความโดดเด่นของตัวเองไว้ไม่ให้ผู้อื่นรับรู้มากเกินไป


“นักรบพเนจร?” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวตาโต จากนั้นเขาก็ย่นหน้าผากขณะตั้งคำถาม “ไม่ทราบว่าเหตุผลที่คุณอยากไปเยือนทะเลพลัดดาวคืออะไร, น้องหลิว?”


“เพื่อจัดการธุระส่วนตัวของผม” จางเซวียนตอบ


“ธุระส่วนตัว…” ได้ยินคำนั้น เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวถอนหายใจอย่างโล่งอก


ถ้าเป็นธุระส่วนตัว ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสะพานเบื้องบน ซึ่งหากเป็นแบบนั้น ชายหนุ่มก็คงจะเป็นนักรบพเนจรที่ไม่ได้สังกัดสำนักอื่นจริงๆ


เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวมองจางเซวียนด้วยสายตาคมกริบขณะตั้งคำถาม “ในเมื่อคุณเป็นนักรบพเนจร…น้องหลิว ไม่ทราบว่าคุณสนใจจะเข้าร่วมกับสำนักดาวเจ็ดดวงของเราไหม?”


“เข้าร่วมกับสำนักดาวเจ็ดดวง?” จางเซวียนถึงกับผงะ


คำเชิญอย่างกะทันหันแบบนี้คืออะไร?


เขาแน่ใจว่าตั้งแต่มาถึงเมืองปี้หยวน เขาก็เก็บเนื้อเก็บตัวแล้ว!


ทั้งหมดที่เขาทำก็แค่เข้าร่วมการดวล 16 นัดและเอาชนะคู่ต่อสู้ที่ไม่ค่อยจะได้เรื่องได้ราวเท่าไหร่ แน่นอนว่าการต่อสู้เพียงเท่านี้คงไม่เพียงพอจะดึงดูดความสนใจของผู้นำหนึ่งในหกสํานักใหญ่หรอก ใช่ไหม?


“ใช่ ขอแค่คุณมาเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักดาวเจ็ดดวงของเรา และเป็นตัวแทนของสำนักในการเข้าร่วมการต่อสู้ ผมจะรวบรวมทรัพยากรทั้งหมดของสำนักเพื่อช่วยให้คุณสำเร็จวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงได้ภายในเวลา 10 วัน!” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวยื่นข้อเสนอด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย


“คุณจะช่วยผมให้สำเร็จวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์?” จางเซวียนหรี่ตา


มีสองเหตุผลที่ทำให้เขารีบร้อนอยากเดินทางไปทะเลพลัดดาว ข้อแรกคือเพื่อค้นหาความลับที่อยู่เบื้องหลังหินโลหิตเทพเจ้า และอีกข้อก็คือเพื่อรวบรวมเทคนิควรยุทธเกี่ยวกับจิตวิญญาณเพื่อนำมายกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของเขา จะได้ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบระดับอมตะขั้นสูงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้!


หลังจากเผชิญหน้ากับความพยายามลอบสังหารถึง 2 ครั้งจากหอเทพเจ้า ก็คงเป็นเรื่องโกหกหากจะบอกว่าเขาไม่กังวล จางเซวียนรู้สึกได้ถึงความกดดันหนักหน่วงที่ทำให้เขาอยากยกระดับประสิทธิภาพการต่อสู้โดยเร็วที่สุด


เมื่อลองทบทวน เขาอยู่ในมิติเบื้องบนมานานกว่า 20 วันแล้ว แต่ยกระดับวรยุทธจากนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติขั้นต้นมาเป็นนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์เท่านั้น ช้าและเฉื่อยอะไรอย่างนี้!


แถมยังมีความแตกต่างระหว่างเวลาในมิติเบื้องบนกับทวีปแห่งปรมาจารย์ด้วย…20 วันที่นี่ยาวนานพอๆกับครึ่งปีในทวีปแห่งปรมาจารย์เลยทีเดียว


“ใช่””เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวพยักหน้า


ไม่มีนักรบอมตะตัวจริงคนไหนที่ไม่สนใจข้อเสนอของการจะได้ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูง!


“เมื่อครู่นี้คุณพูดว่าอยากให้ผมเป็นตัวแทนของสำนักดาวเจ็ดดวงเพื่อเข้าร่วมการต่อสู้ ไม่ทราบว่าการต่อสู้นั้นเกี่ยวข้องกับอะไร? ผมจะเป็นอันตรายไหม?” จางเซวียนถาม


โลกนี้ไม่มีของฟรี


การช่วยใครสักคนให้ยกระดับวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ในเมื่ออีกฝ่ายเต็มใจยื่นข้อเสนอที่แสนเย้ายวนใจให้แบบนี้ ก็แปลว่าเขาต้องได้อะไรกลับคืนไปไม่น้อย


“วางใจเถอะ มันเป็นแค่การดวลระหว่าง 6 สำนักใหญ่ ทุกคนมีวรยุทธระดับเดียวกัน ไม่มีอันตรายใดๆ ถ้าคุณยอมแพ้ การดวลก็จะจบลงทันที” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวพูด “อีกอย่าง ถ้าคุณทำผลงานได้ดี ผมจะเสนอชื่อคุณให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของผม ในอนาคตคุณจะเข้ารับตำแหน่งแทนผม ได้เป็นเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวง!”


วัตถุประสงค์ของการดวลก็คือเฟ้นหาตัวผู้นำในการปฏิบัติภารกิจ ดังนั้นพวกเขาจะหยุดเมื่อเห็นว่าเหมาะสม ไม่มีอะไรเป็นอันตราย


ส่วนการเข้าสู่สะพานเบื้องบนและท้าทายเหล่านักรบของหอเทพเจ้า…


นั่นคือโอกาสอันน้อยนิดที่จะได้ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ อาจเป็นอันตรายก็จริง แต่ผลตอบแทนที่ได้นั้นคุ้มค่ากับการเสี่ยง


ทั้งตัวเขาและหัวหน้าฉิงหย่วนจากหอนานาอสูรสำเร็จวรยุทธระดับนี้ได้ก็เพราะการเดินทางเข้าสู่สะพานเบื้องบน


ขอแค่อีกฝ่ายสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ ก็จะได้เป็นเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวงคนต่อไป ไม่มีใครคัดค้าน


“ผมจะได้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งและรับตำแหน่งของคุณในอนาคต? ไม่เป็นไร ผมไม่อยากได้” จางเซวียนส่ายหน้า


แต่แล้วความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามา เขามองหน้าเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวพร้อมกับยิ้มให้ “แต่ในเมื่อคุณบอกว่าการดวลนั้นไม่มีอันตราย ผมก็ไม่รังเกียจที่จะเป็นผู้อาวุโสของสำนักดาวเจ็ดดวง…ซึ่งในฐานะผู้อาวุโส ผมมีสิทธิ์เข้าสู่หอสมุดของสำนักดาวเจ็ดดวงได้ ใช่ไหม?”


“แน่นอน!” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวพยักหน้า


มีหนังสือมากมายอยู่ในหอสมุดของสำนักดาวเจ็ดดวง ทั้งหมดเป็นสินค้าที่ขายได้ราคางาม ในฐานะผู้อาวุโสและผู้ที่อาจได้เป็นเจ้าสำนักคนต่อไป แน่นอนว่าอีกฝ่ายมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้เห็นคลังหนังสือของพวกเขา


“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหา ผมตกลง” จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก


ขอแค่เขาสำเร็จวรยุทธระดับอมตะขั้นสูง ก็จะอยู่ในสถานภาพที่ปลอดภัยกว่าเดิมมากเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหอเทพเจ้า พูดได้เลยว่าปัญหาเกือบทั้งหมดที่เขาต้องเจอจะได้รับการคลี่คลาย


ถ้าอีกฝ่ายสามารถช่วยเขาให้สำเร็จวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงได้โดยเร็ว เขาก็ไม่รังเกียจที่จะตอบแทนบุญคุณให้ ตอนนี้เขาเป็นผู้อาวุโสของสำนักดาบเมฆเหินและหัวหน้าหอนานาอสูรแล้ว จะรับอีกสักตำแหน่งก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่


ถึงอย่างไร ในเวลานี้เขาก็ปลอมตัวอยู่ อย่างมากที่สุด ต่อไปก็แค่ให้ตัวโคลนปลอมตัวเป็นเขา


ส่วนเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นอีกฝ่ายตอบตกลง


เรื่องราวที่พวกเขาจะพูดคุยกันต่อไปเกี่ยวข้องกับความลับสุดยอดของสำนักดาวเจ็ดดวง คงไม่สะดวกนักที่จะให้บุคลากรจากหอนิรันดร์อ้อยอิ่งอยู่ที่นั่น ผู้อาวุโสจากหอนิรันดร์จึงกล่าวอำลาและจากไป


เมื่อผู้อาวุโสจากไปแล้ว เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวสะบัดข้อมือและนำขวดหยกใบหนึ่งออกมา “นี่คือยาเม็ดสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูง มันจะช่วยเพิ่มโอกาสในการฝ่าด่านวรยุทธได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ในเมื่อคุณเป็นนักรบอมตะตัวจริงแล้ว ขอแค่เตรียมตัวให้พร้อม การฝ่าด่านวรยุทธก็คงไม่ยากเกินไป!”


แม้จะเพิ่มได้เพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ความแตกต่างนี้ก็อาจส่งผลกระทบอันยิ่งใหญ่


แถมชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขายังมีความเชี่ยวชาญอย่างเหลือเชื่อในเทคนิควรยุทธและเทคนิคการต่อสู้ ด้วยการสนับสนุนของยาเม็ดชนิดนี้ ก็เป็นอันรับประกันได้ว่าอีกฝ่ายจะต้องฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ!


“คุณได้รับความสำนึกในบุญคุณจากผม” จางเซวียนรับขวดหยกมาด้วยความยินดี


เขาไม่เคยเห็นของจริงมาก่อน แต่จากหนังสือหลายเล่มที่ได้อ่าน ก็รู้ว่ายาเม็ดสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธนี้มีราคาค่างวดมากแค่ไหน


แค่เม็ดเดียวก็มีราคาพอๆกับของล้ำค่าระดับอมตะขั้นสูงชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว!


ถือเป็นโชคดีครั้งใหญ่ที่ได้ยาเม็ดล้ำค่าขนาดนี้จากอีกฝ่าย ดูเหมือนต่อไปเขาจะต้องทำผลงานในการต่อสู้ให้ดีที่สุด


“ไม่จำเป็นต้องเกรงอกเกรงใจหรอก ในสำนักของเรามีห้องส่วนตัวที่หลอมขึ้นเป็นพิเศษจากหินสงบใจ ถ้าคุณฝึกฝนวรยุทธที่นั่น ไม่เพียงแต่คุณจะไม่ได้รับผลกระทบจากปีศาจใต้สำนึก โอกาสในการฝ่าด่านวรยุทธของคุณจะเพิ่มขึ้นอีกมากด้วย ผู้อาวุโสหลิว, บอกผมได้เลยถ้าคุณอยากใช้ห้องนั้น ผมสามารถพาคุณไปได้เดี๋ยวนี้” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวพูด


“ไม่จำเป็นหรอก พอดีตอนนี้ผมมีข้อสงสัยบางอย่างเรื่องวรยุทธ จึงอยากค้นคว้าหนังสือเพื่อหาวิธีแก้ไขสักหน่อย ไม่ทราบว่าหอสมุดของสำนักดาวเจ็ดดวงตั้งอยู่ที่ไหน? ผมอยากไปดูหนังสือที่นั่น” จางเซวียนตอบ


ตอนที่ 2063 นักรบผู้ไร้เทียมทาน

ในฐานะผู้ฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้า เขาไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากปีศาจใต้สำนึกอยู่แล้ว จึงไม่ต้องการใช้ห้องส่วนตัวที่หลอมขึ้นจากหินสงบใจ


ครั้งเดียวที่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นถือเป็นความโชคร้ายโดยบังเอิญ ซึ่งจี้ที่หลัวลั่วชิงมอบให้ก็แก้ไขปัญหานั้นได้


“คุณอยากดูหนังสือ?” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวคิดว่าชายหนุ่มคงจะรีบกินยาเม็ดเพื่อการฝ่าด่านวรยุทธทันที ใครจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายจะอดทนถึงขนาดรอคลี่คลายข้อสงสัยในหัวใจของเขาก่อน?


เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวได้แต่พยักหน้าอย่างยอมรับ


สามารถระงับความต้องการฝ่าด่านวรยุทธไว้ แล้วยื้อมันออกไปจนกว่าจะพบวิธีการที่เหมาะสมที่สุด…ไม่น่าแปลกใจแล้วที่ชายหนุ่มผู้นี้จะเป็นนักรบผู้ไร้เทียมทาน!


สิ่งนี้ทำให้เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวรู้สึกมั่นอกมั่นใจกว่าเดิม เขาหันไปพูดกับผู้อาวุโสที่ 1 “ผู้อาวุโสที่ 1 ผมขอรบกวนคุณให้พาผู้อาวุโสหลิวไปที่นั่นด้วย”


ถึงตอนนี้ เจ้าสำนักคุ่ยครุ่นคิดอย่างหนักก่อนจะกล่าวเสริม “ถ้ามีความจำเป็นล่ะก็ เขาได้รับอนุญาตให้ดูหนังสือที่เป็นความลับสุดยอดยอดที่อยู่ในห้องลับด้วยนะ”


“ขอรับ เจ้าสำนักคุ่ย” ผู้อาวุโสที่ 1 ตอบพร้อมกับพยักหน้า


สำนักดาวเจ็ดดวงมีคำสอนและมรดกตกทอดของตัวเอง แต่ก็เก็บรักษาหนังสือจำนวนหนึ่งไว้เพื่อการประมูลด้วย คลังหนังสือของพวกเขาจึงเป็นสิ่งที่เปิดให้เข้าชมได้


เพียงแต่การประมูลที่พวกเขาจัดขึ้นมักมีไว้เพื่อเหล่าชนชั้นสูงของทวีปที่ถูกลืม หนังสือที่พวกเขานำออกประมูลจึงมักเป็นศาสตร์ลับของสำนักอื่น ด้วยเหตุนี้ บรรดาศิษย์สายตรงและผู้อาวุโสจึงถูกห้ามไม่ให้เข้าถึงเนื้อหาพวกนั้น เพราะไม่อย่างนั้น อาจเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือขององค์กรในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจ


แต่ด้วยวุฒิภาวะของชายหนุ่ม เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวไม่คิดว่าการอนุญาตให้ชายหนุ่มเข้าถึงหนังสือพวกนั้นจะก่อให้เกิดปัญหาใด โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายต้องการใช้หนังสือเพื่อการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูง


แน่นอนว่าเรื่องนี้ถูกพิจารณาพร้อมกับความจริงที่ว่าสะพานเบื้องบนใกล้จะลงมาแล้ว ไม่อย่างนั้น เขาคงไม่ยกเว้นให้แบบนี้


หอสมุดตั้งอยู่ที่ตำหนักอำนาจสวรรค์สร้าง จางเซวียนตามผู้อาวุโสที่ 1 ไป ไม่ช้าก็เข้ามาอยู่ในหอสมุดของผู้อาวุโส


“เชิญดูรอบๆได้ตามสบาย ผมขอตัวก่อน แต่กรุณาแจ้งศิษย์สายตรงคนไหนก็ได้ที่อยู่ใกล้ๆให้ไปเรียกผมหากคุณต้องการความช่วยเหลือ” ผู้อาวุโสที่ 1 พูดก่อนจะออกไป


ในที่สุดจางเซวียนก็มีโอกาสพินิจพิจารณาสภาพแวดล้อมรอบตัว


หอสมุดแห่งนี้ใหญ่โตกว่าที่สำนักดาบเมฆเหินมาก ทั้งขนาดและจำนวนหนังสือ หนังสือเทคนิควรยุทธทุกชนิดถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบไว้บนชั้น ทั้งหมวดหมู่และประเภทของมันหลากหลายกว่าที่หอนานาอสูรและสำนักดาบเมฆเหินมาก


ไม่ช้าจางเซวียนก็ถ่ายโอนหนังสือทั้งหมดในชั้น 1 ได้สำเร็จ


เขารีบขึ้นสู่ชั้น 2 จากนั้นก็ชั้น 3


ภายในเวลา 6 ชั่วโมง จางเซวียนก็ถ่ายโอนหนังสือทุกเล่มที่มีเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้าจนครบถ้วน จากนั้นเขาก็มุ่งหน้าไปยังห้องส่วนตัวที่อยู่ใกล้ๆเพื่อตรวจสอบสิ่งที่ได้มา


“มีหนังสือเทคนิควรยุทธของจิตวิญญาณขั้นอมตะตัวจริงอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ไม่มากพอจะทำให้เราประมวลศาสตร์แห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้าได้…”


หนังสือที่อยู่ในสำนักดาวเจ็ดดวงครอบคลุมหลากหลายสาขา รวมแล้วก็มีหนังสือหลายร้อยเล่มที่เกี่ยวข้องกับเทคนิควรยุทธของจิตวิญญาณ แต่ก็ยังไม่มากพอสำหรับจางเซวียน


ส่วนหนังสือเทคนิควรยุทธระดับอมตะขั้นสูงนั้น แม้ที่สำนักดาวเจ็ดดวงจะมีมากกว่า แต่ก็มีเพียง 30 กว่าเล่ม ยังอีกไกลกว่าจะประมวลเป็นศาสตร์แห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้าได้


“เท่าที่เห็น เรายังไม่น่าจะฝ่าด่านวรยุทธได้เร็วๆนี้…” จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะนวดหว่างคิ้ว


ดูเหมือนว่าถึงอย่างไรเขาก็ต้องเดินทางไปตำหนักคว้าดาวอยู่ดี


…..


ขณะที่จางเซวียนอยู่ในหอสมุด บรรยากาศที่ตำหนักกระบวยสวรรค์ก็ตึงเครียด


“เจ้าสำนักคุ่ย คุณตั้งใจจะเอาคนนอกคนนั้นมาแทนที่ผมจริงๆหรือ?” ผู้อาวุโสหงอู่หน้าดำคร่ำเครียด “ต้องขออภัยในความกระด้างกระเดื่องของผมด้วย แต่ผมไม่อาจยอมรับคำตัดสินของคุณได้!”


“คุณเคยต่อสู้กับเหล่านักรบของหอเทพเจ้ามาแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้านทานการโจมตีของเขาไม่ได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว แล้วคำตัดสินของผมตรงไหนที่คุณยอมรับไม่ได้?” เจ้าสำนักคุ่ยขมวดคิ้ว


“เขาไม่ได้มาจากสำนักดาวเจ็ดดวงของเรา มีสิทธิ์อะไรที่จะคว้าโอกาสที่มีเพียงครั้งเดียวในรอบ 100 ปีเพื่อท้าทายสะพานเบื้องบน?” ผู้อาวุโสหงอู่ตอบอย่างไม่พอใจ


“ชายผู้นั้นบอกว่าตัวเขาคือนักรบพเนจรที่ชื่อหลิวหยาง แต่เรื่องจริงก็คือเราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับภูมิหลังของเขาเลย เราสั่งการให้ทีมสืบเสาะข้อมูลตรวจสอบเขาแล้ว แต่พวกนั้นก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรสักอย่าง หากเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญจากหอเทพเจ้าที่ปลอมตัวมาล่ะก็ เรื่องนี้จะกลายเป็นความเสียหายหนัก ไม่ได้การ ปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้แน่! ผมต้องบังคับให้เขาเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาให้ได้!”


ไม่มีทางที่นักรบผู้เก่งกาจระดับนี้จะอยู่ได้โดยไม่เป็นที่รู้จักของใครต่อใคร ด้วยเครือข่ายข้อมูลข่าวสารอันกว้างขวางของสำนักดาวเจ็ดดวง หากพอมีอะไรเกี่ยวกับหลิวหยางที่จะเปิดเผยได้ พวกเขาก็คงรู้ไปนานแล้ว


ราวกับหมอนี่โผล่มาจากที่ไหนก็ไม่รู้!


สถานการณ์แบบนี้น่าเป็นห่วงเหลือเกิน


เพราะการมาถึงของสะพานเบื้องบนจะเป็นเครื่องกำหนดว่าในอีก 100 ปีข้างหน้า สำนักของพวกเขาจะเป็นอย่างไร ถ้าเกิดอะไรขึ้น ก็มีโอกาสสูงที่สำนักดาวเจ็ดดวงจะร่วงลงจากตำแหน่งหนึ่งในหกสำนักใหญ่


“ผมเคยสู้กับนักรบของหอเทพเจ้ามาแล้ว เทคนิคการต่อสู้และเทคนิควรยุทธของเขาไม่ได้เหมือนคนพวกนั้นเลย” เจ้าสำนักคุ่ยตอบพร้อมกับสายหน้า


“แต่ก็นั่นแหละ หลิวหยางอาจปลอมตัวมาก็ได้ ผมสั่งการให้ผู้อาวุโสที่ 1 ตรวจสอบข้อมูลโดยใช้รูปร่างหน้าตาของเขาแล้ว ไม่ช้าก็คงได้อะไรมาบ้าง”


ในฐานะเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวง เจ้าสำนักคุ่ยไม่ได้เพิกเฉยหรือละเลยการไขข้อสงสัยเหล่านี้


การเสนอชื่อหลิวหยางเป็นตัวแทนเพื่อเข้าสู่การท้าทายสะพานเบื้องบนเท่ากับเป็นการประกาศเจตนารมณ์ของเขาว่าจะแต่งตั้งอีกฝ่ายให้เป็นผู้สืบทอดของสำนักดาวเจ็ดดวง จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะต้องตรวจสอบเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนที่สุด


ทันทีที่พูดจบ ผู้อาวุโสที่ 1 ก็เดินเข้ามาในห้อง


“เป็นอย่างไรบ้าง?” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวถาม


“ผมสั่งการไปยังสำนักดาวเจ็ดดวงทุกสาขาแล้ว แต่ไม่มีใครมีข้อมูลเกี่ยวกับอัจฉริยะที่มีรูปร่าง หน้าตาและรังสีจิตวิญญาณตามแบบของหลิวหยางเลย” ผู้อาวุโสที่ 1 ตอบ


สำนักดาวเจ็ดดวงแตกต่างจากสำนักดาบเมฆเหิน โดยถึงแม้จะเป็นสำนัก แต่ก็มีสาขามากมายนับไม่ถ้วนกระจายกันอยู่ทั่วทวีปที่ถูกลืม ด้วยเหตุนี้ เครือข่ายข้อมูลข่าวสารของพวกเขาจึงพัฒนาก้าวหน้าไปมาก


“ไม่มีเลย?” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวขมวดคิ้ว เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะถามต่อ “แล้วภาพเหมือนกับรังสีจิตวิญญาณของเจ้าสำนักจางเซวียนกับหัวหน้าเจิ้งหยางล่ะ?”


“อยู่นี่” ผู้อาวุโสที่ 1 พูดขณะยื่นตราหยก 2 อันให้


เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวเคาะตราหยกนั้น สองร่างปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศทันที ทั้งคู่คือจางเซวียนและเจิ้งหยางที่เป็นร่างปลอม!


เพราะจางเซวียนอยู่ในสำนักดาบเมฆเหินมาระยะหนึ่งแล้ว จึงไม่แปลกที่กลุ่มอำนาจอื่นๆจะได้ภาพเหมือนกับรังสีจิตวิญญาณของเขามา แต่เขาพำนักอยู่ที่หอนานาอสูรได้เพียงวันเดียวและแทบไม่ได้พบใครเลย แต่ถึงอย่างนั้น สำนักดาวเจ็ดดวงก็ยังเก็บรายละเอียดของเขามาได้


พูดได้เลยว่าเครือข่ายข้อมูลข่าวสารของที่นี่น่าสะพรึงมาก


เห็นเจ้าสำนักคุ่ยตรวจสอบรูปลักษณ์และรังสีของทั้งคู่อย่างถี่ถ้วน ผู้อาวุโสที่ 1 ตั้งคำถาม “เจ้าสำนักคุ่ย คุณสงสัยว่าหลิวหยางคนนี้อาจเป็นเจ้าสำนักจางหรือหัวหน้าเจิ้งปลอมตัวมาใช่ไหม?”


เจ้าสำนักคุ่ยพยักหน้า


“ผมรู้ว่าเจ้าสำนักจางคนนั้นเป็นนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ ซึ่งตรงกับข้อมูลของหลิวหยาง แต่เจ้าสำนักจางขึ้นชื่อเรื่องศิลปะเพลงดาบไร้เทียมทาน ขณะที่หลิวหยางเอาชนะทั้งคุณและผมได้ด้วยการใช้กำปั้น พวกเขาจึงไม่น่าจะเป็นคนเดียวกัน” ผู้อาวุโสที่ 1 พูดพร้อมกับขมวดคิ้ว


“ส่วนหัวหน้าเจิ้ง จากข้อมูลที่เราได้มา ระดับวรยุทธของเขาคือนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ ด้วยสิ่งนี้ เขาจึงทำให้มังกรอสรพิษ นกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัวและอสูรตัวอื่นๆยอมจำนนได้ ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น เขาก็ไม่น่าจะใช่หลิวหยาง อีกอย่าง ผมตรวจสอบรังสีจิตวิญญาณของพวกเขาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เห็นได้ชัดว่าทั้งสามมีรังสีจิตวิญญาณที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง”


ผู้อาวุโสที่ 1 ไม่เข้าใจเหตุผลที่เจ้าสำนักคุ่ยตั้งข้อสงสัย


“มีพืชชนิดหนึ่งที่ขึ้นอยู่เฉพาะในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย มีชื่อว่าพืชแปลงร่าง มันทำให้นักรบสามารถปรับเปลี่ยนทั้งรูปร่างหน้าตาและรังสีจิตวิญญาณของพวกเขาได้” เจ้าสำนักคุ่ยอธิบาย “ผมเคยเห็นพืชชนิดนั้นครั้งหนึ่ง แต่ไม่อาจนำมันมาได้”


“เจ้าสำนักคุ่ย คุณกำลังสงสัยว่าหลิวหยางอาจกินพืชแปลงร่างหรือ?” ผู้อาวุโสที่ 1 ตั้งคำถาม


ผมก็ไม่ได้ด่วนสรุปแบบนั้น แค่กำลังบอกคุณว่ามันก็เป็นไปได้ที่ใครสักคนจะปลอมแปลงรูปลักษณ์และรังสีจิตวิญญาณ การที่ทั้งคู่มีรูปร่างหน้าตาและลักษณะที่ดูต่างกันอย่างสิ้นเชิงอาจไม่ได้หมายความว่าพวกเขาคือคนสองคนเสมอไป” เจ้าสำนักคุ่ยตอบอย่างสุขุม “เพียงแต่…ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่ามันแปลกๆ”


“แปลกๆ?”


“ 2-3 วันก่อนนี่เองที่สำนักดาบเมฆเหินพบเจ้าสำนักคนใหม่ที่ทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ และหลังจากนั้นไม่นาน อัจฉริยะผู้ไร้เทียมทานคนหนึ่งที่มีทักษะการฝึกอสูรอันเหนือชั้นก็ปรากฏตัวขึ้นที่หอนานาอสูร จากนั้น นักรบอมตะตัวจริงผู้ไร้เทียมทานถึงขนาดที่ไม่มีใครในหมู่พวกเราเทียบชั้นได้ก็ปรากฏตัวขึ้นในเมืองของเรา…” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวส่ายหน้า


“คุณไม่รู้สึกว่ามันบังเอิญเกินไปหรือที่พวกเขาปรากฏตัวในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันแบบนี้?”


คำพูดนั้นทำให้ผู้อาวุโสที่ 1 ชะงัก


เขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้มาก่อน แต่เมื่อคิดดู ก็น่าสงสัยมาก


ภายใต้สถานการณ์ปกติ คงถือเป็นความโชคดีครั้งใหญ่หากอัจฉริยะระดับนี้ปรากฏตัวขึ้นครั้งหนึ่ง ในทุกๆสองสามร้อยปี แต่ในระยะเวลาเพียง 10 วัน กลับมีอัจฉริยะระดับนั้นปรากฏตัวขึ้นถึง 3 คน


“เจ้าสำนักคุ่ย คุณรู้สึกว่าหลิวหยางก็น่าสงสัยใช่ไหม?” ผู้อาวุโสหงอู่ตาโตอย่างมีความหวังเมื่อได้ยินคำพูดนั้น


ตอนที่ 2064 เขากำลังฝึกฝนวรยุทธ!

เขาเคยคิดว่าเจ้าสำนักออกจะตื่นเต้นเกินเหตุไปสักหน่อยกับการปรากฏตัวของนักรบผู้ไร้เทียมทาน ถึงขนาดที่ไม่คำนึงถึงภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น แต่ดูเหมือนเขาจะประเมินความรอบคอบของชายผู้ เป็นใหญ่ในสำนักดาวเจ็ดดวงมาเนิ่นนานหลายปีต่ำเกินไป


อย่างน้อยที่สุด ประเด็นต่างๆที่ถูกหยิบยกขึ้นมาก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาเคยนึกถึงมาก่อน


“ใช่ ผมก็พูดไม่ได้เต็มปากว่าผมสงสัยหลิวหยาง…” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวส่ายหน้า “ผมสอบถามผู้อาวุโสของหอนิรันดร์แล้วว่าก่อนหน้านี้เขารู้จักหลิวหยางได้อย่างไร ตามที่ผู้อาวุโสบอก ในตอนแรก หลิวหยางตั้งใจจะเช่าอสูรอมตะบินได้ตัวหนึ่งเพื่อเดินทางไปทะเลพลัดดาวโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และผู้อาวุโสก็แนะนำให้เขาร่วมเดินทางไปกับพวกเรา”


“แต่หอนิรันดร์โก่งราคาขึ้นอีกเล็กน้อยเพื่อให้ได้ค่าคอมมิชชั่นสำหรับบริการนี้ นั่นทำให้หลิวหยางต้องมุ่งหน้าสู่สังเวียนประลอง ด้วยเหตุนี้ เหตุผลที่เขาปรากฏตัวที่สังเวียนประลองก็ไม่ใช่เพื่อเรียกร้องความสนใจของพวกเรา และดูเหมือนเขาก็ไม่ได้สนใจสำนักดาวเจ็ดดวงด้วย เท่าที่ดูจากทีท่าของเขาที่มีต่อพวกเราก่อนหน้านี้ ดูเหมือนเขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าได้เอาชนะเราที่สังเวียนประลอง”


“คือ…” การวิเคราะห์ของเจ้าสำนักคุ่ยทำให้ผู้อาวุโสที่ 1 กับผู้อาวุโสหงอู่พูดไม่ออก


เมื่อหวนนึกถึงความทรงจำอันขมขื่นในสังเวียนประลอง ก็ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้รู้เหนือรู้ใต้เลยว่าพวกเขาเป็นใคร


จากการต่อสู้กับหลิวหยาง เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนซื่อบื้อ ถ้ารู้ตัวตนของพวกเขาล่วงหน้า คงไม่เล่นงานอย่างไร้ความปรานีแบบนั้น


ทุกอย่างที่เกิดขึ้นบ่งบอกว่าหลิวหยางไม่ได้จงใจเรียกร้องความสนใจของพวกเขา ซึ่งหมายความว่า ทฤษฎีการสมคบคิดนั้นใช้การไม่ได้


“เป็นไปได้ว่าเขาฉลาดพอที่จะสร้างเรื่องทั้งหมดขึ้นเพื่อปั่นหัวผม…” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวส่ายหน้าอย่างเคร่งเครียด “นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ผมมอบยาเม็ดเพื่อการฝ่าด่านวรยุทธให้เขาและสัญญาว่าจะช่วยให้เขาก้าวไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูงให้ได้ ผมอยากประเมินว่าเขาจะมีทีท่าอย่างไรเมื่อผมยกย่องเขาด้วยเกียรติสูงส่งขนาดนั้น…แต่แทนที่จะร้องขออะไรมากกว่าเดิม เขากลับต้องการแค่คำอนุมัติให้เขาได้เข้าสู่คลังหนังสือของเราเท่านั้น”


ผู้อาวุโสที่ 1 กับผู้อาวุโสหงอู่เงียบกริบ


ดูเหมือนท่านเจ้าสำนักจะใคร่ครวญเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนแล้วตั้งแต่ต้น ทุกการกระทำของเขามีเหตุผลอยู่เบื้องหลัง


การที่เจ้าสำนักมอบยาเม็ดเพื่อการฝ่าด่านวรยุทธให้หลิวหยางและสัญญาว่าจะช่วยให้เขายกระดับไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูงได้นั้นบ่งบอกว่าเจ้าสำนักให้ความสำคัญกับอีกฝ่ายมาก ดังนั้นหลิวหยางจึงควรรีบคว้าโอกาสนี้ไว้ ซึ่งโดยทั่วไป ก็มีความเป็นไปได้ว่าคำร้องขออื่นใดที่จะตามมา หากไม่เหลือบ่ากว่าแรง ก็จะได้รับการอนุมัติ


แต่ดูเหมือนหลิวหยางคนนั้นจะไม่รับรู้เรื่องเหล่านี้เลย เขาทำตัวราวกับเป็นคนโง่ ต้องการเพียงแค่ได้เข้าสู่หอสมุดเท่านั้น


แน่นอนว่าความรู้คือของล้ำค่าสำหรับนักรบ แต่ต้องใช้เวลาเนิ่นนานในการสั่งสม ไม่ใช่อ่านหนังสือเพียง 2-3 ชั่วโมงแล้วจะเกิดความรู้แจ้งขึ้นได้


ด้วยเหตุนี้ คำขอของหลิวหยางจึงเทียบอะไรไม่ได้เลยกับสิ่งที่เขามีโอกาสจะร้องขอ


เจ้าสำนักคุ่ยหันไปถามผู้อาวุโสที่ 1 “ตอนนี้หลิวหยางทำอะไรอยู่?”


“เขายังอ่านหนังสืออยู่ในหอสมุด ยังไม่ออกมา” ผู้อาวุโสที่ 1 ประสานมือตอบ


“ถ้าอย่างนั้น…ไปดูซิว่าเขาอ่านหนังสือประเภทไหน รวบรวมชื่อหนังสือออกมาแล้วรายงานผม” เจ้าสำนักคุ่ยสั่งการ


“ขอรับ เจ้าสำนักคุ่ย!” ผู้อาวุโสที่ 1 ตอบก่อนจะออกไป


เพียงครู่เดียว เขาก็กลับมาด้วยสีหน้าประหลาด


“เป็นอย่างไรบ้าง?”


“คือ…เจ้าสำนักคุ่ย นี่คือบันทึกภาพจากหอสมุด คุณดูเองก็แล้วกัน” ผู้อาวุโสที่ 1 ตอบด้วยใบหน้าแดงก่ำ


เจ้าสำนักคุ่ยงุนงง เขารับตราหยกจากมือของผู้อาวุโสที่ 1 เมื่อแตะเบาๆ รายละเอียดในนั้นก็ลอยขึ้นสู่กลางอากาศ


ภาพที่ปรากฏในบันทึกก็คือหลิวหยางยืนอยู่ใจกลางห้องสมุด ส่ายหัวของเขาไปทุกทิศทาง


บันทึกนั้นมีความยาวราวสิบนาที แต่ตลอดระยะเวลาสิบนาทีนั้น เขาไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากส่ายหัว ถ้าชั้นหนังสือมีหนังสือทั้งหมด 10 แถว เขาก็จะส่ายหัว 10 ครั้งโดยมองไปยังชั้นหนังสือแต่ละชั้นก่อนจะย้ายไปชั้นต่อไป


“นี่…เขามีอาการชักกระตุกหรือ?”


เจ้าสำนักคุ่ยกับผู้อาวุโสหงอู่ชะงัก


ชายหนุ่มไม่ได้คิดจะอ่านหนังสือของพวกเขาหรือไง?


ทำไมถึงเอาแต่ส่ายหัวไปมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด?


ราวกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่พยายามฝึกฝนทักษะการเพื่อดึงดูดใจสาวๆ…


เมื่อไม่อาจทำความเข้าใจเหตุผลที่หลิวหยางมีทีท่าแบบนั้น เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวได้แต่พูดว่า “รอดูต่อไปก็แล้วกัน”


แต่เมื่อบันทึกภาพถูกนำเข้ามาที่ตำหนักกระบวยสวรรค์มากขึ้นเรื่อยๆ ในบันทึกเหล่านั้นก็ไม่แสดงอะไรเลยนอกจากการส่ายหัวอย่างเอาเป็นเอาตายของจางเซวียน


“ดูเหมือนเขาไม่ได้กำลังพยายามฉกฉวยความลับของสำนักดาวเจ็ดดวงนะ…” ผู้อาวุโสที่ 1 เค้นคำพูดออกจากลำคอที่ตีบตัน


ถ้าชายหนุ่มวางแผนจะฉกฉวยศาสตร์ลับของพวกเขา ก็น่าจะนำหนังสือเหล่านั้นออกมาและแอบทำสำเนาเพื่อจะได้นำไปศึกษาภายหลัง แต่ทั้งหมดที่เขาทำคือส่ายหัวมา 4 ชั่วโมงแล้ว ไม่ได้คิดจะเปิดดูหนังสือเล่มไหนเลย


ถ้าการฉกฉวยความลับของสำนักใดๆสามารถทำได้ด้วยการส่ายหัว โลกนี้ก็คงไม่มีความลับอีกแล้ว


“จะต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างแน่ที่ทำให้เขาตั้งหน้าตั้งตาส่ายหัวถึง 4 ชั่วโมงเต็ม ขอผมลองดูหน่อย!” ผู้อาวุโสหงอู่พูด


เขาสะบัดข้อมือ จากนั้นก็นำหนังสือออกมา 2-3 เล่มและวางไว้รอบตัว ผู้อาวุโสหงอู่สูดหายใจลึกก่อนจะส่ายหัวตามแบบของจางเซวียนที่ปรากฏในบันทึก


เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวกับผู้อาวุโสที่ 1 รีบถาม “เป็นอย่างไรบ้าง คุณรู้สึกถึงอะไรแปลกๆบ้างไหม?”


“ผม…เวียนหัว อยากอาเจียน!” ผู้อาวุโสหงอู่พูดออกมาด้วยความยากลำบาก


“….” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวกับผู้อาวุโสที่ 1


ผ่านไป 6 ชั่วโมงกว่าหลิวหยางคนนั้นจะหยุดส่ายหัว เขาทรุดตัวลงนั่งกับพื้นและหลับตา ดูเหมือนกำลังพักผ่อน


“จบสิ้นเสียที…”


ฝูงชนถอนหายใจอย่างโล่งอก


การได้เห็นอีกฝ่ายส่ายหัวตลอดเวลาทำให้พวกเขามึนงง ทุกคนไม่เข้าใจสักนิดว่าใครคนหนึ่งจะเอาแต่ส่ายหัวอยู่อย่างนั้นถึง 6 ชั่วโมงเต็มได้อย่างไร?


“เขากำลังฝึกฝนวรยุทธ!” ผู้อาวุโสหงอู่อุทานออกมา


ดูเหมือนชายหนุ่มกำลังเหน็ดเหนื่อย จึงตั้งใจจะเยียวยาตัวเองสักเล็กน้อยหลังจากส่ายหัวอยู่นาน


“เดี๋ยว…นั่นเขากินยาเม็ดอมตะขั้นสุดยอดใช่ไหม?”


จากภาพที่ปรากฏในบันทึก หลังจากหลิวหยางทรุดตัวลงนั่งได้ไม่นาน ก็เริ่มกินยา หนึ่งเม็ด, สองเม็ด, สามเม็ด…หลังจากกินยาเม็ดอมตะขั้นสุดยอดเข้าไปรวดเดียว 5 เม็ด เขาก็พรวดพราดลุกขึ้น


“เป็นนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์..เขาซึมซับพลังงานจากยาได้มากขนาดนั้นเชียวหรือ?” ผู้อาวุโสที่ 1 หน้าซีด


ยาเม็ดอมตะขั้นสุดยอดเป็นทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธที่ใช้ได้ผลแม้แต่กับนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ แม้ตัวเขาก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 วันเพื่อซึมซับพลังงานจากยาเพียงเม็ดเดียวให้ได้ทั่วถึง ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นแค่นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ การกินยาเข้าไปรวดเดียว 5 เม็ดก็ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย!


ชายหนุ่มไม่กลัวว่าจะแน่นหน้าอกจนตายหรือ?


“หรือเขากำลังจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูง?” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวตั้งข้อสังเกตพร้อมกับขมวดคิ้ว


แต่ในตอนนั้นเอง หลิวหยางก็ลุกพรวด


ฟึ่บ! ควั่บ!


ฝ่ามือของเขาเคลื่อนไหวไปมาด้วยความดุเดือดอย่างน่าทึ่ง


“นั่นมัน…ฝ่ามือมังกรกลายร่างของผม!” ผู้อาวุโสที่ 1 ถึงกับผงะ


กระบวนท่าที่ชายหนุ่มกำลังสำแดงออกมาคือฝ่ามือมังกรกลายร่างที่เขามีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง การเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายว่องไวและลื่นไหลกว่ามาก


ตัวเขาฝึกฝนเทคนิคการต่อสู้นี้มาหลายปีกว่าจะเชี่ยวชาญ แต่ชายหนุ่มสำแดงมันออกมาได้ดีกว่าเขาเสียอีกทั้งที่เป็นความพยายามครั้งแรก


ในวินาทีนั้น ผู้อาวุโสที่ 1 รู้สึกราวกับว่าการฝึกฝนอย่างหนักของเขาตลอดระยะเวลาหลายปีล้วนแต่สูญเปล่า


“ไม่ใช่แล้วล่ะ มีบางอย่างแปลกๆ…เขาสำแดงเทคนิคนี้ผิดเพี้ยนไปหน่อย เอ๊ะ? ทำไมถึงดูเหมือนรูปแบบของเขาจะเข้าท่ากว่า? มันดูแข็งแกร่งกว่ารูปแบบเดิมเสียอีก” ผู้อาวุโสที่ 1 ตั้งข้อสังเกต


ในฐานะนักรบผู้จมดิ่งกับการฝึกฝนฝ่ามือมังกรกลายร่างให้เชี่ยวชาญมาเนิ่นนานหลายปี เขาดูออกทันทีว่าการสำแดงเทคนิคของชายหนุ่มเบี่ยงเบนไปจากศาสตร์ลับดั้งเดิม แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ดูเหมือนมันจะลื่นไหลกว่ามาก ราวกับว่าอีกฝ่ายกำลังใช้เวอร์ชั่นต้นแบบ ขณะที่ตัวเขาใช้เวอร์ชั่นที่ถูกขโมยมา!


“ขอผมลองดูหน่อย” ผู้อาวุโสที่ 1 พูดขณะลุกขึ้นยืน


เขาสำแดงฝ่ามือมังกรกลายร่างตามท่วงท่าของชายหนุ่ม


บึ้มมมม!


เกิดเสียงดังกึกก้อง กระแสพลังปราณพวยพุ่งออกจากร่างของเขา รู้สึกได้ถึงรังสีอันทรงพลังอย่างน่าทึ่ง “นี่มัน…การประสบความสำเร็จในภาพรวม?”


ผู้อาวุโสที่ 1 รู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า


ขนาดเขาใช้เวลาหลายสิบปีเพื่อศึกษาฝ่ามือมังกรกลายร่าง ก็รู้ดีว่ายังห่างไกลเหลือเกินจากการประสบความสำเร็จในภาพรวม ตัวเขามีชื่อเสียงจากการเป็นนักรบเพียงคนเดียวในสำนักดาวเจ็ดดวงที่ฝึกฝนเทคนิคนี้จนเชี่ยวชาญ แต่แท้ที่จริงแล้วเขาถอดใจจากมันนานแล้ว ตั้งแต่รู้ว่าชั่วชีวิตนี้ก็คงไม่อาจเข้าถึงการประสบความสำเร็จในภาพรวมได้


แต่ใครจะไปรู้ว่าเพียงแค่เลียนแบบกระบวนท่าของชายหนุ่ม เขาก็ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ?


มันรวดเร็วเกินไป!


ในเวลานั้น หลิวหยางที่อยู่ในบันทึกก็เปลี่ยนจากการสำแดงฝ่ามือมังกรกลายร่างมาเป็นฝ่ามือไร้บุปผา


คราวนี้ถึงตาของผู้อาวุโสหงอู่ที่ชะงัก ไม่ช้าเขาก็ตั้งต้นเลียนแบบกระบวนท่าของชายหนุ่ม


ซึ่งก็เหมือนเดิม ใช้เวลาไม่นานผู้อาวุโสหงอู่ก็ฝ่าด่านคอขวดที่เขากำลังเผชิญอยู่ได้


จากนั้น ชายหนุ่มก็ตั้งต้นสำแดงหมู่เมฆสายฟ้าฟาดของเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยว ซึ่งก็เหมือนกับ 2 คนแรก หลังจากที่เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวเลียนแบบกระบวนท่าของชายหนุ่มได้ไม่นาน เขาก็ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ


ผ่านไปครู่หนึ่งกว่าเจ้าสำนักคุ่ยจะหายตกใจ เขาพึมพำกับตัวเอง “แค่ส่ายหัวไปมา 6 ชั่วโมง หลิวหยางก็สามารถทำความเข้าใจเทคนิคการต่อสู้ที่ลึกซึ้งที่สุดของสำนักของเรา แถมยังแก้ไขให้ดีขึ้นได้ด้วย ทำให้มันทรงพลังกว่าเดิมมาก หรือว่าการส่ายหัวช่วยทำให้จิตใจโล่งและปลอดโปร่ง ทำให้ศึกษาเทคนิคการต่อสู้ได้รวดเร็วกว่าเดิม?”


แต่เมื่อครู่นี้เขาก็แอบลองดูแล้ว ซึ่งการส่ายหัวมีแต่จะทำให้เขามึนงง มองอะไรก็ไม่ชัดเจน แล้วชายหนุ่มทำได้อย่างไร?


ตอนที่ 2065 อรุณรุ่งแห่งร้อยคีรีบูน

“เขาจะต้องมีศาสตร์ลับบางอย่างที่ช่วยเร่งการเรียนรู้…”


“แต่เขาไม่ได้เปิดดูหนังสือเล่มไหนเลยนะ แล้วจะศึกษาเทคนิคทั้งหมดของพวกเราได้อย่างไร?” ผู้อาวุโสหงอู่งุนงง


ตลอดการส่ายหัวทั้ง 6 ชั่วโมงนั้น ชายหนุ่มไม่ได้แตะต้องหนังสือเล่มไหนเลย แล้วจะศึกษาเทคนิคของพวกเขาด้วยวิธีไหน? แถมยังสำเร็จความเข้าใจในภาพรวมในระยะเวลาอันสั้นอีกด้วย ขณะที่พวกเขาแต่ละคนจมจ่อมอยู่กับเทคนิคการต่อสู้เหล่านั้นหลายสิบปีกว่าจะเชี่ยวชาญถึงขั้นนี้ได้


เจ้าสำนักคุ่ยหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “เป็นไปได้ว่าเขาอาจศึกษาเทคนิคเหล่านี้ตอนที่ต่อสู้กับพวกเรา…มีนักรบผู้ปราดเปรื่องน่าทึ่งอยู่มากมายที่สามารถจดจำทุกรายละเอียดของเทคนิคการต่อสู้ได้ เพียงแค่ได้เห็นการสำแดงมันออกมา…ว่ากันว่าหัวหน้าขงมีความสามารถแบบนั้น”


นี่เป็นวิธีเดียวที่เขาพอจะขบคิดหาเหตุผลได้


ไม่อย่างนั้น ก็ไม่อาจทำความเข้าใจได้เลยว่าเพียงแค่การส่ายหัวไปมา หลิวหยางเรียนรู้เทคนิคการต่อสู้ทั้งหมดของพวกเขาและถึงกับเชี่ยวชาญกว่าพวกเขาได้อย่างไร


ในตอนนั้น ผู้อาวุโสที่ 1 ก็เอ่ยขึ้นอีกครั้งอย่างร้อนใจ “เจ้าสำนักคุ่ย ดูนั่น!”


เจ้าสำนักคุ่ยเงยหน้ามอง จากภาพในบันทึก หลังจากที่สำแดงหมู่เมฆสายฟ้าฟาดแล้ว จางเซวียนก็กำหมัดแน่นและตั้งต้นสำแดงเทคนิคการต่อสู้อีกชุดหนึ่ง


“นั่นคือ…หมื่นลี้ธุลีแดง?”


“แม่น้ำตะวันม่วง?”


“อรุณรุ่งแห่งร้อยคีรีบูน?”


…..


ทั้งสามโพล่งชื่อเทคนิคการต่อสู้ขั้นสุดยอดของสำนักดาวเจ็ดดวงออกมาชื่อแล้วชื่อเล่า ราวกับชายหนุ่มที่อยู่ในบันทึกได้กลายร่างเป็นผู้ก่อตั้งสำนักดาวเจ็ดดวง เทคนิคการต่อสู้และเทคนิควรยุทธทุกรูปแบบดูจะถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างของเขาอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งก็ล้วนแต่เข้าถึงการประสบความสำเร็จในภาพรวมทั้งนั้น


เงียบกริบ


ผ่านไปครู่หนึ่งกว่าที่เสียงแหบพร่าของเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวจะดังขึ้น “สำนักดาวเจ็ดดวงของเรามีเทคนิคการต่อสู้ชั้นยอดทั้งหมด 23 เทคนิค ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เหล่าผู้อาวุโสและเจ้าสำนักที่ฝึกฝนมันจนเชี่ยวชาญได้แม้แต่เทคนิคเดียวก็สร้างชื่อไว้ในประวัติศาสตร์แล้ว กลายเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงที่ได้รับการยกย่องยาวนานแม้หลังจากที่เสียชีวิตไป แต่เขา…เชี่ยวชาญหมดทั้ง 23 เทคนิคเลยหรือ?”


สำนักดาวเจ็ดดวงมีเทคนิคการต่อสู้จำนวนหนึ่งที่อยู่ในระดับเดียวกันกับหมู่เมฆสายฟ้าฟาด แต่ก็ล้วนเป็นเทคนิคที่ฝึกฝนได้ยากมาก แต่ละเทคนิคต้องใช้ระยะเวลาและความพยายามอันยาวนานในการตีความและฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ


เพื่อฝึกฝนหมู่เมฆสายฟ้าฟาดให้เชี่ยวชาญ เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวต้องลำบากลำบนไม่น้อย เขาตั้งใจไปเยือนยอดเขาที่สูงที่สุดของทวีปที่ถูกลืมเพื่อทดสอบร่างกายกับสายฟ้าและพายุ แถมยังเดินทางไปยังดินแดนทางทิศตะวันตกเพื่อเสาะหาวัตถุที่มีรูปร่างเหมือนก้อนเมฆด้วย เขาทำแม้กระทั่งมุ่งหน้าไปยังเมืองแห่งมิติที่ถูกลืมเพื่อค้นหาคำตอบที่ยังสงสัยในเทคนิคดังกล่าว ซึ่งก็เกือบเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่น!


แต่ชายหนุ่มแค่ส่ายหัวเพียง 6 ชั่วโมง จากนั้นก็เชี่ยวชาญทุกอย่าง แถมเทคนิคการต่อสู้ทั้งหมดที่เขาสำแดงออกมายังแข็งแกร่งกว่าที่เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวจำได้อยู่มาก


พูดอีกอย่างก็คือ…ดูเหมือนชายหนุ่มจะค้นพบข้อบกพร่องของพวกเขาและแก้ไขข้อบกพร่องเหล่านั้นทั้งหมดแล้ว!


เป็นไปได้หรือที่มนุษย์คนหนึ่งจะมีความสามารถขนาดนี้?


“ถ้าเขาได้เป็นเจ้าสำนักของเรา สำนักดาวเจ็ดดวงจะต้องได้เป็นสำนักเทพดาวเจ็ดดวงในอนาคตอันใกล้นี้แน่…” ผู้อาวุโสหงอู่อ้าปากค้างจนแทบปิดปากไม่ลง


“เป็นเจ้าสำนักของเรา?” เจ้าสำนักคุ่ยมองผู้อาวุโสหงอู่อย่างสงสัย “คุณไม่คัดค้านแล้วหรือ?”


เพิ่งเมื่อครู่นี้เองที่ผู้อาวุโสหงอู่ประกาศว่าจะเล่นงานชายหนุ่มจนกว่าอีกฝ่ายจะยอมเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเขา


“คือ…” ผู้อาวุโสหงอู่หน้าแดงก่ำ “ถึงผมจะมีวรยุทธสูงกว่าเขาหนึ่งขั้นเต็มๆ แต่ก็ไม่มีทางสู้เขาได้หรอก”


เขาอาจไม่เฉียบแหลมเหมือนเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยว แต่ก็รู้ที่ทางของตัวเองดี ด้วยสัญชาตญาณการต่อสู้อันเหนือชั้นและเทคนิคการต่อสู้ชั้นยอดของหลิวหยาง ถึงเขาจะมีวรยุทธสูงกว่า แต่ก็ไม่มีทางเทียบชั้นกับอีกฝ่ายได้


หากสู้กัน ก็มีแต่จะลงเอยด้วยการที่เขาพ่ายแพ้ยับเยิน


ในเมื่อเขาไม่มีโอกาส หากยังคิดท้าทายอีกฝ่าย ก็มีแต่จะทำให้ตัวเองเป็นที่หัวเราะเยาะของใครๆ


“เขาเอาชนะคุณได้ทั้งที่มีวรยุทธต่ำกว่า เพราะฉะนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ได้สำเร็จ พวกเราก็จะมีโอกาสเอาชนะในการต่อสู้ระหว่าง 6 สำนักใหญ่ และได้ครอบครองตำแหน่งที่ดีที่สุดใช่ไหม?” ผู้อาวุโสที่ 1 ตาโต


“เอ่อ…” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวครุ่นคิดหนัก


“เจ้าสำนักจางเซวียนแห่งสำนักดาบเมฆเหินทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จแล้ว จึงมีโอกาสสูงที่เขาจะเทียบชั้นกับนักรบอมตะขั้นสูงได้แม้ตัวเองจะเป็นแค่นักรบอมตะตัวจริง ส่วนหัวหน้าเจิ้งหยางที่เป็นหัวหน้าหอนานาอสูรคนใหม่…การที่เขาทำให้มังกรอสรพิษกับพรรคพวกยอมจำนนได้ก็บอกชัดแล้วว่าเขาไม่ได้อ่อนแอ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าหลิวหยางไม่ใช่คนเหล่านั้นปลอมตัวมา ก็มีโอกาสจะสู้รบกับพวกเขาได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ!”


ผู้อาวุโสที่ 1 ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะโพล่งออกมา “อันที่จริง เรื่องนี้ก็พิสูจน์ไม่ยากนี่? เจ้าสำนักคุ่ย คุณก็แค่เข้าสู่หอนิรันดร์และสอบถามผู้อาวุโสหานเจี้ยนชิวกับผู้อาวุโสฉิงหย่วนให้รู้เรื่อง!”


“อ้อ ผมลืมเรื่องนั้นไปเลย” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ารับ


ก็จริง เขาสามารถตรวจสอบเรื่องนี้กับทั้งคู่ได้ว่าหลิวหยางเป็นหนึ่งในสองเจ้าสำนักปลอมตัวมาหรือไม่


เพื่อเห็นแก่ความสัมพันธ์ของพวกเขา โดยเฉพาะในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ หานเจี้ยนชิวกับฉิงหย่วนคงไม่ปกปิดความจริงแน่


เมื่อคิดได้ เจ้าสำนักคุ่ยนำตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลพิเศษที่มีไว้เฉพาะสำหรับชนชั้นนำของทวีปที่ถูกลืมออกมา จากนั้นก็เพ่งสมาธิเข้าไป


เมื่อมาอยู่ในหอนิรันดร์ เขาสั่นกระดิ่งที่บริเวณใจกลางห้อง ครู่ต่อมา หานเจี้ยนชิวกับฉิงหย่วนก็ปรากฏตัวตรงหน้า


“เจ้าสำนักคุ่ย คุณต้องการอะไรจากพวกเราหรือ?” ฉิงหย่วนตั้งคำถามพร้อมกับโบกมือ


“ไม่ทราบว่าคุณสองคนรู้จักชายผู้นี้หรือไม่?”


เจ้าสำนักคุ่ยกระดิกนิ้ว แล้วภาพหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ มันคือภาพของจางเซวียนในคราบปลอมตัว


“ผมไม่รู้จักเขา”


หานเจี้ยนชิวกับฉิงหย่วนส่ายหน้า


เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะหันไปมองหานเจี้ยนชิว “พี่หาน ไม่ทราบว่าตอนนี้เจ้าสำนักจางเซวียนอยู่ที่สำนักดาบเมฆเหินหรือเปล่า?”


“ตอนนี้ท่านเจ้าสำนักของเรากำลังฝึกฝนเคล็ดวิชาเทพดาบเมฆเหินอยู่ และน่าจะฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จเร็วๆนี้ ก็เป็นธรรมดาที่เขาจะอยู่ในสำนักของเรา จะอยู่ที่อื่นได้อย่างไร?” หานเจี้ยนชิวขมวดคิ้ว “เจ้าสำนักคุ่ย ผมขอทราบได้ไหมว่าทำไมคุณตั้งคำถามแบบนี้?”


แน่นอนว่าเขาไม่อาจย่อหย่อนเรื่องความปลอดภัยของจางเซวียนด้วยการเปิดเผยความจริงที่ว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในสำนัก เพราะจะปล่อยให้ความผิดพลาดเกิดขึ้นไม่ได้ก่อนที่สะพานเบื้องบนจะลงมา


“ก็เป็นคำถามทั่วๆไปเท่านั้นแหละ” เจ้าสำนักคุ่ยตอบหลังจากได้รับคำยืนยันหนักแน่นจากหานเจี้ยนชิว จากนั้นเขาก็หันไปถามฉิงหย่วน “แล้ว…พี่ฉิง ไม่ทราบว่าตอนนี้เจ้าสำนักเจิ้งหยางอยู่ที่หอนานาอสูรหรือเปล่า?”


“แน่นอน!” ฉิงหย่วนเลิกคิ้ว “ท่านหัวหน้าเพิ่งทำให้มังกรอสรพิษกับอสูรอมตะตัวอื่นๆยอมจำนนได้สำเร็จ จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะต้องฝึกฝนไปพร้อมๆกับพวกมันเพื่อเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า คุณสงสัยว่าผมโกหกหรือ, เจ้าสำนักคุ่ย?”


“ไม่ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” เจ้าสำนักคุ่ยส่ายหน้า “ผมแค่ถามเรื่องที่ผมสงสัย แต่คำตอบของพวกคุณก็คลี่คลายข้อสงสัยของผมแล้ว ซึ่งผมขอขอบคุณสำหรับเรื่องนั้น และขออภัยด้วยที่เรียกพวกคุณทั้งสองมาด้วยเรื่องแค่นี้ แต่สิ่งที่ผมอยากรู้ก็มีเพียงเท่านั้นแหละ ผมยังมีธุระอื่นที่ต้องจัดการนะ ขอตัวก่อน”


เมื่อรู้แล้วว่าเจ้าสำนักทั้งสองยังคงฝึกฝนวรยุทธอยู่ในสำนักของตัวเอง เจ้าสำนักคุ่ยออกจากหอนิรันดร์มาด้วยอาการโล่งใจ


เมื่อออกมาถึงห้องโถงกลาง เขาบอกสองผู้อาวุโสที่ตั้งตารอ “เจ้าสำนักจางเซวียนกับหัวหน้าเจิ้งหยางอยู่ที่สำนักของพวกเขา ผมคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่หลิวหยางจะเป็นนักรบพเนจรจริงๆ”


ผู้อาวุโสที่ 1 พยักหน้า “ยากที่จะเชื่อว่าผู้ที่ทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จหรือเก่งกาจด้านการฝึกอสูรจะมีวิธีการที่พิเศษเหนือชั้นในการศึกษาเทคนิคการต่อสู้ของเราเพียงแค่ได้เห็นแวบเดียว”


โลกนี้มีอัจฉริยะมากมาย แต่ไม่มีใครเก่งกาจไปเสียทุกเรื่อง


ยากที่จะทำใจให้เชื่อได้ว่ามีผู้ที่เชี่ยวชาญศาสตร์หลายด้านพร้อมกันในคนๆเดียว


ถ้ามีคนแบบนั้นอยู่จริง ชื่อเสียงของเขาคงลือกระฉ่อนไปทั่วทั้งทวีปที่ถูกลืมแล้ว!


“ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ทุ่มเททรัพยากรในการดูแลหลิวหยางได้เลย ไม่ต้องกั๊ก” เจ้าสำนักคุ่ยประกาศพร้อมกับหัวเราะลั่น


ก่อนหน้านี้ ตอนที่เขาได้ข่าวว่าใครคนหนึ่งในสำนักดาบเมฆเหินทำความเข้าใจเจตจำนงของเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ เขารู้สึกอิจฉามาก


แต่ดูเหมือนสวรรค์จะปรานีสำนักดาวเจ็ดดวงของพวกเขาเช่นกัน ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ อัจฉริยะผู้หนึ่งที่มีความเก่งกาจอย่างเหนือชั้นก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า


จากการที่ชายหนุ่มสามารถฝึกฝนเทคนิคการต่อสู้ชั้นยอดถึง 23 เทคนิคของสำนักดาวเจ็ดดวงจนเชี่ยวชาญได้ ก็หมายความว่าทันทีที่เขาฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ จะไม่มีใครอื่นในโลกนี้ที่ยับยั้งเขาได้อีก!


ต่อให้เจ้าสำนักจางเซวียนผู้โด่งดังที่ทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จก็ไม่น่าจะเทียบชั้นกับเขาได้


…..


จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนเดินออกจากหอสมุด


แม้การกวาดสายตาผ่านหนังสือในห้องสมุดของสำนักดาวเจ็ดดวงจะไม่ได้ทำให้ระดับวรยุทธของเขาสูงขึ้น แต่ก็ได้รับความเข้าใจในเทคนิคการต่อสู้ที่ล้ำลึกกว่าเดิมมาก ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาจึงพัฒนาขึ้นอีก


โดยเฉพาะ 23 เทคนิคการต่อสู้ที่เขาเพิ่งได้เรียนรู้ หากเปรียบเทียบกับเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้า ก็ถือว่ายังอ่อนด้อย แต่ถ้าเขาฝึกฝนทั้งหมดนั้นจนเชี่ยวชาญ ก็น่าจะกลายเป็นอาวุธอันไร้เทียมทานในช่วงเวลาคับขัน


ตอนที่ 2066 หญ้าอมตะ

ทันทีที่ออกจากหอสมุด ผู้อาวุโสที่ 1 ก็เดินเข้ามา “ผู้อาวุโสหลิว เจ้าสำนักคุ่ยอยากพบคุณ”


จางเซวียนรีบตามผู้อาวุโสที่ 1 ไปยังตำหนักกระบวยสวรรค์


“ผู้อาวุโสหลิว คุณอ่านหนังสือตลอดทั้งคืน ไม่ทราบว่าฝ่าด่านวรยุทธได้บ้างไหม? ถ้ามีอะไรที่คุณต้องการสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูง และพวกเราจัดหาให้ได้ กรุณาบอกพวกเรามาเลย” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวพูดยิ้มๆ


“ระดับวรยุทธของพลังปราณและกายเนื้อของผมถือว่าใช้ได้แล้ว แต่วรยุทธของจิตวิญญาณยังอ่อนด้อยเกินกว่าจะฝ่าด่านวรยุทธ” จางเซวียนพูด


ถ้าเขาสามารถยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณไปเป็นนักรบอมตะตัวจริงได้ ต่อให้ไม่มีเคล็ดวิชาเทียบฟ้าของวรยุทธระดับอมตะขั้นสูง เขาก็ยังสามารถฝ่าด่านวรยุทธได้โดยใช้ยาเม็ดสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธ


น่าเสียดายที่แม้เขาจะรวบรวมเทคนิควรยุทธเกี่ยวกับจิตวิญญาณไว้ได้บางส่วนจากสำนักดาวเจ็ดดวง แต่ก็ยังไม่มากพอ


“ตอนนี้จิตวิญญาณของคุณยังอ่อนด้อย?” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวตาโต


ไม่น่าแปลกใจแล้วที่ชายหนุ่มไม่ยอมกินยาเม็ดเพื่อการฝ่าด่านวรยุทธในทันที ลงท้ายก็เป็นเพราะเขารู้สึกว่าจิตวิญญาณของเขายังแข็งแกร่งไม่เท่ากับด้านอื่นๆ


“การฝึกฝนวรยุทธของจิตวิญญาณนั้นไม่ง่าย แต่คุณก็โชคดี หนึ่งในสมบัติล้ำค่าของสำนักดาวเจ็ดดวงของพวกเราคือหญ้าอมตะเจ็ดดาว มีอานุภาพอันน่าทึ่งในการบ่มเพาะจิตวิญญาณ ผมพาคุณไปทดลองดีไหม?”


“หญ้าอมตะเจ็ดดาว?” จางเซวียนทวนชื่อที่ไม่คุ้นหูนั้น


เขาได้อ่านหนังสือมากมายนับตั้งแต่มาถึงมิติเบื้องบน แต่ไม่เคยได้ยินชื่อสมุนไพรชนิดนี้


“ใช่ คงไม่เป็นการพูดเกินจริงหรอกหากผมจะบอกว่ามันคือรากฐานที่ทำให้พวกเรายืนหยัดอยู่ได้ในฐานะหนึ่งในหกสำนักใหญ่ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา มันคือหัวใจที่ปกปักรักษาชะตากรรมของพวกเราไว้ ทำให้พวกเราบ่มเพาะศิษย์สายตรงผู้เก่งกาจได้รุ่นแล้วรุ่นเล่า” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวพูด


หญ้าอมตะเจ็ดดาวคือสมุนไพรที่ซึมซับพลังงานจาก 7 ดาวสวรรค์ที่อยู่เหนือค่ายกลของสำนักดาวเจ็ดดวง มันแผ่รังสีเยือกเย็นออกมาที่ทำให้เกิดความสบายใจไร้สิ่งรบกวน ด้วยเหตุนี้ แม้สำนักดาวเจ็ดดวงจะตั้งอยู่ในเมืองใหญ่ที่พลุกพล่าน แต่ผู้ที่อยู่ในบริเวณโดยรอบก็จะรู้สึกราวกับยืนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันสงบเย็น


สภาพแวดล้อมแบบนี้ทำให้เหล่าศิษย์สายตรงของสำนักดาวเจ็ดดวงสามารถเพ่งสมาธิกับการฝึกฝนวรยุทธได้โดยไม่ถูกสิ่งยั่วยวนภายนอกรบกวน พวกเขาจึงยืนหยัดทัดเทียมกับสำนักดาบเมฆเหินและสำนักอื่นๆได้


“ถ้าอย่างนั้น ผมก็ขอรบกวนเจ้าสำนักคุ่ยด้วย” จางเซวียนโค้งคำนับอย่างงาม


เขาไม่ได้คิดจะรับของล้ำค่าเหล่านั้นมาเปล่าๆ จางเซวียนรู้แล้วว่าก่อนหน้านี้คนเหล่านี้แอบดูเขา และเพื่อตอบแทนบุญคุณ เขาจึงจงใจสำแดงเทคนิคการต่อสู้ฉบับปรับปรุงแล้วโดยลดความเร็วให้ช้าลงพอที่อีกฝ่ายจะฝึกฝนตามได้


พูดอีกอย่างก็คือ เขากำลังถ่ายทอดกระบวนท่าเหล่านั้นให้เหล่าสมาชิกของสำนักดาวเจ็ดดวง


“ไม่มีปัญหาหรอก ในฐานะผู้อาวุโสของสำนักดาวเจ็ดดวง นี่คือหนึ่งในสิทธิพิเศษที่คุณจะได้รับ” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวตอบก่อนจะนำทางไป


ไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงพื้นที่หนึ่งซึ่งอยู่ในอาณาบริเวณด้านเหนือของสำนักดาวเจ็ดดวง


มันเป็นลานขนาดใหญ่


เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวติดตั้งฉนวนรอบลานนั้น แล้วหญ้าอมตะเจ็ดสีก็ปรากฏให้เห็น


มันมี 7 ใบ ทุกใบเปล่งประกายระยิบระยับและมีสีต่างกัน พวกมันโอนเอนภายใต้สายลมโชยอ่อน คลื่นความสั่นสะเทือนเล็กน้อยปรากฏให้เห็นอย่างเลือนรางโดยรอบ


น่าอัศจรรย์ใจที่พืชซึ่งดูอ่อนแอเหล่านี้มีวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์!


จางเซวียนเดินเข้าไปพิจารณาหญ้าอมตะเจ็ดดาวอย่างถี่ถ้วน เขาอดตาโตไม่ได้ “มันมีอานุภาพในการบ่มเพาะจิตวิญญาณได้ดีจริงๆ”


หลังจากเข้ามาที่ลานได้เพียงครู่เดียว จิตวิญญาณของเขาที่ติดแหงกอยู่กับวรยุทธขั้นเสมือนอมตะสรวงสวรรค์มาระยะหนึ่งแล้วก็เข้าใกล้การฝ่าด่านวรยุทธมากขึ้น


สมกับที่เป็นสมบัติล้ำค่าของสำนักดาวเจ็ดดวง มันเป็นทรัพยากรที่ประเมินค่ามิได้จริงๆ


“นี่คือหญ้าอมตะเจ็ดดาว ผู้อาวุโสส่วนใหญ่ที่สำเร็จวรยุทธระดับอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์แล้วเลือกที่จะมาฝ่าด่านวรยุทธที่นี่ ภายใต้การปกป้องของหญ้าอมตะเจ็ดดาว พวกเขาจะไม่ถูกปีศาจใต้สำนึกรบกวน ทำให้จิตวิญญาณของแข็งแกร่งและเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวอธิบาย


จางเซวียนพยักหน้ารับ


หญ้าอมตะเจ็ดดาวก็เหมือนกับต้นโพธิ์ที่เขาปลูกไว้ในรังนางพญามดเมื่อครั้งอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ มันมีอานุภาพน่าทึ่งในการบ่มเพาะจิตวิญญาณของนักรบ หากเขาฝึกฝนวรยุทธใกล้ๆมัน ต่อให้ไม่มีเทคนิควรยุทธของจิตวิญญาณขั้นอมตะตัวจริง แต่การฝ่าด่านวรยุทธของจิตวิญญาณก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป!


“ยังเหลือเวลาอีก 2 ชั่วโมงกว่าจะถึงรุ่งเช้า คุณใช้เวลาฝึกฝนวรยุทธที่นี่ก่อนก็ได้ พวกเราจะออกเดินทางไปทะเลพลัดดาวตอนฟ้าสาง” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวพูดก่อนจะออกไป


เมื่ออีกฝ่ายจากไปแล้ว จางเซวียนสะบัดข้อมือและนำธงค่ายกลออกมาหลายอัน


ฟิ้วววว!


ด้วยการกระดิกนิ้ว ธงค่ายกลก็ลอยละลิ่วไปปักอยู่ตามตำแหน่งต่างๆของลาน จากนั้น ลำแสงเจิดจ้ารูปครึ่งวงกลมก็ส่องสว่างไปทั่ว ปิดกั้นรังสีของเขาไว้จนหมดสิ้น


จางเซวียนได้ธงค่ายกลเหล่านี้จากผู้อาวุโสเลี่ยวเมื่อตอนอยู่ที่หอนานาอสูร อีกฝ่ายมีทักษะในการติดตั้งค่ายกล จึงมีอุปกรณ์ทำนองนี้อยู่มาก


หลังจากเตรียมการเสร็จ จางเซวียนทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิกับพื้นและถอดจิตวิญญาณออกจากหว่างคิ้ว


ฟิ้วววววว!


ขณะที่เขาตั้งต้นขับเคลื่อนเทคนิควรยุทธของจิตวิญญาณ ก็รู้สึกได้ถึงพลังงานจากหญ้าอมตะเจ็ดดาวที่พวยพุ่งเข้าสู่จิตวิญญาณของเขา


แต่ครู่ต่อมา รอยย่นก็ปรากฏที่หว่างคิ้ว


พลังงานที่อยู่โดยรอบมีความหนาแน่นสูง ไม่ต่างอะไรกับดวงตาทะเลสาบที่จักรวรรดิฮ่วนหยู ภายใต้สถานการณ์ปกติ เพียงแค่ใช้จิตวิญญาณดำดิ่งเข้าสู่สภาพแวดล้อมนั้น จิตวิญญาณก็จะค่อยๆได้รับการบ่มเพาะ


แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง แม้เขาจะขับเคลื่อนเทคนิควรยุทธของจิตวิญญาณแล้ว ก็พบว่ายังไม่อาจซึมซับพลังงานที่เพิ่งได้มา


จางเซวียนจึงหันไปมอง หญ้าอมตะเจ็ดดาวเหล่านั้นส่ายไหวไปมาไม่หยุด พริบตาต่อมา พลังงานจากโดยรอบที่กำลังบ่มเพาะจิตวิญญาณของเขาก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


“เกิดอะไรขึ้น?” จางเซวียนหน้าตาเคร่งเครียด


สถานการณ์บ่งบอกชัดว่าหญ้าอมตะเจ็ดดาวคือเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความผิดปกตินี้


ฟึ่บ!


จางเซวียนดึงจิตวิญญาณกลับเข้าร่าง ตั้งใจจะเดินไปพิจารณาหญ้าอมตะเจ็ดดาวอย่างถี่ถ้วนเพื่อรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น


แต่ทันทีที่เขาออกเดิน พลังจิตวิญญาณที่อยู่โดยรอบก็สั่นสะเทือนเล็กน้อย พลังงานสุขุมเยือกเย็นที่เคยบ่มเพาะจิตวิญญาณของเขากลับคืนมาเหมือนเดิม


จางเซวียนหรี่ตาและถอดจิตวิญญาณออกจากหว่างคิ้วอีกครั้ง แต่ขณะที่เขากำลังจะซึมซับพลังงาน พลังงานนั้นก็หายวับไปอีก


พอจางเซวียนดึงจิตวิญญาณกลับเข้าร่าง ทุกอย่างก็กลับสู่สภาพเดิม


“เจ้านี่เล่นตุกติกกับเราเสียแล้ว…” จางเซวียนขมวดคิ้วอย่างขัดใจ


เขาไม่มีเทคนิควรยุทธของจิตวิญญาณระดับอมตะตัวจริงอยู่กับตัว เพราะฉะนั้น ถ้าอยากฝ่าด่านวรยุทธให้สำเร็จ ก็ต้องใช้พลังงานปริมาณมหาศาลเพื่อบ่มเพาะและชำระจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์กว่าเดิม เมื่อถึงเวลานั้นจึงจะฝ่าด่านคอขวดได้


จางเซวียนเคยคิดว่าด้วยปริมาณพลังงานมหาศาลที่หญ้าอมตะเจ็ดดาวแผ่ออกมา เขาน่าจะฝ่าด่านวรยุทธได้สบาย แต่ใครจะไปรู้ว่าเจ้านี่จะมาเล่นซ่อนแอบกับเขา?


ถ้าเขาฝึกฝนวรยุทธโดยที่จิตวิญญาณยังอยู่ในกายเนื้อ ไม่เพียงแต่การเพิ่มขึ้นของวรยุทธจะเป็นไปอย่างเชื่องช้า ยังอาจส่งผลกระทบต่อการฝ่าด่านวรยุทธด้วย


ดูเหมือนเจ้าสำนักคุ่ยจะไม่ค่อยซื่อตรงกับเราเท่าไหร่ หญ้าอมตะเจ็ดดาวนี้ไม่ใช่แค่สมุนไพรธรรมดาที่มีอานุภาพบ่มเพาะจิตวิญญาณ จางเซวียนคิด


จางเซวียนเลิกสนใจเรื่องวรยุทธเป็นการชั่วคราว เขาเดินไปที่หญ้าอมตะเจ็ดดาว


เขาทรุดตัวลงนั่งยองๆเพื่อสัมผัสหญ้านั้น หวังจะใช้หอสมุดเทียบฟ้าตรวจสอบองค์ประกอบและคุณสมบัติของมัน แต่ด้วยการส่ายไหวเล็กน้อย จู่ๆหญ้าอมตะเจ็ดดาวก็หายวับไปต่อหน้าต่อตา ยังไม่ทันจะรู้ตัว มันก็ไปปรากฏที่อีกจุดหนึ่งซึ่งห่างออกไปหลายสิบเมตร


“อะไรกัน?” จางเซวียนงง


เขานึกไม่ถึงว่าหญ้าอมตะเจ็ดดาวจะวิ่งหนีเองได้ จึงเดินเข้าหามันอีกครั้งและพยายามสัมผัสมัน


ฟึ่บ!


หญ้าอมตะเจ็ดดาวย้ายที่ไปอีกฟากหนึ่งของลาน ราวกับการสัมผัสแตะต้องของเขาเป็นยาพิษที่มันพยายามหลบเลี่ยงอย่างสุดชีวิต


“ตกลงแกอยากเล่นใช่ไหม? น่าสนใจดีนี่” จางเซวียนพึมพำพร้อมกับยิ้มออกมา


แน่นอนว่าการรับมือกับสมุนไพรที่มีวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์คงไม่ง่าย เขาต้องเอาชนะมันให้ได้ก่อน


“มาดูกันว่าแกจะหนีไปไหนพ้น!”


จางเซวียนสูดหายใจลึกและออกตัว เขาพุ่งเข้าไปคว้ามันไว้ แต่ทันใดนั้น เงาพร่าเลือนก็พาดผ่านสายตาของเขา


ใบหญ้าเจ็ดสีงอกขึ้นจากพื้นบริเวณใต้ฝ่าเท้าของเขา ใช้ก้านหนาหนักของมันพันรอบข้อมือและข้อเท้าของเขาไว้ จางเซวียนไม่ทันระวังตัว เขาถูกจับแขวนห้อยหัวต่องแต่งอยู่กลางอากาศ


ที่ตำหนักกระบวยสวรรค์ ผู้อาวุโสที่ 1 มองเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวและพูดว่า “ถึงหญ้าอมตะเจ็ดดาวจะเป็นสมบัติล้ำค่าของสำนักของเรา แต่ก็มีนิสัยแปลกประหลาดพิสดารมาก มันไม่ใส่ใจคุณแม้คุณจะเป็นถึงเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวง เป็นไปได้หรือเปล่าว่ามันจะเล่นงานผู้อาวุโสหลิวด้วย?”


หญ้าอมตะเจ็ดดาวขึ้นอยู่บริเวณนี้ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งสำนัก และมีชีวิตอยู่หลายพันปีแล้ว อายุขัยยืนยาวของมันส่งผลให้มีนิสัยก้าวร้าว ไม่แสดงความเคารพเท่าที่ควรแม้แต่กับเจ้าสำนักในแต่ละรุ่น


ด้วยความที่ผู้อาวุโสหลิวอายุยังน้อย อีกทั้งเป็นแค่นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ แล้วหญ้าอมตะ จะทำให้เขาต้องยุ่งยากหรือเปล่า?


“ทำอย่างกับคุณไม่เคยอยู่กับหญ้าอมตะมาก่อนอย่างนั้นแหละ มันก็แค่ขี้เล่นนิดหน่อยเท่านั้น พอเล่นสนุกจนพอใจแล้วก็จะปลดปล่อยพลังงานที่มีอานุภาพบ่มเพาะจิตวิญญาณออกมาเอง” เจ้าสำนักคุ่ยหัวเราะหึๆ “ผู้อาวุโสหลิวประสบความสำเร็จอย่างมากตั้งแต่อายุยังน้อย ก็เป็นธรรมดาที่เขาอาจจะหลงตัวเองไปบ้าง การต้องเผชิญกับความสะดุดนิดหน่อยจากตรงนั้นตรงนี้จะช่วยบ่มเพาะนิสัยของเขาให้เข้ารูปเข้ารอยมากขึ้น เป็นผลดีต่อการจัดระเบียบจิตวิญญาณของเขาด้วย”


“ผมเข้าใจ” ผู้อาวุโสที่ 1 พยักหน้า


แต่ผู้อาวุโสหงอู่ยังคงกังวล “ผมไม่คิดว่าการที่หญ้าอมตะล้อเล่นกับผู้อาวุโสหลิวจะก่อให้เกิดปัญหาอะไร ที่ผมกลัวก็คือผู้อาวุโสหลิวคนนั้นอาจเล่นงานหญ้าอมตะจนราบคาบเพราะความโกรธ นั่นจะกลายเป็นหายนะแน่!”


ตอนที่ 2067 หมอกเคลื่อนตัวแล้ว!

แม้เขาจะเพิ่งพบชายหนุ่มคนนี้ได้ไม่นาน แต่ก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนที่จะรับมือด้วยได้ง่ายๆ


ไม่อย่างนั้น ชายหนุ่มคงไม่สามารถปราบพวกเขาได้อย่างง่ายดายเมื่อตอนอยู่ที่หอนิรันดร์


“วางใจเถอะ หญ้าอมตะเจ็ดดาวมีชีวิตอยู่มาหลายพันปีแล้ว มันอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีการหลอมรวมกันของพลังงานในสำนักดาวเจ็ดดวงด้วย แม้แต่ผมยังจับมันไม่ได้ นับประสาอะไรกับผู้อาวุโสหลิวที่เป็นแค่นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ ทั่วทั้งทวีปที่ถูกลืมแห่งนี้ นอกเสียจากหัวหน้าขง ผมก็ไม่คิดว่าจะมีใครอื่นที่เก่งกาจพอจะทำร้ายหญ้าอมตะได้” เจ้าสำนักคุ่ยออกความเห็นขณะลูบเครา


สำนักดาวเจ็ดดวงประกอบด้วยตำหนักใหญ่ 7 ตำหนักซึ่งเชื่อมโยงกับตำแหน่งของดาว 7 ดวง ศูนย์กลางของดาว 7 ดวงคือดาวเหนือ อยู่บริเวณเดียวกับลานที่หญ้าอมตะขึ้นอยู่


แม้หญ้าอมตะจะช่วยบ่มเพาะทุกชีวิตที่อยู่ในสำนักดาวเจ็ดดวง แต่ในเวลาเดียวกัน ทั้งจิตวิญญาณ จิตใจ และร่างกายของคนเหล่านั้นก็บ่มเพาะมันด้วย เรื่องนี้ทำให้สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงพืชชนิดหนึ่งสามารถสำเร็จวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ได้


ได้ยินคำนั้น ผู้อาวุโสหงอู่ถอนหายใจอย่างโล่งอก


ขนาดนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อย่างท่านเจ้าสำนักยังแตะต้องหญ้าอมตะเจ็ดดาวไม่ได้ คนอื่นๆคงแทบไม่มีโอกาส


“แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เพื่อปลอดภัยไว้ก่อน ผมแอบทิ้งตราหยกสื่อสารที่เชื่อมต่อโดยตรงกับผลึกบันทึกในบริเวณลานนั้นเอาไว้ มันจะทำให้ผมได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น เพราะฉะนั้น ถ้ามีอะไรผิดปกติ เราก็จะเข้าไปช่วยเหลือได้ทันที” เจ้าสำนักคุ่ยพูดต่อพร้อมกับหัวเราะหึๆ


เขาสะบัดข้อมือ จากนั้นก็นำผลึกบันทึกออกมาและถ่ายทอดพลังปราณเข้าไป แสงเจิดจ้าพวยพุ่งออกมา ก่อนภาพหนึ่งจะปรากฏขึ้นจากผลึกบันทึก เผยให้เห็นแผนผังคร่าวๆของลานนั้น


แต่ทัศนียภาพก็ถูกปกคลุมด้วยหมอก ทำให้พวกเขายังคงเห็นไม่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นด้านใน


“นี่คือ…ค่ายกลปิดกั้น?” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวชะงัก


เขาเคยทำแบบนี้มาแล้ว แต่เหตุการณ์แบบนี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้น การเชื่อมต่อถูกขัดขวางอย่างกะทันหันอย่างนี้…หรือว่าจะเป็นฝีมือของหลิวหยาง?


แต่ไม่ควรจะเป็นแบบนั้นได้! บริเวณลานนี้มีค่ายกลอยู่มากมาย การจะเสริมค่ายกลปิดกั้นเข้าไปอีกไม่ใช่เรื่องง่าย ต่อให้ตัวเขาก็ยังต้องใช้เวลานานในการศึกษาค่ายกลที่มีอยู่เพื่อหาวิธีที่พอจะเป็นไปได้ในการติดตั้งค่ายกลปิดกั้นลงไปอีกอันหนึ่ง แล้วอีกฝ่ายทำได้อย่างไร?


อีกอย่าง พวกเขาก็เพิ่งออกจากลานนั้นมาได้ไม่นาน


นี่มันเร็วเกินไป!


“มีค่ายกลปิดกั้นอยู่โดยรอบแบบนี้ พวกเรามองไม่เห็นหรอกว่าเกิดอะไรขึ้นด้านใน เป็นไปได้ว่าผู้อาวุโสหลิวคงไม่อยากให้เราเห็นเขาอับอายขายหน้าอยู่ในนั้น…” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะเก็บผลึกบันทึกเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ


แต่แล้วผู้อาวุโสที่ 1 ก็อุทานออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


“ดูนั่น หมอกเคลื่อนตัวแล้ว!”


เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวมองผลึกบันทึกอีกครั้ง และก็เป็นไปตามนั้น ม่านหมอกกำลังเคลื่อนตัว เห็นได้ชัดว่ามีการต่อสู้เกิดขึ้นอยู่ด้านหลัง


พวกเขาเห็นรอยแยกปรากฏบนพื้น ได้ยินเสียงร้องจิ๊บจ๊าบของลูกเจี๊ยบ กระแสพลังงานพวยพุ่งออกไปโดยรอบ เห็นได้ชัดว่าเกิดการต่อสู้อันดุเดือด


“เอ่อ…”


ผู้อาวุโสที่ 1 กับผู้อาวุโสหงอู่สบตากันอย่างงุนงง


พวกเขารู้ว่าหญ้าอมตะมีนิสัยขี้เล่น อีกทั้งยังเคยเจอกับตัว แต่เสียงจิ๊บจ๊าบของลูกเจี๊ยบนั่นคืออะไร?


ผู้อาวุโสหลิวนำลูกเจี๊ยบเข้าไปด้วยหรือ?


เห็นสีหน้าของทั้งคู่ เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวหัวเราะหึๆ “ไม่ต้องห่วงน่ะ หญ้าอมตะไม่ทำอันตรายผู้อาวุโสหลิวหรอก…”


แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ หมอกก็แยกตัวออกจากกันอย่างปุบปับ เผยให้เห็นภาพที่อยู่ในนั้น…


ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่กับพื้น มีผ้าเช็ดปากเหน็บไว้ที่อกอย่างเรียบร้อยพร้อมกับถือตะเกียบคู่หนึ่งไว้ในมือ มีกองไฟและหม้อโลหะอยู่ตรงหน้า น้ำที่อยู่ในหม้อโลหะใบนั้นกำลังเดือดปุด ในน้ำ พวกเขาเห็นหญ้าอมตะเจ็ดดาวต้นหนึ่งกำลังเปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะความร้อน


มันกำลังถูกต้ม


หญ้าอมตะเจ็ดดาวพยายามดิ้นรนสุดกำลังที่จะหนีให้พ้นจากหม้อ แต่ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยที่ลอยตัวอยู่ในน้ำเดือดก็กดมันลงไปทุกครั้งที่มันพยายามออกแรง


สุดท้ายหญ้าอมตะก็หยุดดิ้นรน มันลอยเอื่อยไร้ชีวิตราวกับพืชพันธุ์ธัญญาหารที่ถูกปรุง เป็นภาพที่ดูหน้าเศร้าไม่น้อย


ชายหนุ่มสะบัดข้อมือและนำชามใบเล็กออกมา จากนั้นก็เติมน้ำมันงา เกลือ พริกป่น ถั่ว น้ำส้มสายชู และเครื่องเทศอีก 2-3 ชนิดก่อนจะคลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นก็เด็ดใบหญ้าอมตะออกมาจุ่มลงไปในซอสปรุงรสที่เขาทำเอง และกลืนลงไปอย่างเอร็ดอร่อย


เกิดความเงียบงันครู่ใหญ่ระหว่างเจ้าสำนักคุ่ยกับคนอื่นๆ นัยน์ตาของพวกเขาค่อยๆเบิกโพลงจนกลมโต


“ไม่ใช่สิ…แบบนี้ไม่ได้แล้ว เร็วเข้า ต้องรีบไปช่วยหญ้าอมตะ!”


ใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าทุกคนจะตั้งสติได้ พวกเขารีบวิ่งออกจากห้องโถง


ในชั่วพริบตาก็มาถึงลานนั้น


ที่นั่น พวกเขาเห็นจางเซวียนกำลังเหงื่อตก


“พวกคุณมาได้เวลาพอดี มาร่วมวงกับผมสิ รสชาติไม่เลวนะ” จางเซวียนลุกขึ้นยืนและยื่นตะเกียบให้อย่างมีน้ำใจ


“คุณ…”


เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวเดินตรงไปยังหม้อโลหะเพื่อนำหญ้าอมตะออกจากน้ำเดือดนั้น หญ้าอมตะดูเหี่ยวแห้งอย่างไม่น่าเชื่อ มันอยู่นิ่งไม่ไหวติง ในจำนวน 7 ใบที่มีอยู่, 4 ใบถูกเด็ดออกไปแล้ว


เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวรีบวางมันลงอย่างเบามือก่อนจะตรวจอาการบริเวณจุดที่สำคัญ หลังจากแน่ใจแล้วว่ามันยังไม่ตาย ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่


เขาทนไม่ไหว จึงต้องหันไปพูดกับจางเซวียน “ผู้อาวุโสหลิว หญ้าอมตะเจ็ดดาวคือสมบัติล้ำค่าของสำนักดาวเจ็ดดวงของเรา คุณกินมันเข้าไปได้อย่างไร?”


ผมพาคุณมาที่นี่เพื่อให้คุณซึมซับพลังงานที่หญ้าอมตะแผ่ออกมา จะได้บ่มเพาะจิตวิญญาณของคุณ แต่คุณกลับนำมันไปทำอาหาร ราวกับอยู่ในร้านสุกี้!


ที่สำคัญกว่านั้น การจับหญ้าอมตะเจ็ดดาวเป็นเรื่องยากมาก แม้แต่ตัวเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวก็ยังไม่แน่ใจว่าจะทำได้หรือไม่ แล้วอีกฝ่ายจับมันโยนลงหม้อได้อย่างไร? อีกอย่าง อุณหภูมิของน้ำเดือดไม่อาจทำร้ายนักรบอมตะตัวจริงได้ แล้วเขาปรุงหญ้าอมตะที่มีวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ด้วยวิธีไหน?


“ผมพยายามซึมซับพลังงานของมันเพื่อนำมาบ่มเพาะจิตวิญญาณของผมแล้ว แต่มันไม่ยอม ไม่เพียงเท่านั้น ยังเล่นงานผมด้วย ผมเตือนมันหลายครั้งหลายหน แต่มันไม่ฟังเลย ผมจึงไม่มีทางเลือกนอกจากจับมันมาทำอาหารและกินมันเสีย” จางเซวียนพูด


ถ้าไม่ใช่เพราะลูกเจี๊ยบตัวจ้อยนั่งทับมันไว้ พูดกันตามตรง จางเซวียนก็ไม่แน่ใจนักว่าเขาจะสู้กับมันไหวหรือไม่ อันที่จริง ข้อเสนอแนะให้นำหญ้ามาปรุงอาหารและกินเข้าไปก็มาจากลูกเจี๊ยบตัวจ้อยเช่นกัน


ถ้าเขาเพียงแค่ซึมซับพลังงานของหญ้าอมตะเจ็ดดาว ต่อให้ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ ก็คงต้องใช้เวลานาน การกินมันเข้าไปน่าจะมีประสิทธิภาพกว่ามาก


และก็เป็นอย่างที่ลูกเจี๊ยบตัวจ้อยพูด เพียงแค่เขากินใบแรกเข้าไป ระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของเขาก็เพิ่มสูงขึ้นไปเป็นขั้นอมตะตัวจริง จากนั้นเขากินเข้าไปอีก 3 ใบ ซึ่งนั่นช่วยยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของเขาไปถึงระดับอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์เลยทีเดียว


พูดอีกอย่างก็คือ ขอแค่เขาประสานพลังปราณกับพลังจิตวิญญาณเข้าด้วยกันได้ ก็พร้อมที่จะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูง!


ส่วนเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวก็แทบคลุ้มคลั่ง “คุณก็รู้ว่าหญ้าอมตะเจ็ดดาวล้ำค่าขนาดไหน แต่ยังนำมันมาปรุงอาหารและกินเข้าไปได้ มีอะไรจะแก้ตัวไหม?”


ในฐานะสมบัติล้ำค่าของสำนักดาวเจ็ดดวง เจ้าสำนักรุ่นแล้วรุ่นเล่าดูแลหญ้าอมตะเจ็ดดาวอย่างดีและให้ความเคารพสูงสุด แต่หมอนี่กลับทำร้ายมัน…เขาไม่รู้สึกผิดสักนิดหรือ?


“มีอะไรจะแก้ตัว?” จางเซวียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า “มันก็ไม่เลวนะ…รสชาติเหมือนสาหร่ายทะเล แต่เนื้อนุ่มหนึบกว่า!”


“.…” เจ้าสำนักคุ่ยพูดไม่ออก


“วางใจเถอะน่ะ ถึงผมจะกินมันเข้าไป แต่ก็เรียกพลังชีวิตของมันกลับคืนมาได้” จางเซวียนพูดยิ้มๆ


เขารู้ดีว่าเจ้าสำนักคุ่ยกำลังกังวลเรื่องอะไร ที่เขาพูดถึงรสชาติของมันนั้นก็แค่ล้อเล่น แต่จะว่าไป ก็ดูไม่ตลกเท่าไหร่ในสถานการณ์แบบนี้


จางเซวียนนำลูกเจี๊ยบตัวจ้อยที่ยังว่ายน้ำอยู่ใส่กลับเข้าไปในกระสอบอสูร ก่อนจะนำหม้อน้ำนั้นไปหาหญ้าอมตะเจ็ดดาว


ซู่!


เขาเทน้ำลงบนหญ้าที่เหี่ยวแห้ง


หญ้าอมตะไม่ได้กระทบกระเทือนเพราะน้ำเดือดนั้น กลับตรงกันข้าม ดูเหมือนมันจะได้รับพลังลึกลับบางอย่างที่ทำให้ใบเหี่ยวแห้งของมันฟื้นคืนชีพ 4 ใบที่ถูกเด็ดออกไปแล้วเริ่มแตกใบอ่อน ดูเหมือนมันพร้อมจะกลับสู่สภาพเดิมได้ทุกขณะ


ภาพนั้นทำให้ทั้งเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยว ผู้อาวุโสที่ 1 และคนอื่นๆถึงกับจังงัง


เป็นไปได้ด้วยหรือที่หญ้าอมตะเจ็ดดาวจะเติบโตเหมือนเดิมได้เร็วขนาดนั้นหลังจากถูกเด็ดไปแล้ว?


“มันจะฟื้นคืนสภาพเดิมอย่างสมบูรณ์ภายใน 1 เดือน” จางเซวียนพูด “อันที่จริง หญ้าอมตะนี้ไม่ต่างกับมันฝรั่งหวานหรอก ถึงจะถูกเก็บเกี่ยวและกินเข้าไปแล้วก็ยังโตใหม่ได้ ในเมื่อเป็นอย่างนั้น กินมันเข้าไปก็ไม่เสียหายหรอก”


เขาไม่แน่ใจนักว่าองค์ประกอบของหญ้าอมตะเจ็ดดาวคืออะไร แต่หลังจากสัมผัสมันและใช้หอสมุดเทียบฟ้า ความลับทั้งหมดก็ถูกเปิดเผยตรงหน้า


แม้หญ้าอมตะเจ็ดดาวจะมีนิสัยดื้อรั้น แต่สุดท้ายมันก็เป็นแค่สมุนไพรชนิดหนึ่ง วัตถุประสงค์พื้นฐานของสมุนไพรก็มีไว้เพื่อบริโภค


โดยทั่วไป ถ้าใบของมันถูกเด็ดออกไป 4 ใบแบบนี้ จะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปีกว่าจะเติบโตกลับสู่สภาพเดิม แต่ด้วยอานุภาพการบ่มเพาะของซุปไก่ อาการบอบช้ำส่วนใหญ่ของมันก็ได้รับการเยียวยาภายในไม่กี่อึดใจ


“เอ่อ…” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวอ้าปากค้าง


เมื่อลองนึกดู เขาก็จำได้ว่าบรรพบุรุษเคยบอกไว้ว่าหญ้าอมตะเจ็ดดาวนั้นกินได้ แต่ครั้งสุดท้ายที่มีคนจับมันได้ก็นานแสนนานมาแล้ว จนเรื่องนั้นเลือนหายไปจากสมองของทุกคน


นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อย่างเขายังทำอะไรหญ้าอมตะเจ็ดดาวไม่ได้ แต่ชายหนุ่มที่มีวรยุทธแค่อมตะตัวจริงคนนี้จับมันไปต้มในหม้อได้สำเร็จ!


ยากที่จะเชื่อว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริงแม้จะได้เห็นกับตา


เมื่อรู้แล้วว่าหญ้าอมตะไม่เป็นอะไร ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก


เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าด้วยความอยากรู้ “ผู้อาวุโสหลิว ไม่ทราบว่าหญ้าอมตะมีอานุภาพขนาดไหน?”


“ก็ไม่เลวนะ จิตวิญญาณของผมได้รับการบ่มเพาะจนถึงขั้นที่น่าพอใจแล้ว” จางเซวียนตอบ


“ดีแล้วล่ะ นี่ก็ฟ้าสางแล้ว ออกเดินทางกันเถอะ ดีไหม?” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวถาม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)