ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 206-209
ตอนที่ 206 ใบหน้าที่แท้จริง
โดย
Ink Stone_Fantasy
พออยู่ห่างเขาเซียนทอแสงไม่กี่ลี้ เขากลับไม่ได้เข้าไปในเขาทันที แต่กลับหลบอยู่ตรอกที่ไม่มีคน จนผ่านไปครึ่งชั่วยาม และแน่ใจว่าไม่มีคนตามมาแล้ว ถึงพาหญิงสาวไปถ้ำที่พักของตนอย่างวางใจ
แม้ว่าเขาเขาเซียนทอแสงจะมีหน่วยลาดตระเวนที่เป็นผู้ฝึกปราณ แต่สำหรับหลิ่วหมิงแล้ว การหลีกเลี่ยงพวกเขาเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวต่อมา หลิ่วหมิงก็พาหูชุนเหนียงกลับถึงถ้ำของตนเอง
เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิด ก่อนเข้าถ้ำ เขาให้แมงป่องกระดูกขาวเฝ้าอยู่ด้านนอก ถ้ามีอะไรเข้ามาใกล้ล่ะก็ ให้รีบแจ้งเขาในทันที
ตอนที่เขากลับมานั้น เฉียนหรูผิงก็หลับฝันหวานอยู่ในห้องของนางแล้ว
หลิ่วหมิงย่อมไม่ทำให้เด็กหญิงตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ เขาพาหญิงสาวมุ่งตรงมายังห้องนอนเขาทันที หลังจากวางนางลงบนเตียง ก็สำรวจดูนางอยู่หลายที
หูชุนเหนียงในตอนนี้ รอยดำคล้ำบนริมฝีปากได้หายไปหมดแล้ว ขณะเดียวกันรอยแดงเข้มบนใบหน้าก็หายไปด้วยเช่นกัน
แต่พอหลิ่วหมิงจ้องมองอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง ก็พลันขมวดคิ้วกล่าวออกมา
“ศิษย์พี่หู ในเมื่อท่านฟื้นแล้ว ก็ไม่ต้องแสร้งทำเป็นหลับอีกต่อไป”
“อิๆ! ศิษย์น้องรู้ได้อย่างไรว่าข้าฟื้นแล้ว” หญิงสาวที่ดูเหมือนไม่ได้สติ ค่อยๆ เปิดเปลือกตาออกมา และหัวเราะเบาๆ
“ในระหว่างที่มา ข้ามัวแต่ระแวดระวังไม่ให้ศัตรูตามติดมาได้ ดังนั้นจึงไม่พบความผิดปกติใดๆ ของศิษย์พี่ แต่พอมาถึงที่นี่แล้ว ถ้าศิษย์พี่ยังแกล้งหมดสติอยู่ล่ะก็ จะรอดพ้นสายตาข้าไปได้อย่างไร แต่จะว่าไปแล้ว ศิษย์พี่ฟื้นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ?” หลิ่วหมิงถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา
“ก็ตั้งแต่ตอนที่เจ้าใช้มือทำอะไรแปลกๆ บนตัวข้าตามอำเภอใจ ทำให้ข้าตกใจจนฟื้นขึ้นมา” หูชุนเหนียงจ้องหน้าหลิ่วหมิง และกล่าวออกมา ก่อนที่จะมองค้อนปะหลับเหลือก
“เห้อ! ขอศิษย์พี่อย่าได้ถือสา! ข้าเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพื่อป้องกันการตามฆ่าของคนกลุ่มนั้น ข้าถึงได้ทำเช่นนี้” หลิ่วหมิงได้ยิน ก็กล่าวออกมาด้วยสีหน้าเคอะเขิน
“ข้าย่อมเข้าใจเหตุผลนี้ดี มิเช่นนั้นหลังจากที่ข้าฟื้นขึ้นมา คงไม่ปราณีเจ้าแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้าก็ถูกเจ้าเอาเปรียบไปแล้วทีหนึ่ง ศิษย์น้องควรจะชดเชยให้ข้าสักหน่อย!” หูชุนเหนียงยังคงจ้องมองหลิ่วหมิงตาไม่กะพริบ และกล่าวออกไปด้วยรอยยิ้มที่ไม่เหมือนกับยิ้ม
“ศิษย์พี่หูจะให้ข้าชดเชยอะไร?” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย
“ชื่อจริงของศิษย์น้องคือไป๋ชงเทียนใช่ไหม?” หูชุนเหนียงไม่ได้ตอบตรงๆ แต่กลับถามออกมาหนึ่งประโยค
“ดูท่าศิษย์พี่คงไปสืบสถานะข้าจากนิกายมาแล้ว” หลิ่วหมิงฟังถึงจุดนี้ ก็คิ้วขมวดขึ้นมา
“ผู้ที่เป็นศิษย์แกนนำคนใหม่ และยังรอดชีวิตจากแดนลึกลับมาได้อย่างปลอดภัย ในนิกายปีศาจ นอกจากศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณพสุธา ที่กำลังเก็บตัวเตรียมทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว ข้าก็คิดไม่ออกว่าจะยังมีใคร ที่มีพลังอันน่าตกใจอย่างศิษย์น้องไป๋” หูชุนเหนียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ในเมื่อศิษย์พี่สืบมาแล้ว ข้าย่อมไม่จำเป็นต้องปฏิเสธอะไร ข้าคือ ‘ไป๋ชงเทียน’ ตามที่ท่านพูดถึงจริงๆ” หลิ่วหมิงตาเป็นประกาย และยอมรับตามตรง
“อ๋อ! ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ใบหน้าของศิษย์น้องในตอนนี้คงไม่ใช่ใบหน้าที่แท้จริงใช่ไหม ให้ศิษย์พี่ดูหน่อยได้หรือไม่?” หลังจากหูชุนเหนียงเห็นหลิ่วหมิงยอมรับแล้ว ก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“หน้าตาที่แท้จริงของข้า ไม่ใช่ความลับอะไร ถ้าศิษย์พี่อยากเห็นล่ะก็ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ!” ครั้งนี้หลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อย แล้วก็ค่อยๆ พยักหน้า
จากนั้นเขาก็ทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็ลูบไปบนใบหน้า
ต่อมาก็มีเสียงดังกรอบแกรบในร่างของเขา ขณะเดียวกันใบหน้าก็ดูพร่ามัว และกลายเป็นใบหน้าปกติของชายหนุ่มที่ค่อนข้างขาวซีดเล็กน้อย ดูแล้วอายุน้อยกว่าบัณฑิตก่อนหน้าเจ็ดถึงแปดปี
“นี่คือใบหน้าที่แท้จริงของศิษย์น้องไป๋หรอกหรือ ดูธรรมดามากเลย” หูชุนเหนียงเดินวนรอบตัวหลิ่วหมิงไปมาหลายรอบ และวิจารณ์รูปร่างของเขา
หลิ่วหมิงฟังแล้วก็พูดไม่ออก ได้แต่ทำตามองบนแล้วพูดออกไปตรงๆ
“ข้าเผยใบหน้าที่แท้จริงให้ท่านดูแล้ว ศิษย์พี่ก็ควรจะเปิดเผยใบหน้าของท่านให้ข้าดูบ้าง มิเช่นนั้นไม่เท่ากับว่าข้าเสียเปรียบหรอกหรือ?”
“เจ้าก็อยากเห็นใบหน้าแท้จริงของข้า แน่นอนไม่มีปัญหา ใบหน้าแท้จริงของข้า ยิ่งไม่ค่อยมีใครได้เห็น” หูชุนเหนียงฟังแล้วก็ยิ้มออกมาในทันที
จากนั้นนางก็หยิบมุกห้าสีขนาดเท่านิ้วโป้งออกมาจากแขนเสื้อ เพียงแค่โบกไปมาตรงหน้าไม่กี่ที ก็มีแสงเปล่งประกายออกมา หลังจากนั้นหญิงสาวที่ดูเหมือนจะอายุไม่เกินยี่สิบเอ็ดถึงยี่สิบสองปี ก็ปรากฏต่อหน้าหลิ่วหมิง
แม้ว่าเสื้อผ้า ทรงผมของนางจะเหมือนเดิมไม่มีผิด แต่คิ้วที่โก่งโค้ง ริมฝีปากเล็กๆ รอยยิ้มที่สวยงามราวกับบุปผา งดงามเป็นอย่างมาก รูปโฉมของนางงดงามกว่าก่อนหน้านั้นหลายเท่านัก!
แม้แต่หลิ่วหมิง ก็จ้องมองใบหน้างดงามนี้ด้วยความตกตะลึง
ตอนนี้ เขาค้นพบว่าลักษณะระหว่างคิ้วของนาง ยิ่งดูเหมือนศิษย์ที่มีร่างสื่อสารจิตวิญญาณกระบี่ของนิกายจันทราสวรรค์ผู้นั้น
เพียงแต่ระหว่างคิ้วของจางซิ่วเหนียงจะดูห้าวหาญอย่างยิ่ง และระหว่างคิ้วของหูชุนเหนียงผู้นี้ กลับดูสวยหยาดเยิ้มกว่า
“ที่แท้นี่ก็คือใบหน้าแท้จริงของศิษย์พี่ ใบหน้าท่านงดงามเช่นนี้ มิน่าถึงต้องปิดบังใบหน้าที่แท้จริงไว้ ถ้าใช้ใบหน้านี้เดินอยู่ในเสวียนจิงล่ะก็ ไม่รู้ว่ามันจะสร้างความยุ่งยากให้มากน้อยแค่ไหน” ผ่านไปซักพัก หลิ่วหมิงถึงค่อยๆ กล่าวออกมา
“ศิษย์น้องเข้าใจเหตุผลนี้ก็ดีแล้ว ในระยะหลายปีที่ข้าอยู่เสวียนจิงมา ศิษย์น้องเป็นคนแรกที่ได้เห็นใบหน้าแท้จริงของข้า มุกห้าสีเม็ดนี้ นอกจากจะสามารถเปลี่ยนใบหน้าได้แล้ว การเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ก็ล้วนเหมือนจริงทั้งหมด และที่ข้าพูดกับเจ้าในก่อนหน้านั้น ข้าแค่เพียงล้อเจ้าเล่นเท่านั้น ที่ข้ารอดตายในครั้งนี้ ต้องขอบคุณที่ศิษย์น้องยื่นมือเข้าช่วย มิเช่นนั้นคงต้องตายอยู่ในวังแล้วจริงๆ” หูชุนเหนียงที่เผยใบหน้าแท้จริงออกมา กลับกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ด้วยระดับการฝึกฝนของศิษย์พี่ ถ้าไม่ใช่ว่าถูกพิษ จะหวาดกลัวผู้ฝึกฝนอิสระเหล่านั้นได้อย่างไร ศิษย์พี่เผชิญกับการลงมืออย่างโหดเหี้ยมนี้ได้อย่างไร?” หลิ่วหมิงถามด้วยความสงสัย
“ศิษน้องไม่รู้อะไร ข้าต้องปลอมตัวเป็นนางกำนัลถึงแฝงตัวเข้าไปในวังได้ และยังเห็นฉากที่เสวียนจื้อแปลงร่างกับตา สุดท้ายก็เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น ข้าไม่เพียงแต่ถูกบีบได้เปิดเผยสถานะออกมา ทั้งยังถูกองครักษ์สองคนที่ซ่อนอยู่บริเวณนั้นโจมตีจนได้รับบาดเจ็บ ศิษย์น้องคงไม่รู้หรอกว่า การฝึกฝนขององครักษ์ทั้งสองนี้แปลกประหลาดมาก ถ้าตอนนั้นข้าไม่รีบโจมตีเสวียนจื้อ เพื่อหลอกล่อความสนใจของพวกเขาก่อนล่ะก็ เกรงว่าคงถูกพวกเขาจับตัวได้แล้ว ใช่สิ! หลังจากที่ข้าได้รับพิษประหลาด ข้าเคยทานโอสถถอนพิษไปจำนวนหนึ่ง แต่มันก็ไม่มีผลใดๆ ศิษย์น้องใช้โอสถอะไร ถึงได้แก้พิษได้อย่างง่ายดายเช่นนี้” ตอนแรกหูชุนเหนียงก็หัวเราะออกมาอย่างขมขื่น แต่ก็ถามออกมาด้วยความสงสัยในทันที
“พิษในร่างท่านแปลกประหลาดจริงๆ โอสถถอนพิษของนิกายปีศาจเรา ก็ใช้ไม่ได้ผลเช่นกัน ดีที่เจ้าสองคนที่ทำร้ายท่านตามมาทันพอดี ข้าจึงจัดการฆ่าพวกเขา แล้วค้นเอาโอสถมา ถึงได้ถอนพิษให้ศิษย์พี่ได้สำเร็จ” หลิ่วหมิงกล่าวออกมาราวกับไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร
“อะไรนะ! ศิษย์น้องฆ่าสองคนนั้นไปแล้ว อย่างนี้ก็หมายความว่า เจ้าก็รู้สถานะที่แท้จริงของพวกเขาแล้ว” หูชุนเหนียงได้ยิน ย่อมรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็ค่อยๆ ยิ้มออกมา ทันใดนั้น เขาก็หยิบยันต์เก็บของออกมาจากแขนเสื้อ เพียงโบกมันเบาๆ แสงสีขาวก็เปล่งประกายออกมา จากนั้นหางมัจฉาส่วนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนพื้น
“ที่แท้พวกเขาก็เป็นเผ่าเจ้าสมุทร ศิษย์น้องฆ่าผู้ฝึกฝนทั้งสองของเผ่าเจ้าสมุทรได้โดยลำพัง นับว่ามีพลังน่าตกใจสมกับที่เล่าลือจริงๆ ข้าเองก็มีของสิ่งหนึ่งอยากให้ศิษย์น้องดู” หูชุนเหนียงได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกเย็นสะท้านในใจ หลังจากกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงที่ดูแปลกใจแล้ว ก็หยิบสิ่งของที่ดูคล้ายกระบอกไม้ไผ่ออกมา หลังจากที่แกว่งมันไปที่พื้น มันก็พ่นของสิ่งหนึ่งออกมา และขยายยาวออกมาฉื่อกว่าๆ
พอหลิ่วจ้องมองอย่างละเอียด ก็อดใจเต้นไม่ได้!
สิ่งนั้นคือแขนที่เต็มไปด้วยเกล็ดสีเขียว
“นี่คือ……” หลิ่วหมิงถามออกไป
“นี่เป็นแขนของเสวียนจื้อในขณะที่กลายร่าง ซึ่งถูกข้าตัดมาและเก็บเอาไว้ ตอนนี้ก็ยืนยันได้แล้วว่า จักรพรรดิผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์แต่อย่างใด และก็ไม่ใช่ปีศาจอะไร แต่เป็นเผ่าเจ้าสมุทร” หญิงสาวกล่าวด้วยสีหน้าสงบ
“เผ่าเจ้าสมุทร! ช่างน่าขันเสียจริง แคว้นต้าเสวียนของเราถูกปกครองโดยจักรพรรดิจากเผ่าอื่น แต่ไม่รู้ว่าจักรพรรดิเสวียนจื้อเป็นคนต่างเผ่าตั้งแต่แรก หรือว่าเขาสังหารเสวียนจื้อตัวจริงแล้วปลอมตัวมาแทนที่กันแน่?” หลิ่วหมิงถอนหายใจ แล้วกล่าวด้วยความงุนงง
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด แต่มีจะมีอะไรแตกต่างเล่า? มีหางมัจฉากับแขนข้างนี้ พวกเราก็มีหลักฐานเพียงพอที่จะส่งข่าวให้นิกายแล้ว จากนั้นก็ให้ทางนิกายรีบส่งอาจารย์จิตวิญญาณมากวาดล้างราชสำนัก” หูชุนเหนียงกล่าว
“คำพูดนี้ก็มีเหตุผล แต่ถ้าศิษย์พี่ทำเช่นนี้ล่ะก็ สถานะที่แท้จริงก็อาจถูกเปิดเผยได้ และไม่อาจกลับเข้าไปจวนอ๋องสามได้อีก” หลิ่วหมิงพยักหน้า และกล่าวเตือนออกไปหนึ่งประโยค
“มันย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ในเสวียนจิงนี้ มีผู้ฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายสมบูรณ์แบบ ที่เป็นผู้หญิงเพียงไม่กี่คนเท่านั้น บวกกลับที่ข้าไม่ได้กลับจวนทั้งคืน ถ้าไม่ใช่ว่าคนเหล่านั้นสมองมีปัญหาล่ะก็ จะต้องสืบมาถึงข้าอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ข้าคงได้แต่หลบซ่อนอยู่ที่นี่แล้ว รอมีโอกาสค่อยส่งข่าวกลับไปนิกาย ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าจะถูกค้นพบเข้า ไม่อย่างนั้นคงไม่อยู่ในสถานที่ทรุดโทรมแบบนี้หรอก” พอหูชุนเหนียงได้ยิน ก็ขมวดคิ้วกล่าว
“ศิษย์พี่อยู่ที่นี่ย่อมไม่มีปัญหาอะไร คิดว่าในสถานการณ์ปกติ คนทั่วไปไม่อาจสืบมาถึงที่นี่ได้ แต่ข้าคิดว่าเผ่าเจ้าสมุทรก็คงไม่รามือง่ายๆ เช่นกัน” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“ความหมายของศิษย์น้องก็คือ……” หูชุนเหนียงฟังแล้ว ก็ถามออกมาอย่างอดไม่ได้
“ง่ายมาก! เผ่าเจ้าสมุทรเสี่ยงอันตรายแฝงตัวอยู่ในเสวียนจิงมานานเช่นนี้ จนกระทั่งควบคุมพระราชวัง และราชสำนักกว่าครึ่งหนึ่งไว้ได้ พวกเขาจะต้องวางแผนมาอย่างดีแน่นอน ในเมื่อตอนนี้จักรพรรดิเสวียนจื้อถูกเจ้าค้นพบเข้าแล้ว พวกเขาคงรู้ว่าสถานะของตนเองถูกเปิดโปงอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าสถานะศิษย์ตรวจตราของพวกเรา แต่จะต้องคิดถึงเรื่องที่พวกเราอาจจะส่งข่าวนี้ให้นิกายทั้งห้าอย่างแน่นอน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ข้าไม่เชื่อว่าเผ่าเจ้าสมุทรจะรอให้นิกายทั้งห้า ส่งคนมาจับพวกเขา” หลิ่วหมิงค่อยๆ กล่าวออกมา
……………………………………….
ตอนที่ 207 มุกดำ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ศิษย์น้องจะบอกว่าพวกเราต้องระวังไม่ให้เผ่าเจ้าสมุทรหนีรอดไปได้!” หูชุนเหนียงก็นับว่าเป็นคนฉลาด พอได้ยินเช่นนี้นางก็รู้ได้ในทันที
“ไม่ผิด พรุ่งนี้ข้าจะหาโอกาสส่งข่าวให้นิกาย แม้ว่าจะใช้วิธีที่เร็วที่สุด แต่กว่ากำลังสนับสนุนจากนิกายจะมาถึงเสวียนจิง คงใช้เวลาหนึ่งเดือนขึ้นไป และระยะเวลาที่ยาวนานเช่นนี้ มันเพียงพอที่เผ่าเจ้าสมุทรจะทำเรื่องหลายอย่างแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างรอบคอบ
“เสวียนจิงเป็นแผ่นดินของเผ่ามนุษย์เรา และเมืองทั้งเมืองล้วนถูกนิกายทั้งห้าร่วมมือกันวางชั้นจำกัดไว้ พอมีอาจารย์จิตวิญญาณเหยียบเข้ามาล่ะก็ จะสัมผัสโดนชั้นจำกัดจนผู้คนรู้กันทั้งเมือง เผ่าเจ้าสมุทรเหล่านี้ ส่วนมากเป็นผู้ฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายสมบูรณ์แบบอย่างพวกเรา แม้ว่าจะรู้สึกไม่พอใจ แต่จะก่อความวุ่นวายได้หรือ ต่อให้จะเกิดความวุ่นวายขึ้นมาจริงๆ ก็ส่งผลกระทบแค่ผู้ฝึกฝนอิสระบางส่วนเท่านั้น ไม่มีผลกระทบอะไรกับนิกายทั้งห้ามาก” หูชุนเหนียงส่ายหน้า และดูเหมือนจะไม่ค่อยใส่ใจในเรื่องนี้
“คำพูดของศิษย์พี่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล! แต่เผ่าเจ้าสมุทรควบคุมพระราชวังไว้ได้ ใครก็ไม่อาจรู้ได้ว่า ภายใต้สถานการณ์ที่ต่อสู้จนยับเยินทั้งสองฝ่าย พวกเขาจะคิดทำอะไรอีก? เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิด พวกเราน่าจะแอบส่งข่าวที่เผ่าเจ้าสมุทรปรากฏตัวในวัง ให้กับกลุ่มอิทธิพลบางกลุ่ม เช่นนี้แล้ว ต่อให้เผ่าเจ้าสมุทรคิดจะทำเรื่องอะไร ก็ไม่สามารถทำได้ง่ายแล้ว” หลิ่วหมิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา
“บอกข่าวเผ่าเจ้าสมุทรให้กับคนอื่น? มันจะไม่สะเพร่าไปหน่อยหรือ! หากมันก่อให้เกิดความวุ่นวายในเสวียนจิงล่ะ พวกเราจะอธิบายกับทางนิกายอย่างไร!” หูชุนเหนียงได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกลังเลขึ้นมา
“เรื่องนี้คงไม่ค่อยมีปัญหาอะไรมากนัก กลุ่มผู้ฝึกฝนอิสระอื่นๆ ล้วนมีคนฉลาดอยู่ ถึงแม้พวกเขาจะได้ยินข่าวนี้ แต่ก็จะไม่เชื่อโดยง่ายอย่างแน่นอน พวกเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อสืบดูว่าข่าวนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ เพียงแค่ในช่วงระยะเวลานี้ มีกลุ่มอิทธิพลบางกลุ่มจับจ้องเผ่าเจ้าสมุทร จนพวกเขาไม่อาจกระทำการใดๆ ได้ เช่นนี้แล้ว พวกเราถึงอยู่รอกำลังสนับสนุนจากนิกายได้อย่างปลอดภัย” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หูชุนเหนียนฟังหลิ่วหมิงกล่าวจบ ก็รู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย หลังจากที่ครุ่นคิดไปมาหลายรอบ และรู้สึกว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ก็กล่าวออกมาอย่างเฉียบขาด
“ดี! หลังจากศิษย์น้องวิเคราะห์ออกมาเช่นนี้ ข้าก็รู้สึกว่าเป็นวิธีการที่ดี ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้เถอะ! ถ้ามีกลุ่มอิทธิพลอื่นในเสวียนจิงแทรกเข้ามาล่ะก็ คิดว่าเผ่าเจ้าสมุทรเหล่านั้น คงไม่มีเวลาว่างมาตามสืบพวกเรา ว่าแต่ศิษย์น้องคิดจะปล่อยข่าวนี้ออกไปอย่างไร อย่าให้เผ่าเจ้าสมุทรค้นพบร่องรอยได้ล่ะ ไม่อย่างนั้นพวกเขาอาจเจอตัวพวกเราได้”
“ศิษย์พี่วางใจเถอะ! ไม่ใช่ว่าในเสวียนจิงมีกลุ่มที่ขายข่าวโดยเฉพาะหรอกหรือ กลุ่มผู้ฝึกฝนอิสระเล็กๆ เหล่านี้ ก็ไม่ได้เข้มงวดอะไรอยู่แล้ว ข้าแค่ขายข่าวจริงกึ่งเท็จให้หนึ่งในกลุ่มเหล่านั้น คิดว่าใช้เวลาไม่กี่วันก็คงแพร่กระจายไปทั่วเสวียนจิงแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างมีแผนในใจ
“ดูเหมือนศิษย์น้องพิจารณาได้รอบคอบมาก งั้นข้าก็วางใจแล้ว แม้ตอนนี้ข้าจะถอนพิษในร่างได้แล้ว แต่ก็เสียลมปราณไปไม่น้อย เกรงว่าคงต้องหลบอยู่ที่นี่เป็นระยะเวลาครึ่งเดือนกว่าๆ เรื่องอื่นๆ คงต้องให้ศิษย์น้องจัดการแล้ว” หูชุนเหนียงพยักหน้ากล่าวอย่างเกรงใจ
“ศิษย์พี่หูไม่ต้องเกรงใจ ท่านพักอยู่ที่นี่เถอะ! ข้าเพิ่งย้ายมาที่นี่ได้ไม่นาน คนส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยรู้จักที่นี่ ในสถานการณ์ปกติย่อมไม่มีคนมารบกวน ใช่สิ! ข้ามีโอสถฟื้นฟูลมปราณอยู่สองสามขวด ศิษย์พี่ต้องการมันหรือไม่?” หลิ่วหมิงตอบรับออกไปในทันที
“ขอบคุณในน้ำใจของศิษย์น้อง วิชาของนิกายจันทราสวรรค์มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว โอสถทั่วไปมีผลไม่มากนัก แต่ข้าก็พกโอสถล้ำค่าที่ทางนิกายปรุงขึ้นเป็นพิเศษมาด้วย การฟื้นฟูพลังปราณเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น” หูชุนเหนียงยิ้มพราย รอยยิ้มของนางดูสวยงามราวกับบุปผา
สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงใจเต้นทันที จากนั้นก็ละสายตาไปทางอื่น หลังจากคุยกับนางไม่กี่ประโยคแล้ว ก็สละห้องนอนให้กับนาง ส่วนตนเองก็กล่าวคำอำลาแล้วก็จากไป
ผ่านไปซักพัก หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวในห้องลับที่มีชั้นจำกัดปกคลุมอยู่ และเริ่มนับสมบัติที่ได้มาจากเผ่าเจ้าสมุทรทั้งสองคนนั้น
ขวดโอสถไม่กี่ขวดเหล่านั้นไม่ต้องพูดถึง มันต่างก็เป็นโอสถรักษาอาการบาดเจ็บ และฟื้นฟูพลังเท่านั้น แต่เห็นได้ชัดว่ากระบองสั้นสีเขียวทั้งสอง กับเปลือกหอยสีเงิน และธงสีฟ้าเล็กๆ ล้วนเป็นอาวุธจิตวิญญาณ
หลิ่วหมิงใช้พลังเวทย์กระตุ้นของเหล่านี้เพียงเล็กน้อย ก็พอจะคาดเดาราคาของมันได้
สองชิ้นแรกเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำที่มีหกถึงเจ็ดชั้นจำกัด ส่วนธงเล็กสีฟ้านั้น เห็นได้ชัดว่ามีสิบสี่ชั้นจำกัด มันคืออาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง
สิ่งนี้ทำให้เขามองออกไปด้วยความดีใจ
จวบจนถึงปัจจุบันนี้ เขาได้สัมผัสอาวุธจิตวิญญาณมาไม่ใช่น้อย แต่ส่วนมากเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำ ส่วนระดับกลางนั้น เขาได้สัมผัสกับมันน้อยมาก
สำหรับอาจารย์จิตวิญญาณโดยทั่วไปอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางก็นับว่าเป็นสมบัติที่ไม่เลวแล้ว ส่วนอาจารย์จิตวิญญาณที่มีอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงนั้นมีน้อยมาก
ด้วยระดับการฝึกฝนของเขาในตอนนี้ ถึงแม้จะกระตุ้นได้แค่อาวุธจิตวิญญาณระดับกลางลงไป แต่อานุภาพของมันก็แข็งแกร่งกว่าอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำทั่วไปมากนัก
แต่เห็นได้ชัดว่าธงเล็กสีฟ้านี้ เป็นสิ่งที่ใช้เสริมพลังของอาวุธจิตวิญญาณ
เขายังจำฉากที่ชายเผ่าเจ้าสมุทรเสียบของสิ่งนี้เข้าไปในร่าง และทำให้ร่างกลายเป็นของเหลวกึ่งโปร่งแสงในพริบตา ได้
หลังจากหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองดูแล้ว ก็ตัดสินใจในทันที
กระบองสั่นสีเขียวสองอัน กับเปลือกหอยสีเงินล้วนเป็นอาวุธจิตวิญญาณที่เผ่าเจ้าสมุทรต่างก็มี และเห็นได้ชัดว่ามันไม่สอดคล้องกับพลังของเขา ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเก็บไว้ เพียงแค่หาโอกาสนำมันไปแลกหินจิตวิญญาณก็พอแล้ว
และธงเล็กสีฟ้าเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง ทั้งยังเป็นตัวช่วยเสริมพลัง เขาสามารถนำไปตรวจสอบอย่างละเอียด และเพิ่มการกระตุ้นได้
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ และเก็บสมบัติเหล่านี้เข้าไปในหอยสังข์ย่อส่วน แต่หลังจากพลิกมือข้างหนึ่งขึ้นมา ก็ปรากฏมุกกลมๆ สีดำเม็ดหนึ่ง
ของสิ่งนี้หลิ่วหมิงได้มาจากการค้นตัวชายเผ่าเจ้าสมุทรที่มีใบหน้าหล่อเหลาผู้นั้น แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่อาวุธจิตวิญญาณ ดูๆ แล้วก็ไม่เตะตาเลยแม้แต่น้อย ตอนแรกเขาไม่ได้ใส่ใจมันมากนัก
แต่เมื่อเขาสังเกตอย่างละเอียดอีกรอบ กลับพบว่ามันมีจุดพิเศษบางอย่าง
ถึงแม้มุกดำจะมืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่าง แต่พอมองอย่างละเอียด ก็ค้นพบว่าพื้นผิวของมันโปร่งใส ข้างในเต็มไปด้วยหมอกสีดำบางอย่าง และค่อยๆ ล่องลอยไปมา
หลิ่วหมิงเขย่ามันด้วยความแปลกใจ
มุกดำมีน้ำหนักเบามาก หลังจากหมอกสีดำค่อยๆ กลอกกลิ้งไปมาไม่กี่ครั้ง ก็เหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ข้างใน
ด้วยเหตุนี้ หลิ่วหมิงจึงยิ่งรู้สึกสนใจมันมากขึ้น
หลังจากเขาตรวจสอบดูซักระยะแล้ว ในที่สุดก็แน่ชัดว่า แท้จริงแล้วมุกดำคือภาชนะบรรจุสิ่งของที่ไม่รู้ว่าสร้างมาจากของสิ่งใด และสิ่งที่ซ่อนอยู่ในนั้นถึงเป็นสมบัติที่แท้จริง
ด้วยความระมัดระวังของเขา ย่อมไม่หลับหูหลับตาทำลายมุกเม็ดนี้อย่างแน่นอน แต่หลังจากที่คิดไปคิดมาแล้ว ก็หยิบธงค่ายกลออกมาจากอกเจ็ดแปดอัน และโยนไปรอบด้าน หลังจากนั้นก็ปักลงในมุมต่างๆ ของห้องลับอย่างมั่นคง
ไม่นาน ค่ายกลขนาดเล็กก็ตั้งเสร็จเรียบร้อย
หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือเดียวและร่ายคาถากระตุ้น
ม่านแสงสีเหลืองปรากฏออกมาหนึ่งชั้น และแผ่คลุมห้องลับไว้อย่างแน่นหนา
เขาวางมุกดำลงพื้น และแปะยันต์บนตัวผืนหนึ่ง ทันใดนั้นร่างของเขาก็ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีขาว
ขณะนี้ หลิ่วหมิงได้ตรวจสอบดูเกราะเกล็ดมังกรแดงของตนเอง พอเห็นว่ามันยังติดแน่นอยู่ ก็รู้สึกวางใจขึ้นมา
ไม่แปลกที่เขาจะระมัดระวังเช่นนี้
ในโลกของการฝึกฝน มีสิ่งของแปลกๆ เป็นจำนวนมาก ไม่รู้ว่าผู้ฝึกฝนจำนวนมากเท่าใด ที่ไม่ระมัดระวังจนต้องเสียชีวิตเช่นนี้
เขาจะไม่ยอมเดินตามรอยคนเหล่านี้เด็ดขาด!
ขณะนี้หลิ่วหมิงได้ถอยหลังไปสองสามก้าว และยกมือปล่อยคมวายุสีเขียวใส่มุกดำ
“เพล้ง!”
พอคมวายุฟันลงบนมุกดำ แสงสีเขียวก็เปล่งประกายออกมา และมันก็กระเด็นออกไปในทันที
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน มุกดำเม็ดนี้ดูธรรมดามาก แต่พื้นผิวของมันช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก
ครู่ต่อมาเขาก็สะบัดแขนเสื้อ และกระบี่จันทราหยกก็ปรากฏขึ้นในมือ พอแสงเย็นสะท้านเปล่งประกายออกมา ปราณกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวก็ฟันออกไปอย่างรุนแรง
“ตู๊ม!”
พื้นผิวมุกดำเพียงแค่สั่นสะเทือนเล็กน้อย จากนั้นมันก็ดีดปราณกระบี่จนกระเด็นออกไป
ครั้งนี้ หลิ่วหมิงรู้สึกเสียวสะท้านขึ้นมาจริงๆ แล้ว
ดูท่าใช้แค่พลังธรรมดาคงไม่อาจทำให้มุกเม็ดนี้แตกออกมาได้ คงต้องลองใช้วิธีอื่นแล้วล่ะ!
พอคิดได้เช่นนี้ ก็หยิบขวดเล็กสีขาวจากอกมาใบหนึ่ง แล้วเดินไปยังมุกดำ จากนั้นก็เปิดจุกขวดออก และหยดของเหลวสีม่วงที่ส่งกลิ่นคาวแสบจมูกกลงบนมุกดำ
“ซู่!”
พอของเหลวสีม่วงสัมผัสกับมุกดำ มันก็ไหลลงด้านข้างทันที และพอมันสัมผัสโดนพื้นบริเวณรอบๆ ก็ก่อเกิดเป็นควันดำกัดกร่อนจนพื้นหินกลายเป็นหลุม
ของเหลวสีม่วงนี้มีพิษร้ายแรงเป็นอย่างมาก!
มุกดำเม็ดนั้น ยังคงเกลี้ยงเกลาเช่นเดิม มองไม่เห็นร่องรอยเสียหายใดๆ แม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว พร้อมกับเก็บขวดใบเล็ก จากนั้นก็ยิงลูกเปลวไฟสีแดงออกไป พอมันระเบิดตัวออกมา ก็กลายเป็นเปลวไฟอันคุโชนปกคลุมมุกดำไว้
หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง และปล่อยพลังเวทย์ใส่เปลวอันคุโชนอยู่ไม่หยุด หลังจากให้เปลวไฟขนาดมหึมาเผาไหม้ไปชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาแล้ว เขาถึงค่อยทำให้มันดับลง
นอกจากจะมีรอยแดงเล็กน้อยบนพื้นผิวแล้ว มุกดำก็มีลักษณะเหมือนเดิมไม่มีผิด
ครั้งนี้หลิ่วหมิงต้องแสยะปากออกมาจริงๆ
เขาเดินวนมุกดำอยู่หลายรอบ จากนั้นก็ชี้นิ้วข้างหนึ่งออกไปด้วยตาที่เป็นประกาย
“ซ่า!” น้ำใสสะอาดตกลงจากด้านบน และราดใส่มุกดำ ความพยายามครั้งสุดท้ายกลับทำให้เขารู้สึกดีใจขึ้นมา
มุกดำที่เดิมทีนิ่งสงบไม่ขยับเขยื้อน พลันมีแสงสีดำเปล่งประกายออกมา มันดูดน้ำสะอาดเข้าไปทั้งหมด ขณะเดียวกันก็มีเสียงแตกหักดังมาจากด้านใน รอยแตกร้าวบนพื้นผิวค่อยๆ ปรากฏออกมา
หลิ่วหมิงตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เขาทำท่ามืออยู่ไม่หยุด เพื่อปล่อยน้ำสะอาดสิบกว่าสายใส่มุกดำ
หลังจากมีแสงเปล่งประกายออกมา มันก็ดูดน้ำสะอาดกว่าครึ่งหนึ่งเข้าไปจนหมด และพอมีรอยแตกร้าวออกมาเป็นจำนวนมาก มันก็ระเบิดเสียงดังออกมา
“ตู๊ม!” พลันมีเสียงดังจากใจกลางห้องลับ จนทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่วห้อง
หลังจากที่หลิ่วหมิงตกใจจนถอยออกไปสองสามก้าวแล้ว ก็เขม้นตามองไปยังจุดที่มุกดำระเบิดออกมา
……………………………………….
ตอนที่ 208 หยดพลังวารี
โดย
Ink Stone_Fantasy
พื้นที่ทางด้านนั้น ถูกหมอกดำที่เกิดจากการระเบิดตัวของมุกดำแผ่คลุมไว้
หมอกดำเหล่านี้ดูอับชื้นมาก ทั้งยังแผ่คลุมพื้นที่เล็กๆ เพียงไม่กี่ฉื่อ และดูเหมือนจะไม่ยอมสลายตัวง่ายๆ
หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เขาสะบัดแขนเสื้อในฉับพลัน ทันใดนั้นพายุบ้าระห่ำก็พัดกระหน่ำออกมา และพุ่งไปหาหมอกดำ
“ฟิ้ว!” พายุบ้าระห่ำแฉลบผ่านหมอกดำไป และไม่สามารถทำอะไรหมอกดำได้เลยแม้แต่น้อย
ครั้งนี้หลิ่วหมิงรู้สึกเสียวสะท้านขึ้นมาจริงๆ แล้ว เขารีบปล่อยลูกเปลวไฟออกไปในทันที
พอลูกเปลวไฟปะทะกับหมอกดำ มันก็ดับลงทันทีราวกับเจอดาวมฤตยู
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกแปลกใจมากขึ้น
หลังจากที่ลังเลเล็กน้อยแล้ว ก็สะบัดแขนเสื้อทันที หลังจากมีเสียงดังเต้งๆ ออกมา โซ่สีเงินเส้นหนึ่งก็ดีดตัวออกจากแขนเสื้อ และพุ่งเข้าไปในหมอกดำ
“เพล้ง!”
ปลายโซ่สีเงินเข้าไปในหมอกดำได้เพียงนิดเดียว ก็ถูกพลังแปลกประหลาดบางอย่างต้านทานไว้
ขณะที่หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งสอง และกำลังจะเพิ่มพลังของตนเองนั้น พลังแปลกประหลาดนี้ก็หายไปในพริบตา
โซ่สีเงินพุ่งผ่านหมอกดำไป ในนั้นล้วนว่างเปล่า และไม่มีสิ่งใดอยู่
หลิ่วหมิงตวัดโซ่สีเงินกลับมา พอมองไปที่ไอหมอกแล้ว ก็กะจะเดินเข้าไปใกล้อีกหน่อย
แต่ขณะนั้นเอง กลุ่มหมอกก็พวยพุ่งขึ้น ทันใดนั้นมันก็สลายตัวไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย และบริเวณที่เคยถูกมันแผ่คลุม ได้ปรากฏหลุมลึกๆ กว้างประมาณปากถ้วยอยู่หลุมหนึ่ง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็คิดถึงสถานที่เกิดเสียงดังในก่อนหน้านั้น แล้วเดินเข้าไปราวกับคิดอะไรอยู่ เขาจ้องไปในหลุมด้วยตาที่เป็นประกาย และต้องแสดงสีหน้าแปลกใจออกมา
“นี่คือสิ่งใดกัน ช่างดูแปลกประหลาดยิ่งนัก!”
หลิ่วหมิงกล่าวพึมพำเสร็จ ก็กางนิ้วทั้งห้าไปทางหลุมที่อยู่ด้านล่าง
พอพลังเวทย์ในร่างเขาถูกกระตุ้นขึ้นมา ไอสีดำก็วนเป็นเกลียวออกมาตามแขน และกลายเป็นหนวดสัมผัสเส้นหนึ่ง ก่อนที่จะพุ่งลงไปในหลุมลึก
จากนั้นพอเขาสะบัดแขน หนวดสัมผัสสีดำก็ถูกดึงกลับในฉับพลัน ดูเหมือนว่าเกือบจะลากอะไรบางอย่างออกมาได้
ถึงแม้หนวดสัมผัสสีดำจะตรงดิ่งเป็นพิเศษ และตึงแน่นเป็นอย่างมาก แต่สิ่งของที่อยู่ในหลุมก็ยังอยู่ในก้นหลุมอย่างมั่นคง โดยไม่เคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
พอหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ คิ้วของเขาก็ค่อยๆ ขมวดขึ้นมา เขาแกว่งแขนในทันที พลังไร้รูปพรั่งพรูผ่านหนวดสัมผัสไปยังด้านล่างอย่างรวดเร็ว จากนั้นนิ้วทั้งห้าก็ค่อยๆ งอเข้าหากัน
พลังมหาศาลที่เพิ่มขึ้นมามากกว่าก่อนหน้านั้นหลายเท่า ม้วนตัวกลับในทันที
“ตู๊ม!” ภายใต้การใช้พลังของหลิ่วหมิง หินสีดำบนพื้นที่เขาเหยียบแตกออกในฉับพลัน แต่สิ่งที่อยู่ในหลุมยังคงไม่กระเตื้องเลยแม้แต่น้อย
ครั้งนี้สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
พลังที่เขาใช้เมื่อครู่ ต่อให้เป็นสิ่งของหนักหลายร้อยจินก็สามารถดูดออกมาได้ คิดไม่ถึงว่าจะไม่สามารถทำอะไรกับสิ่งที่อยู่ในหลุมได้
นี่ก็เท่ากับว่า สิ่งนี้มีน้ำหนักอย่างน้อยหนึ่งพันจินขึ้นไป
มิน่าล่ะ! พอมันออกมาจากมุกดำ ก็กระแทกผ่านพื้นหิน และจมเข้าไปลึกเช่นนี้
หลิวหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ เขาไม่กล้าดูแคลนเจ้าสิ่งนี้แล้ว จากนั้นก็เริ่มทำท่ามือด้วยมือทั้งสองกระตุ้นเคล็ดวิชาต่างๆ และยื่นแขนข้างหนึ่งออกไปด้านหน้า
หนวดสัมผัสสีดำม้วนเข้าไปในร่างเขา จากนั้นก็มีเสียงเต๊งตั๊งดังมาจากแขนเสื้อ และโซ่สีเงินก็พุ่งเข้าไปในหลุม
พอเขาคำรามเสียงออกมา
แขนทั้งสองก็จับโซ่ไว้แน่น จากนั้นก็ดึงขึ้นมาในทันที
บังเกิดเสียงดังครั่นเครืน!
ร่างของเขาระเบิดกลิ่นไออันน่าตกใจออกมา!
ห้องลับสั่นสะเทือนเล็กน้อย ในที่สุดสิ่งที่อยู่ในรูก็ค่อยๆ ถูกดึงขึ้นมา
กล้ามแขนทั้งสองที่นูนขึ้น และร่องรอยตรงหน้าผาก ทำให้เห็นชัดว่าต้องใช้พลังเป็นอย่างมาก
ผ่านไปไม่นาน เมื่อหลิ่วหมิงออกแรงดึงมันขึ้นมาอยู่ไม่หยุด ในที่สุดก็ดึงปลายโซ่ขึ้นมาได้ ปลายโซ่รัดกลุ่มแสงสีดำขนาดเท่าลูกกำปั้นไว้
ใจกลางกลุ่มแสง คือหยดของเหลวสีดำที่มีขนาดเท่าเม็ดถั่ว มันดำสนิทราวกับหมึก ทั้งยังมีไอสีดำสองสามสายหมุนวนอยู่ไม่หยุด
พอหลิ่วหมิงได้เจอกับหยดของเหลวที่ไม่ค่อยเตะตานี้ เขากลับสะบัดแขนเสื้ออย่างรวดเร็ว และเตาหลอมสีเงินก็ลอยออกมาจากในนั้น หลังจากนั้นมันก็พร่ามัวและยืดสูงขึ้นหลายฉื่อ แล้วค่อยๆ หล่นมาอยู่ด้านล่างของเหลวอย่างมั่นคง
เขาก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว ธงที่ปักอยู่ในมุมห้องลับเปล่งประกายออกมาสองสามที ม่านแสงที่ปกคลุมอยู่ด้านบนพลันหล่นร่วงลงมา และจมหายเข้าไปใต้ดิน
พื้นหินสีดำที่ดูธรรมดา เปล่งประกายแวววาวขึ้นมาทันที
ขณะนี้หลิ่วมิงถึงได้หยุดปล่อยพลังเวทย์ในฉับพลัน
ในขณะที่ปลายโซ่พร่ามัวนั้น หยดของเหลวสีดำก็ตกลงในเตาหลอมอย่างแม่นยำ
ครูต่อมาก็มีเสียงดังสนั่น!
เตาหลอมเปล่งประกายแสงออกมาอย่างบ้าคลั่ง ขาเตาหลอมทั้งสามจมลึกลงในพื้นดินครึ่งฉื่อกว่าๆ
สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงจ้องมองจนนึกอะไรไม่ออก
นี่คือการที่เขาตั้งใจกระตุ้นชั้นจำกัด และเสริมความแข็งแกร่งให้ห้องลับ
มิเช่นนั้นเตาหลอมจะเป็นเหมือนเมื่อครู่ คือจมหายไปใต้ดินอย่างไร้ร่องรอย
แต่มันก็แปลกเสียจริง!
เมื่อครู่เหมือนเขาใช้พลังที่มีทั้งหมด ถึงฝืนยกหยดของเหลวสีดำนี้ขึ้นมาได้ คาดว่าอย่างน้อยก็คงหนักสามสี่พันจิน มิเช่นนั้นมันคงไม่เป็นเช่นนี้
ของสิ่งนี้จะต้องไม่ใช่สมบัติธรรมดาอย่างไม่ต้องสงสัย
หลิ่วหมิงคิดวกไปมาอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่เคยเห็นหรือได้ยินของสิ่งนี้จากคัมภีร์เล่มไหนมาก่อน
แต่ตอนนี้เขามีเวลาแล้ว ในที่สุดก็สามารถตรวจสอบมันได้
หลิ่วหมิงเก็บโซ่สีเงินก่อนเดินไปใกล้ๆ เตาหลอม และก้มมองหยดของเหลวสีดำอย่างละเอียด
……
ขณะเดียวกัน บนเกาะยักษ์กลางมหาสมุทรแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่าอยู่ห่างจากแคว้นต้าเสวียนตั้งเท่าไหร่ ในวิหารศิลาขนาดใหญ่ที่สูงยี่สิบกว่าจั้ง ผู้อาวุโสเผ่าเจ้าสมุทรที่สวมชุดคลุมสีม่วง กำลังว่ากล่าวองครักษ์สวมชุดเกราะขาวด้วยสีหน้าโมโห
ไร้ประโยชน์! ร่างไร้ประโยชน์เสียจริง! พวกเจ้าเฝ้าคลังสมบัติกันอย่างไร ทำไมถึงให้องครักษ์คนนี้ ขโมยหยดพลังวารีที่ข้าใช้เวลาเกาะผลึกเป็นร้อยปีไปได้ เจ้ารู้ไหมว่าถ้าขาดหยดพลังวารีหยดนี้ไป สมบัติล้ำค่าที่ข้าสร้างจนเกือบสำเร็จในตอนแรก จะมีอานุภาพลดลงไปเกือบครึ่ง ในคลังสมบัติมีของอย่างอื่นหายไปด้วยหรือไม่?”
“ผู้อาวุโสโปรดระงับโทสะ! นอกจากหยดพลังวารีแล้ว สมบัติอื่นๆ ในคลังไม่ได้หายไปไหน และข้าได้ตรวจพบว่าองครักษ์ที่น่าสงสัยผู้นั้น ได้รับคำสั่งให้ไปแคว้นต้าเสวียนเพื่อคุ้มครองคุณหนูสิบสามเมื่อไม่นานมานี้”
“ไปคุ้มครองคุณหนูสิบสามแล้ว ฮึ! ดูท่าเขาคงวางแผนไว้นานแล้ว มิเช่นนั้นจะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่เพราะว่าหยดพลังวารีนี้เป็นของที่พิเศษอย่างมาก และมันไม่สามารถทำลายชั้นจำกัดได้ล่ะก็ เกรงว่าคงไม่หายไปแค่นี้ รีบให้คนส่งข่าวบอกคุณหนูสิบสาม ให้จับองครักษ์ที่ขโมยสมบัติชิ้นนี้ไป จากนั้นส่งตัวมาให้ข้าทันที” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีม่วงทำเสียงฮึดฮัด และกล่าวด้วยความโมโหมากกว่าเดิม
“ทราบ! ข้าจะส่งข่าวให้คุณหนูสิบสาม! ใช่สิ! เมื่อไม่นานมานี้ จักรพรรดิเจ้าสมุทรได้ส่งสาส์นมาเชิญผู้อาวุโสไปปรึกษาหารือ ดูเหมือนกับว่าจักรพรรดิอีกสองเผ่าก็อยู่ด้วย” องครักษ์ผู้นี้รีบตอบรับในทันที แต่พอนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ก็รีบรายงานออกไป
“อีกสองเผ่าส่งทูตมาแล้วหรือ ช่วงนี้พวกเขาไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง ดูท่าคงใกล้ถึงเวลาทำการใหญ่แล้ว” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีม่วงได้ยินเช่นนี้ ก็ไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด และกล่าวเหมือนกับกำลังคิดอะไรอยู่
ไม่นาน แสงสีขาวก็พุ่งขึ้นจากเกาะยักษ์ หลังจากที่มันแกว่งไหวไม่กี่ที ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยท่ามกลางเสียงที่ดังสนั่น
……
หลิ่วหมิงถอนหายใจ และสะบัดข้อมือเพื่อเก็บกระบี่จันทราหยก
ชั่วเวลาเกือบหนึ่งชั่วยามที่ผ่านมา เขาใช้วิธีการต่างๆ ทดสอบหยดของเหลวสีดำนี้ จนค้นพบว่ามันไม่เพียงแต่จะมีน้ำหนักมากเท่านั้น แต่ยังแผ่กลิ่นไอพลังธาตุน้ำออกมา และดูเหมือนจะมีพลังบางอย่างอัดแน่นอยู่ด้านใน
แม้เขาจะไม่รู้ว่าพลังนี้คือสิ่งใด แต่อานุภาพของมันจะต้องเป็นสิ่งที่เขาพบเห็นได้น้อยมาก ถ้าหากปลดปล่อยมันออกมาได้ ต่อให้เขาเซียนทอแสงจะระเบิดไปส่วนหนึ่ง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
และเมื่อใช้คมมีดฟันหยดของเหลวสีดำนี้ ก็ฟันไม่เข้าเลยแม้แต่น้อย แต่กลับถูกพลังในนั้นปัดกระเด็นออกมา
นอกจากนี้มันยังมีอานุภาพหลบหลีกน้ำไฟได้อย่างเหลือเชื่อ
พอเปลวไฟเข้าใกล้หยดของเหลวสีดำครึ่งฉื่อ มันก็ได้รับผลกระทบจนต้องดับลงไป ถ้าน้ำเข้าใกล้หยดของเหลว มันก็จะค่อยๆ ระเหยกลายเป็นไอ
ความลึกลับของสิ่งนี้ เป็นสิ่งที่เขาพบเจอได้น้อยมาก!
แม้เขาจะไม่รู้ที่มาของมัน แต่ในเมื่อได้มาจากคนของเผ่าเจ้าสมุทร มันคงเกี่ยวข้องกับเผ่าเจ้าสมุทรอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงไม่อาจนำออกมาถามคนอื่นได้ง่ายๆ
รอเขาจัดการปัญหาเรื่องเผ่าเจ้าสมุทรเสร็จแล้ว ค่อยไปพลิกอ่านคัมภีร์เกี่ยวกับสิ่งของล้ำค่าในตลาด เพื่อดูว่าจะหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้หรือไม่
พอหลิ่วหมิงคิดถึงจุดนี้ ก็พลิกมือข้างหนึ่งขึ้นมา ทันใดนั้นหอยสังข์ขนาดเท่าลูกกำปั้นก็ปรากฏออกมา
เขาจับมันแกว่งไปด้านหน้าทีเดียว แสงสว่างก็ม้วนตัวเข้ามา จากนั้นเตาหลอมกับหยดของเหลวสีดำก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ตอนนี้หลิ่วหมิงรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก
โชคดีที่มีหอยสังย่อส่วน ที่ไม่มีขีดจำกัดในการรับน้ำหนัก ถ้าไม่อย่างนั้นต่อให้จะใช้ยันต์เก็บของเก็บของสิ่งนี้ แต่ด้วยน้ำหนักของมัน ก็ทำให้ไม่อาจพกติดตัวได้
ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ คงเกิดเรื่องยุ่งยากไม่น้อย
เช้าวันที่สอง หลิ่วหมิงออกไปนอกถ้ำโดยไร้สุ้มเสียง เขาปลอมตัวเป็นชายวัยกลางคนที่ไม่ค่อยเตะตามากนัก จากนั้นก็เดินลงเขาไป
พอถึงเวลาเย็น ก็เปลี่ยนกลับมาเป็นใบหน้าเดิม ตอนที่กลับไปถึงถ้ำ ก็เห็นเฉียนหรูผิงกับหูชุนเหนียงพูดคุยกันอย่างสนิทสนม
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกทึ่งอย่างอดไม่ได้
เป็นเพราะเฉียนหรูผิงมีชีวิตที่ขมขื่นในวัยเด็ก นางจึงระแวดระวังบุคคลแปลกหน้ามาโดยตลอด คิดไม่ถึงว่าหูชุนเหนียงจะใช้เวลาสั้นๆ แค่ครึ่งวันตีสนิทกับเด็กสาวผู้นี้ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปสามารถทำได้
……………………………………….
ตอนที่ 209 จวี้เจิง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ศิษย์น้องไป๋ ในที่สุดเจ้าก็กลับมา ข้ากับน้องหรูผิงพูดคุยกันถูกคอมาก ข้าตรวจสอบดูแล้ว นางมีชีพจรจิตวิญญาณ และเพิ่งเริ่มทำการฝึกฝน ทั้งยังดูเหมือนจะมุ่งไปทางด้านค่ายกล ประจวบเหมาะที่ข้ามีความพันธ์กับผู้เชี่ยวชาญค่ายกลในนิกายจันทราสวรรค์ไม่เลว ไม่สู้ให้ข้าแนะนำให้เขาไปเรียนอยู่ที่นั่นสักระยะดีไหม? อีกสามเดือนให้หลัง ภารกิจศิษย์ตรวจตราของข้าก็จะสิ้นสุดแล้ว จะได้พานางไปด้วยกัน” พอหูชุนเหนียงเห็นหลิ่วหมิง ก็เอ่ยปากกล่าวออกมาก่อน
“ศิษย์พี่หูมีวิธีทำให้เจ้าเด็กนี่เข้านิกายจันทราสวรรค์ได้หรือ?” หลิ่วหมิงได้ยินย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
“ด้วยสถานะของข้า มันง่ายมากที่จะให้นางเข้าไปเป็นศิษย์นิกายสายนอก แต่จะกลายเป็นศิษย์นิกายสายในได้หรือไม่นั้น ต้องดูว่านางเปิดจิตวิญญาณได้สำเร็จหรือไม่ แต่ศิษย์หญิงนิกายจันทราสวรรค์ จะมีตำแหน่งสูงกว่าศิษย์ชายมาโดยตลอด และศิษย์ที่ตั้งใจเรียนค่ายกล ก็จะยิ่งได้รับสิทธิพิเศษ ถ้าเจ้าเด็กนี่เข้าไปได้ล่ะก็ จะไม่มีใครมารังแกอีกแน่นอน เมื่อครู่ข้าได้แนะนำนิกายจันทราสวรรค์ให้ฟังคร่าวๆ แล้ว เขาก็ดูสนใจมาก แต่สุดท้ายจะตัดสินใจอย่างไรนั้น ย่อมต้องดูว่าศิษย์น้องจะว่าอย่างไร” หูชุนเหนียงยิ้มอย่างสวยงาม
“ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ ย่อมเป็นเรื่องดีสำหรับหรูผิง แต่ข้าอยากถามสักหน่อย หรูผิง เจ้าอยากไปเรียนค่ายกลที่นิกายจันทราสวรรค์จริงๆ หรือ? เจ้าคิดดีแล้วหรือยัง ไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญค่ายกล หรือผู้ฝึกฝนที่แท้จริง ล้วนเป็นเรื่องยากทั้งสิ้น แต่ถ้าเจ้าเป็นเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งล่ะก็ ด้วยความสามารถของข้า สามารถทำให้เจ้าร่ำรวยตลอดชีวิตได้อย่างง่ายดาย” หลิ่วหมิงเงียบไปซักพัก แล้วกล่าวกับเฉียนหรูผิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“พี่หมิง ข้าคิดดีแล้ว ข้าไม่อยากเป็นคนธรรมดาอีก ข้าอยากเป็นผู้ฝึกฝนเหมือนท่าน และอยากเป็นผู้เชี่ยวชาญค่ายกลด้วย ไม่อยากเป็นภาระของพี่หมิงในภายหลัง” เฉียนหรูผิงยืดอกกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว ข้าก็จะไม่ห้ามเจ้า ศิษย์พี่หู รอเสร็จเรื่องนี้แล้ว ให้หรูผิงตามท่านไปนิกายจันทราสวรรค์เถอะ! ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็ ต่อไปคงต้องขอให้ศิษย์พี่หูช่วยดูแลเล็กน้อย” หลิ่วหมิงเป็นคนเด็ดขาดมาก หลังจากพยักหน้าแล้ว ก็ป้องมือไปทางหูชุนเหนียงก่อนกล่าวออกมา
“อิๆ! แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าเป็นเช่นนี้ ข้าก็ได้ชดใช้บุญคุณที่ศิษย์น้องยื่นมือเข้าช่วยแล้ว ใช่สิ! เรื่องที่เจ้าออกไปทำในครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” หูชุนเหนียงหัวเราะเบาๆ และถามกลับไป
“หรูผิง เจ้ากลับไปฝึกฝนในห้องก่อน ข้าต้องคุยเรื่องสำคัญกับพี่หูของเจ้า” หลิ่วหมิงสั่งเฉียนหรูผิง
ตอนแรกที่เด็กหญิงได้ยินว่าหลิ่วหมิงยอมให้เข้านิกายจันทราสวรรค์ เขาก็รู้สึกดีใจมาก แต่พอได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ทำปากแดงๆ ยื่นออกมา แต่ก็ยอมไปจากห้องเล็กๆ อย่างเชื่อฟัง
“เจ้าเด็กนี่เชื่อฟังเจ้ามาก แต่พวกเจ้าทั้งสองคงไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันล่ะสิ!” หูชุนเหนียงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนยิ้ม
“บิดาของหรูผิงเคยมีบุญคุณต่อข้าเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ข้าหาหรูผิงพบ เขาก็ถูกคนในตระกูลขับไล่ออกจากตระกูลแล้ว เขาต้องร่อนเร่อยู่ตามท้องถนนมาโดยตลอด ถ้าจะยังอาลัยอาวรณ์ข้าอยู่บ้าง ก็เป็นเรื่องปกติ” หลิ่วหมิงกล่าว
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ชีวิตของเขาผ่านความลำบากมามาก แต่ศิษย์น้องดูสงบเช่นนี้ ดูท่าการออกไปทำงานในครั้งนี้ คงจะราบรื่นไปด้วยดี” หูชุนเหนียงถอนหายใจ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ค่อนข้างราบรื่นมาก ข้าส่งข่าวกลับไปนิกายแล้ว และยังให้กลุ่มผู้ฝึกฝนอิสระที่ซื้อขายข่าวปล่อยข่าวออกไปแล้ว เชื่อว่าข่าวอันน่าตกใจนี้ คงจะเข้าหูกลุ่มอิทธิพลน้อยใหญ่ภายในระยะเวลาสั้นๆ ได้อย่างรวดเร็ว” หลิ่วหมิงหัวเราะก่อนกล่าวออกมา
“ดีมาก ก่อนศิษย์น้องกลับมา ข้าได้ใช้ช่องทางพิเศษส่งข่าวเรื่องเผ่าเจ้าสมุทรให้ทางนิกายแล้วเหมือนกัน เชื่อว่าผู้ฝึกฝนระดับสูงในนิกายของข้ากับเจ้าคงทราบข่าวนี้แล้ว ไม่แน่อาจจะหารือเรื่องนี้กันอยู่ หรืออาจจะเริ่มรวบรวมกำลังคนแล้วก็ได้” หูชุนเหนียงได้ยินก็กล่าวอย่างพอใจ
“ช่องทางพิเศษ? อยู่ที่นี่ศิษย์พี่ก็สามารถส่งข่าวไปนิกายได้? ช่างน่านับถือยิ่งนัก! ตอนที่ข้ากลับมา ได้ค้นพบสายสืบของราชสำนักอยู่บนท้องถนนเป็นจำนวนมาก คนส่วนมากต่างก็ถือรูปของเจ้าไว้ด้วย ประตูเมืองก็ถูกปิดทั้งสี่ด้าน และมีแขกจิตวิญญาณทองคำคอยเฝ้าอยู่เป็นจำนวนมาก ดูท่าสถานะแฝงของศิษย์พี่คงถูกเปิดเผยแล้ว” แม้ว่าหลิ่วหมิงจะรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้ถามเรื่องช่องทางพิเศษ แต่กลับหยิบรูปภาพออกมาจากอกแล้วส่งให้หญิงสาว
หูชุนเหนียงรับรูปภาพมาสังเกตดูสองสามที แล้วก็กล่าวออกมาด้วยความดีใจ
“วาดได้เหมือนกับหน้าตาในก่อนหน้าของข้ามากนัก ไม่แน่องค์ชายเจ็ดผู้นั้นอาจจะเป็นคนวาดเองได้ เกรงว่าครั้งนี้นายของข้าคนนี้ คงโดนพัวพันไปด้วย”
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็ได้แต่ทำตามองบน และไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
……
ในตำหนักแห่งหนึ่งของพระราชวัง
ต่งไทเฮานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง นางกำลังจ้องมองชายหนุ่มที่มีใบหน้าคล้ายคลึงเสวียนจื้อด้วยสีหน้าเยือกเย็น ชายหนุ่มผู้นั้นถูกชายฉกรรจ์ร่างยักษ์สูงสองฉื่อ ใช้มือข้างเดียวจับศีรษะลอยตัวอยู่ในอากาศ และกำลังถูกทำอะไรบางอย่างอยู่
เสวียนจื้อที่เป็นจักรพรรดิก็ยืนอยู่ข้างต่งไทเฮาด้วยสีหน้าคลุมเครือ
“ตุ้บ!”
พอชายฉกรรจ์คลายนิ้วทั้งห้าออก ร่างของชายหนุ่มก็หล่นลงพื้นราวกับไร้กระดูก ตาเหลือกทั้งสองข้าง และไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีก
“คุณหนู ข้าได้ตรวจสอบดูแล้ว หูชุนเหนียงผู้นี้รู้จักกับองค์ชายเจ็ดเมื่อสี่ปีก่อน และหลังจากนั้นไม่นานก็กลายเป็นแขกขององค์ชาย ในสมองของเขา นอกจากจะมีข้อมูลว่า หูชุนเหนียงผู้นี้มีพลังอันน่าตกใจ จนเกือบจะไม่มีเรื่องใดที่นางทำไม่ได้แล้ว ก็ไม่มีเบาะแสอื่นๆ เกี่ยวกับนางเลย” ชายฉกรรจ์ป้องมือไปทางต่งไทเฮา แล้วกล่าวด้วยเสียงกระหึ่ม
“ไม่มีเบาะแส? สี่ปีก่อนไม่ใช่เบาะแสที่ดีหรอกหรือ! ลูกจื้อ ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ สี่ปีก่อนไม่ใช่เวลาที่ศิษย์ตรวจตราคนก่อนของนิกายจันทราสวรรค์สิ้นสุดภารกิจหรอกหรือ!” พอต่งไทเฮาได้ยินเช่นนี้ ก็ค่อยๆ หรี่ตาทั้งคู่ลงมา
“ความหมายของเสด็จแม่คือ หญิงนางนี้เป็นศิษย์ตรวจตราของนิกายจันทราสวรรค์จริงๆ?” เสวียนจื้อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไป
“อืม! ดูท่าตอนนี้มีโอกาสเป็นไปได้ส่วนหนึ่ง แน่นอนว่าการปรากฏตัวของนาง คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญเท่านั้น” ต่งไทเฮากล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม
“แต่ข้าได้ยินองครักษ์ในวังพูดว่า ผู้ที่ช่วยหูชุนเหนียงไปได้ ก็เป็นยอดฝีมือเช่นกัน คนผู้นี้คงไม่ใช่ศิษย์ตรวจตราของนิกายอื่นๆ หรอกนะ?” เสวียนจื้อกล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปมา
“ข้าได้ส่งคนไปตรวจสอบแล้ว ในคืนนั้นศิษย์ตรวจตราอีกสามนิกายอยู่ในอยู่สายตาของพวกเรา แสดงว่าต้องไม่ใช่หนึ่งในพวกเขาอย่างแน่นอน นอกจากว่าพวกเขาจะมีวิชาแยกร่างได้เท่านั้น แต่ศิษย์ตรวจตราคนใหม่ของนิกายปีศาจผู้นั้น เป็นผู้ที่มีฝีมือยอดเยี่ยม นอกจากตอนที่ลงมือกับพรรควิญญาณมืดในอารามเสี่ยวชิงอย่างโหดเหี้ยมแล้ว ก็ไม่ปรากฏตัวออกมาอีก จวี้เจิง ช่วงสองเดือนนี้ มีผู้ฝึกฝนที่น่าสงสัยปรากฏตัวในเสวียนจิงบ้างไหม?” ต่งไทเฮาพูดพึมพำไม่กี่ประโยค แล้วถามชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ด้วยน้ำเสียงดุดัน
“เรียนคุณหนู ช่วงนี้กลุ่มอิทธิพลใหญ่แต่ละกลุ่มโยกย้ายสับเปลี่ยนคนกันถี่มาก ผู้ที่เข้ามาเสวียนจิงในช่วงสองเดือนนี้ ส่วนมากดูลับๆ ล่อๆ ล้วนน่าสงสัยกันทั้งหมด” ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
“ไม่ใช่บอกว่าผู้ฝึกฝนที่ช่วยหูชุนเหนียงไป ก็เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่มีฝีมือยอดเยี่ยมหรอกหรือ? ถ้ารวมเงื่อนไขนี้เข้าไปด้วย เชื่อว่าจำนวนคนคงไม่เยอะขนาดนั้น” ต่งไทเฮาได้ยินก็กล่าวราวกับคิดอะไรบางอย่างอยู่
“ถ้าศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายล่ะก็ สามารถตัดออกไปได้หลายคนเลย แต่มันอาจเป็นการล่อเสือออกจากถ้ำ และเจตนาซ่อนเร้นระดับการฝึกฝนของตนเอง ถ้าข้าเป็นศิษย์ตรวจตราของนิกายปีศาจผู้นั้นล่ะก็ เพียงแค่ถ่อมตัวหน่อย และไม่ลงมือกับผู้อื่นจนเปิดเผยระดับการฝึกฝนของตนเอง คนอื่นก็จะตรวจสอบได้ยากขึ้น” ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์คิ้วขมวดขึ้นมา
“อืม! ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็คงตรวจสอบยากจริงๆ แต่นี่เป็นแค่เบาะแสเดียวที่มีเท่านั้น เจ้ารีบรวบรวมคน ไปหยั่งเชิงยอดฝีมือที่เพิ่งเข้าเสวียนจิงเหล่านี้ ดูว่าในบรรดาพวกเขามีใครน่าสงสัยหรือไม่” ต่งไทเฮาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วสั่งออกไปอย่างเฉียบขาด
“ทราบ! ข้าน้อยจะรวบรวมคนไปจัดการเรื่องนี้ นอกจากนี้ องค์ชายเจ็ดได้พิการไปแล้ว จะให้จัดการให้สิ้นซากเลยหรือไม่?” ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์โค้งตัวตอบรับ แต่สายตากลับมองไปยังชายหนุ่มมือไม้อ่อนแรงบนพื้นแล้วถามออกไป
“เสด็จแม่ เด็กคนนี้เป็นทายาทของข้า และอาจจะมีสายเลือดของเผ่าเจ้าสมุทรด้วย ไว้ชีวิตเขาเถอะ!” เสวียนจื้อได้ยินก็รีบกล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“ฮึ! ทำไมล่ะ! เจ้าใจอ่อนหรือ? ก่อนที่เจ้าจะสามารถกลายร่างได้ เลือดเผ่าเจ้าสมุทรในตัวเจ้าก็อยู่ในระยะฟักตัวมาโดยตลอด ต่อให้มีทายาทก็เป็นสายเลือดบริสุทธิ์ของเผ่ามนุษย์เท่านั้น หาได้มีความสัมพันธ์ใดๆ กับเผ่าเจ้าสมุทรไม่ จวี้เจิง จัดการองค์ชายเจ็ดผู้นี้เถอะ! บอกกับผู้คนภายนอกว่า เขาทำความผิดใหญ่หลวง จึงถูกกักขังอยู่ในวังชั่วคราว” ต่งไทเฮากวาดตามองเสวียนจื้อทีหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น
จวี้เจิงได้ยินเช่นนี้ ก็ตอบรับด้วยรอยยิ้มอันน่ากลัว จากนั้นก็หิ้วองค์ชายเจ็ดขึ้นมา แล้วถอยจากไปจากตำหนักอย่างเงียบๆ
ในระหว่างนี้ แม้ว่าเสวียนจื้อจะจ้องมองการขยับปากของชายร่างยักษ์ แต่ในที่สุดก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
“เสด็จแม่ ตอนนี้ประตูทั้งสี่ด้านก็ได้ปิดหมดแล้ว ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้สามารถเข้าได้อย่างเดียวเท่านั้น ไม่สามารถออกไปได้ แต่องครักษ์เผ่าเจ้าสมุทรสองคน ที่ท่านส่งไปตามล่าหูชุนเหนียงยังไม่กลับมา ดูท่าคงเจอกับศัตรูตัวฉกาจ ภายใต้สถานการณ์ในตอนนี้ พวกเราควรจะส่งคนไปเพิ่มหรือไม่?” เสวียนจื้อปรับสีหน้าให้เป็นปกติ และกล่าวกับต่งไทเฮาอย่างระมัดระวัง
“ส่งคนไปเพิ่ม? เกรงว่าคงจะไม่ได้ ก่อนหน้าที่พวกเราปิดประตูทั้งสี่ด้าน และทำการค้นหาหูชุนเหนียงนั้น เกรงว่าคงสร้างความสงสัยให้กับกลุ่มอิทธิพลต่างๆ แล้ว ถ้าเพิ่มกำลังคนอีกล่ะก็……ใคร! รีบไสหัวออกมา!” ต่งไทเฮาส่ายหน้ากล่าว แต่อยู่ๆ ก็ส่งสายตาเยือกเย็นออกมา และส่งเสียงตะคอกไปยังประตูนอกตำหนักในฉับพลัน
“คุณหนู ข้าน้อยเอง!” เงาร่างเคลื่อนไหวนอกประตู หญิงวัยกลางคนที่สวมชุดนางกำนัลสีแดงเข้มเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
……………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น