ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 206-209
ตอนที่ 206 จีเฉวียน.......ตกลงแล้วเขา...
ตู๋กูซิงหลัน “!!! ” ข่าวเล่าลือสองสามเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนางและฮ่องเต้ในเมืองหลวง ถูกแพร่กระจายมาไกลถึงเมืองลี่โจวเชียวหรือ?
” พวกสาวใช้ในตำหนักของหรานอ๋องเล่ากันอย่างมีสีสันเลยทีเดียว เรื่องที่เจ้าบังคับจูบฮ่องเต้เอย กอดฝ่าบาทจะเข้านอนเอย แต่ละเรื่องราวกับว่าได้เห็นมาด้วยตาของตนเองอย่างไรอย่างนั้น ” ตู๋กูเจวี๋ยไม่ลืมที่จะอธิบายให้นางฟังอย่างละเอียดละออ
ว่ากันตามจริงแล้ว ตอนแรกที่เขาได้ยินเรื่องพวกนี้มาก็ยังไม่ค่อยเชื่อถือสักเท่าไหร่ เนื่องเพราะว่าน้องเล็กนั้นเคยรักจีเย่ว์จะเป็นจะตาย เขาที่เป็นพี่ชายย่อมรู้อย่างชัดเจน
แต่พอได้เห็นสายตาของนางในวันนี้ เขาถึงได้เชื่อถือข่าวลือพวกนั้นขึ้นมาบางส่วน
ทำไมนอกจากบุรุษแซ่จีแล้ว น้องเล็กถึงได้ไม่ถูกอกถูกใจคนอื่นเสียบ้าง?
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ชาตินี้นางไม่มีบุรุษไปทั้งชาติ เขาและพี่ชายใหญ่ก็สามารถจะเลี้ยงดูนางให้อ้วนท้วนสมบูรณ์ได้อยู่แล้ว จะต้องหาบุรุษอื่นมาให้ลำบากทำไม?
แต่เมื่อเขาคิดดูอีกทางหนึ่ง ขอเพียงน้องเล็กชื่นชอบ ต่อให้เป็นเทพเซียนในสวรรค์ชั้นเก้า พวกเขาก็จะคิดหาหนทางจับลงมาให้นางให้ได้!
ตู๋กูซิงหลันได้แต่กุมหน้าผากเอาไว้ ในสถานการณ์ที่คับขันเช่นนี้ เขากลับมาพูดเรื่องนี้อยู่ได้มันจะดีหรือ?
” พี่รอง ข้ารู้สึกว่าชือหลีจะเมตตาท่านมากไปแล้ว ” ตู๋กูซิงหลันหันไปตอบเขาประโยคหนึ่ง นางมิได้รู้สึกสงสารพี่รองของตนเองเลยสักนิด คนผู้นี้ดื่มแต่น้ำกินแต่หญ้ามาครึ่งเดือน ยังคงมีเรี่ยวแรงดีไม่มีเสื่อม ส่วนนางกลับกลุ้มอกกลุ้มใจแทนเขามาตั้งนาน วิ่งมาถึงลี่โจวด้วยทางไกลกว่าพันลี้ ยังต้องมาถูกเขากระแนะกระแหนอีก
ทั้งที่เป็นพี่น้องกันแท้ๆ ทำไมถึงได้ไม่ได้มาทางเดียวกับพี่ใหญ่เลยสักนิด?
ในความคิดของตู๋กูซิงหลัน พี่รองไม่นับว่าเป็นยอดยุทธ์ในที่ใด เขาเป็นพวกบุรุษชุดขาวที่บอบบางและพลิ้วไหว ใช้ชีวิตล่องลอย แลดูสูงส่งดั่งเซียนวิเศษ
หากจะดูแต่เพียงรูปลักษณ์ภายนอก เขาก็นับเป็นยอดบุรุษรูปงามจริงๆ
แต่พอเปิดปากขึ้นมา ภาพลักษณ์ของเซียนหนุ่มก็มลายหายไปจนหมด
ตู๋กูเจวี๋ยรู้สึกเจ็บปวดราวกับว่าหัวใจถูกทิ่มแทงไปดาบหนึ่ง น้องเล็กช่างใจร้าย
………………………………..
ที่ด้านนอก งูยักษ์ถูกกำหราบจนอยู่หมัดแล้ว จีหรานเองก็ไร้หนทางจะหลบหนี
ชือหลีเองก็คอยมองออกมาจากด้านในอาราม เวลาผ่านมาก็นานหลายปีแล้ว พอมองเห็นชายหญิงคู่นี้ถูกลงโทษเข้าจริงๆ ในใจของนางกลับไม่ได้รู้สึกยินดีขึ้นมาเลยสักนิด
” พี่สาว ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นความผิดของข้า ขอท่านได้โปรดเห็นแก่ความผูกพันในตอนนั้น ช่วยชีวิตหรานเถอะ ” ยามนี้ งูยักษ์เอาแต่จดจ้องมาที่นาง ใช้กระแสจิตส่งเสียงมาหานาง
” ข้ากับหรานมีรักแท้ต่อกัน ทำร้ายท่านแล้ว ข้าเองก็เจ็บปวดเช่นกัน ” ดวงตาสีเขียวของงูยักษ์คู่นั้นมีน้ำตารินไหลออกมา ” ท่านไม่ได้รักเขาจริงสักนิด แต่เพราะว่าเขาเคยให้คำสัญญาเอาไว้คำหนึ่งถึงได้ต้องการให้เขาอยู่เคียงข้างไปชั่วชีวิต ท่านมีชีวิตอยู่มายาวนานหลายปี แต่กลับไม่รู้จักความรักที่แท้จริงของบุรุษและสตรี หากว่าท่านเข้าใจละก็ จุดจบของพวกเราทั้งสามก็คงมิต้องเป็นเช่นวันนี้ “
ชือหลีสีหน้าเย็นชา นางกล่าวออกมาเพียงประโยคเดียว ” เขามันน่าไม่อาย แต่เจ้ากลับไม่รักหน้ายิ่งกว่าเขาเสียอีก “
” ข้าถูกท่านสาปแช่ง กลายเป็นงูมาสิบปี ตลอดสิบปีมานี้ข้าอยู่มิสู้ตาย ข้าไม่ขอให้ท่านให้อภัย เพียงหวังให้ท่านช่วยชีวิตหราน ข้ายินยอมแตกดับสิ้นสูญ ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอีกไปตลอดกาล ” งูยักษ์ยังคงน้ำตาหลั่งริน ” ท่านและข้าเป็นพี่น้องแท้ๆ ตั้งแต่เล็กจนโตข้าไม่เคยขออะไรจากท่าน แค่ครั้งนี้เท่านั้น ขอท่านได้โปรดช่วยเขา “
สายตาของชือหลีเย็นยะเยือก นึกไม่ถึงจริงๆ ว่านางยังจะมีหน้ามาร้องขอตนให้ช่วยบุรุษเสเพลผู้นั้น
” หุบปากเสียเถอะ ข้าผู้เป็นเทพไม่มีทางให้อภัยหญิงร้ายชายเลวอย่างพวกเจ้าตลอดกาล ” ชือหลีจดจ้องไปยังนาง นางแย้มยิ้มอย่างเย็นชากว่าเดิม ” ในเมื่อพวกเจ้ารักกันมากนัก ข้าผู้เป็นเทพก็จะสนับสนุนพวกเจ้า พอพวกเจ้าตายแล้ว ข้าก็เอาวิญญาณของพวกเจ้าทั้งสองมาทำเป็นไส้ของตะเกียงนิรันดร์ ให้พวกเจ้าทั้งสองได้เคียงคู่อยู่อย่างรักใคร่ ส่องสว่างอยู่ในอารามแห่งนี้ไปอีกนานนับพันปี จนกว่าไส้เทียนจะเผาไหม้จนหมดสิ้น ดวงจิตของพวกเจ้าแตกสลายดับสูญจึงจะได้หลุดพ้นก็แล้วกัน “
พองูยักษ์ได้ยินแล้ว น้ำตาก็พลันหยุดไหล เปลี่ยนเป็นใช้น้ำเสียงดุร้ายขึ้นมา ” พี่สาว ท่านถึงกับไร้น้ำใจจริงๆ หรือ? “
” ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตอนนั้นที่หญิงร้ายชายชั่วอย่างพวกเจ้าใช้ดาบทำลายเทพแทงเข้ามาในหัวใจของเรา ทั้งยังทำลายควันธูปของเราทิ้งไป ก็เคยมีน้ำใจหลงเหลือบ้างหรือไม่? ” ชือหลีขำแทบตายแล้ว ” คนหนึ่งแย่งชิงว่าที่สามีของพี่สาว อีกคนหนึ่งเป็นชู้กับน้องสาวของว่าที่ภรรยา เจ้ายังจะกล้ามาพูดว่าพวกเจ้ามีรักแท้ ความรักเช่นนี้ ตายไปแล้วก็ยังจะรักกันอยู่รึ “
ชืหลีพูดจบ ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาอีกว่า ” อย่าได้มากล่าววาจาไร้สาระกับเราผู้เป็นเทพอีก เราเป็นเทพที่เลือดเย็นมาแต่กำเนิด ไม่มีทางสงสารหญิงร้ายชายชั่วเช่นพวกเจ้า “
งูยักษ์เห็นว่าปราศจากความหวังใดๆ แล้ว ก็กรีดร้องเสียงดังกึกก้องขึ้นมาอีกครั้ง แม้ว่าอาวุธมากมายจะทิ่มแทงเข้าไปในร่างกายมันก็ยังไม่ยอมหยุด
ทันใดนั้นระดับน้ำในแม่น้ำก็เพิ่มพูนขึ้นมา แส้ปัดถูกปากของมันง้างจนแทบขาดออก เลือดงูที่เหม็นคาวคละคลุ้งก็ไหลอาบลงมา แต่ว่ามันกลับไม่สนใจเลยสักนิด
มันอ้าปากที่ชุ่มเลือดจนกว้างโผเข้าหาฮ่องเต้ที่ประทับยืนอยู่ตรงหน้า
ในเมื่อมีแต่ต้องตายเท่านั้น ตายแล้วก็ยังไม่อาจได้รับการปลดปล่อย เช่นนั้นก็ควรลากฮ่องเต้แห่งต้าโจวที่หรานชิงชังลงนรกไปด้วยกัน!
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างว่องไว แม้แต่เหล่าองครักษ์ก็ไม่ทันป้องกัน ใครก็นึกไม่ถึงว่างูยักษ์ที่ถูกปราบจนสงบนิ่งไปแล้วอยู่ๆ ก็คลุ้มคลั่งขึ้นมา!
ความเคลื่อนไหวของมันรวดเร็วว่องไว พุ่งเข้าไปถึงเบื้องพระพักตร์ในเกือบจะทันที เห็นอยู่ว่ามันปากอ้าเตรียมจะเขมือบกลืนฮ่องเต้ลงไปทั้งร่าง
จีเฉวียนยังคงไม่ได้ขยับเลยสักก้าวเดียว เขาชักกระบี่อ่อนออกมาจากหว่างเอวอย่างรวดเร็ว ชั่วขณะที่ฉลองพระองค์พองขึ้น กระบี่ในพระหัตถ์ก็วาดออกมา เห็นเพียงลิ้นของงูถูกเขากรีดออกจากกัน
จากปากงูไปจนถึงลำคอถูกสะบั้นขาดออกเป็นสองส่วน!
” ตึงงง! ” งูตัวนั้นไม่ทันได้ต่อสู้ขัดขืน ก็ทรุดลงบนพื้น ขยับอยู่สองที ก็ไม่เหลือลมหายใจอีก
ตู๋กูซิงหลันยังคงถือยันต์สีชาดไม่ทันได้เขวี้ยงออกไปอยู่ในมือ ตกตะลึงจนแข็งทื่อไปทั้งตัวอยู่ในห้องใต้ดิน
จีเฉวียน…….ตกลงแล้วเขาเป็นอะไรกันแน่?
เมื่อครู่ตอนที่เขาวาดกระบี่ออกมา นางก็รู้สึกถึงไอหยินที่พวงพุ่งออกมาจากร่างของเขาได้อย่างชัดเจน
ทั้งหมดนั้นผสานอยู่ในกระบี่อ่อนของเขา ปลิดชีพในกระบี่เดียว!
คนธรรมดาไม่มีทางมีพละกำลังเช่นนี้อย่างเด็ดขาด!
คราวนี้ ทั่วทั้งบริเวณกลายเป็นความสงบเงียบ มีเพียงแต่เสียงสายลมพัดผ่าน
ในอากาศคาวคลุ้งไปด้วยกลิ่นของเลือดงูที่ไหลออกมาจากร่าง ร่างกายที่ใหญ่โตของมันกองอยู่บนพื้นราวกับว่าเป็นภูเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง
แม้ตายแล้ว หางของมันก็ยังไม่คลายออกจากจีหราน
จีหรานตกตะลึงอยู่กับที่ เขาถลึงตามองจีเฉวียนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ชักเอากริชเล่มหนึ่งขึ้นมา ชั่วขณะที่จะแทงเข้าไปในลำคอของตนเองนั้น เขาก็พลันเกิดความลังเลขึ้นมา
เขา……ยังไม่อยากตาย
เขา……ยังมีความทะเยอทะยานอีกมากมายที่ยังไม่ได้ทำให้เป็นจริง ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาทนลำบากมาตั้งมากมาย เขาจะมายอมตายเช่นนี้ได้อย่างไร?
หากว่าเขาตายไปแล้ว เช่นนั้นก็จะไม่เหลืออะไรอีกแล้วจริงๆ
พอมองเห็นงูยักษ์หลั่งเลือดออกมามากมายเช่นนี้ เขาก็หวาดกลัวขึ้นมา
กริชที่อยู่ในมือสั่นไหวอย่างรุนแรง ทั่วร่างไม่เหลือเรี่ยวแรงใดๆ อีก เขามองออกไปรอบๆ ตัว หวังว่าคนในชุดคลุมสีดำนั้นจะมาช่วยพาเขาหนีไป
แต่มองอยู่เป็นนานก็ไม่เห็นเงาของคนชุดดำนั่นเลยสักนิด
เขาถึงได้เข้าใจขึ้นมา เขาถูกทอดทิ้งแล้ว
ก็เหมือนกับที่อดีตฮ่องเต้ทรงทอดทิ้งเขาในตอนนั้น เขาเป็นแค่คนไร้ค่า เป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง
แต่ว่าเขาไม่ยินยอม เขาไม่ยอมตายไปง่ายๆ เช่นนี้หรอก
เขายังอยาก……
” พลักกก” ขณะที่เขากำลังลังเลไปมาอยู่นั้น ไก่ขนฟูก็บินโฉบลงมาที่ข้างกายของเขา สะบัดกรงเล็บกางออกเพียงเบาๆ ก็ช่วยเขาผลักกริชด้ามนั้นลงไปในลำคอ
ตอนที่ 207 ที่ข้าเกรงกลัวที่สุดก็คือท่าน
” พลักกก” ขณะที่เขากำลังลังเลไปมาอยู่นั้น ไก่ขนฟูก็บินโฉบลงมาที่ข้างกายของเขา สะบัดกรงเล็บกางออกเพียงเบาๆ ก็ช่วยเขาผลักกริชด้ามนั้นลงไปในลำคอ
นั่นเรียกว่า โหด เร็ว แม่น ลำคอของจีหรานถูกแทงจนทะลุ เลือดสีแดงฉีดพุ่งออกมาเป็นสายจนบาดตา
จากนั้นเจ้าไก่ขนฟูก็ขยับปีกที่ข้างเอว ส่งเสียงอย่างองอาจออกมาครั้งหนึ่ง ” กะ กะ กะต้าก~“
จะตายก็ตายให้เร็วๆ หน่อย จะมายึกยักคิดมากไปทำไม น่ารำคาญ!
เฮียช่วยให้เจ้าได้ตายในดาบเดียว ไม่ต้องมาขอบคุณเฮียหรอกนะ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ก็มีเสียงของประชาชนร้องออกมาในทันที ” แม้แต่สัตว์เทพยังทนดูไม่ได้ หรานอ๋องผู้นี้ชั่วร้ายเกินไปแล้วจริงๆ! “
” จริงด้วย หากเขาไม่ตายประชาชนคงไม่อาจสงบสุข! “
ผู้คนทั้งหลายต่างก็พากันร้องรับ
เมื่องูยักษ์และจีหรานตายไปแล้ว แม่น้ำลี่เหอที่โหมซัดเข้ามาก็กลับกลายเป็นสงบเงียบดังเดิม น้ำที่ท่วมเมืองลี่โจวไปกว่าครึ่งก็ลดระดับลงไป
ตู๋กูซิงหลันกักดวงวิญญาณของจีหรานและงูยักษ์เอาไว้ ใช้เป็นข้อตกลงกับชือหลี แลกเปลี่ยนความสงบร่มเย็นให้กับชาวบ้านในลุ่มแม่น้ำลี่เหอไปอีกพันปี
ชือหลีไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธนาง เพราะอย่างไรเสียตนเองก็เป็นผู้แพ้ หากว่าสู้กันใหม่อีกรอบก็ใช่ว่าจะเอาชนะนางได้อยู่ดี
ทันทีที่ชือหลีรับปาก ตู๋กูซิงหลันก็คลายผนึกของยันต์สีชาดออก ส่งวิญญาณของหญิงร้ายชายโฉดให้กับนาง
” นับจากวันนี้ไป ประชาชนทั้งหลายย่อมกลับมาจุดธูปบูชาให้ท่านอีกครั้ง ในภายหน้าท่านก็จะมีโอกาศมีร่างเทพขึ้นมาใหม่ ” ตู๋กูซิงหลันว่าต่อไป ” ท่านปกป้องแม่น้ำลี่เหอมานานนับพันปี ความดีเหล่านั้นถูกหักล้างไปกับการพรากชีวิตในช่วงหลายปีมานี้จนหมดสิ้นแล้ว ต่อไปขอเพียงท่านกลับมาทำดีมีเมตตา ย่อมสามารถมีโอกาสสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อีกครั้ง “
ว่ากันตามจริงแล้ว ชือหลีรู้สึกว่าต่อให้เป็นตู๋กูเจวี๋ยมาชักจูงให้นาง ” มีเมตตา ” นางก็ยังคงสามารถเข้าใจได้
แต่แม่นางน้อยผู้นี้ ไม่ว่าตัว นัยตาหรือว่าในใจล้วนดำสนิท สตรีที่มีแต่ความดำมืดเช่นนี้ มาชักจูงให้เทพอย่างนางมีเมตตา รู้สึกว่าจะแปลกประหลาดไปหน่อยแล้ว
ชือหลีจดจ้องมองดูนางอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยังคงรู้แต่เพียงว่าภายใต้ผิวหนังที่หมดจดงดงามนี้ เป็นดวงจิตที่มืดสนิทดวงหนึ่ง แม้ว่าจะยังมีพลังเซียนเบาบางปกป้องร่างอยู่ ก็ไม่อาจปกปิดความมืดมิดจากภายในของนางได้อยู่ดี
ที่สุดแล้ว….คืออะไรกันแน่?
พอนางจะมองดูให้ละเอียด ก็เห็นตู๋กูเจวี๋ยที่ยืนอยู่โผเข้ามาใกล้ๆ ดวงตาที่มีความคล้ายคลึงกับตู๋กูซิงหลันอยู่สามส่วนนั้นทอประกายขึ้นมา ” แม่นางเทพธิดา ท่านต้องเชื่อฟังคำสั่งสอนของน้องเล็กข้าให้ดี ทำตัวเป็นเทพที่ดีนะ “
” ภายหน้าหากว่าข้ามีเวลาว่าง ก็จะมาเยี่ยมท่านที่อารามบ่อยๆ พูดกันตามตรงนะ ช่วงหลายวันมานี้แม้ว่าท่านจะจับข้าขังเอาไว้ราวกับไม่ใช่คน แต่ก็ฟังคำพูดของข้าไปไม่น้อย ท่านเป็นผู้ฟังที่ดีคนหนึ่ง พวกเราสามารถเป็นคนรู้ใจกันได้ “
ชือหลี “…..” ขอโทษที ชาตินี้นางไม่คิดจะเจอคนปากมากผู้นี้อีกแล้ว!
เพราะเกรงว่าเขาจะพล่ามต่อไป ชือหลีก็สลายร่างจิตกลับไปเป็นรูปปั้นเทพธิดาหินที่น่าเคารพด้านหลังโต๊ะบูชาในทันที
ก่อนที่จะกลายเป็นหินไปอย่างสมบูรณ์ นางก็กล่าวประโยคสุดท้ายออกมา ” เราผู้เป็นเทพจะรักษาสัจจะวาจาที่ให้ไว้กับฮ่องเต้ นับจากวันนี้ไปจะพิทักษ์แม่น้ำลี่เหอ ปกป้องความสงบสุขของประชาชนทั้งหลาย”
พวกเขาเป็นถึงทวยเทพ เมื่อให้สัจจะแล้วย่อมไม่มีทางคืนคำ
พอประชาชนทั้งหลายได้ยินเสียงของเทพธิดา จิตใจก็สงบลง อดไม่ได้ที่จะคุกเข่าลงไปกราบกรานฮ่องเต้ส่งเสียงขอทรงพระเจริญหมื่นๆ ปี
ดูสิ ฝ่าบาททรงองอาจกล้าหาญเพียงไร เพียงแค่ชักกระบี่ออกมาครั้งเดียวก็ผ่าหัวงูยักษ์ออกได้แล้ว!
พระองค์ไม่เพียงชาญฉลาดมีแผนการ ความสามารถเช่นนี้แม้แต่นักพรตพวกนั้นจะมาเทียบได้ที่ไหนกัน?
ฝ่าบาท…….ทรงยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว!
จีเฉวียนประทับอยู่ข้างร่างของงูยักษ์ เช็ดเลือดที่ติดอยู่บนกระบี่อ่อนออกไป ก็เก็บกระบี่ไว้ที่ข้างเอว ทรงสั่งให้เหล่าองครักษ์จัดการเก็บกวาดสถานที่เสร็จ ก็หันพระองค์เสด็จกลับเข้าไปในอาราม
คราวนี้ ทรงยื่นพระหัตถ์ออกไปลากตู๋กูซิงหลันขึ้นมาจากห้องใต้ดิน
ตู๋กูซิงหลันแต่งกายเป็นชาย เมื่อยืนอยู่ข้างพระองค์ดูไปก็คล้ายเป็นน้องชายตัวน้อย
นางเก็บยันต์สีชาดในมือเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่ลืมที่จะประจบประแจงฮ่องเต้ ” ฝ่าบาททรงเจ๋งเป้ง ฝ่าบาทยอดเยี่ยม ฝ่าบาททรงปรีชาสามารถเช่นนี้ ทรงเท่ห์จนทำเอาตาของข้าเกือบจะบอดไปเลย! “
พอคิดย้อนกลับไปถึงตอนที่วิญญาณทมิฬกระโดดงับเขาจนต้องฟันร่วงหมดปาก ตั้งแต่ตอนนั้นนางก็สมควรจะรู้ว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอนแล้ว
วันนี้เขาสามารถใช้กระบี่เดียวกำจัดงูทิ้งไป ก็ยิ่งประจักษ์ชัดเลยว่าเขาไม่ใช่ธรรมดา
นางไม่เชื่อหรอกว่า อาศัยเพียงแค่การฝึกยุทธ์จะทำให้มีกำลังได้มากขนาดนั้น
ความลับที่อยู่ในร่างของฮ่องเต้ผู้นี้มีอยู่มากมาย แต่ว่านางก็ไม่กล้าถามออกไปอย่างง่ายๆ
ตอนนี้ทำได้เพียงยืนยันว่าเขาเก่งมาก ที่จริงแล้วยังเก่งกว่าที่นางเคยคิดเอาไว้เสียอีก แผนการก่อกบฏอันยิ่งใหญ่ของนางคงจะต้องเลื่อนออกไปก่อน
หากยังคลำหาความสามารถของฮ่องเต้ผู้นี้ไม่ออก ก็ไม่ควรจะผลีผลาม
เอาเถอะ หากว่าไม่ได้ถูกเขาบีบคั้นจนสุดทาง นางก็จะไม่ก่อกบฏก็แล้วกัน ความเสี่ยงสูงเกินไปแล้ว
ต่อไปยามอยู่ในวัง คงต้องระมัดระวังตัวให้มากกว่าเดิมแล้ว
จีเฉวียนมองดูท่าทางของนางที่ชื่นชมตนเอง ในพระทัยก็ทรงรู้สึกว่าการเป็นคนเก่งกาจก็ไม่เลวนัก
เขายื่นหัตถ์ออกไปปัดฝุ่นบนศีรษะของนาง ” ต่อไปยามอยู่ข้างกายเรา ก็ไม่มีปีศาจร้ายที่เจ้าต้องหวาดกลัวแล้ว “
ตู๋กูซิงหลัน “……..” เอ่อ ที่ข้าหวาดกลัวที่สุดก็คือท่านน่ะแหละ ขอบคุณนะ
วิญญาณทมิฬชักจะตัวสั่นสะท้านขึ้นมาบ้างแล้ว ” หลันหลัน หากว่าเขาชักดาบสับข้าสักครั้ง ข้าจะมีโอกาสรอดสักกี่ส่วนกัน? “
ตู๋กูซิงหลันตอบอย่างไม่มีลังเลว่า ” ศูนย์ “
วิญญาณทมิฬ “!!! “
” งั้นให้ทางเลือกเจ้าอีกครั้ง มีแค่สองทาง หนึ่ง: กอดขาฮ่องเต้เอาไว้ให้แนบแน่น ต่อให้ต้องตายก็อย่าได้ปล่อยมือ! สอง: ไปให้ไกลจากเขา ยิ่งไกลก็ยิ่งดี! “
ตัวอันตรายเช่นนี้ หากว่าไม่สามารถเอามาเป็นมิตรกับฝ่ายเราได้ ก็ต้องอยู่ให้ห่างที่สุดเข้าไว้
งูตัวยักษ์ขนาดนั้น เกรงว่าต่อให้เป็นยมบาลมาเองก็เกรงว่าไม่อาจสับทิ้งในดาบเดียวละมั้ง?
เห็นกันมาตั้งนานแล้วกลับไม่เคยรู้เลยว่าเขามีด้านที่มหาโหดเช่นนี้
คิดดูแล้วก่อนหน้านี้ที่พวกนางอยู่กันเบื่อๆ ก็ไปก่อเรื่อง แล้วยังไม่ถูกฮ่องเต้สุนัขผู้นี้สับเอา ก็ต้องนับว่าพวกมันมีบุญแล้ว!
นี่ยังไม่แน่ว่าที่จริงแล้วฮ่องเต้อาจจะทรงรู้ไส้รู้พุงของพวกนางเป็นอย่างดีแล้วก็เป็นได้
เห็นนางไม่พูดจา จีเฉวียนก็เข้าใจว่านางเกิดความซาบซึ้งใจขึ้นมาเสียแล้ว พระทัยที่เย็นชาก็พลันอิ่มเอิบขึ้นมานิดๆ
” เรื่องของเมืองลี่โจวจัดการเรียบร้อยแล้ว ก็ติดตามเรากลับวังเถอะ เจ้าหิวจนผ่ายผอมแล้ว สมควรจะต้องบำรุงให้ดีสักหน่อย ” ขณะที่ฮ่องเต้ทรงตรัสออกมานั้น สายพระเนตรก็อดไม่ได้ที่จะมองออกไปยังร่างของเจ้าไก่ขนฟูที่ยังคงกินเนื้องูอยู่ด้านนอก
เจ้าไก่ขนฟูรู้สึกว่ามีสายตาลึกลับจับจ้องมายังตัวมัน พอเงยหน้าขึ้นมากวาดตามองดูโดยรอบ ก็ไม่พบเห็นอะไร
ใครจะไปสนกัน…..กินงูก่อนดีกว่า
เนื้องูมีจำนวนมาก อืม เก็บเอาไว้ให้เจ้าถวนจื่อตัวดำนั่นสักชิ้นก็แล้วกัน ถึงแม้ว่าเจ้าถวนจื่อนั่นจะน่ารังเกียจ แต่ว่ามันก็เป็นสัตว์ในพันธะสัญญาของพี่สาวตัวน้อย ในเมื่อตัวมันชอบพี่สาวตัวน้อย ถ้าเช่นนั้นก็ต้องถือว่ารักบ้านเพื่อแผ่นกกาก็แล้วกัน
ในมุมสงัด คนชุดดำนำตัวอันหร่วนหลบหนีออกมาตั้งแต่แรก หุ่นไม้นั่นแตกสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปแล้ว
………………………………
ยามค่ำคืน ตู๋กูซิงหลันลากตัวอู๋เจินออกมาจัดการเรื่องหนึ่ง ทำพิธีชำระให้กับวิญญาณผู้ตายนับพันนับหมื่นเหล่านั้นที่ริมแม่น้ำลี่เหอ
พอวิญญานผู้ตายทั้งหลายต่างก็ไปจนหมดแล้ว ทั่วทั้งแม่น้ำลี่เหอก็กลับมาเป็นฤดูใบไม้ผลิอีกครั้ง
สายลมยามค่ำคืนก็มิได้หนาวเหน็บจนน่ากลัวอีกต่อไป
อู๋เจินอยากจะคุกเข่าให้นางจริงๆ ” เพียงแค่คืนเดียวก็ชำระวิญญาณได้มากมายถึงเพียงนี้ มีแต่ท่านเซียนไทเฮาเท่านั้นที่ทำได้ ท่านเซียน ท่านไม่คิดจะมาเป็นเจ้าอารามผู้ทรงเกียรติให้กับพวกเราที่อารามเทียนเก๋อกวนจริงๆ หรือขอรับ? “
ตัวเขาเอง ในหนึ่งคืนให้ชำระวิญญาณสักร้อยดวงก็ถือว่าสุดความสามารถแล้ว
ความเคารพนับถือที่เขามีให้กับตู๋กูซิงหลันยิ่งทีก็ยิ่งลึกล้ำแล้ว ” ข้าอยากจะกราบท่านเป็นพระโพธิสัตว์จริงๆ “
ตอนที่ 208 แม่นางเทพธิดา ขอเชิญเจ้าลง...
ตู๋กูซิงหลันลองคิดๆ ดู พลางมองดูผิวน้ำที่ราบเรียบของแม่น้ำหลี่เหอ ” หากว่ามีสักวันหนึ่ง ข้าเป็นไทเฮาต่อไปไม่ได้ ข้าจะไปขอข้าวขออาหารตอนผ่านไปทางประตูของอารามเทียนเก๋อกวน อู๋เจินน้อย เจ้าก็อย่าลืมให้ทานข้ามากสักหน่อยแล้วกัน “
อู๋เจินตกตะลึงจนแทบจะกระโดด ” ท่านที่มีความสามารถอยู่กับตัวมากมายเพียงนี้จะมีวันที่ต้องตกยากถึงขั้นขออาหารกินด้วยหรือ? “
ตีให้ตายเขาก็ไม่อยากจะเชื่อหรอก
ตู๋กูซิงหลันได้แต่สำนึกเสียใจขึ้นมา วันนี้ได้รู้แล้วว่าฮ่องเต้สุนัขผู้นั้นเก่งกาจถึงเพียงไหน นางรู้สึกว่าวันเวลาที่ตนเองจะต้องออกไปขอทานคงอยู่อีกไม่ไกลแล้ว
……………………
ภายในอารามเทพธิดา ต้นฮว๋ายฮวาที่เ**่ยวเฉามานานสิบปี พอได้รับสายลมฤดูใบไม้ผลิไปคืนหนึ่งก็แตกยอดใหม่ออกมา
จากนั้นอีกเพียงคืนเดียวก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวทั่วทั้งต้น กลิ่นหอมเฉพาะจากเนื้อไม้ของต้นฮว๋ายกำจายไปทั่วอารามเทพธิดา
ตั้งแต่เช้าตรู่ก็มีชาวบ้านไม่น้อยพากันมาจุดธูป ทั้งยังมีคนจำนวนไม่น้อยมาช่วยซ่อมแซมอารามด้วยตนเอง
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังระดมเงินในชั่วข้ามคืนจนได้ทองคำมาจำนวนหนึ่ง นำไปบดเป็นผงทอง เพื่อนำมาปั้นเป็นเทพธิดาชือหลีทองคำด้วย
เพียงเวลาสั้นๆ ไม่กี่วัน อารามเทพธิดาก็ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่
ในอารามมีควันหอมกำจาย ควันธูปหมุนวนเป็นวง
ชือหลีไม่ได้รับควันธูปที่เข้มข้นเช่นนี้มานานหลายปีแล้ว หลายวันมานี้นางจึงซึมซับอย่างไม่เกรงใจ จนทำให้ดวงจิตของนางเองก็มั่นคงขึ้นมาอีกไม่น้อย
อย่างน้อยก็ไม่จำเป็นต้องให้พวกดวงวิญญาณคนตายเหล่านั้นมาพยุงนางอีกแล้ว
ที่จริงทุกวันนี้ก็ไม่มีวิญญาณคนตายให้นางได้ใช้สอยอีกแล้ว ก็พวกมันถูกนังเด็กน้อยนั่นชำระดวงวิญญาณจนหมดสิ้นไปแล้วมิใช่หรือ?
นับจากวันนี้เป็นต้นไป นางก็ไม่ต้องซ่อนอยู่ในห้องใต้ดินนั่นอีกแล้ว ช่างดีจริงๆ
คืนนี้ นางพิงร่างอยู่บนกิ่งใหญ่ของต้นฮว๋ายฮวา ร่างท่อนบนมีเส้นผมสีแดงปกคลุมจนทั่ว เพียงเผยให้เห็นสองแขนที่ขาวผุดผ่องราวหิมะและช่วงเอวคอดเท่านั้น
ภายใต้แสงจันทร์กระจ่างที่ส่องผ่านใบเขียวสดของต้นฮว๋ายทอดลงมาบนปลางหางงูสีเขียวยาวเฟื้อย
ในมือของชือหลีถือตะเกียงเอาไว้หนึ่งดวง ไส้ตะเกียงเป็นเส้นด้ายสีดำสองเส้นที่พันทบกัน
ใช้เวลาไปตั้งหลายวัน นางถึงได้ทำไส้ของตะเกียงนิรันดร์จากดวงจิตของหญิงร้ายชายโฉดคู่นั้นสำเร็จ พึ่งจะเสร็จเรียบร้อย ก็อดใจไม่ไหวควรจะนำมาชมดูสักหน่อยมิใช่หรือ?
เพียงแค่นางเคาะลงไปเบาๆ ก็เห็นแสงไฟในตะเกียงลุกโชนขึ้นมา
” ฮิ ฮิ ดูจิตใจที่ดำมืดของพวกเจ้าสิ แม้แต่ยามเมื่อดวงจิตถูกแผดเผาก็ยังลุกโชนเป็นสีดำ ” ชือหลีหัวเราะเสียงเย็น
ยามที่ไส้เทียนลุกโชนขึ้นมา ก็ยังสามารถได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความทรมานของคนทั้งสอง
” ชือหลี เจ้าเป็นถึงเทพ แต่กลับโหดร้ายยิ่งนัก เจ้าเองก็ต้องไม่มีจุดจบที่ดีแน่! ” ดวงวิญญาณของจีหรานยังคงสาปแช่งนางไม่ยอมหยุด
ชือหลีพิงลงไปบนลำต้น ยิ้มอย่างอ่อนโยนยิ่งกว่าเดิม ” เจ้าดูสิ พอผ่านไปอีกสักร้อยปีพันปี ข้าผู้เป็นเทพก็จะสามารถสร้างกายทิพย์ขึ้นมาได้อีกครั้ง ถึงตอนนั้นก็จะมีอิสระเสรีไปไหนได้ตามใจ ถึงตอนนนั้น วิญญาณของพวกเจ้าก็คงถูกเผาผลาญจนหมดสิ้นแล้ว แล้วมาดูกันสิ ว่าจุดจบของใครจะย่ำแย่กว่ากันนะ? “
” พี่สาว ท่านจัดการให้รวบรัดไปเลยดีกว่า ไยจึงต้องทรมานพวกเราด้วยวิธีที่เนิ่นนานเช่นนี้ ข้ากับหรานรักกันอย่างแท้จริง พวกเราไม่ได้ทำผิดอะไรถึงเพียงนั้น ” ดวงจิตของชือฉิงวิงวอนนางด้วยความทุกข์ทรมาน
” รักแท้? อ๋อ ชือฉิง เจ้าตายเร็วไปหน่อย จึงไม่ได้เห็นว่าพอเจ้าตายแล้ว หรานอ๋องที่เป็นรักแท้ของเจ้านั้น แม้แต่จะฆ่าตัวตายก็ยังไม่กล้าทำ เจ้าควรจะรู้สึกขอบคุณไก่เทพตัวนั้น หากมิใช่เพราะว่ามันช่วยคนเสเพลผู้นี้ไปนิดหน่อย ไม่แน่ว่าตอนนี้ผู้ที่ตายอาจมีเจ้าเพียงคนเดียว ส่วนเขาก็ยังอยู่ดีมีสุขต่อไป “
ชือฉิงเงียบงันไป มิใช่ว่านางมองไม่เห็น ……หลังจากที่ตายแล้ววิญญาณของนางก็ยังอยู่ข้างๆ เขา ทุกสิ่งที่เขาทำลงไปนางล้วนได้เห็นอย่างละเอียดละออ
เขาไม่อยากตาย……นางก็เข้าใจได้
คนธรรมดาล้วนแต่กลัวตายด้วยกันทั้งนั้น เขาเองก็มิได้นอกเหนือ นางไม่เกลียดเขาเพราะเรื่องนี้
แต่ว่าในหัวใจก็มีบาดแผลขึ้นมา นางเคยนึกว่า ความสัมพันธ์ของพวกนางสามารถทำให้ฟ้าดินยังต้องซาบซึ้ง สามารถผ่านการทดสอบใดๆ ได้ทั้งนั้น
ตลอดสิบปีมานี้เขาป้อนเลือดให้นางทุกวัน คิดจะช่วยให้นางได้หลุดพ้นจากคำสาปที่กลายเป็นงู นางจึงมั่นใจมาโดยตลอดจะขออยู่กับเขาไปด้วยกันตลอดชาติภพ
แต่ว่าพอสุดท้ายแล้ว…..เขากลับขาดเขลาขึ้นมา
” หากไม่ใช่เจ้า ข้ากับอาฉิงก็ไม่ต้องเป็นเช่นนี้! ” จีหรานยังคงตีโพยตีพายต่อไป
ตอนยังมีชีวิตอยู่เขาเคยได้รับบาดเจ็บมาไม่น้อย คิดไม่ถึงว่า ความทุกข์ทรมานจากการที่วิญญาณถูกแผดเผายังเจ็บปวดมากกว่าหลายร้อยเท่า
เขาทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
” คนเสเพล เจ้ามันไม่มีค่าอะไรทั้งนั้น! ” ชือหลีเพิ่มแสงไฟให้โชติช่วงแผดเผาเขามากกว่าเดิม
ไส้ตะเกียงถูกเผาจนแตกดังเปรี๊ยะๆ จีหรานถูกเผาจนร้องโหยหวนออกมา ความเจ็บปวดนี้ไม่มีทางที่คนทั่วไปจะทนทานได้
เขาตะโกนด่าเสียงดัง ขอเพียงเขาด่าออกมาอีกหนึ่งประโยค ชือหลีก็จะเพิ่มความสว่างของตะเกียงขึ้นอีกหนึ่งส่วน ดังนั้นเพียงแค่ช่วงเวลาเพียงชั่วครู่ จีหรานก็ทนต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว
” ชือหลี เจ้าปล่อยข้าไปเถอะ ตอนนั้น… ตอนนั้นทั้งหมดเป็นเพราะว่าชือฉิงยั่วยวนข้า ข้าถึงได้หลงไหลจนลืมตัว…. อ๊าก …. ……”
เขาทางหนึ่งก็ร้องอย่างเจ็บปวด ทางหนึ่งก็วิงวอนต่อนางราวสุนัขตัวหนึ่ง ” เจ้าปล่อยข้าเถอะนะ ต่อให้จะให้ข้าต้องเป็นสุนัขอยู่ข้างกายเจ้าข้าก็ยินดี “
” ตอนนั้น ข้าชอบเจ้าจริงๆ นะ คิดจะอยู่กับเจ้าตลอดไป ข้าติดค้างบุญคุณช่วยชีวิตจากเจ้า ยังไม่ทันได้ตอนแทนเลย หากไม่ใช่เพราะว่าชือฉิงมาล่อลวงข้า ข้ากับเจ้าก็คงอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป “
” ชือหลี ขอร้องเจ้าเถอะ ได้โปรดเห็นแก่ความสัมพันธ์เดิมของพวกเรา ปล่อยข้าออกไปเถอะนะ….”
ชือหลีรับฟังคำพูดอย่างไม่ละอายเหล่านั้นด้วยสีหน้าเย็นชา นางรู้สึกว่าตอนนั้นตนเองช่างตาบอดไปแล้วจริงๆ ถึงได้ไปถูกอกถูกใจเจ้าสุนัขไร้ค่าตัวนี้
” ชือฉิง เจ้าได้ยินชัดเจนแล้วใช่ไหม เขาอยากจะมาเป็นสุนัขของเรา ” นางหัวเราะขบขันด้วยความเย้ยหยัน
ดวงจิตของชือฉิงถูกแผดเผา นางเองก็ได้รับความทุกข์ทรมานแบบเดียวกันกับจีหราน แต่กลับกัดฟันทนเอาไว้ไม่ยอมเอ่ยอะไรออกมาสักครึ่งคำ
นางไม่กล้าเชื่อหูของตนเองเลยจริงๆ หราน ถึงกับ……
” ดูให้ชัดๆ เขามันก็เป็นบุรุษเสเพลเช่นนี้เอง ไม่สมกับที่เจ้าได้ทุ่มเทไปเลยสักนิด ” ยิ่งชือหลีหัวเราะ ก็ยิ่งรู้สึกว่าในหัวใจมีแต่ความขมขื่น
น้องสาวผู้นี้ นางค่อยทนุถนอมดูแลมาตั้งแต่เล็กจนโต นับตั้งแต่ที่นางยังเป็นเพียงไข่งูใบหนึ่ง นางก็ทุ่มเทแรงใจไปปกป้องดูแลน้องมาโดยตลอด กระทั่งนางกะเทาะเปลือกออกมา กระทั่งนางเปลี่ยนร่างได้ ตลอดมาคนเป็นพี่สาวคอยดูแลดั่งเป็นพ่อเป็นแม่อยู่เสมอ
ก่อนหน้านี้ตนรักนางมากขนาดไหน พอถูกหักหลังแล้วถึงได้เกลียดชังนางขนาดนั้น!
แต่ตอนนี้เมื่อได้มาเห็นนางถูกบุรุษเจ้าชู้เช่นจีหรานทอดทิ้ง นางก็ชักจะใจอ่อนขึ้นมาบ้างแล้ว
หัวใจอ่อนไหวที่สมควรตาย!
” พี่สาว~ เอาเป็นว่าข้ารักเขาไปแล้ว มิว่าที่สุดแล้วเขาจะเป็นคนเช่นไร รักไปแล้วก็คือรักไปแล้ว……” ชือฉิงกล่าวอย่างแสนจะผิดหวัง
ในไส้ตะเกียงดวงนั้น มีเงาร่างของสาวน้อยนางหนึ่ง ที่หน้าตาคล้ายคลึงกับชือหลีอยู่ถึงสามส่วน นางดูผิดหวังเสียจนต้องหลับตาลง
แต่ที่มุมหางตาก็ยังมีน้ำตาเป็นสายเลือดรินไหลออกมา
น้ำตาเลือดนั้นหยดลงในไส้ตะเกียงนิรันดร์ พอถูกแผดเผาขึ้นมาก็กลายเป็นดวงไฟสีแดงราวกับโลหิตดวงเล็กๆ
ชือหลีขุ่นเคืองขึ้นมาในทันที นางรีบดับไฟบนไส้ตะเกียงนั้นลงไป
เจ้าคิดจะเผาวิญญาณตนเองให้หมดสิ้นเร็วขึ้นจะได้หลุดพ้นไปจากโลกนี้หรือ? ไม่มีทางเสียหรอก! เจ้าจงเปิดตาให้กว้างอยู่เฝ้าดูให้กับเราผู้เป็นเทพ ดูให้ดีว่าบุรุษเสเพลผู้นี้ที่สุดแล้วเป็นชาติสุนัขขนาดไหน! “
ชือฉิงและนางต่างก็มีเชื้อสายของเทพเหมือนๆ กัน ถึงแม้ว่าดวงจิตจะถูกนำมาทำเป็นไส้ตะเกียง แต่หากว่านางคิดจะทำลายตนเอง ก็นับว่ามีโอกาสอยู่เหมือนกัน
เพียงแต่ว่าเมื่อลงมือทำเช่นนั้นไปแล้ว ก็ไม่มีหนทางจะย้อนกลับมาอีก ต้องแตกสลายไปจากโลกนี้ไปดับสูญไปตลอดกาล
พอตะเกียงนิรันดร์ถูกดับลง รอบด้านก็มีแต่ความสงบเงียบ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็เห็นเงาร่างสีขาวเข้ามาในอาราม เดินมาจนถึงใต้ต้นฮว๋ายฮวา
คุณชายผู้นั้นรูปงามผิวพรรณขาวสะอาด ดูคล้ายดั่งภาพวาด ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายราวหยดน้ำใสสะอาด น่าชื่นชมแท้ๆ
ในมือของเขามือสุรามาไหหนึ่ง เขาคลี่ยิ้มบางๆ ให้กับนาง ” แม่นางเทพธิดา ได้โปรดลงมาร่วมดื่มกับข้าสักจอกได้หรือไม่? “
ตอนที่ 209 หนุ่มน้อยที่งดงามบาดตา
ชือหลีนั่งอยู่บนต้นฮว๋ายก้มลงมองดูเขา บุรุษหนุ่มในชุดขาวอายุเพียงสิบเก้าปี สะอาดสะอ้านหมดจดและสดใส
ยามที่เขายิ้มออกมา มุมปากยังมีลักยิ้มทั้งสองข้าง เพียงได้เห็นก็ทำให้คนรู้สึกสนิทสนมน่าชิดใกล้
หนวดเคราบนใบหน้าถูกโกนจนสะอาดเกลี้ยงเกลาแล้ว เส้นผมดำยาวที่พลิ้วไหวตัดกันกับชุดขาวบนร่าง คนดูราวกับภาพวาดที่สำเร็จขึ้นในพู่กันเดียว
หากว่าเขาสามารถปิดปากได้ละก็ ช่างเป็นหนุ่มน้อยที่งดงามบาดตานัก
ชือหลีพลิกตัวหันหลังให้กับเขา นางสะบัดปลายหางน้อยๆ อยากจะไล่เขากลับไปเร็วๆ
ตอนนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี ไม่อยากจะเสวนากับเด็กน้อยที่ขนอ่อนยังไม่ขึ้น
” สุรานี้ข้าไปทูลขอมาจากฝ่าบาทเชียวนะ เป็นไห่ถางเหนียงจากเมืองหลวง ท่านจะไม่ดื่มสักจอกหรือ? ” ตู๋กูเจวี๋ยมิได้หมดกำลังใจ เขานั่งลงบนโต๊ะหินใต้ต้นฮว๋าย พอล้วงเอาจอกสองใบออกมาก็รินสุราลงไป
กลิ่นหอมของสุราที่เข้มข้น ทำให้กลิ่นของต้นฮว๋ายถูกกลบเกลื่อนไป
เขาไม่เหมือนกับพี่ใหญ่ นิสัยของเขารักอิสระเสรี ชอบอ่านหนังสือที่บันทึกเรื่องราวของสิ่งลี้ลับตั้งแต่เด็กๆ โดยเฉพาะพวกที่เกี่ยวข้องกับเทพเซียนและมารปีศาจ ชือหลีเป็นเทพองค์แรกที่เขาได้พบเจอ ถึงแม้ว่าจะถูกนางจับไปทรมานมารอบหนึ่ง แต่ยังดีที่ไม่ถึงกับตะเกียงดับไส้เทียนขาด
ในเมื่อไม่ตายก็แสดงว่าเป็นวาสนา
ชือหลีได้กลิ่นหอมของเหล้า ในหัวใจก็รู้สึกคันขึ้นมานิดๆ ยามว่างนอกจากทรมานผู้คนแล้ว นางก็ชอบดื่มแต่สุรานี่ล่ะ
สุราที่เด็กน้อยนั่นเอามายังหอมจัดถึงเพียงนี้ นางส่ายหางเบาๆ อย่างอดใจไม่ไหว ต้องหันกลับไปเหลือบดูเขาแว๊บหนึ่ง
หนุ่มน้อยชุดขาวนั่นดื่มไปแก้วนึง ใบหน้าก็ปรากฏสีแดงจางๆ ขึ้น เขาแลบลิ้นออกมา โบกมือโบกไม่ไปในอากาศ ” ว้า แรงมากเลยนะ “
ชือหลี “…….” ดื่มเหล้าไม่เป็นแล้วจะมาชวนนางทำไม? ไอ้ตัวยุ่งยาก
เห็นเขาดื่มไปอึกเดียวก็อาเจียนออกมาหมด นางค่อยพลิกตัวลงมาจากต้นฮว๋าย คว้าไหสุราขึ้นมาด้วยมือเดียว กรอกลงคอไปไม่กี่อึกก็หมด สุราของเมืองหลวงช่างหอมเข้มข้นดีจริงๆ พอลงท้องไปไหหนึ่งก็รู้สึกได้ว่ากลิ่นหอมกระจายไปทั่วทั้งร่าง สะใจยิ่งนัก
จากนั้นชือหลีค่อยปากเช็ดมุมปากอย่างอ้อยอิ่ง ดวงตาสีแดงถลึงใส่เขาครั้งหนึ่ง ” เสียดายของดีๆ “
ตู๋กูเจวี๋ยมองดูท่าทางของนาง ก็ยิ้มออกมา ” หากว่าเจ้าชอบดื่ม ทีหลังข้าจะไปเอามาจากเมืองหลวงให้มากหน่อยก็แล้วกัน เหล้าของคนธรรมดาถูกปากเทพเซียน นี่ถือเป็นวาสนาของสุรานี้แล้ว”
ชือหลีมองดูเขาด้วยสายตาเย็นชา ” เจ้ามันเป็นพวกชอบความทารุณหรือไง เราผู้เป็นเทพกักขังเจ้าเอาไว้เกือบครึ่งเดือน เจ้ายังจะกล้ากลับมาชวนข้าดื่มเหล้าอีก? “
ตู๋กูเจวี๋ย “ข้าก็ออกมาได้แล้วมิใช่หรือ? “
ชือหลีพูดอะไรไม่ออก
” ประเดี๋ยวข้าก็ต้องกลับไปเมืองหลวงแล้ว ไม่รู้ว่าอีกเมื่อไหร่ถึงจะได้มาที่ลี่โจว มาถึงอารามเทพธิดาแล้วยังจะได้เจอเจ้าอีกไหม สุราไหนี้ถือว่าดื่มอำลาเพื่อเดินทางไกลแล้วกัน ” นัยตาของหนุ่มน้อยโศกเศร้าอย่างที่สุด
ชือหลีมองดูเขา อยู่ๆ ก็คิดไปถึงพวกกระต่ายที่ถูกนางฆ่าไปเหล่านั้น เจ้ามนุษย์ตัวยุ่งผู้นี้ ไม่ต่างอะไรกับกระต่ายพวกนั้นเลยสักนิด
” จะไปก็รีบๆ หน่อย อย่างได้มาพร่ำเพ้อกับเราผู้เป็นเทพ เราเห็นเจ้าแล้วก็รำคาญ ” ชือหลีวางไหสุราลง ปีนขึ้นไปนอนบนต้นฮว๋ายอีกครั้ง ส่ายหางเบาๆ ไม่หยุด
อีกาคู่หนึ่งพึ่งจะทำรังบนต้นฮว๋ายเสร็จ พอนางส่ายหางไปมาไม่กี่ครั้ง ทั่วทั้งต้นก็ไหวเอน ทำเอาไข่กาสองฟองกลิ้งออกจากรังหล่นลงมา
ตู๋กูเจวี๋ยสะบัดชายเสื้อผ้าออกไป อาศัยมือเท้าที่รวดเร็วรับเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที ไข่กาที่มีเปลือกเขียวนวลกลิ้งอยู่ในอ้อมอก หัวใจของเขาตระหนกจนเกือบจะกระโดดโลดขึ้นมา
พอเห็นว่าไข่ไม่ได้รับความกระทบกระเทือน ค่อยถอนลมหายใจออกมาครั้งหนึ่ง ” อามิตาพุทธ แม่นางเทพธิดา เจ้าเกือบจะทำร้ายชีวิตอีกแล้ว เจ้ากาน้อยๆ สองตัวนี้อีกเพียงไม่กี่วันก็จะกะเทาะเปลือกออกมาแล้ว หากว่าเมื่อครู่แตกร้าวไป พวกมันยังไม่ทันได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ก็ต้องจากลาโลกที่สวยงามใบนี้ไปเสียแล้ว ทั้งน่าเสียดายและน่าสงสารออกนะ “
พูดแล้ว ก็เห็นเขาเอาไข่กาสองฟองนั้นใส่เข้าไปในเสื้อตัวใน ใช้มือและเท้าค่อยๆ ปีนขึ้นมาบนต้นฮว๋าย
เขาเป็นพวกบัณฑิตอ่อนแอ ปีนต้นไม้ก็ไม่ได้เรื่อง ปีนขึ้นมาสองครั้งก็หล่นลงไปทั้งสองครั้ง แต่ก็ยังอยากจะทำตนเป็นมารดา ปกปักษ์รักษาไข่ทั้งสองฟองอย่างสุดชีวิต
หลังจากที่ทดลองอยู่หลายครั้ง ในที่สุดเขาก็ปีนขึ้นมาได้แล้ว
เขาตัวสั่นสะท้านกอดอยู่บนลำต้นฮว๋ายด้วยความระมัดระวัง รังนกอยู่สูงมาก เขาต้องปีนสูงขึ้นมาถึงครึ่งต้นจึงจะมองเห็นรังของมัน เขาล้วงมือลงไปในอกเสื้อเตรียมจะเอาไข่สองฟองนั้นวางกลับไปในรัง
เดิมทีก็ต้องใช้สองมือปีนต้นไม้ขึ้นมา พอตอนนี้ปล่อยมือข้างหนึ่ง ตัวจึงสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
ชือหลีมองดูอยู่ที่ด้านข้าง ในดวงตาของนางมีแต่ความเอือมระอา
พอเห็นว่าไข่ยังไม่ทันจะวางกลับลงไปในรัง เท้าของเขาก็พลันอ่อนแรงลื่นหลุด คนหงายหลังลงไปทั้งร่าง เกือบจะหล่นลงไปถึงพื้น
ชือหลีก็พลันขมวดคิ้ว หางงูกวาดออกไปเบาๆ ก็รับตัวเขาเอาไว้ กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า ” โง่จริงๆ “
ว่าพลาง นางก็ใช้หางงูพาตัวเขาขึ้นไปจนถึงรังนก
ตู๋กูเจวี๋ยวางไข่สองฟองนั้นลงไปในรังนก พอมองดูหางงูที่โอบรัดตนเองเอาไว้ ก็ยื่นมือออกมาลูบไล้ดูเบาๆ เย็นๆ เรียบลื่นให้สัมผัสที่ละเอียดมากๆ
ว่าแล้วเขาก็ลูบลงไปอีกครั้ง
ชือหลีรู้สึกขนลุก เส้นผมสีแดงทั่วศีรษะชี้ฟูราวกับตัวเม่น นางสะบัดตู๋กูเจวี๋ยทิ้งลงพื้นไปทันที ” เจ้ามนุษย์ขนอ่อน เจ้าเบื่อชีวิตแล้วหรือไง? “
ปลายหางถือเป็นจุดอ่อนไหวของนาง เขากลับกล้าลูบ
นางไม่ตัดมือของเขาลงมา ถือว่าเห็นแก่น้องสาวที่เป็นตัวประหลาดของเขาแล้ว!
ตู๋กูเจวี๋ยหล่นลงบนพื้น แม้ว่าจะก้นกระแทก แต่ที่จริงชือหลีมิได้ใช้กำลัง เขาจึงไม่ได้บาดเจ็บอะไร
ผ่านไปอีกครู่ใหญ่เขาถึงได้ลุกขึ้นมา ปัดฝุ่นผงที่เกาะอยู่บนก้น ค่อยหันกลับมายิ้มกับชือหลีอีกครั้ง ” อีกแป๊บเดียวข้าก็จะอายุยี่สิบแล้ว นั่นเรียกว่าขนอ่อนที่ไหนกัน แม่นางเทพธิดา ถึงแม้ว่าว่าเจ้าจะเป็นเทพแห่งสายน้ำ แต่ดูจากหน้าตาแล้วก็ไม่เกินยี่สิบ หากว่าตามรูปลักษณ์ของมนุษย์แล้ว เจ้าและข้านับว่าอายุเหมาะสมกันมาก “
” หากว่าเจ้าไม่รังเกียจละก็ พวกเราสามารถสาบานเป็นพี่ชายน้องชายกัน”
พอเห็นสีหน้าของชือหลีถมึงทึงกว่าเดิม ก็ได้ยินตู๋กูเจวี๋ยเปลี่ยนคำพูดใหม่เป็นว่า ” เป็นพี่สาวน้องสาวก็ได้ “
อย่างไรเสียเขาก็มิใช่คนที่ยึดถือสายตาของผู้อื่นอยู่แล้ว
ชือหลี “…….” ใครสักคนช่วยมาพาตัวคนปากมากผู้นี้ไปเสียที ไปแบบปัจจุบันทันด่วนเลยได้ไหม?
” ก็เจ้าเป็นงูอยู่เพียงลำพังไม่เหงาหรือ? มีพี่ชายน้องชายมากหนทางก็มาก มีพี่สาวน้องสาวมาก…..”
เขากล่าวยังไม่ทันจบ ชือหลีก็สะบัดมือออกไป สายลมจากฝ่ามือคมราวมีดดาบ ทำเอาโอ่งน้ำใบใหญ่ที่อยู่ด้านหลังของเขาแตกออกเป็นสองส่วน
” เจ้าเด็กน้อย หากว่าเจ้ายังจะพูดมากอีก ต้องมีจุดจบเหมือนกับโอ่งน้ำนั่นแน่! ” นางถลึงดวงเนตรที่แดงฉานคู่นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ตู๋กูเจวี๋ยมองดูโอ่งน้ำด้านหลังที่แตกออกเป็นสองส่วน เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ถามนางออกไปอย่างจริงจังว่า ” ถ้าหากว่าข้าพูดมากไปสองประโยค…..ก็จะถูกสับเป็นสี่ส่วนใช่หรือไม่? “
ชื่อหลี “……..” อ๊ากก!
” ในเมื่อจะสองส่วนหรือว่าสี่ส่วนก็ล้วนแล้วแต่ต้องตาย ถ้าเช่นนั้นก็รอให้ข้าพูดให้มากอีกสักหลายประโยค ถึงเจ้าจะสับข้าจนกลายเป็นไส้เกี้ยวก็ไม่เป็นไร “
ตู๋กูเจวี๋ยพูดให้รวดเร็วขึ้นกว่าเดิม “ฟ้าดินเป็นพยาน ข้าตู๋กูเจวี๋ยววันนี้จะขอสาบานอยู่ที่นี่ ยินดีจะ……”
คำพูดยังไม่ทันออกมา ก็เห็นหนุ่มน้อยในชุดดำพุ่งเข้ามาทางนี้ ดั่งสายลมหอบหนึ่ง หยุดลงตรงข้างๆ กายเขา พลางตบบ่าเขาไปแรงๆ ครั้งหนึ่ง
” พี่รอง ท่านสมควรกลับบ้านไปกินยาได้แล้วเจ้าค่ะ “
ตู๋กูเจวี๋ยหันศีรษะกลับมามองดูนาง พลางส่ายหน้า ” น้องเล็ก ข้าไม่ได้ป่วยเสียหน่อย “
เขาป่วยตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเขาถึงได้ไม่เคยรู้มาก่อนเลย? “
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น