อัจฉริยะสมองเพชร 2050-2059

 ตอนที่ 2050 สำนักเจ็ดดาว?

“หัวหน้าเจิ้ง ผมจะส่งศิษย์สายตรงกับอสูรอมตะตัวหนึ่งเพื่อไปส่งคุณนะ พวกเราไม่อาจปล่อยให้คุณขี่อสูรอมตะไปเองได้หรอก!” ผู้อาวุโสฉิงพูด


เป็นเรื่องที่รู้ทั่วกันแล้วว่าหัวหน้าหอนานาอสูรคนใหม่คือผู้ที่ทำให้มังกรอสรพิษยอมจำนน หากเขาขี่มังกรอสรพิษออกไปตอนนี้ ก็เท่ากับประกาศให้โลกรู้ว่าเขาคือใคร ดังนั้น จึงควรใช้อสูรอมตะบินได้ทั่วๆไปที่มีอยู่ในหอนานาอสูร


“ก็ได้” จางเซวียนยอมรับข้อเสนอ


ไม่ช้าการเตรียมการต่างๆก็เสร็จสิ้น จางเซวียนออกเดินทางโดยมุ่งหน้าขึ้นสู่ทิศเหนือ


ผู้อาวุโสฉิงเตรียมอสูรอมตะขั้นสูงระดับล่างไว้ให้เขา ส่วนศิษย์สายตรงที่เป็นผู้บังคับมันก็เป็นนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ การที่พวกเขาทำอะไรไม่ให้โดดเด่นเกินไปนั้นถือว่าดีที่สุด


พวกเขาบินไปเป็นเวลา 3 วันเต็ม


“หัวหน้าเจิ้ง ตอนนี้เราอยู่ไม่ไกลจากเมืองปี้หยวนแล้ว สำนักเจ็ดดาวซึ่งเป็น 1 ใน 6 สำนักใหญ่ก็ตั้งอยู่ที่นั่น มันคือเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในดินแดนนี้ ถ้าคุณอยากได้อะไรจากหอนิรันดร์ ที่นั่นก็จะเป็นสถานที่ที่เหมาะที่สุด” ศิษย์สายตรงที่ทำหน้าที่บังคับอสูรอมตะพูดยิ้มๆ


ตลอด 3 วันที่ผ่านมา ทั้งคู่เกิดความสนิทสนมคุ้นเคยกัน และเขาก็ได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วจางเซวียนเป็นหัวหน้าหอนานาอสูรคนใหม่


“สำนักเจ็ดดาว?” จางเซวียนพึมพำขณะมองทัศนียภาพที่อยู่ตรงหน้า


เมืองขนาดใหญ่ปรากฏให้เห็นที่ขอบฟ้า ลำพังแค่ความกว้างใหญ่ของมัน ก็เห็นได้ชัดแล้วว่ามีขนาดใหญ่โตกว่าเมืองอู๋ไห่มาก


“ไปดูกันเถอะ” จางเซวียนสั่งการด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย


น้ำเต้าตงฉู่อยากได้ยาเม็ดอมตะขั้นพิเศษจำนวน 200 เม็ดเพื่อทำลายฉนวนที่ปิดกั้นร่างของมันไว้ บางทีเขาอาจจะหายาจำนวนนั้นได้จากที่นี่!


หานเจี้ยนชิวเคยอธิบายรายละเอียดของ 6 สํานักใหญ่ให้เขาฟังแล้ว สำนักดาวเจ็ดดวงได้ชื่อว่าเป็นองค์กรธุรกิจที่มีระบบการจัดการใหญ่ที่สุดในตลาดของทวีปที่ถูกลืม พวกเขาขายของล้ำค่าทรงพลังและอาวุธยุทโธปกรณ์ทุกชนิด


ยาเม็ดอมตะขั้นพิเศษ 200 เม็ดอาจมีมูลค่ามหาศาลสำหรับที่อื่น ขนาดในเมืองใหญ่ระดับเมืองอู๋ไห่ก็ยังไม่มียาจำนวนนั้น แต่หากเป็นเมืองปี้หยวนซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าขายของสำนักดาวเจ็ดดวง ก็น่าจะหาได้


ไม่ช้าอสูรอมตะก็ร่อนลงที่จัตุรัสขนาดมหึมาภายในเมือง


“หัวหน้าเจิ้ง นั่นคือสำนักดาวเจ็ดดวง” ศิษย์สายตรงแนะนำพร้อมกับยิ้มให้


เขารู้จักเมืองปี้หยวนดีเพราะเคยมาที่นี่บ่อยๆ


จางเซวียนมองไป เห็นตึกรามบ้านช่องสูงตระหง่านมากมายตรงหน้า มีทั้งหมด 7 หลัง จัดเรียงกันตามตำแหน่งที่เป็นรูปแบบของค่ายกลกระบวยใหญ่ ทั้งยังมีค่ายกลขนาดมหึมาที่กลมกลืนสัมพันธ์กันกับหมู่ดาวบนท้องฟ้า


ดูเหมือนเราไม่อาจสบประมาทศักยภาพของสำนักดาวเจ็ดดวงได้ แม้กิจการหลักของพวกเขาจะเป็นแค่การค้า…จางเซวียนคิด


จะต้องมีบางอย่างที่ไม่ธรรมดาเกี่ยวกับสำนักดาวเจ็ดดวง มันถึงกลายเป็น 1 ใน 6 สำนักใหญ่ของทวีปที่ถูกลืม


ในแง่โครงสร้าง สำนักดาวเจ็ดดวงไม่ได้ดูสง่าผ่าเผยอย่างสำนักดาบเมฆเหินและหอนานาอสูร แต่ผู้ที่พอมีความเข้าใจเรื่องค่ายกลอยู่บ้างจะรู้ดีว่าการประสานแกนกลางของค่ายกลเข้ากับหมู่ดาวบนท้องฟ้านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และนั่นคือสิ่งที่สำนักดาวเจ็ดดวงทำสำเร็จ


ด้วยการคุ้มกันของค่ายกล การจะโจมตีสำนักดาวเจ็ดดวงถือว่ายากมาก


“หัวหน้าเจิ้ง คุณอยากเข้าไปดูข้างในไหม?” ศิษย์สายตรงตั้งคำถาม


“ก็ดี ว่าแต่หอนิรันดร์ของเมืองปี้หยวนอยู่ที่ไหน? พาผมไปที” จางเซวียนตอบ


เขาไม่อยากได้ของล้ำค่าหรืออาวุธใดๆ จึงไม่ได้สนใจจะเข้าไปสำรวจสำนักดาวเจ็ดดวง อีกอย่าง ถ้าเขาเข้าไปที่นั่นแล้วอีกฝ่ายเกิดยืนกรานให้เขารับตำแหน่งเจ้าสำนักขึ้นมา คราวนี้จะทำอย่างไร?


นักรบที่โดดเด่นจะเหมือนหิ่งห้อยยามค่ำคืนไม่ว่าจะไปไหน ต่อให้พยายามปกปิดแสงของตัวเอง ใครต่อใครก็ยังถูกเขาดึงดูดราวกับแมลงเม่าที่บินเข้ากองไฟ


แค่เขาเป็นผู้นำของสองสำนักใหญ่ก็เกินพอแล้ว อะไรที่เกินกว่านั้นคงสร้างความยุ่งยากเอาการ


“หอนิรันดร์ของที่นี่อยู่ถัดไปจากสำนักดาวเจ็ดดวง” ศิษย์สายตรงตอบ


จางเซวียนมองตาม และเห็นอาคารสูงหลังหนึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากสำนักดาวเจ็ดดวงมากนัก อาคารนี้ไม่ได้สง่างามหรือคลาคล่ำไปด้วยผู้คนเหมือนกับสำนักดาวเจ็ดดวง แต่ก็โดดเด่นไม่น้อย


เขารีบตามฝูงชนเข้าสู่หอนิรันดร์


“ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลของนักรบอมตะตัวจริงราคาเท่าไหร่?” จางเซวียนถาม


“2,700 เหรียญดาวหรือเหรียญสำนักดาบ” เจ้าหน้าที่ตอบ


“ผมรับอันหนึ่ง” จางเซวียนแจ้งความจำนงขณะถอนหายใจอย่างโล่งอก


มูลค่าของเหรียญนิรันดร์ที่นี่ดูจะพอๆกันกับเมืองอู๋ไห่ ดังนั้น 2,700 เหรียญนิรันดร์จึงเป็นจำนวนที่เขาพอรับได้


เมื่อได้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล จางเซวียนเปิดใช้งานห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง เขาสั่งการให้ศิษย์สายตรงจากหอนานาอสูรรออยู่ข้างนอก ขณะที่ตัวเขาติดตั้งค่ายกลปิดกั้นจำนวนหลายอันรอบห้องนั้นก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง


จางเซวียนถือตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลไว้ในมือ เขารีบเปิดใช้งานก่อนจะเพ่งสมาธิเข้าไปข้างใน ไม่ช้าก็มาอยู่ในหอนิรันดร์ที่มีสภาพเสมือนจริง


จางเซวียนตรงไปที่เคาน์เตอร์ของเจ้าหน้าที่ต้อนรับ จากนั้นก็แสดงตราสัญลักษณ์ของปรมาจารย์ขงก่อนจะกล่าวว่า “ผมอยากซื้อทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธสักหน่อย”


เจ้าหน้าที่ตาโตเมื่อเห็นตราสัญลักษณ์ เธอรีบบอกจางเซวียน “กรุณารอสักครู่” ก่อนจะพรวดพราดเข้าไปในห้องที่อยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์


ไม่ช้า ผู้อาวุโสคนหนึ่งก็เดินออกมาและโค้งคำนับอย่างงามให้จางเซวียน “ท่านแขกผู้มีเกียรติ ตราสัญลักษณ์ที่คุณถืออยู่คือเหรียญเกียรติยศของหัวหน้าของพวกเรา ซึ่งทำให้คุณมีสิทธิพิเศษที่นี่เช่นเดียวกับท่านหัวหน้า ไม่ทราบว่าคุณจะซื้ออะไร?”


“ผมขอซื้อยาเม็ดอมตะขั้นพิเศษ 200 เม็ด” จางเซวียนตอบ


“ยาเม็ดอมตะขั้นพิเศษ 200 เม็ด?” ผู้อาวุโสตกใจจนแทบกระโดด


เขาทำงานที่หอนิรันดร์มาหลายปีดีดัก แต่เคยเห็นนักรบมาซื้อยาเม็ดอมตะขั้นพิเศษอย่างมากที่สุดก็แค่ 10 เม็ด ส่วนชายหนุ่มคนนี้ต้องการถึง 200 เม็ดในคราวเดียว เขาคิดจะเอาไปกินเล่นฆ่าเวลาหรือไง?


ยาเม็ดอมตะขั้นพิเศษนั้นแพงหูฉี่ แต่ละเม็ดมีสนนราคาที่ 20,000 เหรียญนิรันดร์ หรือพูดอีกอย่างก็คือ การซื้อขายครั้งนี้จะมีมูลค่าถึง 4 ล้านเหรียญนิรันดร์เลยทีเดียว!


ราคานี้เกินพอจะซื้อเมืองได้ทั้งเมือง!


“ใช่ อย่ามัวอ้อมค้อมอยู่เลย บอกผมมาตามตรงว่าจะหายาจำนวนนี้ได้ไหม?” จางเซวียนพูดต่อพร้อมกับขมวดคิ้ว


“คือ…” ผู้อาวุโสลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าเรารวบรวมทุกอย่างที่เรามีในเมืองปี้หยวน ก็พอจะหายาเม็ดอมตะขั้นพิเศษจำนวน 200 เม็ดได้ แต่เราต้องรายงานการซื้อขายครั้งนี้ไปยังสำนักงานใหญ่เพื่อขอการอนุมัติก่อน กรุณารอสักครู่”


“เอาเถอะ ทำในสิ่งที่คุณต้องทำก็แล้วกัน” จางเซวียนตอบพร้อมกับพยักหน้า


หลังจากปรึกษาทางสำนักงานใหญ่ ผู้อาวุโสก็กลับมาพร้อมกับยิ้มให้ “ทางสำนักงานใหญ่อนุมัติการซื้อขายครั้งนี้แล้ว ท่านแขกผู้มีเกียรติ เพียงแค่คุณเปิดใช้งานค่ายกลทะลุมิติที่อยู่บนตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล ก็จะนำสินค้าของคุณออกมาใช้ได้!”


“ขอรบกวนคุณด้วย” จางเซวียนพยักหน้าก่อนจะถอนจิตใต้สำนึกของเขาออกจากหอนิรันดร์


เมื่อกลับถึงห้องส่วนตัว จางเซวียนเคาะตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลของเขาเบาๆ


ฟึ่บ!


ขวดหยก 20 ใบปรากฏตรงหน้า แต่ละใบบรรจุยาเม็ดอมตะขั้นพิเศษจำนวน 10 เม็ด


“นี่คือยาเม็ดอมตะขั้นพิเศษ 200 เม็ด ถ้าแกกินเข้าไปแล้วยังทำลายฉนวนที่สกัดกั้นตัวแกไว้ไม่ได้ล่ะก็…เอาเถอะ รอดูก็แล้วกันว่าฉันจะจัดการแกอย่างไร!” จางเซวียนเรียกน้ำเต้าตงฉู่ออกจากจุดตันเถียนของเขาและคำรามใส่


“วางใจเถอะน่ะ ผมคืออสูรในตำนานที่ครั้งหนึ่งมีอำนาจบงการทั่วทั้งดินแดน ผมแค่ถูกกักขังไว้ในร่างพิลึกพิลั่นนี้เป็นการชั่วคราวเท่านั้น ทันทีที่รวบรวมพลังงานได้มากพอ ผมก็จะทำลายฉนวนที่ปิดกั้นร่างของผมไว้ จนได้เป็นอิสระและกลับคืนสู่ตัวตนเก่าของผมที่ทรงพลังเหมือนเดิม…” น้ำเต้าตงฉู่คุยโวอย่างภาคภูมิใจ


“หยุดโม้ได้แล้ว กินๆเข้าไปแล้วจัดการซะ!” จางเซวียนโบกมืออย่างรำคาญ คร้านจะทนฟังนิยายของน้ำเต้าตงฉู่


น้ำเต้าตงฉู่กระโดดเข้าใส่ขวดหยกทั้ง 10 ใบ ด้วยการสูดหายใจลึกเพียงครั้งเดียว มันก็กลืนยาเม็ดอมตะขั้นพิเศษลงไปทั้ง 200 เม็ด


ฟึ่บ!


แม้จะกลืนเข้าไปทีเดียว 200 เม็ด แต่น้ำเต้าตงฉู่ก็ดูไม่อึดอัดสักนิด รังสีของมันกลับแผดกล้าขึ้นเรื่อยๆ


สิ่งที่น้ำเต้าตงฉู่เคยกินก่อนหน้านี้คือยาเม็ดอมตะขั้นพื้นฐาน แต่ยา 200 เม็ดนี้คือยาเม็ดอมตะขั้นพิเศษ ศักยภาพของยาทั้ง 2 ชนิดแตกต่างกันมาก ไม่ช้า น้ำเต้าตงฉู่ก็ตัวสั่นไม่หยุด


บึ้มมมม!


รังสีรุนแรงระเบิดออกจากร่างของน้ำเต้าตงฉู่ รอยแยกของมิติปรากฏขึ้นโดยรอบ ดูเหมือนแม้แต่มิติที่มั่นคงของทวีปที่ถูกลืมก็ไม่อาจต้านทานพละกำลังมหาศาลที่น้ำเต้าตงฉู่ปล่อยออกมาได้


“น่าทึ่งจริงๆ…” จางเซวียนตาโตด้วยความตื่นเต้น


ดูเหมือนน้ำเต้าตงฉู่ไม่ได้โกหกเขา


ลำพังแค่รังสีของมัน น้ำเต้าตงฉู่ก็แข็งแกร่งพอจะเอาชนะนักรบอมตะขั้นสูงได้อย่างง่ายดายแล้ว อย่างน้อยที่สุด ชายเสื้อคลุมสีดำที่เป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ที่จางเซวียนเคยเผชิญหน้าในครั้งนั้นก็คงสู้มันไม่ได้


ด้วยสิ่งนี้ จางเซวียนแน่ใจว่ายาเม็ดอมตะขั้นพิเศษ 200 เม็ดที่เสียไปจะไม่สูญเปล่า


โชคดีที่เขาติดตั้งปราการป้องกันไว้หลายชั้นในห้องส่วนตัวแห่งนี้ ไม่อย่างนั้น ความอึกทึกครึกโครมที่เกิดขึ้นคงดึงดูดให้ใครต่อใครเข้ามามุงดูแน่


ขณะที่น้ำเต้าตงฉู่สั่งสมพลังงานมากขึ้นเรื่อยๆ รอยร้าวก็ปรากฏบริเวณศีรษะของมัน สุดท้ายก็แยกออก ดูเหมือนน้ำเต้าตงฉู่พร้อมจะปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระได้ทุกเมื่อ


“เร็วๆนี้แหละ…” จางเซวียนเฝ้าดูเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยลมหายใจถี่กระชั้น


พูดกันตามตรง เขาอยากรู้มากว่าแท้ที่จริงแล้วน้ำเต้าตงฉู่คืออะไร มันอ้างว่าตัวเองคืออสูรในตำนานที่มีอำนาจบงการทั่วทั้งดินแดน แต่จางเซวียนก็คิดไม่ออกว่ารูปร่างหน้าตาจริงๆของมันน่าจะเป็นอย่างไร


ครืดดดดด!


รอยร้าวลุกลามลงมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ศีรษะจนถึงส่วนเอว ก่อนจะหยุดกึก ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ดูเหมือนมันจะไม่ลุกลามต่ำลงไปกว่านั้น


ในเวลาเดียวกัน รังสีที่น้ำเต้าตงฉู่แผ่ออกมาก็เริ่มสลายตัวไป


“เกิดอะไรขึ้น?” จางเซวียนถามอย่างงุนงง


“คือ…” น้ำเต้าตงฉู่หัวเราะแหะๆ “ผมคิดว่าผมคงประเมินปริมาณพลังงานที่ต้องใช้ต่ำไปหน่อย ผมยังอยากได้มากกว่านี้ เอ่อ…ทำไมคุณไม่ไปหายาเม็ดอมตะขั้นพิเศษอีกสัก 200 เม็ดมาให้ผมล่ะ? ผมสัญญาว่าคราวนี้ผมจะปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระได้จริงๆ!”


“ยาเม็ดอมตะขั้นพิเศษอีก 200 เม็ด?” จางเซวียนแทบลมจับ


ตอนที่ 2051 พวกคุณสามคนโจมตีผมทำไม?

แกคิดว่ายาเม็ดอมตะขั้นพิเศษเป็นขนมราคาถูกที่จะซื้อเมื่อไหร่ก็ได้ที่ต้องการหรือ?


บ้าแล้ว! ขนาดยาเม็ดอมตะขั้นพิเศษ 200 เม็ด…แกก็ยังกินไม่พอ แกเป็นหลุมดำหรือไง?


ถึงตราสัญลักษณ์ของปรมาจารย์ขงจะทำให้เราซื้อหาทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธได้มากเท่าที่ต้องการ แต่ปัญหาก็คือเมืองปี้หยวนแห่งนี้ไม่มียาเม็ดอมตะขั้นพิเศษจำนวนมากขนาดนั้น!


ขืนไปร้องขอมากกว่านี้ล่ะก็ ปรมาจารย์ขงจะต้องตามตัวเราแน่!


“แกอยู่ในน้ำเต้าไปตลอดชีวิตเลยก็แล้วกัน!” จางเซวียนคำราม ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูด


เขากำลังคิดว่าจะไม่ต้องหวาดกลัวอะไรอีกแล้วเมื่อน้ำเต้าตงฉู่ทำลายฉนวนที่ปิดกั้นร่างของมันได้ แต่ดูเหมือนโชคชะตาจะไม่เป็นใจเสียเลย


เขาคงโง่เง่าเต็มทีหากหลงเชื่อเป็นตุเป็นตะกับคำพูดของน้ำเต้าตงฉู่ที่แสนไว้ใจไม่ได้ตัวนี้!


“ถ้าคุณไม่มียาเม็ดล่ะก็ อาวุธก็ใช้ได้นะ คุณก็รู้ว่าผมสนใจดาบถงซังเล่มนั้นของคุณมาตั้งนานแล้ว…” น้ำเต้าตงฉู่ร้องออกมาอย่างตื่นเต้น


คำนั้นทำให้คมดาบของดาบถงซังสั่นสะท้าน


จางเซวียนจ้องหน้าน้ำเต้าตงฉู่เขม็งขณะสั่งการให้มันกลับสู่จุดตันเถียน เขาส่ายหน้าอย่างผิดหวังแล้วออกจากห้องส่วนตัวนั้น


เป้าหมายของการแวะเมืองปี้หยวนคือเพื่อปลดปล่อยฉนวนของน้ำเต้าตงฉู่ แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะไม่ได้ผล แค่คิดก็โมโหเดือดแล้ว


“หัวหน้าเจิ้ง!”


เมื่อเห็นจางเซวียน ศิษย์สายตรงจากหอนานาอสูรรีบเข้ามาทักทาย


“เดินทางต่อเถอะ” จางเซวียนส่ายหน้าอย่างจนปัญญา คร้านจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น


ในเมื่อเขาปลดปล่อยฉนวนของน้ำเต้าตงฉู่ไม่ได้ ก็ไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่อีกแม้แต่วินาทีเดียว การจะรวบรวมทรัพยากรเพื่อการฝึกฝนวรยุทธจากหอนิรันดร์ของเมืองปี้หยวนมาอีกคงทำได้ยาก


เขาคงต้องหาวิธีอื่นเมื่อเดินทางถึงทะเลพลัดดาว


“ขอรับ หัวหน้าเจิ้ง!”


ศิษย์สายตรงผู้นั้นปรบมือ แล้วอสูรอมตะบินได้ก็บินออกจากกระสอบอสูรของเขา เขารีบกระโจนขึ้นขี่หลังมัน


จางเซวียนกำลังจะทำแบบเดียวกัน ก็พอดีกับที่ต้องหรี่ตาด้วยความตกใจ เขารู้สึกได้ถึงความเย็นเยือกที่เข้าครอบงำตั้งแต่หัวจรดเท้า


มันคือกลิ่นอายของอันตราย


“แย่แล้ว! วิ่ง…” จางเซวียนตะโกน


แต่ยังไม่ทันขาดคำ อสูรอมตะบินได้ที่อยู่ตรงหน้าเขาก็ระเบิดเป็นจุณ


ร่างของมันกลายเป็นเศษเนื้อหนังเลือดโชกและกระดูกเกลื่อนกลาด


การระเบิดอย่างกะทันหันของอสูรอมตะขั้นสูงระดับล่างทำให้เกิดคลื่นพลังงานมหาศาล ส่งผลให้ศิษย์สายตรงที่ขี่มันอยู่กระเด็นขึ้นไปกลางอากาศก่อนจะตกลงมากระแทกพื้นอย่างแรง มีรอยไหม้ หลายแห่งทั่วร่างของเขา ยากจะบอกได้ว่าเขายังหายใจอยู่หรือไม่


วิ้ง!


ส่วนจางเซวียนก็ขับเคลื่อนพลังปราณและรีบสร้างปราการพลังงานเพื่อปกป้องตัวเขาจากคลื่นความสั่นสะเทือนนั้น แม้จะลงมืออย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังถูกแรงปะทะบีบให้ถอยไปหลายก้าว


และก่อนที่จะทันได้ตั้งตัว ก็รู้สึกได้ถึงกระแสความเย็นเยือกที่พุ่งเข้าใส่แผ่นหลังของเขาอีกครั้ง


ฟิ้ววววว!


กระแสพลังงาน 6 สายพุ่งเข้าใส่จางเซวียนจากด้านหน้า ด้านหลัง ด้านซ้าย ด้านขวา ข้างบน และข้างล่าง หมายจะเล่นงานเขาให้ได้


“บ้าจริง!” จางเซวียนกำหมัดแน่นขณะกวัดแกว่งดาบถงซัง


เขารีบสำแดงศิลปะเพลงดาบเพื่อการป้องกันตัว สร้างชั้นกระแสดาบฉีขึ้นมาปกป้องตัวเองไว้


พลั่ก!


กระแสดาบฉีทั้ง 6 สายปะทะกับปราการดาบฉีที่จางเซวียนสร้างขึ้น ทำให้มือไม้ของเขาเป็นเหน็บ การโจมตีพร้อมๆกันจาก 6 ทิศทางเกือบทำให้เขาสลบ


หลังจากปัดป้องกระแสดาบฉีทั้ง 6 สายแล้ว จางเซวียนก็กระอักเลือด แม้เขาจะปัดการโจมตีนั้นออกไปได้ แต่พละกำลังมหาศาลของมันก็ทำให้อวัยวะภายในของเขาได้รับความกระทบกระเทือน เกิดเป็นความบอบช้ำภายใน


“ปัดป้องการโจมตีของผมได้ทั้งที่ไม่ทันระวังตัว…คุณนี่เป็นคู่ต่อสู้ที่คู่ควรจริงๆ” เสียงหนึ่งดังขึ้น


จางเซวียนรีบขับเคลื่อนพลังปราณเทียบฟ้าเพื่อเยียวยาอาการบาดเจ็บ ขณะเงยหน้าขึ้นและมองไปทางต้นเสียง


มีชาย 3 คนยืนอยู่ตรงหน้า ทุกคนยังเป็นวัยรุ่น แม้จะดูอายุน้อย แต่พวกเขาก็เป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์แล้ว เหมือนชายเสื้อคลุมสีดำจากหอเทพเจ้าที่เขาเคยเผชิญหน้าก่อนหน้านี้ แต่วัยรุ่นทั้งสามมีรังสีของความยิ่งใหญ่ ให้ความรู้สึกราวกับว่าเพียงแค่พวกเขาโบกมือ ก็สามารถฉีกกระชากมิติได้


เรื่องนี้ทำให้จางเซวียนตัวแข็งเมื่อรู้แล้วว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน


เขารีบเหลียวมองรอบตัว และพบว่าถูกผลักให้เข้ามาอยู่ในมิติลี้ลับแห่งหนึ่ง แม้แต่การระเบิดของอสูรอมตะขั้นสูงระดับล่างก่อนหน้านี้ก็ถูกปกปิดไว้ภายในมิติลี้ลับ ไม่มีใครรู้เห็น


“พวกคุณสามคนโจมตีผมทำไม?” จางเซวียนตั้งคำถามด้วยสีหน้าเย็นเยียบ


“ทำไมน่ะหรือ? คุณน่าจะรู้ดีกว่าคนอื่นนะ ใช่ไหม? จางเซวียน!” วัยรุ่นที่ยืนอยู่หน้าสุดตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา


“พวกคุณมาจากหอเทพเจ้า?” จางเซวียนผงะ


เขามั่นใจในการปลอมตัวของตัวเอง แม้แต่หัวหน้าฉิงแห่งหอนานาอสูรก็ยังไม่อาจมองทะลุการปลอมตัวของเขา แต่อีกฝ่ายชี้ชัดตัวตนที่แท้จริงของเขาได้ทันทีโดยปราศจากความลังเล


จางเซวียนไม่เข้าใจจริงๆว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมการปลอมตัวของเขาจึงส่งผลแบบนี้?


จางเซวียนดำเนินการทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เกือบเสียชีวิตจากการลอบสังหารก่อนหน้านี้ เขาใช้เครื่องรางแห่งการปลอมตัวของหลัวลั่วชิงเพื่อปรับเปลี่ยนทั้งรูปลักษณ์ รังสีของจิตวิญญาณ น้ำเสียง และแม้แต่สายเลือด และเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาใช้เจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้า ก็พยายามเต็มที่ที่จะปกปิดศิลปะเพลงดาบนั้นไว้


ต่อให้หอเทพเจ้าจะตาสับปะรดขนาดไหน เขาก็มั่นใจว่าจะหลอกลวงคนพวกนั้นได้!


แต่แล้วก็กลับถูกมองออกอย่างง่ายดาย แถมอีกฝ่ายยังพูดออกมาอย่างมั่นใจว่าเขาคือจางเซวียน ตรงเข้าเล่นงานเขาโดยไม่มีความลังเลสักนิด


ต่อให้ข่าวเรื่องที่พำนักของเขารั่วไหลออกไป เขาก็คิดว่าหอเทพเจ้าคงต้องใช้เวลาสักระยะกว่าจะตามตัวเขาเจอ


หรือว่าหอเทพเจ้ามีวิธีการเฉพาะบางอย่างในการสะกดรอยตามเขา ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ คงเป็นหายนะครั้งใหญ่!


“ใช่” วัยรุ่นคนหนึ่งตอบ “การที่คุณเล่นงานนักรบ 4 คนของเราได้ก็บ่งบอกแล้วว่าตัวคุณแข็งแกร่งไม่น้อย แต่คราวนี้คุณคงดวงกุดแล้วล่ะ”


ระหว่างนั้น จางเซวียนก็รีบประเมินสถานการณ์ตรงหน้า


เขาเคยสู้รบปรบมือกับคนจากหอเทพเจ้ามาแล้ว จึงรู้ดีว่าไม่มีทางฝ่ามิติลี้ลับแห่งนี้ออกไปได้ เว้นเสียแต่เขาจะสังหารสามนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ที่อยู่ตรงหน้าได้สำเร็จ


คราวก่อนจางเซวียนต่อสู้กับนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์เพียงคนเดียว แต่นั่นก็เกินพอจะทำให้เขาจนมุม ส่วนคราวนี้ เขาต้องเจอกับนักรบขั้นนั้นพร้อมกันทีเดียวถึง 3 คน และเห็นได้ชัดว่าแต่ละคนแข็งแกร่งกว่าชายเสื้อคลุมสีดำที่เขาเคยเจอ


เรื่องนี้ทำให้จางเซวียนเสียเปรียบมาก


“พวกเราโจมตีพร้อมๆกันเถอะ ถ้าคราวนี้ไม่สำเร็จล่ะก็ นายท่านต้องฆ่าเราแน่” ชายวัยรุ่นคนหนึ่งพูดขณะเงื้อมือขึ้นเพื่อปล่อยการโจมตี


นิ้วมือทั้ง 5 ของเขาให้ความรู้สึกราวกับขุนเขาหนักอึ้งที่ร่วงลงมาจากท้องฟ้า พร้อมทำลายทุกอย่างที่ขวางทาง ในเวลาเดียวกัน อีก 2 คนก็พุ่งเข้าใส่และประกบจางเซวียนจากด้านข้าง


“ไป!” จางเซวียนตบกระสอบอสูรของเขาทันที


สี่อสูรอมตะที่เขาเคยทำให้พวกมันยอมจำนนกระโจนออกมา


มังกรอสรพิษพุ่งเข้าใส่วัยรุ่นที่โจมตีจางเซวียนจากด้านหน้า ขณะที่นกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัวกับเสือเขี้ยวดาบเจ็ดหางเล่นงานนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์อีก 2 คนที่มาประกบด้านข้าง


“ของเด็กเล่น!”


วัยรุ่นที่เข้าโจมตีจางเซวียนจากด้านหน้าประหลาดใจเล็กน้อยกับการปรากฏตัวของอสูรอมตะทั้งสี่ แต่พริบตาเดียวเขาก็ตั้งตัวได้ และหัวเราะหึๆพร้อมกับปล่อยพลังจากฝ่ามือลงมา


มังกรอสรพิษรู้สึกราวกับตัวมันถูกขุนเขาสูงตระหง่านห้าลูกตรึงให้ติดอยู่กับพื้น ไม่ว่าจะสำแดงพละกำลังแค่ไหน ก็ขยับตัวไม่ได้แม้แต่นิดเดียว


“แค่นี้หรือ?”


ขณะที่วัยรุ่นที่อยู่ด้านหน้ากำลังจัดการมังกรอสรพิษ จางเซวียนก็ถือโอกาสนี้พุ่งออกไป เขาสำแดงเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าออกมา ทั้งร่างของจางเซวียนดูเหมือนจะแปรเปลี่ยนเป็นดาบที่คมกริบอย่างน่าทึ่ง


เพราะคู่ต่อสู้คือสามนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์จากหอเทพเจ้า จางเซวียนจึงไม่กล้าปล่อยให้การ์ดตก เขาต้องกำจัดคนใดคนหนึ่งโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อลดความเสี่ยง


ไม่อย่างนั้น ทันทีที่ทั้งสามตีวงล้อมเขาได้สำเร็จ เขาก็จะตกที่นั่งลำบาก


อีกอย่าง ตอนนี้จางเซวียนไม่มีหน้าหนังสือสีทองอยู่กับตัว หากต้องจนมุมที่นี่ ก็คงเป็นจุดจบ


“เก่งกาจไม่เบานี่!”


วัยรุ่นที่อยู่ตรงหน้าจางเซวียนนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกะระยะเวลาได้พอเหมาะพอดีขนาดนั้น ใช้ช่วงเวลาที่เขากำลังเล่นงานมังกรอสรพิษมาสำแดงการตอบโต้


เขาชักดาบออกมาปัดป้องการโจมตีของจางเซวียนทันที


ดาบนั้นทั้งโหดเหี้ยมและเย็นเยือก ทำให้ผู้พบเห็นขนลุกขนชันทั่วทั้งตัว แต่ทันทีที่ดาบอยู่ในมือของเขา รังสีของเขาก็พุ่งออกมา


มันคืออาวุธระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์!


ในแง่ของความคม ถือว่าเหนือชั้นกว่าแม้แต่ดาบถงซัง


ควั่บ! ควั่บ!


ชายวัยรุ่นกวัดแกว่งดาบหลายครั้ง ปลดปล่อยกระแสดาบฉีมากมายนับไม่ถ้วนออกมา กระแสดาบฉีเหล่านั้นพุ่งตรงเข้าเล่นงานจางเซวียน


ถ้าจางเซวียนเจอกระแสดาบฉีอย่างจังๆ ไม่เพียงแต่การสำแดงกระบวนท่าของเขาจะล้มเหลว ยังมีโอกาสสูญเสียแขนขาด้วย


“ฮึ่มมมม!”


แม้จะเผชิญหน้ากับการโจมตีดุเดือดแบบนั้น จางเซวียนก็ไม่ถอย เขาตะโกนก้อง จากนั้นก็รุกคืบต่อไป


“คุณรนหาที่ตายแล้ว!” ชายวัยรุ่นคำรามขณะทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดเข้าสู่ดาบ ตั้งใจจะเล่นงานจางเซวียนให้ราบคาบภายในกระบวนท่าเดียว


แต่ทันใดนั้น ดาบก็หลุดมือ


ชายวัยรุ่นตัวแข็ง เขาพรั่นพรึงอย่างหนักเมื่อพบว่าดาบระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ที่ถืออยู่เมื่อครู่นี้หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่?


ฟึ่บ!


เมื่อไม่มีดาบคอยพยุงพละกำลังไว้ กระแสดาบฉีก็สลายตัวไปอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันที่ชายวัยรุ่นจะได้ตอบโต้ ดาบของจางเซวียนก็ปักฉึกเข้าที่ฝ่ามือของเขา แล้วลากขึ้นไปที่หัวไหล่


“จัดการ!”


จางเซวียนถ่ายทอดกระแสดาบฉีเข้าสู่ดาบของเขาอย่างบ้าคลั่ง


เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น แขนของชายวัยรุ่นแหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย


“อ๊ากกกกก!” เขาร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดขณะถอยกรูด


จางเซวียนตั้งใจจะไล่ตามอีกฝ่ายไป แต่ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานนั้น เขาเลือกที่จะล่าถอย


ตอนที่ 2052 ของล้ำค่าระดับกึ่งสรวงสวรรค์?

ทันทีที่จางเซวียนถอย กระแสดาบฉีมากมายนับไม่ถ้วนก็ฟาดฟันไปทั่วบริเวณที่เขาเคยยืนอยู่เมื่อครู่ก่อน เมื่อมองไป จางเซวียนเห็นมังกรอสรพิษ นกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัว และหมาจิ้งจอกหูขาวนอนหมดเรี่ยวแรงอยู่กับพื้น


ด้วยการปะทะกับเหล่าผู้เชี่ยวชาญจากหอเทพเจ้าเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ พวกมันก็บาดเจ็บสาหัส


ผู้ที่เล่นงานมันคือวัยรุ่นอีก 2 คนที่เหลือ


จางเซวียนเพิ่งจัดการชายวัยรุ่นที่เป็นหัวหน้ากลุ่มไปได้เพียงกระบวนท่าเดียว แต่ชายวัยรุ่นอีก 2 คนที่เหลือปราบอสูรทั้งสี่ตัวของเขาจนราบคาบ ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วกว่าที่เขาคิดไว้มาก


แถมทั้งคู่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆขณะที่เล่นงานสี่อสูรอมตะของเขา


สถานการณ์ดูไม่ดีเลย ชายวัยรุ่นที่เป็นหัวหน้าอาจเสียแขนไปข้างหนึ่ง แต่นั่นเป็นแค่ความพ่ายแพ้เล็กน้อยที่ลดทอนประสิทธิภาพการต่อสู้ลงนิดหน่อยเท่านั้น ขณะที่ตัวเขาสูญเสียอสูรอมตะถึงสี่ตัว ทำให้เสียเปรียบกว่าเดิมมาก


ตอนนี้ ชายวัยรุ่นที่เป็นหัวหน้ากลับคืนสู่สังเวียนการต่อสู้แล้ว เขาจัดการปิดบาดแผลที่หัวไหล่เพื่อห้ามเลือด ก่อนจะสะบัดข้อมือแล้วนำฉนวนโลหะอันหนึ่งออกมา


เพราะเป็นของล้ำค่าระดับอมตะขั้นสูงปฐพี ฉนวนโลหะอันนี้จึงไม่ได้ทรงพลังอย่างดาบเล่มเมื่อครู่ แต่ด้วยความหนักอึ้งของวัสดุที่ใช้ ก็ถือว่าน่าสะพรึงไม่น้อย


“ไปเลย!” ชายวัยรุ่นโยนฉนวนโลหะออกไป


ฟึ่บ!


จางเซวียนพลันรู้สึกว่าตัวเขาถูกโอบล้อมด้วยภูเขาสูงตระหง่าน ร่างของเขาดูเหมือนจะถูกปราการบางอย่างรัดรึงไว้ จนไม่อาจดิ้นรนให้หลุดพ้นได้


ดาบถงซังมีระดับขั้นสูงกว่าฉนวนโลหะอันนี้มาก แต่ฉนวนโลหะก็หนักอึ้งเกินไป แม้ด้วยศิลปะเพลงดาบอันเหนือชั้นของจางเซวียน เขาก็ยังเผชิญหน้ากับมันตรงๆได้ยาก


“ฮ่าฮ่าฮ่า! ขอดูหน่อยเถอะว่าคุณจะรับมืออย่างไร!”


เห็นจางเซวียนถูกรัดรึงด้วยแรงกดดันของฉนวนโลหะ วัยรุ่นคนหนึ่งคำรามเยาะขณะพุ่งเข้าใส่จางเซวียนและปล่อยพลังจากฝ่ามือ


ขอแค่พวกเขาทำให้จางเซวียนหมดหนทาง ภารกิจนี้ก็จะสำเร็จลุล่วง เพราะถึงอย่างไร เงื่อนไขเพียงข้อเดียวที่พวกเขาต้องระมัดระวังก็คือไม่ทำร้ายอีกฝ่ายจนถึงตาย ส่วนจะบาดเจ็บสาหัสแค่ไหนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่


“คุณเบิ่งตาดูให้ชัดๆก็แล้วกัน!”


ขณะที่พลังจากฝ่ามือของชายวัยรุ่นพุ่งเข้าใส่จางเซวียน ฝ่ายหลังก็หัวเราะลั่น


พริบตาต่อมา ฉนวนโลหะที่อยู่กลางอากาศก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้แรงกดดันที่รัดรึงจางเซวียนอยู่สลายไปด้วย จางเซวียนจึงใช้โอกาสนี้เล่นงานชายวัยรุ่นที่อยู่ตรงหน้า


ฟึ่บ!


อีกฝ่ายถูกกระแสดาบฉีแผดเผาอวัยวะสำคัญภายในทั้งหมด เขามีสีหน้าสิ้นหวังก่อนจะทรุดฮวบลงกับพื้น


เขานึกไม่ถึงว่าฉนวนโลหะจะหายวับไปต่อหน้าต่อตาแบบนั้น ทำให้ชายหนุ่มที่เมื่อครู่นี้ยังขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้กลายเป็นอิสระ และเขาก็นึกไม่ถึงด้วยว่าอีกฝ่ายจะมีกระแสดาบฉีมากมายที่รอโอกาสตอบโต้


ฟู่!


หลังจากเล่นงานวัยรุ่นไปได้อีกคนหนึ่ง จางเซวียนระบายลมหายใจยาว แต่ก็ยังไม่กล้าปล่อยให้การ์ดตก


เพื่อล่อหนึ่งในคนเหล่านั้น เขาตั้งใจแบกรับแรงกดดันจากฉนวนโลหะไว้ก่อน และเพื่อให้แน่ใจว่าการสังหารจะเป็นไปอย่างเฉียบขาด จางเซวียนจึงสะสมกระแสดาบฉีไว้จนเต็มพิกัด ทำให้ทางเดินพลังปราณ 2-3 เส้นของเขาเสียหายไปเล็กน้อย


ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพไม่ดีนัก แต่ก็รู้ว่ายังไม่ใช่เวลาหยุดพัก


ชายวัยรุ่นอีกคนหนึ่งรู้ดีว่าจางเซวียนกำลังอ่อนแอ และเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ ขณะที่จางเซวียนเคลื่อนไหว ชายวัยรุ่นคนนั้นก็เข้ามาจากด้านหลังและปล่อยพลังฝ่ามืออันหนักหน่วงออกมา แรงปะทะนั้นทำให้ร่างของจางเซวียนลอยขึ้นสู่กลางอากาศ มันทรงพลังเสียจนเขากระเด็นไป ดูเหมือนจะสูญเสียความรู้สึกทั้งหมดไปอย่างสิ้นเชิง


ราวกับการโจมตีนั้นได้คร่าชีวิตของเขา


“อะไรกัน?”


ชายวัยรุ่นเลิกคิ้วด้วยความระแวง


เขาแน่ใจว่าได้ยั้งมือแล้ว เพราะเกรงจะพลั้งมือทำให้จางเซวียนต้องตาย ถ้าอีกฝ่ายตายจริงๆล่ะก็ เขาไม่มีทางเผชิญหน้ากับนายท่านได้แน่!


แต่ร่างกายของจางเซวียนก็อ่อนปวกเปียกเสียขนาดนั้น หรือว่าเขาบังเอิญเล่นงานเข้าที่จุดสำคัญและสังหารอีกฝ่ายเสียแล้ว?


เป็นไปไม่ได้! มันต้องไม่เป็นแบบนี้!


เขาถูกฆ่าตายแน่ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้น!


ด้วยความกังวลใจ ชายวัยรุ่นปรี่เข้าหาร่างแน่นิ่งของจางเซวียน ตั้งใจจะดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แล้วการมองเห็นของเขาก็พร่าเลือนไปขณะที่ร่างหนึ่งปรากฏตรงหน้า


“คุณ…”


ร่างนั้นสวมเสื้อผ้าแบบเดียวกับเขา แต่ไม่ใช่สมาชิกในกลุ่มของเขาอย่างแน่นอน เขาคือหนึ่งในชายเสื้อคลุมสีดำที่เป็นนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ผู้ล้มเหลวในภารกิจครั้งก่อน!


ขณะที่ชายวัยรุ่นกำลังสงสัยว่าจู่ๆหมอนี่มาอยู่ตรงหน้าเขาได้อย่างไร ก็พลันรู้สึกเจ็บแปลบที่ลำคอ


เขาลดสายตาลงมอง…ตุ้บ!


ศีรษะของเขาหลุดออกจากลำคอแล้ว


เรื่องจริงก็คือจางเซวียนไม่ได้นำหุ่นโลหะไร้วิญญาณออกมาเพียงตัวเดียว แต่นำออกมาถึง 2 ตัว ขณะที่ชายวัยรุ่นกำลังสนใจหุ่นโลหะไร้วิญญาณตัวแรกอยู่ อีกตัวหนึ่งก็สำแดงศิลปะเพลงดาบและตัดศีรษะของเขา


ในสถานการณ์ทั่วไป กลยุทธแบบนี้ไม่น่าจะได้ผล แต่เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นติดต่อกันอย่างรวดเร็วจนชายวัยรุ่นเกิดความมึนงง เขาลดความระแวงระวังลงไปชั่วขณะ จึงเกิดเป็นจุดอ่อนให้หุ่นโลหะไร้วิญญาณตรงเข้าเล่นงานได้


พลั่ก!


พริบตาต่อมา ร่างปวกเปียกของจางเซวียนก็กระแทกกับพื้นอย่างแรง เขากระอักเลือดออกมา 3 กองใหญ่


ด้วยการใช้ความสามารถของน้ำเต้าตงฉู่และหุ่นโลหะไร้วิญญาณ จางเซวียนสามารถเล่นงานคู่ต่อสู้สองคนของเขาได้ภายในเวลา 5 อึดใจ แต่ก็ใช้พละกำลังของร่างกายไปจนถึงขีดสุด เรียกได้ว่า เกือบจะไม่ไหวแล้ว


โดยเฉพาะตอนที่เขาจงใจต้านทานพลังฝ่ามือจากชายวัยรุ่นคนหนึ่งเพื่อล่อลวงอีกฝ่าย ถ้าไม่ใช่เพราะเคล็ดวิชาเทียบฟ้าและการที่อีกฝ่ายยั้งมือไว้ เขาคงตายแน่


จางเซวียนรีบนำขวดหยกออกมาและดื่มน้ำในนั้นลงไป ไม่ช้าก็รู้สึกว่าอาการบาดเจ็บค่อยๆทุเลา เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นก็หันไปมองชายวัยรุ่นคนสุดท้ายซึ่งเสียแขนไปข้างหนึ่ง


“เจ้านายของคุณต้องการตัวผมเพราะอะไร?”


ถึงจางเซวียนจะรู้มาว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการที่เขาทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น


เจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าไร้เทียมทานก็จริง แต่ก็ดูไม่มีเหตุผลที่องค์กรสูงส่งอย่างหอเทพเจ้าจะลดตัวลงมาเล่นงานแค่นักรบอมตะตัวจริงเพียงคนเดียว


อีกอย่าง ดูเหมือนคนพวกนี้ตั้งใจจะจับเขาเป็นๆด้วย


เงื่อนงำต่างๆดูไม่เชื่อมโยงกัน จางเซวียนรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็ระบุไม่ได้ว่าคืออะไร


“คุณไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้รู้หรอก” ชายวัยรุ่นตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา


พูดตามตรง เขาเองก็อึ้งกับสถานการณ์ตรงหน้า ไม่เคยคิดเลยว่าผู้ที่มีวรยุทธอ่อนด้อยกว่าพวกเขาถึงหนึ่งขั้นเต็มๆจะเล่นงานแขนของเขาและสังหารเพื่อนร่วมทีมอีกสองคนได้ภายในเวลาเพียง 5 อึดใจ


เมื่อรู้แล้วว่าชายหนุ่มคนนี้ทรงพลังขนาดไหน เขามีสีหน้าเคร่งเครียด


นายท่านหงุดหงิดมากกับความล้มเหลวครั้งก่อน หากครั้งนี้เขาปฏิบัติภารกิจไม่สำเร็จ…


ชายวัยรุ่นตัวสั่นเมื่อนึกถึงชะตากรรมที่รอคอยอยู่ นายท่านมีวิธีการมากมายที่จะทำให้ผู้ที่ขัดใจเขารู้สึกอยากตายมากที่สุดในชีวิต!


เขาสูดหายใจลึกและหรี่ตา “นายท่านพูดถูก คุณเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าสะพรึงจริงๆ ผมไม่อยากใช้ของล้ำค่าที่นายท่านมอบให้ แต่ดูเหมือนจะไม่มีทางเลือก…”


เขาสะบัดข้อมือ แล้ววัตถุที่มีลักษณะเหมือนจานรูปกลมก็ลอยขึ้นสู่กลางอากาศ ทันทีที่มันปรากฏ ก็เกิดรอยร้าวขึ้นในมิติโดยรอบ


“ของล้ำค่าระดับกึ่งสรวงสวรรค์?” จางเซวียนหรี่ตา


จางเซวียนไม่เคยเห็นของล้ำค่าระดับกึ่งสรวงสวรรค์มาก่อน แต่การปรากฏตัวของมันทำให้มิติโดยรอบพังทลาย บ่งบอกถึงประสิทธิภาพที่อยู่ในนั้น แถมความเข้มข้นของรังสีที่ของล้ำค่าแผ่ออกมาก็ไม่ต่างกับหานเจี้ยนชิว ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือของล้ำค่าที่เหนือชั้นกว่าระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์!


ของล้ำค่ารูปร่างเหมือนจานนั้นเรืองแสงที่ทำให้บริเวณโดยรอบสว่างจ้า จางเซวียนยืนอยู่ท่ามกลางแสงสว่าง ร่างกายแข็งทื่อ ไม่อาจเคลื่อนไหวหรือขับเคลื่อนพลังปราณได้


“คุณควรจะภูมิใจนะที่บีบบังคับให้ผมใช้ตัวล็อคจิตวิญญาณทองคำได้” ชายวัยรุ่นจ้องจางเซวียนด้วยแววตาเย็นเยียบ


เป็นอย่างที่จางเซวียนคิดไว้ ของล้ำค่าที่มีหน้าตาเหมือนจานชิ้นนี้คือของล้ำค่าระดับกึ่งสรวงสวรรค์จริงๆ-ตัวล็อคจิตวิญญาณทองคำ!


มันสามารถสกัดกั้นพลังชีวิต จิตวิญญาณ และพลังปราณของคู่ต่อสู้ได้ ทำให้ทุกอย่างหยุดนิ่งอยู่กับที่


“จัดการมัน!” จางเซวียนพยายามสุดตัวที่จะขับเคลื่อนพลังปราณเพื่อปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากพันธนาการนั้น


แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ไม่ว่าเขาจะขับเคลื่อนพลังงานหนักหน่วงแค่ไหน ก็คล้ายกับมีเขื่อนอันทรงพลังขวางทางอยู่ ไม่ว่าเขาจะใช้เรี่ยวแรงมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ไม่อาจปลดปล่อยพลังงานให้ทะลุผ่านมันได้


เมื่อปราศจากพลังงานที่พยุงร่างกายไว้ จางเซวียนก็หมดหนทางสู้ ชะตากรรมเดียวที่รอคอยอยู่คือการถูกจับตัว


“ไปเลย!”


ตัวล็อคจิตวิญญาณทองคำค่อยๆร่อนลงมาจากกลางอากาศ แม้จะยังไม่ทันเข้าใกล้ จางเซวียนก็รู้สึกได้ถึงพละกำลังมหาศาลที่ถาโถมเข้าใส่ ทำให้เลือดทะลักออกจากจุดชีพจรของเขา


เกิดเสียงหึ่งดังกึกก้องกลางอากาศ


ตราหยกที่หานเจี้ยนชิวมอบให้จางเซวียนไว้แตกสลายในชั่วพริบตา ปราการแสงรูปทรงกลมโอบล้อมร่างของเขาไว้ทันที


ฟึ่บ!


ปราการที่มีลักษณะเหมือนค่ายกลนี้ทำลายแรงกดดันที่ถาโถมเข้าใส่จางเซวียนจนหมด ทำให้เขา ลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง จางเซวียนกลืนน้ำที่ได้จากการต้มน้ำเต้าตงฉู่ลงไป 1 ขวดก่อนจะรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังไร้เรี่ยวแรงตั้งแต่หัวจรดเท้า


เขาเคยคิดว่าตัวเขาคงไม่ห่างไกลนักกับการจะเทียบชั้นกับนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์หรือของล้ำค่าที่มีวรยุทธระดับนั้น เพราะเขาสามารถต่อสู้ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อกับนักรบระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ แต่ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าคิดผิด ทันทีที่เข้าใกล้ตัวล็อคจิตวิญญาณทองคำ จางเซวียนรู้สึกได้ทันทีถึงความแตกต่างของวรยุทธทั้งสองขั้นว่ายิ่งใหญ่กว่าที่เขาเคยคิดไว้มาก


ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมทั่วทั้งมิติเบื้องบนถึงหวาดกลัวเทพเจ้า เพราะลำพังของล้ำค่าระดับกึ่งสรวงสวรรค์ก็ทรงพลังมากพอที่จะเล่นงานนักรบอมตะขั้นสูงให้หมดหนทางแล้ว


“เครื่องรางปกป้องที่ทำขึ้นจากหยดเลือดของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์หรือ? คุณมีของดีๆอยู่กับตัวหลายชิ้นทีเดียวนะ ว่าแต่…ปราการคุ้มกันของคุณจะอยู่ได้นานสักแค่ไหน?” ชายวัยรุ่นหัวเราะขณะถ่ายทอดพลังปราณเข้าสู่ตัวล็อคจิตวิญญาณทองคำต่อไป


ตอนที่ 2053 สภาวะที่…ไม่อาจถูกทำลายได้

ครืนนนนน!


ของล้ำค่ายังคงพุ่งเข้าใส่จางเซวียน แรงกดดันมหาศาลทำให้เกิดรอยร้าวสีดำสนิทในมิติโดยรอบ แม้ปราการแสงจะยุบเข้ามาเพราะแรงกดดันจากตัวล็อคจิตวิญญาณทองคำ และดูเหมือนพร้อมจะระเบิดได้ทุกขณะ แต่จางเซวียนก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ภายใต้การคุ้มกันของปราการแสงนั้น เขารู้สึกได้ถึงความหนักอึ้งที่กดทับแผงอกของเขา


แบบนี้ไม่ได้ เราต้องตายแน่ จางเซวียนคิด


พลังงานที่อยู่ในเครื่องรางปกป้องนั้นมีจำกัด แม้หานเจี้ยนชิวจะเคยบอกว่ามันสามารถต้านทานการโจมตีจากนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้ แต่เขาก็รู้ดีว่ามันจะอยู่ได้จนกระทั่งใช้พลังงานหมดเท่านั้น ทันทีที่ปราการแสงแตกสลายไป เขาจบเห่แน่!


“แกรออะไรอยู่ล่ะ? รีบออกมากินของล้ำค่าชิ้นนั้นสิ!” จางเซวียนเร่งอย่างร้อนใจ


“มันทรงพลังเกินไป…เว้นเสียแต่คุณจะยับยั้งการโจมตีของมันได้นานพอให้ผมมีเวลากลืนกินมันจนหมด ไม่อย่างนั้นละก็ ผมรับมือกับแรงกดดันที่มันแผ่ออกมาไม่ได้หรอก” น้ำเต้าตงฉู่โอดครวญอย่างสิ้นหวัง


“ยับยั้งการโจมตีของมัน?” จางเซวียนหน้าดำคร่ำเครียด


ถ้าเขาทำได้ คงไม่ต้องจนมุมอยู่แบบนี้!


รู้ดีว่าจะมัวชักช้าไม่ได้ จางเซวียนตะโกน “แกก็ออกมาช่วยฉันด้วยสิ!”


ตัวโคลนปรากฏตัวขึ้นทันที มันย่นหน้าผากอย่างขัดใจ จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่ชายวัยรุ่น


แรงกดดันหนักหน่วงที่ตัวล็อคจิตวิญญาณทองคำแผ่ออกมานั้นปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่ ซึ่งหมายความว่าตัวโคลนย่อมได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่ดูเหมือนจะยับยั้งการเคลื่อนไหวของมันไม่ได้มากนัก


ตัวโคลนของเขาถูกหลอมขึ้นจากบัวเก้าหัวใจ ทำให้มีร่างกายที่แข็งแกร่งทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ ด้วยความแข็งแกร่งของมัน ตัวโคลนยังคงยืนหยัดอยู่ได้แม้ตัวล็อคจิตวิญญาณทองคำจะแผ่แรงกดดันมหาศาลออกมา ประสิทธิภาพการต่อสู้ของมันลดลงไม่มาก


“นี่ตัวโคลนของคุณหรือ?”


ชายวัยรุ่นคิดไม่ถึงว่าจางเซวียนจะมีตัวโคลนที่ทรงพลังถึงขนาดต้านทานแรงกดดันจากตัวล็อคจิตวิญญาณทองคำซึ่งมีวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้ เขารีบสลัดความประหลาดใจออกไปและคำรามเยาะ “มันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอก ชะตากรรมของคุณน่ะถูกกำหนดไว้แล้ว!”


ขณะที่ชายวัยรุ่นพูด เขาก็รวบรวมพละกำลังเข้าสู่กำปั้นและปล่อยหมัดหนักหน่วงเข้าใส่ตัวโคลน


พลั่ก!


หมัดทรงพลังนั้นปะทะศีรษะของตัวโคลนอย่างจัง


ศีรษะของตัวโคลนยุบเข้าไปด้านใน แต่ก็ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สะทกสะท้าน ตัวโคลนยังคงรุดหน้าด้วยพละกำลังอันน่าสะพรึง


พลั่ก! ตุ้บ!


ตัวโคลนพุ่งเข้าปะทะแผงอกของชายวัยรุ่น ทำให้ซี่โครงของอีกฝ่ายหักเป็นท่อนๆ


“คุณ…”


ชายวัยรุ่นผงะกับความอึดถึกของตัวโคลน แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็ต้องประหลาดใจหนักกว่าเดิมที่เห็นศีรษะของอีกฝ่ายกลับสู่สภาพปกติแล้ว ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลย


“นี่คือสภาวะที่…ไม่อาจถูกทำลายได้?”


ชายวัยรุ่นหรี่ตา แผ่นหลังชุ่มเหงื่อ


กล่าวได้ว่าสภาวะที่ไม่อาจถูกทำลายได้เป็นความสามารถที่มีแต่เทพเจ้าเท่านั้นที่มี แต่ตัวโคลนของจางเซวียน ทำได้…มันเกิดอะไรขึ้น?


“ผมไม่เชื่อหรอก ไม่มีทางที่ลำพังตัวโคลนตัวหนึ่งจะเข้าถึงสภาวะที่ไม่อาจถูกทำลายได้!” ชายวัยรุ่นตะโกนก้อง


ชายวัยรุ่นกระโจนออกมา ร่างของเขาพร่าเลือนขณะพุ่งเข้าใส่ตัวโคลน ตอนนี้เขามีแขนเพียงข้างเดียว ทำให้เสียเปรียบ อานุภาพของเครื่องรางปกป้องและสภาวะที่ไม่อาจถูกทำลายได้ของตัวโคลนทำให้เขาถึงกับผงะ เพียงแค่เริ่มรู้สึกว่าการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้อาจล้มเหลวก็มากพอจะทำให้เขาสติแตกแล้ว


ไม่ว่าอย่างไร เขาจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด!


ชายวัยรุ่นแกว่งแขนอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนมีแขนนับพันงอกออกจากร่างของเขา ขณะที่พลังปราณพวยพุ่งออกมาพร้อมกับการเคลื่อนไหว บรรยากาศโดยรอบก็หนักอึ้งขึ้นมาทันที


แม้จะเสียแขนไปข้างหนึ่ง แต่ดูเหมือนประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาจะไม่ถูกกระทบมากนัก พละกำลังที่ชายวัยรุ่นแผ่ออกมายังคงน่าสะพรึงดังเดิม


“ลูกไม้ห่วยๆ รอดูก็แล้วกัน ผมเขี่ยการโจมตีของคุณออกได้ภายในกระบวนท่าเดียว!” ตัวโคลนประกาศอย่างภาคภูมิใจ


ตัวโคลนไม่ต้องใช้เทคนิคหรือกลยุทธใดๆ เขาโถมกำลังพุ่งเข้าใส่ชายวัยรุ่นอีกครั้ง


ตุ้บ! ตุ้บ! ปึ้ก! พลั่ก!


ชายวัยรุ่นใช้หมัดตะบันหน้าตัวโคลน ต่อด้วยหน้าอก หน้าท้อง และทุกส่วนของร่างกาย รอยยุบมากมายนับไม่ถ้วนปรากฏพรึ่บพรั่บบนร่างของตัวโคลน แต่ก็ไม่อาจยับยั้งเรี่ยวแรงของตัวโคลนได้ ยังไม่ทันที่ชายวัยรุ่นจะรู้ตัว เขาก็ถูกตัวโคลนเล่นงานจนคว่ำไปอีกครั้ง


พลั่ก!


ชายวัยรุ่นกระอักเลือดออกมาขณะถูกสอยกระเด็นไป ในตอนนั้น เขาสิ้นหวังเสียจนรู้สึกเหมือนร่างจะระเบิดได้ทุกเมื่อ


บ้าบออะไรกัน? นี่มันไม่ใช่การต่อสู้ด้วยซ้ำ! หมอนั่นใช้สภาวะร่างกายที่ไม่อาจถูกทำลายได้ของตัวเองเล่นงานเรา…


นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกคับอกคับใจนับตั้งแต่เริ่มต้นฝึกฝนวรยุทธมา


“ถ้าคุณเก่งจริงล่ะก็ ทำไมไม่เลิกใช้ไหล่ชนผมแล้วมาดวลกันแบบลูกผู้ชายล่ะ!” ชายวัยรุ่นคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว


“คุณไม่อยากให้ผมพุ่งชนคุณ?” ตัวโคลนส่ายหน้า “ก็ได้อยู่นะ”


พลั่ก!


จากนั้น ตัวโคลนก็กระโจนขึ้นไปนั่งทับร่างของชายวัยรุ่น


เมื่อรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดแสนสาหัสที่ใบหน้า ชายวัยรุ่นกระอักเลือดออกมา


ผมบอกคุณว่าอย่าพุ่งชน คุณก็เลยใช้ก้นนั่งทับหน้าผม? ไม่มีศักดิ์ศรีของผู้เชี่ยวชาญเลยหรือไง?


ให้นรกกินเถอะ คุณน่ะชั่วร้ายกว่านักเลงข้างถนนเสียอีก!


จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอกขณะเฝ้ามองตัวโคลนต่อสู้กับชายวัยรุ่น


เพราะชายวัยรุ่นรับมือกับตัวโคลนของเขาอยู่ แรงกดดันจากตัวล็อคจิตวิญญาณทองคำจึงลดลงมาก นี่เป็นโอกาสดีที่จางเซวียนจะเคลื่อนไหว เมื่อคิดได้ เขารีบส่งโทรจิตหาน้ำเต้าตงฉู่ “แกมัวรีรอหาอะไร? ออกไปสิ!”


“ได้!”


น้ำเต้าตงฉู่พุ่งออกจากจุดตันเถียนของจางเซวียน และยังไม่ทันที่ตัวล็อคจิตวิญญาณทองคำจะได้ตอบโต้ มันก็หายวับไป


น้ำเต้าตงฉู่กลืนมันไปแล้ว


ฟึ่บ!


ในเวลาเดียวกัน ปราการแสงจากเครื่องรางปกป้องก็ใช้พละกำลังจนเต็มพิกัดและสลายตัวไป


โชคดีที่จางเซวียนจัดการได้เร็วพอ ไม่อย่างนั้นตัวล็อคจิตวิญญาณทองคำคงกลายเป็นงานใหญ่


จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นก็หันไปมองตัวโคลนกับชายวัยรุ่นขณะประเมินว่าทำอย่างไรถึงจะเข้าไปช่วยตัวโคลนเล่นงานนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ให้อยู่หมัดได้ แต่ทันใดนั้น มิติที่อยู่เหนือตัวเขาก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง


รังสีไร้เทียมทานค่อยๆลอดออกมา


ตัวโคลนกับชายวัยรุ่นตื่นตระหนกกับรังสีนั้น ทั้งคู่ชะงักและเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า


น้ำเต้าลูกหนึ่งลอยตัวอย่างเงียบเชียบอยู่กลางอากาศ


การกลืนกินของล้ำค่าระดับกึ่งสรวงสวรรค์เข้าไปทำให้มันปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากฉนวนได้สำเร็จ


“นั่นคือตัวการที่กลืนกินของล้ำค่าของผม?”


ชายวัยรุ่นหน้าซีดตัวสั่น


ทั้งดาบระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ ฉนวนระดับอมตะขั้นสูงปฐพี และตัวล็อคจิตวิญญาณทองคำระดับกึ่งสรวงสวรรค์…ทั้งหมดถูกเจ้านี่กลืนกินหรือ?


มันเป็นแค่น้ำเต้าจริงๆหรือเปล่า?


“สำเร็จไหม?” จางเซวียนตาโต


ก่อนหน้านี้ ตอนที่เขามอบยาเม็ดอมตะขั้นพิเศษ 200 เม็ดให้น้ำเต้าตงฉู่ เจ้านั่นบอกว่ามันใกล้ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จเต็มทีแล้ว แต่ยังขาดแรงผลักดันขั้นสุดท้าย ใครจะไปคิดว่าการกลืนกินของล้ำค่าระดับกึ่งสรวงสวรรค์จะทำให้เกิดแรงผลักดันที่มันต้องการ และปลดปล่อยตัวมันให้เป็นอิสระจากฉนวนนั้นได้จริงๆ?


เขาแทบรอไม่ไหวที่จะได้เห็นว่าน้ำเต้าตงฉู่เป็นอสูรในตำนานชนิดไหน ถึงแผ่รังสีสง่างามแบบนั้นออกมาได้ เป็นมังกรสวรรค์โบราณ? เต๋าตี้? หรือปี่เซียะ?


จางเซวียนจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยลมหายใจถี่กระชั้น


จากการแนะนำตัวของน้ำเต้าตงฉู่และความสามารถของมันในการกลืนกินของล้ำค่าและพลังงาน จางเซวียนรู้ว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นอสูรที่เหนือชั้นกว่าธรรมดา เขาได้ค้นหาลักษณะของอสูรที่น่าจะเกี่ยวข้อง และพอจะตีกรอบชนิดของอสูรในตำนานเหล่านั้นได้


มังกรสวรรค์โบราณเป็นอสูรที่ได้รับพรจากสวรรค์ให้มีพละกำลังมหาศาลตั้งแต่เกิด เป็นคู่ต่อสู้ที่น่าสะพรึงมาก


เต๋าตี้ขึ้นชื่อเรื่องความสามารถในการกลืนกินทุกอย่างในโลก มันเกิดมาพร้อมกับมิติขนาดใหญ่ภายในช่องท้อง ทำให้กักเก็บเหยื่อได้ทุกขนาด


ส่วนปี่เซียะสามารถกินเหยื่อของมันได้ทีเดียวทั้งตัว ไม่ปล่อยให้อะไรหลงเหลือ และสุดท้าย เหยื่อที่มันกินเข้าไปจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของมัน


…..


ไม่ว่าน้ำเต้าตงฉู่จะเป็นตัวไหน สิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ก็คือทันทีที่มันปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากฉนวนได้ จะไม่มีใครยับยั้งมันไว้ได้อีก


ต่อให้หอเทพเจ้าส่งเทพเจ้าตัวจริงมาเล่นงานเขา เขาก็ไม่มีอะไรต้องกลัว!


จางเซวียนตัวสั่นไม่หยุดด้วยความตื่นเต้นขณะมองเห็นวันคืนภายภาคหน้าที่ราบรื่นและง่ายดายกว่าเดิม


รังสีที่น้ำเต้าตงฉู่แผ่ออกมาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขนาดที่มิติลี้ลับเริ่มสั่นสะท้าน รอยแยกบนตัวน้ำเต้าตงฉู่ลากลงต่ำกว่าเดิม เกิดเสียงครืดคราดดังชัดเจน


“…เราไม่มีทางสู้กับอะไรแบบนี้ได้ ต้องเผ่นแล้วล่ะ!”


เห็นภาพนั้น ชายวัยรุ่นตัวแข็ง เขารีบหันหลังกลับและฉีกกระชากมิติลี้ลับที่อยู่ตรงหน้า ตั้งใจจะเผ่นหนี


ต่อให้เขาต้องละทิ้งภารกิจนี้ ก็จะรายงานนายท่านว่าเป้าหมายมีของล้ำค่าที่ทรงพลังเกินไป!


“คุณคิดว่าจะหนีพ้นหรือ?”


จางเซวียนจะปล่อยให้ชายวัยรุ่นเผ่นหนีกลับไปหอเทพเจ้าได้อย่างไร? เขาถ่ายทอดเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าเข้าสู่ดาบถงซังและกวัดแกว่งมันเข้าใส่ชายวัยรุ่น


ทั้งตัวโคลน น้ำเต้าตงฉู่ หุ่นโลหะไร้วิญญาณ และเครื่องรางปกป้อง…เขาใช้ไม้ตายทุกชนิดเล่นงานชายวัยรุ่นแล้ว หากยังปล่อยให้หมอนี่หนีไปได้พร้อมกับความลับทั้งหมด หอเทพเจ้าจะต้องเตรียมการรับมือกับเขาแน่!


ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องกำจัดอีกฝ่ายให้ได้!


เมื่อเจอกับการโจมตีอย่างดุเดือดของจางเซวียน ชายวัยรุ่นไม่มีทางเลือกนอกจากหันกลับมาปกป้องตัวเอง ด้วยการโจมตีอันหนักหน่วงจากฝ่ามือ เขาสกัดกั้นกระแสดาบฉีของจางเซวียนไว้ได้อย่างหวุดหวิด


แม้จะมีเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าที่มีพละกำลังมหาศาล แต่วรยุทธของจางเซวียนยังอ่อนด้อยอยู่ เมื่อเผชิญหน้ากับชายวัยรุ่นที่เป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ เขาก็ไม่อาจพลิกสถานการณ์มาถือไพ่เหนือกว่าได้


เห็นการต่อสู้เริ่มพลิกผัน ตัวโคลนพุ่งชนชายวัยรุ่นอีกครั้ง ไม่ช้ากระดูกกระเดี้ยวของอีกฝ่ายก็หักเรียบ


“อ๊ากกกกกกกก!”


ชายวัยรุ่นคับอกคับใจจนแทบจะกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง


เขาไม่เคยรู้สึกแย่ขนาดนี้มาก่อน!


ตอนที่ 2054 หรือว่าจะเป็นกลลวง?

ตลอดชีวิต เขาเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าเขามาแล้วมากมาย และเอาชนะคนเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสู้ไม่ได้แม้แต่กับนักรบที่มีวรยุทธต่ำกว่า


“อย่างน้อยที่สุด ผมก็ต้องดึงคุณให้ล่มจมไปด้วยให้ได้!”


เห็นจางเซวียนกับตัวโคลนผนึกกำลังกันได้ดี ชายวัยรุ่นรู้ตัวว่าไม่มีทางหนีพ้น มีโอกาสสูงที่อาจต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่


ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัว เขากู่ร้องอย่างโกรธเกรี้ยว จากนั้นก็รวบรวมพลังปราณทั้งหมดเข้าสู่จุดตันเถียน ชายวัยรุ่นตั้งใจจะระเบิดวรยุทธของเขา!


ถ้าเขาหนีไปไหนไม่ได้ ก็จะต้องใช้วิธีนี้เพื่อบอกนายท่านว่าหมอนี่น่าสะพรึงกว่าที่คิดไว้มาก!


“เวรแล้ว!”


จางเซวียนหรี่ตาอย่างประหลาดใจ เขารีบสำแดงศิลปะเพลงดาบเพื่อการป้องกันตัว เกิดกระแสดาบฉีรูปทรงกลมขนาดใหญ่ล้อมรอบตัวเขา


เขาไม่อาจคาดหวังว่าจะยับยั้งการระเบิดของผู้เชี่ยวชาญระดับนั้นได้ ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือลดความบอบช้ำที่จะได้รับให้น้อยลงที่สุด


ก่อนที่การระเบิดจะเริ่มต้น จางเซวียนรู้สึกได้ถึงแรงกดดันหนักหน่วงที่เกิดจากพลังปราณเข้มข้นภายในร่างของชายวัยรุ่น มันหนักหน่วงเสียจนแม้เขาจะถือดาบให้กระชับมือก็ยังลำบาก


เลือดในร่างกายของเขาปะทะกับเส้นเลือด แรงกดดันนั้นเหมือนจะทำให้มันระเบิดในไม่ช้า


“นี่คืออานุภาพจากการระเบิดวรยุทธของนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์?” จางเซวียนหรี่ตาอย่างไม่อยากเชื่อ


นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นนักรบระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ระเบิดวรยุทธของตัวเอง มันรุนแรงกว่าที่เขาคิดไว้มาก


แม้จางเซวียนจะถ่ายทอดเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าเข้าสู่ศิลปะเพลงดาบเพื่อป้องกันตัวแล้ว แต่ก็รู้ดีว่าจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสจนไม่อาจเยียวยาได้ในระยะเวลาอันสั้นหากการระเบิดนั้นเกิดขึ้นจริงๆ


แรงกดดันที่เกิดขึ้นหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่อจางเซวียนถอดใจ บรรยากาศตึงเครียดทั้งหมดก็หายวับไปราวกับคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง


“หรือว่าจะเป็นกลลวง?”


จางเซวียนรีบเงยหน้าดูอย่างหวาดระแวง


เขาเพิ่งคิดได้ว่าอีกฝ่ายอาจแกล้งทำเป็นระเบิดวรยุทธเพื่อหาโอกาสหลบหนี


จางเซวียนหันไปมองชายวัยรุ่นอย่างร้อนรน แต่เมื่อเห็นสภาพของอีกฝ่ายเพียงแวบเดียว นัยน์ตาก็เกือบทะลุออกจากเบ้า


ชายที่กำลังพยายามระเบิดวรยุทธมีชิ้นส่วนหนึ่งของน้ำเต้าปักฉึกอยู่ที่ศีรษะ…แถมศีรษะอีกครึ่งหนึ่งของเขาก็ระเบิดหายไป!


เขาถูกน้ำเต้าเล่นงานจนตายตั้งแต่ยังไม่ทันรวบรวมพละกำลังได้มากพอสำหรับการระเบิดวรยุทธ


ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมการระเบิดถึงหยุดลงอย่างปุบปับ


“เป็นแบบนี้ได้อย่างไร…” ชายวัยรุ่นพึมพำอย่างสิ้นหวังขณะใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้าย


พลั่ก!


ศพของเขาร่วงลงมาจากกลางอากาศ


เขามองว่าตัวเองมีโอกาสถูกจางเซวียนสังหาร แต่ไม่เคยคิดสักนิดว่าจะถูกชิ้นส่วนน้ำเต้าเล่นงานจนเสียชีวิตแบบนี้…


น่าอับอายเหลือเกิน!


ส่วนจางเซวียน หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าชายวัยรุ่นเสียชีวิต ก็รีบหันไปมองน้ำเต้าตงฉู่ด้วยนัยน์ตาที่เป็นประกายวาววับอย่างตื่นเต้น “มันปลดปล่อยตัวเองจากฉนวนได้แล้วหรือ?”


จากนั้น เขาเห็นรังสีสีทองที่เจิดจ้าราวกับพระอาทิตย์แผดเผาอยู่โดยรอบ แล้วร่างหนึ่งที่เหมือนกับนกคีรีบูนก็ค่อยๆสยายปีก


เพราะมีเปลวไฟรุมล้อมอยู่ จึงไม่อาจบอกได้แน่ชัดว่ามันอยู่ตรงนั้นหรือไม่ แต่ด้วยบรรยากาศของความสง่างามที่แผ่ออกมา ผู้พบเห็นย่อมรู้สึกได้ว่ามันคืออสูรพิเศษที่ทรงพลัง


ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมมันถึงกลืนกินอาวุธระดับอมตะขั้นสูงสวรรค์และแม้แต่ของล้ำค่าระดับกึ่งสรวงสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย…น้ำเต้าตงฉู่ไม่ได้คุยโม้เลย แม้มันจะไม่ใช่อสูรในตำนานที่มีอำนาจบงการทั่วทั้งดินแดน แต่ในมิติเบื้องบน ก็คงมีนักรบและอสูรจำนวนน้อยเต็มทีที่ทำลายมันได้


“ผมทำสำเร็จแล้ว! ผมออกจากเปลือกงี่เง่าอันนี้ได้เสียที…”


เสียงหัวเราะร่าดังขึ้นกลางอากาศขณะเงาพาดผ่านรังสีนั้น ไม่ช้า แสงเจิดจ้าก็ค่อยๆเลือนหาย ร่างที่อยู่กลางอากาศพลันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ


ตัวโคลนของจางเซวียนก็รีบหันไปมอง มันรู้จักน้ำเต้าตงฉู่มาระยะหนึ่งแล้ว และอยากรู้เหลือเกินว่าปีศาจชนิดไหนที่ถูกขังไว้ในน้ำเต้าลูกนั้น


ฟึ่บ!


ในที่สุด แสงเจิดจ้าก็เลือนหายไปหมด เหลือไว้แต่ร่างหนึ่งที่ปรากฏให้เห็น


“แกคือ…อสูรในตำนานที่ครั้งหนึ่งเคยมีอำนาจบงการทั่วทั้งดินแดนหรือ?”


เมื่อเห็นสภาพของน้ำเต้าตงฉู่ชัดๆ จางเซวียนแทบกัดลิ้นตัวเอง


“ทำไมล่ะ? ผมดูไม่เหมือนหรือไง?”


ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยที่ดูเหมือนเพิ่งฟักออกจากไข่เดินเตาะแตะเข้ามา มันเชิดหน้า ทำท่าราวกับนกยูงผู้สูงศักดิ์


จางเซวียนกับตัวโคลนขยี้ตา แต่ภาพที่อยู่ตรงหน้าก็ยังไม่เปลี่ยน ความบ้าบอของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ทั้งคู่แทบทึ้งผมตัวเอง


มังกรสวรรค์ดึกดำบรรพ์อยู่ไหน?


เต๋าตี้อยู่ไหน?


แล้วปี่เซียะล่ะอยู่ไหน?


แทนที่จะเป็นอะไรสักตัวหนึ่งที่ว่ามา แท้ที่จริงแล้วแกคือลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อย!


บอกผมมาซิ แกคิดว่ามีตรงไหนในตัวแกที่เหมือนอสูรในตำนาน?


“ไก่นี่ถือเป็นอสูรในตำนานด้วยหรือ?” จางเซวียนพึมพำอย่างทึ่งจัด


ที่ผ่านมา น้ำเต้าตงฉู่คุยโวไว้มากมายจนสร้างความคาดหวังให้เกิดขึ้นในหัวใจของเขาโดยไม่รู้ตัว


แต่ลงท้าย มันกลับกลายเป็นแค่ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยตัวหนึ่ง? ให้นรกกินเถอะ!


ถ้ามันเป็นมังกรหรืออะไรทำนองนั้น จะน่าเกรงขามแค่ไหนหากเขาได้ขี่มันแล้วเล่นงานทุกคนที่บังอาจเข้ามาขวางทาง ต่อให้หอเทพเจ้าก็คงไม่กล้าวุ่นวายกับเขา


ว่าแต่…เขาควรจะทำอย่างไรกับลูกเจี๊ยบตัวนี้? โยนมันใส่ศัตรูแล้วหวังว่ามันจะกระพือปีกพึ่บพั่บใส่พวกนั้นจนตายหรือ?


“คุณต่างหากที่เป็นไก่ เป็นไก่กันทั้งตระกูลเลย!” ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยคำรามก้อง มันเชิดหน้าอย่างเย่อหยิ่งขณะพูดต่อ “ผมคืออสูรในตำนานที่ครั้งหนึ่งมีอำนาจบงการทั่วทั้งดินแดน ผมคือ…ส่วนผมจะเป็นอะไรนั้น ผมยังได้ความทรงจำกลับคืนมาไม่หมด จึงบอกไม่ได้แน่ชัด แต่แน่ใจอย่างยิ่งว่า…ผม ไม่ ใช่ ไก่!”


“จะอะไรก็แล้วแต่เถอะ” จางเซวียนโบกมืออย่างจนปัญญา


เขาไม่อยากคิดหรือโต้แย้งเรื่องนี้อีกแล้ว รู้สึกเหมือนอกจะแตกเสียก่อนหากต้องถกเถียงต่อ


จางเซวียนหันไปมองมิติลี้ลับที่อยู่โดยรอบ และเห็นว่ามันใกล้แตกสลายเต็มที จึงรีบเก็บตัวโคลน เหล่าอสูร และศพของชายวัยรุ่นทั้ง 3 เข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ


จากนั้นก็เหลือบตาดูลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อย ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง


จางเซวียนคำรามอย่างหมดความอดทน “ไว้คุยกันทีหลัง ตอนนี้กลับเข้าจุดตันเถียนของฉันก่อน”


“ผมเป็นอิสระจากฉนวนบ้าบอนั่นแล้ว ผมไม่อยากกลับไปอยู่ในจุดตันเถียนของคุณอีก” ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยตอบห้วนๆ


“ย้ายก้นของแกกลับไปที่นั่นซะ!” จางเซวียนใช้ 2 นิ้วคีบลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยขึ้นมาและพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ไม่อย่างนั้น แกก็ต้องเข้าไปอยู่ในแหวนเก็บสมบัติของฉัน!”


“ก็ได้…”


ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยยอมกลับเข้าสู่จุดตันเถียนของจางเซวียน


ฟึ่บ!


ทันทีที่เสร็จสิ้นกระบวนการ จางเซวียนก็พบว่าตัวเขากลับมาอยู่ที่ถนนด้านนอกหอนิรันดร์ ซึ่งก็เหมือนที่ผ่านมา ไม่มีใครรู้ว่าการต่อสู้อันดุเดือดเพิ่งเกิดขึ้นที่นี่เมื่อไม่กี่นาทีก่อน


จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วรีบกลับไปหาศิษย์สายตรงจากหอนานาอสูร เห็นอีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัสแต่ยังมีลมหายใจ จึงป้อนน้ำที่ได้จากการต้มน้ำเต้าตงฉู่ขวดหนึ่งให้และสั่งการให้เขาเยียวยาตัวเอง


เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น จางเซวียนก็เริ่มทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นตลอด 2-3 วันที่ผ่านมา


เขาแน่ใจว่าปลอมตัวจนแนบเนียนแล้วทุกด้าน ถึงขนาดที่ไม่เหลือร่องรอยของจางเซวียนคนเดิมอยู่ในตัวเขาเลยสักนิด แต่คนจากหอเทพเจ้าก็ยังควานหาตัวเขาจนเจอ…


พวกนั้นใช้วิธีค้นหาแบบไหน?


แล้วแน่ใจได้อย่างไรว่าเล่นงานถูกคน?


ตราบใดที่จางเซวียนยังหาคำตอบไม่ได้ ก็จะไม่มีวันรู้ว่าเมื่อไหร่จะตกอยู่ในอันตรายอีก


หลังจากที่ศิษย์สายตรงจากหอนานาอสูรฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย จางเซวียนสั่งการอย่างเคร่งเครียด “คุณกลับหอนานาอสูรเถอะ ผมดูแลตัวเองได้”


จากนั้นเขาก็แทรกตัวไปตามฝูงชน ไม่ช้าก็ปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปอย่างสิ้นเชิง


จางเซวียนอยากตรวจสอบให้แน่ใจว่าหอเทพเจ้ามองทะลุการปลอมตัวของเขาได้จริงหรือไม่ จึงอ้อยอิ่งอยู่ในบริเวณที่เคยถูกลอบสังหารอีกกว่า 2 ชั่วโมง แต่ก็ไม่มีความพยายามลอบสังหารเกิดขึ้นอีก ถ้าหอเทพเจ้ามองทะลุการปลอมตัวของเขาได้จริงๆ ก็น่าจะเจอตัวเขาและเล่นงานไปแล้ว


ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่ใช่…จางเซวียนคิด


เมื่อลองนึกดู ถ้าหอเทพเจ้ามองทะลุการปลอมตัวของเขาได้จริงๆ ก็น่าจะเล่นงานเขาตั้งแต่ตอนแรกที่เขาออกจากสำนักดาบเมฆเหินแล้ว


เราคิดไม่ออกเลย…แต่ในเมื่อพวกนั้นมองไม่เห็นการปลอมตัวของเรา ระหว่างนี้เราคงยังปลอดภัย จางเซวียนถอนหายใจอย่างจนปัญญา


เขากลับสู่หอนิรันดร์และจองห้องส่วนตัวอีกห้องหนึ่ง


จางเซวียนรีบติดตั้งค่ายกลปิดกั้นอีกหลายอันไว้โดยรอบ ก่อนจะนำลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยออกมา


“แกทำอะไรได้บ้าง และตอนนี้แกแข็งแกร่งแค่ไหน?”


เขารู้สึกว่าไม่ควรด่วนสรุปเรื่องต่างๆของเจ้านี่ น่าจะดีที่สุดหากจะทำความเข้าใจรายละเอียดของสิ่งที่เกิดขึ้นเสียก่อน เพราะถึงอย่างไร น้ำเต้าตงฉู่ก็แข็งแกร่งกว่าที่เห็นมาก


ถ้าเขารู้ว่าลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยทำอะไรได้ ก็จะรู้ว่าจะสามารถใช้มันในการต่อสู้ได้อย่างไร


“ความสามารถของผม?” ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยเอียงคอ “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”


“แกบินได้หรือเปล่า?” จางเซวียนถาม


ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยพยายามกระพือปีกเล็กจิ๋วของมัน


พลั่ก!


มันร่วงลงมากองกับพื้น


“ผมคิดว่าไม่ได้นะ” มันตอบ


“แล้วประสิทธิภาพการต่อสู้ของแกล่ะ?”


เพียะ!


พริบตาต่อมา แรงตบก็ปะทะร่างของลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อย มันถูกสอยจนม้วนกลิ้งกลางอากาศก่อนจะกระแทกกับผนัง


“ก็ไม่อีกนั่นแหละ แล้วความแข็งแกร่งของแกล่ะ?”


จางเซวียนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจับจ้องหลุมดำของความสิ้นหวัง เขานำศพของนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์คนหนึ่งออกมาแล้วโยนใส่ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อย


อีกฝ่ายล้มลงกระแทกพื้นทันที กรงเล็บขนาดจิ๋วของมันสั่นสะท้านอยู่ข้างๆศพนั้น…


10 นาทีต่อมา จางเซวียนก็แทบเสียสติ


“นี่คือพละกำลังที่แกพูดว่า ‘มีอำนาจบงการทั่วทั้งดินแดน’?”


หมอนี่คุยโม้ไว้มากมายว่าเมื่อนานมาแล้วมันเคยทรงพลังขนาดไหน แต่แล้วก็กลับกลายเป็นอสูรที่น่ารักน่าชังและไม่มีพิษภัย…แถมที่เลวร้ายกว่านั้นก็คือดูเหมือนมันจะไม่มีพละกำลังใดๆเลยด้วย ไม่ว่านักรบคนไหนก็คงกระทืบมันให้ตายได้!


แต่พูดก็พูดเถอะ ยังมีเรื่องหนึ่งที่ถือว่าน่าสนใจ คือความสามารถในการเยียวยาของมัน แม้มันจะถูกนักรบอมตะขั้นสูงเล่นงาน แต่ก็เยียวยาตัวเองให้หายจากอาการบอบช้ำได้อย่างรวดเร็ว


ตอนที่ 2055 ซุปเปอร์ไก่!

“ผม…ผมแน่ใจว่าผมคืออสูรในตำนานที่ครั้งหนึ่งมีอำนาจบงการทั่วทั้งดินแดน เพียงแต่ผมเพิ่งทำลายฉนวนได้ พลังงานก็ยังร่อยหรอมาก ผมยังไม่ฟื้นตัวเลย! ทำไมคุณไม่นำยาเม็ดอมตะขั้นพิเศษมาให้ผมอีก 200 เม็ดล่ะ ไม่ ไม่ใช่สิ เอาเป็นยาเม็ดอมตะขั้นสุดยอด 200 เม็ดเลยดีกว่า ผมคงจะฟื้นตัวได้เร็วขึ้นอีกหน่อย…”


ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยกระพือปีกอย่างร้อนใจ


“ยาเม็ดอมตะขั้นสุดยอด 200 เม็ด? ทำไมแกไม่ไปลงนรกเสียเลยล่ะ?” จางเซวียนพูดไม่ออก


กว่าเขาจะหายาเม็ดอมตะขั้นพิเศษ 200 เม็ดมาได้ก็ยากเย็นแสนเข็ญแล้ว หมอนี่ยังจะให้เขาหายาเม็ดอมตะขั้นสุดยอด 200 เม็ดอีก…


ฉันควรจะเขี่ยความคิดนั้นออกจากหัวสมองของแกซะ!


ถึงจางเซวียนจะขัดใจ แต่ก็รู้ว่ามีโอกาสที่ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยตัวนี้จะพูดความจริง เพราะถึงอย่างไรมันก็สามารถกลืนกินของล้ำค่าระดับกึ่งสรวงสวรรค์ได้ทั้งที่ยังถูกกักขังอยู่ในฉนวน ไม่มีทางที่มันจะเป็นของธรรมดาสามัญเป็นอันขาด!


“ในเมื่อแกเป็นอสูรของฉัน แกก็ควรมีชื่อเรียกที่เหมาะสม ฉันจะเรียกแกว่าน้ำเต้าตงฉู่หรือลูกเจี๊ยบน้อยไม่ได้หรอก” จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่


“อือ!” ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยพยักหน้ารับ “ผมน่าจะยังเหลือฉนวนบางส่วนที่ยังจัดการไม่ได้ จึงยังไม่รู้แน่ชัดว่าแท้ที่จริงแล้วผมเป็นอะไร แต่เรื่องหนึ่งที่แน่ใจก็คือผมไม่ใช่ไก่! ผมจะต้องเป็นอสูรในตำนานที่ครั้งหนึ่งเคยมีอำนาจบงการทั่วทั้งดินแดน เป็นผู้ยิ่งใหญ่ของโลกใบนี้!”


ต่อให้ไก่ตัวหนึ่งจะทรงพลังแค่ไหน ก็ไม่มีทางกลืนกินของล้ำค่าระดับกึ่งสรวงสวรรค์ได้ ดังนั้น จึงดูย่ำแย่มากหากนายท่านจะเรียกมันว่าไก่


ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยมองเจ้านายด้วยแววตาคาดหวัง หวังว่าจะได้ชื่อที่สง่างามเหมาะสมกับตัวมัน


“ไม่ว่าแกจะเป็นไก่จริงๆหรือไม่ เรื่องจริงก็คือตอนนี้แกดูเหมือนไก่ แกอวดอ้างตัวว่าเป็นอสูรในตำนานผู้บงการทั่วทั้งดินแดน ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น ทำไมเราถึงไม่เรียกแกว่า…”


จางเซวียนครุ่นคิดอย่างหนักก่อนจะตาโตด้วยความตื่นเต้น “ซุปเปอร์ไก่!”


…..


ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยร่วงลงไปกองกับพื้น


คุณแน่ใจแล้วหรือว่าชื่อนั้นเหมาะสมกับอสูรในตำนาน?


มนุษย์ที่ทรงพลังเหนือชั้นได้ชื่อว่าเป็นซุปเปอร์แมน ดังนั้น ไก่ตัวผู้ที่ทรงพลังเหนือชั้นก็ควรได้รับการขนานนามว่าซุปเปอร์ไก่


ต้องใช้เวลาโต้แย้งถกเถียงกันยาวนานกว่าที่ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยจะหว่านล้อมให้จางเซวียนยอมใช้ชื่อไก่น้อยแทน ไม่มีคำไหนจะบรรยายความสุขของมันได้


เพราะชื่อที่นายท่านตั้งให้แสนจะเลวร้าย จึงถือเป็นความโชคดีครั้งใหญ่แล้วที่มันได้ชื่อ ‘ไก่น้อย’ มาแทน หากมันต้องใช้ชื่อซุปเปอร์ไก่ หรือเจี๊ยบเจี๊ยบ หรืออะไรทำนองนั้น มันคงมีชีวิตอยู่ไม่ได้!


ต่อไปมันจะมองหน้าเพื่อนอสูรในตำนานอย่างไรหากได้ชื่อน่าเกลียดน่าชังแบบนั้น?


“ผมคืออสูรในตำนานผู้มีอำนาจบงการสวรรค์ทั้ง 9 และทวีปทั้ง 10… มังกรโบราณดึกดำบรรพ์อ้าวเทียน!”


“ผมคืออสูรในตำนานผู้แผดเผาทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่และดูดน้ำในมหาสมุทรมากมายนับไม่ถ้วน นกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัว, หัวเฉียนหยู่!”


จากนั้นก็ถึงตาที่มันต้องแนะนำตัวเอง…


“ผมคืออสูรในตำนาน…ซุปเปอร์ไก่!”


มันคงตัวสั่นงันงกเพราะชื่อนั้น


น่าเกลียดน่าชังอะไรอย่างนี้!


ทำไมมันถึงต้องลงเอยด้วยการมีเจ้านายที่แสนจะพึ่งพาไม่ได้


ถึงตอนนี้ ไก่น้อยได้แต่ก้มหน้างุดเพื่อสำรวจตัวมันเอง


บ้าที่สุด เราดูเหมือนไก่จริงๆ…จำพวกที่ออกไข่หรืออะไรทำนองนั้นแหละ!


แถมยังไม่มีความทรงจำหลงเหลือสักนิดว่าเราเป็นใคร เราเป็นอสูรในตำนานชนิดไหน?


ไก่น้อยครุ่นคิดหนัก


จางเซวียนไม่แยแสลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยที่กำลังใคร่ครวญถึงเหตุผลที่มันเกิดมา เขาพิจารณาศพของนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ทั้ง 3 คนที่เพิ่งถูกสังหารไป


ก็เหมือนเหล่านักรบที่เขาเคยเอาชนะมาก่อนหน้านี้ ทั้ง 3 ไม่มีของล้ำค่าใดๆอยู่ในแหวนเก็บสมบัติ สิ่งเดียวที่มีค่าก็คือร่างกายของพวกเขา


พูดกันตามตรง จางเซวียนกังวลไม่น้อยกับสิ่งที่เป็นอยู่ จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่รู้ว่าพวกที่เล่นงานเขาเป็นใคร ทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างมาก จางเซวียนไม่เคยปรารถนาพละกำลังมากขนาดนี้มาก่อนนับตั้งแต่เขาเริ่มฝึกฝนวรยุทธ!


แต่ถ้าเขาเปลี่ยนนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์เหล่านี้ให้เป็นหุ่นโลหะไร้วิญญาณได้ ก็จะปลอดภัยกว่าเดิมมาก ถ้าก่อนหน้านี้เขามีพวกมันอยู่ ก็คงใช้หุ่นโลหะไร้วิญญาณเป็นปราการป้องกันไม่ให้ชายวัยรุ่นคนนั้นระเบิดวรยุทธของตัวเองได้


…..


ที่หอเทพเจ้า


ร่างสูงตระหง่านปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่ใจกลางห้อง


“ล้มเหลวอีกแล้วหรือ?” ร่างนั้นย้อนถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา นัยน์ตาจับจ้องชายเสื้อคลุมสีดำที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขา


“ใช่…”


ชายเสื้อคลุมสีดำตัวสั่น


“ผมประเมินเขาต่ำไป ผู้ที่สวรรค์เลือกคือผู้ได้รับพรอันยิ่งใหญ่จริงๆ…” ร่างนั้นคำรามเสียงเย็น “คุณต้องลงมือด้วยตัวเองแล้วล่ะ ถ้าแพ้ล่ะก็ อย่าได้คิดจะบากหน้ากลับมาหาผมนะ ฆ่าตัวตายเสียตรงนั้นให้สิ้นเรื่องไป อีกอย่าง ผมอยากให้คุณตรวจสอบด้วยว่าเขาใช้ไม้ตายแบบไหนที่ทำให้เล่นงานได้แม้แต่นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ทั้งสามคนของเรา!”


“ขอรับ นายท่าน!” ชายเสื้อคลุมสีดำพยักหน้าก่อนจะถอยออกจากห้อง


“รอเดี๋ยว!” ร่างนั้นยกมือขึ้น “ประกาศกำหนดการของหอเทพเจ้าออกไปด้วย สะพานเบื้องบนจะปรากฏในอีกครึ่งเดือนนับจากนี้!”


“ครึ่งเดือน? สะพานเบื้องบนจะลงมาก่อนเวลาหรือ?” ชายเสื้อคลุมสีดำตั้งคำถาม


โดยปกติ ต้องรอนานเอาการกว่าสะพานเบื้องบนจะลงมา การที่มันจะปรากฏในอีกครึ่งเดือนนับจากนี้…เร็วไปหน่อยไหม?


“ในเมื่อสำนักดาบเมฆเหินวางตัวเขาให้เป็นเจ้าสำนักแล้ว พวกนั้นก็น่าจะตั้งใจให้เขาเข้าร่วมในฐานะผู้ท้าทาย ถ้าเราปล่อยให้เป็นแบบนี้ กว่าสะพานเบื้องบนจะลงมา เขาอาจใช้ช่วงเวลานี้ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูงได้สำเร็จ ซึ่งถ้าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ จะไม่มีใครในหมู่พวกคุณที่เทียบชั้นกับเขาได้อีก” ร่างนั้นตอบ


เขาพูดต่อด้วยนัยน์ตาเป็นประกายเย็นเยียบ “เราต้องทำให้เขาล้มเหลวให้ได้ ไม่ว่าด้วยวิธีไหนก็ตาม ไม่อย่างนั้น พวกคุณทุกคนจะต้องตาย!”


“ผมเข้าใจ” ชายเสื้อคลุมสีดำตอบอย่างเคร่งเครียดก่อนจะออกจากห้อง


…..


เรือรูปร่างเรียวยาวลำหนึ่งลอยตัวอยู่กลางอากาศเหนือสำนักดาบเมฆเหิน สุภาพสตรีคนหนึ่งยืนอยู่ที่หัวเรือ ด้านหลังเธอคือเด็กชายวัยรุ่น


“หัวหน้าตำหนักตู้ คุณมาทำอะไรที่นี่?”


ร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างปุบปับที่ด้านหน้าเรือ-หานเจี้ยนชิว


“ฉันมาขอพบเจ้าสำนักคนใหม่ของพวกคุณ” สุภาพสตรีคนนั้นตอบขณะเอาสองมือไพล่หลังไว้


เธอไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหัวหน้าตำหนักคว้าดาว ตู้ชิงหย่วน!


“เจ้าสำนักคนใหม่ของเรา?” หานเจี้ยนชิวขมวดคิ้ว


“ใช่ คุณเชิญเขาออกมาพบฉันได้ไหม?” ตู้ชิงหย่วนตอบพร้อมกับพยักหน้า


“คือ…” หานเจี้ยนชิวอึ้งไปครู่หนึ่ง “หัวหน้าตำหนักตู้ ผมต้องขออภัยด้วย แต่ตอนนี้ท่านเจ้าสำนักกำลังฝึกฝนเคล็ดวิชาเทพดาบเมฆเหิน เขาอยู่ในช่วงสุ่มเสี่ยงของการฝึกฝนวรยุทธ คงไม่สะดวกพบแขกในเวลานี้”


เขารู้ดีว่าเรื่องสำคัญที่สุดก็คือต้องเก็บงำข่าวที่จางเซวียนออกจากสำนักไว้เป็นความลับ ไม่อย่างนั้น หากหอเทพเจ้ารู้เรื่องด้วยวิธีใดสักอย่าง พวกนั้นจะต้องเปิดการโจมตีแน่


จางเซวียนคือความหวังสูงสุดของพวกเขาในการฝ่าด่านวรยุทธที่สะพานเบื้องบน จึงต้องทำทุกอย่างเพื่อปกป้องชายหนุ่มคนนี้


“เขากำลังปลีกวิเวกหรือ?” ตู้ชิงหย่วนขมวดคิ้ว


เธอรู้ดีว่าเจ้าสำนักดาบเมฆเหินทุกคนจะต้องฝึกฝนเคล็ดวิชาเทพดาบเมฆเหิน คำพูดของหานเจี้ยนชิวไม่มีอะไรผิดปกติ เธอจึงไม่ได้สงสัย


และเมื่อหวนนึกดู หานเจี้ยนชิวก็เคยผ่านช่วงเวลาแบบนี้เช่นกัน เขาปลีกวิเวกอยู่นานถึง 15 ปี


ต่อให้จางเซวียนจะเก่งกาจแค่ไหน ก็คงไม่อาจฝึกฝนเคล็ดวิชาเทพดาบเมฆเหินจนเชี่ยวชาญได้ในระยะเวลาอันสั้น ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมเลย ในฐานะหัวหน้าตำหนักคว้าดาว เธอไม่อาจรอคอยเขาเป็นเดือนเป็นปีเพื่อให้อีกฝ่ายออกจากการปลีกวิเวกได้


“คุณพอจะมีภาพเหมือนของเขาบ้างไหม ฉันอยากดูสักหน่อย?” ตู้ชิงหย่วนตั้งคำถาม


หานเจี้ยนชิวตอบด้วยสีหน้าที่ออกจะกังขา “ขออภัยด้วยเถอะ หัวหน้าตำหนักตู้ แต่ผมคงต้องถามคุณว่าอยากพบเจ้าสำนักของเราด้วยเหตุผลใด”


ในฐานะหัวหน้าตำหนักคว้าดาว, 1 ใน 6 สำนักใหญ่ ตู้ชิงหย่วนคือนักรบที่เป็นสุดยอดของทวีปที่ถูกลืม ส่วนจางเซวียน ก่อนที่เขาจะได้เป็นเจ้าสำนักดาบเมฆเหิน ก็เป็นแค่คนธรรมดาที่อาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ จึงเป็นไปไม่ได้ที่ทั้งคู่จะรู้จักมักคุ้นกันมาก่อน


“ฉันรู้สึกว่าชื่อของเขาฟังดูคุ้นหู อาจเป็นคนรู้จักของฉันก็ได้ จึงอยากรู้ว่าใช่เขาจริงๆหรือเปล่า” ตู้ชิงหย่วนตอบ


ถ้าจางเซวียนอยู่ตรงนี้ ก็จะจดจำได้ทันทีว่าตู้ชิงหย่วนคือเทพเจ้าที่อำมาตย์เฉินหย่งได้เรียกมาเมื่อตอนทำพิธีกรรมของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น


ในครั้งนั้น เพื่อช่วยชีวิตอำมาตย์เฉินหย่ง จางเซวียนร้องขอให้ตู้ชิงหย่วนนำจิตวิญญาณของอำมาตย์เฉินหย่งไปด้วย ด้วยการใช้ศาสตร์ลับบางอย่าง ตู้ชิงหย่วนสร้างกายเนื้อร่างใหม่ให้อำมาตย์เฉินหย่ง ซึ่งตอนนี้อีกฝ่ายก็คือเด็กชายวัยรุ่นที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอ


“ท่านเจ้าสำนักของเราเป็นคนรู้จักของคุณหรือ?” หานเจี้ยนชิวขมวดคิ้ว


ถึงจะฟังดูไม่ค่อยสมเหตุสมผล แต่เขาก็อดนึกถึงไม่ได้ว่าจางเซวียนยืนกรานหนักแน่นขนาดไหนที่จะเดินทางไปทะเลพลัดดาว และหลังจากนั้นไม่นาน ตู้ชิงหย่วนก็ลงทุนเดินทางมาถึงที่นี่เพื่อตามหาจางเซวียน…หรือว่าทั้งคู่จะเป็นคนรู้จักมักคุ้นกันจริงๆ?


หานเจี้ยนชิวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนสะบัดข้อมือ


ตราหยกอันหนึ่งปรากฏในฝ่ามือของเขา เขาเคาะมันเบาๆ แล้วภาพเหมือนของจางเซวียนก็ปรากฏกลางอากาศ “นี่คือท่านเจ้าสำนักของเรา, จางเซวียน”


พูดได้เลยว่าสำนักดาบเมฆเหินกับตำหนักคว้าดาวไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันนัก แต่ถึงตู้ชิงหย่วนจะทำตัวเข้าใจยากอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล เท่าที่ดูจากความเป็นไปได้ต่างๆ เธอไม่น่าจะพยายามทำร้ายเจ้าสำนักของเขา


และเขาก็ไม่ได้บอกเธอด้วยว่าจางเซวียนกำลังมุ่งหน้าไปที่ไหน การที่เธอจะได้เห็นหน้าตาของจางเซวียนหรือไม่ก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่


“ใช่จริงๆ!” ตู้ชิงหย่วนตาโตเมื่อเห็นภาพนั้น


ส่วนหวู่เฉิน, เด็กชายวัยรุ่นที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอก็ตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น


ตอนที่ 2056 ไปที่หอนิรันดร์กันเถอะ!

“ท่านเจ้าสำนักของเราคือคนคุ้นเคยที่หัวหน้าตำหนักตู้ตามหาอยู่หรือเปล่า?” หานเจี้ยนชิวถาม


“ใช่ เราเคยพบกันครั้งหนึ่ง…” ตู้ชิงหย่วนพยักหน้า จากนั้นเธอก็หันไปถามเด็กชายวัยรุ่นที่อยู่ด้านหลัง “หวู่เฉิน ถ้าอยากอยู่ที่นี่ ฉันช่วยพูดกับผู้อาวุโสหานก็ได้นะ”


“ขอบคุณมาก หัวหน้าตำหนักตู้!” หวู่เฉินประสานมืออย่างสำนึกบุญคุณ


“อือ” ตู้ชิงหย่วนพยักหน้า


ขณะที่เธอกำลังจะพูดต่อ ก็พลันเลิกคิ้ว หานเจี้ยนชิวก็ตาโต ครู่ต่อมา ทั้งคู่ก็หน้าซีด


“สะพานเบื้องบนกำลังจะลงมาในอีกครึ่งเดือนนับจากนี้?”


“เร็วเหลือเกิน!” หานเจี้ยนชิวตัวแข็ง


สะพานเบื้องบนเป็นเส้นทางเดียวที่นำไปสู่หอเทพเจ้า มันจะลงมาเพียงหนึ่งครั้งในทุกๆ 100 ปี หากพวกเขาพลาดโอกาสนี้ ก็ต้องรอไปจนถึงอีก 100 ปีข้างหน้า


ถ้าสะพานเบื้องบนลงมาตามกำหนดเวลาเดิม จางเซวียนจะมีเวลามากพอสำหรับการฝึกฝนจนได้เป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ ซึ่งนั่นจะช่วยเพิ่มโอกาสการคว้าสิทธิ์ของการเป็นผู้ท้าทายหอเทพเจ้า


ด้วยศิลปะเพลงดาบที่เหนือชั้นของเขา จางเซวียนจะมีโอกาสฉกฉวยตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ อีกครึ่งหนึ่งมาให้สำนักดาบเมฆเหินได้


แต่ถ้าสะพานเบื้องบนลงมาในอีก 1 เดือนนับจากนี้ จางเซวียนไม่มีทางทำสำเร็จได้ทันเวลาแน่


แถมตอนนี้อีกฝ่ายก็กำลังมุ่งหน้าสู่ทะเลพลัดดาว พวกเขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้ชายหนุ่มอยู่ที่ไหน หาทางติดต่อเขาก็ไม่ได้…


สถานการณ์ดูไม่ดีเลย


“ไปที่หอนิรันดร์กันเถอะ!”


หานเจี้ยนชิวนำตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลออกมาอันหนึ่งทันทีและเพ่งสมาธิเข้าไป ตู้ชิงหย่วนรีบทำแบบเดียวกัน


นี่คือตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลที่มีแต่นักรบชั้นยอดของทวีปที่ถูกลืมเท่านั้นถึงจะใช้ได้ วัตถุประสงค์ของมันก็เพื่อเปิดพื้นที่ที่เหมาะสมให้พวกเขาได้มารวมตัวและหารือเรื่องใหญ่ๆร่วมกัน


แน่นอนว่าไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าหอนิรันดร์จะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับการสื่อสารพูดคุย เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่อยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักของพวกเขา นี่คือเหตุผลที่ทำให้บรรดาเจ้าสำนักมักเลือกพบปะกันเป็นการส่วนตัวหากจะหารือเรื่องสำคัญ


แต่ครั้งนี้เป็นการพบปะกันแบบธรรมดาเพื่อหารือเรื่องที่รู้กันอยู่แล้ว จึงไม่น่ามีปัญหามากนัก


…..


ภายในห้องปิดสนิทห้องหนึ่งในหอนิรันดร์ เหล่าคนสำคัญปรากฏตัวขึ้นทีละคน บรรดาเจ้าสำนักต่างรับรู้ข่าวเดียวกัน จึงพากันรีบเดินทางมาที่หอนิรันดร์


ทันทีที่เหล่าผู้นำของ 6 สำนักปรากฏตัว หานเจี้ยนชิวกวาดสายตาไปโดยรอบก่อนจะตั้งคำถาม “ตอนนี้พวกคุณมีแผนการเรื่องสะพานเบื้องบนอย่างไร?”


“การลงมาของสะพานเบื้องบนเป็นเรื่องสำคัญ พวกเราต้องรับมือด้วยความระมัดระวัง ผู้อาวุโสหาน…เจ้าสำนักดาบเมฆเหินคนใหม่ทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมถึงไม่มาที่นี่?” ผู้อาวุโสคนหนึ่งตั้งคำถาม


เพราะหานเจี้ยนชิวประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อ 2-3 วันก่อน จึงเป็นที่รู้กันทั่วทั้งทวีปที่ถูกลืมว่าจางเซวียนซึ่งเป็นเจ้าสำนักดาบเมฆเหินคนใหม่ทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ ซึ่งเพียงเท่านั้นก็เกินพอจะทำให้เขามีคุณสมบัติในการเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้แล้ว


“ตอนนี้เขาอยู่ระหว่างการปลีกวิเวก ผมเข้าไปรบกวนเขาไม่ได้” หานเจี้ยนชิวตอบ


“แล้วหัวหน้าหอนานาอสูรคนใหม่, หัวหน้าเจิ้งหยางของพวกคุณล่ะ?” ผู้อาวุโสหันไปมองผู้อาวุโสฉิงหย่วน


“เขา…อยู่ระหว่างการปลีกวิเวกเหมือนกัน!” ผู้อาวุโสฉิงตอบอย่างเคร่งขรึม


“ทั้งคู่อยู่ระหว่างการปลีกวิเวก?” ผู้อาวุโสขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในรอบ 100 ปีที่สะพานเบื้องบนจะลงมา ทำให้พวกเรามีโอกาสเข้าท้าทายหอเทพเจ้า แต่สองเจ้าสำนักที่เป็นความหวังสูงสุดของพวกเรากลับอยู่ระหว่างการปลีกวิเวก…แล้วเราจะทำอย่างไร?”


เกิดความตื่นเต้นครั้งใหญ่ตอนที่พวกเขาได้ข่าวเรื่องการสถาปนา 2 เจ้าสำนักคนใหม่ แต่ทำไมทั้งคู่ถึงพากันปลีกวิเวกในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้?


“พวกเราจะพยายามดูว่าจะติดต่อท่านเจ้าสำนักและรายงานเรื่องนี้ให้เขารับรู้ได้หรือไม่ ระหว่างนี้ พวกคุณที่เหลือควรรีบเฟ้นหาสมาชิกที่ปราดเปรื่องและแข็งแกร่งที่สุดในสำนักของพวกคุณไว้ อีก 10 วันนับจากนี้ เราจะไปพบกันที่โขดหินสวรรค์สันโดษในทะเลพลัดดาว ก่อนที่สะพานเบื้องบนจะปรากฏ เราจะตรวจสอบพละกำลังของแต่ละสำนักเพื่อตัดสินใจว่าใครจะเป็นผู้นำในภารกิจครั้งนี้” หานเจี้ยนชิวพูด


“ก็ดี ตกลงตามนั้น”


ทุกคนพยักหน้า


นั่นคือหนทางที่ดีที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้ในเวลานี้


หอเทพเจ้าตั้งอยู่เหนือทะเลพลัดดาว สะพานเบื้องบนก็ปรากฏบริเวณนั้น ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงจำเป็นต้องรวมพลที่นั่น


“พวกเราคงหายุทธวิธีที่เหมาะสมกว่านี้ได้หากได้รวมตัวกันก่อน…”


ในตอนนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากประตูทางเข้า แล้วร่างสูงร่างหนึ่งก็ปรากฏตัว


เมื่อเห็นร่างนั้น ทุกคนรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับประสานมือ “หัวหน้าขง!”


ผู้ที่เพิ่งเข้ามาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหัวหน้าหอนิรันดร์!


“ไม่ต้องมีพิธีรีตองหรอก ผมได้ข่าวมาเหมือนกัน พวกคุณกรุณาส่งผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดของสำนักของคุณไปที่โขดหินสวรรค์สันโดษโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้นะ ทันทีที่เลือกตัวผู้นำในการปฏิบัติภารกิจได้สำเร็จ ผมจะขอพูดคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวเพื่อแจ้งให้เขาทราบเรื่องรายละเอียดเกี่ยวกับสะพานเบื้องบนและหอเทพเจ้า” หัวหน้าขงพูด


จากนั้นหัวหน้าขงก็หันไปยิ้มให้หานเจี้ยนชิว “ผมกำลังรอพบเจ้าสำนักคนใหม่ของคุณอยู่นะ, จางเซวียนน่ะ เมื่อเขาไปถึงโขดหินสวรรค์สันโดษแล้ว ช่วยแนะนำเขาให้ผมรู้จักด้วย ผมคาดหวังจะได้เห็นความเก่งกาจของเขา”


“แน่นอน หัวหน้าขง ผมจะพาเขาไปที่นั่นเพื่อแสดงความขอบคุณที่คุณให้การช่วยเหลือมาตลอด” หานเจี้ยนชิวตอบพร้อมกับพยักหน้า


“เอาล่ะ แล้วค่อยพบกันที่โขดหินสวรรค์สันโดษ” หัวหน้าขงหัวเราะหึๆก่อนจะออกจากห้อง


คนอื่นๆทยอยออกตามกันไป


เมื่อออกจากหอนิรันดร์ ตู้ชิงหย่วนกลับคืนสู่สภาวะเดิม เธอยืนอยู่บนเรือและมองหน้าหานเจี้ยนชิวพร้อมกับประสานมือ “ผู้อาวุโสหาน ฉันต้องกลับตำหนักเพื่อเฟ้นหานักรบที่เหมาะสม ต้องขอตัวก่อน!”


เธอหวังจะได้พบจางเซวียนที่นี่ แต่เรื่องสะพานเบื้องบนสำคัญกว่ามาก ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็น่าจะไปปรากฏตัวเพื่อรอคอยการลงมาของสะพานเบื้องบนอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อน


“ลาก่อน!” หานเจี้ยนชิวพยักหน้า


“หวู่เฉิน, เด็กชายคนนี้น่ะ เป็นเพื่อนสนิทของเจ้าสำนักจาง ขอรบกวนให้คุณช่วยดูแลเขาด้วย” ตู้ชิงหย่วนพูดยิ้มๆ


จากนั้นเธอก็ออกเรือมุ่งไปทิศเหนือ เพียงครู่เดียวก็ลับตา


“คุณรู้จักคุ้นเคยกับเจ้าสำนักของเราหรือ?” หานเจี้ยนชิวมองเด็กชายวัยรุ่นที่อยู่ตรงหน้าอย่างสงสัย


หวู่เฉินพยักหน้ารับ


“ถ้าอย่างนั้นก็ตามผมมา” หานเจี้ยนชิวพูด


ด้วยการโบกมือ เขาห่อหุ้มร่างของเด็กชายวัยรุ่นแล้วดึงขึ้นสู่กลางอากาศ ทั้งคู่บินกลับสำนักดาบเมฆเหินพร้อมกัน


ตอนนี้จางเซวียนไม่ได้อยู่ที่สำนัก พวกเขาจึงต้องหาทางแจ้งข่าวสำคัญนี้ให้อีกฝ่ายรับรู้ให้ได้


เพียงแต่…จะใช้วิธีไหน?


จางเซวียนออกเดินทางไปตำหนักคว้าดาวหลายวันแล้ว เขาอาจอยู่ที่ไหนก็ได้ อาจอยู่นอกเหนืออาณาบริเวณการสื่อสารของตราหยกสื่อสาร ดังนั้นความหวังของพวกเขาก็คือพบจางเซวียนที่หอนิรันดร์


แต่ถ้าจางเซวียนไม่ได้เข้าสู่หอนิรันดร์และพลาดเรื่องราวที่พวกเขาตั้งใจจะแจ้งล่ะ?


แต่เขากำลังมุ่งหน้าไปทะเลพลัดดาว ก็น่าจะพอได้ข่าวจากที่นั่น หานเจี้ยนชิวคิด


เขาไม่รู้ว่าตอนนี้จางเซวียนอยู่ที่ไหน แต่ตราบใดที่อีกฝ่ายยังมุ่งหน้าไปทะเลพลัดดาว อะไรๆก็คงง่ายขึ้น


ขอแค่หนึ่งในพวกเขาไปถึงที่นั่นก่อน ก็น่าจะใช้ตราหยกสื่อสารส่งข้อความหากันได้เมื่ออยู่ในอาณาบริเวณการทำงานของมัน


เมื่อตัดสินใจแล้ว หานเจี้ยนชิวรีบกลับสู่สำนักดาบเมฆเหินเพื่อเฟ้นหากลุ่มนักรบที่จะมุ่งหน้าไปโขดหินสวรรค์สันโดษด้วยกัน


ข้อบังคับเคร่งครัดในการเข้าสู่สะพานเบื้องบนก็คือระดับวรยุทธของนักรบผู้นั้นจะต้องไม่เหนือกว่านักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ หรือพูดอีกอย่างก็คือ นักรบระดับกึ่งสรวงสวรรค์จะถูกห้ามไม่ให้เข้าสู่สะพานเบื้องบน


ส่วนอีกข้อหนึ่งก็คือ ผู้นั้นจะต้องมีอายุต่ำกว่า 100 ปี


ข้อบังคับอันเข้มงวดทั้ง 2 ข้อนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญมากมายของทั้ง 6 สำนักหมดสิทธิ์ไป แม้ในสำนักดาบเมฆเหิน ก็เหลือตัวเลือกที่เหมาะสมอยู่ไม่มากนัก


หานเจี้ยนชิวรีบตรวจสอบรายชื่อของผู้ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ และเลือกนักรบที่ทรงพลังไว้ได้จำนวนหนึ่ง เผื่อในกรณีที่พวกเขาหาตัวจางเซวียนไม่พบ จากนั้น ตัวเขากับหวู่เฉินและนักรบอีกสองสามคนก็ขึ้นขี่อสูรบินได้เพื่อมุ่งหน้าไปยังทะเลพลัดดาว


…..


ภาพแบบเดียวกันเกิดขึ้นที่หอนานาอสูร


หัวหน้าของพวกเขาหายตัวไป ติดต่ออีกฝ่ายก็ไม่ได้ ทางหอนานาอสูรจึงทำได้แค่จัดเตรียมกำลังพลเพื่อตามหาเขา


…..


จางเซวียนสูดหายใจลึก จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน


หลังจากการทำงานหนักและเหน็ดเหนื่อย ในที่สุดเขาก็หลอมหุ่นโลหะไร้วิญญาณ 3 ตัวจากร่างของนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ทั้ง 3 คนจากหอเทพเจ้าได้สำเร็จ แต่ด้วยระดับวรยุทธของจิตวิญญาณที่มีจำกัด ผลงานที่ได้จึงยังไม่สมบูรณ์ ความแข็งแกร่งของหุ่นโลหะไร้วิญญาณยังอ่อนด้อยไปสักหน่อย


แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยการผนึกกำลังกันของหุ่นโลหะไร้วิญญาณทั้ง 3 ตัวนี้ ขอแค่หอเทพเจ้าไม่ส่งนักรบระดับกึ่งสรวงสวรรค์มาโจมตี เขาก็คงเล่นงานคู่ต่อสู้ให้พ่ายแพ้ได้ไม่ยาก


ขณะที่จางเซวียนกำลังเดินออกจากห้อง ไก่น้อยก็เดินเตาะแตะมาหา


“นายท่าน ผมคิดแล้วคิดอีกนะ ผมว่าผมรู้ว่าความสามารถของผมคืออะไร!”


ไก่น้อยกระพือปีกเล็กจ้อยขณะพยายามกระโจนขึ้นเกาะไหล่จางเซวียน มันมองหน้าจางเซวียนด้วยนัยน์ตากลมดำราวลูกปัดที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจ


“ความสามารถของแกคืออะไร?” จางเซวียนถาม


“ผม…กินได้!” ไก่น้อยผงกหัวอย่างภาคภูมิใจ “ถ้าคุณนำของล้ำค่าระดับกึ่งสรวงสวรรค์มาให้ผมอีกชิ้นล่ะก็ ผมจะกลืนมันลงไปรวดเดียวเลย…”


จางเซวียนยกมือกุมหน้าอก


เขาคือคนที่ทำให้ใครๆโมโหมาตลอด แต่ตั้งแต่พบเจ้าไก่หน้าด้านตัวนี้ เขารู้สึกเหมือนความดันเลือดจะพุ่งปรี๊ดอยู่บ่อยๆ


เขาทำอะไรผิดนักหนา สวรรค์ถึงลงทัณฑ์ด้วยการส่งเจ้านี่มาให้


ถ้ามันเป็นอสูรอมตะทั่วๆไป เขาคงเฉดหัวมันไปนานแล้ว แต่จะให้เขาทำอย่างไรได้? ไก่ตัวนี้ดูจะเป็นอสูรในตำนานที่เมื่อนำไปต้มแล้วได้ซุปไก่ชั้นดี…


เมื่อหวนนึกดู ถ้าไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของไก่น้อยในการกลืนกินอาวุธของฝ่ายตรงข้าม เขาคงถูกเหล่าผู้เชี่ยวชาญจากหอเทพเจ้าปลิดชีวิตไปแล้ว ถึงอย่างไร เขาก็ติดหนี้บุญคุณกับเจ้าลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยตัวนี้อยู่


เอาเถอะ ตอนนี้ฉันจะกล้ำกลืนฝืนทนแกไปก่อน!


ตอนที่ 2057 ไปทะเลพลัดดาว

“นอกจากเรื่องกิน แกมีความสามารถในการโจมตีแบบอื่นๆไหม? ฉันจำได้ว่าตอนที่ยังเป็นน้ำเต้า แกเล่นงานนกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัวให้ยอมจำนนได้ แล้วตอนนี้ยังมีกระบวนท่าทรงพลังแบบนั้นอยู่หรือเปล่า?” จางเซวียนถาม


“เอ่อ ผมไม่คิดว่าผมจะทำแบบนั้นได้นะ เหตุผลเดียวที่ผมเล่นงานนกตัวนั้นได้เพราะน้ำเต้าที่ขังตัวผมอยู่แข็งแกร่งมาก ไม่อย่างนั้น การปลดปล่อยตัวผมให้เป็นอิสระคงไม่ยากเย็นแบบนั้นหรอก…เดี๋ยวก่อน ตอนนั้นผมกลืนลูกไฟที่เจ้านกนั่นพ่นออกมาด้วยใช่ไหม? ผมคิดว่าผมน่าจะยังทำแบบเดิมได้” ไก่น้อยพูด


“อ้อ แกยังกินลูกไฟได้หรือ?” จางเซวียนพยักหน้า


เขาเคาะกระสอบอสูรและเรียกนกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัวออกมา


“ฟีนิกซ์ไฟเก้าหัว ปล่อยลูกไฟใส่ไก่น้อยที!” จางเซวียนสั่งการ


“ขอรับ นายท่าน”


เปลวเพลิงที่มีอานุภาพทำลายล้างระเบิดออกจากหัวทั้ง 9 ของนกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัว มันเข้ารุมล้อม ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยที่ยืนอยู่กับพื้น แผดเผามันด้วยความร้อนแสนสาหัส


ผ่านไปหลายนาทีกว่าเปลวเพลิงจะมอดดับ


ลูกบอลขี้เถ้าลูกจ้อยแน่นิ่งอยู่ท่ามกลางเถ้าถ่านสีดำ ได้กลิ่นเนื้อย่างอันโอชะโชยออกมา


“ฮะ?” จางเซวียนกระพริบตาปริบๆ


เจ้าไก่นั่น…สุกดีแล้วหรือ?


หมอนั่นเพิ่งบอกนี่นาว่ายังกินลูกไฟได้ ทำไมถึงถูกย่างง่ายๆแบบนั้น?


แถมกลิ่นเนื้อก็หอมอบตลบอบอวลด้วย เล่นเอาน้ำลายไหลเลยทีเดียว…


“นายท่าน ผมไม่รู้ว่ามันจะอ่อนแอขนาดนี้…” นกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัวตัวสั่นด้วยความพรั่นพรึง


ในเมื่อเจ้าไก่เหลืองตัวนี้ออกมาจากน้ำเต้า มันก็คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นอสูรที่ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ แม้จะมีรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูไม่เอาไหน แต่ใครจะไปคิดว่ามันจะกลายเป็นไก่ย่างที่ส่งกลิ่นหอมทันทีที่ถูกไฟเผา?


มันไม่ได้ตั้งใจจะย่างอสูรของนายท่านเลยจริงๆ!


“ผมก็ไม่รู้…” จางเซวียนถอนหายใจเฮือกอย่างจนปัญญา


เขายื่นแขนออกไปตรวจดูว่าไก่น้อยยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ถ้ามันตายจริงๆ เขาคงต้องฝังมันเพราะความเกรงอกเกรงใจ แม้จะเป็นการเสียอาหารไปเปล่าๆก็ตาม…


ทันทีที่นิ้วของจางเซวียนสัมผัสไก่ดำปิ๊ดปี๋ เสียงเหมือนกระเบื้องแตกก็ดังทั่วทั้งห้อง


ครืดดดดด!


เกิดรอยร้าวรอบบริเวณที่มอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน ร่างสีเหลืองอีกร่างหนึ่งผลุบออกมาจากข้างใน


คราวนี้ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยดูจะตัวกลมกว่าเก่าเล็กน้อย ไม่เพียงเท่านั้น ยังแผ่รังสีออกมาด้วย มันกระพือปีกและโผขึ้นสู่กลางอากาศโดยไม่ลำบากยากเย็นอะไร จากนั้นก็ร่อนลงเกาะไหล่ของจางเซวียน


“แก…แกสำเร็จวรยุทธอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์แล้วหรือ?” จางเซวียนชะงัก


หลังจากถูกย่างด้วยลูกไฟของนกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัว เจ้าไก่เหลืองตัวนี้เปลี่ยนจากลูกเจี๊ยบตัวจ้อยมาเป็นไก่ที่มีวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์


มันมีวรยุทธขั้นเดียวกันกับนกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัวแล้ว!


“ใช่!” ไก่น้อยพยักหน้าอย่างลิงโลด


“ถ้างั้น กุญแจของการปลดล็อควรยุทธของแกก็คือจับแกย่าง? เข้าใจแล้ว จัดการต่อเลย!”


จางเซวียนตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น เขาสั่งการให้นกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัวพ่นไฟใส่ลูกเจี๊ยบสีเหลืองตัวจ้อยต่อไป


แต่ไม่ช้า ทั้งคู่ก็หยุด


ดูเหมือนวรยุทธของไก่น้อยจะเพิ่มสูงขึ้นเฉพาะเมื่อถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิงเป็นครั้งแรกเท่านั้น การย่างซ้ำไม่ส่งผลอะไร


“ช่างมันเถอะ แกมีวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ก็ดีแล้ว แถมยังกลืนอาวุธได้” จางเซวียนพูด


เขาลองทดสอบต่อไป แต่แล้วก็ต้องพรั่นพรึงเมื่อพบว่าประสิทธิภาพการต่อสู้ของไก่น้อยไม่ได้ต่างไปจากเดิม แม้จะเป็นนักรบอมตะขั้นสูงแล้ว แต่ด้วยปีกและกรงเล็บเล็กจ้อยนั้น มันสู้ไม่ได้แม้แต่กับนักรบอมตะตัวจริง เมื่อเห็นแบบนี้ จางเซวียนได้แต่ส่ายหน้าและถอนหายใจเฮือกใหญ่


อันที่จริง ถือว่าไม่เลวนักที่ไก่น้อยสามารถกลืนกินอาวุธได้ ความสามารถนี้จะช่วยได้มากในระหว่างการต่อสู้ เขาไม่จำเป็นต้องคาดหวังอะไรให้มากเกินไป


จางเซวียนเก็บไก่น้อยเข้าสู่จุดตันเถียน และให้นกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัวกลับเข้าไปในกระสอบอสูรก่อนจะออกจากห้อง


เขาเดินไปหาเจ้าหน้าที่ของหอนิรันดร์และพูดว่า “ผมอยากเช่าอสูรอมตะบินได้ตัวหนึ่ง ไม่ทราบว่าต้องไปที่ไหน?”


มังกรอสรพิษของเขาแทบจะมีป้ายแปะหัวแล้วว่า ‘ผมคืออสูรที่หัวหน้าหอนานาอสูรคนใหม่ทำให้ยอมจำนน’ ดังนั้น จึงไม่มีทางที่จางเซวียนจะนำอีกฝ่ายออกมาโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ แม้อสูรอมตะทั่วไปจะบินได้ช้ามากก็ตาม


เมื่อลองนึกดู เขาน่าจะทำให้อสูรอมตะบินได้ยอมจำนนไว้สัก 2-3 ตัวเมื่อตอนอยู่ที่สำนักดาบเมฆเหิน แต่ตอนนั้นจางเซวียนไม่คิดว่าเขาจะมีความจำเป็นต้องใช้อสูรมากมาย แต่แท้ที่จริงแล้วเตรียมตัวไว้น่าจะดีกว่า


“คุณอยากเช่าอสูรอมตะบินได้หรือ? ที่เมืองปี้หยวนของเรามีไม่มากนักหรอก และส่วนใหญ่ก็มีเส้นทางบินที่กำหนดตายตัว ไม่ทราบว่าคุณจะไปไหน?” เจ้าหน้าที่ย้อนถามพร้อมกับยิ้มให้อย่างสุภาพ


“ผมจะขึ้นเหนือ ไปทะเลพลัดดาว” จางเซวียนตอบ


“ขึ้นเหนือ?” เจ้าหน้าที่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผู้คนทั่วไปไม่ค่อยมุ่งหน้าไปทะเลพลัดดาวหรอก จึงมีอสูรอมตะบินได้ไม่มากนักที่เดินทางไปที่นั่น ขอฉันตรวจสอบให้คุณก่อน…”


จากนั้นเธอก็ก้มหน้าลงพลิกหนังสืออย่างรวดเร็ว ครู่ต่อมาก็พูดยิ้มๆ “อสูรอมตะบินได้ที่มีวรยุทธอมตะตัวจริงระดับล่างตัวหนึ่งจะเดินทางไปทะเลพลัดดาวในอีก 3 วันจากนี้ คุณจะถึงที่หมายโดยใช้เวลาราว 1 เดือนเท่านั้น”


“1 เดือน?” จางเซวียนขมวดคิ้ว “ไม่มีอสูรที่บินได้เร็วกว่านั้นแล้วหรือ?”


เขาไม่อยากเสียเวลาเดินทางยาวนานขนาดนั้น


หอเทพเจ้าตามตัวเขาเจอแล้ว และไม่มีทางรู้เลยว่าการลอบสังหารครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่


เขาต้องมุ่งหน้าไปตำหนักคว้าดาวให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อรวบรวมหนังสือเทคนิควรยุทธเกี่ยวกับจิตวิญญาณให้เพียงพอสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธ


ถ้าเขาขี่มังกรอสรพิษไปได้ อย่างมาก 7 วันก็คงถึงที่หมาย…1 เดือนมันนานเกินไป!


ได้ยินคำนั้น เจ้าหน้าที่ส่ายหน้าและพูดต่อ “ฉันเกรงว่าจะไม่มีทางเลือกอื่น ผู้คนที่อาศัยอยู่ในทะเลพลัดดาวไม่ยินดีต้อนรับคนแปลกหน้าเท่าไหร่ จึงแทบไม่มีใครเดินทางไปที่นั่น อีกอย่าง ค่าโดยสารของอสูรอมตะบินได้ก็แพง จึงมีผู้คนใช้บริการไม่มาก…”


กลุ่มอำนาจส่วนใหญ่มีอสูรบินได้ของตัวเอง และผู้ที่สำเร็จวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงแล้วก็บินได้ พวกเขาจึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้อสูรเดินทางไปไหนมาไหน


อีกอย่าง ผู้คนในท้องถิ่นของทะเลพลัดดาวมักเป็นปฏิปักษ์กับคนแปลกหน้า มีแต่เมืองใหญ่อย่างเมืองปี้หยวนเท่านั้นที่จะมีเส้นทางการบินมุ่งตรงไปที่นั่น


“ถ้าผมเช่าอสูรระดับอมตะขั้นสูงตัวหนึ่งเพื่อมุ่งหน้าไปทะเลพลัดดาว จะเสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่” จางเซวียนถาม


“เอ่อ…” เจ้าหน้าที่ไม่มีคำตอบให้ “ฉันไม่เคยเจอคำถามแบบนี้มาก่อน จะไปตรวจสอบกับผู้อาวุโสให้นะ”


เธอหันหลังกลับและจากไป


ไม่ช้าก็กลับมาพร้อมกับผู้อาวุโสคนหนึ่ง


“คุณจะเดินทางไปทะเลพลัดดาวหรือ?” ผู้อาวุโสตั้งคำถาม


จางเซวียนพยักหน้า “คุณมีอสูรอมตะขั้นสูงให้ผมเช่าไหม?”


“อสูรอมตะขั้นสูงที่เปิดให้เช่านั้นมีไม่มาก แต่ผมรู้มาว่าพวกสำนักดาวเจ็ดดวงตั้งใจจะมุ่งหน้าไปทะเลพลัดดาวเหมือนกัน พวกเขาจะออกเดินทางพรุ่งนี้ และอสูรที่พวกเขาขี่จะไปถึงที่หมายภายใน 5 วัน!” ผู้อาวุโสตอบยิ้มๆ


“5 วัน!” จางเซวียนถึงกับผงะ


เร็วกว่ามังกรอสรพิษเสียอีก!


เป็นไปได้ว่าอสูรอมตะตัวนั้นจะมีวรยุทธระดับอมตะสรวงสวรรค์ขั้นสูงเช่นกัน


“ใช่” ผู้อาวุโสพยักหน้า


“ผมคงต้องรบกวนให้คุณช่วยอธิบายหน่อยว่าผมจะขอโดยสารไปกับพวกเขาได้อย่างไร?” จางเซวียนประสานมือ


ความเร็วของอสูรอมตะทำให้เขาสนใจมาก แถมสิ่งนี้ยังหมายความว่าระดับของผู้ที่จะเดินทางไปกับอสูรตัวนี้ย่อมไม่ธรรมดา เขาคงต้องจ่ายค่าโดยสารในราคาสูงลิ่ว


จากการท้าทายบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในและศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดเมื่อครั้งอยู่ที่สำนักดาบเมฆเหิน จางเซวียนได้เงินเหรียญสำนักดาบมากมาย แต่เพราะคิดว่าไม่มีเหตุให้ต้องใช้มากนัก จึงใช้เงินนั้นซื้อหายาเม็ดอมตะให้ตั้นเฉี่ยวเทียนกับไป๋เหรินชิงเกือบหมด


ด้วยเหตุนี้ แม้เขาจะไม่ถึงกับจนกรอบ แต่เงินที่มีก็ไม่มากพอจะขอโดยสารไปกับสำนักดาวเจ็ดดวง


แต่ในเมื่อเป็นที่แน่ใจแล้วว่าเขาจะได้เดินทางไปกับอสูรอมตะหากมีเงินมากพอ ทุกอย่างก็ง่ายขึ้นมาก เขาแค่ต้องหาเงินเท่านั้น


เมื่อคิดได้ จางเซวียนมองหน้าผู้อาวุโส “ต้องใช้เงินเท่าไหร่?”


“มันเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัวของเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวง และด้วยความห่างไกลของทะเลพลัดดาว สนนราคาก็น่าจะอยู่ที่อย่างน้อย 20,000 เหรียญนิรันดร์” ผู้อาวุโสตอบหลังจากคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว


“20,000 เหรียญนิรันดร์?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


ขนาดตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลของนักรบอมตะตัวจริงยังมีราคาแค่ 2,700 เหรียญนิรันดร์เท่านั้น หากมีเงิน 20,000 นิรันดร์ ก็คงสามารถซื้อหาได้แม้แต่อาวุธระดับอมตะขั้นสูง


ช่างแพงเสียจริงๆ


“ใช่” ผู้อาวุโสพยักหน้า “บอกคุณตามตรงนะ ผมได้ค่าคอมมิชชั่นครึ่งหนึ่ง เพราะคุณก็คงรู้ว่าหากไม่มีการแนะนำจากผม ต่อให้มีเงิน 20,000 เหรียญนิรันดร์ คุณก็ขอโดยสารไปกับสำนักดาวเจ็ดดวงด้วยตัวเองไม่ได้!”


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนพยักหน้า


เขาเป็นคนนอก ไม่รู้จักใครสักคนในสำนักดาวเจ็ดดวง หากไม่มีผู้อาวุโส อย่าว่าแต่จะเจรจากับพวกนั้นเลย คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสามารถทำแบบนี้ได้


“ผมเข้าใจ จะไปเตรียมเงินเดี๋ยวนี้แหละ” จางเซวียนพยักหน้าขณะหันหลังกลับและเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวของหอนิรันดร์


ความปลอดภัยต้องมาก่อน ขอแค่เขาหลบซ่อนสายตาของหอเทพเจ้าได้ การใช้เงินจำนวนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่


ส่วนเขาจะหาเงินได้อย่างไรนั้น ที่ไหนก็ตามที่มีหอนิรันดร์ ย่อมมีการดวลที่เปิดให้สาธารณชนเข้าชม ในเมื่อเขาคือผู้ไร้เทียมทานในบรรดานักรบระดับเดียวกัน การหาเงินก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก!


ขอแค่เขาไม่เปิดเผยเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้า หอเทพเจ้าก็ไม่มีทางหาตัวเขาเจอ


จางเซวียนรีบติดตั้งค่ายกลปิดกั้นสองสามอันในห้องส่วนตัวนั้น ก่อนจะเพ่งสมาธิเข้าสู่ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล


การวางผังของหอนิรันดร์เสมือนจริงไม่ต่างกับในโลกของความเป็นจริง จางเซวียนรุดหน้าสู่สังเวียนประลอง


ในฐานะเมืองที่ใหญ่ที่สุดเมืองหนึ่งในทวีปที่ถูกลืม เมืองปี้หยวนมีผู้เชี่ยวชาญอยู่มากมาย แม้นักรบอมตะตัวจริงจะถือได้ว่าเป็นนักรบชั้นนำในเมืองเล็กๆอย่างเมืองอู๋ไห่ แต่สำหรับที่นี่ มีนักรบระดับนั้นอยู่มากมาย จนแทบไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาคือคนกลุ่มน้อยของทวีปที่ถูกลืม


ด้วยเหตุนี้ สังเวียนประลองจึงมีผู้คนแน่นขนัด


ตอนที่ 2058 เข้าใจแล้ว…

หลังจากลงทะเบียนกับพนักงานต้อนรับ จางเซวียนรีรออยู่ราว 10 นาทีก่อนจะตรงเข้าสู่สังเวียนประลอง


เจ้าหน้าที่หันไปถามผู้อาวุโสด้วยความอยากรู้ “ผู้อาวุโส สำนักดาวเจ็ดดวงกำลังจะส่งคนไปทะเลพลัดดาวใช่ไหม?”


ตำหนักคว้าดาวนั้นได้ชื่อว่าไม่เคยญาติดีกับอีก 5 สำนักที่เหลือ แล้วทำไมสำนักดาวเจ็ดดวงถึงคิดจะส่งคนของตัวเองไป?


“มันเป็นข่าวลับสุดยอดนะ อย่าพูดไปล่ะ ว่ากันว่าท่านเจ้าสำนักจะเดินทางไปที่นั่นเพื่อหารือเรื่องสำคัญบางอย่าง” ผู้อาวุโสตอบ


เขาคือผู้อาวุโสผู้ทำหน้าที่ดูแลหอนิรันดร์แห่งเมืองปี้หยวน เขาสำเร็จวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์นานแล้ว ทำให้เป็นบุคคลผู้ทรงเกียรติของที่นั่น ด้วยเหตุนี้ จึงมีโอกาสได้รับรู้เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในสำนักดาวเจ็ดดวง


“อ้อ…” เมื่อรู้ว่าเรื่องนี้เป็นความลับ เจ้าหน้าที่ไม่กล้าซักไซ้ให้มากความ เธอหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่อง “ฉันอยากรู้เหลือเกินว่าหมอนั่นจะหาเงิน 20,000 เหรียญนิรันดร์ได้ทันเวลาไหม…”


“เฮ่อออ!” ผู้อาวุโสคำรามเยาะ “นอกเสียจากนักรบระดับอมตะขั้นสูง ไม่มีทางที่ใครจะหาเงินมากขนาดนั้นได้หรอก!”


“แล้ว…” เจ้าหน้าที่กระพริบตาปริบๆ ประหลาดใจกับทีท่าของผู้อาวุโส


“ผมก็แค่อยากให้เขารู้ว่าควรเจียมกะลาหัวแล้วกลับไปเสีย เพราะการขี่อสูรอมตะธรรมดาๆไปที่นั่นก็ใช้เวลาเพียง 1 เดือนเท่านั้น แถมมีราคาแค่ 200 เหรียญนิรันดร์ แต่ถ้าจะเดินทางไปพร้อมกับสำนักดาวเจ็ดดวง จะต้องเสียเงินถึง 20,000 เหรียญนิรันดร์ ไม่มีใครยอมจ่ายแพงกว่าเป็น 100 เท่าเพียงเพื่อประหยัดเวลาเดินทางแค่ 20 วันหรอก!” ผู้อาวุโสส่ายหน้า


นักรบที่มีวรยุทธระดับพวกเขาสามารถใช้เวลาหลายเดือนในการปลีกวิเวกเพื่อพัฒนาวรยุทธ มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่ยอมจ่ายเงินมากขนาดนี้เพื่อประหยัดเวลาเพียง 20 วัน


“ก็จริง…” เจ้าหน้าที่พยักหน้ารับ “มาลองนึกดู เท่าที่ฟังจากน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนเขาจะมีเงินไม่มาก เลยตั้งใจจะออกไปหาเงินให้ได้ก่อน”


ผู้อาวุโสคำราม “วิธีหาเงินที่เร็วที่สุดในหอนิรันดร์ก็คือเข้าสู่สังเวียนประลอง เพราะเดิมพันจะทวีคูณในแต่ละรอบที่ได้ชัยชนะ เขาจึงต้องเอาชนะติดต่อกันให้ได้หลายๆรอบ แต่ขนาดศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดจากสำนักดาวเจ็ดดวงที่เข้าสู่สังเวียนประลองของเราบ่อยๆก็ยังเอาชนะติดต่อกันถึง 4 รอบได้ยาก นับประสาอะไรกับตัวเขา!”


เพราะสำนักดาวเจ็ดดวงตั้งอยู่ใกล้กับหอนิรันดร์ของเมืองปี้หยวน เหล่าศิษย์สายตรงของสำนักดาวเจ็ดดวงจึงมาเยือนที่นี่บ่อยๆ


“ค่าลงทะเบียนคือ 5 เหรียญนิรันดร์ ต่อให้เขาเอาชนะได้ 5 รอบติดต่อกัน ก็จะได้เงินเพียง 80 เหรียญนิรันดร์เท่านั้น ยังห่างไกลนักกับเป้าหมายของเขาที่ 20 เหรียญนิรันดร์” เจ้าหน้าที่เสริมพร้อมกับหัวเราะเบาๆ


ราคาเริ่มต้นสำหรับการเข้าร่วมสังเวียนประลองถูกตั้งไว้ไม่สูง เพียงแค่ 5 เหรียญนิรันดร์เท่านั้น เพื่อดึงดูดให้ผู้คนเข้าร่วมการประลองให้มากๆ


เมื่อใครคนหนึ่งเอาชนะรอบแรกได้ เดิมพันจะสูงขึ้นเป็น 2 เท่าทันที ผู้เข้าท้าทายคนต่อไปจะต้อง จ่ายเงินในราคาที่เพิ่มขึ้นแล้วเพื่อเข้าร่วมการต่อสู้


ผู้อาวุโสพยักหน้ายิ้มๆ “เอาล่ะ ผมจะกลับไปพักผ่อนนะ มีอะไรก็เรียกผมก็แล้วกัน”


จากนั้นเขาก็หันหลังกลับเพื่อเดินกลับห้อง แต่หลังจากออกเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งก็พรวดพราดเข้ามาและตะโกน “ผู้อาวุโส!”


“มีอะไร?” ผู้อาวุโสขมวดคิ้ว


“เมื่อครู่นี้ นักสู้คนหนึ่งเพิ่งเอาชนะการประลองได้ถึง 10 รอบติดต่อกัน!” เจ้าหน้าที่ร้องออกมา


“10 รอบ?” ผู้อาวุโสถึงกับผงะ “นานแล้วนะที่ไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จขนาดนี้ในสังเวียนประลอง เขาเป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดจากสำนักดาวเจ็ดดวงหรือเปล่า?”


ในเมืองปี้หยวน ผู้ที่เอาชนะการประลองได้ 10 รอบติดต่อกันมักเป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดของสำนักดาวเจ็ดดวง


ผู้เชี่ยวชาญระดับนั้นจะปรากฏตัวขึ้นเป็นระยะๆ แต่น้อยครั้งที่จะเข้าร่วมการประลอง เพราะถึงอย่างไรก็ถือว่าไม่ยุติธรรมต่อนักรบคนอื่นๆ เหมือนการที่นักสู้ผู้ช่ำชองขึ้นสังเวียนเดียวกันกับมือสมัครเล่น ไม่เป็นผลดีต่อพวกเขา ต่อให้พวกเขาเอาชนะได้ก็ตาม


“จากที่สอบถามจ้าวเหมิง เขาไม่ใช่ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดของสำนักดาวเจ็ดดวง” เจ้าหน้าที่ตอบ


จ้าวเหมิงคือหนึ่งในคือศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดของสำนักดาบเจ็ดดวง มีอันดับค่อนข้างสูง


“เข้าใจแล้ว…” ผู้อาวุโสชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบเดินกลับห้อง “ผมต้องไปดูสักหน่อย”


เขานำตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลออกมาและเพ่งสมาธิเข้าไป ไม่ช้าก็มายืนอยู่ในหอนิรันดร์เสมือนจริง


ด้วยการก้าวยาวๆเพียง 2-3 ก้าว เขาก็มาถึงสังเวียนประลอง


บนสังเวียนประลอง มีนักสู้ 2 คนกำลังสู้กันด้วยมือเปล่า


นักสู้เสื้อคลุมสีเทาที่อยู่ทางซ้ายกำลังปล่อยพลังจากฝ่ามือออกมาเป็นชุด ส่วนนักสู้ที่อยู่ทางขวาก็ย่างเหยาะไปทั่วสังเวียนอย่างว่องไวเพื่อหลบเลี่ยงการโจมตีนั้น


“นักสู้เสื้อคลุมสีเทาคือศิษย์สายตรงอันดับต้นๆของสำนักดาวเจ็ดดวง, เมิ่งฮั่น, ใช่ไหม?”


“ผมไม่คิดเลยว่าเขาจะมาปรากฏตัวที่นี่!”


“ส่วนนักสู้อีกคนน่ะเอาชนะได้ถึง 12 รอบติดต่อกันอย่างง่ายดาย คู่ต่อสู้ของเขาสามคนเป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดจากสำนักดาวเจ็ดดวงด้วย ในฐานะศิษย์สายตรงชั้นยอด เขาคงรู้สึกว่าจะต้องปกป้องชื่อเสียงของสำนักดาวเจ็ดดวงไว้”


ทันทีที่มาถึงสังเวียนประลอง ผู้อาวุโสได้ยินเสียงออกความเห็นเซ็งแซ่


“นี่รอบที่ 13 แล้วหรือ?” ผู้อาวุโสผงะ


เขาจำได้รางๆว่าเมื่อครู่นี้เจ้าหน้าที่เพิ่งรายงานว่านักสู้คนหนึ่งเอาชนะการดวลได้ 10 รอบติดต่อกัน แล้วทำไมถึงกลายเป็น 12 รอบติดต่อกันแบบนี้?


“เขาคงเอาชนะได้อีก 2 รอบระหว่างที่ฉันตามหาคุณ…” เจ้าหน้าที่คนเมื่อครู่มีสีหน้าไม่อยากเชื่อ “แต่นั่นก็ไม่น่าใช่นะ ฉันออกจากหอนิรันดร์ไปตามหาคุณเพียงแค่นาทีเดียว!”


ผู้อาวุโสอ้าปากค้าง


หมอนี่เล่นงานคู่ต่อสู้ได้ถึง 2 คนในเวลาเพียงนาทีเดียว!


“ดูนั่น!”


ขณะที่ผู้อาวุโสพยายามขบคิดว่าเกิดอะไรขึ้น นักสู้ที่เอาแต่หลบเลี่ยงพลังจากฝ่ามือมาตลอดก็ปล่อยหมัดออกมาอย่างกะทันหัน


พลั่ก!


เมิ่งฮั่น, ศิษย์สายตรงชั้นยอดของสำนักดาวเจ็ดดวงร่วงลงไปกองกับพื้น ร่างของเขาชักกระตุกไม่หยุด เมื่อมองไกลๆ ศีรษะของเขายุบเข้าไปข้างใน


“ขนาดเมิ่งฮั่นยังแพ้ง่ายๆแบบนั้นหรือ?” ผู้อาวุโสถึงกับอึ้ง


เมิ่งฮั่นเป็นนักสู้หมายเลข 1 ของหอนิรันดร์มาอย่างน้อย 3 ปีแล้ว ใครจะไปคิดว่าเขาจะร่วงด้วยหมัดเพียงหมัดเดียว?


แบบนี้ก็หักมุมเกินไป!


ไม่ใช่แค่ผู้อาวุโสที่ตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น ฝูงชนที่เหลือก็จังงัง


นักสู้ที่ทรงพลังขนาดนั้นต้องพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียว…ยากจะเชื่อว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริงๆ


…..


ที่สภาผู้อาวุโสของสำนักดาวเจ็ดดวง…


พลั่ก! ตุ้บ!


ชายวัยกลางคนคู่หนึ่งกำลังแลกหมัดกันอย่างดุเดือด คลื่นความสั่นสะเทือนแผ่ออกมาจากการปะทะของพวกเขา ทำให้อักษรที่จารึกไว้บนค่ายกลโดยรอบเรืองแสงซ้ำแล้วซ้ำอีกขณะดูดซับแรงปะทะนั้น


ทั้งคู่มีอายุราว 40-50 ปี แต่เป็นนักรบระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์แล้ว ทุกกระบวนท่าของพวกเขาดูจะมีอิทธิพลต่อพละกำลังของธรรมชาติ


ฟึ่บ!


ในที่สุดผู้อาวุโสเสื้อคลุมสีเขียวก็เข้าประชิดอีกฝ่ายได้ใกล้พอที่จะแทงลำคอของผู้อาวุโสเสื้อคลุมสีเทาได้ เขายั้งมือไว้ที่ระยะห่างเพียง 1 นิ้ว


“ผมแพ้แล้ว…” ผู้อาวุโสเสื้อคลุมสีเทายอมแพ้


“เป็นการต่อสู้ที่ไม่เลว!” ผู้อาวุโสเสื้อคลุมสีเขียวตอบอย่างกระตือรือร้นก่อนจะหันไปมองฝูงชน “มีใครอยากดวลกับผมไหม?”


เงียบกริบ


ผู้อาวุโสคนหนึ่งก้าวออกมาและประกาศ “ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ผมขอประกาศว่าผู้อาวุโสหงอู่คือผู้ชนะในการประลองครั้งนี้ ผมจะพาเขาไปที่ทะเลสาบพลัดดาว!”


ผู้อาวุโสคนนี้คือเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวง, คุ่ยเฉี่ยว!


“ขอรับ เจ้าสำนักคุ่ย!” ฝูงชนประสานมือ


สองชั่วโมงก่อน คุ่ยเฉี่ยวสั่งการให้ผู้อาวุโสทุกคนที่สำเร็จวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์และมีอายุต่ำกว่าร้อยปีมารวมตัวกันที่สภาผู้อาวุโสแห่งนี้ เขาจัดการให้ทุกคนดวลกันแบบแพ้คัดออก และสุดท้าย ก็เป็นผู้อาวุโสหงอู่ที่ได้ชัยชนะ


ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีใครตั้งคำถามกับคำตัดสินของคุ่ยเฉี่ยว


“ผมมีบางอย่างต้องคุยกับผู้อาวุโสหงอู่เป็นการส่วนตัว พวกคุณที่เหลือแยกย้ายได้”


เจ้าสำนักคุ่ยพูดพร้อมกับโบกมือ


คนที่เหลือพยักหน้ารับก่อนจะออกจากสภาผู้อาวุโส


แต่ยังไม่ทันจะได้ออกไป ผู้อาวุโสคนหนึ่งก็พรวดพราดเข้ามารายงาน “เจ้าสำนักคุ่ย เกิดเรื่องแล้ว!”


“ฮะ?” เจ้าสำนักคุ่ยขมวดคิ้ว


ผู้อาวุโสที่เพิ่งเข้ามาคือผู้อาวุโสหมายเลข 1 ของสำนักดาวเจ็ดดวง แม้จะมีวรยุทธต่ำกว่าตัวเขา แต่อีกฝ่ายก็ยังเป็นหนึ่งในนักรบระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปที่ถูกลืม


ด้วยพละกำลังของเขา ไม่น่ามีอะไรทำให้เขาสะทกสะท้านได้ การที่อีกฝ่ายพรวดพราดเข้ามาด้วยอาการร้อนใจแบบนี้ แปลว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญมาก


“ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในหอนิรันดร์แห่งเมืองปี้หยวน เขาท้าทายคู่ต่อสู้จำนวนมากมาย เข้าประลองติดต่อกันหลายรอบ แต่ไม่มีใครรับมือกับเขาได้เลย สุดท้ายเขาก็เอาชนะได้ถึง 13 รอบติดต่อกัน ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดของเรา, เมิ่งฮั่น ก็ท้าทายเขาด้วย แต่ขนาดเมิ่งฮั่นก็พ่ายแพ้ด้วยหมัดเพียงหมัดเดียว” ผู้อาวุโสที่ 1 รายงานโดยใช้โทรจิต


“แม้แต่เมิ่งฮั่นก็สู้เขาไม่ได้?” เจ้าสำนักคุ่ยประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด


เมิ่งฮั่นไม่ได้เป็นแค่ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดอันดับ 1 ของสำนักดาวเจ็ดดวง แต่ยังเป็นศิษย์สายตรงของเขาด้วย มีความเป็นไปได้สูงที่ในอนาคตเมิ่งฮั่นจะได้รับตำแหน่งผู้อาวุโสที่ 1 หรือแม้แต่สืบทอดตำแหน่งของเขา!


ด้วยความแข็งแกร่งของเมิ่งฮั่น เขาน่าจะเป็นนักรบผู้ไร้เทียมทานเมื่อเผชิญหน้ากับนักรบอมตะตัวจริงคนอื่นๆ แต่กลับลงเอยด้วยการพ่ายแพ้ในหมัดเดียว นี่เป็นเรื่องจริงหรือ?


คุ่ยเฉี่ยวไม่อาจนิ่งเฉยได้กับความพิลึกพิลั่นนี้ เขาพูดพร้อมกับโบกมือ “ไปดูกันเถอะ”


“ขอรับ!”


ผู้อาวุโสที่ 1 รีบนำตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลที่เตรียมไว้ออกมา


คุ่ยเฉี่ยวรับตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลไว้ เขากำลังจะเข้าสู่หอนิรันดร์ ก็พอดีกับที่พลันนึกได้ เขาหันไปพูดกับผู้อาวุโสหงอู่ “คุณก็ควรมากับพวกเราด้วย”


ขณะที่พูด ก็โยนตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลไป


“ขอรับ เจ้าสำนักคุ่ย!” ผู้อาวุโสหงอู่ตอบรับขณะคว้าตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลไว้


ในเมื่อผู้เชี่ยวชาญคนนี้เอาชนะได้แม้แต่เมิ่งฮั่น เขาก็อยากรู้ว่าอีกฝ่ายทรงพลังแค่ไหน


“ผู้ที่เอาชนะเมิ่งฮั่นได้…ชื่ออะไร?” เจ้าสำนักคุ่ยตั้งคำถามขณะหยดเลือดหยดหนึ่งลงไปบนตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลเพื่อเปิดใช้งาน


“ดูเหมือนเขาจะชื่อ…” ผู้อาวุโสที่ 1 อ้ำอึ้งไปครู่หนึ่งเพื่อครุ่นคิด ก่อนจะตอบว่า “หลิวหยาง!”


ตอนที่ 2059 ขอผมลองดู!

“หลิวหยาง?” คุ่ยเฉี่ยวขมวดคิ้ว


ชื่อนี้…เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน!


“เข้าไปดูกันเถอะ”


รู้ดีว่าเข้าไปดูให้เห็นกับตาย่อมดีกว่ามัวตั้งคำถาม คุ่ยเฉี่ยวรีบเพ่งสมาธิเข้าสู่ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล


ที่สังเวียนประลอง เขาเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกวาดสายตาไปทั่วฝูงชนอย่างตั้งอกตั้งใจ “มีใครอยากดวลกับผมอีกไหม?”


ไม่มีเสียงตอบ


อีกฝ่ายเอาชนะได้ถึง 14 รอบติดต่อกัน ปราบได้แม้แต่ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดหมายเลข 1 ของสำนักดาวเจ็ดดวง เมื่อรู้แล้วว่าชายหนุ่มคนนี้แข็งแกร่งแค่ไหน พวกเขาก็ไม่โง่เง่าพอจะคิดว่าตัวเองมีโอกาสเอาชนะปีศาจที่เก่งกาจระดับนั้นได้


ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีใครเต็มใจขึ้นสู่สังเวียน


“ขอผมลองดู!” ผู้อาวุโสหงอู่ประกาศ


เมื่อครู่นี้เองที่เขาเพิ่งท้าทายเหล่าผู้อาวุโสและเอาชนะทุกคนได้ เขายังคงฮึกเหิมด้วยเจตจำนงการต่อสู้เต็มเปี่ยม


“ระวังตัวด้วย” คุ่ยเฉี่ยวแนะ


การลงทะเบียนเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าผู้อาวุโสหงอู่ก็ประจันหน้ากับคู่ต่อสู้ของเขาบนสังเวียนประลอง


อีกฝ่ายดูมีอายุราว 20 ปี แต่ก็นั่นแหละ การปลอมแปลงรูปลักษณ์ในหอนิรันดร์เป็นเรื่องง่ายมาก จึงไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามประเมินใครด้วยรูปร่างหน้าตาที่ปรากฏในหอนิรันดร์


แต่โดยมาก คนหนุ่มก็มักไม่เต็มใจปลอมตัวเป็นผู้อาวุโส และผู้อาวุโสก็ไม่นิยมปลอมตัวเป็นคนหนุ่มเช่นกัน


อีกอย่าง ด้วยบุคลิกและท่าทีของอีกฝ่าย ผู้อาวุโสหงอู่พอประเมินได้ว่าชายที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่น่าจะอายุมากนัก อย่างมากที่สุดก็คง 50 ปี


ผู้อาวุโสหงอู่ส่งโทรจิต “ผมคือหงอู่จากสำนักดาวเจ็ดดวง เป็นไปได้ไหมว่าเราเคยรู้จักกันมาก่อน?”


“หงอู่?” ชายหนุ่มที่อยู่ตรงข้ามส่ายหน้า “ผมไม่คิดว่าผมรู้จักคุณนะ”


ได้ยินคำนั้น ผู้อาวุโสหงอู่เลิกคิ้ว


ถึงตัวเขาจะไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวซึ่งเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ แต่ก็เป็นที่รู้จักทั่วไปในหมู่สมาชิกของสำนักดาวเจ็ดดวง แทบไม่มีใครในเมืองปี้หยวนที่ไม่รู้จักเขา


แต่ชายผู้นี้ดูเหมือนจะจดจำเขาไม่ได้เลย


เขาไม่ใช่คนในพื้นที่ของเมืองปี้หยวนหรือ?


ชายหนุ่มดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงสีหน้าที่เปลี่ยนไปของผู้อาวุโสหงอู่ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดว่า “ขอแค่คุณยอมจ่ายเงิน 2,560 เหรียญนิรันดร์ถ้าคุณแพ้ ผมก็ไม่รังเกียจหรอกนะที่จะบอกว่าผมรู้จักคุณ ถ้าเรื่องนั้นมันสำคัญกับคุณล่ะก็”


เมื่อเลยจากรอบที่ 10 ไป อัตราส่วนเดิมพันของเหรียญนิรันดร์จะไม่ใช่ 2 เท่าแล้ว เพราะไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นจำนวนเงินที่ไม่มีใครสามารถหาได้


พูดอีกอย่างก็คือ การดวลทุกนัดที่เกินไปกว่ารอบที่ 10 จะทำเงินให้จางเซวียนได้เพียงรอบละ 2,560 เหรียญนิรันดร์เท่านั้น


เพราะเอาชนะได้ถึง 14 รอบติดต่อกัน จางเซวียนจึงมีเงินทั้งหมด 15,353 เหรียญนิรันดร์ ถือว่าไม่ไกลจากเป้าหมายของเขาที่ 20,000 เหรียญ


คำพูดนั้นทำให้ผู้อาวุโสหงอู่หน้าเปลี่ยนสี เขารีบส่ายหัวและพูดว่า “เริ่มเถอะ!”


คนที่พูดจาไม่เข้าหูอย่างคุณไม่น่าจะมีเพื่อนหรอก!


ถ้าคุณรู้จักผม ก็ตามนั้น แต่ถ้าคุณไม่รู้จักผม…ก็ตามนั้นเหมือนกัน ทำไมถึงพูดราวกับว่าผมร้องขอให้คุณรู้จักผม?


ที่สำคัญกว่านั้น มันเรื่องอะไรถึงพูดอย่างกับว่าผมต้องแพ้แน่ๆ คุณต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายเสียเงิน 2,560 เหรียญนิรันดร์ รู้ตัวไว้ด้วย!


ผู้อาวุโสหงอู่คร้านจะเสียเวลา ร่างของเขาพร่าเลือนไปทันทีขณะพุ่งเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง เขาเงื้อฝ่ามือและกระโจนขึ้นสูงเพื่อปล่อยพละกำลังจากฝ่ามือเข้าใส่จางเซวียนจากด้านบน


ฝ่ามือไร้บุปผา!


พลังปราณที่ถูกรวบรวมไว้ในการโจมตีจากฝ่ามือนั้นร้อยรัดชายหนุ่มไว้แน่นราวกับเถาวัลย์


แม้วรยุทธของเขาจะถูกลดต่ำลงให้เป็นแค่นักรบอมตะตัวจริง แต่ก็ยังสามารถดึงพละกำลังที่แท้จริงของฝ่ามือไร้บุปผาออกมาได้ เถาวัลย์มากมายนับไม่ถ้วนพุ่งออกไปและร้อยรัดตัวมันรอบเป้าหมาย ไม่มีพละกำลังหรือแรงส่งอันน่าทึ่งใดๆ แต่การโจมตีจากฝ่ามือนั้นดูจะโอบล้อมอีกฝ่ายไว้อย่างแน่นหนา


ก็เพราะกระบวนท่านี้ที่ทำให้เขาเอาชนะผู้อาวุโสได้มากมาย!


“ไม่เลวนี่” จางเซวียนพยักหน้า


ทักษะของคู่ต่อสู้ที่เขากำลังเผชิญอยู่เรียกได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาคู่ต่อสู้ทั้ง 14 คนที่เขาเจอมา


ก็เหมือนกับครั้งก่อนๆ จางเซวียนตอบโต้ด้วยการปล่อยพละกำลังจากฝ่ามือ


เมื่อเจอกับคู่ต่อสู้ที่มีวรยุทธระดับเดียวกัน เขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพาหอสมุดเทียบฟ้าก็เอาชนะอีกฝ่ายได้


การโจมตีจากฝ่ามือของจางเซวียนดูเหมือนจะมีเปลวไฟพวยพุ่งออกมา แผดเผาเถาวัลย์ทั้งหมด


ความแปลกประหลาดนี้ทำให้ผู้อาวุโสหงอู่หรี่ตาด้วยความตกใจ พริบตาต่อมา เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่ตรึงร่างของเขาไว้ ทำให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้


พลั่ก!


การโจมตีจากฝ่ามือปะทะศีรษะของเขาอย่างจัง ร่างไร้ชีวิตทรุดฮวบลงกับพื้น


หลังจากเล่นงานคู่ต่อสู้แล้ว จางเซวียนพบว่าเงินของเขาเพิ่มขึ้นอีก 2,560 เหรียญนิรันดร์ ทำให้ต้องถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาหันไปมองฝูงชนอีกครั้ง “เอาล่ะ มีใครอยากดวลกับผมไหม?”


ตอนนี้เขารวบรวมเงินได้ 17,915 เหรียญนิรันดร์แล้ว แค่เอาชนะคู่ต่อสู้อีกคนเดียวก็จะสะสมได้ครบ 20,000 เหรียญนิรันดร์!


“ขนาดหงอู่ยังพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วแบบนั้น?”


ที่ด้านล่างสังเวียนประลอง เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวสูดหายใจลึก


ผู้อาวุโสหงอู่เพิ่งเอาชนะผู้อาวุโสทุกคนในสำนักดาวเจ็ดดวงได้สำเร็จ ไม่มีพ่ายแพ้สักครั้ง แต่เมื่อเจอกับหมอนี่ ก็แพ้ราบคาบด้วยหมัดเพียงหมัดเดียว


เขาเป็นใครกัน! เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวขมวดคิ้ว คงไม่ได้มาจากสำนักดาวเจ็ดดวงของเราแน่ ไม่อย่างนั้น เราคงได้ยินชื่อเขาไปนานแล้ว


การที่อีกฝ่ายเข้าสู่หอนิรันดร์ของวรยุทธขั้นอมตะตัวจริงได้ก็แปลว่าเขาสำเร็จวรยุทธขั้นอมตะตัวจริงแล้ว ถ้าเป็นที่สำนักดาวเจ็ดดวง อย่างน้อยชายผู้นี้ก็ต้องได้เป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด


ในเมื่ออีกฝ่ายเล่นงานเมิ่งฮั่นและผู้อาวุโสหงอู่ให้พ่ายแพ้ได้อย่างง่ายดาย สำนักดาวเจ็ดดวงก็น่าจะรับรู้ถึงชื่อเสียงของเขานานแล้ว ถ้าอีกฝ่ายเป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดจริงๆ ก็ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้ไม่เห็นแบบนี้!


“หลิวหยาง…” คุ่ยเฉี่ยวครุ่นคิดอยู่นาน แต่ก็ไม่รู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นหู


เมื่อเห็นว่าไม่มีใครรับคำท้าของหลิวหยาง ผู้อาวุโสที่ 1 ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนกระโจนขึ้นสู่สังเวียน “ผมจะลองดู”


แม้วรยุทธของเขาจะเป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ แต่ในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ เขาแข็งแกร่งกว่าผู้อาวุโสหงอู่มาก เป็นเพราะเขาอายุเกิน 100 ปีแล้ว จึงไม่มีสิทธิ์เข้าท้าทายสะพานเบื้องบน


แต่เมื่อเห็นหลิวหยางคนนี้เอาชนะผู้อาวุโสหงอู่ได้อย่างง่ายดาย ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าตัวเขาจะรับมือกับชายหนุ่มได้หรือไม่


บนสังเวียนประลอง จางเซวียนกำลังใจเต้นตึกตักด้วยความกังวลเมื่อไม่มีใครรับคำท้าของเขา จึงโล่งใจมากที่เห็นผู้อาวุโสอีกคนกระโจนขึ้นมา เขาแอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็โบกมือ “เริ่มกันเถอะ”


เขาตั้งใจจะปิดจ๊อบให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ไม่มีโอกาสตอบโต้ ไม่อย่างนั้นเขาอาจต้องชวดเหรียญนิรันดร์


ส่วนเหตุผลที่เขาใช้ชื่อ ‘หลิวหยาง’…


ก็แน่ล่ะ จางเซวียนไม่มีทางเลือก เพราะสมญานามโดยปกติของเขาอย่าง ‘ผมน่ะถ่อมตัว’ และ ‘ผมน่ะหล่อมาก’ ดูจะบ่งชี้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขามากเกินไป เมื่อมาคิดดู ในเมื่อเขาโพล่งชื่อเจิ้งหยางออกมาแล้วเมื่อตอนอยู่ที่หอนานาอสูร แทนที่จะมัวเค้นหัวสมองหาชื่อดีๆ ก็น่าจะใช้ชื่อของศิษย์สายตรงอีกคนหนึ่งของเขาเลยดีกว่า


ตราบใดที่เขาไม่เลือกชื่อจ้าวหย่าหรือเว่ยหรูเหยียน ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร


สิ่งนี้ช่วยลดความลำบากลงได้มาก


“เริ่มกันเถอะ” ผู้อาวุโสที่ 1 ของสำนักดาวเจ็ดดวงพยักหน้า


เขาปล่อยการโจมตีอันทรงพลังตั้งแต่ต้น


ในชั่วพริบตา ภาพติดตาหลายสิบภาพของฝ่ามือก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ มันเชื่อมโยงกันด้วยบางสิ่งที่มีลักษณะเหมือนโซ่


ฝ่ามือมังกรกลายร่าง!


ว่ากันว่าหากทำความเข้าใจได้ถึงขั้นการประสบความสำเร็จในภาพรวม ผู้ฝึกเทคนิคนี้จะสามารถ แปรสภาพฝ่ามือของตัวเองให้กลายเป็นมังกรสวรรค์ และสร้างความบอบช้ำแสนสาหัสให้คู่ต่อสู้ได้


“เหลือเชื่อจริงๆ ผมไม่นึกเลยว่าเขาจะฝึกฝนฝ่ามือมังกรกลายร่างได้ถึงขั้นนี้ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี เขาใกล้จะประสบความสำเร็จในภาพรวมแล้ว” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวพยักหน้า


ตั้งแต่ตัวเขาฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้สำเร็จ ก็แทบไม่ได้ต่อสู้กับนักรบระดับอมตะขั้นสูงอย่างผู้อาวุโสที่ 1 เลย จึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพัฒนาตัวเองไปถึงระดับไหน


เมื่อเห็นกระบวนท่านี้ จึงอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าด้วยอาการยอมรับ


ฝ่ามือมังกรกลายร่างคือหนึ่งในเทคนิคการต่อสู้ที่ฝึกฝนได้ยากที่สุดของสำนักดาวเจ็ดดวง แต่อีกฝ่ายเข้าถึงความเชี่ยวชาญระดับสูงแล้ว พูดกันตามตรง ต่อให้ตัวเจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวเองก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้


“น่าเสียดายที่ผู้อาวุโสที่ 1 อายุเกิน 100 ปีแล้ว ไม่อย่างนั้น ผู้อาวุโสหงอู่คงสู้เขาไม่ได้แน่” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวส่ายหน้าอย่างเสียดาย


การฝึกฝนวรยุทธด้วยวิธีการธรรมดานั้นไม่อาจทำให้เข้าถึงวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ได้ ต่อให้ผู้ฝึกฝนจะปราดเปรื่องแค่ไหนก็ตาม


วิธีเดียวก็คือเข้าสู่สะพานเบื้องบนและท่องไปในหอเทพเจ้า!


เหตุผลหลักที่เขามีวรยุทธอย่างทุกวันนี้ก็เพราะเคยเข้าสู่สะพานเบื้องบนเมื่อร้อยปีก่อน


แน่นอนว่าผู้อาวุโสหงอู่นั้นไม่ธรรมดา ถึงขนาดที่ในเวลานี้ไม่มีใครในสำนักดาวเจ็ดดวงที่เทียบชั้นกับเขาได้ แต่ในครั้งนั้น อีกฝ่ายก็ยังอ่อนด้อยกว่าเขาเล็กน้อย


“ในบรรดา 6 สำนักใหญ่ มีแต่สำนักดาบเมฆเหินเท่านั้นที่ดูจะมีภาษีดีกว่า” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวตั้งข้อสังเกต


เป้าหมายสูงสุดของทั้ง 6 สำนักใหญ่ก็คือการได้เข้าสู่หอเทพเจ้าและฉกฉวยตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ มา


การฉกฉวยตัวอักษรคำว่าเทพเจ้าไม่ใช่แค่การกระทำที่นำเกียรติยศและความภาคภูมิใจมาสู่สำนัก ที่สำคัญกว่านั้น ตัวอักษรคำว่าเทพเจ้ายังเป็นกุญแจสู่การสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ด้วย


ส่วนสำนักที่ไม่มีตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ ก็ได้แต่รอคอยการลงมาของสะพานเบื้องบนในทุกๆ 100 ปีเพื่อฝ่าด่านวรยุทธ ถ้าไม่ใช่เพราะสะพานเบื้องบน ต่อให้สำนักหนึ่งจะมีอัจฉริยะผู้เก่งกาจเหนือชั้นอยู่มากมายแค่ไหน ก็จะไม่มีใครมีโอกาสเข้าถึงวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)