ท่านเทพมาแล้ว 205-208

 บทที่ 205 ธนูดอกเดียวได้เหยี่ยวสองตัว?

โดย

Ink Stone_Romance

ลู่ยาหันหน้าไปหาอวิ๋นฉัว “เช่นนั้นก็แย่แล้ว เจ้าทำได้เพียงรอความตาย”


เขาสาดน้ำมันแล้ว! มู่จิ่วเอ่ยอันใดไม่ออก


เอ่ยคำพูดนี้ออกมา ไม่เหมือนราดน้ำมันบนกองไฟ จงใจให้พวกเขาทะเลาะกันหรือ!


เมื่ออวิ๋นเฉี่ยนได้ยิน จึงยืนขึ้นเดินไปตรงหน้าอ๋าวเชินทั้งใบหน้าเย็นชาทันที


อ๋าวเชินรู้สึกหวาดผวาจนถอยไปครึ่งก้าว กลับได้รับฝ่ามือหนึ่งของนางแล้ว


“เจ้าไม่รับปากได้ แต่ในเมื่อวันนี้เจ้ามาแล้ว ก็อย่าคิดจะออกไปจากทิวเขาริ้วหยกของพวกเรา! ถึงแม้ตระกูลอวิ๋นจะไม่มีหนทางรอดแล้ว ข้าก็ลากเจ้ากับอ๋าวเจียงและคนทั้งวังมังกรของเจ้าฝังกลบไปด้วยกันได้!”


ในดวงตานางมีเปลวเพลิงลุกโชน เผยให้เห็นความมุ่งมั่นที่ไร้ความกลัว อ๋าวเชินถูกตบหน้ากลับไม่กล้าเอาคืน ถึงแม้สีหน้ามีความโกรธลึกๆ สุดท้ายก็กัดฟันทน


“เอาละ อย่ายุ่งยากกับการลากไปฝังกลบด้วยกันเลย ข้ายังพูดไม่จบ”


ตอนนี้เอง หลังจากลู่ยาดื่มชาหมดครึ่งถ้วยอย่างช้าๆ ก็เปิดปากอีก “ความจริงแล้วตอนนี้ถึงแม้นำกุญแจจันทราหยางมาก็ใช่ว่าเรื่องจะจบลง ตอนนี้สิ่งที่เจ้าใช้คือพลังฤทธิ์ของข้า เท่ากับว่าข้าพยุงชีวิตของเจ้าอยู่ได้สามหรือห้าวันนี้ พลังนี้เข้าไม่ถึงจิตหงส์ของเจ้า สำหรับร่างกายเจ้าแล้วไม่มีประโยชน์อะไร”


“รอจนเลือดที่ระหว่างคิ้วของเจ้าหมดไป เป็นธรรมดาที่ทั้งหมดล้วนต้องกลับสู่สภาพเดิม ตอนนี้พูดเรื่องกุญแจจันทรายังนับว่าเร็วไปหน่อย”


สีหน้าของอวิ๋นเฉี่ยนพลันเปลี่ยน หันตัวมามองลู่ยาทันใด ชาดที่แต้มบนริมฝีปากราวกับออกเป็นสีขาวแล้ว


ถึงแม้รู้ชัดเจนว่าโอกาสในการหลุดพ้นด่านเคราะห์นี้มีไม่มาก แต่เมื่อคำพูดออกจากปากเขา ชัดเจนว่าเท่ากับความสิ้นหวังยิ่งลึกล้ำลงไปอีกขั้น


อวิ๋นฉัวก็ยิ่งเงียบงันกว่าก่อนหน้านี้


“ข้าเตรียมพร้อมไว้นานแล้ว”


อวิ๋นฉัวมองพื้นพลางพูดขึ้นเบาๆ “ข้ากับอ๋าวเชินไม่เหมือนกัน ความแข็งแกร่งกับการถดถอยของพลังวิญญาณข้าเกี่ยวข้องกับทั้งเผ่าพันธุ์หงส์เพลิง หากพูดว่าข้าสามารถอยู่ถึงตอนมีพลังบำเพ็ญแสนห้าหมื่นปีของชาติก่อน มีความสามารถในการควบคุมชะตาชีวิตของทั้งเผ่าพันธุ์ ทั้งหมดล้วนไม่เป็นปัญหา ข้านำรากฐานวิญญาณส่งต่อให้ราชาคนต่อไปได้ จากนั้นรักษาร่างกายต่อไป หรือเลือกกลับไปเวียนว่ายตายเกิดก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่”


“แต่สำคัญคือ ทุกย่างก้าวของข้าเกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์หงส์เพลิงทั้งมวล”


“เท่ากับว่าหากข้าอยู่อย่างสงบราบรื่น นั่นคือความสุขของเผ่าพันธุ์หงส์เพลิง หากข้าได้รับเคราะห์รับความลำบาก ก็คือภัยพิบัติของพวกเขา ถึงแม้มีคนสามารถส่งผ่านพลังวิญญาณให้ข้า ก็ไม่มีหนทางเปลี่ยนอนาคตแต่เดิมของข้าได้ เฉกเช่นเมื่อแสนปีก่อนหลังจากที่ข้าสละร่างเข้ากองไฟ ถึงแม้รักษาชีพจรวิญญาณนี้ไว้ได้ การตายของข้าก็กระทบกระเทือนจิตต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์หงส์เพลิง เสียหายแล้วก็ไม่อาจรักษาใหม่ได้”


ถึงตอนนี้ เขาทำได้เพียงสาธยายสถานการณ์ลำบากที่พวกเขาเผชิญในตอนนี้ออกมาอย่างละเอียดที่สุด


คำพูดของลู่ยาไม่ผิด พูดถึงกุญแจจันทราตอนนี้ยังเร็วเกินไป


หากไม่สามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตนี้ ทั้งหมดล้วนไร้ประโยชน์


มู่จิ่วมองลู่ยา ตอนนี้เวลานี้ นางทำได้เพียงเชื่อเขา


“ไม่ต้องหดหู่ใจไป” ลู่ยาลูบแก้วสักครู่ก่อนพูดอีก “เรื่องราวมักมีสองด้าน ความรุ่งโรจน์หรือความเสื่อมสลายของตระกูลอวิ๋นล้วนอิงอยู่บนร่างเจ้า เช่นนี้กลับหมายความว่า ชะตาชีวิตของตระกูลอวิ๋นไม่ได้รับการควบคุมจากวิถีแห่งฟ้า”


มู่จิ่วห้ามตัวเองไม่ได้ สำลักน้ำลายไปเล็กน้อย


เขาผู้ยิ่งใหญ่! พูดออกมาทีเดียวให้ชัดเจนไม่ได้หรือไร?


ลู่ยาเหลือบมองนาง หยิบผ้าเช็ดหน้าจากในแขนเสื้อส่งให้ จากนั้นมองพี่น้องตระกูลอวิ๋น “ไม่ได้รับการควบคุมจากวิถีแห่งฟ้า หมายถึงว่าหากข้ามีวิธีรักษาพลังวิญญาณเจ้าต่อไป รอจนเจ้าได้กุญแจจันทราหยางแล้ว เรื่องทั้งหลายทั้งปวงยังคงสามารถจบลงด้วยดี แน่นอน ก่อนอื่นอ๋าวเชินต้องรับปากให้พวกเจ้ายืมกุญแจจันทราหยาง แต่สภาพความเสียหายจิตมังกรของเขา อย่างน้อยยังต้องใช้เวลาอีกหมื่นปีถึงจะกลับสู่สภาพเดิมทั้งหมด”


“จริงหรือท่านเทพ?!”


อวิ๋นเฉี่ยนผลุงตัวยืนขึ้นมาทันที


อ๋าวเชินก็นิ่งอึ้งไป


“จริง” ลู่ยาพยักหน้า “นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงใช้เลือดตัวเองเรียกเขากลับมามีชีวิตอีกครั้ง วิถีแห่งฟ้าไม่สนใจพวกเจ้า ข้ายืดอายุไขให้เขาก็ไม่นับว่าผิดต่อวิถีแห่งฟ้า แต่จะทำเรื่องนี้สำเร็จต้องพูดถึงอีกเรื่องหนึ่งก่อน”


“คืออะไร?!”


ตอนนี้แม้แต่อวิ๋นเฉี่ยนยังนั่งไม่ติด ยืนขึ้นมา


ลู่ยาขมวดคิ้วพลางลูบถ้วยชา “ตอนนี้ข้าสงสัยมากว่าคนที่ทำร้ายพวกเจ้าสองคนมีเบื้องหลังเกี่ยวโยงกัน ยิ่งเป็นไปได้ว่าคือคนเดียวกัน”


“อ๋าวเชินถูกพลังวิญญาณที่เขาคุนหลุนทำร้าย แต่อวิ๋นฉัวถูกโจมตีโดยคนที่ไม่รู้ที่มาที่ไปและจงใจลบใบหน้า สันนิษฐานว่า คนที่ทำร้ายอวิ๋นฉัวรู้ว่าอ๋าวเชินเป็นคนที่เคยล่วงล้ำพลังวิญญาณ จึงจงใจใช้วิธีเดียวกันทำร้ายอวิ๋นฉัว ตั้งใจใช้กุญแจจันทรานี้กระตุ้นให้เผ่าพันธุ์ทั้งสองของพวกเจ้าสองไม่ถูกกัน?”


ตอนนี้ทุกคนตกตะลึงอย่างแท้จริง


เนิ่นนานกว่าอวิ๋นเฉี่ยนจะหาลมหายใจเจอ นางก้าวไปข้างหน้าสองก้าว พูดว่า “ท่านหมายความว่าเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบคือแผนร้าย?”


อ๋าวเชินก็ตกตะลึงเช่นกัน “เขาคิดจะยิงธนูดอกเดียวได้เหยี่ยวสองตัว ทำลายตระกูลอ๋าวกับตระกูลอวิ๋น?”


“หากยืนยันได้ว่าคนเบื้องหลังเป็นคนเดียวกันละก็ แบบนั้นก็มีเพียงคำอธิบายนี้” ลู่ยาพูดช้าๆ “และหากการคาดเดานี้เป็นจริง เช่นนั้นเรื่องที่เหลือก็จัดการง่ายขึ้นมากแล้ว”


ที่แท้จัดการง่ายขึ้นเท่าไหร่เขากลับไม่พูด แต่ถึงแม้เป็นไปตามนั้นก็ให้ความหวังคนมากมายแล้ว


มู่จิ่วถอนหายใจยาว


ไหล่อวิ๋นเฉี่ยนที่แข็งเกร็งลู่ลง ตื่นเต้นจนขอบตาแดงก่ำ


อ๋าวเชินมองผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นบนมือมู่จิ่ว ก่อนมองลู่ยาอีก ในใจแอบตื่นเต้นอย่างยิ่งเช่นกัน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เปิดปากพูด


“สุดท้ายเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ต้องไปดูที่เกิดเหตุก่อนถึงจะได้” ลู่ยาหันไปพูดกับอวิ๋นฉัว “เจ้ามีเวลามากที่สุดห้าวัน ต้องแข่งกับเวลา เจ้า อ๋าวเชิน และข้าไปดูคุนหลุนตะวันออกด้วยกัน ส่วนอาจิ่วเจ้ากับซ่างกวนสุ่นพาอาฝูไปพร้อมกัน”


มู่จิ่วรู้ว่าเขาต้องการพานางไปหาประสบการณ์ จึงรีบกระโดดเข้าไปยืนนิ่งข้างเขาทันที


อาฝูเห็นมู่จิ่วทำแบบนี้ก็เดินเข้ามานั่งอย่างสงบเสงี่ยม


อวิ๋นฉัวเชื่อฟังคำสั่ง อ๋าวเชินแต่เดิมไม่พอใจที่พ่อหนุ่มนี่ออกคำสั่งกับเขา แต่ถึงตอนนี้ เมื่อเห็นท่าทางของลู่ยาและครุ่นคิดถึงชื่อของเขาอีก อ๋าวเชินก็แอบตกใจเนื้อตัวสั่นนานแล้ว ยิ่งคิดไปถึงว่าเรื่องนี้ช่างแปลกประหลาดจริง และเกี่ยวพันถึงความสงบของวังมังกร ไหนเลยจะกล้ามีใจไม่เชื่อฟัง?


ครั้นตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็ก้าวเท้าออกประตูไป


พวกอวิ๋นชือฉางและอวิ๋นซีที่รออยู่ด้านนอกเห็นสถานการณ์แล้วก็เข้ามาห้อมล้อม ตัวอวิ๋นฉัวเองก็ไม่รู้ว่าลู่ยาแท้จริงจะทำอย่างไร อีกทั้งยังมีเรื่องในใจอยู่มาก ไหนเลยจะบอกพวกเขาอย่างละเอียดได้ทัน? จึงทำได้เพียงบอกว่ากลับจากคุนหลุนตะวันออกแล้วถึงจะอธิบายโดยละเอียดได้ อวิ๋นชือฉางได้แต่ส่งออกนอกประตูไปเท่านั้น


อ๋าวเจียงเห็นพวกเขาจะไปคุนหลุนตะวันออก ก็รีบตรงเข้าไปข้างมู่จิ่ว “ข้าไปด้วยได้หรือไม่?”


มู่จิ่วลังเล ไม่รู้ว่าลู่ยาเห็นด้วยหรือไม่


สำหรับอ๋าวเชินที่คาดเดาฐานะของลู่ยาออกแล้ว เป็นธรรมดาที่ต้องหวังให้ลูกชายสามารถติดตามมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ไปฝึกประสบการณ์ แต่เขากลับไม่กล้าเอ่ยปาก ทำแค่แอบมองลู่ยา เห็นฝ่ายนั้นไม่พูดอะไร เพียงเดินออกไปกับอวิ๋นฉัว เขาจึงดึงแขนเสื้ออ๋าวเจียงให้ไปด้วยกัน


…………………………………………………………


บทที่ 206 บ่อน้ำลับรวมวิญญาณ

โดย

Ink Stone_Romance

กลุ่มคนทั้งหมดล้วนเป็นผู้มีความสามารถสูงส่ง ถึงแม้มู่จิ่วเป็นหนึ่งคนที่ไม่ได้เรื่องที่สุดก็ไม่เป็นอุปสรรค ทางนี้ไม่ถึงครู่หนึ่งก็ถึงเขตคุนหลุนตะวันออกแล้ว


ลู่ยากดเมฆลงช้าๆ เหนือภูเขาสูงใหญ่ “อ๋าวเชินโดนโจมตีที่ไหน?”


“ทางทิศตะวันตก!” อ๋าวเชินรีบชี้ไปทางทิศตะวันตก


“บ่อน้ำสามพฤกษา?” ลู่ยาหรี่ตาลงทันที


อ๋าวเชินรีบพูด “ข้าน้อยไม่รู้ตำแหน่งชัดเจน แต่ป่าผืนนั้นมืดครึ้ม แปลกประหลาดอย่างมาก”


ลู่ยามองเขาคราหนึ่ง หมุนเมฆหันไปทิศที่เสือลายเหลืองนำทางไปบ่อน้ำสามพฤกษาก่อนหน้านี้


ทั้งคุนหลุนตะวันออกเขาสำรวจมาแล้วหน้าหลังสามรอบ มีเพียงบ่อน้ำสามพฤกษานี้ที่ยังไม่ทันได้ไป หากที่ของอ๋าวเชินไม่ใช่ที่นั่น เขาต้องสงสัยแล้วว่าคุนหลุนตะวันออกนี้ยังซ่อนมิติที่สองไว้หรือไม่


ไม่นานก็ถึงยอดเขาที่อยู่ด้านตะวันตกที่สุดของแนวทิวเขา ยอดเขาทางตะวันตกสูงกว่าทางตะวันออกเป็นปกติ ภูมิประเทศแบบนี้ทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่จะอยู่ใต้แสงดวงอาทิตย์ เอื้อต่อสรรพสิ่งบนเขาในการเติบโต แต่เป็นแบบนี้แล้ว ใต้หุบเขาลึกทางตะวันตกจึงมืดทึบ เพราะหันหลังให้ดวงอาทิตย์ ด้านล่างมีเมฆหมอกลอยวน มองไม่ออกว่าลึกเท่าไหร่ ยิ่งดูไม่ชัดถึงลักษณะภูมิประเทศด้านล่าง


ลู่ยาก็เพียงหยุดอยู่ใต้ยอดเขา สร้างเขตพลังขึ้นมาโอบล้อมทุกคน จากนั้นกดหัวเมฆค่อยๆ ร่อนลงไป


ความเร็วในการร่อนลงไม่นับว่าช้า แต่กลับทำให้มู่จิ่วรู้สึกเหมือนหุบเขาลึกนี้ราวกับลึกจากโลกมนุษย์ไปถึงนรก


ทิวทัศน์ระหว่างทางเคลื่อนผ่านไปตรงหน้าราวกับกระสวยทอผ้า และไม่รู้ว่าเพราะหุบเขาลึกนี้ลึกไปหรือเพราะอะไร ตลอดทางสองเท้านางราวกับเหยียบอากาศ เลือดลมก็พลุ่งพล่านเล็กน้อย ที่จริงนางไปภูเขาสูงมาก็ไม่น้อย กลับพบเจอสถานการณ์แบบนี้น้อยมาก


“เจ้าเป็นอะไรไป?”


นางเข้าใจว่าตนเองควบคุมได้ดี กลับคิดไม่ถึงว่าถูกลู่ยาสังเกตเห็น


นางรีบพูด “ไม่มีอะไร น่าจะเป็นเพราะไม่ได้รำกระบี่มานาน รับความสูงขนาดนี้ไม่ไหว”


เมฆใต้เท้าเปลี่ยนเป็นช้าลงทันที เปลี่ยนเป็นความเร็วการเดินปกติ


มู่จิ่วส่งสายตาที่ซาบซึ้งใจให้ลู่ยา


แบบนี้ค่อยสบายหน่อย แต่ความรู้สึกนั้นกลับยังคงหลอกหลอนในใจอย่างสลัดไม่หลุด แต่มู่จิ่วเลือกไม่สนใจ นางไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น แต่ก่อนถึงแม้ตอนสู้กับปีศาจคนเดียว ทั้งร่างเต็มไปด้วยบาดแผลนางก็ยังไม่ถอยร่น ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้คนเยอะขนาดนี้ล้วนมาเพื่อหาคำตอบ เอะอะนางก็จะขัดขวางได้อย่างไร


เมื่อลู่ยาลดความเร็วเมฆลงยังทำให้คนด้านหลังกลุ่มหนึ่งตกใจ อ๋าวเชินรู้ว่าพวกเขาปรากฏตัวที่วังมังกรในนามของคู่หมั้น ตอนนี้รู้แล้วว่าลู่ยาคือลู่ยาคนนั้น มองดูคู่นี้ที่ไม่รู้ห่างกันกี่สิบรุ่น ในใจก็เหมือนมังกรที่โจนทะยานออกไป ตกใจอยู่นานไม่อาจสงบใจได้


เขาจะลืมได้อย่างไรว่าตนกัดมู่จิ่วไม่ปล่อย ยืนกรานต้องการให้นางชดใช้ความผิดด้วยชีวิตยังไงบ้าง?


และยิ่งไม่ต้องพูดถึงสองเดือนนั้นในวังมังกร!


แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยมีความรู้สึกประเภทว่าตนเองรนหาที่ตายแบบนี้มาก่อน หากย้อนเวลากลับไปได้ ถึงแม้เขาจะเสียลูกไปสักสิบคนก็จะไม่ไปหาเรื่องที่สวรรค์เลย


อวิ๋นฉัวก็เป็นผู้สัมผัสประสบการณ์เองเช่นกัน ในความทรงจำไม่เคยได้ยินว่าลู่ยามีคู่หมั้น ตอนนี้เห็นเขาทั้งสองเป็นแบบนี้ ก็อดดีใจไม่ได้ที่วันนั้นอวิ๋นซีบอกว่านางแอบมาสำรวจที่อยู่ของเขาแล้วไม่ได้สั่งจัดการนาง


อ๋าวเจียงกลับเพียงแค่มองมู่จิ่วอย่างกังวล ไม่ได้คิดแบบพวกเขา


ไม่รู้ลงไปลึกเท่าไหร่ในเมฆหมอก ทิวทัศน์รอบด้านค่อยๆ ชัดเจน อาศัยแสงยามเย็นสุดท้ายก่อนพระอาทิตย์ลับเขา เห็นรอบเขตพลังแวดล้อมด้วยเถาโบราณซึ่งทักทอกันอย่างน่ากลัวจนเป็นป่าทึบ ต้นไม้โค้งงออย่างประหลาด ตะไคร่น้ำบนพื้นเติบโตเลียบไปตามต้นไม้และกิ่งเถา สถานที่ที่มองเห็นล้วนเป็นผืนสีเขียวเข้ม รอบด้านเงียบจนแม้แต่เสียงยุงตัวหนึ่งยังไม่ได้ยิน


หลังจากลงพื้นแล้ว ลู่ยาเก็บเขตพลัง อาฝูร้องคำรามหนึ่งครั้งก่อนแสดงท่าทางอันน่าเกรงขามของเสือ


ซ่างกวนสุ่นชักกระบี่ออกมา “ที่นี่พลังหยินมากเกินไป เกรงว่าไม่ใช่ที่มงคลอะไร”


อ๋าวเชินมองไปรอบด้าน กลับพูดขึ้นว่า “เป็นที่นี่อย่างไม่ต้องสงสัย! ข้าจำได้ว่าเป็นหุบเขาลึกแบบนี้!”


ลู่ยาขยับนิ้วทำนายก่อนพูด “ผ่านที่ราบเขาข้างหน้าไปมีบ่อน้ำอยู่แห่งหนึ่ง”


พูดจบเขาก็เดินนำทาง


ทุกคนรีบตามไป


มู่จิ่วกับอาฝูเดินอยู่ข้างซ้าย เดินไปพลาง สำรวจทิวทัศน์ระหว่างทางไปพลาง


แท้จริงแล้ว รอบด้านนอกจากต้นไม้กับเถาก็ยังเป็นต้นไม้กับเถา บนพื้นนอกจากตะไคร่น้ำก็เป็นตระไคร่น้ำ คล้อยหลังแสงสว่างค่อยๆ มืดลง ทิวทัศน์ที่ห่างไกลออกไปไม่ใช้พลังก็มองเห็นไม่ชัดแล้ว แต่ตลอดทางนี้กลับไม่พบสัตว์สักตัว ไม่เพียงไม่มีสัตว์ พูดให้ชัดเจนคือไม่มีร่องรอยปรากฏของสัตว์เลยแม้แต่น้อย


เช่นนี้ดูเหมือนจะไม่ปกติอย่างมาก ว่ากันตามเหตุผล สถานที่มืดครึ้มไม่มีแสงเหมาะกับการเติบโตของปีศาจ แม้แต่ยุงสักตัวก็ไม่มี นี่คือเหตุผลอันใด?


“โฮกกก…”


อาฝูไม่รู้พบอะไร ถึงพลันทุ่มเทกำลังพุ่งไปข้างหน้า


“อาฝู อย่าวิ่ง!”


มู่จิ่วกลัวเขาจะได้รับอันตรายจึงรีบตามไป เมื่อตามไปได้ครึ่งลี้ เห็นเพียงปลายสุดของป่าพลันปรากฏกำแพงต้นไม้…


ที่เรียกว่ากำแพงต้นไม้ เพราะเพียงมองไปทั้งหมดมีเพียงต้นไม้แห้งขวางอยู่ข้างหน้า และไม่ใช่ต้นไม้แห้งที่เรียงเป็นแถว!


“ต้นไม้สามต้น?”


ลู่ยาที่ตามหลังมามองต้นไม้ใหญ่ที่กว้างราวสองสามจั้ง ยกเท้าเดินอ้อมมันไปหยุดที่ด้านข้าง พลันพูดว่า “เสือลายเหลืองไม่ได้หลอกข้า!”


มู่จิ่วตามเขาไปจนถึงข้างต้นไม้อย่างสงสัย ทันใดนั้นก็ตกตะลึงไปเพราะทิวทัศน์เบื้องหน้า!


ตรงหน้าด้านหลังต้นไม้ใหญ่มีบ่อน้ำกว้างราวสามจั้ง และยังมีต้นไม้โบราณขนาดใหญ่แบบเดียวกันสองต้นเติบโตอยู่ตรงข้ามบ่อน้ำ นอกจากนี้แล้ว เลียบบ่อน้ำห่างราวจั้งไม่มีใบหญ้าขึ้นแม้แต่น้อย น้ำในบ่อน้ำเป็นสีดำ ผิวน้ำเรียบนิ่งไร้คลื่น ไม่มีหมอก ดูไปแล้วเหมือนแท่นฝนหมึกที่ใหม่และใหญ่มาก


“นี่คือที่ไหน?” นางถาม


เพิ่งเปิดปากเอ่ย มู่จิ่วรู้สึกว่าเลือดลมในอกเริ่มสั่นไหวน้อยๆ จึงรีบโคจรพลังปรับสมดุล ถึงได้กดลงไปได้


นางมีสภาวะแบบนี้น้อยมาก หากบอกว่าเมื่อครู่เป็นเพราะลงมาเร็วไปหน่อย เช่นนั้นตอนนี้นับเป็นเพราะอะไร?


“กลางบ่อน้ำนี้ไม่มีปีศาจ ไม่มีพลังสะท้อนออกมา ไม่รู้ว่าท่านเทพพบอะไรประหลาดหรือไม่?”


ตอนนี้พวกอวิ๋นฉัวมาถึงริมบ่อน้ำแล้ว มู่จิ่วสูดลมหายใจลึกพลางสะกดใจที่ผิดปกติ และรวบรวมสมาธิสำรวจบ่อน้ำนี้


ความสนใจทั้งหมดของลู่ยาอยู่ที่บ่อน้ำ เขาขมวดคิ้วพูด “ด้านหน้าแม้ดูแล้วไม่มีอะไรผิดปกติ แต่น้ำในบ่อเป็นสีดำกลับเป็นที่รวมวิญญาณชั้นดี หากมีคนเลือกบำเพ็ญพลังหรือผ่านด่านเคราะห์ที่นี่ต้องประหยัดแรงไปเยอะแน่”


อ๋าวเชินรีบพูด “พลังวิญญาณแข็งแกร่งที่ข้าพบวันนั้นเป็นเพราะบ่อน้ำนี?”


“ตอนนี้ยังไม่อาจพูดชัดเจน เพียงแต่พลังวิญญาณของบ่อน้ำนี้บริสุทธิ์มาก หากตอนนั้นมีคนมาบำเพ็ญพลังที่นี่พอดี และเขาบังเอิญเป็นผู้มีพลังบำเพ็ญแก่กล้า พลังวิญญาณที่เก็บไว้ในบ่อน้ำนี้ถูกกระตุ้นขึ้นมา จะต้องไม่ธรรมดาแน่”


ลู่ยาใช้มือวักน้ำขึ้นมาดู แต่เดิมน้ำในบ่อเรียบราวกับกระจก แต่เขาเพียงเข้าใกล้ก็พลันมีคลื่นที่ใหญ่แต่เชื่องช้ากระเพื่อมสูงขึ้น


……………………………………………


บทที่ 207 ยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต

โดย

Ink Stone_Romance

“ไม่พูดเรื่องเหล่านี้ก่อน เอาที่ตาเห็นเป็นหลัก ตอนนี้ข้าส่งพลังฤทธิ์กระตุ้นมัน รอตอนพลังวิญญาณของมันถูกกระตุ้นออกมา พวกเจ้าสองคนอาศัยโอกาสนี้ใช้ญาณหยั่งรู้ทดสอบดูว่าเป็นพลังวิญญาณเดียวกับที่ทำร้ายพวกเจ้าหรือไม่”


อวิ๋นฉัวกับอ๋าวเชินพยักหน้า ทันใดนั้นแยกไปด้านซ้ายขวาของเขา เรียกแท่นออกมานั่งกลางอากาศ


ลู่ยาส่งสัญญาณให้มู่จิ่วและคนอื่นถอยไป แล้วพลันเรียกแท่นดอกบัวทองสามสิบหกชั้นออกมา เขานั่งขัดสมาธิตรงกลาง พลังรวมอยู่ที่มือทั้งสองข้าง นำพลังบำเพ็ญทั้งชีวิตส่งเข้าไปกลางบ่อน้ำไม่หยุด


ลู่ยาเกิดมาจากเกสรดอกบัว แท่นนั่งเทียบกับแท่นดอกบัวสิบสองชั้นของฝอจู่แล้วจึงมีระดับชั้นสูงยิ่งกว่า


ตอนนี้ดอกบัวทองขนาดใหญ่ก็เปล่งรัศมีห้าสีมงคลตามหลังพลังที่เขาส่งออกมา แต่ละคนที่ถูกรัศมีนี้โอบล้อมล้วนอาบอยู่ในความนุ่มนวลอบอุ่น ร่างกายจิตใจรู้สึกถึงความสุขหาใดเปรียบ


และผิวบ่อน้ำที่ถูกพลังของเขากระตุ้น ไม่นานน้ำในบ่อกลับก่อร่างเป็นคลื่นยักษ์ ตอนแรกเริ่มเป็นเพียงคลื่นเล็กๆ ต่อมากลับพุ่งขึ้น น้ำในบ่อสีดำดุจน้ำหมึกเหมือนกับหินม่วงทองหมุนเคลื่อนไหวหลายชิ้น ไม่เพียงสะท้อนแสงสีทอง ยังมีแรงผลักลึกล้ำ!


หลังจากจบสงครามแต่งตั้งเทพหกภพ ทุกสิ่งกลับมาสงบ อวิ๋นฉัวกับอ๋าวเชินสองคนไม่เคยเห็นพลังยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตแบบนี้มาก่อน ขอบเขตคลื่นพลังนี้ถึงแม้จำกัดอยู่ที่กลางบ่อน้ำลึก แต่ลู่ยาควบคุมพลังได้คล่องแคล่วเป็นธรรมชาติแบบนี้กลับยิ่งทำให้พวกเขาตื่นตกใจ พลังวิชาระดับนี้แน่นอนว่าต้องเป็นขั้นสูง แต่หากควบคุมพลังในร่างยิ่งต้องเพิ่มพลังบำเพ็ญที่ลึกล้ำขึ้นไปอีก


เช่นว่า เวลานี้อวิ๋นฉัวมีพลังวิญญาณแก่กล้าในร่างกาย แต่พลังบำเพ็ญเขาไม่พอ จึงไม่มีหนทางจัดการ และกลับทำให้ตนเองเหนื่อยล้า


“มีการเคลื่อนไหวแล้ว!”


สองคนกำลังแอบถอนใจ เสียงเรียกเบาๆ ของอ๋าวเจียงพลันดึงสติของพวกเขากลับมา


ในบ่อน้ำที่มีคลื่นใหญ่เคลื่อนไหวนานแล้ว ตอนนี้กลับมีเสียงเงียบงันเหมือนเสียงกระบี่ถูกชักลอยมา จากนั้น พลังคลื่นหนึ่งที่ไม่ยอมให้คนต้านทานพลันสาดขึ้นมาจากก้นบ่อน้ำ ความแรงของพลังนั้น แม้แต่ต้นไม้ตลอดทางที่ริมขอบบ่อยังถูกเผาจนไร้รูปทรง…เป็นการถูกเผาจริงๆ เพราะทุกที่ที่พลังนั้นไปถึง ต้นไม้ล้วนกลายเป็นขี้เถ้า…นอกเสียจากต้นไม้ใหญ่สามต้นเท่านั้น!


และหนึ่งเดียวที่ไม่ถูกคลื่นนั้นซัดมาถึง มีเพียงพื้นที่ที่โดนรัศมีแท่นดอกบัวของลู่ยาปกคลุมไว้ อ๋าวเจียงตกใจจนพูดไม่ออกนานแล้ว อาฝูก็หยุดเลียอุ้งเท้า ซ่างกวนสุ่นพูดอย่างตื่นตกใจ “มีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งยิ่งใหญ่แบบนี้อยู่ด้วย!”


นอกเหนือจากจะประหลาดใจสิ่งที่เขาพูดแล้ว มู่จิ่วยังคิดพูดว่าพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งยิ่งใหญ่นี้กลับซ่อนอยู่กลางบ่อน้ำลึกที่ไม่มีคนรู้!


นี่คือพลังวิญญาณธรรมชาติที่สะสมไว้หลายแสนปี!


“เป็นมัน!”


“เป็นอย่างเดียวกัน!”


ตอนนี้เอง อวิ๋นฉัวกับอ๋าวเชินที่นั่งอยู่บนแท่นพลันส่งเสียงออกมาพร้อมกัน บนใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ชัดเจนว่ายืนยันเรื่องที่คาดเดานี้แล้ว เมฆทะมึนที่ปกคลุมอยู่เหนือศีรษะสลายไปมาก


ลู่ยาเก็บมือกลับมา พลังวิญญาณในบ่อน้ำค่อยๆ อ่อนลง ผิวน้ำสงบทีละน้อย


เขากลับถึงพื้นก่อนพูด “ในเมื่อยืนยันได้ว่าเรื่องที่คาดเดาไม่ผิด แบบนั้นสามารถคาดเดาไปได้อีกก้าว คนผู้นี้ที่ทำร้ายอวิ๋นฉัวตอนนั้นต้องกำลังผ่านด่านเคราะห์หรือบำเพ็ญพลังอยู่ที่บ่อน้ำดำนี้ กลับคิดไม่ถึงว่าจะถูกอ๋าวเชินที่ผ่านทางมาทำให้ตกใจ จากนั้นเขาจึงสืบหาฐานะของอ๋าวเชินได้ หรือเขาไม่อาจเปิดตัวเป็นศัตรูกับตระกูลอ๋าว ไม่ก็ขาดกำลังไปยั่วยุ จึงทำร้ายอวิ๋นฉัวที่สำคัญต่อตระกูลอวิ๋นอย่างมาก”


“ในเมื่อเขาสามารถเลือกบำเพ็ญพลังที่นี่ เป็นไปได้อย่างมากว่าต้องซ่อนตัวอยู่แถวนี้ แต่อ๋าวเชินบอกว่าอ๋าวก่วงตระกูลพวกเขาเคยมาสำรวจก็ไม่พบอะไร จึงเป็นไปได้ว่าย้ายไปแล้ว”


“ไม่ว่าอย่างไร ในเมื่อมาแล้วก็หาเสียหน่อย หากเขาแข็งแกร่งก็คงไม่แกร่งถึงขนาดทำร้ายคนสองคนแล้วก่อเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ได้ และตอนนี้เรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว ได้เพียงอธิบายว่าเขาต้องใช้วิชาควบคุมชะตาเรื่องกุญแจจันทราของพวกเจ้าทั้งสองตระกูล การสร้างผังดวงชะตาแบบนี้ขึ้นมาสิ้นเปลืองพลังวิญญาณมากที่สุด ดังนั้นสร้างในบริเวณนี้จึงเหมาะสมที่สุดแล้ว”


“จากนี้เป้าหมายของพวกเราคือหาผังดวงชะตานี้ให้เจอและทำลายซะ มีเพียงทำลายเจ้านี่เท่านั้นถึงสามารถช่วยตระกูลอวิ๋นได้”


อวิ๋นฉัวกับอ๋าวเชินกระตือรือร้นขึ้นพร้อมกัน “ขอเชิญท่านเทพสั่ง พวกเราต้องทำอย่างไร!”


“ที่นี่พลังวิญญาณแก่กล้า ป่าที่เติบโตในเงามืดมีไอมารมาก หลับหูหลับตาใช้พลังหยั่งรู้ธาตุไฟยิ่งเข้าแทรกได้ง่าย หากต้องการหาผังดวงชะตาก็ไม่มีทางลัด ทำได้เพียงค่อยๆ ตามหาไปทีละก้าว”


ลู่ยามองพวกเขา นับรวมอาฝูแล้วมีทั้งหมดเจ็ดคน คิดแล้วก็พูดกับพวกเขา “ซ่างกวนสุ่นเจ้าไปกับอ๋าวเชิน อาฝูไปกับอวิ๋นฉัว อาจิ่วกับอ๋าวเจียง พวกเจ้ามากับข้า พวกเราแบ่งเป็นสามทางไปตามหา หากพบอะไรให้รีบส่งข่าวบอกกันก็พอ”


ทุกคนล้วนไม่มีความเห็นอื่น อ๋าวเชินเดินนำออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือกับซ่างกวนสุ่น


อวิ๋นฉัวคารวะลู่ยาครั้งหนึ่ง จากนั้นพาอาฝูไปทางตะวันตก อาฝูตอนแรกไม่ยอม แต่มู่จิ่วคุกเข่าอยู่ข้างหูเขา กำชับกับเขาหลายประโยค จึงค่อยเชื่อฟังเดินตามอวิ๋นฉัวไป


ลู่ยาจัดแจงแบบนี้เพราะมีเหตุผลของเขา ในคนทั้งหมดอ๋าวเชินเล่ห์เหลี่ยมเยอะที่สุด เรื่องนี้ต้องป้องกันเขาเล่นตุกติกอะไรอีก ดังนั้นต้องให้คนที่เชื่อใจได้ตามไป ในพวกเขาหลายคนซ่างกวนสุ่นพลังบำเพ็ญสูงสุด ส่งเขาไปจึงเหมาะสมที่สุด ถึงแม้อวิ๋นฉัวในด้านพลังบำเพ็ญตอนนี้ไม่มีปัญหา แต่อย่างไรเขาก็สำคัญมาก ยังต้องมีอาฝูติดตามไปด้วย


ส่วนมู่จิ่วกับอ๋าวเจียงที่เหลือ พลังบำเพ็ญต่ำขนาดนี้จึงทำได้เพียงตามลู่ยา


พวกเขาเดินไปทางตะวันตกเฉียงใต้


ระหว่างทางยังคงเป็นต้นไม้ปกคลุมหนาไม่เห็นท้องฟ้า และยังคงไม่มีร่อยรอยสัตว์บกสัตว์ปีก เพิ่งผ่านเหตุการณ์ที่น่าตกใจแบบนั้นมา ที่นี่ไม่มีสัตว์อยู่ก็เป็นเรื่องที่มีเหตุผล แต่เพราะแม้แต่สัตว์บกยังไม่มี พุ่มไม้ใต้เท้าเลยดกหนาจนผิดปกติ ถึงแม้จะเตี้ย แต่บนกิ่งใบกลับมีตะไคร่น้ำขึ้น สรุปคือดูไปแล้วเหมือนกับเข้าไปในป่ารกทึบสมัยบรรพกาล


เดินไปได้ครึ่งลี้ มู่จิ่วพลันถาม “ก้นบ่อน้ำนั้นทำไมถึงมีพลังวิญญาณแข็งแกร่งแบบนี้อยู่ได้? เป็นไปได้หรือไม่ว่าซ่อนของวิเศษอะไรไว้?”


คำพูดนี้ชัดเจนว่าอ๋าวเจียงก็อยากถาม เพียงแต่ไม่กล้าถามมาตลอด ดังนั้นก็มองลู่ยา


ลู่ยาไพล่มือไปพลาง มองรอบด้านไปพลาง กล่าวว่า “ก้นบ่อน้ำไม่มีของวิเศษอะไร เพียงแค่น้ำนั้นเป็นสีดำตามธรรมชาติ สีดำรวบรวมวิญญาณ ล้านล้านปีไม่มีการเคลื่อนไหว เป็นธรรมดาที่ต้องเต็มไปด้วยพลังวิญญาณฟ้าดิน แต่พลังวิญญาณของบ่อน้ำนี้กลับเป็นพลังวิญญาณมรณะ หากไม่มีพลังวิญญาณอื่นชักนำก็เคลื่อนไหวไม่ได้ แต่หากใช้เพื่อฝึกพลังลมปราณหรือพลังบำเพ็ญกลับสามารถประหยัดแรง”


มู่จิ่วพยักหน้าก่อนพูดอีก “ข้ารู้ว่าในห้าธาตุน้ำก่อเกิดไม้ ดังนั้นรอบด้านไม่มีสัตว์ แต่ต้นไม้กลับเจริญงอกงามผิดปกติ ทว่าพลังวิญญาณนั้นออกมาเมื่อครู่ ทำไมถึงได้เผาทำลายต้นไม้รอบด้านไปหมด?”


“แน่นอนเพราะว่าพลังของข้าแข็งแกร่งเกินไป พลังวิญญาณของบ่อน้ำถูกกระตุ้นจนเกินไปจึงทำให้เกิดเหตุ”


ลู่ยาขึ้นเสียงสูงในตอนท้ายเล็กน้อย


มู่จิ่วเหลือบมองเขาคราหนึ่ง มุมปากกลับโค้งขึ้น


อ๋าวเจียงมองพวกเขาทั้งสอง เม้มปากแน่น มีคำพูดแต่ไม่พูดไป


………………………………………………


บทที่ 208 ข้าจัดการเอง!

โดย

Ink Stone_Romance

เดินไปแบบนี้หลายลี้แต่ไม่พบอะไร เมื่อเดินไปอีกหลายลี้จึงออกจากป่า จนมาถึงภายในกองหินระเกะระกะ


กองหินระเกะระกะนี้ถึงแม้ไม่เป็นระเบียบ แต่ภูมิประเทศรอบด้านกลับมีแบบแผนท่ามกลางความรกนั้น ตอนยังเล็กมู่จิ่วเรียนเรื่องธาตุทั้งห้าและผังแปดทิศกับหลิวหยาง มองออกรางๆ ว่ามันเหมือนผังแปดทิศ แต่คนอยู่หุบเขาจะเห็นไม่ชัดเจน กำลังจะกระโดดขึ้นเมฆดู ลู่ยากลับพูดขึ้น “ข้าจะไปดูรอบๆ เจ้ารออยู่ที่นี่” พูดจบก็กระโดดขึ้นเมฆไปไกล


มู่จิ่วเงยหน้ามองฟ้า บนนภาจันทร์กระจ่างดาวน้อย เป็นคืนพระจันทร์สว่างที่ดีคืนหนึ่ง


ก็ไม่รู้ว่าพวกซ่างกวนสุ่นกับอาฝูพบอะไรหรือไม่?


“กัวมู่จิ่ว”


กำลังคิดถึงพวกเขา อ๋าวเจียงพลันเรียกอยู่ข้างหลัง


มู่จิ่วหันหน้าไป


เขาพูด “เจ้ากับเขาเป็นคู่หมั้นกันจริงหรือ?”


พูดจบหน้าเขาก็ร้อนผ่าว แต่ก็ไม่ได้หลบ เพียงแค่ก้มหน้าลงน้อยๆ เท่านั้น


ประโยคนี้เขาเก็บไว้ทั้งวัน ดีร้ายก็มีโอกาสถามแล้ว แต่เมื่อถามออกไปจริง ใจกลับแขวนอยู่กลางอากาศ


“นี่เกี่ยวอะไรกับเจ้า?” มู่จิ่วชะงักไปสักครู่ ก่อนตอบเขากลับ


คำพูดนี้หากเป็นแต่ก่อนนางต้องตอบเขาโดยไม่คิดว่าไม่ใช่ แต่ตอนนี้นางไม่อยากแบ่งความสัมพันธ์กับลู่ยาตามแต่ใจ แต่ไหนแต่ไรนางไม่คิดไขว่คว้าเขา เพียงแต่นางรู้สึกว่า หากให้ลู่ยาได้ยินนางปฏิเสธชัดเจนขนาดนี้ คงรู้สึกว่านางกำลังรีบร้อนปฏิเสธข้อกล่าวหากระมัง?


เขาคนนั้นชอบคิดมาก ทางที่ดีที่สุดนางไม่หาเรื่องใส่ตัวจะดีกว่า


“ทำไม?” อ๋าวเจียงทำหน้าตึง น้ำเสียงแผ่วอยู่บ้าง


“ไม่ทำไม ยังต้องทำไมอีกหรือ?” มู่จิ่วมองเขา “หรือเจ้าว่าข้าไม่คู่ควร?”


“ไม่ใช่…”


ใจอ๋าวเจียงสับสนยุ่งเหยิงราวกับมีกลุ่มหญ้าขวางไว้


เขาไม่ได้รู้สึกว่านางแย่ ตอนแรกที่เพิ่งเจอหน้ากันเขาก็แพ้อยู่ภายใต้เงื้อมมือนางแล้ว ภายหลังนางช่วยเขาลักพาอวิ๋นซี ทั้งยังพบที่อยู่ของอวิ๋นรองด้วยตัวคนเดียว แล้วยิ่งสามารถหากุญแจจันทราหยางเจอ เรื่องมากมายขนาดนี้ ไม่มีสักเรื่องที่เขาเทียบนางได้ เขาจะรู้สึกว่านางไม่คู่ควรได้อย่างไร?


เขาเพียงรู้สึกว่านางหมั้นหมายเร็วเกินไปหน่อยหรือไม่?


รีบร้อนขนาดนั้น ขนาดยังไม่ได้เป็นทั้งเซียนทั้งเทพก็รีบหมั้นหมายกัน ไม่กลัวว่าจะเสียใจภายหลังหรือ?


แต่เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายเป็นลู่ยา บางทีบนโลกนี้คงไม่มีใครเสียใจภายหลังหรอก


ยังไม่ต้องพูดถึงอิทธิพลของเขาในฟ้าดิน เพียงพูดถึงท่าทางที่เขานั่งกระตุ้นพลังฤทธิ์บนแท่นดอกบัวก่อนหน้านี้ แม้แต่อ๋าวเจียงเห็นแล้วใจยังเต็มไปด้วยความเคารพบูชา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนางที่เขาดูแลทุกอย่างเลย ถึงแม้อ๋าวเจียงจะโง่ ตลอดทางที่ผ่านมานี้กลับเดาออกว่าเขามีฐานะอะไร คนเช่นเขายังถึงกับเอาเด็กสาวผู้หนึ่งมาดูแลไว้ในก้นบึ้งของหัวใจได้ ความจริงพบได้ไม่มากนัก


“ไม่ต้องสนใจมากขนาดนั้นหรอก สนใจเรื่องหยุมหยิมมากทำให้แก่เร็ว”


มู่จิ่วมองเขาสองครา เดินไปข้างหน้าสองก้าวก่อนนั่งบนก้อนหิน


นางไม่อยากให้เขาพูดเรื่องนี้ต่อ


เพราะนางก็ไม่กล้าคิดลึกลงไป


ถึงแม้ทุกประโยคของลู่ยาพูดรวมถึงอนาคตร่วมกับนาง แต่นางกลับไม่มีคุณสมบัติตอบสนองเขา นางไม่รู้ว่าจะมอบความสุขกับอายุยืนยาวตามที่เขาหวังได้อย่างไร แต่ก่อนนางไม่สนใจว่าตนเองจะอยู่ได้นานขนาดไหน แต่ตอนนี้กลับใส่ใจเป็นพิเศษ นางกลัวว่าวันไหนตนเองถึงอายุขัยจริงแล้วจากไป จะลืมเรื่องราวเกี่ยวกับเขาจนหมดสิ้น


แต่มู่จิ่วไม่ยินยอมลืมช่วงเวลาที่อยู่กับเขา ถึงแม้เขามีวิชาคืนฟ้าทำให้นางกลับมาเกิดใหม่ แต่สุดท้ายก็ไม่มีทางทำให้ความทรงจำในชาติก่อนของนางกลับมาได้ หากรอจนจบชาตินั้นแล้วกลับไปยังสะพานไน่เหอ ถึงจะรู้ว่าชาตินี้ทำอะไรไป และพลาดอะไรไปบ้าง ทั้งหมดก็ล้วนไม่มีความหมายแม้แต่น้อย


ดังนั้นบางครั้งนางจึงรู้สึกว่าเหมือนเล่นกับไฟ ทั้งที่ในใจต่อต้านแบบนี้ กลับยังเหมือนผีเสื้อราตรีพุ่งเข้ากองไฟ


หลิวหยางไม่เคยสอนนางว่าความรักเป็นเรื่องที่ห้ามใจได้ยากแบบนี้ นางนี่ช่างประมาทจริงๆ


“เจ้าอย่าโกรธเลย ข้าแค่ถามไปเท่านั้น”


อ๋าวเจียงเห็นนางเงียบไม่พูด จึงเดินไปกล่าวข้างหน้าด้วยความรู้สึกเสียใจ


เขาก้าวมาข้างหน้ากลับไม่เข้าใกล้ เพียงยืนอยู่เยื้องด้านหลังห่างไปสองก้าว


มู่จิ่วหันหน้าไปมองเขา แย้มยิ้มเล็กน้อย


เจ้าคนนี้บื้อเสียจนไม่เหมือนกับพ่อเขาที่กะล่อน


ที่จริงนางไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไรกับเขา โดยพื้นฐานนางจะไม่รู้สึกแย่อะไรกับใครนาน ถึงแม้เป็นหยางอวิ้นและอวี๋เสี่ยวเหลียนที่เคยทำร้ายนางมาก่อน ตอนนั้นอยากจะส่งพวกนางออกไป แต่เรื่องผ่านพ้นไปแล้ว มู่จิ่วก็ปล่อยวางไปเรียบร้อย


อ๋าวเจียงไม่ได้ทำให้นางโกรธอะไร ทำไมต้องทำให้เขาเครียดด้วย?


กำลังจะพูดเพื่อให้ผ่อนคลาย ตอนนี้เอง ป่าด้านหลังกลับมีลมแรงพัดมากะทันหัน จากนั้นพลันได้ยินเสียงหอนของเสือแหวกอากาศมา…


“เป็นอาฝู!”


มู่จิ่วตกใจจนยืนขึ้นมา! เสียงของอาฝูนางจะฟังผิดได้อย่างไร? และที่นี่แม้แต่นกสักตัวยังไม่มี ไม่ต้องพูดถึงเสือตัวอื่น หากไม่ใช่พวกเขาได้รับอันตรายแล้วจะเป็นใครไปได้อีก?


อ๋าวเจียงได้ยินเสียง ใบหน้าพลันเปลี่ยนสี!


“พวกเขาอยู่ที่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ! พวกเราไปเร็ว!”


ลู่ยาไม่รู้ไปไหนแล้ว แต่นางรอเขาไม่ไหว! นางไม่อาจให้อาฝูมีอันตรายได้!


มู่จิ่วพูดประโยคนี้แล้วเข้าไปในป่าลึกทันที


อ๋าวเจียงรีบตามไปด้านหลัง พุ่งเข้าไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่มีเสียงลอยมา


ในป่าลึกแต่เดิมแสงก็มืดสลัวอยู่แล้ว บนพื้นยังมีตะใคร่น้ำ อย่างไรก็เร็วกว่านี้ไม่ได้ เสียงร้องอันโกรธขึ้งของอาฝูดังขึ้นมาเสียงแล้วเสียงเล่า ทำให้มู่จิ่วร้อนใจดั่งไฟเผา อดเรียกใช้วิชากระบี่เดินทางไปไม่ได้


ไม่นานก็กลับมาถึงริมบ่อน้ำดำ เสียงร้องของเสืออยู่ใกล้แล้ว แต่พลังประหลาดอึมครึมจากรอบด้านยิ่งชัดเจนขึ้นมาก อย่างไรก็ตาม ตอนนี้สนใจเรื่องมากมายขนาดนั้นไม่ได้ ทำได้เพียงมุ่งไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง พวกนางเพิ่งเดินได้สองสามลี้ ก็เห็นบนศีรษะพลันมีลมที่เกิดจากฝ่ามือกดลงมา นางพูดขึ้น “แย่แล้ว” ขณะเดียวกันก็ชักกระบี่ อาศัยกำลังของมันหลบออกไป จากนั้นกลับมีพายุม้วนเข้ามาหาพวกเขา!


“รีบหลบเร็ว!”


ที่จริงอ๋าวเจียงมีพลังบำเพ็ญมากกว่านางหมื่นกว่าปี ถึงแม้พลังการต่อสู้ยังห่างชั้นกับนางนัก แต่สายตาและการฟังสูงกว่าขั้นหนึ่ง ตอนพายุนั้นกดลงมาเหนือมู่จิ่ว เขาพุ่งเข้าไปนำนางออกมาเหมือนกับดาวตก ก่อนจะขวางอยู่หน้านางเพื่อต่อสู้กับพายุนี้!


การเคลื่อนไหวของพายุนี้รวดเร็วนัก การตอบสนองคล่องแคล่วว่องไวอย่างมาก!


หลังจากมู่จิ่วยืนได้มั่นคงแล้วจึงรีบเข้าไปต่อสู้


อย่างไรก็ตาม พายุไม่ใช่คน ตอนอ๋าวเชินต่อสู้กับนางที่เขาฉีจื่อ เมฆวนที่เขาส่งออกมามีความเร็วไม่รุนแรงแบบนี้ ถึงแม้สองคนสู้เอาเป็นเอาตาย แต่พายุนั้นยังเหมือนมีดฟันเข้ามาบนหน้าบนมือของพวกเขา ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่มีหนทางตัดมัน!


“พายุนี้ตรงมาอย่างโหดเหี้ยม ต้องเป็นไอมาร! เจ้าถอยไปหน่อย ข้าจะจัดการมันเอง!”


มู่จิ่วพูดจบ นางกัดฟันหยิบตาข่ายสวรรค์ที่หลิวหยางให้มาจากในกำไลทองเก็บของบนข้อมือ ร่ายคาถา ทำให้ตาข่ายเงินขนาดเท่าฝ่ามือกลายเป็นตาข่ายใหญ่เท่าฟ้า พุ่งเข้าไปหามันในพริบตาเดียว!


พายุนั้นเริ่มหมุนต่อต้านภายใต้การเข้าใกล้ของตาข่ายสวรรค์ ความกดดันที่พวกมู่จิ่วได้รับหายไปในพริบตา กำลังของตาข่ายสวรรค์ไม่ใช่โอ้อวด เห็นเพียงตาข่ายสีเงินละเอียดเหมือนปีกจักจั่นลอยอยู่กลางอากาศ พายุนั้นเปลี่ยนตำแหน่งเคลื่อนไปไม่หยุด และระหว่างที่เคลื่อนย้ายมันเล็กลงอย่างต่อเนื่องและเชื่องช้าลง ค่อยๆ กลายเป็นคลื่นอากาศกลางตาข่ายเงิน สุดท้ายจึงหายไปโดยไร้ร่องรอย


…………………………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)