อัจฉริยะสมองเพชร 2044-2049

 ตอนที่ 2044 ผมเป็นนักรบพเนจร

“เหตุผลหลักที่หัวหน้าใช้บททดสอบนี้ก็เพื่อทดสอบความเชี่ยวชาญในการฝึกอสูรและพละกำลังของผู้เข้ารับการคัดเลือก ทั้ง 2 ปัจจัยนี้สำคัญมากหากใครสักคนอยากได้การสนับสนุนจากสมาชิกคนอื่นๆในหอนานาอสูร เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสหยวนกับผู้อาวุโสหลิวไม่ผ่านบททดสอบ จะด้วยอะไรก็แล้วแต่ แต่ชายวัยกลางคนผู้นี้คือผู้ที่ผ่านบททดสอบทั้งหมด” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งกระซิบกระซาบ


“คุณหมายความว่าอย่างไร?”


ผู้อาวุโสเลี่ยวกับคนอื่นๆหันขวับมามอง


“สิ่งที่ผมกำลังคิดอยู่ก็คือถ้าเขายังไม่ได้สังกัดสำนักไหน พวกเราก็รับเขาเข้าสู่หอนานาอสูรได้ ขอแค่เขาได้เป็นหนึ่งในผู้อาวุโส ด้วยทักษะการฝึกอสูรที่เหนือชั้นและประสิทธิภาพการต่อสู้ที่สามารถเอาชนะได้แม้แต่อสูรอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ทั้งที่ตัวเองเป็นแค่นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์เท่านั้น ผมเชื่อว่าไม่มีใครกล้าตั้งคำถามถึงความเหมาะสมของเขาในการจะได้เป็นหัวหน้าหอนานาอสูรแน่” ผู้อาวุโสพูด


“คือ…”


ทุกคนเงียบกริบ


การที่คนนอกจะได้รับการเสนอชื่อเป็นหัวหน้าหอนานาอสูรคนต่อไปนั้นไม่เคยมีมาก่อน แต่หลังจากได้เห็นทุกอย่างแล้ว พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องรับเรื่องนี้ไว้พิจารณา


หอนานาอสูรขึ้นชื่อเรื่องทักษะการฝึกอสูรอันเหนือชั้น ซึ่งชายวัยกลางคนผู้นี้ก็เอาชนะอสูรเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย ต่อให้หัวหน้าหอนานาอสูรคนปัจจุบันก็ยังเทียบชั้นกับเขาไม่ได้!


ถ้าคนแบบนี้ไม่ได้เข้าร่วมกับหอนานาอสูร จะกลายเป็นภัยคุกคามครั้งใหญ่ต่อพวกเขา เพราะหากชายวัยกลางคนเข้าร่วมกับสำนักอื่นหรือแม้แต่ก่อตั้งสำนักของตัวเอง ไม่ช้าไม่นาน หอนานาอสูรจะต้องสูญเสียตำแหน่งและสถานภาพของมันในทวีปที่ถูกลืมแน่


“คุณพูดถูก พวกเราต้องพาเขากลับสู่หอนานาอสูรของเรา” ผู้อาวุโสเลี่ยวพยักหน้า


คนอื่นๆต่างพยักหน้ารับ


เมื่อตัดสินใจแล้ว ผู้อาวุโสเลี่ยวกำลังจะเข้าไปหาชายวัยกลางคนและยื่นข้อเสนอบางอย่าง ก็พอดีกับที่อีกฝ่ายหันกลับมามองและพูดว่า “ผมทำให้อสูรพวกนี้ยอมจำนนเรียบร้อยแล้วนะ มันจะไม่โจมตีพวกคุณอีกแล้วล่ะ พวกคุณกลับไปได้ตามสบาย…แต่ก่อนกลับ มีบางอย่างที่ผมอยากขอรบกวนสักหน่อย”


“คุณช่วยชีวิตพวกเราไว้ ต้องการอะไรก็บอกมาได้เลย หากเป็นสิ่งที่พวกเราทำได้ พวกเราจะไม่ปฏิเสธ” ผู้อาวุโสเลี่ยวโค้งคำนับอย่างงาม


ถึงอย่างไร ข้อเท็จจริงก็คือชายวัยกลางคนผู้นี้เป็นผู้ช่วยชีวิตพวกเขา หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่าย ทุกคนคงลงเอยด้วยการถูกอสูรอมตะทั้ง 3 ตัวนั้นทรมานจนตาย


ก็สมควรแล้วที่จะตอบแทนบุญคุณ


“ผมเป็นคนนอบน้อมและถ่อมเนื้อถ่อมตัว จึงไม่อยากทำให้เอิกเกริกมากไป ผมหวังว่าเมื่อพวกคุณกลับไปแล้ว พวกคุณจะเก็บทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ไว้เป็นความลับ” จางเซวียนพูด


เมื่อครู่นี้เขาใช้เจตจำนงเพลงดาบ และทำให้เสือเขี้ยวดาบเจ็ดหางยอมจำนนได้ภายในกระบวนท่าเดียว แน่นอนว่าเขาปกปิดรังสีของเจตจำนงเพลงดาบเทพเจ้าไว้อย่างแนบเนียนแล้ว ไม่มีทางที่ใครจะมองเห็นได้โดยง่าย แต่หากเรื่องร่ำลือต่างๆเริ่มแพร่งพรายออกไป ไม่ช้าไม่นานคนส่วนใหญ่ก็คงปะติดปะต่อเรื่องราวได้


ทันทีที่หอเทพเจ้าได้ข่าว อันตรายก็จะเข้าประชิดตัวเขาอีกครั้ง จางเซวียนรู้ดีว่าเขายังไม่พร้อมที่จะรับมือกับหอเทพเจ้า จึงได้แต่หวังว่าคนกลุ่มนี้จะไม่เปิดเผยเรื่องราวออกไป


“เอ่อ…”


ฝูงชนยังคงสงสัยว่าคำขอของอีกฝ่ายคืออะไร แต่เมื่อได้ยินแบบนั้น ทุกคนพยักหน้ารับทันที


ถ้าใครสักคนทำให้ 1 ใน 4 อสูรอมตะแห่งภูเขาเมฆเหินยอมจำนนได้ ก็คงคุยโวโอ้อวดไปอีกหลายปี คงไม่ยอมหยุดจนกว่าทั้งโลกจะรับรู้วีรกรรมของเขา


แต่กลับกัน ชายวัยกลางคนผู้นี้ทำให้อสูรอมตะยอมจำนนได้ถึง 3 ตัว แต่ก็ไม่แสดงอาการหลงตัวเองแม้แต่น้อย


ความถ่อมเนื้อถ่อมตัวนี้ช่างควรค่าแก่การยกย่องเสียจริง!


“ไม่ทราบว่าผมควรเรียกคุณอย่างไร?” ผู้อาวุโสเลี่ยวตั้งคำถามด้วยความอยากรู้


“ผมคือจาง…” จางเซวียนกำลังจะบอกชื่อ ก็พอดีกับที่นึกได้ว่าหอเทพเจ้าอาจรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาแล้ว จึงรีบเปลี่ยนคำพูดและตอบว่า “…เจิ้งหยาง”


นั่นคือชื่อแรกที่ผุดขึ้นมาในหัว


“น้องเจิ้งหยาง”


ผู้อาวุโสเลี่ยวเค้นหัวสมองอย่างรวดเร็วขณะพยายามนึกว่าเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ไหนมาก่อนหรือไม่ แต่ก็ไม่มีอะไรที่ทำให้รู้สึกคุ้นหูเลย เมื่อเก็บความอยากรู้ไม่ไหว จึงตั้งคำถาม “น้องเจิ้ง ไม่ทราบว่า ตอนนี้คุณศึกษาอยู่ภายใต้สังกัดของสำนักไหน?”


สิ่งแรกที่พวกเขาควรทำก็คือหาข้อมูลเรื่องภูมิหลังของอีกฝ่ายก่อนจะยื่นข้อเสนออะไรออกไป


จางเซวียนส่ายหัว “ผมเป็นนักรบพเนจร”


เขาคือผู้อาวุโสขั้นสูงสุดของสำนักดาบเมฆเหิน แต่ด้วยตัวตนพิเศษของเขา จึงไม่สะดวกใจนักที่จะเปิดเผยกับใคร แถมยังไร้ประโยชน์หากเขาสมมุติตัวตนใหม่ที่ถูกแกะรอยตามได้


ถ้าหอนานาอสูรพยายามสืบเสาะเรื่องนี้ ก็มีแต่จะก่อให้เกิดความสงสัยมากขึ้น ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น เขาก็ควรแนะนำตัวว่าเป็นนักรบพเนจรจะดีกว่า


ถึงอย่างไร ในมิติเบื้องบนก็มีนักดาบมากมายอยู่แล้ว แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญของหอเทพเจ้าก็ยังใช้ดาบ อีกอย่าง มีนักรบพเนจรอีกมากที่มีวิถีทางของเพลงดาบอันลึกล้ำน่าทึ่ง ดังนั้น เรื่องเล่าของเขาจึงใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว


“นักรบพเนจร?”


ผู้อาวุโสเลี่ยวกับคนอื่นๆตาโตเมื่อได้ยินคำตอบนั้น


ถ้าชายวัยกลางคนมาจากสำนักอื่น ก็คงไม่เหมาะสมที่พวกเขาจะพยายามชักชวนอีกฝ่าย แต่ในเมื่อเขาเป็นนักรบพเนจร ปัญหานั้นก็หมดไป


นี่คือโอกาสที่เขาจะได้เข้าร่วมกับหอนานาอสูรและอาจได้เป็นหัวหน้าหอนานาอสูรด้วยซ้ำ พวกเขาเชื่อว่าชายวัยกลางคนผู้นี้คงไม่ปฏิเสธโอกาสล้ำค่าที่พวกเขาหยิบยื่นให้


“ใช่แล้ว” จางเซวียนพยักหน้า “เพราะฉะนั้น สำหรับเรื่องที่ผมร้องขอไปเมื่อครู่นี้น่ะ…”


“น้องเจิ้งไม่ต้องห่วง ในเมื่อคุณขอร้องพวกเราว่าอย่าพูดเรื่องนั้น พวกเราก็จะไม่แพร่งพรายเด็ดขาด เพียงแต่…” ผู้อาวุโสเลี่ยวหยุดไปครู่หนึ่ง


“เพียงแต่อะไร?”


“ต่อให้พวกเราไม่พูดเรื่องนี้ แต่ก็ไม่มีทางปกปิดข้อเท็จจริงที่ 3 ใน 4 อสูรอมตะของภูเขาเมฆเหินถูกทำให้ยอมจำนนแล้ว ทันทีที่ข่าวนี้แพร่ออกไป ผู้คนก็จะรู้ว่าผู้ที่ทำสำเร็จคือคนนอกแทนที่จะเป็นเหล่าผู้อาวุโสของหอนานาอสูร นั่นจะทำให้เกิดความอึกทึกครึกโครมครั้งใหญ่” ผู้อาวุโสเลี่ยวตอบอย่างกระอักกระอ่วนใจ


“แล้วคุณคิดอย่างไร?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


สิ่งที่อีกฝ่ายพูดก็พอฟังขึ้น


หอนานาอสูรคือสำนักของนักฝึกอสูรหมายเลข 1 ของโลก ทั้งๆที่เหล่าผู้อาวุโสเตรียมการอยู่หลายปี แต่ก็ยังลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ ในทางกลับกัน กลับเป็นคนนอกคนหนึ่งที่ทำให้อสูรอมตะยอมจำนนได้สำเร็จ แล้วพวกเขาจะอธิบายเรื่องนี้กับทางหอนานาอสูรอย่างไร?


“น้องเจิ้ง คุณสนใจที่จะติดตามพวกเรากลับสู่หอนานาอสูรสักระยะหนึ่งไหม? พวกเราจะแนะนำคุณในฐานะผู้อาวุโสคนหนึ่ง และนำอสูรอมตะทั้ง 3 ตัวไปแสดงต่อหน้าทุกคนด้วย ผมรู้ว่ามันฟังดูรีบร้อนไปสักหน่อย แต่นี่คือวิธีที่ดีที่สุดที่จะหลีกเลี่ยงความวุ่นวายต่างๆ” ผู้อาวุโสเลี่ยวอธิบาย


“เอ่อ…” จางเซวียนนึกไม่ถึงว่าจะได้ยินคำขอแบบนี้ เขาลังเลครู่หนึ่งก่อนจะให้คำตอบ “บอกพวกคุณตามตรงนะ ผมตั้งใจมุ่งหน้าขึ้นเหนือ มีบางเรื่องที่ผมต้องรีบ…”


“น้องเจิ้ง มันใช้เวลาไม่มากหรอก คงไม่ทำให้คุณเดินทางล่าช้าเกินไป อีกอย่าง หอนานาอสูรก็ตั้งอยู่ทางเหนือของที่นี่ คุณคงไม่ต้องอ้อม” ผู้อาวุโสเลี่ยวพูด


“ถ้า…ถ้าผมตามพวกคุณกลับไปที่หอนานาอสูรในฐานะผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ ผมจะมีคุณสมบัติ เพียงพอที่จะได้เข้าไปดูหอสมุดของผู้อาวุโสหรือเปล่า? บอกตามตรงนะ ผมสนใจมากที่จะได้ชมหอสมุดของพวกคุณเพื่อแก้ไขข้อสงสัยบางอย่างในการฝึกวรยุทธของผม” จางเซวียนตั้งคำถาม


ในฐานะหนึ่งในหกสำนักใหญ่ หอนานาอสูรย่อมมีหนังสือเทคนิควรยุทธจำนวนมากมาย หากเขาได้เยี่ยมชมหอสมุดของคนพวกนี้ ก็น่าจะรวบรวมหนังสือเทคนิควรยุทธระดับอมตะขั้นสูงได้มากพอ ทำให้การประมวลเคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับสมบูรณ์พัฒนาไปได้อีกขั้น


เป้าหมายของการเดินทางของจางเซวียนคือสำเร็จวรยุทธอมตะขั้นสูงให้ได้ ถ้าการเสียเวลานิดหน่อยครั้งนี้จะทำให้เขาบรรลุเป้าหมาย การเดินทางกลับไปกับผู้อาวุโสเลี่ยวก็น่าจะเป็นโอกาสดี


อีกอย่าง เขาอยากจะหากระสอบอสูรสัก 2-3 ใบด้วย เพราะคงเป็นที่เตะตาเกินไปหากปล่อยให้ อสูรอมตะทั้ง 3 ตัวติดสอยห้อยตามเขาแบบนี้


“ได้แน่นอน ในฐานะผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ของหอนานาอสูรของเรา คุณจะได้รับสิทธิพิเศษแบบเดียวกับผู้อาวุโสคนอื่นๆ เราจะมอบกระสอบอสูรให้คุณฟรีๆเพื่อที่คุณจะได้นำอสูรอมตะทั้ง 3 ตัวไปกับคุณได้สะดวก ไม่เพียงเท่านั้น ในเมื่อคุณทำให้อสูรอมตะ 3 ใน 4 ตัวยอมจำนนได้สำเร็จ ก็มีโอกาสที่คุณจะได้รับการเสนอชื่อให้เป็นหัวหน้าหอนานาอสูรคนต่อไปด้วย!” ผู้อาวุโสเลี่ยวพูดพร้อมกับหัวเราะหึๆ


“ผมรู้สึกขอบคุณมากสำหรับกระสอบอสูร แต่ส่วนตำแหน่งหัวหน้าหอนานาอสูรนั้น เกรงว่าคงต้องปฏิเสธ” จางเซวียนตอบ


เขาไม่คิดจะลงหลักปักฐานในมิติเบื้องบน เป้าหมายหลักของเขาคือตามหาหลัวลั่วชิงเท่านั้น เรื่องอื่นถือว่าไม่จำเป็น เหตุผลที่ก่อนหน้านี้เขาอยากเป็นเจ้าสำนักดาบเมฆเหินก็เพราะหวังว่าจะได้ใช้อิทธิพลของมัน แต่นั่นก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีความเสี่ยงไม่น้อย เพราะตำแหน่งนั้นทำให้หอเทพเจ้าหันมาจับจ้องเขา


ยิ่งเขาโดดเด่นมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นเป้าหมายที่น่าจับตามากขึ้นสำหรับหอเทพเจ้า จางเซวียนจึงไม่คิดว่าเป็นการฉลาดนักหากจะเปิดเผยตัวตนแบบนี้


ได้ยินคำนั้น ผู้อาวุโสเลี่ยวขมวดคิ้ว


เขานึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะสนใจกระสอบอสูรที่ไม่ได้มีราคาค่างวดอะไร แต่กลับไม่ใส่ใจสักนิดกับตำแหน่งหัวหน้าหอนานาอสูร


หากเขาได้เป็นหัวหน้าหอนานาอสูร ก็มีโอกาสได้ทุกสิ่งที่ต้องการไม่ใช่หรือ?


“เราค่อยหารือเรื่องนั้นทีหลังก็ได้” ผู้อาวุโสเลี่ยวพูดพร้อมกับยิ้มแหยๆ


สิ่งที่เขาพูดไปนั้นเป็นเพียงข้อเสนอ ผู้เดียวที่มีอำนาจในการตัดสินใจขั้นสุดท้ายคือหัวหน้าหอนานาอสูร ทั้งหมดที่พวกเขาทำได้ตอนนี้คือพาชายวัยกลางคนกลับไปที่หอนานาอสูรเท่านั้น


หลังจากพูดจากันรู้เรื่อง ผู้อาวุโสเลี่ยวกับคนอื่นๆรีบเยียวยาอาการบาดเจ็บของตัวเอง ก่อนหน้านี้พวกเขาทุกข์ทรมานไม่น้อยกับอาการบาดเจ็บสาหัสที่เกิดจากการโจมตีของอสูรอมตะทั้ง 3


ส่วนจางเซวียนก็หันกลับไปสนใจนกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัว เขาตรวจดูอาการบาดเจ็บของมัน


มีรอยกระแทกอย่างแรงที่หัวทั้ง 9 อันเกิดจากการโจมตีอย่างไม่ลดละของน้ำเต้าตงฉู่ ในเวลาเดียวกัน ร่างของมันก็ดูจะปวกเปียกไปเล็กน้อย เลือดสดๆยังไหลซึมออกมาไม่หยุดจากแผลลึก


ในเมื่อนกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัวยอมจำนนให้เขาแล้ว ก็ควรรักษาอาการบาดเจ็บให้มัน


จางเซวียนจึงนำขวดหยกออกมายื่นให้ใบหนึ่ง “ดื่มเสีย”


เขาเตรียมขวดที่บรรจุน้ำที่ได้จากการต้มน้ำเต้าตงฉู่ไว้หลายขวด เผื่อไว้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน


ตอนที่ 2045 ไปกันเถอะ!

นกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัวดื่มน้ำในขวดหยกอย่างไม่ลังเล เพียงครู่เดียว อาการบาดเจ็บของมันก็หายดีเป็นปลิดทิ้ง อันที่จริง ดูเหมือนมันจะมีเรี่ยวแรงมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ


“ขอบคุณมาก นายท่าน” นกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัวตอบอย่างตื่นเต้น


การปล่อยลูกไฟออกจากหัวทั้ง 9 ของมันทำให้เกิดความบอบช้ำ ทั้งก่อนหน้านี้ยังเสียเลือดไปมาก ด้วยความรุนแรงของบาดแผล มันคิดว่าคงต้องใช้เวลาเยียวยาอย่างน้อย 10 ปีกว่าจะฟื้นคืนสู่สภาพเดิม ใครจะไปคิดว่าน้ำใสๆเพียงขวดเดียวจะทำให้มันหายดีได้ภายในระยะเวลาไม่นาน


เรื่องนี้ยิ่งทำให้มันมั่นใจมากขึ้นในการยอมรับชายที่อยู่ตรงหน้าเป็นเจ้านาย


“เรียกหมาจิ้งจอกหูขาวมา” จางเซวียนสั่งการ


“ได้!”


มังกรอสรพิษโผขึ้นสู่กลางอากาศและคำรามกึกก้อง ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนไม่หยุด


จากนั้น ทุกคนก็เห็นมนุษย์คนหนึ่งกับ ‘มังกร’ อีกตัวปรากฏขึ้นกลางอากาศ ผู้อาวุโสหยวนยังคงขับเคลื่อนลูกมังกรทะเลเหนือไปมา เหงื่อเกาะพราวที่หน้าผากของเขา


เห็นได้ชัดว่าจนกระทั่งถึงตอนนี้ ผู้อาวุโสหยวนก็ยังไม่รู้ว่า ‘มังกรอสรพิษ’ ที่เขากำลังหลอกล่ออยู่นั้นเป็นตัวปลอม


“อะ-อะไรกัน? มีมังกรอสรพิษอีกตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” ผู้อาวุโสหยวนถึงกับผงะเมื่อเห็นมังกรอสรพิษตัวจริง


มังกรอสรพิษไม่แยแสความประหลาดใจของผู้อาวุโสหยวน มันพูดต่อ “หมาจิ้งจอกหูขาว พวกเราที่เหลือยอมจำนนให้นายท่านแล้ว ตอนนี้คุณจะทำอย่างไร?”


“พวกคุณยอมจำนนให้เขาแล้ว?”


หมาจิ้งจอกหูขาวถึงกับชะงัก มันกลายร่างจากมังกรอสรพิษกลับเป็นหมาจิ้งจอกสีเทาดังเดิม แม้จะมีสีเทาตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ก็มีหูสีขาวหนึ่งคู่ที่โดดเด่นสะดุดตา เป็นที่มาของชื่อของมัน


หมาจิ้งจอกหูขาวครุ่นคิดอย่างหนักครู่หนึ่งก่อนจะก้มศีรษะลงต่ำ “ผมเต็มใจยอมจำนนให้เขาเช่นกัน”


อสูรอมตะสามในสี่ตัวที่กุมอำนาจเหนือภูเขาเมฆเหินยอมจำนนแล้ว ในเมื่อมันคือตัวที่อ่อนแอที่สุด อีกทั้งภาพลวงตาที่สร้างไว้ก็ถูกเปิดเผยแล้ว จึงไม่มีทางที่มันจะรับมือกับอีกฝ่ายได้


แทนที่จะถูกฆ่าตาย ควรมอบความจงรักภักดีให้เจ้านายคนเดียวกันจะดีกว่า


ขณะที่หมาจิ้งจอกหูขาวยอมจำนนให้จางเซวียน ผู้อาวุโสหยวนก็พลันเข้าใจกระจ่างว่าเกิดอะไรขึ้น เขาถึงกับจังงัง


เขาเคยคิดว่าจะทำให้มังกรอสรพิษยอมจำนนได้โดยไม่ยุ่งยาก โดยเฉพาะเมื่อเขาได้ทุ่มเทเวลาถึง 30 ปีเต็มเพื่อเตรียมการต่างๆจนครบถ้วน แต่ใครจะไปคิดว่าหมาจิ้งจอกหูขาวเพียงตัวเดียวจะทำลายความพยายามของเขาจนหมดสิ้น…


ยิ่งไปกว่านั้น ภายในระยะเวลาอันสั้น ‘เจิ้งหยาง’ คนนี้ก็ทำให้อสูรอมตะยอมจำนนได้ถึง 3 ตัว กลายเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของภารกิจครั้งนี้


“สิ่งที่สำคัญกว่าในการดึงดูดใจอสูรที่คุณคิดจะทำให้มันยอมจำนนก็คือ ต้องทำให้มันเคารพคุณให้ได้ ลูกมังกรทะเลเหนือกับเลือดมังกรที่คุณเตรียมไว้เป็นของล้ำค่าที่มีประโยชน์ แต่หากอยากเอาชนะใจอสูรที่คุณต้องการให้มันยอมจำนนได้จริงๆล่ะก็ คุณจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าตัวคุณคู่ควร” จางเซวียนพูด


หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้กรรมวิธีฝึกอสูรด้วยการอัดให้น่วมของเขาใช้ได้ผลครั้งแล้วครั้งเล่าก็เพราะมันพิสูจน์ให้เห็นว่าเขามีพละกำลังเหนือชั้น!


ทรัพย์สมบัติล้ำค่าและข้าวของทำนองนั้นเป็นแค่วัตถุ พวกมันอาจใช้เพื่อยืนยันความปรารถนาดีในการทำให้อสูรยอมจำนนได้ แต่สายสัมพันธ์ที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานของความปรารถนาดีเพียงอย่างเดียวนั้นถือว่าเปราะบาง ถึงที่สุดแล้ว นักฝึกอสูรผู้นั้นจะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าตัวเขามีพละกำลังแข็งแกร่งพอที่จะเป็นผู้นำในความสัมพันธ์นี้ ไม่อย่างนั้น ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าจะควบคุมอสูรตัวหนึ่งได้ตลอดไป


“ผมเข้าใจแล้ว…น้องเจิ้ง ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะ”


ผู้อาวุโสหยวนคืออัจฉริยะชั้นยอดคนหนึ่งของหอนานาอสูร ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้เป็นหนึ่งในผู้เข้ารับการทดสอบเพื่อจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าหอนานาอสูรตั้งแต่อายุยังน้อย คำพูดของจางเซวียนทำให้หูตาของเขาสว่างและเข้าใจความเป็นจริง


หอนานาอสูรไม่อาจแข่งขันกับสำนักดาบเมฆเหินได้ในแง่ของศิลปะและเพลงดาบ อ่อนด้อยกว่าตำหนักคว้าดาวเรื่องศาสตร์แห่งจิตวิญญาณ สถานภาพทางการเงินก็สู้สำนักเจ็ดดาวไม่ได้ และศิลปะการเคลื่อนไหวก็จัดว่าพื้นๆเมื่อเทียบกับสำนักอมตะเลือนหาย…


ทั้งหมดที่หอนานาอสูรมีก็คือทักษะการฝึกอสูร ด้วยเหตุนี้ บรรดาศิษย์สายตรงจึงสร้างความภาคภูมิใจในตัวเองด้วยการทำให้อสูรที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขายอมจำนน ความคิดแบบนี้ฝังรากลึกลงไปในหัวใจของพวกเขาจนไม่มีใครตั้งคำถาม


แต่เมื่อมองย้อนไป ก็ถือว่าผิดพลาดอย่างมหันต์


รากฐานของการเป็นนักฝึกอสูรไม่ใช่อสูรที่พวกเขาทำให้ยอมจำนนได้ แต่เป็นวรยุทธ อสูรเหล่านั้นเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพการต่อสู้ให้นักฝึกอสูรเท่านั้น


ผู้อาวุโสหยวนอุทิศเวลาถึง 30 ปีเพื่อเตรียมการทำให้มังกรอสรพิษยอมจำนน ทรัพยากรที่เขาใช้ไปก็มากมายมหาศาลจนแทบไม่น่าเชื่อ แต่ถ้าเขาใช้เวลาและทรัพยากรเหล่านี้ไปกับการฝึกฝนวรยุทธแทน ก็จะแข็งแกร่งกว่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้มาก ทุกอย่างจะไม่ลงเอยด้วยความสูญเปล่า


“ไปกันเถอะ!”


เมื่อเสร็จภารกิจแล้ว ทั้งกลุ่มก็รีบเก็บข้าวของและออกเดินทางกลับสู่หอนานาอสูร


จางเซวียนรู้สึกว่าการเดินทางของพวกเขาออกจะช้าเกินไป จึงพาทุกคนขึ้นขี่หลังมังกรอสรพิษแล้วรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว


3 วันต่อมา หอนานาอสูรก็ปรากฏตรงหน้า


ในแง่ของขนาด หอนานาอสูรไม่ได้อ่อนด้อยกว่าสำนักดาบเมฆเหิน บริเวณทางเข้ามีหัวมังกรขนาดมหึมาติดตั้งไว้ ตึกรามบ้านช่องโดยทั่วไปถูกประดับประดาด้วยเกล็ดมังกร อาคารเหล่านี้กินอาณาเขตยืดยาวออกไปหลายร้อยลี้ ก่อเกิดเป็นส่วนลำตัวและส่วนหางของมังกร


เมื่อมองจากระยะไกล หอนานาอสูรดูคล้ายกับมังกรเป็นๆตัวหนึ่งที่กำลังไต่สันเขา เฝ้ารอเวลาก่อนจะโผขึ้นสู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่อีกครั้ง


จางเซวียนต้องยอมรับว่านี่คืองานศิลปะที่น่าทึ่งมาก แม้ยังไม่ได้เข้าสู่หอนานาอสูร ภาพอันน่าประทับใจก็ทำให้ผู้พบเห็นเกิดความยำเกรงในหัวใจแล้ว


“สง่างามจริงๆ!” จางเซวียนเปรยออกมาเมื่อมองภาพตรงหน้าจากหลังมังกรอสรพิษ


เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงความประทับใจแรกเมื่อได้เห็นประตูภูเขาขนาดใหญ่และดาบเล่มมหึมาที่ตั้งอยู่บริเวณทางเข้าของสำนักดาบเมฆเหิน ดูเหมือนจะไม่มีใครกล้าสร้างความวุ่นวายให้กับ 6 สำนักใหญ่นี้จริงๆ


“ว่ากันว่าผู้ก่อตั้งหอนานาอสูรเคยทำให้เผ่าพันธุ์เสมือนมังกรตัวหนึ่งยอมจำนนได้ในยุคสมัยของเขา ตึกรามบ้านช่องเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงเวลาที่ผู้ก่อตั้งยังมีชีวิตอยู่ มันถูกออกแบบให้คล้ายกับร่างของเผ่าพันธุ์เสมือนมังกรตัวนั้น ด้วยเหตุนี้หอนานาอสูรจึงมีอำนาจยิ่งใหญ่ตามแบบของเผ่าพันธุ์มังกร อสูรตัวไหนก็ตามที่เข้ามาใกล้หอนานาอสูรจะรู้สึกได้ถึงความยำเกรงที่หยั่งลึกในหัวใจ และไม่กล้าสร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย” ผู้อาวุโสเลี่ยวอธิบายอย่างเคร่งขรึม


จางเซวียนพยักหน้ารับ


เผ่าพันธุ์มังกรคือผู้นำเหล่าอสูร ตึกรามบ้านช่องที่ถูกสร้างขึ้นเลียนแบบรูปร่างของมันย่อมดึงดูดพลังงานของมังกรให้เข้ามาสะสมไว้ตลอดเวลา ส่งผลให้อสูรตัวอื่นๆเกิดความยำเกรง


“น้องเจิ้ง ระหว่างนี้คุณพักที่นี่ก่อน ผมจะรีบไปรายงานท่านหัวหน้า” ผู้อาวุโสเลี่ยวนำจางเซวียนเข้าสู่ที่พัก ก่อนประสานมือและกล่าวอำลา


ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว จางเซวียนจึงตัดสินใจหยุดพักสักหน่อย เมื่อคนของจากหอนานาอสูรจากไป เขาก็สั่งการให้อสูรอมตะทั้ง 4 พักผ่อนอยู่ด้านนอกก่อนจะเข้าสู่บ้านพัก


จางเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนำน้ำเต้าตงฉู่ออกจากจุดตันเถียน


“แกรู้สึกอย่างไรบ้าง?”


ตั้งแต่เจ้านี่เขมือบลูกไฟและดื่มเลือดของนกฟีนิกซ์ไฟเก้าหางเข้าไป มันก็นิ่งกริบ ผ่านมา 3 วันแล้ว แต่ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆเลย


“ดูเหมือนเลือดจากนกตัวนั้นยังมีน้อยไปหน่อย ผมอยากได้พลังงานมากกว่านี้…” น้ำเต้าตงฉู่ถอนหายใจเฮือกอย่างจนปัญญา


“แกอยากได้พลังงานมากกว่านี้? เกิดอะไรขึ้น?” จางเซวียนถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


“ก็อย่างที่คุณรู้นั่นแหละ ผมคืออสูรในตำนานที่ครั้งหนึ่งมี…” น้ำเต้าตงฉู่เริ่มสาธยายเรื่องเล่าเก่าแก่ของมันอีกรอบ


“พอที” จางเซวียนขัดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ฉันรู้แล้วว่าแกเคยทรงพลัง แต่ที่ฉันอยากรู้ก็คือแกถูกกักขังอยู่ในร่างปัจจุบันนี้ได้อย่างไร”


ในเมื่อเจ้านี่กลืนกินดาบระดับอมตะขั้นสูงได้ แถมเล่นงานนกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัวให้พ่ายแพ้ได้อย่างง่ายดาย ก็ไม่ควรประมาทความสามารถของมัน


สิ่งที่ทำให้จางเซวียนยังคงสงสัยก็คือทำไมน้ำเต้าตงฉู่ถึงปรากฏตัวในทวีปแห่งปรมาจารย์ ด้วยความเก่งกาจของมัน มันน่าจะอยู่ในมิติเบื้องบนหรือแม้แต่สวรรค์


ทำไมถึงลงเอยด้วยการอยู่ในสภาพนี้?


“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ความทรงจำของผมออกจะเลอะเลือนอยู่สักหน่อย ตอนที่ตื่นขึ้นมา ผมก็อยู่ในน้ำเต้าตงฉู่ใบนี้แล้ว สัญชาตญาณบอกผมว่าผมจะได้ความทรงจำกลับคืนมาก็ต่อเมื่อมีพละกำลังเต็มพิกัดดังเดิม” น้ำเต้าตงฉู่ตอบ


เมื่อเห็นว่าซักถามอะไรไปก็ล้วนแต่เสียเวลาเปล่า จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ช่างมันเถอะ แกบอกฉันมาดีกว่าว่าแกต้องการอะไร ถึงจะออกจากสภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้ได้?”


“ปริมาณพลังงานที่ผมรวบรวมได้ยังคงไม่มากพอจะทำลายเปลือกอันนี้ แต่ถ้าคุณให้ผมกินยาเม็ดอมตะขั้นพิเศษอีกสักหน่อย ก็น่าจะทำได้” น้ำเต้าตงฉู่ตอบ


“ยาเม็ดอมตะขั้นพิเศษ? แกอยากได้สักเท่าไหร่ล่ะ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


เขาพอมียาเม็ดอมตะขั้นพิเศษอยู่บ้าง แต่ไม่มากนัก


จางเซวียนตั้งใจจะซื้อยาเม็ดอมตะขั้นพิเศษ 100 เม็ดตอนที่แวะหอนิรันดร์ของเมืองอู๋ไห่ แต่โชคร้ายที่หอนิรันดร์ไม่มีสินค้ามากพอกับความต้องการของเขา จึงทำได้แค่ซื้อเท่าที่มี แต่หอนิรันดร์ก็ให้สัญญาว่าจะรวบรวมจำนวนที่ยังขาดมาให้ได้ในอีก 2-3 วันถัดไป


แต่แล้วการลอบสังหารจากหอเทพเจ้าก็เกิดขึ้นเสียก่อน เขาถูกบีบให้ต้องรีบร้อนออกจากเมืองจนไม่มีเวลาไปรับยาส่วนที่เหลือ


ในจำนวนยาเม็ดอมตะขั้นพิเศษที่เขาได้มา เขากินเองไปแล้วจำนวนหนึ่ง อีกจำนวนหนึ่งให้ไป๋เหรินชิงกับตั้นเฉี่ยวเทียนสำหรับใช้ในการฝึกฝนวรยุทธ ตอนนี้จึงเหลือเพียง 5 เม็ด


จางเซวียนตั้งใจจะใช้ยาเม็ดจำนวนนี้สำหรับการฝ่าด่านวรยุทธของจิตวิญญาณของเขา แต่ถ้าน้ำเต้าตงฉู่ต้องการ เขาก็ยินดีจะให้มันก่อน


ด้วยตราสัญลักษณ์ที่ปรมาจารย์ขงมอบให้ การรวบรวมทรัพยากรเพื่อการฝึกฝนวรยุทธจะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป ขอแค่มีหอนิรันดร์อยู่แถวๆนี้ เขาก็จะหาทุกสิ่งที่ต้องการได้


ตอนที่ 2046 ไม่มีใครทำสำเร็จเลย

“ผมอยากได้ยาเม็ดอมตะขั้นพิเศษประมาณ 200 เม็ด” น้ำเต้าตงฉู่ตอบ


“ยาเม็ดอมตะขั้นพิเศษ 200 เม็ด?”จางเซวียนเลิกคิ้ว


เขาประเมินความต้องการของน้ำเต้าตงฉู่ต่ำไปอีกแล้ว


ขนาดเมืองใหญ่อย่างเมืองอู๋ไห่ยังขายยาเม็ดอมตะขั้นพิเศษได้ทีละ 20 เม็ดเท่านั้น แต่แกกำลังบอกฉันว่าอยากได้ 200 เม็ด…


แกคิดว่าฉันจะมีปัญญาหายาเม็ดอมตะขั้นพิเศษมากมายขนาดนั้นจากที่ไหนมาให้?


“หากเป็นอย่างนี้ต่อไป เราก็มีแต่จะเป็นหนี้บุญคุณต่อปรมาจารย์ขงมากขึ้นอีก” จางเซวียนนวดหว่างคิ้วอย่างจนปัญญา


พละกำลังของน้ำเต้าตงฉู่เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรมันก็ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าจะเป็นกำลังเสริมอันล้ำค่าหากสามารถทำลายฉนวนที่ปิดกั้นตัวเองได้


ในเมื่อปรมาจารย์ขงมอบตราสัญลักษณ์ให้จางเซวียนและอนุญาตให้เขาเสาะหาทรัพยากรเพื่อการฝึกฝนวรยุทธได้ตามต้องการแล้ว เขาจะนำทรัพยากรจากหอนิรันดร์มาใช้มากแค่ไหนก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่


ยาเม็ดอมตะขั้นสูงสุดอาจหายาก แต่ขอแค่เขาต้องการ หอนิรันดร์ก็จะต้องรวบรวมมาจนได้


เพียงแต่อาจจะยุ่งยากสักหน่อยเท่านั้น


แต่นั่นแหละ ตราสัญลักษณ์อันนั้นคงใช้ที่หอนานาอสูรไม่ได้…จางเซวียนคิด


เขาคิดว่าหอนานาอสูรน่าจะมี ‘หอนิรันดร์ในพื้นที่’ เป็นของตัวเองเหมือนสำนักดาบเมฆเหิน ซึ่งตราสัญลักษณ์ที่ปรมาจารย์ขงมอบให้คงใช้ไม่ได้กับที่นี่


ดูเหมือนเขาจะต้องแวะเมืองใหญ่สักเมืองหนึ่งหลังจากที่ออกจากหอนานาอสูรแล้ว


มีอีกหลายอย่างที่ต้องทำ เราจะต้องออกเดินทางโดยเร็วที่สุดหลังจากได้อ่านหนังสือทั้งหมดที่นี่…


จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่


…..


ขณะที่จางเวียนกำลังซักไซ้น้ำเต้าตงฉู่ ผู้อาวุโสเลี่ยวกับพรรคพวกก็มาถึงสภาผู้อาวุโสของหอนานาอสูร


“หัวหน้าฉิง!”


ที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาคือชายวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งดูเหมือนอายุ 40 ต้นๆ แม้จะดูยังหนุ่ม แต่ก็แผ่รังสีของความร่วงโรยออกมา บ่งบอกถึงการใช้ชีวิตมายาวนาน


“แก่นอสูรของอสูรเยาว์วัยนิรันดร์ทำให้ผมรักษารูปลักษณ์อ่อนวัยของตัวเองไว้ได้ แต่แท้ที่จริงแล้ว ร่างกายของผมซื่อตรงกว่าที่เห็น ด้วยอาการบาดเจ็บสาหัสที่สั่งสมมาตลอดระยะเวลาหลายปี ผมคงมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียง 5 ปีเท่านั้น” หัวหน้าฉิงถอนหายใจเฮือกใหญ่


จากนั้นเขาก็หันไปตั้งคำถามกับผู้อาวุโสเลี่ยวและคนอื่นๆ “เป็นอย่างไรบ้าง? ผลออกมาหรือยัง? ใครชนะ? หยวนโจวหรือหลิวหรัน?”


หยวนโจวคือผู้อาวุโสที่มีลูกมังกรทะเลเหนือ แต่ถูกหมาจิ้งจอกหูขาวปั่นหัวจนแผนการล้มเหลว ขณะที่หลิวหรันคือผู้อาวุโสที่ถูกอสูรอมตะทั้ง 3 ร่วมมือกันสังหาร


ถ้าไม่ใช่เพราะอายุขัยของเขาใกล้สิ้นสุดเต็มที เขาคงไม่รีบร้อนหาผู้สืบทอดจนถึงขนาดต้องใช้การทดสอบที่เสี่ยงอันตราย


“หัวหน้าฉิง ไม่มีใครทำสำเร็จเลย!”


ผู้อาวุโสเลี่ยวรีบอธิบายทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้


“นักรบพเนจรคนหนึ่งที่ชื่อเจิ้งหยางทำให้มังกรอสรพิษ นกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัว และเสือเขี้ยวดาบเจ็ดหางยอมจำนนได้ภายในเวลาเพียง 2 นาที? ขณะที่ตัวเขาเป็นแค่นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์เท่านั้น?” หัวหน้าฉิงงงงันกับสิ่งที่ได้ฟัง


“ใช่” ผู้อาวุโสเลี่ยวตอบพร้อมกับพยักหน้า “ผู้อาวุโสหยวนกับผู้อาวุโสหลิวต่างก็ลงมือด้วยตัวเอง พวกเราติดตามไปเพื่อช่วยเหลือทั้งคู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ ถ้าข่าวนี้รั่วไหลออกไป ชื่อเสียงของหอนานาอสูรจะต้องเสื่อมเสียยับเยินแน่ ผมจึงเชิญเจิ้งหยางให้กลับมาที่หอนานาอสูรของเรา ผมคิดว่าหากเรายอมรับเขาเป็นหนึ่งในผู้อาวุโส ไม่เพียงแต่ชื่อเสียงของพวกเราจะไม่ด่างพร้อย ยังจะนำเกียรติยศยิ่งใหญ่มาสู่หอนานาอสูรด้วย!”


“ผมเข้าใจว่าคุณหมายความว่าอย่างไร” หัวหน้าฉิงพยักหน้า เขาลุกขึ้นยืนและกวาดสายตาไปรอบห้อง “อายุขัยของผมใกล้สิ้นสุดเต็มทีแล้ว หอนานาอสูรอยู่ในสภาพอ่อนแอเมื่อเปรียบเทียบกับ 5 สำนักที่เหลือ เราต้องการผู้นำที่เป็นคนหนุ่มทรงพลังเพื่อนำพามันให้ก้าวหน้าต่อไป ถ้าเจิ้งหยางเก่งกาจไร้เทียมทานอย่างที่คุณพูดจริงๆ ผมก็ไม่คัดค้านการจะแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของผม…”


“เมื่อเร็วๆนี้ สำนักดาบเมฆเหินประกาศว่าหานเจี้ยนชิวก้าวลงจากตำแหน่งเจ้าสำนักและมอบตำแหน่งของเขาให้ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อจางเซวียน ขอแค่มีตัวเลือกที่เหมาะสม ผมก็พร้อมสละตำแหน่งเช่นกัน แต่คงต้องขอทดสอบเขาก่อน”


“หัวหน้าฉิง คุณเกรงว่าเขาอาจมาจากหอเทพเจ้าหรือ?” ผู้อาวุโสเลี่ยวตั้งคำถาม


“หอเทพเจ้าวางอำนาจบาตรใหญ่ในทวีปที่ถูกลืมมาตลอด เลือกที่จะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการรบรา ทางการเมืองและความขัดแย้งต่างๆหากไม่ได้เป็นการล้ำเส้นของพวกเขา แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เมื่อไม่นานมานี้ หอเทพเจ้าแสดงเจตจำนงชัดเจนว่าอยากบงการ 6 สำนักใหญ่ ผมคิดว่าพวกเราระแวดระวังไว้ก่อนย่อมดีกว่า” หัวหน้าฉิงตอบ


“ผมเข้าใจ แล้วคุณคิดจะทดสอบเขาอย่างไร?” ผู้อาวุโสเลี่ยวถามต่อ


“พาเขาไปที่โดมนานาอสูรเพื่อพบบรรพบุรุษเก่าแก่ บรรพบุรุษเก่าแก่มีสัมผัสที่ไวมากต่อคนของหอเทพเจ้า น่าจะดูออกทันที” หัวหน้าฉิงพยักหน้า


“รับทราบ ผมจะจัดการให้เดี๋ยวนี้” ผู้อาวุโสเลี่ยวรับคำ


บรรพบุรุษเก่าแก่ที่หัวหน้าฉิงพูดถึงคืออสูรเพลิงนรกสีน้ำเงิน มันเป็นอสูรของหัวหน้าหอนานาอสูรคนที่ 17 ตัวมันไม่ได้ใกล้เคียงกับการเป็นอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของหอนานาอสูร แต่ขึ้นชื่อว่ามีสัมผัสทางจิตวิญญาณที่ไม่มีใครเทียบชั้นได้


คนจากหอเทพเจ้ามักแผ่รังสีที่ทำให้อสูรเพลิงนรกสีน้ำเงินดูออกในทันที


“ขอแค่เขาไม่ได้มาจากหอเทพเจ้า ความสามารถในการฝึกอสูรของเขาก็เพียงพอจะทำให้เขารับตำแหน่งหัวหน้าหอนานาอสูรคนต่อไปได้แล้ว ทันทีที่เขาสำเร็จวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ ก็จะทำให้อสูรที่แข็งแกร่งกว่านี้ยอมจำนนได้ เมื่อถึงเวลานั้น หอนานาอสูรของเราจะไม่ต้องกังวลกับเงามืดทะมึนของพวกสำนักดาบเมฆเหินอีกต่อไป คราวหน้า เมื่อผมพบหานเจี้ยนชิว ผมจะเชิดหน้าบอกเขาว่าหอนานาอสูรของเราก็มีผู้ปราดเปรื่องอยู่มากมายเช่นกัน” หัวหน้าฉิงกำหมัดแน่น


ผู้อาวุโสเลี่ยวพยักหน้ารับ เขากล่าวอำลาและออกจากห้อง, 2 ชั่วโมงต่อมาก็กลับมาอีกครั้งด้วยสีหน้าที่บ่งบอกความสับสน


“เป็นอย่างไรบ้าง?” หัวหน้าฉิงตั้งคำถาม


“ผมทำตามคำสั่งของคุณ และพาเจิ้งหยางไปที่โดมนานาอสูรแล้ว แต่ว่า…” ขณะที่ผู้อาวุโสเลี่ยวหวนนึกถึงสิ่งที่เพิ่งเห็น ก็ได้แต่กระพริบตาปริบๆ


“ว่าอย่างไรล่ะ? บรรพบุรุษเก่าแก่บอกว่าเขามาจากหอเทพเจ้าหรือ?”


“พูดตามตรงนะ ผมไม่รู้จริงๆ บรรพบุรุษเก่าแก่สร้างความวุ่นวายขนานใหญ่ด้วยการอยากยอมรับเจิ้งหยางเป็นเจ้านาย พวกเราต้องลากมันออกไปเพื่อยับยั้งไม่ให้มันทำแบบนั้น…” ผู้อาวุโสเลี่ยวตอบอย่างกระอักกระอ่วน


“บรรพบุรุษเก่าแก่อยากยอมรับเขาเป็นเจ้านาย?” หัวหน้าฉิงถึงกับผงะ


“ไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ อย่างที่คุณรู้ โดมนานาอสูรคือสถานที่ที่อสูรส่วนใหญ่ในหอนานาอสูรของเราพำนักอยู่ หลังจากที่เจิ้งหยางเข้าไปได้เพียงครู่เดียว ก็มีอสูรนักปราชญ์กว่า 300 ตัวและอสูรอมตะอีก 12 ตัวที่แสดงความจำนงอยากยอมรับเขาเป็นเจ้านาย เรื่องนี้ทำให้เกิดความวุ่นวายขนาดหนัก และผู้อาวุโสหลายคนก็ไม่พอใจ…” ผู้อาวุโสเลี่ยวรายงานขณะกุมขมับอย่างจนปัญญา


“อสูรพวกนั้นอยากยอมรับเขาเป็นเจ้านาย? เกิดอะไรขึ้นน่ะ? ผมแค่บอกให้คุณพาเขาไปโดมนานาอสูรไม่ใช่หรือ ทำไมเหล่าอสูรถึงแสดงอาการแบบนั้น?” หัวหน้าฉิงงุนงงกับสิ่งที่ได้ยิน


มันควรจะเป็นแค่การยืนยันตัวตนอย่างง่ายๆ แล้วในระยะเวลาอันสั้นเพียง 2 ชั่วโมง…เกิดความวุ่นวายขนานใหญ่แบบนั้นเชียวหรือ?


เหตุผลที่หอนานาอสูรก้าวขึ้นมาเป็น 1 ใน 6 สำนักใหญ่ได้ก็เพราะเหล่าผู้อาวุโส ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด และศิษย์สายตรงฝ่ายในทุกคนล้วนมีอสูรเป็นของตัวเอง ด้วยความสัมพันธ์แน่นแฟ้นระหว่างนักฝึกอสูรกับอสูรของพวกเขา จึงเกิดเป็นความเหนือกว่าอย่างชัดเจนหากเปรียบเทียบกับนักรบที่มีวรยุทธระดับเดียวกัน


ถ้าเหล่าอสูรที่นี่พร้อมใจกันยอมจำนนให้คนเพียงคนเดียว รากฐานอันแข็งแกร่งที่ทำให้หอนานาอสูรตั้งอยู่ได้อย่างทุกวันนี้มิพังทลายหรือ?


เรื่องแบบนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้!


“ตอนที่บรรพบุรุษเก่าแก่ได้รู้ว่าเจิ้งหยางทำให้มังกรอสรพิษและอสูรอมตะตัวอื่นๆยอมจำนนได้ภายในเวลาเพียง 2 นาที เขาก็คำรามใส่เพราะคิดว่าเป็นแค่เรื่องหลอกเด็ก และสั่งการให้เหล่าอสูรนักปราชญ์กับอสูรอมตะที่อยู่ในบริเวณนั้นตีวงล้อมเจิ้งหยางไว้เพื่อสั่งสอนบทเรียน…ผมรีบเข้าไปยับยั้งพวกมัน แต่พละกำลังของผมก็มีจำกัด หลังจากนั้น ยังไม่ทันที่ผมจะรู้ตัว สถานการณ์ก็พลิกผันจนกลายเป็นแบบนี้…”


เมื่อหวนนึกถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น ผู้อาวุโสเลี่ยวแทบปล่อยโฮ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากยับยั้งความวุ่นวายต่างๆ แต่เขาจะทำอะไรได้ในเมื่ออีกฝ่ายคือบรรพบุรุษเก่าแก่กับอสูรหลายร้อยตัว?


เจิ้งหยางคนนั้นเป็นยิ่งกว่าปีศาจ ทั้งที่เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้มากมายพร้อมกันในคราวเดียว ก็กำราบพวกมันทุกตัวได้ภายในเวลาไม่ถึง 3 นาที…และนั่นยังไม่จบ หากเจิ้งหยางเป็นนักรบผู้ทรงพลังก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่กลับกลายเป็นว่าอสูรทุกตัวที่เขาซ้อมมันมีทีท่าประจบประแจงเขาราวกับสุนัขผู้จงรักภักดี ยืนกรานว่าจะยอมรับเขาเป็นเจ้านายของพวกมันให้ได้


แม้แต่บรรพบุรุษเก่าแก่ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น!


นั่นคืออสูรที่ถูกทำให้ยอมจำนนโดยบรรพบุรุษก่อนหน้าพวกเขาหลายชั่วคน…ถ้าบรรพบุรุษเก่าแก่ยอมรับเจิ้งหยางเป็นเจ้านาย แล้วลำดับอาวุโสของพวกเขาจะเหลืออะไร?


กลับกลายเป็นว่าพวกเขาคือ ศิษย์หลาน-ของหลาน-ของหลาน-ของหลาน…ไปในทันที!


เขารับไม่ได้หากต้องเปลี่ยนคำเรียกขานอีกฝ่ายจาก ‘น้องเจิ้ง’ มาเป็น ‘บรรพบุรุษเก่าแก่เจิ้ง’ อย่างปุบปับแบบนี้


หัวหน้าฉิงก็นึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายภายในเวลาเพียง 2 ชั่วโมง เขาสูดหายใจลึก จากนั้นก็สั่งการด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “พาผมไปพบเขา ผมอยากเจอเขาตัวเป็นๆ!”


…..


“วุ่นวายอะไรอย่างนี้!”


จางเซวียนมองดูอสูรกลุ่มใหญ่ที่ออกันอยู่ตรงหน้าเขาด้วยสีหน้างุนงงสับสน


เมื่อครู่นี้ผู้อาวุโสเลี่ยวพาเขามาที่โดมนานาอสูร แต่หลังจากมาถึงได้ไม่นาน ก็ถูกอสูรเหล่านี้โจมตี


เพื่อปกป้องตัวเอง เขาต้องตอบโต้ด้วยการเล่นงานพวกมัน แต่หลังจากนั้น ยังไม่ทันที่จะรู้ตัว ทุกตัวก็ยอมจำนนให้เขาแล้ว


การถ่อมเนื้อถ่อมตัวนี่มันยากจริงๆ!


แต่พูดก็พูดเถอะ เรื่องที่ค้างคาใจเขาในเวลานี้ก็คือเขายังไม่รู้ว่าผู้อาวุโสเลี่ยวคิดจะทำอะไร


อีกฝ่ายพาเขามาที่นี่เพื่อให้จัดการให้อสูรพวกนี้ยอมจำนนหรือ? แต่เขาก็ทำให้มังกรอสรพิษกับอสูรอมตะตัวอื่นๆยอมจำนนไปแล้ว เขาไม่ต้องการอสูรอ่อนแอพวกนี้หรอก!


ตอนที่ 2047 รอก่อน!

“พวกคุณน่ะแยกย้ายเถอะ ผมมีอสูรของผมแล้ว ไม่คิดจะรับอสูรตัวไหนอีก!”


หากเขารับอสูรพวกนี้ไว้ คงต้องยกโขยงไปไหนมาไหนเป็นกองทัพ แล้วจะทำอะไรแบบเงียบๆได้อย่างไร?


หอเทพเจ้าจะต้องมาถึงหน้าประตูตั้งแต่เขายังไม่ทันได้ไปไหน!


“ถ้าคุณไม่อยากรับพวกมัน อย่างน้อยที่สุดก็ควรรับผม วรยุทธของผมเข้าถึงระดับอมตะขั้นสูงแล้ว แม้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของผมจะเทียบชั้นไม่ได้กับมังกรอสรพิษและพรรคพวกของมัน แต่ผมก็มีสัมผัสทางจิตวิญญาณที่ไวเป็นพิเศษมาแต่กำเนิด ผมจับสัญญาณอันตรายได้อย่างรวดเร็วและสามารถเตือนคุณล่วงหน้า” อสูรเพลิงนรกสีน้ำเงินพูดยิ้มๆขณะขยับเข้าใกล้


จางเซวียนคิดหนัก


ก็จริงอย่างที่อีกฝ่ายบอก แม้วรยุทธของมันจะเป็นแค่อมตะขั้นสูงระดับล่าง แต่สัมผัสของมันเฉียบคมอย่างเหลือเชื่อ มันสามารถเคลื่อนไหวล่วงหน้าเพื่อหลบเลี่ยงการโจมตีของเขาได้ ถือเป็นพันธมิตรผู้ล้ำค่าเลยทีเดียว


“ก็ได้ ผมจะรับคุณเป็นอสูรของผม” จางเซวียนพยักหน้า


ขณะที่เขากำลังจะทำสัญญาผูกมัดจิตวิญญาณ ชายวัยกลางคนก็พรวดพราดเข้ามาในห้องแล้วตะโกน “น้องเจิ้ง รอก่อน!”


จางเซวียนหันกลับไป


ที่ตามหลังชายวัยกลางคนมาคือผู้อาวุโสเลี่ยว เขารีบแนะนำ “น้องเจิ้ง นี่คือหัวหน้าฉิงหย่วน, หัวหน้าหอนานาอสูร!”


จางเซวียนพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ประสานมือและกล่าวทักทาย “คารวะหัวหน้าฉิง!”


“น้องเจิ้งไม่ต้องมีพิธีรีตองกับผมหรอก” หัวหน้าฉิงตอบยิ้มๆ “ผมรับรู้วีรกรรมของคุณจากผู้อาวุโสเลี่ยวแล้ว และยำเกรงในทักษะการฝึกอสูรของคุณมาก”


ในฐานะหัวหน้าหอนานาอสูร ในทวีปที่ถูกลืม มีน้อยคนเต็มทีที่สามารถแข่งขันกับเขาในแง่ของทักษะการฝึกอสูรได้ เขาคิดว่าตัวเองคือสุดยอดในด้านนี้ แต่เมื่อได้เห็นชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้า ก็รู้ทันทีว่าหนทางของเขายังอีกยาวไกล


ความภาคภูมิใจในทักษะการฝึกอสูรของเขาเทียบอะไรไม่ได้เลยกับชายวัยกลางคนผู้นี้…ไม่ควรค่าแม้แต่จะพูดถึง!


ตอนแรก เขาคิดว่าผู้อาวุโสเลี่ยวออกจะพูดจาเกินจริงไปสักหน่อย แต่เมื่อได้เห็นภาพนี้กับตา ก็รู้แล้วว่าเขาประเมินความเก่งกาจของเจิ้งหยางคนนี้ต่ำไป


อสูรหลายร้อยตัวยอมจำนนอย่างพร้อมเรียงกันให้คนเพียงคนเดียว…


แม้แต่ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของหอนานาอสูร ก็ไม่เคยมีใครสร้างวีรกรรมระดับนี้ได้มาก่อน


“การฝึกอสูรน่ะไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่เห็นหรอก” จางเซวียนตั้งข้อสังเกต


“เป็นความยินดีของผมที่ได้ฟังถ้อยคำแห่งภูมิปัญญาของน้องเจิ้ง” หัวหน้าฉิงประสานมือและตอบรับ


“ก็เหมือนมนุษย์นั่นแหละ เหล่าอสูรมีศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจในตัวเอง พวกมันควรได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกัน…” จางเซวียนพูดช้าๆ


หากเขากล่าวว่าตัวเขาคือนักฝึกอสูรผู้เป็นอันดับ 2 ในทวีปแห่งปรมาจารย์ ก็จะไม่มีใครกล้าอวดอ้างว่าตัวเองคืออันดับ 1 เว้นเสียแต่อยากถูกซ้อมจนตาย


เห็นทั้งคู่สนใจฟังคำบรรยายของเขา สัญชาตญาณความเป็นครูบาอาจารย์ของจางเซวียนก็ลุกโชน ยังไม่ทันจะรู้ตัว เขาก็เริ่มสั่งสอนทั้งคู่


หลังจากฟังคำบรรยายของจางเซวียนได้ครู่หนึ่ง นัยน์ตาของหัวหน้าฉิงก็เปล่งประกายของความทึ่งออกมา


เขาศึกษาวิถีทางของการฝึกอสูรมานานหลายปีแล้ว และไม่เคยคิดว่าศาสตร์นี้จะถูกตีความออกมาในรูปแบบที่เห็นได้ ราวกับเป็นการเปิดโลกใหม่ให้เขา ความเข้าใจในการฝึกอสูรของเขาก้าวขึ้นไปอีกขั้น


ครู่ต่อมา ผู้อาวุโสเลี่ยวก็อดไม่ได้ที่จะส่งโทรจิตหา “หัวหน้าฉิง คุณคิดว่าเจิ้งหยางคนนี้มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้เป็นหัวหน้าหอนานาอสูรคนต่อไปไหม?”


“ได้แน่นอน!” หัวหน้าฉิงตอบอย่างตื่นเต้น


ข้อเท็จจริงที่ว่าบรรพบุรุษเก่าแก่เต็มใจรับเจิ้งหยางคนนี้เป็นเจ้านายก็บอกชัดแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาจากหอเทพเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น เขายังได้แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาเกี่ยวกับการฝึกอสูรที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งหากภูมิปัญญาของเขาได้รับการรวบรวมและถูกถ่ายทอดไปยังศิษย์สายตรงรุ่นหลัง นักฝึกอสูรรุ่นต่อๆไปของหอนานาอสูรจะมีความเก่งกาจเพิ่มขึ้นอีกมาก


ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีข้อสงสัยเลยว่าชายวัยกลางคนผู้นี้คือตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดที่จะสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าหอนานาอสูรคนต่อไป!


เมื่อคิดได้ หัวหน้าฉิงมองชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้งและถามด้วยเสียงสั่นๆ “น้องเจิ้ง คุณสนใจจะรับตำแหน่งหัวหน้าและดูแลหอนานาอสูรของพวกเราไหม?”


“คุณอยากให้ผมรับตำแหน่งหัวหน้า?” จางเซวียนถึงกับผงะ


เราเพิ่งมาถึงที่นี่ได้เพียง 2 ชั่วโมง แต่หัวหน้าหอนานาอสูรคนปัจจุบันกำลังถามเราว่าอยากรับตำแหน่งของเขาหรือไม่…


สำนักต่างๆในมิติเบื้องบนขาดแคลนผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำถึงขนาดนี้เชียวหรือ?


เมื่อตอนอยู่ที่สำนักดาบเมฆเหิน จางเซวียนไต่เต้าขึ้นมาอย่างช้าๆ เริ่มจากการเล่นงานศิษย์สายตรงฝ่ายใน ก่อนจะขยับไปศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด จากนั้นก็เป็นเหล่าผู้อาวุโส ปิดท้ายที่เจ้าสำนัก แม้จะดำเนินตามครรลองคลองธรรมของศิลปะเพลงดาบ แต่เขาก็ได้มาเพียงแค่ตำแหน่ง ‘ผู้สืบทอดผู้มีศักยภาพ’ เท่านั้น แทนที่จะเป็นตำแหน่ง ‘เจ้าสำนัก’


ส่วนทางนี้ เขาเพิ่งมาถึงหอนานาอสูรได้เพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น ยังไม่ทันจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ได้รับการยื่นข้อเสนอให้เป็นหัวหน้าหอนานาอสูรคนต่อไปแล้ว…


นี่คือการกลั่นแกล้งรูปแบบใหม่ที่บรรดานักรบในทวีปที่ถูกลืมใช้แกล้งกันหรือเปล่า?


ที่นี่คือหนึ่งในหกสำนักใหญ่นะ! มันคือการคัดเลือกหัวหน้า ไม่ใช่การปรุงกะหล่ำปลีเป็นอาหารเย็น!


หรือว่าหัวหน้าฉิงคนนี้มีความเจ็บช้ำน้ำใจบางอย่างกับหอนานาอสูร จึงอยากทำลายที่นี่ให้สิ้นซากด้วยน้ำมือของตัวเอง?


ไม่อย่างนั้น เขาคงเข้าใจได้เพียงอย่างเดียวว่าคนพวกนี้คือคนโง่ที่กล้าไว้ใจให้คนนอกมาเป็นผู้นำ


ถ้าไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่จางเซวียนได้เห็นแล้วว่าหอนานาอสูรใหญ่โตโอ่อ่าแค่ไหน เขาคงคิดว่ามาถึงสำนักงานใหญ่ของบริษัทขายตรงที่ไหนสักแห่ง!


“ใช่” หัวหน้าฉิงพยักหน้าอย่างหนักแน่นขณะมองจางเซวียนด้วยสายตาที่บ่งบอกความจริงจัง


หลังจากได้พบ ‘เจิ้งหยาง’ เขาก็แน่ใจแล้วว่าไม่มีใครเหมาะสมกับการเป็นหัวหน้าหอนานาอสูรมากไปกว่าชายผู้นี้


องค์กรที่ใหญ่โตอย่างหอนานาอสูรมีกระบวนการการบริหารของตัวเองอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่หัวหน้าจะต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับภารกิจประจำวัน เหล่าผู้อาวุโสที่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษเป็นผู้ทำหน้าที่รับมือเรื่องเหล่านั้น ซึ่งหากเป็นเรื่องใหญ่ๆ ก็มีสภาผู้อาวุโสคอยจัดการ หน่วยงานนี้ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อตัดสินใจเรื่องยุทธวิธีดำเนินการต่างๆ


หากจะพูดให้สั้นลง ตำแหน่งหัวหน้าหอนานาอสูรก็เหมือนหุ่นเชิดตัวหนึ่งที่มีชีวิต หัวหน้าหอนานาอสูรทำหน้าที่รวบรวมทั้งสำนักให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อให้คนนอกยังคงหวาดกลัวและยำเกรง แน่นอนว่าคงโชคดีมากหากได้ชายผู้เก่งกาจมาเป็นหัวหน้าหอนานาอสูร แต่ถึงไม่เป็นอย่างนั้น หอนานาอสูรก็ยังทำงานได้อย่างราบรื่น


ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่มีทักษะการฝึกอสูรเหนือชั้นอย่างเจิ้งหยางจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด ถ้าเขาถ่ายทอดความรู้ของตัวเองให้คนอื่นๆได้ ประสิทธิภาพการต่อสู้โดยรวมของทั้งหอนานาอสูรจะต้อง ก้าวหน้าขึ้นอีกมาก


ส่วนจางเซวียน เมื่อเห็นความจริงใจในสีหน้าของหัวหน้าฉิง ก็รู้ทันทีว่าไม่ได้ถูกแกล้ง จะว่าไป การกลั่นแกล้งเขาก็ไม่ช่วยให้ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา


จางเซวียนไม่รีบร้อนให้คำตอบ เขาใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนอยู่ครู่หนึ่งก่อนในที่สุดจะตอบว่า “มีเรื่องเร่งด่วนบางอย่างที่ผมต้องรีบจัดการ ผมต้องมุ่งหน้าไปยังทะเลพลัดดาวให้เร็วที่สุด เกรงว่าจะไม่อาจอยู่ที่นี่ได้นานนัก อีกอย่าง ผมก็ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการบริหารจัดการภายในหอนานาอสูร…”


เขาเคยรับตำแหน่งผู้นำมาหลายตำแหน่งแล้ว อย่างอาจารย์ใหญ่ของสถาบันปรมาจารย์หงหย่วนและหัวหน้าตระกูลจาง แต่ก็แทบไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการบริหารงานเลย จะมีผู้คนมากมายคอยจัดการเรื่องเหล่านั้นแทนเขาเสมอ เวลาส่วนใหญ่ของจางเซวียนจึงทุ่มเทให้กับการฝึกฝนวรยุทธ พูดตามตรง จางเซวียนยังไม่แน่ใจว่าเขาจะรับมือกับปัญหาที่มาพร้อมกับการรับตำแหน่งหัวหน้าหอนานาอสูรได้หรือไม่


หัวหน้าฉิงตอบ “อันที่จริงผมเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องการบริหารหอนานาอสูรเหมือนกัน ตำแหน่งหัวหน้าหอนานาอสูรเป็นตำแหน่งเชิงสัญลักษณ์ การปรากฏตัวของคุณจะทำให้บรรดาศิษย์สายตรงเกิดความมั่นใจเมื่อยามมีอันตราย ทำให้พวกเขาต่อสู้ได้อย่างอาจหาญโดยปราศจากความหวาดกลัว ในเวลาเดียวกัน ผู้นำที่ทรงพลังจะทำให้พวกเรามีอำนาจต่อรองในการเจรจาต่างๆ ส่วนกิจธุระเบ็ดเตล็ดอื่นๆนั้นคุณไม่ต้องกังวลเลย เรามีเหล่าผู้อาวุโสคอยรับมืออยู่แล้ว”


จางเซวียนพยักหน้าช้าๆ


เมื่อเห็นว่าปฏิกิริยาตอบรับที่ได้เป็นไปในทางบวก หัวหน้าฉิงรุก “อีกอย่าง ถ้าคุณอยากเดินทางไปทะเลพลัดดาว คุณก็ควรจะมีสถานภาพของหัวหน้าหอนานาอสูรติดตัวไว้”


คำพูดนี้ทำให้จางเซวียนครุ่นคิด


“ทะเลพลัดดาวคือสถานที่ที่ตำหนักคว้าดาวตั้งอยู่ มันมีเกาะแก่งมากมายนับไม่ถ้วน ที่อาศัยอยู่บนเกาะเหล่านั้นคือประชากรท้องถิ่นของทวีปที่ถูกลืม พวกเขาเป็นคนกลุ่มพิเศษ มีแนวโน้มที่จะเป็นปฏิปักษ์กับคนนอก บางครั้งชาวเกาะเหล่านั้นก็ทำร้ายผู้มาเยือนจนตาย แม้กระทั่งนักรบอมตะขั้นสูงก็เคยตกเป็นเหยื่อ” หัวหน้าฉิงอธิบาย


“ถ้าคุณมีสถานภาพของหัวหน้าหอนานาอสูรล่ะก็ คำพูดของคุณจะมีน้ำหนักมากขึ้น อย่างน้อยที่สุดก็จะไม่มีใครกล้าแตะต้องคุณ คุณจะจัดการธุระต่างๆได้ง่ายกว่าเดิมมาก”


เป็นธรรมดาที่คงไม่มีใครโง่เง่าพอจะทำร้ายหัวหน้าหอนานาอสูร เพราะนั่นไม่ต่างอะไรกับการประกาศสงคราม


จางเซวียนพยักหน้ารับ


ระหว่างการเดินทางมาที่นี่ จางเซวียนได้สอบถามรายละเอียดบางอย่างเกี่ยวกับทะเลพลัดดาวจากผู้อาวุโสเลี่ยวแล้ว ซึ่งก็เหมือนกันเป๊ะกับสิ่งที่หัวหน้าฉิงพูดอยู่ในเวลานี้


ร่ำลือกันว่าประชากรท้องถิ่นบางส่วนฝึกฝนศิลปะของการสังหาร นิสัยและอารมณ์ของพวกเขาจึงออกจะไม่ดีนัก


หากจางเซวียนไปที่นั่นในฐานะคนธรรมดา ก็คงยากที่จะบรรลุเป้าหมายในการได้เข้าสู่หอสมุดของตำหนักคว้าดาวและค้นหาเงื่อนงำเกี่ยวกับหลัวลั่วชิง


“ถ้าคุณเป็นหัวหน้าหอนานาอสูร คุณจะมีอำนาจสั่งการเหล่าสายสืบของเราที่ซ่อนตัวอยู่กลางทะเลพลัดดาว การได้ข้อมูลข่าวสารต่างๆก็จะง่ายขึ้น” หัวหน้าฉิงเสนอข้อได้เปรียบอีกข้อหนึ่ง


“เอ่อ…” จางเซวียนตาโต “ถ้าอย่างนั้น ผมคิดว่าก็คงไม่เป็นไรหากผมจะรับตำแหน่ง!”


คงยากเย็นไม่น้อยหากเขาจะสืบเสาะหาข้อมูลต่างๆที่ต้องการด้วยตัวเอง แต่หากได้เป็นหัวหน้าหอนานาอสูร ก็จะได้เข้าสู่เครือข่ายข้อมูลข่าวสารอันกว้างใหญ่ของที่นี่ การรวบรวมข้อมูลต่างๆย่อมง่ายขึ้นมาก


ตอนที่ 2048 ไม่มีปัญหา

หอนานาอสูรคือผู้ถือครองธุรกิจการเดินทางขนส่งในทวีปที่ถูกลืม สมาชิกของที่นี่อาศัยอยู่กระจัดกระจายกันไปทั่วทั้งทวีป มีศิษย์สายตรงจำนวนมากมาย อย่างเช่นชายชราที่พาเขาไปส่งที่ภูเขาเมฆเหิน คนเหล่านี้กระจายตัวกันอยู่ทั่วทั้งทวีป


ด้วยเหตุนี้ จางเซวียนจึงพอนึกภาพออกว่าเครือข่ายข้อมูลข่าวสารของพวกเขาน่าจะพัฒนาและก้าวไกลกว่าของสำนักดาบเมฆเหินมาก


“นั่นคือข่าวดี ผมจะไปเตรียมการเดี๋ยวนี้แหละ พิธีสถาปนาจะมีขึ้นในอีก 1 เดือนนับจากนี้!” หัวหน้าฉิงพยักหน้า


“1 เดือนนับจากนี้?” จางเซวียนส่ายหัว “ผมรอนานขนาดนั้นไม่ได้หรอก แล้วก็ไม่จำเป็นต้องจัดพิธีสถาปนาด้วย ผมไม่สะดวกใจที่จะปรากฏตัวต่อหน้าใครๆ”


“คุณไม่สะดวกใจที่จะปรากฏตัวต่อหน้าใครๆ?” หัวหน้าฉิงขมวดคิ้ว


หอนานาอสูรเป็นองค์กรที่ปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมดั้งเดิม ไม่ใช่ปีศาจในเงามืดที่คอยจ้องทำลายทวีปที่ถูกลืมหรืออะไรทำนองนั้น พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องปกปิดเรื่องราวต่างๆเป็นความลับ!


“ตอนนี้ผมเป็นแค่นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ ถึงผมจะเอาชนะอสูรที่มีวรยุทธอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ได้โดยใช้ศาสตร์ลับของผม แต่ก็เกรงว่าระดับวรยุทธของผมจะยังคงอ่อนด้อย เรื่องนี้อาจทำให้ผมดึงดูดความสนใจของหอเทพเจ้าหากทำตัวโดดเด่นมากไป…”


จางเซวียนหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะเสริม “ผมได้ยินว่าอัจฉริยะผู้หนึ่งที่สามารถทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าที่สำนักดาบเมฆเหินได้สำเร็จเพิ่งเจอกับความพยายามลอบสังหารจากหอเทพเจ้า”


ระมัดระวังตัวไว้ก่อนย่อมดีกว่า โดยเฉพาะเมื่อในเวลานี้เขาไม่มีหน้าหนังสือสีทองอยู่กับตัว


ถ้าหอเทพเจ้าส่งกองกำลังนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์มาไล่ล่าเขา เขาก็จะตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงซ้ำอีก


“หอเทพเจ้า?” หัวหน้าฉิงหรี่ตา “ผมเคยได้ยินเรื่องนั้นจากหานเจี้ยนชิว…”


สายสืบของพวกเขาพบว่าหอเทพเจ้าเริ่มแสดงท่าทีเมื่อหลายปีที่ผ่านมา และข่าวที่เขาเพิ่งได้รับจากหานเจี้ยนชิวก็ยืนยันความกังวลใจข้อนี้ นี่คือเหตุผลที่ทำให้เขาระแวงว่าเจิ้งหยางอาจเป็นสายสืบจากหอเทพเจ้า


เขาดวลกับหานเจี้ยนชิวมาหลายปีแล้ว รู้บุคลิกและนิสัยของอีกฝ่ายดี เขารู้สึกว่ามันออกจะประหลาดที่หานเจี้ยนชิวก้าวลงจากตำแหน่งอย่างปุบปับและเสนอชื่อชายหนุ่มคนหนึ่งให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของเขา


หลังจากหัวหน้าฉิงปะติดปะต่อข้อมูลต่างๆที่ได้จากหานเจี้ยนชิวกับเรื่องที่หอเทพเจ้าพยายามลอบสังหารศิษย์สายตรงผู้ทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ ก็เข้าใจทันทีว่าหานเจี้ยนชิวสละตำแหน่งเจ้าสำนักให้ศิษย์สายตรงผู้นั้นเพื่อหวังจะปกป้องเขา


พูดกันตามตรง เขาไม่คิดว่าหอเทพเจ้าผู้สูงส่งจะลดตัวลงมาสร้างภัยคุกคามให้กับคนตัวเล็กๆ แต่แล้วอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องอย่างน่าทึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นในหอนานาอสูรเช่นกัน แล้วสถานการณ์แบบนั้นจะเกิดขึ้นกับพวกเขาหรือเปล่า?


หัวหน้าฉิงครุ่นคิดอย่างหนักก่อนในที่สุดจะให้คำตอบ “ผมคิดว่าความกังวลของคุณก็มีเหตุผล ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ผมจะเลื่อนพิธีสถาปนาออกไปก่อน แล้วทำการประกาศอย่างเป็นทางการว่าผมจะลงจากตำแหน่งหัวหน้าหอนานาอสูรและมอบตำแหน่งให้คุณ ผมจะแนะนำคุณในฐานะผู้อาวุโสขั้นสูงสุดผู้ถือสันโดษของหอนานาอสูร ผู้อุทิศเวลาทั้งหมดให้กับการฝึกฝนวรยุทธ ด้วยเหตุนี้ ระดับวรยุทธของคุณจะเพิ่มขึ้นเป็นอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ คุณจะมีความเก่งกาจเหนือชั้นกว่าผู้อาวุโสขั้นสูงสุดคนอื่นๆในหอนานาอสูรของเรา ซึ่งนั่นจะช่วยสร้างความชอบธรรมให้กับการที่คุณทำให้สี่อสูรอมตะยอมจำนนได้อย่างง่ายดาย”


“ขอบคุณสำหรับความใส่ใจของคุณ หัวหน้าฉิง” จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก


หากตัวเขาได้เป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ การที่เขาทำให้สี่อสูรอมตะยอมจำนนได้ก็จะดูสมเหตุสมผลกว่ามาก อย่างน้อยที่สุด เรื่องนี้ก็จะไม่น่าประหลาดใจจนเป็นที่เตะตาของหอเทพเจ้า


“ไม่มีปัญหา” หัวหน้าฉิงพยักหน้ารับ


เขาสะบัดข้อมือ นำตราสัญลักษณ์หัวหน้าหอนานาอสูรออกมาแล้วปล่อยให้มันลอยอยู่ตรงหน้า


“เหล่าสมาชิกของหอนานาอสูร…กรุณาฟังผม! ผมมาประกาศอย่างเป็นทางการว่าผมจะก้าวลงจากตำแหน่งหัวหน้าหอนานาอสูรแล้ว โดยผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งของผมคือผู้อาวุโสเจิ้งหยาง เขาเพิ่งทำให้สี่อสูรอมตะแห่งภูเขาเมฆเหินยอมจำนนได้สำเร็จ ความสามารถของเขาในฐานะนักฝึกอสูรเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน…”


…..


“พวกเราจะมีหัวหน้าคนใหม่เหมือนกันหรือ?”


“ทำไมผมถึงไม่เคยได้ยินชื่อผู้อาวุโสเจิ้งหยางคนนี้มาก่อน?”


“คุณน่ะไม่รู้เรื่อง ไม่ได้ฟังที่หัวหน้าฉิงพูดเลยหรือไง? เขาบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าผู้อาวุโสเจิ้งคือผู้ถือสันโดษ นอกจากเหล่าผู้อาวุโสแล้ว คุณรู้หรือเปล่าว่ามีศิษย์สายตรงที่ถือสันโดษกี่คน?”


“เอ่อ…คุณน่าจะพูดถูก”


…..


การประกาศอย่างปุบปับของหัวหน้าฉิงทำให้เหล่าศิษย์สายตรงและผู้อาวุโสพากันหยุดชะงักและตั้งใจฟัง


ไม่มีใครในหมู่พวกเขาที่ไม่อยากรู้จักผู้อาวุโสเจิ้งหยางผู้ลึกลับที่เพิ่งได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าคนใหม่ แต่ก็นั่นแหละ ในเมื่อสำนักดาบเมฆเหินเพิ่งเปลี่ยนตัวเจ้าสำนักไปหมาดๆ การประกาศครั้งนี้จึงไม่ได้สร้างความตื่นเต้นให้เหล่าศิษย์สายตรงมากนัก


ผู้ถือสันโดษคือนักรบที่ละทิ้งภาระทั้งหมดในสังคมและอุทิศตัวให้กับการขัดเกลาฝีมือของพวกเขา ในทุกสำนักมีผู้ถือสันโดษอยู่มากมาย และในเมื่อคนกลุ่มนี้มักใช้ชีวิตอยู่กับตัวเอง จึงไม่แปลกที่แทบไม่มีใครรู้จักพวกเขา


“หัวหน้าสละตำแหน่งของเขาง่ายๆแบบนี้หรือ?”


ผู้อาวุโสหยวนกับคนอื่นๆรู้อยู่แล้วว่ามีความเป็นไปได้ที่หัวหน้าฉิงจะสละตำแหน่งของเขาให้เจิ้งหยาง แต่นึกไม่ถึงว่าจะเกิดขึ้นรวดเร็วขนาดนี้!


เจิ้งหยางเพิ่งมาถึงหอนานาอสูรของพวกเขาได้เพียง 2 ชั่วโมง แต่ตำแหน่งที่ทรงอำนาจที่สุดก็ตกเป็นของอีกฝ่ายแล้ว…


ทำไมหอนานาอสูรถึงทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็กได้ขนาดนี้?


“ดูสิ นั่นใช่มังกรอสรพิษหรือเปล่า?”


“จะต้องเป็นตัวที่มาจากภูเขาเมฆเหินแน่ ดูนั่น, นกฟีนิกซ์ไฟเก้าหัวและเสือเขี้ยวดาบเจ็ดหางก็อยู่ด้วย…”


“พวกมันถูกทำให้ยอมจำนนแล้ว! หัวหน้าเจิ้งหยางเป็นนักฝึกอสูรที่น่าทึ่งจริงๆ!”


ทันใดนั้น ผู้อาวุโสหยวนกับคนอื่นๆก็ได้ยินเสียงอื้ออึงเซ็งแซ่อยู่ด้านนอก เมื่อเงยหน้ามอง ก็เห็นสี่อสูรอมตะที่พวกเขาเคยเผชิญหน้าเมื่อครั้งอยู่ที่ภูเขาเมฆเหินโผขึ้นสู่กลางอากาศ ราวกับจะประกาศความสำเร็จของเจิ้งหยาง


เป็นเรื่องยากที่เหล่าสมาชิกของหอนานาอสูรจะยอมรับผู้ที่ไม่มีใครรู้จักให้เป็นหัวหน้าคนใหม่ของพวกเขาได้ในทันที ทุกคนจึงยังคงมีความสงสัยแคลงใจอยู่ แต่เมื่อเห็นภาพนี้ ก็ดูเหมือนความระแวงแคลงใจทั้งหมดจะหายวับไป


“เหล่าศิษย์สายตรงของหอนานาอสูร…ผมคือเจิ้งหยาง หัวหน้าคนใหม่ ผมได้ทำการปรับเปลี่ยนเทคนิคการฝึกอสูรบางอย่างที่พวกคุณเคยร่ำเรียนมาก่อนหน้านี้ ขอเชิญพวกคุณมารวมตัวกันที่นี่ เพื่อรับเทคนิคการฝึกอสูรฉบับปรับปรุงใหม่ด้วย”


เสียงของหัวหน้าหอนานาอสูรคนใหม่ดังก้องไปทั่ว ความสุขุมและมั่นใจของเขาเป็นบุคลิกที่สร้างความสบายใจให้กับผู้พบเห็นได้มาก


“เทคนิคการฝึกอสูรของพวกเราฉบับปรับปรุงใหม่?”


“แต่เทคนิคการฝึกอสูรของหอนานาอสูรตกทอดกันมาหลายพันปีแล้วนะ ปรับเปลี่ยนกันได้ง่ายๆแบบนี้หรือ?”


“ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน…”


บรรดาศิษย์สายตรงยังคงงุนงงกับคำประกาศที่ได้ฟังอย่างกะทันหัน พวกเขาไม่แน่ใจนักว่าควรคาดหวังอะไรจากหัวหน้าคนใหม่


…..


มู่ชู่คือหนึ่งในศิษย์สายตรงฝ่ายในของหอนานาอสูร เขารั้งอันดับพันกว่าๆ


ในบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในนับหมื่น อันดับของเขาถือว่าไม่เลวนัก แต่ตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เข้าสู่หอนานาอสูร…


เขาอาจถูกถอดถอนสถานภาพศิษย์สายตรงฝ่ายใน!


ไม่ใช่เพราะเขาทำความผิดหรืออะไรทำนองนั้น แต่เป็นเพราะไม่อาจทำให้อสูรตัวหนึ่งที่มีวรยุทธระดับเดียวกับเขายอมจำนนได้ภายในเวลา 3 ปี!


ตามกฎของหอนานาอสูร ผู้ที่อายุต่ำกว่า 20 ปีและสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณแล้วจะได้เข้าเป็นศิษย์สายตรงฝ่ายใน แต่พวกเขาจะต้องทำให้อสูรที่มีวรยุทธระดับเดียวกันยอมจำนนให้ได้ภายใน 3 ปีเพื่อรักษาสถานภาพนั้นไว้


เมื่อกำหนดเวลานั้นมาถึง หากทำไม่สำเร็จ ก็จะถูกถอดถอนสถานภาพศิษย์สายตรงฝ่ายในทันที และในกรณีเลวร้ายที่สุด อาจถูกร้องขอให้ออกจากสำนักด้วย


3 ปีอาจดูเหมือนเป็นระยะเวลายาวนาน แต่สำหรับการฝึกอสูร มันไม่ได้นานเลย


เพราะการฝึกอสูรจะต้องเริ่มด้วยการเสาะหาอสูรที่เหมาะสม จับตัวมันมา และผูกสัมพันธ์กับมัน ซึ่งแต่ละขั้นตอนนั้น การพูดล้วนง่ายกว่าทำมาก


นับตั้งแต่วินาทีที่เขาได้รับการประกาศให้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายใน เขาก็เสาะแสวงหาเป้าหมายทันที เพิ่งเมื่อปีที่แล้วที่เขาพบเป้าหมายที่เหมาะสม…อสูรหินไฟ!


องค์ประกอบในร่างของอสูรหินไฟนั้นเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบกับเทคนิควรยุทธและเทคนิคการเคลื่อนไหวที่เขาฝึกฝนอยู่ ถ้าเขาได้ต่อสู้เคียงข้างมัน ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาจะเพิ่มขึ้นอีกมาก…ปัญหาเดียวก็คืออสูรหินไฟดื้อด้านเหลือเกิน มันไม่ยอมจำนนให้เขา ไม่ว่าเขาจะใช้วิธีไหนก็ตาม


เขาพยายามล่อมันด้วยทรัพย์สมบัติและข้าวของมากมาย แต่อสูรหินไฟก็ไม่แม้แต่จะชำเลืองมอง มันทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน


ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา เขาลองมาแล้วกว่า 20 วิธี แต่ไม่มีวิธีไหนได้ผล


และวันนี้ก็คือวันสุดท้ายของระยะเวลา 3 ปีที่เขามี


ถ้าวันนี้ยังทำไม่สำเร็จ สถานภาพศิษย์สายตรงฝ่ายในของเขาจะถูกถอดถอน เขาคงถูกบีบให้ต้องออกจากสำนักอย่างหมดหนทาง


“เราต้องทุ่มสุดตัว!” มู่ชู่กัดฟันอย่างเด็ดเดี่ยวขณะเดินเข้าไปในห้อง มีกรงขนาดมหึมาอยู่ในห้องนั้น ที่ถูกขังอยู่ภายในคืออสูรตัวหนึ่งที่มีผิวหนังเหมือนลาวา มันยืนเชิดหน้าอยู่กับที่อย่างภาคภูมิใจ ไม่ยอมเคลื่อนไหว ไม่ต่างอะไรกับรูปปั้น


“อสูรหินไฟ ผมมาแล้ว ผมรู้ว่ามันอาจไม่ได้ผล แต่ก็ยังหวังว่าสิ่งนี้จะทำให้คุณสนใจ…” มู่ชู่พูดพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ


เขานำขวดหยกออกมาใบหนึ่ง “นี่คือน้ำชำระเลือด มันจะช่วยบ่มเพาะทางเดินพลังปราณของคุณให้ยืดหยุ่นกว่าเดิม ทำให้ก้าวข้ามด่านคอขวดได้ง่ายขึ้นอีกมาก”


ทางเดินพลังปราณของอสูรหินไฟขึ้นชื่อว่าแข็งกระด้าง ทำให้การฝ่าด่านวรยุทธเมื่อโตเต็มวัยแล้วเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญ วิธีเดียวที่จะแก้ปัญหานี้ได้ก็คือการใช้น้ำชำระเลือดที่ช่วยบ่มเพาะทางเดินพลังปราณ


แน่นอนว่าน้ำชำระเลือดเย้ายวนใจอสูรหินไฟได้มาก เพียงแต่มันมีราคาแพงเหลือเกิน!


ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา มู่ชู่ต้องปฏิบัติภารกิจถึง 15 ครั้งเพื่อหาเงินให้ได้มากพอซื้อน้ำชำระเลือดขวดนี้ แต่ละภารกิจที่เขารับมาล้วนแต่หนักหนาสาหัส ถึงขนาดที่รอดชีวิตมาได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด ถ้าไม่ใช่เพราะดวงดี ป่านนี้คงตายไปแล้ว


ตอนที่ 2049 ต้องใช้ร่วมกับยานี้?

“คุณคิดว่าผมจะรู้สึกขอบคุณสำหรับของกำนัลชิ้นนี้หรือ? ขอแนะนำให้คุณหยุดฝันกลางวันเสียที ผมไม่มีทางยอมจำนนให้คุณหรอก ยอมตายเสียดีกว่าจะต้องรับใช้มนุษย์!” อสูรหินไฟคำราม


“ทำไมคุณถึงดื้อดึงนักนะ? รู้หรือเปล่าว่าชีวิตของคุณอยู่ในกำมือผม?” เห็นอสูรหินไฟยังคงยืนกราน มู่ชู่ถอนหายใจอย่างจนปัญญา


“ความตายน่ะมีอะไรต้องให้ต้องกลัว? ต่อให้คุณฆ่าผม ผมก็เป็นอสูรหินไฟที่หยิ่งผยองมาถึง 18 ปีแล้ว ถึงจะต้องกลายเป็นผุยผง ผมก็จะไม่มีวันก้มหัวให้มนุษย์…ฆ่าผมเลยถ้าคุณต้องการ!”


จากนั้น อสูรหินไฟก็เบือนหน้าหนีและเงียบกริบ


“คุณ…” มู่ชู่จ้องอสูรหินไฟที่อยู่ตรงหน้า ดาบในมือของเขาสั่นเทา แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าหวั่นไหวแม้แต่น้อย ราวกับจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่ใช่ปัญหา


เห็นอสูรหินไฟไม่คิดจะยอมจำนนให้ มู่ชู่ส่ายหัวอย่างจนปัญญา เขาโยนดาบทิ้งและหันหลังกลับเพื่อออกจากห้อง “ผมหมดความอดทนกับความดื้อด้านของคุณแล้ว พรุ่งนี้ผมจะออกจากหอนานาอสูร ก็เชิญคุณตามสบาย…”


แต่ในตอนนั้น เสียงหนึ่งก็ดังกึกก้องอยู่กลางอากาศ


“เหล่าสมาชิกของหอนานาอสูร กรุณาฟังผม ผมมาประกาศอย่างเป็นทางการว่าผมจะก้าวลงจากตำแหน่งหัวหน้า ซึ่งผู้สืบทอดตำแหน่งของผมคือผู้อาวุโสเจิ้งหยาง…”


“หัวหน้าฉิงสละตำแหน่งหรือ? แต่นั่นแหละ…ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรานี่ ถึงอย่างไรพรุ่งนี้เราก็จะออกจากหอนานาอสูรแล้ว…” มู่ชู่พึมพำอย่างหม่นหมอง


แต่ไม่นานหลังจากนั้น อีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “ผมได้ทำการปรับเปลี่ยนเทคนิคการฝึกอสูรที่พวกคุณได้ศึกษาก่อนหน้านี้ จึงอยากขอเชิญให้พวกคุณมารวมตัวกันที่ผู้อาวุโสหยิ่ง เพื่อรับการถ่ายทอดเทคนิคฉบับปรับปรุงใหม่ด้วย”


“ปรับเปลี่ยนเทคนิคการฝึกอสูร?” มู่ชู่ชะงักฝีเท้า “พรุ่งนี้เราก็จะไม่ได้เป็นศิษย์สายตรงของหอนานาอสูรแล้ว ก็ควรจะไปดูสักหน่อยตอนที่ยังพอทำได้…”


เขาไม่ได้คาดหวังอะไร แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากรับการถ่ายทอดเทคนิคการฝึกอสูรฉบับปรับปรุงใหม่


ครั้งแรกที่มู่ชู่ได้เห็นเทคนิคนั้น ก็ตาโตด้วยความประหลาดใจ อันที่จริงการปรับเปลี่ยนนั้นเรียบง่ายมาก ถึงขนาดที่แก่นสารของมันถูกรวบรัดไว้อย่างงดงามด้วยคำเพียงคำเดียว…


การใช้กำลัง


โดยทั่วไป นักฝึกอสูรจะใช้กำลังก็ต่อเมื่อใช้วิธีอื่นไม่ได้ผล พวกเขาจะพยายามซ้อมอสูรตัวนั้นจนร่อแร่ จากนั้นก็ยื่นข้อเสนอเป็นทรัพย์สมบัติล้ำค่าที่เหมาะสมกับมันเพื่อให้มันสนใจ


“วิธีการซ้อมอสูรแบบนั้นน่ะใช้ไม่ได้ผลหรอก…”


ไม่ช้ามู่ชู่ก็อ่านรายละเอียดจนจบ เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างจนปัญญา


ที่หอนานาอสูรมีวิธีการจัดการให้อสูรยอมจำนนด้วยการซ้อมเช่นกัน ซึ่งเขาก็ทดลองแล้ว แต่ไม่มีวิธีไหนได้ผล ไม่เพียงเท่านั้น ยังทำให้อสูรหินไฟโกรธเกรี้ยวจนแทบจะฆ่าตัวตาย


การใช้กำลังอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือไม่อาจแก้ปัญหาใดๆได้ทั้งนั้น


“เดี๋ยวก่อน เทคนิคการฝึกอสูรแบบใหม่ของหัวหน้าหอนานาอสูรจะต้องใช้ร่วมกับยานี้” ผู้อาวุโสหยิ่งที่ทำหน้าที่แจกจ่ายเทคนิคการฝึกอสูรยื่นขวดหยกใบหนึ่งให้


“ต้องใช้ร่วมกับยานี้?”


มู่ชู่เปิดจุกขวดหยกเพื่อดูสิ่งที่อยู่ภายใน แต่แล้วก็งงหนักกว่าเดิม


มันเป็นแค่ยาฟื้นฟูร่างกายทั่วๆไป แม้แต่จะใช้กับอสูรระดับเซียนขั้น 9 ก็แทบไม่ได้ผล นับประสาอะไรกับอสูรที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณ…อสูรระดับนักปราชญ์โบราณคงมองว่าเป็นการดูถูกเหยียดหยามพวกมัน!


“แค่ลองดูน่ะ” ผู้อาวุโสหยิ่งแนะนำ


มู่ชู่ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า ถึงอย่างไรพรุ่งนี้เขาก็จะถูกขับออกจากหอนานาอสูรแล้ว โอกาสไหนที่คว้าได้ก็ควรคว้าไว้ก่อน เขากัดฟันกรอดขณะตัดสินใจ ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย!


มู่ชู่กลับไปที่ห้องพร้อมขวดหยกในมือ และเริ่มสำแดงกรรมวิธีการฝึกอสูรแบบอัดให้น่วมที่เพิ่งร่ำเรียนมาจากหนังสือกับอสูรหินไฟ


หลังจากเกิดเสียงโครมครามหลายครั้ง อสูรหินไฟก็นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น มีบาดแผลโชกเลือดทั่วทั้งตัว ดูพร้อมจะตายได้ทุกขณะ


“คุณดูถูกผม ถ้าคุณปล่อยให้ผมยังมีชีวิตอยู่ล่ะก็ ผมสาบานเลยว่าจะกลับมาเอาคืนเป็นสิบเท่า!” อสูรหินไฟตวาดก้องด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม


นี่มันเกินไป!


“อีกสักดอกเถอะ!” มู่ชู่พึมพำขณะยัดยาเข้าปากอสูรหินไฟ


ในเมื่อเขามาไกลขนาดนี้แล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องใส่ใจอีก แค่สวดภาวนาว่ามันจะได้ผลก็พอ


“แก ไอ้สารเลว แกเอาอะไรให้ฉันกิน? ฉันจะฆ่าแก…” อสูรหินไฟสาปแช่งอย่างโกรธเกรี้ยว


แต่ขณะที่มู่ชู่คิดว่าทุกอย่างคงจบเห่แล้ว ร่างของอสูรหินไฟก็สั่นสะท้านอย่างหนัก ครู่ต่อมามันก็มองเขาด้วยสีหน้าประหลาด


“นายท่าน ผมคือไฟน้อยแสนรักของคุณ อย่าไปไหนนะ ผมจะเป็นอสูรที่แสนดี…”


“ฮะ?” มู่ชู่ผงะ


การเปลี่ยนแปลงแบบนี้…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?


แต่มู่ชู่ก็รีบทำสัญญาผูกมัดจิตวิญญาณ ไม่ช้าเขาก็ส่งโทรจิตหาอสูรหินไฟได้ ด้วยการสื่อสารผ่านทางโทรจิต เขาสามารถทำได้แม้แต่สังหารมันด้วยการใช้ความคิดแวบเดียว


ทั้งที่ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้ว แต่เขาก็ยังสงสัย เขาพยายามทำให้อสูรหินไฟยอมจำนนมาแสนนาน ซึ่งก็ไม่เคยสำเร็จ แต่ทันทีที่ทำตามคำแนะนำของหัวหน้าคนใหม่ ก็ทำได้ภายในเวลาเพียง 10 นาที…


อะไรคือแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังเทคนิคการฝึกอสูรแบบนี้?


แต่ไม่ว่าแนวคิดนั้นจะเป็นอะไร การที่มันใช้ได้ผลก็เกินพอที่จะบ่งบอกถึงความมีประสิทธิภาพของมันแล้ว


ดูเหมือนหัวหน้าคนใหม่จะเก่งกาจไม่เบา! มู่ชู่คิด เขาอดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงความขมขื่นใจที่เกาะกุมตัวเขามานาน


พลั่ก! มู่ชู่เข่าอ่อน


ยังไม่ทันจะรู้ตัว น้ำตาก็ไหลอาบแก้ม


เขาสาบานว่านับจากวันนี้ไปจะขอรับใช้หัวหน้าคนใหม่ด้วยหัวใจ จะไม่มีวันตั้งคำถามกับคำสั่งของอีกฝ่ายอย่างเด็ดขาด


ภาพนี้เกิดขึ้นทั่วทั้งหอนานาอสูร


มีสมาชิกจํานวนหนึ่งที่คิดว่าหัวหน้าคนใหม่เป็นแค่นักฝึกอสูรที่เก่งกาจอีกคน ซึ่งการสถาปนาเขาขึ้นมาก็ไม่ได้ทำให้เกิดความแตกต่างอะไรกับหอนานาอสูร แต่ความคิดนั้นก็หายไปโดยเร็ว


ด้วยปาฏิหาริย์ของกรรมวิธีการฝึกอสูรแบบอัดให้น่วม เหล่าสมาชิกของหอนานาอสูรเริ่มเข้าใจว่าทำไมหัวหน้าฉิงถึงเลือกสละตำแหน่งให้หัวหน้าเจิ้งอย่างกะทันหัน


ภายใต้การนำของผู้ที่มีความสามารถ หอนานาอสูรจะต้องแข็งแกร่งกว่าเดิมแน่!


เรายังคงเสียใจกับผลที่ออกมา แต่ตอนนี้รู้ตัวแล้วว่ายังห่างไกลนักหากจะเทียบชั้นกับเขา ถือเป็นพรจากสวรรค์แล้วที่หอนานาอสูรได้หัวหน้าเจิ้งมาเป็นหัวหน้า…ผู้อาวุโสหยวนคิดอย่างตื่นเต้น


ถ้าชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นจากที่ไหนสักแห่ง เขาก็มีโอกาสจะได้เป็นหัวหน้าหอนานาอสูรคนต่อไป ด้วยเหตุนี้ จึงอดรู้สึกเสียใจไม่ได้ที่อีกฝ่ายมาฉกฉวยในสิ่งที่ควรจะตกเป็นของเขา


แต่เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วทั้งหอนานาอสูร ความรู้สึกแบบนั้นก็หายไปหมด


รากฐานของหอนานาอสูรคือความเก่งกาจเหนือชั้นในทักษะการฝึกอสูร ดังนั้น วิธีที่มั่นคงและได้ผลที่สุดในการพัฒนาองค์กรให้เจริญก้าวหน้าก็คือเพิ่มพูนความเชี่ยวชาญในการฝึกอสูรให้มากขึ้นเรื่อยๆ นี่คือเหตุผลที่หัวหน้าหอนานาอสูรรุ่นแล้วรุ่นเล่าได้รับเลือกโดยพิจารณาจากความเชี่ยวชาญด้านการฝึกอสูรของพวกเขา


ผู้อาวุโสหยวนรู้ดีว่าเขาไม่มีทางทำแบบที่เจิ้งหยางทำได้ ถึงอย่างไร ก็โชคดีแล้วที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปแบบนี้


“ฮ่าฮ่าฮ่า มาดูกันว่าต่อไปหานเจี้ยนชิวจะกล้าคุยโวโอ้อวดต่อหน้าผมอีกไหม หอนานาอสูรของเรา ก็มีอัจฉริยะเหมือนกัน!” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนอุทานอย่างตื่นเต้น


เมื่อ 2-3 วันก่อนนี้เองที่หานเจี้ยนชิวประกาศว่าที่สำนักดาบเมฆเหินมีอัจฉริยะผู้หนึ่งที่สามารถทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ พูดกันตามตรง เขารู้สึกอิจฉาเมื่อได้ยินเรื่องนั้น แต่ตอนนี้ หอนานาอสูรก็ได้พบอัจฉริยะที่มีความสามารถทัดเทียมกันแล้ว…


หานเจี้ยนชิวจะคุยโวโอ้อวดไม่ได้เหมือนเดิมแล้ว!


“หลังจากที่หัวหน้าของเราปฏิบัติภารกิจต่างๆของเขาที่ทะเลพลัดดาวเสร็จเรียบร้อย ผมจะจัดการพบปะระหว่างตัวเขากับเจ้าสำนักดาบเมฆเหินคนใหม่ เจ้าสำนักดาบเมฆเหินผู้นั้นไร้เทียมทานถึงขนาดเอาชนะนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ได้ทั้งที่ตัวเขาเป็นแค่นักรบอมตะตัวจริง แต่ผมไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะรับมือกับการตีวงล้อมของสี่อสูรอมตะพร้อมๆกันได้อย่างหัวหน้าเจิ้ง!” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนหัวเราะลั่น


นับตั้งแต่วันนั้น หานเจี้ยนชิวก็คุยโม้เรื่องอัจฉริยะในสำนักของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่ต่างอะไรกับปู่ที่เห่อหลานชาย


แต่ไม่ว่าอัจฉริยะคนนั้นจะทรงพลังแค่ไหน ก็ไม่มีทางรับมือกับการผนึกกำลังโจมตีของมังกรอสรพิษกับพรรคพวกได้อย่างแน่นอน


แถมตัวหัวหน้าเจิ้งหยางเองก็เป็นนักรบผู้ทรงพลังด้วย เขาแข็งแกร่งถึงขนาดรับมือกับอสูรอมตะขั้นสูงได้ทั้งที่ตัวเองเป็นแค่นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์


พูดกันตามตรง เขาเคยสงสัยว่าเจิ้งหยางกับจางเซวียนอาจเป็นคนเดียวกัน แต่ด้วยอายุที่แตกต่าง รวมถึงชื่อแซ่และรูปร่างหน้าตา ก็แน่ใจได้เลยว่าทั้งคู่เป็นคนละคน


ทวีปที่ถูกลืมนั้นกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต จึงไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่อที่จะได้พบอัจฉริยะผู้มีความปราดเปรื่องอย่างน่าทึ่งถึง 2 คนในเวลาไล่เลี่ยกัน


คอยดูเถอะ หานเจี้ยนชิว! มาดูกันว่าจางเซวียนของคุณจะเก่งกาจกว่า หรือเจิ้งหยางของเราจะแข็งแกร่งกว่า!


…..


ในวันที่ 2 หลังจากมาถึงหอนานาอสูร จางเซวียนก็เข้าพบผู้อาวุโสฉิงหย่วนด้วยสีหน้าที่ออกจะเหนื่อยอ่อน


เขาใช้เวลาทั้งวันก่อนหน้านี้ประมวลความเข้าใจเรื่องการฝึกอสูรของเขาเป็นหนังสือมากมายที่ถูกแจกจ่ายไปทั่ว ในเวลาเดียวกัน ก็ได้เข้าสู่หอสมุดของผู้อาวุโสด้วย


เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ ที่นี่มีหนังสือเทคนิควรยุทธระดับอมตะขั้นสูงในจำนวนไม่มากพอที่จะประมวลเป็นเคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับสมบูรณ์ แต่ก็ช่วยให้เขามีความเข้าใจในวรยุทธระดับอมตะขั้นสูงที่ล้ำลึกขึ้นอีกมาก


“หัวหน้าเจิ้ง คุณคิดจะออกเดินทางตอนนี้หรือ?” ผู้อาวุโสฉิงเอ่ยปากถาม


“ใช่ ผมมีเรื่องด่วนต้องจัดการ เกรงว่าจะรอช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว” จางเซวียนตอบพร้อมกับพยักหน้า


“ผมเข้าใจ ถ้าอย่างนั้นให้ผมเดินทางไปกับคุณนะ” ผู้อาวุโสฉิงพูด


“ไม่ต้องหรอก มีมังกรอสรพิษกับพรรคพวกไปด้วย ผมก็เชื่อว่าคงไม่มีใครกล้าโจมตีผม” จางเซวียนตบกระสอบอสูรที่ห้อยอยู่ที่เอวพร้อมกับยิ้มออกมา


หลังจากได้เป็นหัวหน้าหอนานาอสูร เขาก็ได้รับกระสอบอสูรที่มีเอกลักษณ์เฉพาะเป็นของตัวเอง กระสอบอสูรของเขามีขนาดใหญ่กว่าธรรมดา ทำให้เก็บทั้งสี่อสูรอมตะได้โดยไม่แออัดยัดเยียด


ผู้อาวุโสฉิงใคร่ครวญคำพูดของจางเซวียนครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า


อีกฝ่ายพูดถูก มีสี่อสูรอมตะคอยปกป้อง คงไม่มีใครกล้าทำร้ายเขาแน่


อีกอย่าง ตัวตนของเจิ้งหยางยังถูกเก็บเป็นความลับ และผู้อาวุโสคนอื่นๆที่รู้เรื่องนี้ก็ถูกกำชับไม่ให้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ต่อให้เขาออกเดินทางตอนนี้ คนอื่นๆก็คงคิดว่าเขาเป็นแค่นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ธรรมดาคนหนึ่ง ไม่น่าจะมีใครสงสัยว่าชายวัยกลางคนผู้นี้คือหัวหน้าคนใหม่ของหอนานาอสูร

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)