ยอดหญิงสกุลเสิ่น 204.2-205

ตอนที่ 204-2 เช้าตรู่วันหนึ่ง

 

นี่เป็นเช้าตรู่ที่มีความสุขและทำให้คนรู้สึกเปี่ยมล้นไปด้วยความหวังจริงๆ ชาวบ้านยากจนนับไม่ถ้วนในเมืองทงโจวต่างก็เปิดประตูหรือว่าในลานบ้าน หรือว่าข้างประตูบ้าน เก็บก้อนทองหรือว่าก้อนเงินขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ คนที่มีความรู้ก็เข้าใจว่านี่คือขโมยผู้ชอบธรรมในเมือง ประชาชนที่เยอะยิ่งกว่าก็คิดว่าเป็นสวรรค์ พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์กวนอิมที่คอยปกปักรักษา พากันคุกเข่าโขกศีรษะในลานบ้าน น้อมคำนับขอบคุณพระกรุณาของสวรรค์ พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์กวนอิม 


 


 


ยังคงเป็นเช้าตรู่เช่นเดียวกัน สวีโย่วนั่งอยู่บนรถเข็นโดยมีเจียงเฮยเจียงไป๋ยกขึ้นเขาชิงลั่ว ศาสนิกชนที่บังเอิญพบระหว่างทางก็พากันส่งสายตาสงสารมายังคุณชายวัยหนุ่มผู้นี้ มีผู้อาวุโสอายุมากยังปลอบด้วยความหวังดี “พ่อหนุ่มเอ๋ย อย่าได้ท้อใจไป พระที่วัดจยาหลานของพวกเราศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก เจ้าจุดธูปบูชาให้เยอะหน่อย พระองค์ก็จะรักษาอาการป่วยของเจ้าให้หายดี” เกิดในตระกูลร่ำรวยแล้วอย่างไร ไม่มีร่างกายที่แข็งแรงก็สู้พวกเขาไม่ได้ เด็กหนุ่มคนนี้มองดูก็รู้ว่าอ่อนแอมีโรครุมเร้า เกิดมาดีเช่นนี้ น่าเสียดายยิ่งนัก 


 


 


สวีโย่วมาถึงหน้าวัดจยาหลานท่ามกลางสายตาสงสารตลอดทางเช่นนี้ เงยหน้าขึ้นมอง วัดจยาหลานทั้งหลังก็อาบอยู่ในแสงแรกอรุณ เงียบสงบและขลัง หากไม่ใช่ว่าได้แหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ สวีโย่วเองก็ไม่เชื่อว่าพื้นที่ห่างไกลแห่งนี้จะกลายเป็นที่ซ่อนมลทิน 


 


 


“คุณชาย ท่านวางใจ รอไหว้พระเสร็จแล้วอาการป่วยของท่านก็จะดีขึ้นเอง” เจียงไป๋กล่าว พยุงสวีโย่วขึ้นมากับเจียงเฮย ช่วยกันประคองเขาเดินไปยังวิหารใหญ่ คนอื่นๆ ที่ตามมาย่อมรออยู่นอกวิหาร 


 


 


สวีโย่วสีหน้าขาวซีด เดินได้ไม่กี่ก้าวก็เหนื่อยหอบ หน้าผากก็มีเม็ดเหงื่อแน่นขนัดผุดออกมา เจียงเฮยกับเจียงไป๋ไร้หนทาง ทำได้เพียงหยุดพัก หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อให้เขา 


 


 


ระยะทางสั้นๆ สวีโย่วหยุดไปสามรอบ ท่าทางอ่อนแอเช่นนี้ไม่เพียงแต่ศาสนิกชนที่ทนมองไม่ได้ แม้แต่หลวงจีนในวัดก็ยังมีสีหน้าสงสาร 


 


 


สวีโย่วถูกเจียงเฮยเจียงไป๋พยุงคุกเข่าอยู่บนเบาะทรงกลมกราบไหว้สามครั้ง เจียงเฮยจุดธูปแทนเขา ทั้งยังถวายเงินทำบุณเพิ่มอีกห้าร้อยตำลึง เจียงไป๋อธิษฐานเสียงเบา “ข้าแต่พระพุทธเจ้า ขอให้ท่านจงรักษาอาการป่วยคุณชายของข้าให้หายโดยเร็ว คุณชายผู้น่าสงสารของข้ามีความรู้ความสามารถ ท่านต้องรักษาให้เขาดีขึ้นโดยเร็ว หากสมปรารถนา คุณชายของข้าจะหล่อพระพุทธรูปถวายแด่พระพุทธองค์” 


 


 


บอกว่าเสียงเบา แต่อันที่จริงแล้วหลวงจีนในวิหารใหญ่แห่งนี้กลับได้ยินทั้งหมด พวกเขามองคุณชายปวดออดแอดนั่งหลับตาสนิทอยู่บนเบาะปราดหนึ่ง สายตาปรากฏความสงสารหลายส่วน เกิดมาดีเช่นนี้ ทั้งยังฉลาด แต่กลับไม่มีสุขภาพที่แข็งแกร่ง โชคชะตาเล่นตลกจริงๆ 


 


 


หลวงจีนวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆ พวกเขาก็กล่าวอมิตาพุทธคราหนึ่ง “โยมผู้นี้ อาตมาเห็นโยมสีหน้าไม่ดี เกรงว่าจะป่วยอยู่ใช่หรือไม่ อาจารย์อาเต้ากวงในวัดอาตมาชำนาญการแพทย์ หากโยมไม่ถือสาจะไปให้อาจารย์อาเต้ากวงดูหน่อยก็ย่อมได้” 


 


 


“จริงหรือ เช่นนั้นก็ดียิ่งนัก พระอาจารย์โปรดชี้แนะ” เจียงไป๋ตื่นเต้นดีใจทั้งใบหน้า หันหน้ามองเจ้านายของตนที่นิ่งเฉย อ้อนวอนอย่างอดไม่ได้ “คุณชาย พวกเราไปให้พระอาจารย์เต้ากวงดูสักหน่อยเถอะ ท่านเองก็ได้ยินแล้ว พระอาจารย์เต้ากวงชำนาญการแพทย์ ไม่แน่ว่าอาจจะรักษาอาการป่วยของท่านได้” 


 


 


สวีโย่วเพิ่งจะลืมตาขึ้นช้าๆ ทั้งใบหน้าสงบนิ่ง “เสี่ยวไป๋ อย่าเปลืองความคิดเลย โรคนี้ของข้าเป็นมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์แล้ว หมอเทวดาหมอหลวงตั้งเท่าไรล้วนรักษาไม่หาย ข้าตายใจไปนานแล้ว สามารถอาบแสงศักดิ์สิทธิ์จากพระพุทธองค์ได้ในวันสุดท้าย หาสถานที่สงบจิตใจ ข้าก็อิ่มใจอย่างยิ่งแล้ว เพียงแค่ลำบากพวกเจ้าที่ติดตามข้ามาตั้งแต่เด็กเหล่านี้” ท่าทางเข้าใจชีวิตความเป็นตายอย่างถ่องแท้  


 


 


เจียงไป๋อ้อนวอนต่อ “คุณชายท่านจะคิดเช่นนี้ไม่ได้ ท่านยังหนุ่มเพียงนี้จักต้องรักษาได้แน่ ท่านให้พระอาจารย์เต้ากวงดูสักหน่อยเถอะ ท่านลำบากตรากตรำเรียนหนังสือมาหลายปีเพียงนั้น ยังไม่ได้แสดงความมุ่งมาดปรารถนาเลย ท่านยอมหรือ ท่านไม่เห็นแก่สิ่งนี้ แต่ก็ต้องคิดแทนฮูหยินด้วยสิขอรับ ฮูหยินมีท่านเป็นลูกชายเพียงคนเดียว หากท่านเป็นอะไรไป ท่านจะให้ฮูหยินไปพึ่งพาใคร คุณชายรองคุณชายสามในจวนไม่อาจทำดีต่อฮูหยินแน่นอน ท่านทนเห็นภาพฮูหยินระทมทุกข์ได้หรือ คุณชาย ผู้น้อยขอร้องท่านล่ะ ท่านอย่าเพิ่งท้อใจ พวกเราออกมาก็เพื่อค้นหาหมอชื่อดังมิใช่หรือ ไม่แน่ว่าพระอาจารย์เต้ากวงอาจจะรักษาท่านหายก็ได้ ใช่หรือไม่พระอาจารย์ใหญ่” เจียงเฮยมองขอความช่วยเหลือจากหลวงจีนวัยกลางคนด้วยดวงตาที่แดงก่ำ 


 


 


หลวงจีนวัยกลางคนผู้นั้นประกบมือแล้วสวดอมิตาพุทธหนึ่งครา “โยมน้องผู้นี้พูดมีเหตุผล สัตว์เล็กๆ ยังโหยหาชีวิต นับประสาอะไรกับมนุษย์เล่า ในเมื่อโยมมีความปรารถนา อีกทั้งในใจยังมีห่วง เช่นนั้นก็ตั้งสติมารักษาโรคดีกว่า อาจารย์อาเต้ากวงศึกษาการแพทย์มาหลายปี ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นคนที่มีวาสนากับโยม” 


 


 


“ใช่ๆๆ คุณชาย วันนี้ตอนที่ออกมานกกางเขนร้องจิ้บๆ ไม่หยุด นี่เป็นลางดี ไม่แน่ว่าพระอาจารย์เต้ากวงอาจจะรักษาอาการป่วยของท่านได้” เจียงไป๋กล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้น 


 


 


สวีโย่วราวกับถูกกระตุ้น มือทั้งคู่ประกบพยักหน้าน้อยๆ ให้หลวงจีนวัยกลางคนผู้นั้น “เช่นนั้นก็รบกวนพระอาจารย์แล้ว” 


 


 


“พระพุทธองค์เมตตา โยมไม่ต้องเกรงใจ” หลวงจีนวัยกลางคนคำนับกลับ “เชิญโยมทางนี้” 


 


 


สวีโย่วถูกเจียงไป๋เจียงเฮยพยุงกลับไปนั่งลงบนรถเข็น ตามหลังหลวงจีนวัยกลางคนไปหาพระอาจารย์เต้ากวงอะไรนั่นเพื่อดูอาการป่วย 


 


 


ในกุฏิหลังหนึ่ง หลวงจีนสององค์กำลังวางหมาก คนหนึ่งก็คือหลวงจีนเต้ากวงที่หลวงจีนวัยกลางคนในวิหารใหญ่เอ่ยถึงผู้นั้น ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือหลวงจีนเต้าเสวียน 


 


 


หลวงจีนเต้ากวงวางหมากลง มองศิษย์พี่ฝั่งตรงข้ามปราดหนึ่งแล้วกล่าว “เพียงแค่คนขี้โรคคนหนึ่ง ศิษย์พี่หวาดผวาเกินไปหรือไม่” 


 


 


หลวงจีนเต้าเสวียนฝั่งรงข้ามก็วางหมากลง กล่าว “ดูท่าทีก่อนดีกว่า” หยุดครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวต่อ “ศิษย์พี่เจ้าอาวาสบอกแล้วว่า ราชสำนักคล้ายมีความเคลื่อนไหวผิดปกติ ซ้ำที่นี่ก็ยังเป็นวัด คนไปคนมา ใครจะรู้ว่าจะมีสายลับแฝงตัวเข้ามาหรือไม่ พวกเราต้องระมัดระวัง ทำนายท่านเสียเรื่องขึ้นมาจะแย่เอา” 


 


 


หลวงจีนเต้ากวงไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง “สถานการณ์ในวัดหลายวันมานี้ก็เป็นปกติดีไม่ใช่หรือ เพียงแค่วันนี้คุณชายขี้โรคมา เจ้าไม่ได้ยินข่าวที่หมิงเจวี๋ยส่งกลับมาหรือ แม้แต่จะเดินยังต้องให้คนพยุง จะเป็นสายลับของราชสำนักได้อย่างไร ศิษย์พี่น่ะ เจ้าอย่ากดดันตัวเองนักเลย” 


 


 


เต้าเสวียนยังคงยืนกราน “ข้ามักจะรู้สึกไม่วางใจอย่างยิ่ง ดูให้ดีๆ หน่อยแล้วกัน ศิษย์น้อง พวกเขามาแล้ว ข้าไปหลบก่อน” เขายืนขึ้นเข้าไปในห้องลับ 


 


 


หลวงจีนวัยกลางคนเข้ามาในกุฏิก่อน ชั่วขณะก็เดินออกมาอีกครั้ง “โยม อาจารย์อาเต้ากวงเชิญเข้าไป” 


 


 


รถเข็นย่อมเข็นเข้ามาไม่ได้ เจียงเฮยเจียงไป๋ก็พยุงสวีโย่วเดินเข้ามาในกุฎิ “พระอาจารย์เต้าหวง ผู้น้อยรบกวนแล้ว” 


 


 


“โยมเชิญนั่ง” หลวงจีนเต้ากวงสวดอมิตาพุทธหนึ่งครา จากนั้นจึงยื่นมือออกมาวางไว้บนข้อมือของสวีโย่ว เขาหลับตาลง คล้ายตั้งใจวินิจฉัยโรค 


 


 


นานอย่างยิ่งจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เห็นคนทั้งสามตรงหน้ามองเขาอย่างเฝ้ารอคอย จากนั้นจึงถอนหายใจส่ายหน้า กล่าวด้วยความเสียใจอย่างถึงที่สุด “โรคนี้ของโยมมีมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ต่อมาก็ไม่ทันได้รักษา อีกทั้งยังเหมือนกินของสำแดงเข้าไป หากเร็วกว่านี้สักสามถึงห้าปี อาตมาก็ยังมั่นใจห้าส่วนสิบ แต่ตอนนี้กลับเหลือเพียงสามส่วนสิบแล้ว” 


 


 


เดิมคิดว่าคนทั้งสามตรงหน้าจะผิดหวังอย่างถึงที่สุด กลับเห็นบ่าวรับใช้ผู้นั้นด้านขวากล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้น “คุณชายท่านได้ยินหรือไม่ พระอาจารย์บอกว่ามั่นใจสามส่วนสิบ เยอะกว่าหมอหลวงจำนวนมากที่นายท่านผูกสัมพันธ์ทุ่มเทกายใจกว่าจะเชิญมาได้ตั้งสองส่วน คุณชาย ผู้น้อยบอกแล้วว่าท่านจะดีขึ้นได้ ท่านจะต้องหาย พวกเราจะไม่ไปไหน พวกเราจะอยู่ที่วัดจยาหลาน มีพระอาจารย์เต้ากวงออกมือ ท่านจะต้องดีขึ้นอย่างรวดเร็วแน่นอน” 


 


 


จากนั้นก็โผเข้าไปคุกเข่าให้หลวงจีนเต้ากวง “พระอาจารย์ ขอร้องท่านล่ะ ท่านต้องช่วยคุณชายของพวกเรานะขอรับ คุณชายของพวกเราเป็นคนดี มีคุณธรรมมีสติปัญญา จิตใจก็ดี ไม่เคยดุด่าบ่าวเช่นพวกข้าเลย ผู้น้อยขอให้ท่านช่วยคุณชายของพวกเราด้วยเถิด” ปังๆๆ โขกศีรษะขึ้นมา 


 


 


หลวงจีนเต้ากวงรีบห้าม “พอแล้วๆๆ ได้พบกันถือเป็นวาสนา ในเมื่อโยมมากราบไหว้ต่อพระพุทธองค์ อาตมาจะยืนมองดูเฉยๆ ได้อย่างไร เพียงแต่อาการป่วยของโยมอาจจะไม่ได้ดีขึ้นได้ภายในเวลาสั้นๆ โยมต้องเตรียมใจไว้ด้วย” 


 


 


“ไม่กลัว ไม่กลัว ขอเพียงแค่รักษาอาการของคุณชายได้ ต่อให้ต้องอยู่ในวัดแห่งนี้สามปีห้าปีพวกข้าก็ยินดี” บ่าวรับใช้ผู้นั้นทางซ้ายก็เอ่ยปากด้วยสีหน้าตื่นเต้นเช่นกัน 


 


 


หลวงจีนเต้ากวงมองสวีโย่ว สวีโย่วพยักหน้า “เช่นนั้นอาการป่วยของผู้น้อยก็รบกวนพระอาจารย์แล้ว” 


 


 


หลวงจีนเต้ากวงก็ลูบหนวดกล่าว “โยมไม่ต้องเกรงใจ นี่เองก็เป็นเพราะอาตมากับโยมมีวาสนาต่อกัน” 


 


 


สวีโย่วและคนอื่นๆ ตามหลวงจีนวัยกลางคนที่พาพวกเขามาออกไปจัดแจงที่พักในวัด เมื่อพวกเขาไปแล้วหลวงจีนเต้าเสวียนก็เดินออกมาจากห้องลับ “เป็นอย่างไร” เขากล่าวถาม 


 


 


หลวงจีนเต้ากวงกล่าว “คนผู้นี้ไม่มีปัญหา ข้าบอกแล้วว่าศิษย์พี่คิดมากเกินไป” 


 


 


“หรือว่าป่วยจริงๆ หรือ” หลวงจีนเต้าเสวียนยังคงไม่เชื่อนัก ในใจเขามักจะมีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง 


 


 


“ไหนเลยจะป่วย ชัดเจนว่าเป็นพิษ พิษที่มีมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์” หลวงจีนเต้ากวงมีความรู้ด้านการแพทย์อยู่หลายส่วนจริงๆ “มีพิษแต่กำเนิด ต่อมาก็ถูกวางพิษอีก ต่อให้ข้าออกมือ ก็เป็นเพียงแค่การต่อชีวิตไปอีกสิบปีแปดปีเท่านั้น คิดอยากจะแก่ตาย ยากนัก” เขาส่ายหน้า บนใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียดาย คุณชายที่สง่างามล้ำเลิศเช่นนี้กลับมีชะตาชีวิตสั้น ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องรู้สึกเสียดาย 


 


 


“พิษหรือ” หลวงจีนเต้าเสวียนตกใจ บนใบหน้ามีสีหน้างุนงง 


 


 


หลวงจีนเต้ากวงเห็นท่าที ก็หัวเราะจุปากกล่าว “ศิษย์พี่คงจะไม่ได้เป็นหลวงจีนนานจนลืมเรื่องโสมมเหล่านั้นอย่างการตบตีของภรรยาเอกอนุภรรยาในสังคมไปแล้วหรอกกระมัง” สามารถถูกวางยาพิษตั้งแต่อยู่ในครรภ์ได้ ย่อมต้องมาจากคนผู้นั้นที่ตั้งท้องเขา เรือนหลัง ก็คือสถานที่ที่ฆ่าคนไม่เห็นเลือดอย่างไรเล่า เพียงแต่เสียดายเด็กหนุ่มที่รูปร่างหน้าตาโดดเด่นเช่นนี้ 


 


 


หลวงจีนเต้าเสวียนคิดอย่างละเอียด จากนั้นก็เข้าใจแล้ว 


 


 


ระหว่างทางกลับเจียงไป๋พูดไม่หยุดปาก “คุณชายในที่สุดครั้งนี้พวกเราก็มาถูกที่หาถูกคนแล้ว ตอนนี้ดีแล้ว รอท่านหายป่วย พวกเรากลับไปฮูหยินจะต้องดีใจแน่นอน สิบกว่าปีมานี้นางสวดมนต์ขอพรทุกวัน ไม่ง่ายเลย เฮ้อ ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น พระพุทธองค์จะต้องเห็นแก่ฮูหยินของพวกเราเป็นแน่…” สาธยายไม่หยุดตลอดทางเต็มๆ สวีโย่วไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแท้จริงแล้วเจียงไป๋พูดเก่งเพียงนี้ 


 


 


หลวงจีนวัยกลางคนนำกลุ่มของสวีโย่วไปยังเรือนหลังเล็กที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง เจียงไป๋เจียงเฮยขอบคุณอย่างซึ้งอกซึ้งใจพลางส่งคนออกไป เมื่อเข้าห้องแล้ว เจียงเฮยเจียงไป๋ก็มองไปรอบด้านด้วยความระมัดระวังปราดหนึ่ง ไม่พบอะไรผิดปกติจึงวางใจลง “คุณชาย วัดจยาหลานแห่งนี้ดูเหมือนผิดปกติมากจริงๆ” เจียงเฮยกล่าวเสียงเบา 


 


 


“ผิดปกติตรงไหน เหตุใดข้าถึงมองไม่ออกเล่า” เจียงไป๋เองก็ลดเสียงต่ำ 


 


 


เจียงเฮยกล่าวในใจ ก็เจ้าเอาแต่เล่นละครสมจริง ไหนเลยจะยังสังเกตสิ่งอื่นได้ 


 


 


“หลวงจีนในวัดแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเณรที่กวาดพื้น หรือว่าพระอาจารย์หมิงเจวี๋ยผู้นั้นที่นำทางเรา กระทั่งพระอาจารย์เต้ากวงที่ดูอาการให้คุณชาย พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์” เจียงเฮยพูดสิ่งที่เขาสังเกตเห็นออกมา 


 


 


สวีโย่วพยักหน้าเบาๆ เขาเองก็สังเกตเห็นจุดนี้ เป็นเพียงวัด แต่ทุกคนกลับเป็นยุทธ์ จะไม่ทำให้คนคิดมากได้อย่างไร พระนักรบ รัชสมัยก่อนก็มีตัวอย่างให้เห็นแล้ว 


 


 


“สงบจิตใจอยู่ไปก่อน คอยหาโอกาสไปดูที่เขาด้านหลัง” สวีโย่วกล่าว เขาคล้ายได้ยินว่ามีคนเอ่ยถึงเขาด้านหลังรางๆ 


 


 


“คุณชายจะบอกว่าเขาด้านหลังซ่อนคนไว้หรือขอรับ” เจียงเฮยเจียงไป๋กล่าวขึ้นพร้อมกัน 


 


 


สวีโย่วพยักหน้า “ถูกต้อง” หลวงจีนวัดจยาหลานจะมีกี่คนกัน อย่างมากก็แค่ไม่กี่ร้อย จากข่าวที่ฝ่าบาทพระราชทานมา คนกลุ่มนี้มีหลายพันคน นอกจากเขาด้านหลังแล้วจะยังซ่อนไว้ที่ไหนได้อีก 


 


 


สวีโย่วหรี่ตาลง เขากำลังคิดว่าจะปราบคนหลายพันคนที่ซ่อนอยู่ด้านหลังเขาได้อย่างไร กองทัพใหญ่ขึ้นเขาจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นได้ ถึงตอนนั้นพวกเขาทะลุเข้าไปในเขา ทั้งยังชำนาญพื้นที่ จะไปหาเจอจากที่ไหน 


 


 


หากว่าน้องสี่แซ่เสิ่นอยู่ก็คงดี เด็กคนนั้นมีแผนร้ายเยอะอย่างยิ่ง ไม่แน่ว่าอาจจะออกความคิดดีๆ ให้เขาได้จริงๆ 


 


 


มองนายท่านที่จมอยู่ในความคิดอย่างชัดเจน เจียงเฮยเจียงไป๋สองพี่น้องก็สบตากันปราดหนึ่ง ไอเบาๆ หนึ่งครา ถามอย่างเป็นห่วง “นายท่าน ร่างกายของท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่” สุขภาพขอคุณชายไม่ดี แต่ถูกหมอเทวดาหลี่รักษาจนเกือบหายดีแล้ว ตอนนี้ที่มีท่าทางป่วยหนักจนเกิดเยียวยาเช่นนี้อันที่จริงเป็นเพราะกินยาลับเข้าไป พวกเขากังวลอย่างยิ่งว่ายาลับจะทำลายสุขภาพของคุณชาย 


 


 


สวีโย่วส่ายหน้า จะเป็นอะไรได้อย่างไร เขาเองก็ใกล้จะเป็นคนที่มีครอบครัวแล้ว จะล้อเล่นกับร่างกายตนเองได้อย่างไร  

 

 


ตอนที่ 205 ญาติพี่น้องพบหน้า

 

เสิ่นเวยผู้เต็มไปด้วยแผนร้ายที่ถูกสวีโย่วนึกถึง ผ่านมาหนึ่งเดือนในที่สุดก็พาเสิ่นหย่าสองแม่ลูกกลับเมืองหลวงแล้ว ตอนที่ไปยังไม่ถึงเดือนสาม ตอนที่กลับมาต้นไม้ใหญ่สองข้างทางก็มีใบไม้อ่อนผลิบานแล้ว


 


 


อาจจะเป็นเพราะจากบ้านไปนาน ตั้งแต่เข้าประตูเมืองเสิ่นหย่าก็เริ่มตื่นตระหนก กำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น เมื่อไปถึงหน้าประตูจวนจงอู่โหว นางก็ยิ่งกระวนกระวาย เหอหลินหลินเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน นั่งติดแม่นาง ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่รู้อนาคต


 


 


เสิ่นเวยพยุงนางลงรถ สังเกตเห็นว่ามือของนางสั่นระริก “ท่านอา พวกเราถึงบ้านแล้ว”


 


 


“ถึงบ้านแล้ว” เสิ่นหย่าอ้ำอึ้ง ปล่อยให้เสิ่นเวยพยุงนางลงรถ แสงแดดข้างนอกกำลังดี นางเงยหน้ามองอักษรใหญ่ที่เปล่งประกายสีทองอยู่บนซุ้มประตูสูงใหญ่ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ถึงบ้านแล้ว นี่คือบ้านของนาง บ้านที่นางจากไปเกือบยี่สิบปี ดวงตาของเสิ่นหย่ามีประกายหยดน้ำตารางๆ


 


 


เสิ่นเวยเข้าใจความรู้สึกของท่านอา กล่าวอย่างเริงร่า “ท่านอา พวกเรารีบเข้าไปกันเถอะ ท่านปู่ ท่านย่าและคนอื่นๆ ต่างก็รออยู่ ลูกผู้น้องกลับบ้านแม่เป็นครั้งแรก ท่านปู่ท่านย่าจะต้องดีใจมากแน่ๆ” พูดประโยคนี้จบตนก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ ท่านปู่ดีใจเป็นเรื่องจริง ส่วนท่านย่า เหอะๆ นางไม่ชักสีหน้าก็ไม่เลวแล้ว


 


 


ประตูกลางเปิดออกกว้าง น่าขัน จวิ้นจู่กลับจวนไม่เปิดประตูกลางได้หรือ คุณหนูสี่ก่อนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นจู่ก็เป็นคนที่ไม่อาจยุแหย่ได้แล้ว ตอนนี้พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นจู่แล้ว พวกเขาก็ยิ่งไม่กล้าเมินเฉยแม้แต่นิดเดียว ยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นี้ยังใจป้ำ ขอเพียงแค่ประจบนางดี เช่นนั้นเงินบำเหน็จก็จะเยอะอย่างยิ่งเช่นกัน


 


 


“คุณหนูสี่ท่านกลับจวนแล้ว” พ่อบ้านเล็กหน้าประตูโค้งเอว ทั้งใบหน้าคนชรายิ้มราวกับบุปผาที่เบ่งบาน


 


 


เสิ่นเวยพยักหน้าอย่างทะนงตน ริมฝีปากสีชมพูเปิดออกน้อยๆ “รีบไปรายงานข้างใน บอกว่ากูไหน่ไนกับคุณหนูญาติผู้น้องมาถึงแล้ว” กวาดสายตามองคนรับใช้ทั้งหมดที่หน้าประตูปราดหนึ่งแล้วกล่าว “เห็นแล้วใช่หรือไม่ นี่คือกูไหน่ไนกับคุณหนูญาติผู้น้องในจวนของพวกเรา เจ้านายที่แท้จริง แต่ละคนเบิกตาให้กว้าง ไม่เคารพเจ้านาย ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่เอาไว้ทั้งสิ้น” เสิ่นเวยเตือนสติขึ้นมาลอยๆ


 


 


เห็นชัดๆ ว่าเป็นน้ำเสียงที่อ่อนโยน พ่อบ้านเล็กรวมถึงคนรับใช้ที่ทำงานอยู่หน้าประตูต่างก็ใจสั่น บนหน้าผากของพ่อบ้านเล็กยังมีเม็ดเหงื่อผุดออกมา “ขอรับ ขอรับ พวกบ่าวจะจำไว้ เสี่ยวซานจื่อเจ้าวิ่งเร็ว รีบไปรายงานที่ประตูรอง”


 


 


เสิ่นเวยยกมุมปากอย่างพอใจ กล่าวลอยๆ ต่อ “เอาล่ะ ความจงรักภักดีของพวกเจ้าข้าเห็นแล้ว เถาจือ เอาเงินให้พ่อบ้านผู้นี้เสีย กูไหน่ไนกลับจวนครั้งแรก ปูนบำเหน็จเงินดื่มสุราแก่ทุกคน”


 


 


เถาจือตอบรับแล้วออกมา หยิบเศษเงินหนึ่งกำออกมาจากกระเป๋าเงินใบเล็กไม่แม้แต่จะนับก็ยื่นให้พ่อบ้านเล็กแล้ว ดวงตาของพ่อบ้านเล็กต่างก็เป็นประกายขึ้นมาในชั่วขณะ “ขอบคุณกูไหน่ไนที่ปูนบำเหน็จ ขอบคุณคุณหนูสี่ คุณหนูญาติผู้น้อง” พูดในใจ จากนี้ไปเจอกูไหน่ไนกับคุณหนูญาติผู้น้องผู้นี้จะต้องเคารพให้มากหน่อยแล้ว เบื้องหลังพวกนางมีคุณหนูสี่คอยหนุนหลังอยู่


 


 


หลังกลุ่มเสิ่นเวยเดินไปไกล คนรับใช้ที่ทำงานอยู่หน้าประตูก็พากันกรูเข้ามา “ท่านอาพ่อบ้าน เท่าไร เท่าไร กูไหน่ไนของพวกเราปูนบำเหน็จเท่าไร” แต่ละคนต่างก็มองมือของพ่อบ้านเล็กด้วยความตื่นเต้น ใครไม่รู้บ้างว่าคุณหนูสี่ผู้นั้นร่ำรวยทั้งยังใจป้ำอีกด้วย


 


 


“ออกไปหน่อย จะไม่มีให้พวกเจ้าได้อย่างไร” พ่อบ้านเล็กยิ้มก่นด่าหนึ่งครา เขาก้มหน้านับเศษเงินในมือ แววตาปรากฏความดีใจบ้าคลั่ง ให้ตายเถอะ คาดไม่ถึงว่ามีกว่าเจ็ดแปดตำลึง เขาเก็บไว้เองสองตำลึง ที่เหลือยังพอแบ่งให้ทุกคนได้เกือบหนึ่งตำลึง พ่อบ้านเล็กที่ประตูใหญ่ผู้หนึ่งเช่นเขาก็มีเงินเดือนเพียงหนึ่งตำลึง นี่ถือเป็นกำไรก้อนใหญ่อย่างยิ่ง


 


 


เป็นดังคาด เมื่อพ่อบ้านเล็กพูดจำนวนเงินออกไปทุกคนต่างก็ตื่นเต้นดีใจ พ่อบ้านเล็กถือโอกาสเตือนสติ “หลังจากนี้หากพบนายสามท่านนี้ก็พูดจากหวานๆ หน่อย วิ่งให้เร็วหน่อย”


 


 


“ท่านอาพ่อบ้าน นี่ยังต้องให้ท่านกำชับอีกหรือ พวกเราไม่ใช่คนโง่เสียหน่อย” ใครจะโง่ไม่เห็นแก่เงินบ้าง ได้ทำงานที่หน้าประตูใหญ่ ใครบ้างที่ไม่ใช่คนปราดเปรียว


 


 


“เวยเจี่ยเอ๋อร์” เสิ่นหย่าเข้าใจว่าเมื่อครู่หลานสาวสร้างอำนาจให้ตนสองแม่ลูก ดวงตาปรากฏความซาบซึ้งหลายส่วน


 


 


ทว่าเสิ่นเวยกลับตบมือของท่านอาเบาๆ กล่าวอย่างตั้งใจ “ท่านอาเกรงใจเช่นนี้ทำให้หลานไม่สบายใจ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ท่านกับลูกผู้น้องก็เป็นข้าที่ไปรับกลับมาเอง หากบ่าวในจวนไม่เคารพท่าน หลานจะไม่เสียเกียรติแย่หรือ ครอบครัวใหญ่ ยากจะเลี่ยงไม่ให้มีบ่าวที่ปฏิบัติตัวไม่เหมาะสมหลายคน หลังจากนี้ท่านอาต้องแข็งข้อจึงจะดี ท่านยิ่งอ่อนข้อพวกเขาก็ยิ่งเหยียบจมูกขึ้นหน้า แม้แต่ผียังกลัวคนโหด ท่านลุกขึ้นสู้จึงจะปกป้องลูกผู้น้องได้ แม้จะทำเพื่อลูกผู้น้อง แต่ท่านก็ต้องวางมาดของกูไหน่ไนด้วย”


 


 


เสิ่นเวยเอ่ยเตือน นางใกล้จะต้องออกเรือนแล้ว ช่วงเวลาที่อยู่ในจวนโหวก็ไม่เยอะแล้ว ตอนที่นางอยู่ยังสามารถดูแลสองแม่ลูกคู่นี้ได้ หากนางไม่อยู่ในจวน ท่านปู่กับเจวี๋ยเอ๋อร์อย่างไรเสียก็เป็นผู้ชาย มาเรือนหลังบ่อยๆ ก็ไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นท่านอายังต้องลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองจึงจะถูก นางรับพวกนางกลับมาจากอวิ๋นโจวไม่ใช่มาให้พวกนางถูกรังแก นางที่ติดป้ายชื่อเสิ่นเวยไว้คงจะต้องจุดธูปขอพระคุ้มครองให้มากหน่อย


 


 


บนใบหน้าของเสิ่นหย่าปรากฏความลำบากใจหลายส่วนก่อน กูไหน่ไนสตรีที่แต่งงานแล้วเช่นนางกลับมาบ้านฝั่งมารดา อีกทั้งแม่ใหญ่ยังไม่โปรดปราน อี๋เหนียงก็ไม่อยู่แล้ว พี่ชายแท้ๆ ก็ไม่มีความก้าวหน้า นางจะมีอำนาจแข็งข้อได้อย่างไร แต่เมื่อได้ยินหลานสาวเอ่ยถึงหลินเจี่ยเอ๋อร์ หัวใจนางก็สั่น ใช่แล้ว นางจะเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญ แต่ลูกสาวเล่า ลูกสาวโตเพียงนี้แต่กลับไม่มีชีวิตที่ดีเลยสักวันเดียว กลับมาจวนโหวแล้วยังต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังระแวงผู้อื่นอีกหรือ


 


 


ไม่ ไม่ได้ เวยเจี่ยเอ๋อร์พูดถูก ต่อให้จะต้องทำเพื่อลูกสาว ตนก็ต้องลุกขึ้นยืนให้ได้ หลินเจี่ยเอ๋อร์ไม่มีพ่อให้พึ่งพาแล้ว ตนผู้เป็นแม่ผู้นี้ก็ต้องค้ำฟ้าเพื่อนางให้ได้


 


 


แววตาของเสิ่นหย่าปรากฏความแน่วแน่


 


 


เหอหลินหลินก็ยิ่งมองลูกผู้พี่ของนางด้วยสายตาที่ร้อนแรง เมื่อครู่ลูกผู้พี่น่าเกรงขามยิ่งนัก เมื่อไรนางจะเป็นแบบลูกผู้พี่ได้ นางเลียนแบบท่าทางของเสิ่นเวยอย่างไม่รู้ตัว ยืดหลังตรง ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง


 


 


ข้างประตูกลาง ฮูหยินสวี่กับฮูหยินจ้าวและคุณหนูหลายคนกำลังรออยู่ที่นี่ แม้เสิ่นหย่าจะเป็นเพียงบุตรสาวอนุภรรยา ซ้ำพวกนางล้วนเป็นสะใภ้ ว่ากันตามเหตุผลแล้วไม่มาต้อนรับก็ไม่เป็นไร แต่ฮูหยินสวี่คิดว่าอย่างไรเสียน้องสาวสามีผู้นี้ก็เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของพ่อสามี ต่อให้จะเป็นการทำให้พ่อสามีเห็นนางก็ต้องให้เกียรติสักหน่อยมิใช่หรือ


 


 


ฮูหยินสวี่ที่เป็นถึงโหวฮูหยินยังออกมาต้อนรับน้องสาวสามี ตนที่เป็นพี่สะใภ้แท้ๆ ยังมีเหตุใดอะไรให้ต้องหลบหน้า


 


 


ตอนที่เสิ่นหย่าออกเรือนฮูหยินสวี่กับฮูหยินจ้าวต่างก็แต่งเข้ามาในจวนแล้ว ไม่ได้แปลกหน้ากับน้องสามีผู้นี้ แต่ตอนนี้พวกนางเห็นสตรีที่ใบหน้าเ**่ยวแห้งมีความชราผู้นี้เดินเข้ามาช้าๆ ก็อดมองหน้ากันปราดหนึ่งไม่ได้ ในแววตามีความเข้าใจเหมือนกัน ดูท่าแล้วชีวิตที่จวนตระกูลเหอของน้องสามีผู้นี้จะยากลำบากจริงๆ


 


 


“คารวะพี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รอง” อาจเพราะได้พบญาติ บนใบหน้าเสิ่นหย่าจึงมีความตื่นเต้นที่ยากจะควบคุมตัวเองได้


 


 


ฮูหยินสวี่กับฮูหยินจ้าวรีบเข้ามาประคอง ตบมือของนางแล้วกล่าว “น้องกลับมาแล้ว กลับมาแล้วก็ดี” แม่นางที่เคยงามดั่งบุปผาดั่งหยกกลายเป็นสตรีที่ดูแก่ยิ่งกว่าตนในวันนี้ แม้แต่ฮูหยินจ้าวที่ใจดำมาแต่ไหนแต่ไรก็น้ำตาไหลตามหลายหยด บุรุษกลัวหลงผิดทาง สตรีกลัวสมรสผิดคน หลังจากนี้เลือกลูกเขยให้บุตรสาวยังต้องระมัดระวังให้มากจึงจะถูก


 


 


เสิ่นเวยเห็นพวกนางร้องห่มร้องไห้กันพอแล้ว จึงรีบกล่าว “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ท่านป้าสะใภ้รอง พวกท่านเห็นแต่ท่านอา เหตุใดถึงลืมหลานกับลูกผู้น้องไปเสียเล่า”


 


 


ฮูหยินสวี่เช็ดหางตา ถลึงตามองเสิ่นเวยอย่างเคืองแค้นปราดหนึ่ง “เจ้าน่ะ ใจร้ายเช่นนี้แต่เด็ก ไปตั้งหนึ่งเดือน ไม่รู้จักส่งข่าวกลับมาบ้าง ตอนนี้มีหลานสาวตามาเอาใจ ป้าก็ลืมเจ้าไปนานแล้ว” ยื่นมือไปดึงเหอหลินหลินเข้ามา มองนางด้วยความเมตตา “นี่คือหลินเจี่ยเอ๋อร์ใช่หรือไม่ หน้าตาดีจริงๆ ดีกว่าตอนที่แม่เจ้ายังเยาว์วัยเสียอีก มาจวนโหวแล้วก็คิดเสียว่าเป็นบ้านตัวเอง ไม่ต้องเกรงใจ กลับไปก็ไปเล่นกับลูกผู้พี่ลูกผู้น้องทั้งหลายของเจ้าเสีย”


 


 


เหอหลินหลินถูกสตรีสูงศักดิ์ตรงหน้าจับมือไว้ แม้ว่าจะตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ก็ยังคงทำความเคารพอย่างเป็นธรรมชาติ “หลินเจี่ยเอ๋อร์คารวะท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ท่านป้าสะใภ้รอง”


 


 


“ดีๆๆ เด็กดีจริงๆ” ฮูหยินสวี่กล่าวชื่นชม ถอดกำไลหยกหนึ่งอันบนข้อมือออกมาสวมลงบนมือของเหอหลินหลิน บนใบหน้ายังมีความชื่นชมสามส่วนจริงๆ นิสัยมารยาทเด็กคนนี้ดูแล้วยังไม่เลวเลยจริงๆ ดีกว่าแม่นางไม่น้อย


 


 


ฮูหยินจ้าวเองก็มอบปิ่นทองให้หนึ่งอัน เหอหลินหลินเหลือบตามองแม่นางปราดหนึ่ง เห็นแม่นางพยักหน้าน้อยๆ ก็รับของขวัญพบหน้ามา หน้าแดงซ่านกล่าวขอบคุณ


 


 


หลังจากนั้นเสิ่นเซวียนและคนอื่นๆ ก็เข้ามาทำความเคารพท่านอา เสิ่นหย่าเองก็มอบของขวัญพบหน้าให้พวกนางเช่นกัน


 


 


เสิ่นเวยแทรกบทหยอกล้ออีกครั้ง “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ หลานเสียใจนัก ท่านลืมหลานแล้ว ดูท่าแล้วของขวัญที่หลานลำบากลำบนขนกลับมาคงจะต้องทิ้งเสียแล้ว”


 


 


ท่าทางกุมอกของนางทำให้ฮูหยินสวี่หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง “อย่าแม้แต่จะคิด อีกประเดี๋ยวเอาไปส่งที่เรือนสี่ประสานให้ป้าทั้งหมด เจ้าน่ะ ชอบหยอกล้อคนเล่น”


 


 


ฮูหยินจ้าวที่อยู่ข้างๆ ก็ตาลุกวาว กล่าวอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เวยอ๋อร์ มีแต่ของขวัญของป้าสะใภ้ใหญ่เจ้าหรือ”


 


 


เสิ่นเวยรีบกล่าว “จะเป็นไปได้อย่างไร ลืมของใครก็ไม่อาจลืมของท่านป้าสะใภ้รองได้ หลานเห็นเครื่องประดับที่ไม่มีในเมืองหลวงของพวกเราชิ้นหนึ่งข้างนอก ชื่อผ้าชิงหลิงอะไรสักอย่าง สีสดใสยิ่งนัก เนื้อผ้าก็เบาบาง หลานเห็นครั้งแรกก็นึกถึงท่านป้าสะใภ้รอง ในจวนของพวกเราก็มีแต่ท่านป้าสะใภ้รองที่เหมาะกับผ้าสีสดเช่นนั้น หากท่านเอาผ้าชิงหลิงไปทำเป็นเสื้อผ้า ท่าลุงรองคงจะต้อง…คิกๆ” เสิ่นเวยปิดปากหัวเราะ


 


 


ฮูหยินจ้าวตินางหนึ่งครา แต่สีหน้าแววตากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มพอใจ “ป้าสะใภ้ใหญ่พูดไว้ไม่มีผิด เจ้าชอบหยอกล้อคนเล่น แม้แต่ป้ายังกล้าแกล้ง เจ้านี่มัน เจ้านี่มัน…” นางหัวเราะอย่างมีความสุข พูดต่อไม่ได้แล้ว


 


 


เสิ่นเวยแสดงท่าทีน้อยใจ “ที่ไหนกัน ที่ไหนกัน ข้าแค่พูดความจริงมิใช่หรือ ท่านให้ท่านป้าสะใภ้ใหญ่กับท่านอาตัดสิน รูปร่างหน้าตาท่านป้าสะใภ้รองเป็นอันดับหนึ่งในจวนเราไม่ใช่หรือ ก่อนหน้านี้คนต่างก็ชมว่าหลานหน้าตาดี แต่พอได้เห็นท่านป้าสะใภ้รอง หลานจึงรู้ว่าตัวเองเป็นกบในกะลา”


 


 


ท่าทางขับร้องเล่นละครนี้หยอกล้อจนคนในลานหัวเราะขึ้นมา ยังคงเป็นฮูหยินสวี่ที่ก้าวออกมาแล้วกล่าว “พวกเราเข้าไปกันเถอะ ท่านพ่อท่านแม่ยังรออยู่เลย”


 


 


เมื่อเข้าไปยังห้องหลักเรือนซงเฮ่อแล้วเสิ่นหย่าก็โถมตัวเข้าไปคุกเข่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกอกตัญญูกลับมาแล้วเจ้าค่ะ” เหอหลินหลินเห็นมารดาคุกเข่า ก็รีบคุกเข่าตามอยู่ข้างๆ


 


 


นายหญิงผู้เฒ่ามองบุตรสาวอนุภรรยาที่ไม่ค่อยประทับใจนักผู้นี้ เห็นว่าแม้เสื้อผ้าที่นางสวมอยู่จะไม่เลว แต่ใบหน้ากลับเ**่ยวแห้งผิดปกติ ในใจก็มีความสุขใจแวบผ่าน หรงเหนียงนะหรงเหนียง เหตุใดเจ้าถึงจากไปเร็วเพียงนั้นเล่า ดูลูกชายลูกสาวเจ้าคู่นี้สิ จุๆ ข้าสิจึงจะเป็นผู้ชนะในตอนสุดท้าย


 


 


แต่มาดก็ยังคงต้องวางอยู่ นายท่านผู้เฒ่าโหวยังมองอยู่ข้างๆ นางถือผ้าเช็ดหน้ากดลงบนตา “รีบลุกขึ้นเถิด เด็กน้อยผู้น่าสงสาร ได้รับความทุกข์ยากที่ตระกูลเหอมากน้อยเพียงใด คนแซ่เหอสมควรตาย ใจร้ายใจดำ ลูกสาวคนเล็กดีๆ ของข้าถูกทรมานจนเป็นเช่นนี้แล้ว”


 


 


เสิ่นเวยหน้าเหยเก อยากจะพูดจริงๆ ท่านย่า ท่านรีบเอาผ้าเช็ดหน้าลงเถอะ ท่านไม่ได้เช็ดน้ำตาแม้แต่ครึ่งหยด ปลอมเกินไปแล้ว ท่านไม่เห็นหรือว่าท่านปู่รำคาญแล้ว


 


 


นายท่านผู้เฒ่าโหวปรายตามองภรรยาปราดหนึ่ง กล่าวอย่างหงุดหงิด “ลูกเพิ่งจะกลับมา เจ้าจะพูดเรื่องเหล่านี้ทำไม” จากนั้นก็หันหน้ามองบุตรสาวของตน แววตามีความรักใคร่แวบผ่าน “เอาล่ะ กลับมาก็ดีแล้ว หลังจากนี้ก็ใช้ชีวิตที่ดีในจวนเสีย เรือนเหลียนอีทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่ จากนี้เจ้าก็อยู่ที่นั่น ขาดเหลืออะไรก็บอกพี่สะใภ้ใหญ่พี่สะใภ้รองของเจ้าได้เลย ข้าเสิ่นผิงยวนเลี้ยงลูกสาวไหว”


 


 


ฮูหยินสวี่ฮูหยินจ้าวรีบก้าวออกมาแสดงท่าที “ท่านพ่อพูดถูก เรือนเหลียนอีทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว อีกประเดี๋ยวน้องไปดูว่ายังมีตรงไหนไม่ชอบใจ พวกเราค่อยเปลี่ยนให้”


 


 


นายท่านผู้เฒ่าโหวพยักหน้าอย่างพอใจ มองแม่นางน้อยที่อยู่ข้างๆ ลูกสาว “นี่คือหลินเจี่ยเอ๋อร์ใช่หรือไม่ โตเพียงนี้แล้ว เจอตาครั้งแรก ไม่มีของดีอะไรให้เจ้าเลย จี้หยกอันนี้เจ้าเอาไปเล่นแล้วกัน” พูดจบก็ดึงจี้หยกที่เอวส่งให้เหอหลินหลิน


 


 


เหอหลินหลินมองแม่นางอย่างตื่นตระหนก เสิ่นหย่าเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ท่านพ่อไม่ตำหนินาง ซ้ำท่านพ่อยังรักนาง ความพะว้าพะวงก่อนหน้านี้กลายเป็นความอัดอั้นเต็มอก น้ำตาไหลรินลงมา


 


 


ในน้ำตาที่พร่าเลือนนางมองเห็นผมของท่านพ่อขาวหมดแล้ว ในใจก็เกิดความละอายขึ้นมา ท่านพ่อแก่แล้ว อายุปูนนี้ยังเป็นทุกข์แทนตน นางเช็ดน้ำตาบนใบหน้า พยายามเค้นรอยยิ้มออกมา พยักหน้าให้ลูกสาว “ในเมื่อตาเจ้าให้เจ้า ก็รับไว้เถอะ”


 


 


ด้วยเหตุนี้เหอหลินหลินจึงยื่นมือทั้งคู่ไปรับจี้หยกอย่างตั้งใจ จากนั้นจึงคุกเข่าลงโขกศีรษะสามครั้ง “ขอบคุณท่านตาที่มอบให้”


 


 


นายท่านผู้เฒ่าโหวพยักหน้า สีหน้าก็ยิ่งอ่อนโยน “เด็กดี หลังจากนี้ก็อยู่ในจวนอย่างสบายใจ ว่างๆ ก็ไปเล่นกับลูกผู้พี่สี่ของเจ้า” พูดพลางเหลือบมองเสิ่นเวยปราดหนึ่ง เสิ่นเวยย่อมหัวเราะคิกคักรับ


 


 


ทว่าฮูหยินสวี่กลับใจสั่น กล่าวในใจ พ่อตาให้ความสำคัญกับบุตรสาวที่หย่ากลับมาผู้นี้กว่าที่นางคิดไว้เสียอีก เช่นนั้นต่อจากนี้นางต้องใส่ใจให้มากขึ้นหลายส่วนจึงจะถูก


 


 


ไม่นานนายท่านผู้เฒ่าโหวก็ออกมาแล้ว ทิ้งสตรีทั้งหลายให้พูดคุยกันในห้อง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)