กระบี่จงมา 204.2-205.1
บทที่ 204.2 คนรู้จักมาส่งกระบี่ให้
โดย
ProjectZyphon
ลู่เฉินเดินเตร่ไปตลอดทาง จนกระทั่งก้าวเข้าไปในตรอกหนีผิง ตอนที่ผ่านบ้านบรรพบุรุษตระกูลเฉา ประตูใหญ่ปิดสนิท เฉาซีเซียนกระบี่พสุธาแห่งนาตยทวีปที่อยู่ในบ้านหันมาคารวะเขาเงียบๆ จิ้งจอกสีแดงเพลิงนอนหมอบอยู่บนพื้นทั้งตัว แม้ว่าร่างจะสั่นสะท้าน แต่นี่ก็เป็นท่าทางที่แสดงให้เห็นถึงความเคารพเลื่อมใส
ลู่เฉินไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย เขาเดินตรงดิ่งไปหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านหลังหนึ่ง แล้วกระโดดตัวขึ้นสูงชะเง้อมองภาพเหตุการณ์ภายในลานบ้านหลังนั้น
เด็กสาวบ้านข้างๆ ที่กำลังนั่งอาบแดดอยู่ในลานบ้านลุกขึ้นยืน ขมวดคิ้ว “เจ้าทำอะไรน่ะ?”
ลู่เฉินย้ายเส้นสายตามามองนาง ชี้นิ้วเข้าที่จมูกตัวเอง หัวเราะร่าพลางเอ่ยว่า “แม่นาง เจ้าจำนักพรตผู้ต่ำต้อยอย่างข้าไม่ได้แล้วหรือ? เมื่อปีก่อนข้าเคยอยู่ที่นี่ พวกเรารู้จักกันนะ อีกอย่าง เจ้ากับนายน้อยของเจ้ายังเคยไปดูดวงที่แผงของข้า จำไม่ได้แล้วหรือ?”
เด็กสาวแสร้งทำท่าครุ่นคิด จากนั้นก็ส่ายหน้า “จำไม่ได้!”
ลู่เฉินเดินมาหยุดอยู่นอกกำแพงบ้านของเฉินผิงอัน เขย่งเท้าฟุบตัวบนหัวกำแพง สูดจมูกดมกลิ่นแรงๆ “แม่นางกำลังหุงข้าวหรือ หอมจริง ขนาดข้ายืนอยู่ตรงนี้ยังได้กลิ่นหอมของข้าวเลย”
จื้อกุยยังคงส่ายหน้าด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “เปล่าสักหน่อย”
ลู่เฉินยิ้ม เอียงศีรษะน้อยๆ ยื่นนิ้วชี้หน้าเด็กสาว “จมูกของข้าผู้เป็นนักพรตดีนักล่ะ แม่นางเจ้าโกหกข้าไม่ได้หรอก”
เด็กสาวร้องอ้อหนึ่งทีแล้วเดินไปที่ห้องครัว คีบเอาฟืนทั้งหมดที่อยู่ในเตาดินออกมา เตาดินที่เดิมทีกำลังมีไฟเดือดปะทุมอดดับทันใด ข้าวในหม้อกลายเป็นข้าวกึ่งดิบกึ่งสุก
เด็กสาวเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูห้องครัว ปัดมือถามว่า “แล้วตอนนี้ล่ะ?”
ลู่เฉินยกนิ้วโป้งให้นาง “เจ้ามันร้ายกาจ!”
เด็กสาวไม่เก็บมาใส่ใจแม้แต่น้อย เพียงเอ่ยถามว่า “เจ้ามาหาเฉินผิงอัน? มีเรื่องอะไร? ข้าช่วยนำความไปบอกเขาได้”
ลู่เฉินยิ้ม “ข้าไปหาเขาเองดีกว่า ไม่กล้ารบกวนแม่นาง หาไม่แล้วข้าผู้เป็นนักพรตก็กลัวว่าพรุ่งนี้จะตั้งแผงต่อไม่ได้อีก”
จื้อกุยกล่าว “ว่ามาเถอะ ข้าสนิทกับเฉินผิงอันมาก”
กล่าวประโยคนี้จบ นางก็ชี้ไปที่ตัวอักษรฝูซึ่งติดไว้หน้าประตูบ้าน “เจ้าเห็นนั่นไหม เหมือนกับที่บ้านเขาเป๊ะ เฉินผิงอันมอบให้ข้าเอง”
แม่นางน้อย ไม่มีใครเขาโกหกหน้าตาเฉยอย่างเจ้าหรอกนะ คิดว่าข้าผู้เป็นนักพรตทำนายไม่เป็นจริงๆ หรือไง
ลู่เฉินมุมปากกระตุกอย่างห้ามไม่ได้ ไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมปีนั้นฉีจิ้งชุนถึงทนกับนังหนูคนนี้ได้ แถมยังเต็มใจปกป้องนางอย่างเต็มกำลังของตัวเอง
ลู่เฉินถอนหายใจ “อันที่จริงวันนี้ข้าผู้เป็นนักพรตไม่ได้มาหาเฉินผิงอัน แต่มาหาเจ้า หวังจู”
จื้อกุยมองนักพรตหนุ่มด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “แม้ว่าคุณชายของข้าจะไม่อยู่ในเมืองเล็กชั่วคราว แต่หากเจ้ากล้ารังแกข้า เฉินผิงอันก็จะช่วยแก้แค้นให้ข้า อีกอย่าง ข้ารู้จักฉีจิ้งชุน เขาเป็นถึงอริยะลัทธิขงจื๊อ เจ้าไม่กลัวว่าเขาที่ตายไปแล้ว จู่ๆ จะฟื้นคืนชีพกลับมาเล่นงานเจ้าให้ตายหรือ?”
ลู่เฉินยกสองมือขยี้แก้มตัวเอง กล่าวอย่างระอาใจ “ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเฉินผิงอันจะช่วยเจ้าแก้แค้นหรือไม่ เอาแค่ฉีจิ้งชุนที่ตายไปก็คือตายไปแล้วจริงๆ ไม่มีทางฟื้นคืนชีพกลับมาอีก”
จื้อกุยเลิกคิ้วที่เรียวเหมือนกิ่งหลิวขึ้นเบาๆ
ประหนึ่งกิ่งหลิวและกิ่งหยางที่พลิ้วไหวไปตามลมฤดูใบไม้ผลิ
ลู่เฉินวางสองมือไว้บนหัวกำแพงอีกครั้ง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “หวังจู ข้าผู้เป็นนักพรตมีโชควาสอย่างหนึ่งจะมอบให้เจ้า เจ้ากล้ารับไว้หรือไม่?”
ชายแขนเสื้อคลุมเต๋าสีเขียวสองข้างทาบทับอยู่บนกำแพงดินเหลืองอย่างนุ่มนวล
ประหนึ่งมังกรขดตัวพยัคฆ์นอนหมอบ
จื้อกุยยกมือสองข้างกอดอกคล้ายกำลังปกป้องตัวเอง นางแค่นเสียงเย็น “บ้ากาม ไร้ยางอาย อันธพาล คนเสเพล!”
ลู่เฉินดึงมือกลับมากุมท้องหัวเราะก๊าก
หวนนึกถึงในอดีตเมื่อปีนั้น บนโลกยังมีมังกรที่แท้จริงอยู่มากมาย เมื่อแบ่งรางวัลตามคุณงามความชอบเรียบร้อยแล้ว ก็ให้ไปรับหน้าที่เฝ้าพิทักษ์ทะเลสาบ หนองบึง แม่น้ำและมหาสมุทรทั้งหมดที่มีทั่วหล้า หนึ่งในนั้นคือมังกรตัวเมียตัวหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุด สถานะของนางสูงส่งจนไม่อาจหาคำมาบรรยาย นางหลงรักตนมากแค่ไหน? และในสายตาของคนในโลก ตนนั้นไร้หัวใจถึงเพียงใด?
นักพรตหนุ่มหัวเราะจนแทบน้ำตาไหล
ต่อให้มหามรรคาจะกว้างใหญ่แค่ไหนก็ไม่มีที่ว่างสำหรับความรักชายหญิง
คำว่าอิจฉาแค่ยวนยาง (เป็ดที่เป็นสัญลักษณ์ถึงคู่รัก) ไม่อิจฉาเซียน ในตำรามี บนภูเขามี แต่บนยอดเขาไม่มี
ลู่เฉินมองเด็กสาวตรงหน้าที่เดิมทีไม่ควรปรากฏตัวบนโลกใบนี้ จำได้ว่าตอนนั้นตนเคยถามอาจารย์ว่า ในเมื่อตาข่ายฟ้าตาถี่แน่นหนาไร้ช่องโหว่ แล้วเหตุใดถ้ำสวรรค์หลีจูถึงดำรงอยู่ได้
ผู้เฒ่าเพียงแค่ยิ้มแล้วเอ่ยสองประโยค
“แน่นหนาไร้ช่องโหว่ก็คือปมของปัญหา ปฏิบัติตามกฎแห่งสวรรค์ กลับไม่มีที่มากพอให้หยัดยืน จึงเป็นเหตุให้พังทลาย”
“มหามรรคาห้าสิบ แตกแขนงได้สี่สิบเก้า หนึ่งในนั้นหลบหายไป หนึ่งก่อเกิดหมื่นสรรพสิ่ง”
ตอนนั้นผู้เฒ่านั่งยองอยู่ข้างสระดอกบัวของถ้ำสวรรค์เหลียนฮวา วักน้ำขึ้นมาหนึ่งกำมือแล้วสาดลงไปบนใบบัวใบหนึ่งที่เอียงลู่ลงเล็กน้อย น้ำที่สาดจากที่สูงไหลลงต่ำ ค่อยๆ แบ่งเป็นสายแยกย้ายกันไป สุดท้ายล้วนกลับคืนสู่บ่อน้ำทั้งหมด
จากนั้นผู้เฒ่าก็ชูฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นสูงหันมาทางลู่เฉิน ที่แท้กลางฝ่ามือของเขายังมีหยดน้ำอยู่อีกหนึ่งหยด เมื่อฝ่ามือเอียงลงมา หยดน้ำก็เริ่มไหลช้าๆ ไปตามเส้นลายมือ บิดๆ เบี้ยวๆ แยกไปตามรอยตัดอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่หยุดชะงักก็จะมีการเปลี่ยนทิศทาง หมายความว่าได้เดินไปบนเส้นทางที่แตกต่างกัน หากเปลี่ยนหยดน้ำที่ไม่สะดุดตาหยดนั้นมาเป็นใครบางคนที่เดินอยู่ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนาน ก็จะหมายความว่าเขาได้กลายมาเป็นคนที่แตกต่างกันไป
แตกต่างเพียงหนึ่งความคิด แตกต่างเพียงหนึ่งก้าวก็ก่อกำเนิดสามลัทธิร้อยสำนัก มีแม่ทัพ มีอัครเสนาบดี มีพ่อค้า มีกรรมกร
ลู่เฉินเก็บความคิดเกี่ยวกับเรื่องในอดีตลงไป นักพรตหนุ่มที่ยืนอยู่นอกกำแพงคลี่ยิ้มให้กับเด็กสาวที่อยู่ด้านในของกำแพง “โชควาสนาที่ข้าผู้เป็นนักพรตจะมอบให้เจ้า เจ้าไม่ต้องการก็ต้องรับไว้”
เด็กสาวแค่นเสียงเย็น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”
ลู่เฉินถามกลับ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”
จื้อกุยสีหน้ามืดทะมึน “นักพรตจมูกวัวตัวเหม็นอย่างเจ้าจะรับไหวรึ?” (จมูกวัวเป็นคำด่านักพรตเต๋าเพราะมวยผมของนักพรตเต๋าเหมือนเขาวัว)
ลู่เฉินยิ้มบางๆ “นามว่าลู่เฉินของข้าผู้เป็นนักพรตก็มากพอจะอธิบายทุกอย่างได้กระจ่างชัดแล้ว”
คราวนี้จื้อกุยไม่เข้าใจจริงๆ “พูดอะไรของเจ้าน่ะ?”
ลู่เฉินกลับคืนมามีสีหน้าดั่งเวลาปกติ เขาฟุบตัวลงบนหัวกำแพง พูดกลั้วหัวเราะอารมณ์ดี “แม่นาง จะให้ข้าผู้เป็นนักพรตดูลายมือให้หน่อยหรือไม่? จะแต่งงานเมื่อไหร่ จะมีลูกในเร็ววันไหม จะได้คู่ที่ดีหรือเปล่า ข้าผู้เป็นนักพรตล้วนทำนายได้ทั้งนั้น”
จื้อกุยกะพริบตาปริบๆ เอ่ยถาม “แค่กินข้าวอย่างเดียวได้หรือไม่? ไม่ต้องดูลายมือ?”
ลู่เฉินปีนข้ามกำแพง ดีดนิ้วดังเป๊าะ “ตกลง!”
จื้อกุยถามอีก “ข้าวไม่สุกดี ไม่ถือสากระมัง?”
“ถือสิ เดี๋ยวข้าหุงใหม่เอง” นักพรตหนุ่มกลอกตามองบน เดินอาดๆ เข้าไปในห้องครัว เริ่มเติมฟืนเข้าไปในเตาอีกครั้ง หยิบกระบอกเป่าไฟขึ้นมา พองแก้มเป่าลมเข้าใส่อย่างแรง
จื้อกุยยืนอยู่หน้าประตูห้องครัว ใจอยากจะหยิบไม้กวาดขึ้นมาฟาดที่หัวนักพรตหนุ่มแรงๆ ยิ่งนัก
……
ในห้องหลอมกระบี่ห้องหนึ่งของร้านตีเหล็ก หร่วนฉงยังคงตีเหล็กอย่างไม่หยุดพัก พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก สะเก็ดไฟแตกกระจายไปทั่วทิศครั้งแล้วครั้งเล่า ในห้องที่กว้างใหญ่เจิดจ้าไปด้วยแสงเปลวเพลิง สะเก็ดไฟที่รวมตัวกันอยู่อย่างหนาแน่นทับซ้อนกันไปเรื่อยๆ ไม่เคยสลายหายไปแม้แต่เสี้ยวเดียว ยิ่งไม่มีทางไหลออกไปนอกห้อง เป็นเหตุให้ในห้องแทบจะไม่มีที่ให้ยืน
แต่วันนี้ไม่เพียงแต่หร่วนซิ่วเท่านั้นที่เข้ามาในห้อง แม้แต่เว่ยป้อก็อยู่ด้วย พื้นที่มีจำกัด หนึ่งคนหนึ่งเทพภูเขาจึงได้แต่ยืนเคียงบ่ากัน และในอ้อมอกของหร่วนซิ่วก็กอดกระบี่ยาวไร้ฝักไว้หนึ่งเล่ม คมกระบี่ไม่ปรากฏประกายแหลมคม มองไปแล้วจึงไม่สะดุดตาแม้แต่น้อย เกรงว่าหากผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางมาเห็นเข้าก็คงคิดว่าเป็นแค่กระบี่ใหม่เอี่ยมเล่มหนึ่งเท่านั้น
หร่วนฉงเหวี่ยงค้อนพลางหันมาเอ่ยเสียงหนักกับเว่ยป้อไปด้วย “รบกวนเจ้าพาซิ่วซิ่วไปส่งที่ภูเขาลั่วพั่ว ผู้อาวุโสหยางช่วยอำพรางความลับสวรรค์ไว้แล้ว น่าจะไม่มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น”
จากนั้นหร่วนฉงก็หันมากำชับหร่วนซิ่ว “ไปถึงภูเขาลั่วพั่ว มอบกระบี่แล้วก็ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ แค่บอกให้เขารีบตามเว่ยป้อไปที่ภูเขาหนิวเจี่ยว โดยสาร ‘เรือข้ามฝาก’ ลำนั้นไปทางทิศใต้ หากยังไม่ถูกลับคมจากแท่นสังหารมังกร กระบี่เล่มนี้จะไม่เผยความคมออกมาเด็ดขาด แต่หากเจอกับปีศาจใหญ่ก็อาจจะเผยพิรุธให้เห็น ดังนั้นจงบอกเจ้าเด็กแซ่เฉินที่เดินทางลงใต้ว่าอย่ารนหาที่ตาย อย่าไปมีเรื่องกับพวกปีศาจแห่งภูเขาและหนองบึงทั้งหลาย ด้วยขอบเขตวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ ขอแค่ไม่รนหาที่ตายก็มีโอกาสจะรอดไปจนถึงภูเขาห้อยหัว”
เว่ยป้อคิดได้รอบคอบมากกว่า “ที่ข้ายังมีกิ่งไหวหนาๆ อยู่อีกกิ่งหนึ่ง พอไปถึงภูเขาลั่วพั่ว ระหว่างทางที่พาเฉินผิงอันไปร้านผ้าห่อบุญบนภูเขาหนิวเจี่ยว สามารถช่วยทำฝักกระบี่ให้เขาได้สองเล่ม”
หร่วนฉงขยับปากเหมือนจะพูดแต่ก็ไม่พูด
เว่ยป้อยิ้มอย่างเข้าใจ “วางใจเถอะ น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้น ข้าร่ายเวทอำพรางตาไปแล้ว มีแค่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบเท่านั้นถึงจะมองออก ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร”
หร่วนฉงจึงก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อไป เสียงตีเหล็กดังราวเสียงฟ้าผ่า
ไฟโทสะสุมทรวงอริยะสำนักการทหารท่านนี้อยู่นานแล้ว ใจเขาอยากจะให้เจ้าลูกหมานั่นหอบผ้าหอบเสื่อไสหัวไปเสียโดยเร็ว
ครั้งนี้เว่ยป้อไม่กล้าประมาท ไม่เพียงแต่ท่องคาถาในใจ ยังยกมือขึ้นทำมุทราแอบโคจรโชคชะตาน้ำและภูเขาในขอบเขตของตัวเองอย่างเงียบเชียบ
และเพียงไม่นานคนทั้งสองก็มาปรากฏตัวที่ชั้นสองของเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว
เฉินผิงอันที่ได้ข่าวล่วงหน้าจัดเตรียมสัมภาระไว้รอเรียบร้อยแล้ว เพราะมีกระบี่บินสืออู่เป็นวัตถุฟางชุ่น ดังนั้นจึงไม่ต้องสะพายตะกร้าไม้ไผ่ สบายตัวยิ่งกว่าขึ้นเขาคราวก่อนเสียอีก แต่นี่กลับทำให้เฉินผิงอันรู้สึกไม่คุ้นเคย ปกติเขาเคยชินที่จะถือมีดผ่าฟืนเพื่อใช้บุกเบิกเส้นทางไว้ในมือ แต่ตอนนี้กลับมีแค่กระบี่บินเบาๆ สองเล่มเก็บไว้ด้านใน รู้สึกไม่ชินเลยจริงๆ
หลังมอบกระบี่ให้แล้ว หร่วนซิ่วก็ถ่ายทอดคำพูดที่บิดาของนางกำชับมา สุดท้ายนางยื่นถุงปักลายดอกไม้ถุงหนึ่งให้เฉินผิงอันพลางเอ่ยยิ้มๆ “เฉินผิงอัน ขนมดอกท้อห่อนี้ ข้าให้เจ้า”
—–
บทที่ 205.1 สะพายกระบี่มุ่งหน้าลงใต้
โดย
ProjectZyphon
พลังอำนาจรอบเตาหลอมกระบี่ริมลำคลองหลงซวีพุ่งทะยานท่วมท้น เสียงตีเหล็กที่ดังเข้าหูเผ่าปีศาจครืนครั่นราวกับจะสะเทือนให้อวัยวะภายในปริแตก
ช่วงนี้สายตาของผู้ฝึกลมปราณแทบทุกคนในเขตการปกครองหลงเฉวียนล้วนพากันเหลือบมองไปทางร้านตีเหล็กอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ ในศาลาและหอเรือนสร้างใหม่ที่อยู่บนยอดเขา และสะพานขึงสูงลิ่วที่แขวนอยู่ระหว่างภูเขาสองลูกมักจะมีผู้ฝึกลมปราณมารวมตัวกัน พวกเขาจะทอดสายตามองไกลๆ ไปยังภาพบรรยากาศของการหลอมกระบี่ที่อยู่ในเตาหลอมนอกภูเขา ต่อให้เป็นนักโทษของราชวงศ์สกุลหลู รวมไปถึงทหารของต้าหลีซึ่งทำหน้าที่จับตามองชาวบ้านที่ชาติล่มจมเหล่านี้ก็ยังพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์กันทุกครั้งที่มีเวลาว่าง คาดเดาว่าหากอริยะหร่วนฉงหลอมกระบี่สำเร็จจะก่อให้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นในฟ้าดินหรือไม่
และเมื่อพลังอำนาจในการหลอมกระบี่ของวันนี้ทะยานขึ้นอย่างพรวดพราด บวกกับที่จิตใจของเผ่าปีศาจที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระวุ่นวายไม่เป็นสุข หรือแม้แต่ภูตผีปีศาจที่ตบะไม่มากพอ แม้จะมีโชคชะตาแห่งน้ำและภูเขาของที่แห่งนี้ให้การปกป้องอย่างลับๆ ก็ยังรู้สึกเหมือนตัวเองตกอยู่ในเตาหลอมร้อนระอุ ทรมานเกินจะทน ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงรู้สึกได้ว่านี่ต้องเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดแล้วอย่างแน่นอน อาวุธเทพเล่มนั้นจะหลอมสำเร็จหรือไม่ก็อยู่ที่ช่วงเวลานี้แล้ว
ในเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันเตรียมตัวรอไว้เรียบร้อยนานแล้ว และกำลังจะออกเดินทางไปยังท่าเรือที่ภูเขาอู๋ถง คราวก่อนที่เว่ยป้อพาพวกเขาเดินสำรวจไปในพื้นที่ใต้การปกครองของเขา ทำให้ได้เห็นว่ายอดบนของทั้งภูเขาอู๋ถงถูกตัดทิ้งทั้งหมด ตอนนั้นเว่ยป้อเล่นแง่ไม่ยอมบอกว่าเรือขนาดใหญ่บนท่าเรือซึ่งมีพื้นที่กินบริเวณรัศมีสี่ห้าลี้ที่นักพรตใช้เดินทางไกลนั้นคือวัตถุใดกันแน่
ของขวัญที่หร่วนซิ่วมอบให้ก่อนจากลาคือขนมดอกท้อหนึ่งถุง แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีของนาง อันที่จริงก่อนหน้านี้เขาไหว้วานให้เว่ยป้อไปพูดกับหร่วนฉงเรื่องที่เขาจะมอบภูเขาเป่าลู่ให้กับหร่วนซิ่ว ผลกลับกลายเป็นว่าเว่ยป้อกลับเรือนไม้ไผ่มาด้วยสีหน้าดำทะมึน ท่าทางดูไม่ได้ เขาเล่าว่าหลังจากบอกหร่วนฉงก็โดนอีกฝ่ายพาลโมโหใส่ ตบรางวัลให้เขาเว่ยป้อด้วยคำว่า ไสหัวไป จากนั้นก็ให้คำตอบเฉินผิงอันด้วยประโยคที่ยาวกว่าเล็กน้อยว่า “บอกให้เจ้าเด็กนั่นไสหัวไปให้ไกลได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี”
เฉินผิงอันจึงได้แต่ล้มเลิกความคิด รู้ดีว่าเรื่องนี้พาให้คนคิดไปไกล เพราะอย่างไรซะเรื่องของความปรารถนาดีที่เกิดจากความห่วงใยก็ใช่ว่าจะทำสำเร็จได้โดยง่ายหากเป็นความต้องการของฝ่ายเดียว ดังนั้นเขาจึงต้องวางเรื่องนี้ลงก่อนชั่วคราว เด็กชายชุดเขียวบอกว่าพวกเขาเป็นคนที่อยู่ในยุทธภพ ไม่ว่าจะบุญคุณหรือความแค้นก็ล้วนปฏิบัติตามหลักภูเขาเขียวแม่น้ำใส กาลเวลายังอีกยาวไกล เฉินผิงอันรู้สึกว่าประโยคนี้พูดได้อย่าง ‘สง่างามและมีเหตุผล’ คิดดูแล้วก็รู้สึกว่าในอนาคตย่อมต้องมีโอกาสได้ตอบแทนพ่อลูกสกุลหร่วนแน่นอน ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน
แต่ด้วยความรอบคอบเฉินผิงอันก็ยังมาปรึกษากับเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูอย่างจริงจังอีกครั้ง เมื่อรู้สึกว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่มากนัก จึงตัดสินใจรบกวนเว่ยป้ออีกรอบ ให้เทพขุนเขาเหนือท่านนี้ไปเชิญคนทำขนมที่มีฝีมือดีเยี่ยมมาสองคน รอจนเขาออกจากเขตการปกครองหลงเฉวียนเมื่อไหร่ก็ให้ไปช่วยเรียกลูกค้าที่ร้านยาสุ่ยตรอกฉีหลง สุดท้ายบอกให้เด็กน้อยสองคนไปบอกกับแม่นางหร่วนซิ่วว่า วันหน้าหากอยากกินขนมในร้านก็กินได้ตามสบาย จะไม่เก็บเงินแม้แต่อีแปะเดียว
การเดินทางไกลลงใต้ของเขาครั้งนี้ ทั้งเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูต่างก็อยากติดตามไปด้วย คนหนึ่งกลัวว่าเฉินผิงอันจะไม่มีคนปกป้อง พรุ่งนี้อาจถูกคนต่อยหัวระเบิด รอจนเฉินผิงอันกลับบ้านเกิดมาในครั้งหน้าก็คือต้องขุดหลุมจุดธูปให้เขาแทนแล้ว อีกอย่างก็คืองูน้ำแห่งแม่น้ำอวี้เจียงที่ตบะเลื่อนไปอีกหนึ่งขอบเขตอยากจะกลับไปใช้ชีวิตสนุกสนานและมีอิสระเสรีในยุทธภพอีกครั้ง อยากจะทวงคืนหน้าตาและศักดิ์ศรีของวีรบุรุษที่เสียไปสิ้นในเขตการปกครองหลงเฉวียนมาจากโลกภายนอกให้หมด
ส่วนเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูนั้นมองตัวเองเป็นสาวใช้ตัวน้อยไปอย่างสิ้นเชิง นางกังวลว่านายท่านของตนจะไม่มีคนคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกาย นางอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ แบบนั้นทำให้นางละอายใจมาก
เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันไม่รับปากพวกเขาทั้งสองคน
เด็กชายชุดเขียวทั้งร้องไห้ทั้งโวยวาย เดี๋ยวก็บอกว่าจะแขวนคอตาย เดี๋ยวก็บอกว่าจะกระโดดหน้าผา แล้วเดี๋ยวๆ ก็ทำท่าจะลงไปนั่งคุกเข่าอ้อนวอน ใช้สารพัดวิธีจนครบถ้วน ส่วนเฉินผิงอันเองก็ต้องทั้งขู่ทั้งปลอบถึงทำให้เด็กชายชุดเขียวยอมอยู่ฝึกตนที่เรือนไม้ไผ่ต่อ ยังดีที่ตอนนี้เด็กชายชุดเขียวมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับงูดำจากภูเขาฉีตุน มักจะไปคุยโม้ประจบประแจงอีกฝ่ายเป็นประจำ จึงพอจะนับงูดำเป็นพี่น้องของตัวเองได้อย่างถูไถ แม้งูดำจะไม่เคยจำแลงกายเป็นมนุษย์ แต่ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญาหรือปณิธาน เด็กชายชุดเขียวก็ล้วนเทียบไม่ติด จะว่าไปแล้วถึงแม้งูน้ำแม่น้ำอวี้เจียงที่พลัดจากถิ่นฐานบ้านเกิดตนนี้จะมีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา แต่หากเอาไปเทียบกับบรรดาเจียวหลงด้วยกัน อายุของมันก็ถือว่าเป็นแค่เด็กหนุ่มเท่านั้น แถมยังเป็นเด็กหนุ่มประเภทที่ ‘ไม่มีพ่อแม่สั่งสอน’ จึงค่อนข้างเกเรด้วย เมื่อไม่เคยได้รับการชี้นำจากพระวิสุทธิอาจารย์และการอบรมปลูกฝังจากสำนัก ต่อให้จะผดุงคุณธรรมตามหลักของคนในยุทธภพที่เขาเลื่อมใสก็ยังดูไม่ต่างจากเด็กน้อยที่เอาแต่ใจในสายตาของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่เคยอ่านตำรามานับหมื่นเล่ม
เพียงแต่ว่าอยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ เด็กชายชุดเขียวจึงถูกขัดเกลาไปมาก บวกกับที่เดิมทีเขาเองก็ไม่ใช่คนเลวร้าย เฉินผิงอันจึงพอจะวางใจในตัวเขาได้บ้าง แค่กำชับเขาว่าห้ามรังแกเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู ตอนนั้นเด็กชายชุดเขียวตบอกตัวเองดังป้าบๆ บอกว่าลูกผู้ชายชาตรี รังแกเด็กผู้หญิงจะนับเป็นอะไรได้
ทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมหมดแล้ว
เว่ยป้อแอบชี้ไปยังห้องชั้นสอง ถามยิ้มๆ “พร้อมแล้วนะ? จะไปบอกลาท่านผู้อาวุโสสักคำหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ หมุนตัวเดินไปเคาะประตูห้อง “ข้าไปแล้วนะ”
ผู้เฒ่าเปลือยเท้านั่งขัดสมาธิอยู่ในห้อง น้ำเสียงที่เอ่ยตอบแฝงไว้ด้วยความโกรธเกรี้ยว “จะไม่พิจารณาอีกสักหน่อยรึ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “จะมัวถ่วงเวลาล่าช้าไม่ได้ ต้องรีบไปทันที”
ผู้เฒ่าแค่นเสียงเย็น “ระยำ!”
เฉินผิงอันระอาใจ หันหน้ามาพูดกับเว่ยป้อแทน “พวกเราเดินทางไปที่ภูเขาอู๋ถงกันเถอะ”
หร่วนซิ่วยืนโบกมือเบาๆ อยู่ข้างราวระเบียง
เฉินผิงอันยังคงสวมรองเท้าสานที่ตัวเองคุ้นเคยมากที่สุด ในอ้อมอกกอดกระบี่ยาวเล่มใหม่ที่ใช้ผ้าฝ้ายห่อไว้อย่างแน่นหนา ตรงเอวรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีแดง สะพายกระบี่ไม้ไหวไว้ด้านหลังหนึ่งเล่ม นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรอีก
เขาอยากจะพูดอะไรกับหร่วนซิ่วสักหน่อย แต่รู้สึกว่าอาจจะเกินความจำเป็น จึงเกาหัว พูดเบาๆ ว่า “แม่นางหร่วน รักษาตัวด้วยนะ”
ขนตาของเด็กสาวชุดเขียวสั่นไหวเล็กน้อย นางพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มอ่อนบาง
เฉินผิงอันหันไปกำชับเด็กน้อยสองคน “วันหน้าต้องตั้งใจฝึกตนอยู่บนภูเขาลั่วพั่วให้ดี หากเจอปัญหาก็อย่าวู่วาม พวกภูเขาที่ซื้อไว้นอกจากจ่ายเงินตอนซื้อแล้วก็ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรอีก ไม่จำเป็นต้องเสียดาย ข้าพูดกับเทพภูเขาเว่ยไว้แล้วว่า หากมีเรื่องอะไรให้ทนไม่ไหวจริงๆ ก็ให้เขาใช้วิชาอภินิหารย้ายเรือนไม้ไผ่ไปที่ภูเขาพีอวิ๋น พวกเจ้าไปหลบอยู่ที่นั่นก็ไม่มีเรื่องแล้ว อีกอย่างยังมีท่านผู้อาวุโสช่วยดูแลเรือนไม้ไผ่ให้ พวกเจ้าจึงไม่ต้องกังวลอะไร”
เฉินผิงอันที่จู้จี้ขี้บ่นแบบนี้ เป็นครั้งแรกที่เด็กชายชุดเขียวรำคาญไม่ลง
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกำชายแขนเสื้อของนายท่านตัวเองเอาไว้แน่น ใบหน้าเล็กๆ สีขาวอมชมพูมีน้ำตาร่วงเผลาะๆ ลงเป็นสาย อาลัยอาวรณ์อย่างถึงที่สุด
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง ครั้งนี้เดินทางฉุกละหุกเกินไป ไม่อาจกลับไปที่บ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิงได้ แม้แต่หลุมศพของบิดามารดาก็ยังไม่ได้ไปไหว้ หากจะบอกว่าเฉินผิงอันไม่เสียดายเลยต้องโกหกแน่ แต่ในเมื่อเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ก็คือช่วยไม่ได้ เฉินผิงอันรู้จักหนักเบา รู้จักรีบรู้จักผ่อน
ต้องรู้ว่าครั้งนี้ที่ตนเดินทางไปส่งกระบี่ยังทิศใต้ถือเป็นแผนการที่เกิดจากการร่วมมือกันของหยางเหล่าโถว หร่วนฉงและเว่ยป้อ หยางเหล่าโถวนั้นมีสาเหตุมาจากคนจิ๋วควันธูปสีทอง ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนครั้งหนึ่งระหว่างเขากับเฉินผิงอัน หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือระหว่างเขากับอาจารย์ฉี จึงต้องการช่วยให้เฉินผิงอันไปให้ห่างจากที่แห่งนี้ ส่วนสาเหตุที่ทำไมต้องไปก็เพราะคำว่า ‘ผิดและถูก’ เพราะก่อนหน้านี้หลีซีเซิ่งก็เคยเอ่ยว่า ‘สถานที่แห่งนี้ไม่ควรอยู่นาน’ เฉินผิงอันจึงเชื่ออย่างไร้ข้อกังขา
เว่ยป้อยื่นมือมากดไหล่เฉินผิงอัน “อาจจะเวียนหัวนิดหน่อยนะ”
เฉินผิงอันตอบยิ้มๆ “ตกลง”
เมื่อได้ขัดเกลาหล่อหลอมวิถีวรยุทธ์ขอบเขตที่สาม เฉินผิงอันต้องไปเดินผ่านหน้าประตูผีมาทุกวัน สำหรับเรื่องการทนรับความยากลำบากนั้นจึงไม่ต่างอะไรจากการกินกับข้าวพื้นๆ ในแต่ละวัน
ก็เหมือนกับตอนที่คิดว่าวันนี้ วันพรุ่งนี้ หลังจากนี้ไม่ต้องฝึกหมัดอีกแล้ว แม้จะมีความรู้สึกดีใจซึ่งเป็นอารมณ์ปกติของคนทั่วไปอยู่บ้าง แต่ที่มากกว่านั้นกลับเป็นความรู้สึกวูบโหวงเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง
เฉินผิงอันมองไปทางหร่วนซิ่วและเด็กน้อยสองคน “ไปแล้วนะ!”
เงาร่างของเว่ยป้อและเฉินผิงอันหายวับไปอย่างเงียบเชียบ แม้แต่ลมเย็นๆ สักระลอกก็ยังไม่ปรากฏที่ระเบียงใต้ชายคา
ข้างราวระเบียง เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูพึมพำเสียงเบา “พี่หญิงหร่วน นายท่านของข้าต้องคิดถึงท่านแน่นอน”
เด็กชายชุดเขียวโยนหินดีงูธรรมดาก้อนหนึ่งเข้าปาก พูดจาเหลวไหลด้วยสีหน้าจริงจัง “นั่นมันแน่อยู่แล้ว ทุกวันเวลานอนหลับฝันนายท่านยังต้องเรียกหาแม่นางซิ่วซิ่ว น่าอายจะตายไป”
หร่วนซิ่วย่อมไม่คิดเป็นจริงเป็นจัง แต่ก็ยังอดหัวเราะอย่างอารมณ์ดีไม่ได้
……
เว่ยป้อและเฉินผิงอันมาปราฎตัวอยู่ในป่าที่เงียบสงบแห่งหนึ่งตรงตีนเขาอู๋ถง เว่ยป้อบอกให้เฉินผิงอันรอสักครู่ เขาหายไปแปบเดียวก็กลับมา เอาฝักกระบี่ไม้ไหวลักษณะแปลกประหลาดมาด้วยหนึ่งชิ้น ฝักกระบี่นี้สามารถเสียบกระบี่ได้สองเล่มในเวลาเดียวกัน เป็นฝักแบบที่ใช้ใส่กระบี่คู่ จากนั้นจึงบอกให้เฉินผิงอันเอากระบี่ยาวในอ้อมอกกับกระบี่ไม้ไหวที่สะพายอยู่ด้านหลังใส่มาข้างใน
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงกลายมาเป็นจอมยุทธ์พเนจรที่ด้านหลังสะพายกระบี่คู่ ตรงเอวห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าไว้ลูกหนึ่ง ทำให้เขามีกลิ่นอายของคนในยุทธภพอยู่หลายส่วน
เว่ยป้อเดินวนรอบตัวเฉินผิงอันหนึ่งรอบแล้วก็เอ่ยยิ้มๆ “โอ้โห ดูดีจริงๆ นะเนี่ย”
เฉินผิงอันยิ้มกว้าง
จากนั้นก็ตามเว่ยป้อเดินขึ้นเขาไป
เพราะกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าสามสิบหมัดเปลี่ยนมาเป็นสามสิบเอ็ดหมัด หนึ่งหมัดที่เพิ่มมานั้นกลับทำให้ปณิธานหมัดในร่างของเฉินผิงอันค่อยๆ อำพรางตนได้อย่างมิดชิด หนักแน่นและสุขุมมากขึ้น
ประหนึ่งกระบี่ที่เสียบเก็บกลับลงฝัก
เว่ยป้อยังคงสวมชุดสีขาวชายแขนเสื้อกว้าง เฉินผิงอันสะพายกระบี่ห้อยน้ำเต้า คนหนึ่งคือเทพเซียนล่องลอย อีกคนคือเด็กหนุ่มที่มีกลิ่นอายของจอมยุทธ์
เฉินผิงอันพยายามข่มกลั้นเอาไว้ แต่สุดท้ายก็อดไม่ไหวจนต้องถามออกไป “เว่ยป้อ เมืองเล็กอันตรายมากเลยใช่ไหม?”
เว่ยป้อพยักหน้ารับ “ลองจินตนาการดูสิ หากเจียวและมังกรกรูกันเข้าไปในบ่อน้ำเล็กๆ บ่อหนึ่งพร้อมกัน พวกมันแค่ส่ายสะบัดหางครั้งหนึ่งก็ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สูงเทียมฟ้าได้แล้ว และหากคลื่นนั้นกระแทกตัวออกไปก็สามารถทำให้เรือนกายของผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางคนหนึ่งแหลกสลาย เจ้าน่ะ แม้จะไม่ใช่บุคคลที่ผู้ยิ่งใหญ่บางคนให้ความสำคัญก็จริง แต่ขอแค่อยู่ในกระดานหมากตานี้ด้วย ต่อให้จะเป็นตัวหมากที่ไม่สะดุดตามากแค่ไหนก็ยังเลือกว่าตัวเองจะอยู่หรือตายไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นการที่หยางเหล่าโถวให้เจ้าออกมาจากเขตการปกครองหลงเฉวียนทันทีก็ถูกต้องแล้ว และการที่เจ้าคิดได้ ไม่ต่อต้าน ก็ดีมาก”
เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “เดิมทีข้าก็อยากออกไปเดินดูโลกภายนอกอยู่แล้ว จะได้อาศัยโอกาสนี้มาขัดเกลาวิถีวรยุทธ์ของตน ช่วงชิงโอกาสในการฝ่าทะลุขอบเขตให้กับตัวเอง”
เว่ยป้อถามอย่างใคร่รู้ “ผู้อาวุโสในเรือนไม้ไผ่ยังอารมณ์เสียอยู่เลย เจ้าไปปฏิเสธอะไรเขาหรือเปล่า?”
เฉินผิงอันไม่อยากอธิบายรายละเอียด เพราะมันเกี่ยวพันกับเรื่องส่วนตัวของผู้เฒ่า แต่ช่วงที่ผ่านมานี้เว่ยป้อต้องวิ่งวุ่นช่วยเหลือเขาหลายอย่าง บวกกับที่มีความสัมพันธ์กับอาเหลียง รวมไปถึงการที่เว่ยป้อป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาอย่างจริงใจ เฉินผิงอันไม่ถือสาหากจะเลือกเรื่องบางส่วนมาพูด เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้ารู้แค่ว่ามีเทพเซียนลัทธิเต๋าคนหนึ่งที่ร้ายกาจมากมาเยือนเมืองเล็ก ท่านผู้อาวุโสบอกว่าจะมอบโชควาสนาเทียมฟ้าให้กับข้า โดยให้ข้ามองดูการต่อสู้ระหว่างเขากับเทพเซียนคนนั้น เพื่อทำความเข้าใจกับสัจธรรมแห่งปณิธานหมัด บรรลุได้กี่ส่วนก็เท่านั้น ไม่แน่ว่าอาจจะเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ได้ในรวดเดียว อีกทั้งยังเป็นขอบเขตสี่ที่มีรากฐานแน่นหนาที่สุดด้วย”
เฉินผิงอันหยุดไปเล็กน้อยก็กล่าวต่อว่า “ข้าถามผู้อาวุโสว่ามีโอกาสจะชนะกี่ส่วน ผู้อาวุโสตอบตามตรงว่า แม้แต่โอกาสรอดสักเสี้ยวเดียวก็ไม่มี แพ้แน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะตอนนี้เขายังไม่กลับสู่ขั้นสูงสุดของวิถีวรยุทธ์ ต่อให้ถึงแล้วก็ยังไม่มีโอกาสชนะอยู่ดี ตอนนั้นข้าแปลกใจมาก ในเมื่อรู้ว่าต้องแพ้ แล้วทำไมถึงยังคิดจะสู้ ผู้อาวุโสบอกว่าความปรารถนาสูงสุดในชีวิตนี้ของเขาก็คือได้ต่อสู้กับนักพรตบางคนที่มีชื่อเสียงว่าต่อสู้เก่งที่สุดสักครั้ง แบบนั้นถึงจะเรียกว่าไม่เสียชาติเกิด ในเมื่อแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นั้นสนิทกับนักพรตลัทธิเต๋าที่ได้สมญานามว่า ‘ไร้เทียมทาน’ อย่างมาก ก็ลองสู้กับเขาก่อนสักครั้ง ลองชั่งน้ำหนักของตัวเองว่ามีมากน้อยเท่าไหร่ จะได้รู้ระยะห่างระหว่างสองฝ่ายว่าไกลแค่ไหน ส่วนเรื่องที่บอกว่าจะช่วยให้ข้าเลื่อนสู่ขอบเขตสี่โดยการมอบโชควาสนาให้นั้นก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้”
เฉินผิงอันพูดเหมือนเยาะตัวเอง “แน่นอนว่าข้าเองก็มีใจที่เห็นแก่ตัว ข้าไม่อยากไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ครั้งนี้ เพราะมันอาจทำให้เจ้า หยางเหล่าโถวและช่างหร่วนเสียเวลากันไปอย่างเปล่าประโยชน์ และยิ่งไม่อยาก…ไม่อยากให้อาจารย์ฉีผิดหวัง ดังนั้นข้าจึงบอกความคิดของตัวเองกับท่านผู้อาวุโสไปตามตรง ผู้เฒ่าโกรธก็จริง แต่ก็ไม่ได้ซ้อมข้า แค่ด่าว่าต่อมความกล้าหาญของข้าเล็กยิ่งกว่าเมล็ดข้าวสาร เขาก็ด่าของเขาไป ข้าก็เกลี้ยกล่อมของข้าไป เกลี้ยกล่อมเขาว่าไม่ว่าจะอย่างไร รอให้วิถีวรยุทธ์กลับคืนสู่จุดสูงสุดก่อนค่อยต่อสู้กันก็ยังไม่สาย ไม่อย่างนั้นเวลาต่อสู้จะไม่สาแก่ใจมากพอ อันที่จริงผู้อาวุโสก็ฟังที่ข้าพูดนะ แม้ปากเขาจะไม่เอ่ยอะไร แต่ในใจก็คงรู้สึกว่าหากไม่ได้ออกหมัดอย่างเต็มกำลัง นั่นต่างหากที่จะทำให้เขาต้องเสียดายอย่างแท้จริง ดังนั้นสุดท้ายแล้วเขาจึงล้มเลิกความคิดที่จะต่อสู้นี้ไป ก็แค่ไม่ได้ทำหน้าดีๆ ให้ข้าเห็นก็เท่านั้น ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในเรือนไม้ไผ่เจ้าก็ได้ยินแล้วว่าน้ำเสียงเขายังมีโทสะอยู่เลย”
จู่ๆ เฉินผิงอันก็หัวเราะอย่างเข้าใจ “อันที่จริงผู้อาวุโสก็ไม่ต่างจากเด็กโข่งสักเท่าไหร่”
เว่ยป้อเช็ดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผากทิ้ง หากสู้กันขึ้นมาจริงๆ คงจบเห่กันหมดแน่
—–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น