กระบี่จงมา 203.1-204.1

 บทที่ 203.1 เด็กหนุ่มผีขี้เหล้า

โดย

ProjectZyphon

ไม่รู้ว่าผู้เฒ่าเปลือยเท้าเดินออกมาจากเรือนไม้ไผ่ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขามาหยุดยืนอยู่ริมหน้าผา ข้างกายเฉินผิงอัน ถามยิ้มๆ ว่า “ทำไม ผ่านด่านใหญ่มาได้แล้วก็เลยหวนรำลึกถึงอดีตอันขมขื่น และขอบคุณ ปัจจุบัน ที่หอมหวนอย่างนั้นรึ?”


เฉินผิงอันถูกขัดจังหวะความคิด หลังคืนสติแล้วก็ดื่มเหล้าหนึ่งอึก หันหน้ามาพูดยิ้มๆ “แบบนี้ไม่ค่อยดีเลยใช่ไหม?”


ผู้เฒ่าสวมชุดผ้าป่านสีขาวเนื้อหยาบ ดูสะอาดเอี่ยมแปลกตาไปจากเดิม “ไม่ค่อยดี? ดียิ่งนักล่ะ คนมีชีวิตอยู่แต่ไม่มีความหวัง ชีวิตก็คงไร้รสชาติ ทนความลำบากได้ แต่ก็ต้องก็รู้จักหาความสุขใส่ตัว นี่ต่างหากถึงเรียกว่าวีรบุรุษที่แท้จริง ยามที่ยากลำบากอย่าเอาแต่บ่นกับทุกคนที่พบเจอว่าชีวิตข้าลำบากแสนเข็ญยิ่งนัก นั่นไม่ต่างจากเด็กผู้หญิง เวลาที่เสวยสุขก็จงรับไปอย่างสบายใจ ในเมื่อเป็นวันเวลาดีๆ ที่ช่วงชิงมาได้โดยอาศัยความสามารถของตัวเอง แล้วทำไมจะต้องเอาแต่แอบมีความสุขอยู่ใต้ผ้าห่มคนเดียวด้วย?”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “บางคำพูดหากพูดออกมา ท่านผู้อาวุโสอาจจะไม่ชอบใจนัก แต่นั่นเป็นความรู้สึกในใจข้าจริงๆ ท่านผู้อาวุโสอยากจะฟังหรือไม่? ข้าไม่เคยพูดกับใครเลย ต่อให้เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของข้าอย่างหลิวเสี้ยนหยางก็ไม่เคยได้ฟัง”


ผู้เฒ่าเปลือยเท้านั่งยองอยู่ข้างเก้าอี้ไม้ไผ่ที่เด็กหนุ่มนั่งอยู่ “อ้อ? เรื่องน่าอเนจอนาถที่เจ้าเจอมาตอนเด็กงั้นรึ? ได้สิ ไหนลองพูดให้ข้าผู้อาวุโสอารมณ์ดีหน่อยสิ”


เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึก ไม่ได้ขุ่นเคือง เขายื่นน้ำเต้าสีชาดมาให้ ผู้เฒ่าโบกมือบอกว่ารังเกียจเหล้าชั้นต่ำ เฉินผิงอันจึงเริ่มพูดเปิดใจช้าๆ “ต่อให้ทุกวันที่ข้าฝึกวิชาหมัดจะต้องร้องโหยหวน แถมยังแอบร้องไห้อยู่หลายครั้ง รู้สึกว่าจะถูกท่านผู้อาวุโสต่อยจนตาย แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้ ข้าก็ยังรู้สึกว่าช่วงเวลาที่ยากลำบากมากที่สุดในชีวิตก็คือตอนเด็ก มีครั้งหนึ่งข้าขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรเพียงลำพัง ข้าจำได้อย่างชัดเจน วันนั้นแดดแรงมาก ข้าแบกตะกร้าใบใหญ่ที่สูงพอๆ กับตัวของข้า ตอนนั้นข้าโลภมาก คิดว่าเมื่อสะพายตะกร้าใบใหญ่ก็จะใส่สมุนไพรไว้ได้เยอะๆ ท่านแม่ข้าก็จะหายป่วยเร็วขึ้น แต่พอเดินไปเดินมา หนังบนไหล่พอถูกเชือกเสียดสีก็ถลอก พอถูกแดดส่อง เหงื่อไหลทับก็ยิ่งปวดแสบปวดร้อน ประเด็นสำคัญก็คือตอนนั้นข้าเพิ่งจะเดินออกจากเมืองเล็ก พอคิดว่าหากต้องเจ็บปวดแบบนี้ไปครึ่งวันหรือทั้งวัน ข้าก็เริ่มมีใจคิดอยากตายแล้ว”


ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด


เขาไม่ได้หัวเราะเฉินผิงอัน แต่หัวเราะเพราะนึกถึงลูกหลานสกุลชุยที่มีชีวิตสุขสบาย สวมอาภรณ์ผ้าแพร กินอาหารรสเลิศ สืบทอดตำแหน่งขุนนางกันมาทุกยุคทุกสมัย เป็นตระกูลชนชั้นสูงของแจกันสมบัติทวีป แต่เวลาที่เจ้าลูกหมาพวกนั้นฝึกหมัด เพิ่งจะฝึกยืนนิ่ง แต่ละคนก็ทำท่าเหมือนได้รับความอยุติธรรมอย่างรุนแรง กลับไปถึงบ้านตัวเองก็ฟ้องพ่อฟ้องแม่ หรือไม่พอถึงช่วงหน้าหนาว สวมเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกห่อตัวเหมือนบะจ่าง พอต้องไปนั่งเรียนคาบเช้ากลับรู้สึกว่าตัวเองเจอกับความยากลำบากที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้า ถึงคืนวันสิ้นปีก็ดีแต่จะออดอ้อนขอเงินอั่งเปาจากผู้อาวุโสในบ้านซองใหญ่ๆ ผู้เฒ่าเห็นแล้วขัดหูขัดตา แต่พวกพี่ๆ น้องๆ วัยเดียวกันกับเขากลับติดกับ ถึงได้พูดกันอย่างไรล่ะว่าเด็กที่ร้องไห้เป็นมักจะมีลูกอมให้กิน


เฉินผิงอันพูดต่อ “ครั้งที่สองคือความหิวโหย ข้าวสารในบ้านเหลือก้นถังแล้ว ของที่ขายได้ก็เอาไปขายหมดแล้ว หิวมาทั้งวัน แต่ก็หน้าบางเกินกว่าจะไปขอร้องคนอื่น จึงเดินไปเดินมาอยู่ในตรอก คิดว่าหากมีใครมาทักข้า ถามข้าว่าอยากกินข้าวไหม ข้าก็จะถือโอกาสไปกินด้วย หน้าหนาวปีนั้นหนาวมากจริงๆ นะ ช่วงฤดูร้อน ฤดูใบไม้ผลิยังไม่เป็นอะไร เพราะต่อให้บ้านจะยากจนแค่ไหน มีเสื้อผ้าน้อยก็ไม่เป็นไร อีกอย่างยังสามารถขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรหาเงินมาได้ ทุกครั้งที่เก็บสมุนไพรก็ยังเก็บเอาผักป่า ผลไม้ป่าติดมือกลับบ้านมาด้วย หรือไม่ก็ไปขอยืมค้อนเหล็กจากเพื่อนบ้าน เอาไปตีหินในแม่น้ำ ปลาน้อยที่ซ่อนอยู่ใต้หินก็จะถูกแรงสะเทือนมึนงงจนลอยขึ้นมาให้จับ กลับบ้านเอามาตากบนกำแพง ไม่ต้องทาน้ำมันหรือโรยเกลือ แค่ตากให้แห้งก็กินได้แล้ว แถมอร่อยด้วย แต่นั่นเป็นหน้าหนาว ช่วยไม่ได้จริงๆ หากไม่ไปขอคนอื่นก็ต้องหิวตาย จะทำอย่างไรดี ตอนแรกยังหน้าบาง พร่ำบอกกับตัวเองว่า เฉินผิงอัน เจ้ารับปากท่านแม่แล้วว่าวันหน้าจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี แต่นี่พ่อแม่เพิ่งจะจากไปได้แค่ปีเดียวจะทำตัวไม่ต่างจากขอทานได้อย่างไร? ดังนั้นตอนนั้นข้าจึงนอนอยู่บนเตียง คิดว่าทนเอาหน่อยเดี๋ยวความหิวก็จะหายไป ไหนเลยจะรู้ว่าหิวก็คือหิว ไม่มีหรอกที่หิวแล้วจะหมดสติ กลับกลายเป็นว่ายิ่งหิวก็ยิ่งมีสติแจ่มชัด ช่วยไม่ได้ ลุกขึ้นจากเตียงเดินออกจากบ้าน เริ่มไปเดินเตร่อยู่ในซอยอีกรอบ มีหลายครั้งที่อยากจะเคาะประตู แต่ก็หดมือกลับไปเหมือนเดิม ให้ตายก็เปิดปากพูดขอร้องใครไม่ได้ ภายหลังข้าจึงบอกกับตัวเองว่า จะเดินจากหน้าตรอกไปถึงท้ายตรอกหนีผิงเป็นครั้งสุดท้าย หากยังไม่มีใครเปิดประตูมาพูดกับข้าว่า ผิงอันน้อย ดึกขนาดนี้แล้วกินข้าวหรือยัง ถ้ายังไม่กินก็เข้ามากินข้าวเถอะ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไปเคาะประตูขอร้องคนอื่นจริงๆ แล้ว เพียงแต่ข้าสาบานกับตัวเองในใจเงียบๆ ว่า โตขึ้นเมื่อไหร่ จะต้องตอบแทนคนที่ให้ข้าวข้ากินเป็นอย่างดี สุดท้ายข้าจึงเริ่มเดินจากทางฝั่งบ้านบรรพบุรุษตระกูลเฉา ผลกลับกลายเป็นว่าเดินไปถึงปลายอีกฝั่งที่เป็นบ้านของกู้ช่านก็ยังไม่มีใครมาเปิดประตู”


ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ พูดอย่างไม่คิดจะเห็นใจกันแม้แต่น้อย “ยังไงล่ะ สุดท้ายไปเคาะประตูบ้านของใครเข้า? เขายอมเปิดรับเจ้าให้เข้าไปกินข้าวที่บ้านไหม?”


เฉินผิงอันกล่าวมาถึงตรงนี้ สีหน้ากลับไม่ได้ห่อเหี่ยวสักเท่าไหร่ กลับกันยังเต็มไปด้วยชีวิตชีวา คล้ายเพิ่งดื่มเหล้ารสเลิศที่อร่อยที่สุดเข้าไป “ข้าเลยได้แต่เดินร้องไห้กลับบ้าน แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว สุดท้ายประตูบ้านด้านหลังมีเสียงแอดดังขึ้น ตอนแรกข้ายังไม่กล้าหันกลับไป แต่มีคนเอ่ยทักข้า ข้าเลยรีบปาดน้ำตา หันหน้ากลับไป เห็นว่าในมือของเพื่อนบ้านถือกระถางไฟใบหนึ่ง ก็คือกระถางไฟใบเล็กที่ผิวด้านนอกทำจากทองแดงมีหูหิ้วทำจากไม้ไผ่ถักน่ะ แบบที่สามารถหิ้วเดินไปมาได้ นางเห็นข้าแล้วก็เหมือนว่าจะแปลกใจมากเหมือนกัน”


ผู้เฒ่าจุ๊ปากพูด “สวรรค์มีทางออกให้คนเสมอ เจ้าก็เลยได้กินข้าวอิ่มไปหนึ่งมื้อ?”


เฉินผิงอันเช็ดหน้าตัวเองอย่างแรง บนใบหน้ามีแต่น้ำตา แต่เขากลับยิ้มกว้าง “เปล่าสักหน่อย เพื่อนบ้านคนนั้นคิดแล้วก็ถามข้ายิ้มๆ ว่า ผิงอันน้อย เจ้าเข้าไปเก็บสมุนไพรในภูเขาได้ เจ้ารู้จักสมุนไพรจริงๆ หรือ? แน่นอนข้าต้องตอบว่ารู้จัก อีกอย่างข้าก็ไม่ได้โม้จริงๆ สองปีนั้นข้าขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรทุกๆ สองสามวัน จึงชินทางยิ่งกว่าเดินในตรอกหนีผิงซะอีก นางเลยยิ้ม กวักมือเรียกข้า พูดเสียงดังว่า ‘แบบนั้นก็ดีเลย ผิงอันน้อย เจ้ามานี่หน่อย ข้ามีเรื่องจะขอร้องเจ้า ร่างกายข้าทนความหนาวไม่ได้ จำเป็นต้องใช้สมุนไพรสองสามชนิดมาต้มเป็นยาบำรุงร่างกาย แต่คนร้านตระกูลหยางใจดำเกินไป ขายยาแพงเกินไป ข้าซื้อไม่ไหวหรอก ผิงอันน้อยหลังเริ่มฤดูใบไม้ผลิเจ้าขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรมาให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ ข้าจะให้เงินเจ้า แต่ราคาอาจจะต่ำสักหน่อย’”


เฉินผิงอันพูดเสียงเบา “ข้าเลยเดินไปหานาง พูดคุยตกลงกับนาง นางยื่นกระถางไฟส่งมาให้ข้า พอคุยกันเสร็จ นางเห็นว่าข้าไม่ขยับเท้าจึงถามยิ้มๆ ว่า ทำไม ยังไม่ได้กินข้าวเลยคิดจะมาหลอกกินเปล่าๆ งั้นสิ? ไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าจะคิดรวมกับค่ายาสมุนไพร ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่ให้เจ้าเข้าประตูบ้านนี้มาหรอก!”


เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม ทอดสายตามองไปไกลๆ “หลังจากที่พ่อแม่ของข้าตายไป สายตาแบบไหนบ้างที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน คนวัยเดียวกันมักจะด่าว่าข้าเป็นตัวหายนะพิฆาตให้พ่อแม่ของตัวเองตาย ต่อให้ข้าแค่มองพวกเขาเล่นว่าวอยู่ไกลๆ หรือลงน้ำไปจับปลาก็ยังถูกบางคนหยิบหินมาขว้างใส่ และยังมีผู้ใหญ่บางคนที่ชอบด่าข้าว่าลูกไม่มีพ่อ บอกว่าเด็กต่ำตมอย่างข้า ต่อให้ไปเป็นวัวเป็นม้าบ้านคนรวยเขาก็ยังรังเกียจว่าสกปรก ขัดหูขัดตาผู้คนยิ่งกว่าเศษกระเบื้องแตกๆ บนภูเขากระเบื้องเสียอีก แต่วันนั้นที่ผู้หญิงคนนั้นคุยกับข้า บอกข้าว่าต้องจ่ายเงินถึงจะกินข้าวได้ ท่านผู้อาวุโสคงไม่รู้ว่าตอนนั้นข้าดีใจแค่ไหน ตอนที่เข้าไปกินข้าวในบ้านของนาง น้ำตาข้าไหลเต็มหน้าอย่างไม่เอาไหน นางจึงพูดล้อว่า โอ้โห ผิงอันน้อย ฝีมือทำอาหารของข้าดีเกินไปหรือแย่เกินไปกันแน่เนี่ย ถึงขนาดทำให้คนกินน้ำตาไหลได้? ตอนนั้นข้าได้แต่ก้มหน้าก้มตาพุ้ยข้าว พูดว่าอร่อย”


ผู้เฒ่าอืมรับหนึ่งที ก่อนเอ่ยเตือนว่า “ตอนนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า อันที่จริงเพื่อนบ้านคนนั้นอยากช่วยเจ้า? แต่แค่เปลี่ยนมาใช้วิธีที่ดีกว่า”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตอนแรกก็ไม่คิด ภายหลังบัญชีกินข้าวถูกจดไว้หลายครั้งเข้า ข้าก็เริ่มเข้าใจ”


เพื่อนบ้านคนนั้นก็คือมารดาของกู้ช่าน


ทุกครั้งที่มารดากู้ช่านทะเลาะกับคนอื่น เฉินผิงอันจะยืนดูอยู่ข้างๆ หลายครั้งที่ทะเลาะกันแรงไป นางจะต้องถูกผู้หญิงกลุ่มหนึ่งโอบล้อมรุมเข้าไปข่วนหน้าจิกผม ถึงเวลานั้นเฉินผิงอันก็จะวิ่งออกไปปกป้องนาง ปล่อยให้ผู้หญิงทั้งหลายระบายความโมโหใส่ตัวเองแทนโดยไม่คิดจะตอบโต้


ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนดีเกินเหตุ


ไม่ว่าชื่อเสียงของมารดากู้ช่านในตรอกหนีผิงและตรอกซิ่งฮวาจะแย่แค่ไหน แต่สำหรับเฉินผิงอันแล้วนางก็คือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ หากคนดีแบบนี้ เขายังไม่รู้จักคิดตอบแทน เฉินผิงอันก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่คนแล้ว


ยกปลาหนีชิวตัวน้อยให้กู้ช่านไปตัวหนึ่งจะทำไม แล้วพอรู้ว่ามันคือโชควาสนาครั้งใหญ่แล้วจะทำไม


เฉินผิงอันไม่เคยเสียดายแม้แต่น้อย


เมื่อโลกใบนี้มอบความหวังดีให้กับตนก็ควรรู้จักทะนุถนอมและเห็นค่า ไม่ว่าความโชคดีนั้นจะใหญ่หรือเล็กก็ตาม


ดังนั้นตอนที่ผู้เฒ่าเหยาซึ่งถือว่าเป็นอาจารย์สอนเผาเครื่องปั้นของเขาครึ่งตัวเอ่ยประโยคนั้น เฉินผิงอันจึงรู้สึกว่านั่นเป็นเหตุผลที่ดีที่สุดในใต้หล้า


หากเป็นของเจ้าก็คว้าเอาไว้ให้ดี แต่หากไม่ใช่ของเจ้าก็ไม่ต้องคิดให้มากความ


ใต้หล้านี้ไม่มีใครที่ติดค้างเจ้า แต่หากเจ้าติดค้างคนอื่นก็อย่าทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น


ภายหลังเฉินผิงอันก็ยังปฏิบัติต่อหลิวเสี้ยนหยางในแบบเดียวกัน


ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรไม่เหมาะที่จะใช้เป็นแผนในระยะยาว เป็นหลิวเสี้ยนหยางที่สอนเฉินผิงอันว่าควรจะวางกับดักดักสัตว์อย่างไร ควรจะทำธนูอย่างไร ควรจะตกปลาอย่างไร พอไปเป็นช่างปั้นในเตาเผามังกรก็ยังเป็นหลิวเสี้ยนหยางซึ่งอายุมากกว่าเล็กน้อยที่คอยปกป้องเฉินผิงอัน


เฉินผิงอันมีชีวิตยากลำบากตั้งแต่เด็กน้อยมาจนเป็นเด็กหนุ่ม มีชีวิตอยู่รอดจนถึงวัยที่เลี้ยงตัวเองได้ แม้เขาจะเต็มใจใช้เหตุผลกับคนอื่น แต่หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกู้ช่านหรือหลิวเสี้ยนหยาง ยกตัวอย่างเช่นเรื่องของวานรย้ายภูเขาในครั้งนั้น เฉินผิงอันก็ไม่คิดจะใช้เหตุผลห่าเหวอะไรทั้งนั้น ขอแค่ความสามารถมากพอ ถ้าอย่างนั้นเขาก็ยอมตายเพื่อสิ่งนี้


——————————-


บทที่ 203.2 เด็กหนุ่มผีขี้เหล้า

โดย

ProjectZyphon

เฉินผิงอันเคยพูดกับแม่นางต่างถิ่นคนหนึ่งว่า หากวันหน้าตนเจอผู้หญิงที่ดีได้อย่างมารดาของตน ต่อให้นางจะถูกมรรคาจารย์เต๋าอะไรนั่นรังแก เขาก็จะยังม้วนแขนเสื้อพร้อมมีเรื่องเพื่อนาง จะสู้ได้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เต็มใจสู้เพื่อภรรยาของตัวเองหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่งผู้หญิงที่ดีขนาดนั้นมาเป็นภรรยา แต่กลับไม่รู้จักถนอมนาง เฉินผิงอันให้รู้สึกละอายใจ


แน่นอนว่าแม่นางที่ดีแบบนั้น เฉินผิงอันคิดว่าตัวเองหาเจอแล้ว แต่ยังไม่ได้บอกให้นางรู้ ดังนั้นหลังจากนี้จึงต้องเดินทางท่องยุทธภพสักครั้ง


เขาจะต้องสะพายกระบี่สองเล่มที่ตัวเองแอบตั้งชื่อให้ว่า ‘กำจัดปีศาจ’ ‘ปราบมาร’ เดินไปหยุดตรงหน้านาง ปลุกความกล้าบอกกับนางดังๆ ว่า “แม่นางหนิง หนิงเหยา! ไม่ว่าเจ้าจะชอบข้าหรือไม่ ข้าก็ชอบเจ้า ชอบเจ้ามาก!”


ส่วนเรื่องที่ว่าจะโดนตบ หรือเป็นเพื่อนกันไม่ได้อีกต่อไป ก็ขอให้เขาบากหน้าหนาๆ ไปพูดกับนางก่อนแล้วค่อยว่ากัน!


ผู้เฒ่าแย่งน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาจากมือเฉินผิงอัน เงยหน้ากรอกเข้าปากอึกใหญ่ แต่กลับไม่ได้โยนคืนให้เฉินผิงอันในทันที เขากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เหล้านี่ห่วยแตกจริงๆ เจ้าพูดต่อสิ เรื่องหยุมหยิมที่ถูกดองเก็บมานานปีก็ได้แค่คู่ควรจะเป็นกับแกล้มเหล้าชั้นเลวกานี้นี่แหละ”


เฉินผิงอันครุ่นคิด สอดมือสองข้างไว้ในชายแขนเสื้อ “หลังผ่านหน้าหนาวปีนั้นไปได้ก็เหมือนว่าข้าจะฉลาดขึ้น หนังหน้าหนาขึ้น หากหิวจนทนไม่ไหวจริงๆ ก็จะไปขอข้าวคนอื่นกิน จากนั้นก็จำไว้ขึ้นใจทุกครั้ง คิดว่าหลังผ่านหน้าหนาวไปแล้วก็ขึ้นเขาไปหาเงินมาคืนให้พวกเขาได้แล้ว แล้วพอมีคนแก่ใจดีบางคนเอาเสื้อผ้าเก่าๆ มามอบให้ข้า ข้าก็ไม่รู้สึกลำบากใจ ไม่พูดว่าที่บ้านไม่ขาดของอีกต่อไป แต่รับมาไว้โดยดี หลายปีนั้นข้าพยายามขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรให้ได้มากที่สุด แต่เงินที่หามาได้ก็ยังน้อยมาก เพราะว่าเรี่ยวแรงมีน้อยเกินไป แถมสมุนไพรดีๆ ที่ร้านตระกูลหยางต้องการก็หายากมาก นี่เป็นเรื่องปกติ สมุนไพรที่หาได้ง่ายๆ ไหนเลยจะทำเงินเป็นกอบเป็นกำให้ข้าได้ ถูกไหม? ดังนั้นข้าจึงเปลี่ยนมาเป็นให้ความช่วยเหลือพวกเพื่อนบ้านแทน ตอนเช้าไปช่วยตักน้ำที่บ่อโซ่เหล็กให้พวกเขา พอเป็นช่วงฤดูทำนาก็จะไปช่วย ตอนกลางคืนข้าจะต้องไปนั่งเฝ้าช่วยแย่งน้ำมาให้พวกเขา หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกคนอื่นมาตัดช่องทางน้ำ ข้าไม่กล้าทำให้ใครเห็นโจ่งแจ้ง จำเป็นต้องไปหลบอยู่ไกลๆ รอให้พวกชายฉกรรจ์จากไปเสียก่อน ถึงได้กล้าขุดร่องดินดึงน้ำเข้ามาในนาของเพื่อนบ้าน เฝ้ารอจนน้ำเต็มในนาแล้วถึงจะเอาดินกลบกลับคืนในร่องน้ำน้อยนั่นอีกครั้ง เพราะเรื่องนี้ข้ายังเคยถูกคนไล่ตีอยู่หลายครั้ง ยังดีที่ข้าอายุน้อยแต่วิ่งได้เร็ว จึงเสียเปรียบแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น”


ผู้เฒ่าไม่สวมรองเท้าดื่มเหล้าเนิบช้า ปากพูดว่าเหล้ารสชาติแย่ แต่กลับดื่มติดๆ กันไม่ขาดปาก เงี่ยหูตั้งใจฟังเรื่องเล็กน้อยในหมู่ชาวบ้านที่ผ่านมานานปีไม่ได้สลักสำคัญอะไร แต่ผู้เฒ่ากลับไม่รำคาญใจแม้แต่น้อย


เฉินผิงอันได้พูดเรื่องที่อยู่ในใจอย่างหมดเปลือกก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาก เขายื่นมือไปรับกาเหล้าคืน แต่กลับถูกผู้เฒ่ายกศอกตบฝ่ามือ กล่าวอย่างไม่เกรงใจ “รอเดี๋ยวสิ”


ผู้เฒ่าใช้สองนิ้วคีบน้ำเต้าบรรจุเหล้า เอ่ยเนิบช้า “เฉินผิงอัน เจ้าเล่าเรื่องหยุมหยิมพวกนี้ให้ข้าฟัง แล้วอยากฟังข้าผู้อาวุโสพูดถึงหลักการบนมหามรรคาที่ไม่มีประโยชน์บ้างหรือไม่? คำพูดเหล่านี้ข้าผู้อาวุโสเคยได้ยินมาตอนที่ยืนอยู่บนตำแหน่งสูงสุดของผู้ฝึกยุทธ์บนโลกใบนี้ เจ้าว่าสายตาของข้าผู้อาวุโสสูงแค่ไหน? สูงมากเลยใช่ไหมล่ะ แต่กระนั้นข้าก็ยังรู้สึกว่ามันไม่มีค่ามากพอ อยากจะลองฟังสักหน่อยไหม?”


เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “พูดมาเลย ข้าชอบฟังคนอื่นพูดหลักการ”


ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืน “ข้าผู้อาวุโสเคยยืนอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ได้เจอกับบัณฑิตเฒ่าที่ท่าทางสุภาพมีความรู้คนหนึ่งโดยบังเอิญ ตอนนั้นยังไม่รู้ตัวตนของเขา ภายหลังพอจะเดาได้คร่าวๆ เพียงแต่ไม่เข้าใจความหวังดีของท่านผู้อาวุโส ข้าถึงได้กลายมาเป็นคนวิปลาสน่าสมเพช ตอนนั้นคุยเล่นเรื่อยเปื่อยกับบัณฑิตเฒ่า อย่าเห็นว่าข้าผู้อาวุโสเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว ดีแต่จะใช้หมัดตัดสินปัญหา เพราะในความเป็นจริงแล้วข้ามีชาติกำเนิดเป็นบัณฑิต เคยเรียนหนังสือมาก่อน เรียนมาเยอะมาก พอพูดคุยกับบัณฑิตเฒ่าถึงท้ายที่สุด ก็เลยขอคำชี้แนะจากเขาเกี่ยวกับเรื่องบางอย่างที่ตัวเองคิดไม่ตก บัณฑิตเฒ่าจึงพูดถึงหลักการของเขาให้ฟังคร่าวๆ”


ผู้เฒ่าเปลือยเท้าหิ้วกาเหล้า เริ่มสาวเท้าออกเดินเป็นวงกลม “บัณฑิตเฒ่าคนนั้นบอกว่า พวกเรามีชีวิตอยู่ในโลกที่สับสนวุ่นวายมาก คำพูดและการกระทำของคนหลายคน ต่อให้จะเป็นบัณฑิตที่มีความรู้สูงก็ยังขัดแย้งกันเองได้ เวลาที่พวกเราพบเจอเรื่องที่ไร้เหตุผลก็ต้องอยากถามอย่างเลี่ยงไม่ได้ว่า เหตุผลในหนังสือนั้นผิดหรือไม่ หรือว่าเหตุผลเหล่านั้นกล่าวได้ไม่ชัดเจน กล่าวได้ไม่ครบถ้วน”


“ถ้าอย่างนั้นปัญหาก็มาแล้ว จะทำอย่างไรดี? พวกเราควรจะปฏิบัติต่อโลกที่มีแต่คนมือถือสากปากถือศีลอย่างไร? วิธีนั้นมี หนึ่งคือใช้ชีวิตให้เรียบง่าย หมัดของข้าแข็งมากพอ วิชากระบี่ของข้าแข็งแกร่งพอ เวทอาคมของข้าแกร่งกล้ามากพอ ก็ใช้สิ่งเหล่านี้มาทำลายสิ่งที่อยากทำลาย ปัญหาที่ยุ่งยากใช้วิธีง่ายๆ แก้ไข ขอแค่ตัวข้าอารมณ์ดีก็พอ ฟ้าดินมีกฎเกณฑ์พันธนาการข้า ข้าก็มีหมัดต่อยทำลายมัน บนโลกมีมหามรรคากดทับข้า ข้าก็มีหนึ่งกระบี่ทำลายหมื่นอาคม ต่อให้จะสาสมใจแค่ชั่วครั้งชั่วคราว แต่ก็ควรต้องคิดอย่างนี้ ยืนหยัดไม่ไหวเอน เดินมุ่งหน้าตรงไปบนเส้นทางสายนี้ คนแบบนี้นั้นมีได้ แต่ไม่สามารถเป็นแบบนี้ได้ทุกคน”


กล่าวมาถึงตรงนี้ ผู้เฒ่าก็หยุดเดิน หันมองมาทางเฉินผิงอัน เอ่ยเยาะตัวเอง “ข้าผู้อาวุโสก็คือคนประเภทนี้”


“บัณฑิตเฒ่าเอ่ยต่อว่า อีกวิธีหนึ่งก็คือใช้ชีวิตให้ฉลาด ควรจะประหยัดแรงกายแรงใจอย่างไรก็ประหยัดไป คำว่ากฎเกณฑ์มีไว้ก็เพื่อให้แหก หากบัณฑิตเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับเป็นปราชญ์ผู้ไม่ยี่หระต่อโลก หรือไม่ก็เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างสมเหตุกับสมผล เลือกสมเหตุของตัวเอง ไม่สนสมผลของโลก เป็นเหตุให้โลกที่จอแจไปด้วยผู้คนมีแต่การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ให้แก่กัน หากสามารถเอาคำว่า ‘ผลประโยชน์’ (ลี่ 利) มาแลกเปลี่ยนเป็นคำว่า ‘มารยาท’ (หลี่ 礼) ได้ โลกใบนี้จะดีสักเท่าใด?”


“วิธีสุดท้ายก็คือมีชีวิตให้น่าเบื่อ คิดปัญหาที่ซับซ้อนให้มันซับซ้อนเข้าไปอีก แยกแยะข้อยิบย่อยออกมาวิเคราะห์ จัดระเบียบอย่างละเอียด ค่อยๆ ขบคิดมันไป หากอยากจะเข้าใจเรื่องอะไรสักอย่างหนึ่ง อาจจะต้องอ้อมไปเป็นวงใหญ่ แต่สุดท้ายก็อาจจะพบว่าต้องย้อนกลับมาที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง ทว่ามันไม่มีประโยชน์จริงๆ น่ะหรือ? มีสิ เมื่อคิดตกแล้ว ตัวเองก็จะสบายใจมากขึ้น ก็เหมือน…ก็เหมือนกับดื่มเหล้าที่หมักมานานลงไปหนึ่งอึกซึ่งจะทำให้ทั่วร่างอุ่นร้อน รสหวานซ่านติดลิ้น”


“อันที่จริงแล้วเหล่าอริยะลัทธิขงจื๊อที่บัณฑิตอย่างพวกเราเลื่อมใสไม่ได้ดีงามเลิศเลออย่างที่คนบนโลกคิดกัน พวกเขาเองก็ยังคงมีกิเลสของความเป็นคนหลงเหลืออยู่ แต่ความรู้และหลักการของลัทธิขงจื๊อก็ไม่ได้ย่ำแย่ขนาดนั้น ต่อให้จะไม่เห็นด้วยกับคำที่ว่าเดิมทีมนุษย์เกิดมาพร้อมสันดานที่ดี แต่ไม่เป็นไร เพราะอย่างน้อยก็ยังชี้นำผู้คนให้ทำความดี”


ผู้เฒ่าเปลือยเท้าเดินวนไปวงรอบแล้วรอบเล่า สุดท้ายก็หยุดเดิน “ข้าผู้อาวุโสไม่แน่ใจว่าบัณฑิตเฒ่าผู้นั้นจะใช่คนคนนั้นหรือไม่ แต่ตอนนี้ลองมาย้อนนึกดู หากเป็นคนคนนั้นจริงๆ ถ้าอย่างนั้นการที่บัณฑิตเฒ่ายอมพูดคุยเรื่องพวกนี้กับข้าด้วยใจที่สงบ ก็นับว่าไม่ง่ายเลย เพราะอย่างไรซะตอนนั้นที่ข้าผู้อาวุโสไปที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็เพื่อสร้างความวุ่นวายในถิ่นของคนอื่นเขา”


ผู้เฒ่ายกมือขึ้นกระดกเหล้าเข้าปากคำใหญ่ ก่อนจะโยนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้นกลับไปให้เด็กหนุ่ม แล้วหัวเราะเสียงดังไปยังทิศไกล “พเนจรทั่วสารทิศเมื่อครั้งวันวาน คำพูดห้าวเหิมทรงพลัง หากไม่ได้เอ่ยก็คงไม่สาสมใจ!”


ผู้เฒ่ายืนอยู่ริมหน้าผา ก้าวเท้าข้างหนึ่งออกไป เงยหน้ามองท้องฟ้า “เมื่อข้าเดินอยู่ท่ามกลางฟ้าดินแห่งนี้ ดวงตะวันสาดแสงแรงกล้า ดวงจันทราส่องสว่างกลางนภา ต้องถามข้าสักคำว่า ฟ้าดินนี้สว่างเจิดจ้ามากพอหรือไม่?”


ผู้เฒ่าหันหน้ากลับมาถามยิ้มๆ “เฉินผิงอัน! เจ้าคิดว่าพอหรือไม่?!”


เฉินผิงอันก้มหน้าลงกำลังจะดื่มเหล้า พอได้ยินคำถามก็ได้แต่เงยหน้าขึ้น ตอบอย่างมึนงง “ยังไม่ค่อยพอ?”


ผู้เฒ่าหัวเราะร่าเสียงดัง ชี้นิ้วไปยังทิศไกล “เมื่อข้าเดินอยู่บนยุทธภพ แม่น้ำโหมกระหน่ำ ลูกคลื่นโถมซัดสาด ต้องถามข้าสักคำว่า น้ำในแม่น้ำและลำคลอง (เขียนคำเดียวกับคำว่ายุทธภพ) มากพอให้ข้าดับกระหายหรือไม่?”


เฉินผิงอันรีบฉวยจังหวะช่วงที่ว่างกระดกเหล้าขึ้นดื่ม พอได้ยินคำพูดที่กล้าอย่างห้าวเหิมของผู้เฒ่าแล้ว เขาก็เกิดฮึกเหิมขึ้นมาเช่นกัน มือหนึ่งถือน้ำเต้าบรรจุเหล้า อีกมือหนึ่งกำหมัดวางไว้บนหัวเข่า ตะโกนเสียงดังเหมือนเป็นลูกคู่ “ไม่พอ!”


ผู้เฒ่ากล่าวอีกว่า “เมื่อข้าเดินไปบนยอดเขา หอเรือนตระหง่านเสียดฟ้า ทะเลเมฆบรรจบพบเทพเซียน ต้องถามข้าสักคำว่า ลมกรดเหนือยอดเขาเย็นพอหรือไม่?”


เฉินผิงอันที่ใบหน้าแดงก่ำดื่มเหล้าอีกอึกใหญ่ อาศัยฤทธิ์สุราร้อนแรงที่ช่วยให้คึกคัก หัวเราะเสียงดังสนั่นด้วยใบหน้าเปล่งประกายแช่มชื้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ไม่พอๆ! อยู่ไกลเกินกว่าจะพอ! เหล้าไม่พอ น้ำในแม่น้ำไม่พอ ลมในภูเขาไม่พอ! ไม่พอทั้งหมดเลย!”


ทางฝั่งเรือนไม้ไผ่ เด็กน้อยสองคนหันมามองหน้ากัน


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูค่อนข้างจะเป็นห่วงนายท่านของตัวเองไม่น้อย ไม่ใช่ว่านายท่านของนางจะกลายเป็นผีขี้เหล้าไปหรอกนะ?


เด็กชายชุดเขียวกลับบ่นพึมในใจ นายท่านเป็นบ้าไปแล้วหรือไง? หรือว่าฝึกหมัดจนโง่ไปแล้ว? หึ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่ต้องมานะฝึกตนอีกแล้วใช่หรือเปล่า? ไม่งั้นแอบอู้สักสองสามวันดีไหม?


สุดท้ายของท้ายสุด เฉินผิงอันที่เมามายก็ล้มตึงหงายหลังไปพร้อมกับเก้าอี้


นับแต่นั้นมายุทธภพในโลกมนุษย์ก็มีเด็กหนุ่มผีขี้เหล้าเพิ่มมาอีกหนึ่งคน


——————————


บทที่ 204.1 คนรู้จักมาส่งกระบี่ให้

โดย

ProjectZyphon

นักพรตหนุ่มที่จากไปแล้วย้อนกลับมา บุรุษที่ทำให้สาวแก่แม่หม้ายมากมายในเมืองเล็กคิดถึงพะวงหาเริ่มกลับมาตั้งแผงที่ตำแหน่งเดิมอีกครั้ง เพียงแต่ว่าตอนนี้เมืองเล็กคึกคักผิดไปจากเดิม ข้างๆ ร้านเขาจึงมีคนอาชีพเดียวกันมาแย่งลูกค้า อีกฝ่ายสวมชุดเต๋าใหม่เอี่ยมอ่อง อายุประมาณเจ็ดสิบปี แต่ใบหน้ากลับอิ่มเอิบแดงปลั่ง เปี่ยมไปด้วยมาดของเซียน


แค่ผู้เฒ่านั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะตัวใหญ่ก็มีกลิ่นอายของเทพเซียนโชยมาปะทะใบหน้า บนโต๊ะวางกระบอกเซียมซีขนาดใหญ่ที่วาววับเป็นมัน ด้านในบรรจุไม้เสี่ยงเซียมซีที่ตัดเท่ากันเป็นระเบียบงดงาม ข้างโต๊ะปักธงผ้าต่วนหรูหราดูมีระดับ บนธงเขียนกลอนคู่ว่า ‘รู้หลักหยินหยางกระจ่างศาสตร์ผังแปดทิศ เข้าใจอักษรสวรรค์แจ่งชัดหลักแห่งแผ่นดิน เพียงเซียมซีหนึ่งอันก็ช่วยสะเดาะเคราะห์ขจัดภัย ทั้งยังได้สั่งสมบุญคุณความดี แค่เสียเงินไม่กี่อีแปะ’


แผงดูดวงแผงนี้กิจการรุ่งโรจน์เฟื่องฟูมาก ชาวบ้านในเมืองเล็กพากันมาทำนายดวงไม่ขาดสาย ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าแม่นมาก บอกเล่ากันไปปากต่อปาก บวกกับที่หมอดูคนใหม่มาในช่วงจังหวะที่ดี ตอนนี้คนในเขตการปกครองหลงเฉวียนเคยได้เห็นและได้ยินมากับตาตัวเอง จึงแน่ใจว่าบนโลกมีเทพเซียนอยู่จริงๆ จึงยิ่งศรัทธามากขึ้น แม้จะบอกว่าเสี่ยงเซียมซีหนึ่งชิ้นจ่ายเงินแค่ไม่กี่อีแปะ แต่ต่อให้เป็นครอบครัวที่ยากจนแค่ไหนก็ยังเต็มใจควักเหรียญทองแดงกำใหญ่ หวังได้แตะกลิ่นอายมงคลของเทพเซียนผู้เฒ่าท่านนี้


กิจการของนักพรตหนุ่มกลับซบเซายิ่ง เงียบเหงาไร้ผู้คนอย่างแท้จริง ตอนที่เขาจัดตั้งแผงก็มีนกขมิ้นตัวหนึ่งบินฉิวเข้ามาหาแต่ไกล หลังจากบินวนหนึ่งรอบก็จากไป นักพรตหนุ่มรู้สึกเสียใจเล็กน้อย มองไปยังพวกเด็กสาวด้วยสายตาน่าสงสาร ล้วนเป็นใบหน้าที่เคยพูดคุยกันอย่างถูกคอ ทว่ากลุ่มเด็กสาวที่มาเพราะได้ยินข่าวเรื่องของเขา ส่วนใหญ่กลับจับกลุ่มกันสองสามคน เอียงหูกระซิบกระซาบกันเบาๆ ยิ่งเห็นสภาพยากแค้นของนักพรตหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา พวกนางกลับยิ่งอารมณ์ดี


นี่ทำให้นักพรตหนุ่มเสียใจเล็กน้อย สุดท้ายด้วยความเบื่อหน่าย เห็นว่าร้านด้านข้างไม่ได้มีคนมาดูดวงจึงแบกหน้าหนาๆ ของตนย้ายเก้าอี้ไปนั่งใกล้ แม้ว่าใบหน้าของนักพรตเฒ่าจะเปี่ยมไปด้วยความเที่ยงตรง สายตามองไปเบื้องหน้าไม่หลุกหลิก แต่อันที่จริงในใจกลับเสียววาบ หมัดของคนหนุ่มแข็งแกร่งที่สุด หากจะลงไม้ลงมือเพราะเรื่องแย่งลูกค้ากันขึ้นมาจริงๆ ตนที่แก่ชราเรี่ยวแรงไม่ค่อยจะมีคงทนรับการประเคนหมัดจากเด็กหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ไม่ไหว หมอดูเฒ่าเรียนวิชาการดูดวงมาอย่างผิวเผิน แต่เชี่ยวชาญการใช้ฝีปากทะเลาะกับคนยิ่ง ต่อหากต้องต่อยตีกับใครขึ้นมาจริงๆ ก็รับรองได้ว่าเขาจะเป็นคนคุกเข่าขอร้องอีกฝ่ายเอง


หลังจากนั่งลงแล้ว นักพรตหนุ่มที่บนศีรษะสวมกวานดอกบัวก็ยิ้มตาหยี ไม่พูดไม่จา


หางตาของนักพรตเฒ่าเหลือบไปเห็นกวานดอกบัวที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แจกันสมบัติทวีปของพวกเขากับทวีปใหญ่ที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้แห่งนั้น นอกจากอารามเต๋าขนาดใหญ่ที่มีไม่กี่แห่งแล้ว นักพรตเต๋าแต่ละสายทั้งบนและล่างภูเขาก็ล้วนสวมกวานหางปลาเหมือนกันหมด ข้อนี้จะทำตามใจชอบไม่ได้ เพราะเกี่ยวพันกับเรื่องใหญ่ของระบบลัทธิเต๋า แล้วใครเล่าจะกล้าสวมใส่มั่วซั่ว? ไม่ต้องให้ทางอารามเต๋าออกหน้าก็ถูกทางการจับเข้าคุกไปกินข้าวแดงก่อนแล้ว


นักพรตเฒ่าจึงมั่นใจถึงแปดเก้าส่วนว่าชายหนุ่มผู้นี้คือนกน้อยหัดบินที่ไม่เข้าใจแม้แต่กฎเกณฑ์พื้นฐาน แค่ได้ยินได้ฟังมาอย่างผิวเผินก็เอากวานเต๋าหัวมังกุฎท้ายมังกรนี้มาสวม ไม่แน่ว่าอาจจะยังลำพองใจ นึกว่าตัวเองเป็นนกกระเรียนในฝูงไก่ แตกต่างไปจากคนอื่น นักพรตเฒ่าคำนวณระยะห่างระหว่างแผงดูดวงกับที่ว่าการอำเภอแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองกุมชัยชนะไว้ได้อย่างมั่นคง กลิ่นอายทั่วร่างจึงเปลี่ยนไปในฉับพลัน ดวงตาสาดประกายคมกล้า เพียงชั่วพริบตาก็เปลี่ยนมาใช้มาดของยอดฝีมือนอกโลกจ้องเป๋งไปยังนักพรตหนุ่มหน้าตาดี ท่าทางเช่นนี้ของเขาข่มขู่คนให้กลัวได้ดียิ่ง


และนักพรตหนุ่มก็เผยสีหน้ากระวนกระวายไม่เป็นสุขออกมาจริงๆ “ท่านเซียนผู้เฒ่า หรือว่าแค่มองหน้าก็รู้แล้วว่าการเดินทางไกลครั้งนี้ของข้านักพรตน้อยไม่ราบรื่น?”


แม่งเอ๊ย ดันมาเจอกับพวกไร้ไหวพริบ แต่แบบนี้ก็ดี เพราะหากเป็นพวกมุทะลุจะไม่ส่งผลดีกับตน อาศัยคารมคมคายของตน รับรองว่าแค่สามประโยคก็จัดการกับเด็กรุ่นหลังที่เพิ่งเริ่มเข้าวงการเดียวกันนี้ได้อยู่หมัดแล้ว


นักพรตเฒ่าแอบอารมณ์ดีอยู่กับตัวเอง ในใจคิดว่ากิจการของเจ้าที่มาตั้งอยู่ข้างร้านข้าจะราบรื่นได้รึไง?


ผู้เฒ่าแสร้งพูดอย่างลึกลับ “เห็นแก่ที่เจ้าเป็นเด็กรุ่นหลัง ดึงเซียมซีมาหนึ่งชิ้นเถอะ ไม่เก็บเงิน ข้าจะดูให้เจ้าเปล่าๆ”


นักพรตหนุ่มหัวเราะคิกคัก “ไหนเลยจะกล้ารบกวนท่านเซียนผู้เฒ่า ก็แค่มาคุยด้วยเท่านั้น พบเจอกันโดยบังเอิญก็ถือว่ามีวาสนาต่อกันนี่นา…”


ปากของนักพรตหนุ่มพูดไปตามมารยาท แต่กลับค้อมเอวโน้มตัวไปด้านหน้ายื่นมือเตรียมจะไปหยิบเซียมซีอยู่นานแล้ว


นักพรตเฒ่าเลิกคิ้ว กดมือลงบนกระบอกเซียมซี นักพรตหนุ่มดึงมือกลับอย่างขลาดๆ แล้วโบกมือเบาๆ พลางพูดประจบ “ฮ่าๆ นักพรตน้อยเห็นว่ากระบอกเซียมซีของท่านเซียนผู้เฒ่ามีฝุ่นเกาะอยู่เล็กน้อย เลยจะช่วยปัดให้”


นักพรตเฒ่าหน้ายิ้มใจไม่ยิ้ม ท่าทางนั้นชัดเจนว่าเตรียมจะไล่แขกแล้ว


เพราะห่างไปไม่ไกลมีสตรีแต่งงานแล้วพาเด็กน้อยคนหนึ่งเดินตรงมาที่แผง การค้ามาเยือนถึงที่ นักพรตเฒ่าหรือจะยังมีเวลามาเสียเปล่าไปกับคนร่วมอาชีพกะโหลกกะลาคนหนึ่ง


นักพรตหนุ่มได้แต่ลุกขึ้นกลับไปที่แผงของตัวเองแต่โดยดี เขายกมือสองข้างซ้อนกันไว้ที่ท้ายทอย เอนตัวไปด้านหลัง แหงนหน้ามองท้องฟ้าสีคราม


ห่างออกไปไกลมีชายฉกรรจ์วัยกลางคนผู้หนึ่งพาเด็กหนุ่มคิ้วยาวเดินมาช้าๆ ก่อนหน้านี้เพียงแค่เด็กหนุ่มได้ยินท่านบรรพบุรุษของตัวเองพูดถึง ‘นายท่านผู้เฒ่าของสายเขา’ ต่อให้เป็นเด็กหนุ่มคิ้วยาวตระกูลเซี่ยที่ปณิธานกว้างไกลกว่าคนปกติทั่วไปก็ยังใจเต้นกระหน่ำไม่หยุด คิดเพียงว่าอีกฝ่ายต้องเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าเส้นผมขาวโพลนที่สามารถขี่เมฆบินทะยาน ไม่แน่ว่าด้านหลังอาจจะมีสัตว์วิเศษอะไรติดตามมาด้วย หากไม่ใช่กระเรียนเซียนก็ต้องเป็นเจียวหลง สรุปคือต้องเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่กลิ่นอายแห่งเซียนพุ่งทะยานไปยันชั้นฟ้าแน่นอน


ทว่าพอเด็กหนุ่มคิ้วยาวได้เห็นใบหน้าที่ยังอ่อนเยาว์นั้น เขาก็อึ้งงันไปทันที


นักพรตหนุ่มไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับชาวบ้านในเมืองเล็ก เพราะเขาช่วยคำนวณดวงให้กับคนตัดฟืน ช่างปั้นเครื่องปั้น ช่วยดูดวงให้กับเด็กสาวหรือสตรีที่ออกเรือนแล้ว ช่วยเขียนจดหมายให้คนอื่น ไม่ว่าอะไรก็ทำทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นงานมงคลอะไรที่มีให้กินให้ดื่ม นักพรตหนุ่มก็ไม่เคยพลาด ทุกครั้งหลังจากช่วยท่องประโยคมงคลแสดงความยินดีสองสามคำแล้วก็จะเริ่มกินข้าวชามโต กินเนื้อชามใหญ่ ดื่มเหล้าถ้วยใหญ่ ความกินจุของเขาไม่เป็นรองชายฉกรรจ์ที่ทำงานแบกหามเลยแม้แต่น้อย ถึงขนาดทำให้เจ้าภาพเสียดายเงินค่าอาหารได้


มารดาของเด็กหนุ่มคิ้วยาว หรือก็คือสตรีผู้เป็นประมุขตระกูลเซี่ยที่มีความรู้มีมารยาทผู้นั้น นางเคยพาเด็กหนุ่มมาทำนายดวง จับได้เซียมซีดี อีกฝ่ายก็กล่าวด้วยวาจาดีๆ ที่ไม่เป็นจริงแม้แต่เรื่องเดียว ทำเอามารดาของเขาปลาบปลื้มจนต้องเบี่ยงหน้าไปเช็ดน้ำตา ผลกลับกลายเป็นว่านักพรตหนุ่มผู้นี้ได้คืบจะเอาศอก บอกว่าจะดูลายมือให้มารดาของเขา สีหน้านั้นกลิ้งกลอกปลิ้นปล้อน เด็กหนุ่มคิ้วยาวโมโหเดือดจึงลากมารดากลับบ้าน ในใจคิดว่าคนอะไรช่างหน้าด้านไร้ยางอายนัก ดึงมือมารดาจากไปแล้ว ตอนนั้นเด็กหนุ่มยังไม่ลืมหันกลับมาถลึงตาใส่นักพรตหนุ่มอย่างดุดันด้วย


เซี่ยสือทำท่าจะคารวะอย่างนอบน้อม นักพรตหนุ่มกลับส่ายหน้าน้อยๆ ยื่นมือมาทำท่ากดลงสองทีบอกให้เซี่ยสือนั่งลง เซี่ยสือจึงนั่งลงบนม้านั่งตัวยาวแต่โดยดี เด็กหนุ่มคิ้วยาวกลืนน้ำลาย ยืนอยู่ข้างกายเซี่ยสือ ก้มหน้าลง ในสมองเหลวปวกเปียกคิดอะไรไม่ออก


นักพรตเฒ่าปรายตามามองแล้วเห็นว่ามีคนมาที่ร้านข้างๆ เขาก็เกือบจะกลอกตามองบน นี่ยังมีคนตาบอดถึงขนาดไปขอดูดวงกับเจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมผู้นั้นด้วยหรือ? แบบนี้ไม่เท่ากับย่ำยีเงินในกระเป๋าของตัวเองหรือไร?


เซี่ยสือไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอะไร เจ้าลัทธิเต๋าของหนึ่งทวีปที่ตำแหน่งเทียนจวินมาจ่อรออยู่ตรงหน้า เวลานี้กลับกระวนกระวายนั่งไม่เป็นสุข


นักพรตหนุ่มไม่สนใจเซี่ยสือ เขาเงยหน้ามองเด็กหนุ่มคิ้วยาวที่ก้มหน้าแล้วเอ่ยเย้า “ข้าผู้เป็นนักพรตไม่ได้หลอกเจ้าใช่ไหมล่ะ เซียมซีชิ้นนั้นของเจ้าเป็นของจริงแท้แน่นอน ข้าไม่เคยหลอกลวงเด็กและคนชรา”


เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าทำไมทั้งที่เขาอยากจะลงไปนั่งคุกเข่าโขกหัวให้อีกฝ่าย แต่กลับคุกเข่าลงไปไม่ได้


นักพรตหนุ่มที่บอกกับเฉินผิงอันว่าตัวเองแซ่ลู่ชื่อเฉินพูดยิ้มๆ “ไม่ต้องตื่นเต้นไป วันนั้นเจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ไม่มีเหตุผลให้ต้องร้อนตัว ทำไม เพียงแค่เพราะว่าศักดิ์ของข้าสูงกว่าบรรพบุรุษของเจ้าเล็กน้อย เจ้าก็รู้สึกว่าตัวเองทำผิดแล้วรึ? ถ้าอย่างนั้นชั่วชีวิตนี้เจ้าก็ต้องมีเรื่องให้กลุ้มไปตลอดนั่นแหละ เพราะยิ่งเดินขึ้นไปบนภูเขา ยิ่งเห็นใครก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองผิด ทั้งลำบากตัวเอง แถมยังสิ้นเปลืองเซียมซีดีของข้าผู้เป็นนักพรตไปหนึ่งชิ้นอีกด้วย”


เวลาอยู่ต่อหน้าตนเด็กหนุ่มเป็นเด็กที่คล่องแคล่วรู้ประสามาโดยตลอด ทำไมพอมาถึงช่วงเวลาสำคัญกลับแสดงความขลาดกลัวออกมา นี่ทำให้เซี่ยสืออารมณ์เสีย กำลังจะตวาดสั่งสอนกลับถูกนักพรตหนุ่มถลึงตาใส่ เซี่ยสือตกใจรีบหุบปากฉับ เงียบกริบเหมือนจักจั่นในหน้าหนาว


เซี่ยสือหัวเราะเจื่อนๆ อยู่ในใจ ที่แท้เมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มคิ้วยาวแล้ว ตนก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่


ลู่เฉินหัวเราะเบาๆ “ไม่คิดจะเก็บไว้ขัดเกลาข้างกายจริงๆ รึ?”


เซี่ยสือนั่งตัวตรงอย่างสำรวม สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ใช้วิชาอภินิหารปรับจิตใจของตน ไม่ให้มีท่าทางหวาดหวั่นเหมือนก่อนหน้านี้อีก แล้วจึงตอบว่า “อยู่ภายใต้ร่มเงาบรรพบุรุษช่วยปกป้อง เป็นทั้งโชควาสนา แต่ก็เป็นทั้งเรื่องร้ายเช่นกัน เพราะต้นไม้สูงต้นที่สองยากจะเติบโต”


ลู่เฉินพยักหน้ารับ “ถูกต้อง”


จากนั้นลู่เฉินก็ลูบคลำปลายคาง จุ๊ปากพูดยิ้มๆ “กลับไปข้าผู้เป็นนักพรตสามารถเอาประโยคนี้ไปพูดกับท่านอาจารย์ได้ ท่านผู้เฒ่าจะได้ไม่ต้องเอาแต่บ่นว่าคนเป็นลูกศิษย์ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว เพราะอย่างน้อยคนเป็นอาจารย์ก็มีความผิดครึ่งหนึ่งเหมือนกัน”


จิตใจที่ยากนักกว่าจะกลับคืนมามั่นคงได้ของเซี่ยสือพลันยุ่งเหยิงอลหม่าน ได้แต่ทำหน้าม่อยพูดอะไรไม่ออก


ยังคิดจะเป็นเทียนจวิน เกรงว่าแม้แต่ตำแหน่งเจินเหรินก็ยังรักษาไว้ไม่อยู่กระมัง?


อาจารย์ผู้เฒ่าของตนย่อมไม่มีทางโมโหโกรธาเพียงเพราะเรื่องแค่นี้ แต่ใครเล่าที่ไม่รู้จักนิสัยยากจะคาดเดาของศิษย์พี่รองของนายท่านผู้เฒ่า…


หากท่านผู้นั้นมีโทสะขึ้นมา ใครจะต้านรับได้ไหว?


ลู่เฉินกวักมือเรียกเด็กหนุ่มคิ้วยาว “มาๆๆ มาช่วยดูแผงให้ข้าหน่อย ข้าผู้เป็นนักพรตจะไปเดินเล่น ไปหาคนรู้จักสักหน่อย”


เด็กหนุ่มคิ้วยาวหรือจะกล้าเป็นนกพิราบครอบครองรังของนกกางเขน เดินไปนั่งแทนตำแหน่งของอีกฝ่ายจริงๆ ให้ตายเขาก็ไม่ยอมขยับเท้า


เซี่ยสือรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก เขากลัวจริงๆ ว่าเด็กหนุ่มคิ้วยาวจะโง่ถึงขนาดไปนั่งแปะบนเก้าอี้ตัวนั้น


ลู่เฉินเองก็ไม่ถือสา กำชับเซี่ยสือที่รีบร้อนลุกขึ้นยืนว่า “คนอื่นๆ ข้าคงไม่พบแล้ว เจ้าไปบอกกับพวกเขาว่าอย่าเอาหน้าร้อนๆ ไปแนบก้นเย็นๆ ของคนอื่น ช่วงนี้ข้าผู้เป็นนักพรตอารมณ์ไม่ใคร่จะดี กลัวว่าถึงเวลานั้นจะยั้งมือไม่ทัน หึหึ…อีกอย่างนะ หากวันหน้าข้าผู้เป็นนักพรตอยากเจอกับหลานชายของเจ้าก็ไม่ต้องให้เจ้าพามา ต่อให้เขาจะไปหลบอยู่ใต้พื้นที่มงคล ข้าผู้เป็นนักพรตก็ยังเจอเขาได้อยู่ดี ถูกไหม ดังนั้นอย่าให้มีคราวหน้าอีก”


เซี่ยสือพยักหน้ากดเสียงแผ่วต่ำ “รับคำบัญชา!”


ลู่เฉินกระแอมหนึ่งที ยิ้มตาหยีถามว่า “แล้วมารดาของเด็กคนนี้ล่ะ มีธุระอะไรหรือถึงไม่มาด้วย? คราวก่อนยังไม่ทันได้ดูลายมือให้นางเลยนะ”


เซี่ยสือที่เพิ่งได้พบกับ ‘นายท่านผู้เฒ่าสายของตน’ เป็นครั้งแรกถึงกับอ้ำอึ้ง พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว


ที่แท้คำเล่าลือที่พวกเทียนจวิน พวกเจินเหรินทั้งหลายแอบพูดกันก็แม่งไม่เป็นความจริงเลย!


เด็กหนุ่มคิ้วยาวอึ้งค้างไปอย่างสิ้นเชิง


ลู่เฉินเดินอาดๆ จากไป ตอนที่ผ่านร้านข้างๆ ยังกล่าวด้วยสีหน้าอิจฉา “ท่านเซียนผู้เฒ่ายุ่งจริงๆ เลยนะเนี่ย”


นักพรตเฒ่าผงกศีรษะรับด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจกลับสบถด่า รีบไสหัวไปเถอะ!


———————————-

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)