หมอดูยอดอัจฉริยะ 203-210
ตอนที่ 203
ตัวประหลาด
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากปีนเขาไปได้หนึ่งชั่วโมงกว่า แสงอาทิตย์ก็เหมือนจะหมดความสามารถในการแผ่ความร้อนไปแล้ว อากาศหนาวเย็นบนภูเขาหิมะพัดปะทะใบหน้า ทำให้เยี่ยเทียนสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
ท้องฟ้าสีครามตัดกับยอดภูเขาหิมะขนาดมหึมาสูงตระหง่าน ภายใต้แสงอาทิตย์นั้น เมฆสีขาวหลายกลุ่มทอดเงาลงไปบนยอดภูเขาหิมะ ราวกับลวดลายสีเทาเงินที่ปักอยู่บนผ้าแพรสีขาว
บริเวณระหว่างเชิงเขาและยอดภูเขาหิมะที่ไม่เคยละลายมานานแสนนานแล้ว มีป่าดึกดำบรรพ์สีเขียวมรกตที่ทอดยาวคดเคี้ยวอย่างไร้ที่สิ้นสุดคั่นกลางอยู่
ต้นสนไซเปรสแน่นขนัดราวกับร่มขนาดยักษ์ที่กางชูขึ้นฟ้า กิ่งก้านซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ ปล่อยแสงอาทิตย์ลอดผ่านลงมาเพียงจุดเล็กๆ ลายพร้อย ขณะที่เยี่ยเทียนเดินอยู่ในป่า ก็ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าของตัวเองที่เหยียบย่ำลงบนเศษใบไม้เหลืองแห้ง เพิ่มความเงียบวังเวงให้ป่าทึบแห่งนี้ยิ่งกว่าเดิม
บนภูเขาหิมะและในป่าไม้มีสิ่งชีวิตอาศัยอยู่หลายชนิด อย่างเช่นฝูงแพะป่า และกวางทุ่งซึ่งมักจะวิ่งผ่านหน้าเยี่ยเทียนไปเป็นครั้งคราว ถึงแม้ที่นี่จะยังไม่ใช่เขตหวงห้าม แต่ก็เป็นสถานที่พบร่องรอยของมนุษย์ได้น้อยมาก
หลังจากเดินผ่านป่าทึบที่เป็นดงแน่นขนัด ก็สามารถมองเห็นชั้นน้ำแข็งบนพื้นดินและหิมะที่ทับถมกันจนเป็นกองสูง อุณหภูมิในอากาศลดลงจนเกือบถึงศูนย์องศาอย่างฉับพลัน เยี่ยเทียนจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดกันหนาวสำหรับปีนเขาที่ซื้อมาจากด้านล่างเรียบร้อยแล้ว
โบราณกล่าวว่า ภูเขาแม้ดูเหมือนใกล้ แต่แท้จริงแล้วไกลจนม้าอาจเหนื่อยตายได้ เยี่ยเทียนนึกไม่ถึงเลยว่า แค่เดินมาที่เชิงเขา เขาก็ต้องใช้เวลาไปนานถึงสามชั่วโมงกว่าแล้ว เมื่อทอดสายตาไปยังยอดภูเขาหิมะที่สูงตระหง่านเสียดฟ้า เยี่ยเทียนก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาจะสามารถปีนขึ้นไปถึงข้างบนได้หรือไม่
“พวกนั้นจะทำอะไรกันแน่เนี่ย?”
เมื่อรู้สึกได้ว่ากลุ่มคนที่อยู่บนภูเขานั้นไม่ได้คิดจะหยุดพักเลยสักนิด แม้แต่เยี่ยเทียนที่เพิ่งจะปีนขึ้นมาบนภูเขาหิมะ ก็เริ่มโอดครวญขึ้นมาไม่หยุด
ถึงเยี่ยเทียนจะเคยไปมาหลายที่แล้ว แต่เขาก็ไม่เคยมีประสบการณ์ในการปีนภูเขาหิมะมาก่อนเลย ความรู้ในการปีนเขาที่มีอยู่เพียงน้อยนิด ก็ได้มาจากการสอนแบบเร่งด่วนของโค้ชปีนเขาที่ไม่มีความรับผิดชอบคนนั้นเมื่อก่อนหน้านี้นั่นเอง
เกี่ยวกับเป้าหมายของพวกกลุ่มของ ‘เถ้าแก่เจี่ย’ นั้น ตอนนี้เยี่ยเทียนก็กำลังสนใจอยากรู้เต็มแก่
เยี่ยเทียนมั่นใจมากว่า บนภูเขาหิมะแห่งนี้จะต้องมีสิ่งที่ล้ำค่ามากพอที่จะดึงดูดสายตาของพวกเขาได้อย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าอย่างไรเยี่ยเทียนก็ไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่า โจรปล้นสุสานมืออาชีพอย่างพวกนั้นจะเปลี่ยนวงการไปเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการไต่เขาแทนได้
เยี่ยเทียนวางกระเป๋าปีนเขาลงบนพื้น แล้วนั่งพักผ่อนบนกระเป๋าครู่หนึ่ง เขารู้สึกว่า การเดินทางครั้งนี้ยากเย็นกว่าที่ตัวเองคิดไว้จริงๆ
เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้ใกล้จะตกกลางคืนแล้ว อาหารที่ให้พลังงานสูงในกระเป๋าไม่กี่ชิ้นก็คงไม่พอให้เขาอิ่มท้องแน่ๆ แม้ว่าในการเดินทางครั้งนี้จะพกอาหารมาไม่น้อย แต่อาหารพวกนั้นก็ดันไม่ได้อยู่บนหลังม้าของเยี่ยเทียน เขาจึงได้แต่หยิบเครื่องปรุงต่างๆ อย่างเกลือและน้ำมันมา
ท้องของเยี่ยเทียนส่งเสียงร้องออกมาดัง “จ๊อกๆ” อย่าว่าแต่จะปีนเขาต่อเลย ถ้ายังไม่สามารถแก้ไขปัญหาปากท้องได้ เยี่ยเทียนก็คงได้แต่เดินทางกลับบ้านเท่านั้น
“เอาวะ อย่างมากก็แค่ใช้ชีวิตแบบคนป่าไปสองสามวัน เราก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยผ่านมาก่อนนี่หว่า!”
เยี่ยเทียนมีนิสัยดื้อรั้นอยู่แล้ว ปกติไม่ว่าเรื่องไหน ถ้าเขาตัดสินใจไปแล้ว ก็จะต้องเดินไปจนสุดทาง ตอนที่ช่วยอาจารย์ฝืนลิขิตพลิกชะตาก็เป็นแบบนี้ จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ยอมถอนตัวกลางคันเพราะอุปสรรคที่อยู่ตรงหน้า
เรื่องอาหารนั้นที่จริงก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเยี่ยเทียน หลังจากหยิบของขลังซึ่งเป็นหยกหกชิ้นออกมาจากกระเป๋า เยี่ยเทียนก็แยกย้ายฝังหยกเหล่านั้นไว้ที่ชายป่าทั้งหกทิศ
เพื่อการตามล่าพวก ‘เถ้าแก่เจี่ย’ ในครั้งนี้ เยี่ยเทียนนำสมบัติประจำตระกูลติดตัวมาด้วยทั้งหมดเลย ค่ายกลที่สร้างขึ้นจากของขลังนี้ มีประสิทธิภาพสูงกว่าที่สร้างจากหยกธรรมดาๆ มากนัก
เวลาผ่านไปไม่นาน กวางทุ่งฝูงหนึ่งก็วิ่งออกมาจากในป่า เยี่ยเทียนจับข้อนิ้วร่ายอาคม แล้วค่ายกลที่ตั้งขึ้นจากของขลังทั้งหกชิ้นก็เริ่มทำงานทันที กวางทุ่งตัวหนึ่งพุ่งฝ่าเข้ามาในค่ายกลแล้วร้องโหยหวน จากนั้นร่างของมันก็แข็งทื่อล้มลงไปกับพื้น
เยี่ยเทียนเก็บของขลังเหล่านั้นกลับมา พลางคิดในใจอย่างรู้สึกผิดว่า ‘ถ้าท่านปรมาจารย์รู้ว่าเราใช้ค่ายกลฆ่ากวางละก็ ไม่รู้ท่านจะโกรธจนผุดขึ้นมาจากหลุมเลยไหมเนี่ย?’
แม้ว่าสมัยที่ใช้ชีวิตอยู่ที่เหมาซาน เยี่ยเทียนก็เคยล่าไก่ป่าที่นั่นไปหลายตัว แต่การใช้ค่ายกลล่าสัตว์แบบนี้เขาเพิ่งเคยทำเป็นครั้งแรกจริงๆ เมื่อก้มหน้าลงไปดูกวางทุ่งตัวนั้น มันก็สิ้นใจไปแล้ว
มือขวาถือแก้วกระดาษ มือซ้ายปรากฏมีดเขาวัวเล่มหนึ่งที่ซื้อมาจากภูเขาด้านล่าง เยี่ยเทียนปักมีดลงไปที่ลำคอของมัน แล้วยื่นแก้วกระดาษเข้าไปรองไว้ เลือดกวางอุ่นๆ ไหลรินลงไปในแก้วทันที
“คาวจังเลย”
เขาบีบจมูกแล้วดื่มเลือดกวางจนหมดแก้ว แม้ว่ากลิ่นคาวนั้นจะเหม็นจนเยี่ยเทียนสุดจะทน แต่ขณะเดียวกันกับที่ดื่มเลือดกวางลงท้องไป ความอบอุ่นก็แผ่ขึ้นมาจากท้องน้อย ทำให้ความหนาวเย็นทั่วร่างลดลงไปมากทันที
หลังจากลอกหนังกวางออกมาเป็นชิ้นๆ แล้ว เยี่ยเทียนก็ไปเก็บเศษไม้และหญ้าแห้งมาก่อเป็นกองไฟ แม้ว่าในกระเป๋าของเขาจะไม่มีอาหาร แต่ก็มีเครื่องปรุงต่างๆ อย่างครบครัน ผ่านไปไม่นาน กลิ่นหอมยั่วยวนก็โชยไปทั่วเชิงเขา
“เป็นธรรมชาติที่ไร้มลพิษเจือปนจริงๆ…” หลังจากได้เนื้อกวางเป็นอาหารหนึ่งมื้อ พลังของเยี่ยเทียนจึงฟื้นฟูกลับมาดังเดิม แต่เมื่อเห็นว่าตะวันใกล้จะตกดินแล้ว เขาจึงเลิกคิดที่จะปีนเขาต่อ
เยี่ยเทียนหาตำแหน่งหลบลมแล้วกางเต็นท์ขึ้น จากนั้นก็นั่งกรรมฐานอยู่ในนั้น เพื่อดูดซับพลังชี่แห่งฟ้าดินที่อยู่โดยรอบ
……………………………………
ณ จุดที่อยู่เหนือจากเยี่ยเทียนขึ้นไปใกล้กับยอดเขา เงาร่างของพวกตี๋วั่งยังคงปีนป่ายด้วยความยากลำบาก บนยอดเขาเริ่มมีเกล็ดหิมะปลิวว่อน เสียงหวีดหวิวของลมทำให้คนเกิดความรู้สึกว่าตนนั้นอยู่ภายใต้อำนาจของฟ้าดินไปโดยไม่รู้ตัว
บนยอดเขาลมแรงมาก ตอนนี้พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็จะถูกลมพัดกระโชกใส่อย่างไม่ทันตั้งตัวจนต้องร่นถอยไปห้าหกก้าวแทบทุกครั้ง แม้ว่าคนเหล่านี้จะมีร่างกายที่แข็งแรงกำยำ และทำงานขุดสุสานมาหลายปี แต่เวลานี้ก็รู้สึกว่าจะสู้ไม่ไหวแล้ว
เพื่อไม่ให้ทุกคนเดินกระจัดกระจาย ตี๋วั่งจึงใช้เชือกปีนเขาผูกไว้ที่เอวของทุกคน ถึงแม้คนที่เดินอยู่ข้างหน้าสุดจะเป็นเปียวจึซึ่งร่างกายแข็งแรงที่สุด แต่คราวนี้เขาก็เริ่มเดินโซเซแล้วเหมือนกัน
“อาจารย์ พวกเราจะถ่อกันมาสถานที่เปล่าเปลี่ยวแบบนี้ทำไมครับเนี่ย? ถ้าเดินขึ้นไปอีกมีหวังได้หนาวตายจริงๆ แน่…”
หวังชุ่นกำลังรู้สึกเสียดาย ถ้าให้โอกาสเขาได้ตัดสินใจใหม่อีกครั้ง เมื่อคืนเขาก็คงเตรียมยานอนหลับใส่ลงไปในน้ำชาของตี๋วั่ง แล้วขโมยหนังสือวิเศษเล่มนั้นหนีหายไปแล้ว
“ถ้าไม่อยากไป แกจะลงไปก็ได้นะ!”
ยามนี้ตี๋วั่งก็รู้สึกเป็นทุกข์อย่างที่ไม่อาจพูดออกมาได้อยู่เหมือนกัน เขาเองก็ไม่คิดว่า การทำธุรกิจครั้งนี้ให้สำเร็จจะยากลำบากถึงเพียงนี้ ทั้งชีวิตของเขาเคยเจอสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายมาไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับเวลานี้ ประสบการณ์เหล่านั้นก็ดูเป็นเรื่องกระจอกไปเลย
แต่พิกัดที่ชาวอังกฤษระบุไว้ก็อยู่ห่างไปเป็นระยะทางเพียงหนึ่งวันเท่านั้น และช่องทางหลังจากลงภูเขาจนถึงออกนอกประเทศเขาก็จัดการให้เรียบร้อยแล้ว เมื่อนึกถึงค่าตอบแทนห้าล้านหยวนนั้นแล้ว ตี๋วั่งจึงได้แต่กัดฟันเดินต่อไป
“ได้ยังไงล่ะครับอาจารย์ ท่านบอกให้ไปต่อ พวกเราก็จะไปต่อ!”
หลังจากได้ยินคำพูดไม่พอใจของตี๋วั่งแล้ว ในใจของหวังชุ่นก็รู้สึกเย็นวาบไปถึงไขกระดูก จึงรีบก้มหน้าปีนขึ้นภูเขาต่อไป
เมื่อความมืดเข้ามาเยือน ในที่สุดตี๋วั่งและพรรคพวกก็ข้ามผ่านยอดเขาโป๋เก๋อต๋าที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 5,445 เมตรไปได้ และเริ่มเดินทางลงภูเขาจากด้านข้าง
แต่จะว่าไปแล้ว ก็ถือว่าพวกเขามีแววในการเป็นนักไต่เขาอยู่จริงๆ อย่างน้อยจากประสบการณ์ในครั้งนี้ ก็ทำให้พวกเขาเหนือกว่าพวกที่ได้ชื่อว่าเป็นนักไต่เขาไปหลายคนแล้ว
“พี่วั่ง มีอะไรแปลกๆ อยู่นะ!”
เปียวจึที่เดินอยู่ข้างหน้าสุดพลันหยุดฝีเท้าลง เพราะเขาพบว่า ที่เบื้องหน้าของตัวเองดูเหมือนจะมีสิ่งก่อสร้างสูงใหญ่กลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นราวกับเงาของผีร้าย ทำให้แม้แต่เปียวจึคนใจกล้าก็ยังรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมาในใจ
“นั่นป่าน้ำแข็ง พวกเรามาถึงสถานที่ตั้งแคมป์ในวันนี้แล้วละ!”
ตี๋วั่งหยิบไฟฉายแรงสูงออกมาส่องไปข้างหน้า แล้วร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ ถึงอย่างไรเขาก็อายุห้าสิบกว่าปีแล้ว ความอดทนต่อสภาพอากาศอันย่ำแย่นี้จึงเกือบจะถึงขีดจำกัดแล้ว
“ระวังกันหน่อยนะ ธารน้ำแข็งตรงนี้มีรอยแตกร้าวอยู่ ถ้าตกลงไปละก็ไม่มีใครช่วยพวกแกได้หรอก!”
เมื่อไปถึงอีกด้านหนึ่งของภูเขา หิมะก็หยุดตกแล้ว แต่บนท้องฟ้ายังคงไม่มีแสงดาว เสียงร้องอุทานของตี๋วั่งทำให้คนอื่นๆ ที่เริ่มผ่อนคลายลงแล้วกลับเคร่งเครียดขึ้นมาอีกทันที หลังจากคลำหาทางจนเข้าไปในป่าน้ำแข็งแล้ว ทุกคนต่างก็หย่อนก้นนั่งลงบนพื้น
“รีบหยิบของออกมาเร็วเข้า กินข้าวกันเสร็จแล้วจะได้รีบพักผ่อน! เปียวจึ พรุ่งนี้ต้องปลุกตอนตีห้านะ…”
หลังจากพักหายใจไปครู่หนึ่ง ตี๋วั่งก็ออกคำสั่ง แต่ละคนต่างปลดสัมภาระที่แบกไว้บนหลังลงมา พวกเขามีประสบการณ์การใช้ชีวิตกลางป่าเหนือว่าเยี่ยเทียนอย่างเห็นได้ชัด หลังจากผ่านไปสิบกว่านาที ก้อนน้ำแข็งก้อนหนึ่งก็เริ่มต้มอยู่ในหม้อแล้ว
หลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นที่ถือว่าหรูหราสำหรับบนภูเขาหิมะแล้ว ทุกคนก็มุดเข้าไปพักผ่อนในเต็นท์ที่กางไว้เรียบร้อยแล้ว จากนั้นไม่นานก็เข้าสู่ความฝันไปกันหมด
ไม่มีใครรู้ว่า ตอนกลางดึกตี๋วั่งลุกขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ และหลังจากเดินวนอยู่นอกเต็นท์ของหวังชุ่นอยู่พักใหญ่ เขาก็มุดกลับเข้าไปในเต็นท์ของตัวเองอีกราวกับภูตผี
“ตื่น ตื่นได้แล้ว…”
ขณะที่ฟ้าเพิ่งจะเริ่มสว่างขึ้น เปียวจึก็ตะโกนโหวกเหวกขึ้นมา โชคดีว่าที่นี่เป็นเขตธารน้ำแข็งซึ่งไม่มีกองหิมะทับถมกันแล้ว ไม่อย่างนั้นเสียงตะโกนดังลั่นของเขาจะต้องทำให้หิมะถล่มแน่นอน
ทิวทัศน์ของธารน้ำแข็งในตอนกลางวันนั้น แตกต่างจากตอนกลางคืนโดยสิ้นเชิง หลังจากที่พวกเขามุดออกมาจากเต็นท์ ก็พากันตกตะลึงกับทัศนียภาพอันแสนอัศจรรย์ที่อยู่ตรงหน้าไปทันที
ตรงหน้าของทุกคนคือธารน้ำแข็งที่ตัดสลับกันไปมา ปกคลุมไปทั่วเนินเขาขาวดุจหิมะ สีครามเข้มราวกับหยก ธารน้ำแข็งมากมายมาบรรจบรวมกันที่จุดเดียว ราวกับมีเจดีย์มากมายผุดขึ้นมาบนพื้นผิวอันราบเรียบ
กลุ่มเจดีย์เชื่อมต่อกันเป็นกลุ่มใหญ่ และทอประกายเย็นเยียบออกมาภายใต้แสงแดดแรกในยามเช้าตรู่ ส่องสะท้อนให้เห็นใบหน้าของตัวเองอย่างชัดเจนราวกับเป็นกระจก
จนกระทั่งเวลานี้ เปียวจึและคนอื่นๆ จึงเพิ่งจะพบว่า บนพื้นดินบริเวณรอบๆ มีสิ่งของถูกทิ้งไว้ไม่น้อยเลย ตั้งแต่ถังออกซิเจนไปจนถึงถุงพลาสติกต่างๆ สารพัดแบบ ท่าทางที่นี่จะเป็นจุดตั้งแคมป์ของนักปีนเขาจริงๆ
“หวังชุ่น ไอ้หมอนี่มันยังไม่ตื่นอีกเหรอวะ? ต้องให้ลูกพี่อย่างฉันมาปลุกแกใช่ไหม?”
เมื่อเห็นหวังชุ่นยังอ้อยสร้อยอยู่ในเต็นท์ไม่ขยับเขยื้อน เปียวจึจึงหยิบกระป๋องเหล็กเปล่าๆ ใบหนึ่งโยนเข้าไป
“ตื่นแล้ว ตื่นแล้ว มึนหัวนิดหน่อยน่ะ” เสียงของหวังชุ่นดังมาจากในเต็นท์
หวังชุ่นลืมตาอย่างสะลึมสะลือ แล้วรู้สึกเวียนศีรษะเล็กน้อย เมื่อคืนตอนกลางดึกเขานอนหลับไม่ค่อยสนิทดี รู้สึกเหมือนมีลมหนาวพัดมาข้างหูตลอดเวลา และยังฝันถึงคนหลายคนที่เขาเคยฆ่าไปกับมือในอดีตอีกด้วย
หลังจากมุดออกมาจากถุงนอน หวังชุ่นก็ส่ายศีรษะแรงๆ แล้วจึงเปิดเต็นท์เดินออกมา
“นี่…นี่อะไรน่ะ?”
ตอนที่หวังชุ่นเพิ่งจะมุดออกมาจากเต็นท์ ทันใดนั้นเขาก็มองเห็น ‘คน’ ใส่เสื้อผ้าเก่าขาดวิ่น กล้ามเนื้อบนใบหน้าเปื่อยเละไปครึ่งหนึ่ง และมีส่วนที่ยังเกาะติดจมูกอยู่เล็กน้อยคนหนึ่งปรากฏกายขึ้น!
“อาจารย์ พี่เปียว อยู่ไหนกันน่ะ?”
เสียงกรีดร้องของหวังชุ่นดังขึ้นมา แต่เสียงของคนอื่นๆ ที่เขาได้ยินอยู่เมื่อครู่นี้กลับเงียบหายไปในฉับพลัน ราวกับว่าโลกนี้เหลือเพียงตัวเองกับตัวประหลาดที่อยู่ตรงหน้า
ตอนที่ 204
มนุษย์หิมะ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เอาชีวิตฉันคืนมา…”
เสียงหลอนๆ เปล่งออกมาจากปากของเจ้าตัวประหลาดครึ่งคนครึ่งผีที่อยู่ตรงหน้า แล้วโฉมหน้าของมันก็เกิดการเปลี่ยนแปลง กล้ามเนื้อบนใบหน้าที่กำลังจะร่วงหล่นเหมือนกับตัวต่อจิ๊กซอว์นั้น ได้ฟื้นฟูสภาพกลับมาเหมือนคนแล้ว
“แก…แกเองรึ? อาจารย์เป็นคนสั่งให้ฉันฆ่าแกนะ ใครเป็นหนี้คนนั้นก็ต้องจ่าย ใครเป็นคนร้ายก็ต้องชดใช้กรรม แกอย่ามาหาเรื่องฉันสิ!” หลังจากเห็นโฉมหน้าของคนที่อยู่ตรงหน้า ร่างกายของหวังชุ่นก็สั่นระริกขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
คนผู้นี้ชื่อเอ้อร์หู่ เป็นโจรปล้นสุสานเพื่อแสวงหาผลกำไรคนหนึ่งในมณฑลเหอหนาน หวังชุ่นได้รู้จักกับเอ้อร์หู่ในระหว่างการทำธุรกิจค้าของโจรครั้งหนึ่ง หลังจากผ่านไปหนึ่งปี เอ้อร์หู่ก็เชื้อเชิญหวังชุ่นไปขุดค้นสุสานใหญ่แห่งหนึ่งที่มณฑลเหอหนาน
ตอนนั้นเดิมทีพวกตี๋วั่งนึกว่า ที่นั่นเป็นสุสานของนายพลผู้หนึ่ง แต่หลังจากที่เข้าไปในนั้น กลับพบว่าแท้จริงแล้วเป็นสุสานของจักรพรรดิ ภายในมีวัตถุที่ถูกฝังไปพร้อมกับผู้ตายนับหมื่นชิ้น ตอนนั้นพวกเขาจึงหน้ามืดตามัวไปทันที
ตามที่เจรจากันไว้คราวก่อน เอ้อร์หู่จะได้ครอบครองสามสิบเปอร์เซ็นต์ของวัตถุทั้งหมด โบราณว่า ทรัพย์สินเงินทองทำให้ใจคนหวั่นไหวได้ ตี๋วั่งจึงเกิดจิตสังหารขึ้นมาตั้งแต่ตอนนั้น
หลังจากได้รับสัญญาณจากตี๋วั่ง ขณะที่วัตถุทั้งหมดกำลังลำเลียงออกมา และคนงานก็ทยอยกันมุดออกมาจากสุสานนั้น หวังชุ่นก็สาดกรดอย่างแรงจานหนึ่งใส่หน้าของเอ้อร์หู่ที่กำลังคลานออกมาจากโพรง
เสียงกรีดร้องอย่างน่าสังเวชและใบหน้าเปื่อยเละที่เผยกระดูกสีขาวออกมาอย่างรวดเร็วนั้น ทำให้หวังชุ่นไม่อาจลืมไปชั่วชีวิต
“เอาชีวิตฉันคืนมา…” เสียงหลอนๆ น่าสะพรึงดังก้องอยู่ในหูของหวังชุ่นตลอดเวลา และมือทั้งสองข้างของเอ้อร์หู่ก็กลายเป็นโครงกระดูกอันแห้งกรัง กำลังยกขึ้นมาหมายจะตะปบไปที่ใบหน้าของหวังชุ่น
“ฉัน…ฉันจะสู้ตายกับแกละวะ!”
“ปัง! ปังๆ!!!”
ท่ามกลางสถานการณ์ที่คับขัน หวังชุ่นคว้าปืนพกที่เหน็บอยู่ที่เอวด้านหลังออกมา แล้วยิงไปที่เอ้อร์หู่ติดๆ กัน เสียงปืนดังสนั่นสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณธารน้ำแข็ง
แต่หวังชุ่นกลับพบว่า ปืนพกนั้นไม่มีผลอะไรต่อวิญญาณพยาบาทของเอ้อร์หู่เลยแม้แต่น้อย หลังจากยิงกระสุนออกไปหนึ่งนัด เขาก็รู้สึกว่ามีมือคู่หนึ่งบีบกำลังคอของเขาไว้อย่างแรง ทำให้หายใจถี่กระชั้นขึ้นมาทันที
เงามรณะเข้าปกคลุมหัวใจของหวังชุ่นในฉับพลัน และก็ไม่รู้ว่าหวังชุ่นไปได้พลังมาจากไหน จึงออกแรงดิ้นจนหลุดพ้นจากเงื้อมือปีศาจคู่นั้น แล้ววิ่งไปข้างหลังอย่างโซซัดโซเซ
“อ๋า!”
หวังชุ่นวิ่งตะบึงโดยไม่หยุดเหลียวหลังเลย ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าใต้ฝ่าเท้าว่างเปล่า ทั้งร่างลอยอยู่กลางอากาศ ผีร้ายที่ไล่ตามเขาอยู่ก็อันตรธานหายไป สิ่งที่ปรากฏแก่สายตามีเพียงธารน้ำแข็งอันงดงามตระการตาและแสนพิสดารนั้น
จากนั้นภาพสุดท้ายที่ปรากฏอยู่ในหัวของเขา ก็คือรอยยิ้มอันเย็นเยียบบนใบหน้าของตี๋วั่งที่ยืนอยู่ห่างๆ
ในวินาทีนั้น หวังชุ่นเข้าใจทุกอย่างแล้ว เขาพยายามเหยียดมือออกไปอยากจะคว้าจับตี๋วั่งไว้ แต่กลับพบว่าร่างกายได้ตกลงสู่เบื้องล่างตามแรงโน้มถ่วงของโลกแล้ว
“ลูกพี่ น่าจะกำจัดมันไปตั้งนานแล้วนะ พวกกินบนเรือนขี้บนหลังคา!”
เปียวจึกำลังเพลิดเพลินกับการฟังเสียงกรีดร้องของหวังชุ่นที่ตกลงไปในรอยแยกของธารน้ำแข็ง จนกระทั่งเสียงนั้นเงียบหายไปแล้ว เขาจึงแสยะยิ้มขึ้นมา การตายในลักษณะนี้ เขาก็ไม่ใช่ว่าเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
“การค้าในสามปีที่ผ่านมานี่น่ะ ไอ้หวังชุ่นฮุบไว้คนเดียวไปหกแสนหยวน แล้วก็เอาไปเลี้ยงผู้หญิงหมด พวกแกดูเอาเถอะ!”
หลังจากได้ยินเปียวจึพูดขึ้น ตี๋วั่งก็โยนสมุดบัญชีเล่มหนึ่งให้คนอื่นอีกสองคนดู “น้องห้า น้องหก ที่ฉันกำจัดคนในกลุ่มเราไปนี่น่ะ พวกแกคงไม่ว่าอะไรนะ?”
“ลูกพี่ ไอ้ชุ่นจึถึงตายก็ยังไม่สาสมเลยครับ!”
น้องห้ากับน้องหกย่อมเข้าใจความหมายของตี๋วั่ง ไม่ว่าหวังชุ่นจะเคยทำเรื่องเหล่านั้นจริงหรือไม่ พวกเขาก็ไม่กล้าผิดใจกับตี๋วั่งเพื่อคนที่ตายไปแล้วคนหนึ่งหรอก ไม่อย่างนั้นก็พวกเขาเองนั่นแหละที่จะกลายเป็นหวังชุ่นคนถัดไป
“เอาละ เก็บข้าวของแล้วรีบทำงานนี้ให้เสร็จไปเสีย พวกเราจะได้ไปเสพสุขที่ต่างประเทศกัน!” ตี๋วั่งหัวเราะฮ่าๆ พลางเดินไปสำรวจเต็นท์ของหวังชุ่นอย่างละเอียด
เมื่อเห็นว่าป้ายหยกทั้งสี่ป้ายแตกละเอียดไปแล้ว ตี๋วั่งก็ส่ายหน้าพลางคิดว่า ความสามารถของเขายังตื้นเกินไป ถ้าทำตามที่บรรยายไว้ในหนังสือ หวังชุ่นก็ไม่มีทางที่จะหลุดพ้นไปจากค่ายกลของเขาได้อยู่แล้ว และจะต้องถูกพลังหยินพิฆาตฆ่าตายอย่างไม่ทันตั้งตัว
ตี๋วั่งมองดูรูกระสุนบนเสาน้ำแข็งที่อยู่ตรงกันข้ามเต็นท์ของหวังชุ่น แล้วเก็บปืนพกที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา จากนั้นก็เริ่มเก็บเต็นท์ของหวังชุ่น เพราะบนภูเขาหิมะที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของเล็กน้อยอะไรก็มีความสำคัญทั้งนั้น
……………………
“น่าจะเป็นที่นี่แหละ…” ตี๋วั่งมองดูแผนที่และภาพถ่ายใบหนึ่งที่ถืออยู่ในมือ ขณะที่กำลังยืนหอบอย่างแรงอยู่ที่ปากทางเข้าถ้ำอันมืดมิดแห่งหนึ่ง
หลังจากเดินทางอย่างยากลำบากมาหนึ่งวัน ตี๋วั่งและคนอื่นๆ ก็ปีนขึ้นไปถึงบนไหล่เขาของยอดเขาลูกที่สองแล้ว พวกเขาไม่ได้ขึ้นภูเขาไปตามเส้นทางหลัก แต่ไปตามเส้นทางที่ระบุไว้บนแผนที่ฉบับนั้น จนมาถึงจุดหนึ่งบนไหล่เขาที่น้ำแข็งเกิดการแยกตัวออกจากกัน
การแยกตัวของธารน้ำแข็งนั้นเกิดจากการเคลื่อนไหวของธารน้ำแข็ง โดยจะมีลักษณะรูปร่างแตกต่างกันไป และเบื้องล่างก็มีความตื้นลึกไม่เท่ากัน บางครั้งรอยแยกจะถูกกองหิมะทับถมกลบไว้ ถ้าหากเดินไม่ระวัง ก็จะเกิดผลตามมาอย่างร้ายแรง ตอนที่หวังชุ่นก้าวพลาดตกลงไปในรอยแยกนั้นก็มีความลึกถึงหลายร้อยเมตร
แต่รอยแยกของธารน้ำแข็งที่อยู่ตรงหน้าตี๋วั่งนี้ไม่ได้ลึกมากนัก มีความลึกเพียงหกเจ็ดเมตรเท่านั้น แต่กลับแผ่ขยายออกไปเรื่อยๆ ข้างบนปกคลุมไปด้วยกองหิมะที่แข็งตัวไปแล้ว ราวกับเป็นโพรงถ้ำบนภูเขาที่ก่อขึ้นจากชั้นน้ำแข็งทับถมกัน
“ลูกพี่ ผมจะลงไปก่อนนะ”
พวกเขาสมคบคิดทำเรื่องปล้นสุสานมาด้วยกันสิบกว่าปีแล้ว จึงไม่ต้องรอให้ตี๋วั่งออกคำสั่งเลย หลังจากน้องห้าซึ่งมีรูปร่างเตี้ยเล็กผูกเชือกเกาะยึดไว้กับชั้นน้ำแข็งอย่างคล่องแคล่วแล้ว ก็เหน็บไฟฉายแรงสูงกระบอกหนึ่งไว้ที่ไหล่แล้วไถลลื่นลงไปตามชั้นน้ำแข็ง
“ลูกพี่ ในนี้มีคนแข็งตายด้วย แม่ง ทำไมบนตัวเจ้านี่ยังมีขนงอกออกมาอยู่ล่ะเนี่ย?” หลังจากผ่านไปราวๆ เจ็ดแปดนาที เสียงของน้องห้าก็ดังออกมาจากในโพรงน้ำแข็ง
“ไป ลงไปข้างล่างกัน!”
หลังจากได้ยินน้องห้าบอก ใบหน้าของตี๋วั่งก็ฉายความยินดีออกมา เขาอุตส่าห์เดินทางมาถึงที่นี่ด้วยความยากลำบาก ในที่สุดก็ไม่เสียแรงเปล่าแล้ว
พื้นที่ด้านล่างรอยแยกนั้นมีความกว้างประมาณสี่ห้าเมตร ถึงพวกตี๋วั่งสี่คนจะไปยืนอยู่ในนั้นพร้อมกันก็ไม่รู้สึกอึดอัดเลย หลังจากเปิดไฟฉายแรงสูงทั้งสี่กระบอกขึ้นพร้อมกัน สภาพภายในถ้ำน้ำแข็งก็ปรากฏแก่สายตาของทุกคนทันที
แสงไฟสาดส่องลงไปบนชั้นน้ำแข็งโปร่งใสพร่างพราวที่ไม่เคยละลายมานานนับพันปี ทำให้เห็นเป็นประกายหลากหลายสีสัน แต่สายตาของพวกตี๋วั่งกลับถูกตรึงไปที่ภาพบางอย่างที่อยู่กลางถ้ำน้ำแข็ง
ถ้าไม่ได้รู้ล่วงหน้ามาก่อน คนที่ลงมาข้างในถ้ำน้ำแข็งแห่งนี้เป็นครั้งแรกก็จะต้องสะดุ้งตกใจอย่างแน่นอน เพราะเบื้องหลังชั้นน้ำแข็งนั้น กลับมี ‘มนุษย์ผู้ชาย’ คนหนึ่งยืนอยู่
‘มนุษย์’ ผู้นี้มีความสูงเพียงหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตร กระดูกโหนกแก้มยื่นนูนออกมา บนศีรษะมีเส้นผมสีแดงรกรุงรัง ดวงตาทั้งคู่เบิกโพลง ราวกับกำลังซักถามพวกตี๋วั่งที่อยู่ตรงหน้าโดยไร้สุ้มเสียง
และดูเหมือนว่า ‘มนุษย์’ คนนี้จะไม่กลัวความหนาวเลย บนร่างสวมใส่เครื่องนุ่งห่มที่ทำจากหนังสัตว์ โดยเพียงแต่พันไว้รอบเอวอย่างเรียบง่ายเท่านั้น เผยให้เห็นร่างกายช่วงบนทั้งหมดและต้นขาที่เปลือยเปล่า
แต่บนผิวหนังของเขาที่อยู่นอกร่มผ้านั้น กลับมีขนสีขาวเส้นเล็กละเอียดงอกออกมาปกคลุมจนทั่วร่างกายของเขาราวกับขนสัตว์ก็ไม่ปาน บางทีนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่เขาไม่กลัวความหนาวเหน็บก็เป็นได้
มือซ้ายของเขายังถือไม้กระบองที่ทำจากไม้เบิร์ชอยู่ด้วย ปลายด้านหนึ่งถูกเหลาจนแหลมคม กระทั่งยังสามารถมองเห็นคราบโลหิตสีแดงที่ติดอยู่บนปลายนั้นได้อีกด้วย
“ลูก…ลูกพี่ นี่…นี่มันศพตัวอะไรกันเนี่ย?”
น้องหกที่ตามหลังตี๋วั่งลงมาในถ้ำน้ำแข็งถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ในทีมนี้เขาทำแต่งานด้านเทคนิคมาตลอด พวกงานถอดเสื้อผ้าของคนตายและเก็บทรัพย์สมบัตินี่ปกติเขาได้ทำน้อยมาก จึงเป็นคนที่เห็นศพน้อยที่สุด
ตี๋วั่งไม่ได้ตอบน้องหก แต่กำลังสำรวจศพที่ดูราวกับมีชีวิตร่างนี้อย่างละเอียด หลังจากผ่านไปนานสองนานจึงพูดขึ้นว่า “ตอนนี้น่ะยังไม่รู้หรอก บนภูเขาหิมะนี่เคยมีตำนานเกี่ยวกับมนุษย์หิมะมาก่อน บางทีมันอาจจะเป็นเจ้าตัวนี้นี่แหละ!”
เมื่อเห็นศพอันแปลกประหลาดที่ไม่ใช่ทั้งมนุษย์และสัตว์นี้ ตี๋วั่งจึงเริ่มเข้าใจแล้วว่า ทำไมชาวอังกฤษคนนั้นถึงได้เสนอราคามาสูงขนาดนั้น
ตามตำนานเล่าว่า ที่เขตเทือกเขาหิมาลัยในประเทศเนปาลมีมนุษย์หิมะขนาดใหญ่ประเภทหนึ่งลักษณะคล้ายครึ่งคนครึ่งวานร ว่ากันว่ามันมีพละกำลังมหาศาล วิ่งได้เร็วเป็นลมกรดทั้งในป่าและบนพื้นหิมะ ปกติจะเดินตัวตรง แต่เวลาถูกโจมตีจะคลานหนีไปอย่างรวดเร็ว
กลุ่มชาวอินเดียที่อาศัยอยู่บริเวณเชิงเขาของเทือกเขาหิมาลัยเคยกล่าวว่า พวกตนเคยเห็นมนุษย์หิมะในตำนาน และยังเก็บเส้นขนของมนุษย์หิมะนี้ได้อีกด้วย
หลังจากผ่านการเปรียบเทียบโดยนักวิทยาศาสตร์ พบว่าเส้นขนลักษณะนี้ไม่มีปรากฏอยู่บนตัวของสัตว์ที่เป็นที่รู้จักในท้องถิ่นนั้นเลย แนวโน้มที่สิ่งมีชีวิตอันลึกลับนี้จะมีอยู่จริงจึงยิ่งเพิ่มสูงขึ้น
แต่จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่มีตัวอย่างมนุษย์หิมะของจริงให้ผู้คนได้ศึกษาวิจัยเลย ข้อมูลเกี่ยวกับมนุษย์หิมะที่เป็นเพียงตำนานจึงมีมากกว่าข้อมูลที่เป็นหลักฐานข้อเท็จจริงมากนัก
หลังจากเปียวจึถือไฟฉายแรงสูงส่องไปที่ศพร่างนั้นอยู่เป็นครึ่งค่อนวัน ก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้ว่า “ลูกพี่ ที่พวกเรากำลังตามหาอยู่ก็คือไอ้นี่น่ะนะ? ของพรรค์นี้คงเอาไปให้ใครจัดงานแต่งผีไม่ได้หรอกมั้ง?”
เปียวจึไม่ได้รู้สึกว่าการที่คนรวยจะเสียเงินเพื่อซื้อศพนั้นเป็นเรื่องแปลกเลย เพราะตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษที่ 80 เขาก็เคยติดตามตี๋วั่งไปขายศพให้คนนำไปใช้จัดพิธีแต่งงานผีมาแล้ว
การแต่งงานผี (อินฮุน หรือหมิงฮุน) ก็คือการหาคู่ครองให้กับคนที่ตายไปแล้ว หนุ่มสาวบางคู่หลังจากหมั้นหมายกันแล้ว ทั้งที่ยังไม่ทันได้แต่งงานก็กลับเสียชีวิตไปทั้งคู่ด้วยสาเหตุบางประการ พวกผู้ใหญ่จึงคิดว่า หากไม่จัดพิธีแต่งงานให้เรียบร้อย วิญญาณของทั้งสองฝ่ายก็จะมาหลอกหลอน ทำให้ครอบครัวไม่สงบสุข
เพราะฉะนั้น จึงต้องจัดพิธีแต่งงานผีให้แก่ทั้งสองคน สุดท้ายก็ฝังร่างของทั้งสองไว้ด้วยกันอย่างคู่สามีภรรยา เพื่อไม่ให้สุสานของทั้งสองตระกูลมีสุสานของสมาชิกที่โดดเดี่ยวไร้คู่ครอง
แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่สองฝ่ายที่หมั้นกันจะเสียชีวิตพร้อมกันเสมอไป และก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฝังคนเป็นไปพร้อมกับคนตาย จึงจำเป็นต้องนำร่างศพที่เพิ่งเสียชีวิตไม่นานมาจัดพิธีแต่งงานให้เสร็จ
ตอนนั้นตี๋วั่งเพิ่งจะหนีจากประเทศไทยกลับมาประเทศจีน และไม่มีเงินติดตัวสักแดงเดียว หลังจากรู้ว่ามีผู้เสนอค่าตอบแทนราคาสูงเพื่อให้ได้ศพของหญิงสาวหรือชายหนุ่มมา เขาจึงเคยไปขุดสุสานของคนที่เพิ่งเสียชีวิตในมณฑลใกล้เคียงอย่างบ้าคลั่งอยู่ช่วงหนึ่ง
ตอนนั้นเปียวจึเป็นเด็กขอทานคนหนึ่ง อายุเพิ่งจะสิบห้าสิบหกปี แต่มีนิสัยกล้าหาญมาก ครั้งหนึ่งขณะที่เขากำลังนอนอยู่ที่สุสานในป่าก็พบตี๋วั่งกำลังขุดศพอยู่ จึงถูกดึงเข้าไปเป็นพวก
“แกก็รู้อยู่อย่างเดียวเนี่ยว่าคนตายเอาไปทำพิธีแต่งผีได้ ไอ้นี่น่ะมีมูลค่าทางการวิจัยสูงลิ่วเลยเชียวแหละ ถ้าขนย้ายมันออกไปได้ละก็ ต่อให้คนอังกฤษนั่นไม่เอา พวกเราก็ยังเอาไปขายได้เงินก้อนโตเลยละ…”
หลังจากผ่านความยากลำบากนานัปการ ในที่สุดก็หาเจ้าสิ่งนี้พบแล้ว ตี๋วั่งจึงกำลังอารมณ์ดีมาก หลังจากอธิบายให้เปียวจึฟังแล้ว เขาก็หันไปพูดว่า “น้องหก เตรียมระเบิดซิ ต้องระเบิดเอาชั้นน้ำแข็งที่คลุมอยู่ด้านนอกให้กระจายออกไป ระวังอย่าทำให้ศพที่อยู่ข้างในเสียหายเด็ดขาดเลยนะ!”
เมื่อครู่ตี๋วั่งลองใช้สิ่วเจาะไปที่ชั้นน้ำแข็งดูแล้ว เจาะไปตั้งหลายทีก็ยังไม่เห็นจะถลอกเป็นรอยเลยสักนิด สงสัยต่อให้ใช้วิธีสาดน้ำร้อนใส่ก็คงไม่ได้ผล จึงต้องใช้แรงระเบิดทำให้น้ำแข็งแตกออกจากกัน
ตอนที่ 205
ค่ายกลพิฆาต
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อได้ยินคำสั่งของตี๋วั่ง น้องหกจึงไปยืนอยู่ข้างหน้าน้ำแข็งและเริ่มทดสอบความหนาของชั้นน้ำแข็ง หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน เขาก็หยิบสว่านไฟฟ้าที่เชื่อมต่อกับแบตเตอรี่ แล้วเจาะรูขนาดเท่ากำปั้นรอบๆ ตำแหน่งของศพร่างนั้นหลายรู
ก่อนที่น้องหกจะเข้าร่วมทีมของตี๋วั่ง เขาเป็นทหารหน่วยระเบิดทำลายที่เพิ่งปลดประจำการมาจากแผนกก่อสร้าง เนื่องจากชาวชนบทไม่ได้รับค่าตอบแทนและสวัสดิการที่เหมาะสมกับงาน เขาจึงกลับบ้านไปเป็นเกษตรกร
ตอนที่ตี๋วั่งไปขโมยสุสานครั้งหนึ่ง ได้ปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่โบราณคดี และจ้างเกษตรกรในท้องที่กลุ่มหนึ่งมาช่วยขุดและทำความสะอาดสุสานโบราณ เมื่อพบหินก้อนหนึ่งขวางอยู่ ทำให้ไม่สามารถขุดต่อไปได้ น้องหกจึงแสดงสุดยอดทักษะในการระเบิดออกมา
หลังจากการขุดปล้นสุสานโบราณแห่งนั้นผ่านไปอย่างราบรื่น ตี๋วั่งจึงชักนำน้องหกมาเข้าร่วมทีม ซึ่งพูดได้เลยว่า ถึงทีมของเขาจะมีคนไม่มาก แต่สมาชิกแต่ละคนก็มีทักษะเฉพาะตัวที่ไม่ใช่ว่าใครก็จะมาดูถูกได้เลย
น้องหกหยิบระเบิดพลาสติกออกมาจากกระเป๋าหลายลูกแล้วใส่เข้าไปในรู จากนั้นก็ติดตั้งชนวนระเบิด แล้วหันมาพูดว่า “ลูกพี่ ขึ้นไปข้างบนก่อนเถอะ!”
แม้ว่าชั้นน้ำแข็งอันแข็งแกร่งนี้จะมีอยู่มานานแค่ไหนแล้วก็ไม่ทราบ แต่การสั่นสะเทือนที่เกิดจากการระเบิดก็อาจจะทำให้เกิดการแตกร้าวของชั้นน้ำแข็งได้ หากเป็นแบบนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงที่คนเหล่านั้นจะถูกฝังไว้เบื้องล่าง
หลังจากคนเหล่านั้นเรียงแถวมุดออกมาจากถ้ำน้ำแข็ง น้องหกก็จุดชนวนระเบิดด้วยรีโมท ฝีมือของเขาเหนือชั้นมาก เพราะทุกคนแทบจะไม่รู้สึกถึงการสั่นสะเทือนใดๆ เลย มองเห็นเพียงกลุ่มควันโขมงพวยพุ่งออกมาจากถ้ำน้ำแข็งเท่านั้น
หลังจากเข้าไปในรอยแยกน้ำแข็งอีกครั้ง พวกเขาก็พบว่า ชั้นน้ำแข็งที่บังอยู่หน้าศพนั้นได้ถูกระเบิดหลุดออกไปหนึ่งชั้นหนาๆ และศพมูลค่าเป็นล้านเหรียญสหรัฐก็อยู่ใกล้พวกเขาแค่มือเอื้อมเท่านั้น
ตี๋วั่งสำรวจดูรอบๆ ชั้นน้ำแข็งอยู่นานสองนาน แล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “น้องห้า น้องหก พวกนายสองคนค่อยๆ ใช้สิ่วกะเทาะชั้นน้ำแข็งนี่ออกมานะ ระวังอย่าทำให้ศพเสียหายล่ะ เปียวจึ ไปเอาถุงรักษาอุณหภูมินั่นลงมาซิ ถ้าเอาเจ้านี่ออกมาแล้วเกิดเน่าขึ้นมาก็จบกันพอดี!”
อุปกรณ์ทั้งหมดที่ใช้ในการขุดค้นศพบนภูเขาหิมะครั้งนี้ รวมถึงรถออฟโรดที่พวกเขาขับมาคันนั้น ล้วนมาจากการสนับสนุนของชาวอังกฤษคนนั้นทั้งหมด
เพื่อรับประกันว่าศพจะอยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบ ชาวอังกฤษคนนั้นถึงขั้นติดตั้งตู้แช่แข็งตู้หนึ่งไว้ในรถออฟโรด นอกจากนี้ยังมีถุงเก็บความเย็นซึ่งสามารถปกป้องศพไม่ให้เน่าเปื่อยได้เป็นระยะเวลาหนึ่งอีกด้วย กล่าวได้ว่าเขาใช้ความคิดอย่างทุ่มเทมากเลยทีเดียว
………………………………
ขณะที่พวกตี๋วั่งกำลังกะเทาะชั้นน้ำแข็งอยู่ เยี่ยเทียนก็ปีนขึ้นมาถึงยอดเขาโป๋เก๋อต๋าที่มีชื่อเสียงแล้ว เพียงแต่ในเวลานี้เยี่ยเทียนมีสภาพไม่ค่อยดีนัก เขาปีนขึ้นมาบนยอดเขาหิมะนี้เพียงลำพัง จึงยากลำบากมากกว่าทีมปีนเขาที่ร่วมมือกันปีนขึ้นมามากนัก
ตอนที่ปีนไปถึงระดับความสูงที่สี่พันกว่าเมตร เยี่ยเทียนก็ยังรู้สึกสบายๆ อยู่ แต่ยิ่งขึ้นไปสูงเท่าไร ก็ยิ่งเดินยากมากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าเยี่ยเทียนจะออกแรงอย่างไร ความเร็วก็ยังช้ากว่าช่วงก่อนมาก
และยังมีความยากลำบากอีกอย่างหนึ่งคือลมหนาวบนภูเขาสูง ยิ่งสูงขึ้นเท่าไร ลมก็ยิ่งพัดแรงขึ้นเท่านั้น และมักจะมีกระแสลมแรงพัดหอบมาอย่างฉับพลันเป็นระลอก ทำให้เขาถูกพัดจนต้องถอยร่นไปหลายสิบก้าว หลังจากรอจนลมสงบลงแล้ว ก็ต้องเสียพละกำลังไปอีกมาก กว่าจะปีนกลับไปถึงจุดเดิมได้
หลังจากเสียเวลาไปทั้งวัน เยี่ยเทียนก็เพิ่งจะมาถึงยอดเขา แต่ยามนี้เขาไม่มีเวลาไปชื่นชมทิวทัศน์อันสวยงามของทิวเขาเหล่านี้แล้ว เพราะยามตะวันรอนใกล้จะมาถึง เขาจึงจำเป็นต้องเดินลงไปอีกฝั่งหนึ่งของภูเขาโดยเร็วที่สุด และหาสถานที่ที่สามารถตั้งแคมป์ได้
บนยอดเขานี้มีอุณหภูมิติดลบหลายสิบองศาเซลเซียส ถึงเยี่ยเทียนจะนำถุงนอนกับเต็นท์มาด้วยก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าเขานอนหลับบนยอดเขานี่ ก็อย่านึกเลยว่าในวันถัดไปจะได้ตื่นขึ้นมาอีก
“เอ๊ะ? ลักษณะทรงพลังทับถมดั่งตึกสูง นี่…นี่มันภูมิประเทศแบบเส้นเลือดมังกรสำหรับตั้งสุสานที่อำนวยแก่การสร้างรัฐนี่นา?!” ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังจะเดินลงเขา สายตาก็ทอดมองออกไป แล้วรู้สึกตกตะลึงขึ้นมาทันที
การสังเกตพลังชี่ในพื้นดินนั้น เป็นทักษะพื้นฐานที่ซินแสฮวงจุ้ยทุกคนจะต้องมี เทือกเขาเทียนซานที่อยู่เบื้องหน้านี้เรียงตัวเป็นคลื่นคดเคี้ยวไปมา ลักษณะเทือกเขาซ่อนเร้นสลับซับซ้อน พลังชี่ในพื้นดินลอยฟุ้งขึ้นมา เห็นเส้นแนวพลังชัดเจน ดุจมังกรที่บินฉวัดเฉวียนอย่างงดงาม และเหาะเหินอย่างรวดเร็ว
ในวงการอภิปรัชญาฮวงจุ้ยของประเทศจีน ยังคงมีการถกเถียงเกี่ยวกับจำนวนของเส้นเลือดมังกรมาตลอด บ้างก็เข้าใจว่าเส้นเลือดมังกรมีสามสายใหญ่ด้วยกัน ได้แก่ เส้นเลือดมังกรเกิ้น เจิ้นและซวิ่น ซึ่งเริ่มต้นจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือแผ่ขยายไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จึงมีคำกล่าวว่า ‘ทิศตะวันตกเฉียงเหนือดินสูงฟ้าจึงน้อย ทิศตะวันออกเฉียงใต้ดินต่ำดินจึงน้อย’
แต่ยังมีคนกลุ่มหนึ่งเข้าใจว่า ประวัติศาสตร์ของประเทศจีนได้ผ่านมาถึงยี่สิบสี่ราชวงศ์ ถ้าแต่ละราชวงศ์ต่างมีเส้นเลือดมังกรหนึ่งสาย แบบนั้นอย่างน้อยก็ต้องมีเส้นเลือดมังกรอยู่ถึงยี่สิบสี่สาย
คนเหล่านี้ถึงขั้นไล่เรียงเส้นเลือดมังกรของแต่ละราชวงศ์ออกมาจนหมด อย่างเช่นเส้นเลือดมังกรของหวงตี้หรือจักรพรรดิเหลืองอยู่ที่ลุ่มแม่น้ำหวงเหอในที่ราบภาคกลาง เส้นเลือดมังกรของพระเจ้าต้าอวี่อยู่ที่เทือกเขาซงซานในลุ่มแม่น้ำหวงเหอ เส้นเลือดมังกรของราชวงศ์โจวอยู่ที่อำเภอฉีซานในมณฑลส่านซี เส้นเลือดมังกรของราชวงศ์ฉินอยู่ที่เมืองเสียนหยาง เส้นเลือดมังกรของราชวงศ์หมิงอยู่ที่อำเภอเฟิ่งหยางในมณฑลอานฮุย และเส้นเลือดมังกรของราชวงศ์ชิงอยู่ในภูมิภาคตงเป่ย เป็นต้น
แต่ในใจของเยี่ยเทียนรู้สึกว่า ทฤษฎีนี้ออกจะฟังดูไร้เหตุผลเกินไปหน่อย เพราะการกล่าวว่า จักรพรรดิแต่ละองค์รุ่งเรืองขึ้นมาได้เพียงเพราะเส้นเลือดมังกรนั้นเป็นการไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง และเส้นเลือดมังกรต่างๆ ในประเทศจีนก็มีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาคุนหลุนทั้งนั้น
เส้นเลือดมังกรสามสายที่เริ่มจากเทือกเขาคุนหลุนไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้นั้นได้แก่ มังกรตอนเหนือซึ่งเริ่มจากเทือกเขาอินซานและเทือกเขาเหอหลาน เข้าสู่มณฑลซานซี โดยเริ่มจากเมืองไท่หยวนและไปสิ้นสุดที่ชายฝั่งทะเล มังกรตอนกลางซึ่งเริ่มจากเทือกเขาหมินซานเข้าสู่ที่ราบกวนจง จนกระทั่งถึงเทือกเขาฉินซานและสุดปลายที่ชายฝั่งทะเล สุดท้ายคือมังกรตอนใต้ซึ่งเริ่มจากที่ราบสูงอวิ๋นกุ้ยและมณฑลหูหนาน จนกระทั่งถึงมณฑลฝูเจี้ยน มณฑลเจ้อเจียงและถึงชายฝั่งทะเล
เส้นเลือดมังกรใหญ่แต่ละสายล้วนแตกเป็นสายย่อยเช่น กานหลง จือหลง เจินหลง เจี่ยหลง เฟยหลง เฉียนหลง และส่านหลง เป็นต้น
ดังนั้นในสายตาของผู้สืบทอดวิชาฮวงจุ้ยอย่างเยี่ยเทียน เทือกเขาที่ทอดยาวอยู่ข้างแหล่งน้ำ ดั่งม้าที่ห้อตะบึง ดั่งคลื่นที่ซัดสาดต่างก็เรียกว่าเป็นเส้นเลือดมังกรได้ทั้งนั้น เส้นเลือดมังกรใหญ่มีเพียงสามสาย แต่เส้นเลือดมังกรที่แตกแขนงออกไปกลับมีนับพันนับหมื่น ไม่มีทางแยกแยะนับจำนวนได้หมดเลยจริงๆ
ส่วนเส้นเลือดมังกรที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียนนี้ เทือกเขาที่อยู่เบื้องหน้าซึ่งยังสูงกว่ายอดเขาโป๋เก๋อต๋าอีกนั้นก็คือเส้นเลือดสายหลักนั่นเอง รอบด้านมีภูเขามากมายโอบล้อม เปี่ยมด้วยความมั่งคั่ง ปกป้องคนและทรัพย์สิน เรียกได้ว่าเป็นลักษณะของเส้นเลือดมังกรอย่างแท้จริง
เยี่ยเทียนมองดูภูมิประเทศแบบเส้นเลือดมังกรที่ลอยคลุ้งไปด้วยกระแสพลังหยินหยาง แล้วถอนหายใจ “น่าเสียดาย สมัยปลายราชวงศ์ชิงเส้นเลือดมังกรแต่ละแห่งถูกปลุกไปหมดแล้ว พลังของฮวงจุ้ยโดยรวมก็เลยเสียไปหมด ต่อให้ใครอยากจะอาศัยเส้นเลือดมังกรนี่ขึ้นมาเป็นจักรพรรดิ ก็คงจะเป็นไปไม่ได้แล้วละนะ!”
ในแต่ละราชวงศ์ สามารถปลุกเส้นเลือดมังกรได้เพียงหนึ่งแห่งเท่านั้น ก็อย่างในสมัยราชวงศ์โฮ่วจินที่ยอดพ่อมดชิงปาถูหลู่ช่วยพระเจ้าหนูเอ่อร์ฮาชื่อปลุกเส้นเลือดมังกรธาตุไฟบริเวณด้านตะวันออกของซานไห่กวนขึ้นมา ทำให้ตั้งราชวงศ์ชิงขึ้นมาได้สำเร็จ
แต่ถึงจะมีชัยชนะเพราะเส้นเลือดมังกร ก็สามารถพ่ายแพ้เพราะเส้นเลือดมังกรได้เช่นกัน ในช่วงปลายราชวงศ์ชิงนั้น เส้นเลือดมังกรในใต้หล้าถูกปลุกขึ้นมาจนหมด และตำนานของจักรพรรดิในประเทศจีนก็กลายเป็นประวัติศาสตร์ไป
เยี่ยเทียนยืนดูจากบนยอดเขาอยู่พักหนึ่ง แล้วรีบลงเขาไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้เส้นเลือดมังกรแบบนี้จะพบเห็นได้น้อย แต่ถ้ายังหยุดอยู่ตรงนี้ต่อไป เดี๋ยวพอตะวันตกดินแล้ว เขามีหวังได้ถูกแช่แข็งเหมือนหนอนตัวหนึ่งกันพอดี
ลักษณะของไหล่เขาด้านหลังค่อนข้างราบเรียบ หลังจากเดินทางอย่างรีบร้อนไปครึ่งชั่วโมงกว่าๆ เยี่ยเทียนก็ตาเป็นประกายขึ้นมาทันที เพราะเขาพบตำแหน่งที่ธารน้ำแข็งก่อตัวเป็นทรงเจดีย์แล้ว
เวลานี้ดวงอาทิตย์ยังไม่ลับไปหลังภูเขา อาทิตย์ยามเย็นสีแดงสดสาดส่องลงไปบนธารน้ำแข็งที่อยู่ตรงนั้นมานานนับพันนับหมื่นปี สะท้อนสีสันสวยงามหลากหลาย ราวกับเป็นแดนสวรรค์บนโลกมนุษย์ก็ไม่ปาน
แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่ไม่เข้ากันเลยก็คือ ขยะต่างๆ ที่ถูกทิ้งเรี่ยราดเต็มพื้น ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่สิบเจ็ดก็มีคนปีนขึ้นมาบนยอดเขาลูกนี้แล้ว และในหลายร้อยปีที่ผ่านมา ก็เคยมีคนมาที่นี่ไม่รู้ตั้งเท่าไร ทำให้มีเชือกและอุปกรณ์ปีนเขาสารพัดอย่างถูกทิ้งไปทั่ว
“เมื่อวานพวกนั้นมาตั้งแคมป์ที่นี่จริงๆ ด้วย!”
หลังจากเยี่ยเทียนเดินหลบรอยแยกบนธารน้ำแข็งที่มีอยู่มากมายอย่างระมัดระวัง และสำรวจดูทั่วทั้งบริเวณเจดีย์น้ำแข็งที่สามารถสะท้อนเงาของเขาได้แล้ว เขาก็พบร่องรอยการตั้งแคมป์ของพวกตี๋วั่ง
“เอ๊ะ? นี่มันเกิดอะไรขึ้น? หรือว่าพวกนั้นจะปะทะกันเอง?”
เมื่อเยี่ยเทียนยืนอยู่ข้างเต็นท์ที่หวังชุ่นนอนเมื่อคืน เขาก็สัมผัสได้ถึงกระแสพลังพิฆาตจางๆ และรูกระสุนบนเสาน้ำแข็งที่อยู่ตรงกันข้ามก็อธิบายแล้วว่า เมื่อวานเกิดอะไรขึ้นที่นี่
หลังจากที่นึกได้ว่า พลังชี่ทั้งสี่กลุ่มที่เขาปล่อยให้ติดตามพวกนั้นไป ในวันนี้กลับเหลืออยู่เพียงสามกลุ่ม เยี่ยเทียนจึงพยักหน้าอย่างครุ่นคิด สงสัยว่า ‘เถ้าแก่เจี่ย’ คงจะประสบเคราะห์ร้ายไปเสียแล้ว
“ช่างเถอะ ได้ตายในสถานที่ที่โอบล้อมด้วยเส้นเลือดมังกรอย่างนี้ ก็ถือว่าเป็นโชคดีของพวกแกแล้วล่ะ!”
เยี่ยเทียนวางกระเป๋าปีนเขาที่สูงถึงเอวลงบนพื้น แล้วเดินไปรอบๆ เจดีย์น้ำแข็งกลุ่มนี้ หลังจากผ่านไปเนิ่นนานก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า ที่นี่กันลมกันน้ำได้ ถ้าจัดตำแหน่งอีกสักหน่อย ก็จะกลายเป็นจุดฮวงจุ้ยพิฆาตขึ้นมาแล้ว
เยี่ยเทียนอยู่บนภูเขาหิมะมาสองวันแล้ว กวางทุ่งที่จับได้เมื่อวานก็กินไปจนหมดเกลี้ยง เขาจึงตัดสินใจจะตั้งหลักพักเอาแรงอยู่ที่นี่ และปล่อยให้พวกตี๋วั่งเข้ามาติดกับเอง
และในสถานที่ซึ่งมีร่องรอยของมนุษย์อยู่น้อยนิดนี้ก็มีสัตว์ต่างๆ อาศัยอยู่มากมาย เยี่ยเทียนใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมง ก็ล่าไก่หิมะตัวอ้วนพีมาได้สองตัวแล้ว หลังจากรับประทานจนอิ่มหนำ เยี่ยเทียนก็กางเต็นท์ขึ้นแล้วมุดเข้าไปหลับสนิทอยู่ในถุงนอน
แต่เมื่อถึงเวลาห้านาฬิกาเศษของเช้าวันถัดไป เยี่ยเทียนก็ลุกขึ้นมาแล้ว หลังจากเก็บเต็นท์ และเก็บกวาดร่องรอยการก่อไฟทำอาหารของตัวเองเมื่อวานแล้ว จากนั้นเขาก็หยิบเครื่องรางซึ่งเป็นหยกทั้งแปดชิ้นออกมา แล้วจัดวางไว้ตามแต่ละจุดของเจดีย์น้ำแข็ง
หลังจากจัดเรียงเครื่องรางเสร็จแล้ว เยี่ยเทียนก็หยิบมีดสั้น ‘อู๋เหิน (ไร้ร่องรอย)’ เล่มนั้นออกมา และวาดสัญลักษณ์ที่ดูคลุมเครือไม่ชัดเจนกลุ่มหนึ่งลงไปตามแต่ละมุมของในเขตเจดีย์น้ำแข็ง
“พลังเราก็ยังน้อยเกินไปอยู่ดีแหละนะ แค่สามค่ายกลก็ต้องใช้พลังชี่จนหมดเกลี้ยงแล้ว!”
หลังจากผ่านไปสองชั่วโมงกว่า เยี่ยเทียนเพิ่งจะวาดสัญลักษณ์ค่ายกลขึ้นมาได้เพียงสามค่ายกล แต่พลังชี่ทั่วร่างกลับไม่เหลือเลย หยาดเหงื่อขนาดเท่าเมล็ดถั่วก็ไหลลงมาจากหน้าผากไม่หยุด
เยี่ยเทียนนั่งพักผ่อนอยู่บนพื้นไปครู่หนึ่ง แล้วจึงลุกขึ้นยืน มือทั้งสองข้างจับข้อนิ้วร่ายอาคมไม่หยุด ปากก็ตวาดออกมาว่า “เปิด!”
เมื่อเยี่ยเทียนเปล่งเสียงออกมา แสงสว่างทั่วทั้งเขตเจดีย์น้ำแข็งก็พลันดับวูบไป เสียงลมที่พัดดังหวีดหวิวอยู่ข้างหูเหมือนจะหยุดลง หลังจากผ่านไปสามสี่วินาทีจึงกลับคืนสู่สภาพปกติ
หากมองจากภายนอก เขตเจดีย์น้ำแข็งก็ดูเหมือนจะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไร แต่หากเข้าไปสำรวจดูเองแล้ว ก็จะพบว่าแตกต่างไปจากเดิมมาก
พวกไก่หิมะหรือนกกาหิมะที่ปกติมักจะบินเข้ามาหาอาหารในเขตเจดีย์น้ำแข็ง รวมถึงพวกสัตว์ขนาดเล็กบางชนิดนั้น ยามนี้กลับหลีกเลี่ยงบริเวณนั้นออกไปจนไกล แต่ก็จะมีสัตว์บางตัวเผลอบุกเข้ามาเป็นบางครั้ง พอเข้ามาก็จะกระพือปีกร่วงตกลงไปบนพื้นทันที
“ให้ตายสิ ค่ายกลนี้มันโหดจริงๆ!”
หลังจากเยี่ยเทียนลองเดินอยู่ในค่ายกลสองสามก้าว ก็รู้สึกได้ทันทีถึงลมเย็นเยียบที่โชยผ่านข้างหูไปเป็นระลอกๆ และกระแสพลังพิฆาตที่เข้มข้นมากขึ้นราวกับจะจับต้องได้ จนแม้แต่เขาเองยังแทบจะเกิดอาการเห็นภาพหลอน จึงรีบถอยออกมาจากค่ายกลทันที
ค่ายกลนี้เยี่ยเทียนเป็นผู้พัฒนาขึ้นมาเอง โดยอาศัยความสามารถพิเศษของตัวเองที่สามารถมองเห็นกระแสพลังหยินหยางได้ เยี่ยเทียนตัดกระแสพลังหยางในเขตเจดีย์น้ำแข็งนี้ไปจนหมด ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ที่มีแต่พลังหยิน
เนื่องจากมีเวลาในการตั้งค่ายกลน้อยเกินไป เยี่ยเทียนกลัวว่ากระแสพลังพิฆาตจะไม่พอ จึงตั้งใจสลักค่ายกลชุมนุมพลังพิฆาตทั้งสามค่ายกลนั้นขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อรวบรวมพลังพิฆาตทั้งหมดที่อยู่ในระยะหลายร้อยเมตรรอบๆ บริเวณนี้เข้าสู่ค่ายกล และในยามนี้เขตเจดีย์น้ำแข็งก็เปรียบเสมือนถิ่นของมารร้ายไปแล้ว
ตอนที่ 206
ศึกเฟอร์เร็ตปะทะงู
โดย
Ink Stone_Fantasy
เยี่ยเทียนรู้สึกได้ว่า พวกตี๋วั่งยังอยู่ห่างออกไปอีกหลายกิโลเมตร หลังจากวางค่ายกลพิฆาตเรียบร้อยแล้ว เขาก็ถอยออกไปหนึ่งร้อยกว่าเมตร แล้วหาพื้นที่ราบแห่งหนึ่งที่ข้างหลังเป็นหินผาและน้ำแข็งเพื่อพักผ่อน ตอนที่ร่างค่ายกลพิฆาตทั้งสามขึ้นมาเมื่อครู่นั้น ทำให้เขาเสียพลังชี่ไปจนแทบจะหมดเกลี้ยง
“พลังชี่ที่นี่อุดมสมบูรณ์จริงๆ บางทีตำนานเจ็ดกระบี่เทียนซานที่อยู่ในหนังสือนิยายอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้นะเนี่ย!”
หลังจากผ่านไปหกเจ็ดชั่วโมง เยี่ยเทียนที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ก็ลืมตาขึ้นช้าๆ พลังชี่ในกายฟื้นฟูกลับมาอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว พลังชี่ฟ้าดินอันบริสุทธิ์นั้นทำให้เขารู้สึกว่าร่างกายอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมเป็นที่สุด
ผู้บำเพ็ญพรตในสมัยโบราณ ส่วนใหญ่มักจะชอบหาสถานที่ตามป่าเขาเพื่อเร้นกายฝึกบำเพ็ญตน อย่างภูเขาเหมาซาน ภูเขาบู๊ตึ๊ง ภูเขาหลงหู่และภูเขาซานชิง ต่างก็มีตำนานที่เล่าขานกันมามากมาย
เรื่องราวของเจ็ดกระบี่เทียนซานนั้น แม้จะถูกมองว่าเป็นนิยาย แต่ก็อาจจะเคยมีผู้บำเพ็ญตนในสมัยโบราณมาพักอาศัยเร้นกายอยู่ที่นี่จริงๆ ก็เป็นได้
ที่เยี่ยเทียนได้รับถ่ายทอดมานั้นแม้จะเป็นเพียงวิชาด้านนรลักษณ์ แต่ก็ทำให้เขามีวิชายุทธที่ยอดเยี่ยมถึงขนาดนี้แล้ว ยิ่งวิชายุทธที่ฝึกกันในสำนักเต๋าฝ่ายที่มุ่งศึกษาศาสตร์การทำให้อายุยืนยาวนั้น ต่อให้ไม่ถึงกับช่วยให้เป็นอมตะ แต่การรักษาใบหน้าให้คงความอ่อนเยาว์และมีอายุยืนยาวถึงร้อยปีได้นั้นกลับมีความเป็นไปได้สูงมากเลยทีเดียว
“อีกสักหนึ่งชั่วโมง พวกนั้นก็น่าจะผ่านเจดีย์น้ำแข็งแล้วละ…”
เมื่อรู้สึกถึงคลื่นจากพลังชี่ที่เขาส่งไปติดตามคนกลุ่มนั้น เยี่ยเทียนก็เริ่มครุ่นคิด เส้นทางขึ้นภูเขาที่มีอยู่เพียงเส้นทางเดียวนั้นจะต้องผ่านเจดีย์น้ำแข็ง ถ้าพวกนั้นอยากจะกลับไปที่ทะเลสาบเทียนฉือ ก็ต้องเดินทางผ่านที่นั่นด้วย
เยี่ยเทียนลุกขึ้นมายืดเหยียดร่างกาย แล้วทันใดนั้นสายตาของเขาก็ไปหยุดอยู่ที่สัตว์ตัวหนึ่งซึ่งกำลังบินร่อนอยู่เบื้องบนสูงขึ้นไปยี่สิบกว่าเมตร “เอ๊ะ? นั่น…นั่นมันตัวอะไรน่ะ?”
สัตว์ตัวนี้ยาวประมาณหนึ่งเมตร รูปร่างเหมือนงู แต่มีปีกสองข้าง เป็นสีเทาขาวตลอดตัว มีเพียงตุ่มที่นูนขึ้นมาเหมือนเนื้องอกกลางหัวของมันเท่านั้นที่เป็นสีเหลืองทอง
ปีกของสัตว์ที่หน้าตาคล้ายงูตัวนี้บางมากจนเกือบจะโปร่งใสอยู่แล้ว ถ้าไม่สังเกตดูดีๆ ก็คงจะนึกว่าเป็นงูตัวหนึ่งเลื้อยอยู่กลางท้องฟ้า ท่าทางแปลกพิสดารยิ่งนัก
“งู…งูบิน? บนภูเขาหิมะมีตัวแบบนี้โผล่มาได้ยังไงล่ะเนี่ย?”
เยี่ยเทียนชอบดูรายการสัตว์โลกที่อาจาย์จ้าวคนนั้นเป็นผู้บรรยาย จึงเคยได้ยินเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่างูบินมาก่อนแล้ว แต่ประการแรกนั้น สิ่งมีชีวิตชนิดนี้ส่วนใหญ่จะพบที่ทางใต้ของทวีปเอเชียและภาคตะวันออกของอินเดีย ประการที่สองคือ เขาเคยเห็นงูบินในโทรทัศน์มาแล้ว แต่ก็ไม่เห็นว่ามันจะมีปีกเลย
งูชนิดนั้นแม้จะเรียกว่างูบิน แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่สามารถบินได้ เพียงแค่กระโดดได้เท่านั้น ขณะที่มัน ‘บิน’ ทั้งตัวมันจะสะบัดเลื้อย ตั้งแต่ส่วนหัวจรดหางจะเคลื่อนไหวพร้อมกันหมด ทำให้พวกมันสามารถเหาะเหินได้ในลักษณะเดียวกับจานบิน
เมื่อเห็นเจ้าสัตว์ตัวนี้ เยี่ยเทียนก็อดรู้สึกหวาดๆ ขึ้นมาไม่ได้ มีด ‘อู๋เหิน’ ในแขนเสื้อไถลออกมาอยู่ที่อุ้งมือในชั่วพริบตา ในสถานที่ที่สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติแสนจะเลวร้ายแบบนี้ โดยทั่วไปแล้วไม่ว่าจะเป็นสัตว์หน้าตาประหลาดชนิดไหน ก็ไม่ใช่พวกที่จะไปตอแยได้ง่ายๆ ทั้งนั้น
แต่ในโลกใบนี้ ยังมีสิ่งมีชีวิตอีกหลายสายพันธุ์ที่มนุษย์ยังไม่ได้ค้นพบ โดยเฉพาะในเขตที่มนุษย์ไม่สามารถไปอยู่อาศัยได้แบบนี้ ยิ่งจะเป็นสวรรค์ของพวกสายพันธุ์หายาก ถึงเยี่ยเทียนจะรู้สึกอัศจรรย์ใจมาก แต่ก็กลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจเท่าไร
เมื่อเห็นงูบินเลื้อยอยู่บนท้องฟ้าไปสิบกว่าเมตรแล้วตกลงมาบนพื้น เยี่ยเทียนก็ถอยไปซุ่มหลบอยู่หลังโขดหิน ดูจากตุ่มเนื้อสีสันสดใสบนหัวของมันแล้ว เจ้างูประหลาดตัวนี้ก็น่าจะมีพิษร้ายแรงเลยทีเดียว
“กว๋า…กว๋าๆ!”
เสียงที่เหมือนเสียงกบเขียดร้องดังมาจากเบื้องบน เยี่ยเทียนฟังออกว่า งูประหลาดตัวนี้เหมือนจะกำลังหงุดหงิดและร้อนรน เขาจึงยืดคอออกไปดูอย่างอดใจไม่ไหว
เยี่ยเทียนสังเกตเห็นว่า ปีกทั้งคู่ของงูประหลาดตัวนั้นแนบชิดกับลำตัว และลำตัวช่วงบนก็ชูขึ้นสูงเหมือนงูเห่า พลางส่งเสียงร้องแปลกๆ ไปยังทิศทางหนึ่ง
“เฮ้ย นี่…นี่มันเฟอร์เรตใช่ไหมเนี่ย?”
เมื่อมองไปตามทิศทางที่งูประหลาดส่งเสียงร้องใส่ เยี่ยเทียนก็พบว่า ที่ตำแหน่งห่างจากงูประหลาดประมาณเจ็ดแปดเมตร ยังมีสัตว์อีกตัวหนึ่งกำลังยืนประจันหน้ากับมันอยู่
สัตว์ตัวนี้มีขนสีเงินทั้งตัว รูปร่างผอมเพรียว ขาทั้งสี่สั้นมาก ถ้าไม่ใช่เพราะมันมีขนสีดำหย่อมหนึ่งที่ดวงตา เยี่ยเทียนก็คงไม่สังเกตเห็นมันท่ามกลางดินแดนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็งแห่งนี้แน่ๆ
ถึงเจ้าสัตว์ตัวนี้จะมีหน้าตาเหมือนเฟอร์เรต แต่ในเมื่อมันสามารถประจันหน้ากับงูบินประหลาดตัวนั้นได้ เยี่ยเทียนจึงคาดว่า มันก็คงไม่ใช่สัตว์ธรรมดาๆ เหมือนกัน อาจจะเป็นสายพันธุ์บางอย่างที่กลายพันธุ์มาก็เป็นได้
“แบบนี้มันพบศัตรูบนทางแคบนี่นา?”
เมื่อเห็นท่าทางตึงเครียดของสัตว์สองตัวนี้ เยี่ยเที่ยนก็เข้าใจแล้วว่า เจ้าสองตัวนี้น่าจะเป็นศัตรูกันโดยธรรมชาติ วันนี้ไม่รู้ว่าพวกมันมาเจอกันได้อย่างไร ต่อจากนี้จะต้องเกิดศึกระหว่างมังกรกับพยัคฆ์แน่นอน
เป็นไปตามที่เยี่ยเทียนคาดไว้ หลังจากคุมเชิงกันประมาณหนึ่งนาทีกว่าๆ งูประหลาดตัวนั้นก็เป็นฝ่ายเคลื่อนไหวก่อน เห็นหางของมันที่อยู่บนพื้นหิมะขดกลับเข้าหาตัว จากนั้นทั้งร่างก็ดีดพุ่งราวกับสปริงเข้าไปหาเจ้าเฟอร์เร็ตที่อยู่ห่างออกไปเจ็ดแปดเมตร
แม้ว่างูบินจะพุ่งออกไปเร็วมาก แต่เฟอร์เร็ตตัวนั้นก็เคลื่อนไหวเร็วปานสายฟ้าแลบ เยี่ยเทียนยังไม่ทันเห็นว่ามันหลบหลีกอย่างไร เจ้าเฟอร์เร็ตก็ไปอยู่ข้างหลังงูบินแล้ว และใช้อุ้งเท้าหน้าทั้งสองข้างกดร่างของงูบินไว้
“กว๋าๆ!”
งูบินไม่ยอมถูกกำราบ ตวัดหางกลับมารัดตัวเจ้าเฟอร์เร็ตไว้ ส่วนเฟอร์เร็ตก็กดส่วนหัวของงูบินลงไปอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ให้อีกฝ่ายมีโอกาสกัดมันได้ หนึ่งเฟอร์เร็ตหนึ่งงูกลิ้งเกลือกอยู่กลางพื้นหิมะ
อุ้งเท้าทั้งสองข้างของเจ้าเฟอร์เร็ตทรงพลังอย่างยิ่ง กดหัวของเจ้างูประหลาดลงไปกับพื้นหิมะอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ว่าหางงูจะฟาดใส่ตัวอย่างไร มันก็ไม่ผ่อนแรงลงเลยสักนิด ขณะเดียวกันก็ใช้ฟันฉีกทึ้งปีกทั้งคู่ของเจ้างูประหลาด
“งูบินจะแพ้แล้ว!”
เมื่อเห็นว่าหางของงูประหลาดตัวนั้นอ่อนแรงลงเรื่อยๆ เยี่ยเทียนก็รู้ว่า การต่อสู้ครั้งนี้อาจจะตัดสินแพ้ชนะได้แล้ว แต่ในขณะนั้นเอง ตุ่มเนื้อสีเหลืองทองบนหัวของเจ้างูประหลาดก็พลันแตกออกมาดัง “ปุ”
ของเหลวสีเหลืองสาดกระเด็นออกมา พร้อมกับมีกลิ่นเหม็นฟุ้งกระจายออกมาด้วย เจ้าเฟอร์เร็ตดูเหมือนจะกลัวของเหลวและกลิ่นเหม็นนี้มาก จึงปล่อยอุ้งเท้าแล้วกระโดดถอยไปทันที
แต่ในขณะนั้นเอง งูประหลาดตัวนั้นก็กัดเข้าที่ขาหลังของเจ้าเฟอร์เร็ต จนเจ้าเฟอร์เร็ตส่งเสียงร้องดัง “จี๊ดๆ” ออกมา แล้วหันหลังไปกัดที่ตำแหน่งใต้คอเจ็ดนิ้วของเจ้างูประหลาด
เจ้าเฟอร์เร็ตส่ายหัวอย่างบ้าคลั่ง ฉีกทึ้งร่างของงูประหลาด แล้วเจ้างูบินที่มีปีกตัวนั้นก็ค่อยๆ หยุดดิ้นรน ร่างอ่อนยวบลงไปบนพื้นเหมือนเชือกป่าน
แต่งูประหลาดตัวนั้นถึงจะตายไปแล้วก็ยังไม่ปล่อยปาก หัวของมันจึงยังห้อยติดกับขาหลังของเจ้าเฟอร์เร็ต เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าตัวเองตาฝาดไปรึเปล่า เขารู้สึกว่า ขนสีขาวเหลือบเงินของเฟอร์เร็ตตัวนั้นดูเหมือนจะเริ่มดำคล้ำขึ้นมาในชั่วพริบตา
“จี๊ดๆ!”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังจะลุกขึ้นมาเพื่อดูให้ชัดๆ ทันใดนั้นเจ้าเฟอร์เร็ตก็ส่งเสียงร้องใส่เขา หน้าตาที่ตอนแรกดูน่ารักก็กลายเป็นดุร้ายขึ้นมา
“ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ทำอะไรหรอก!”
เนื่องจากเยี่ยเทียนได้เห็นการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วปานสายฟ้าแลบของเจ้าเฟอร์เร็ตแล้ว ร่างของเขาจึงหยุดนิ่งไปทันที เขาไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองจะหลบมันได้ทันหรือไม่ ถ้าเจ้าเฟอร์เร็ตนี่มีพิษละก็ ถูกกัดไปทีเดียวคงได้จบอนาถแน่
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว เฟอร์เร็ตตัวนั้นก็หันไปกัดทึ้งซากศพของเจ้างูประหลาดต่อไป แต่ฟันของเจ้างูประหลาดก็กัดจนฝังลึกเข้าไปในเนื้อของมันแล้ว ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็สะบัดไม่หลุด
ผ่านไปแบบนี้ได้หนึ่งนาทีกว่าๆ การเคลื่อนไหวของเฟอร์เร็ตตัวนั้นก็เริ่มเชื่องช้าลง เลือดของมันสาดกระจายลงบนพื้น ดูเหมือนเจ้าเฟอร์เร็ตจะรู้สึกว่า มันไม่มีทางหลุดจากงูประหลาดได้แล้ว จึงส่งเสียงกรีดร้องออกมา แล้ววิ่งลงเขาไปอย่างโซซัดโซเซ
“เฮ้ย อย่าเข้าไปในค่ายกลนั่นนะ!”
เมื่อเห็นว่าทิศทางที่เจ้าเฟอร์เร็ตวิ่งไปนั้นตรงกับค่ายกลพิฆาตที่เขาตั้งไว้พอดี เยี่ยเทียนก็ลุกขึ้นมาทันที พูดตามตรง เจ้าเฟอร์เร็ตตัวนี้หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูจริงๆ เยี่ยเทียนจึงไม่อยากเห็นมันถูกค่ายกลฆ่าตาย
แต่เจ้าเฟอร์เร็ตไม่ได้สนใจฟังเยี่ยเทียนเลย ลากงูประหลาดตัวนั้นวิ่งไปบนพื้นหิมะ พอมันอยู่ห่างจากค่ายกลพิฆาตได้สี่ห้าเมตร ร่างของมันก็พลันหายไป
“ตกลงไปในรอยแยกบนน้ำแข็งงั้นรึ?”
เมื่อเห็นเหตุการณ์เป็นแบบนั้น เยี่ยเทียนก็นิ่งอึ้งไป จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่า รอบนอกเจดีย์น้ำแข็งกลุ่มนั้นมีรอยแยกบนธารน้ำแข็งอยู่หลากหลายขนาด ท่าทางเฟอร์เร็ตตัวนั้นคงจะตกลงไปหลังจากได้รับบาดเจ็บ
“น่าเสียดาย สองสายพันธุ์นี้คงจะเป็นสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทั้งคู่ พอตายไปแล้วก็ไม่รู้ว่าจะมีลูกหลานอยู่อีกรึเปล่า”
เยี่ยเทียนยืดตัวตรง ขณะที่กำลังคิดจะเข้าไปดูเสียหน่อย ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป แล้วย่อตัวลงไปอีกครั้ง เพราะเขาเห็นแล้วว่า ณ จุดหนึ่งที่อยู่ห่างลงไปสองร้อยกว่าเมตร มีเงาร่างปรากฏขึ้นหลายร่าง
“มาเร็วเหมือนกันนี่หว่า!”
แม้ว่าบนภูเขาหิมะจะมีทัศนวิสัยต่ำมาก แต่เยี่ยเทียนก็ยังมองเห็นว่าคนกลุ่มนั้นมีสี่คน คนที่เดินอยู่ข้างหน้าสุดเป็นคนร่างใหญ่ และกำลังแบกสัมภาระขนาดใหญ่ ข้างหลังมีลูกมือสองคนช่วยยกดันขึ้นไป
คนที่เดินอยู่ท้ายสุดเป็นชายวัยกลางคน รูปร่างไม่สูง เยี่ยเทียนเห็นหน้าตาของเขาได้ไม่ชัด แต่ระหว่างที่กำลังสังเกตดูเขาอยู่ สายตาของชายวัยกลางคนผู้นั้นก็เหมือนจะมองมาทางเยี่ยเทียนด้วย
“ประสาทสัมผัสมันไวจริงๆ”
เมื่อเห็นชายคนนั้นมองมาทางเขา เยี่ยเทียนก็รีบหดหัวลงทันที ในใจรู้สึกตกตะลึง เขาแน่ใจว่าสี่คนที่อยู่ข้างล่างนั้น ไม่มีคนไหนที่มีพลังชี่ดั้งเดิมอยู่ในร่างเลย แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาจึงรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่อันตรายจากชายวัยกลางคนผู้นั้น
………………………………
จู่ๆ ตี๋วั่งที่ถือไม้เท้าเดินอยู่ข้างหลังสุดก็หยุดฝีเท้าลง แล้วตะโกนว่า “เปียวจึ หยุดก่อน”
“มีอะไรเหรอพี่ใหญ่? นี่ก็ใกล้จะถึงเขตเจดีย์น้ำแข็งอยู่แล้วนะ พวกเราไปหยุดพักกันที่นั่นดีกว่าน่า!”
แม้ว่าร่างคนที่ถูกผนึกอยู่ในน้ำแข็งนั้นจะไม่ได้หนักมากนัก แต่เมื่อต้องมาแบกเจ้านี่บนภูเขาหิมะแบบนี้แล้ว ถึงเปียวจึจะร่างกายแข็งแรงดีก็ยังเหนื่อยจนหอบแฮ่กๆ นึกอยากจะโยนไอ้ตัวน่าชังนี่ลงไปในธารน้ำแข็งเสียเลย
“ฉันว่ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่ ข้างหน้านั่น…เหมือนจะมีอันตรายบางอย่างอยู่นะ!”
ตี๋วั่งมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างยิ่ง เมื่อครู่นี้จู่ๆ เขาก็รู้สึกใจสั่นขึ้นมา เหมือนกับมีมือขนาดใหญ่มาจับกุมหัวใจไว้ จนแทบจะหยุดเต้นไปในทันที
ตี๋วั่งเคยมีประสบการณ์แบบนี้มาสามครั้งแล้ว ครั้งแรกที่ปรากฏอาการแบบนี้ขึ้น เป็นตอนที่ตี๋วั่งนำกองโจรไปบุกจู่โจมฐานที่ตั้งของกองทัพฝ่ายรัฐบาล
ความรู้สึกใจสั่นนั้นทำให้ตี๋วั่งตัดสินใจที่จะละทิ้งปฏิบัติการโดยไม่ลังเลเลย แต่ในขณะที่กำลังจะล่าถอยไป ทันใดนั้นฐานทัพฝ่ายรัฐบาลที่ตอนแรกเงียบสงบอยู่ก็เกิดเสียงดังอึกทึกขึ้นมา แสงไฟสว่างไปทั่ว พวกเขาถูกล้อมไว้หมดแล้ว
แต่เนื่องจากตี๋วั่งยังล่าถอยได้ทันเวลาอยู่ สุดท้ายจึงหนีรอดออกมาจากวงล้อมได้ โดยต้องแลกมาด้วยชีวิตของคนสองคน เหตุการณ์นี้จึงพิสูจน์ว่า ความรู้สึกใจสั่นนั้นเป็นสิ่งที่ช่วยให้เขารอดชีวิตมาได้
เมื่อเขามีอาการแบบนี้อีกในสองครั้งต่อมา ก็มีอันตรายที่ร้ายแรงถึงชีวิตเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน แต่ตี๋วั่งก็ไหวตัวก่อนและหนีรอดไปได้ทุกครั้ง
ตอนที่ 207
ปีศาจในใจ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ลูกพี่ ที่นี่มันร้างจนแม้แต่เงาผีสักตัวยังไม่มีเลย แล้วจะไปมีอันตรายอะไรได้ล่ะ?”
หลังจากเดินเขาไปเจ็ดแปดชั่วโมง เปียวจึก็หมดแรงไปเยอะพอสมควร เมื่อเห็นตี๋วั่งหยุดฝีเท้าลง เปียวจึบ่นอุบอิบอย่างไม่พอใจ ก็เขาเป็นคนแบกสัมภาระหนักเกือบร้อยชั่งนี่อยู่บนหลังนี่หว่า
เมื่อสายลมพัดลงมาจากบนภูเขา ตี๋วั่งก็ขยับจมูกฟุดฟิดทันที สีหน้าก็เปลี่ยนไปมาก และพูดขึ้นอย่างเร่งรีบ “ไม่ต้องพูดมากแล้ว ระวังตัวนะ ฉันได้กลิ่นคาวเลือด!”
ขณะเดียวกับที่กำลังพูด ตี๋วั่งก็โยนไม้เท้าปีนเขาทิ้ง แล้วหมอบร่างลงไปกับพื้นทันที การเคลื่อนไหวอันว่องไวนั้นดูไม่เหมือนคนอายุห้าสิบกว่าปีเลย
หลังจากผ่านการสู้รบมาสิบกว่าปี การคลุกคลีอยู่ท่ามกลางโลหิตและกองเพลิงนั้น ทำให้ประสาทสัมผัสของตี๋วั่งไวต่อกลิ่นเลือดมาก แม้แต่กลิ่นคาวเลือดที่มากับลมเพียงจางๆ จนแทบไม่น่าจะสังเกตได้ เขาก็ยังดมได้กลิ่นอยู่
“มีเรื่องจริงๆ รึ?”
เมื่อเปียวจึเห็นการเคลื่อนไหวของลูกพี่ก็อึ้งไปทันที แต่เขาเองก็มีปฏิกิริยารวดเร็วเช่นกัน หมอบฟุบลงไปกับพื้นทันที ใช้ศพร่างนั้นกำบังไว้ข้างหน้า และวางปืนไว้บนกระเป๋าเพื่อเตรียมเล็ง
ตี๋วั่งรู้ว่า เปียวจึมีนิสัยมุทะลุ เมื่อเห็นเขาหยิบปืนออกมา จึงรีบห้ามว่า “อย่ายิงปืนนะ เดี๋ยวหิมะถล่มกันพอดี…”
แม้ว่าหิมะที่สะสมอยู่บนภูเขาฝั่งนี้จะไม่หนาเท่าอีกฝั่งหนึ่ง จะพูดเสียงดังหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นเสียงปืนละก็ จะต้องทำให้หิมะไหลถล่มลงมาแน่นอน ต่อให้เป็นหิมะถล่มขนาดเล็ก พวกเขาเหล่านี้ก็คงไม่รอดแน่ๆ
“น้องหก ประคองเจ้านี่ไว้หน่อยซิ อย่าให้ไหลลงเขาไปล่ะ…”
หลังจากได้ยินตี๋วั่งห้ามปราม รอยยิ้มเหี้ยมก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเปียวจึ เขาเอื้อมมือไปชักมีดทหารเล่มหนึ่งออกมา แล้วพูดว่า “ลูกพี่ ถ้าพวกเราไม่กล้ายิงปืน ฝ่ายตรงข้ามมันก็คงไม่กล้าเหมือนกัน ฉันจะแอบไปดูหน่อยว่าใครกันที่กล้ามาหาเรื่องเรา”
เปียวจึฝึกวิชาฆาตกรรมกับตี๋วั่งตั้งแต่เล็ก และยังเคยไปชกมวยใต้ดินตามเมืองเขตชายฝั่งทะเลมาสองปี ถ้าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ใช้อาวุธจำพวกปืนหรือระเบิดละก็ ต่อให้มีกันสามสี่คนก็ไม่ครณามือเขาเลย
“อย่าเข้าไป ฝ่ายนั้นมันอาจจะกล้ายิงก็ได้นะ!”
ตี๋วั่งตะโกนรั้งเปียวจึไว้ แล้วพูดต่อไปว่า “ข้างในเขตเจดีย์น้ำแข็งนั่นน่ะมีกองหิมะสะสมน้อยมาก แล้วด้านหลังก็มีผาหินกับน้ำแข็งตั้งกำบังอยู่ ต่อให้หิมะถล่ม ที่นั่นก็ไม่โดนกลบไปหรอก…”
เขตเจดีย์น้ำแข็งนั้นตั้งอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะเจาะอย่างยิ่ง ด้านหลังเป็นผาหินสูงเกือบร้อยเมตร แม้จะมีหิมะถล่มลงมาจากข้างบน มันก็จะไถลผ่านเลยด้านหน้าของเขตเจดีย์น้ำแข็งไปพอดี ที่นั่นจึงเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยมาก
“ลูกพี่ จะขึ้นก็ไม่ขึ้นจะลงก็ไม่ลงเนี่ย แล้วพวกเราจะหมอบอยู่ตรงนี้ตลอดไปได้ยังไงล่ะ?” พอได้ยินตี๋วั่งพูดแบบนั้น เปียวจึก็ชักจะเริ่มงง คนอื่นยิงปืนได้ แต่ตัวเองยิงไม่ได้ อย่างนั้นไม่เท่ากับตกเป็นเป้ายิงอยู่ที่นี่หรอกรึ?
“เดี๋ยวนะ กลิ่นนี้มันเหมือนจะไม่ใช่เลือดคน…”
ตี๋วั่งพลันขมวดคิ้ว จมูกสูดดมไปตามทิศที่ลมพัดมา หลังจากถือกล้องส่องทางไกลสำรวจดูที่ตำแหน่งสูงไปพักหนึ่ง รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า “อาจจะเป็นสัตว์สองตัวทิ้งคราบเลือดไว้บนเนินเขาฝั่งนั้นน่ะ”
“ลูกพี่ งั้นก็ไม่เป็นไรแล้วสิ? ตรงนี้มันหนาวจริงๆ พวกเรารีบขึ้นไปกันเถอะ!” เปียวจึลุกขึ้นมาอย่างหมดความอดทน ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งจะแบกศพจนเหงื่อโทรมกาย นี่พอหมอบลงกับพื้นก็เลยรู้สึกหนาวเหน็บจนถึงกระดูกขึ้นมาทันที
“รออีกเดี๋ยว!”
หลังจากถือกล้องส่องทางไกลสังเกตดูอีกพักหนึ่ง ตี๋วั่งก็ไม่พบอะไรน่าสงสัยอีก ผ่านไปครู่หนึ่งก็พูดขึ้นว่า “ขึ้นไปบนเขตเจดีย์น้ำแข็งกันเถอะ ฉันว่ามันก็ยังมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่หน่อยๆ น้องห้า แกกับน้องหกยกศพเดินรั้งท้ายก็แล้วกัน เปียวจึ แกไปเดินข้างหน้า!”
ทั้งๆ ที่แน่ใจว่า คราบเลือดบนเนินเขานั้นไม่ใช่ของคน แต่ตี๋วั่งก็ยังคงไม่อาจขจัดปัดเป่าเงามืดที่อยู่ในใจออกไปได้ จึงปรับการเรียงขบวนใหม่ แล้วจึงจะเริ่มมุ่งหน้าไปยังเขตเจดีย์น้ำแข็ง
ไม่ว่าตี๋วั่งจะระมัดระวังแค่ไหน ตอนนี้ก็ไม่มีทางที่จะหันหลังกลับได้อีกแล้ว และในหลายปีมานี้ตั้งแต่เขาได้ตำราศาสตร์ลับที่ไม่สมบูรณ์เล่มนั้นมา ก็ยังไม่เคยเจอใครอื่นที่รู้วิชาเหล่านี้เลย
ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรตี๋วั่งก็นึกไม่ถึงว่า ที่เบื้องหน้าตนนั้นจะมีคนวางค่ายกลฮวงจุ้ยพิฆาตไว้ และกำลังรอให้พวกเขาไปติดกับอยู่!
“ลูกพี่ คนบ้าบออะไรไม่เห็นจะมีสักคนเลย รีบเข้าไปทำอะไรร้อนๆ มากินกันเถอะ ฉันใกล้จะหนาวตายอยู่แล้วเนี่ย!”
เมื่อมาถึงจุดที่อยู่ห่างจากเขตเจดีย์น้ำแข็งได้สิบกว่าเมตร เปียวจึก็หัวเราะขึ้นมาดังฮ่าๆ แม้ที่นี่จะมีเสาน้ำแข็งอยู่มากมาย แต่เสาทุกต้นก็โปร่งใส สามารถมองผ่านทะลุไปได้ทันที ไม่มีทางที่จะซ่อนใครไว้ได้อยู่แล้ว
“กันไว้ดีกว่าแก้ ระวังตัวหน่อย!”
ตี๋วั่งตอบอย่างเยือกเย็น ในใจก็เริ่มผ่อนคลายลงเล็กน้อย เมื่อเข้าไปในเขตเจดีย์น้ำแข็งนี้แล้ว พวกเขาก็จะได้ครอบครองชัยภูมิที่ดีเยี่ยม ไม่ว่าศัตรูจะมาจากทิศทางใด พวกเขาก็ไม่มีทางพ่ายแพ้แน่นอน
แต่ไม่ว่าอย่างไรตี๋วั่งก็นึกไม่ถึงว่า ศัตรูของตนนั้นไม่ใช่ ‘คน’ ที่ถืออาวุธปืน แต่เป็นศาสตร์ลี้ลับที่เขาพยายามศึกษามาหลายสิบปีแล้วก็ยังไม่กระจ่าง!
เปียวจึตอบอย่างไม่สนใจว่า “จะไปมีอะไรได้เล่า? น้องห้าน้องหก โยนไอ้นั่นไว้แถวนี้แหละ แล้วรีบจุดไฟทำกับข้าวกัน!”
ระหว่างที่กำลังพูด เปียวจึก็เดินเข้าไปในเขตเจดีย์แล้ว แต่เขาเป็นคนที่มีเลือดลมแข็งแรงทรงพลังมาก และเลือดลมก็สูบฉีดไหลเวียนดีมาตลอดการเดินทาง ทำให้รู้สึกแค่ว่าร่างกายหนาวเย็นขึ้นมาวาบหนึ่งเท่านั้น จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก
ตี๋วั่งและคนอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน เมื่อครู่เพิ่งจะปีนเขากันจนเหงื่อท่วมตัว จึงไม่ได้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิรอบกาย อีกชั่วครู่เดียวก็จะเดินไปถึงจุดตั้งแคมป์ของเมื่อวานนี้แล้ว
ค่ายกลพิฆาตที่เยี่ยเทียนวางไว้นั้น บริเวณรอบนอกจะไม่ได้มีกระแสพลังพิฆาตรุนแรงมากนัก แต่ยิ่งก้าวเข้าไปใกล้จุดศูนย์กลางมากขึ้นเท่าไร กระแสพลังพิฆาตก็จะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เมื่อถึงจุดศูนย์กลางแล้ว จะเรียกว่ากลายเป็นผีหรือปีศาจก็ไม่ได้มากเกินไปเลย
“เฮ้ย ทำไมรู้สึกหลอนๆ ยังไงชอบกลวะ? อ้าวไอ้ระยำ เป็นแกนี่เอง ไอ้สารเลวเอ๊ย ฉันจะฆ่าแก!”
เปียวจึซึ่งเดินอยู่ข้างหน้าสุดพลันไปสีหน้าไป ขณะที่เพิ่งจะรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ สมองก็ถูกกระแสพลังพิฆาตจู่โจมจนสติเริ่มเลอะเลือนไปแล้ว และเห็นวัยรุ่นใส่ชุดทหารสีเขียวถือป้ายคติพจน์กลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า
หลังจากเห็นคนเหล่านี้ ดวงตาของเปียวจึก็แดงก่ำขึ้นมาทันที เนื่องจากสมัยที่เขาอายุประมาณหกเจ็ดขวบ เคยเห็นคนเหล่านี้ลากพ่อแม่ของเขาที่เป็นครูออกไปต่อสู้ และทุบตีพวกท่านจนตายกับตาตัวเอง
แต่เดิมเปียวจึมีครอบครัวที่มีความสุข ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเขาก็กลายเป็นเด็กจรจัด ต้องทนรับสายตาดูหมิ่นและความอัปยศอดสูต่างๆ
ภายหลังเปียวจึก็เคยไปตามหาคนเหล่านั้นแล้ว แต่ไม่ว่าจะหาอย่างไรก็หาไม่เจอ แต่ไอ้คนที่ใช้ไม้กระบองฟาดที่ด้านหลังศีรษะของมารดานั้น เปียวจึไม่มีวันลืมหน้ามันไปชั่วชีวิต
“แย่ละ นี่…นี่มันค่ายกลนี่?!”
เมื่อตี๋วั่งที่เดินอยู่ข้างหลังเปียวจึได้ยินเปียวจึตะโกนคำแรกออกมา เขาก็รู้สึกเอะใจแล้ว จึงหันหลังขวับหมายจะวิ่งกลับออกไปข้างนอก
แต่สิ่งที่ทำให้ตี๋วั่งเข้าตาจนก็คือ ลำคอของเขาถูกคนจับไว้แล้ว จากนั้นก็รู้สึกเย็นวาบที่หลังช่วงเอว มีดทหารเล่มหนึ่งแทงเข้าไปอย่างดุดัน
“ฉันจะฆ่าแก ฉันจะฆ่าแก ฮ่าๆ พ่อครับ แม่ครับ ลูกล้างแค้นให้แล้วนะ!”
ท่ามกลางเสียงตะโกนอย่างบ้าคลั่งของเปียวจึ มือซ้ายของเขาบีบคอของตี๋วั่งไว้ มือขวาก็กระหน่ำแทงมีดลงไปบนร่างของตี๋วั่งครั้งแล้วครั้งเล่า รอยยิ้มแปลกชวนขนลุกปรากฏขึ้นบนใบหน้า
ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่บั้นเอวนั้น ทำให้ตี๋วั่งไม่เกิดอาการเห็นภาพหลอนที่เกิดจากกระแสพลังพิฆาต เขาพยายามหันหน้าไปมองดูเปียวจึที่กำลังคลุ้มคลั่ง ตี๋วั่งพูดพึมพำว่า “เป็น…เป็นอย่างที่เขาว่า หมอ…หมองูตายเพราะงูแท้ๆ เลย เปียวจึ พวกเราคงไม่รอดชีวิตกันแล้วละ ฉันจะช่วยส่งแกไปสบายก็แล้วกัน!”
ขณะพูด ตี๋วั่งรวบรวมพลังทั้งหมดยกขวามือขึ้นมา ประกายสีดำสนิทสว่างวาบ เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของเปียวจึหยุดชะงักไปทันที ที่คอของเขาปรากฏแมงป่องยักษ์ตัวหนึ่งที่เรืองแสงออกมาทั้งตัว แล้วหางแมงป่องยาวโง้งก็แทงเข้าไปในลำคอของเปียวจึ
นอกจากวิชาค่ายกลที่รู้อย่างครึ่งๆ กลางๆ แล้ว ไพ่ไม้ตายของตี๋วั่งก็คือแมงป่องที่เลี้ยงด้วยศาสตร์ลับจากเหมียวเจียงตัวนี้นี่เอง เมื่อก่อนตี๋วั่งคิดว่า ต่อให้เจอกับผู้ที่เชี่ยวชาญในศาสตร์ลี้ลับ เขาก็ยังมีความสามารถที่จะโต้ตอบได้
แต่เมื่อถึงยามนี้ ตี๋วั่งจึงเพิ่งจะรู้ว่า ความคิดของตนนั้นน่าหัวเราะขนาดไหน และเพิ่งจะรู้ว่าการฆ่าคนที่มองไม่เห็นนั้นเป็นอย่างไร เขาไม่มีโอกาสที่จะนำแมลงพิษไม้ตายของตัวเองไปใช้กับศัตรูได้เลย
การเสียเลือดทำให้สติของตี๋วั่งค่อยๆ เลอะเลือนไป และราวกับมองเห็นว่า คนแต่ละคนที่ถูกเขาฆ่าไปที่พม่าและไทยเมื่อสมัยก่อนนั้น ต่างก็มาล้อมมุงอยู่รอบตัวเขา มือที่เป็นกระดูกสีขาวน่าขนลุกนับไม่ถ้วนกำลังลากสติของเขาลงสู่หุบเหวลึกที่ไร้จุดสิ้นสุด
ขณะที่ตี๋วั่งและเปียวจึล้มลงไปบนพื้นพร้อมๆ กัน น้องห้าและน้องหกก็ตกอยู่ในความบ้าคลั่งเช่นกัน
เมื่อก่อนน้องห้าทำงานประเภทปล้นของจากศพ คราวนี้ไม่รู้ว่าเขามองเห็นอะไรบ้าง ปากร้องออกมาเสียงดัง “ฮือๆ” ส่วนมือทั้งคู่ก็ตะปบใบหน้าของตัวเอง แม้แต่ลูกตาก็ถูกควักออกมา สภาพดูน่าพรั่นพรึงอย่างสุดแสน
ทุกคนต่างก็เคยทำเรื่องน่าละอายใจกันทั้งนั้น แต่ในยามปกติมักจะซุกซ่อนมันไว้ในลึกๆ ในใจ คนที่น้องหกกำลังมองเห็นอยู่ในขณะนี้ เป็นเพื่อนร่วมกองทัพที่อยู่หมู่เดียวกันกับเขาเมื่อครั้งอดีต เพียงแต่ว่าเพื่อนๆ ของเขาเหล่านี้ต่างก็แขนขาดขาด้วน เลือดเนื้อเลอะเลือนเละเทะ
ในระหว่างการระเบิดทางวิศวกรรมครั้งหนึ่ง น้องหกเผลอฝังระเบิดไปลูกหนึ่งด้วยความประมาท เมื่อหัวหน้าหมู่พาคนไปตรวจสอบ ลูกระเบิดนั้นก็ระเบิดขึ้นมา ตอนที่ขุดห้าคนนั้นออกมา ก็ไม่มีร่างของใครอยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบเลยสักคน
และก็เป็นเพราะเรื่องนี้ น้องหกจึงขอถอนตัวออกจากกองทัพก่อนถึงกำหนด แต่ทุกครั้งที่ฝันร้าย เขาก็จะเห็นเงาร่างของเพื่อนร่วมกองทัพเหล่านั้น เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทรมานใจเขามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
“หัวหน้าหมู่ อย่าโทษผมเลยนะ ผมขอโทษพี่น้องทุกคนด้วย เดี๋ยวผมจะลงไปอยู่เป็นเพื่อนทุกคนแล้วนะ!”
รอยยิ้มอย่างปล่อยวางปรากฏขึ้นบนใบหน้าของน้องหก มือสองข้างจับไปที่เอวพร้อมๆ กัน แล้วดึงออกอย่างรวดเร็ว สลักจุดชนวนที่เป็นตัวเชื่อมต่อฟิวส์สองเส้นกับตัวระเบิดถูกดึงออกไป
เสียง “ตูม!” ดังสนั่นหวั่นไหว ร่างของน้องหกกลายเป็นลูกไฟลูกหนึ่ง คลื่นพลังที่เกิดจากการระเบิดแผ่ขยายออกไปไกล
“ในใจของทุกคนก็มีปีศาจกันทั้งนั้นแหละนะ!”
เยี่ยเทียนมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด แล้วลุกขึ้นยืน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นค่ายกลฆ่าคนกับตาตัวเอง แต่เยี่ยเทียนก็ไม่ได้รู้สึกผิดอะไร เพราะคนเหล่านี้ถึงตายไปก็ยังใช้กรรมไม่หมดเลยด้วยซ้ำ
“เอ๊ะ? เสียงอะไรน่ะ?”
ทันใดนั้นเยี่ยเทียนได้ยินเสียง “แคร่กๆ” ดังมาจากเหนือศีรษะ ที่ใต้ฝ่าเท้าก็เหมือนจะมีการเคลื่อนไหวโอนเอน พอเงยหน้ามองขึ้นไปข้างบน เยี่ยเทียนก็ตื่นตระหนกจนขวัญหนีดีฝ่อไปทันที
ชั้นหิมะหนาที่กองทับถมอยู่บนภูเขาหิมะนั้น ขณะนี้กำลังเลื่อนไถลลงมาช้าๆ ราวกับตัวโดมิโนที่ถูกผลัก และความเร็วก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พุ่งถล่มมาทางเยี่ยเทียนแล้ว
ตอนที่ 208
รอดจากความตาย (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ผู้ที่เคยไปเยือนภูเขาหิมะโดยปกติมักจะไปเพียงเพื่อชมวิวสวยๆ ของที่นั่น แต่กลับไม่รู้เลยว่า ที่จริงแล้วบนภูเขาหิมะมีการแข่งขันระหว่างพลังดำเนินอยู่ตลอดเวลา แรงโน้มถ่วงของโลกพยายามจะดึงดูดหิมะให้ตกลงมา ส่วนแรงยึดเหนี่ยวภายในกองหิมะนั้นก็ยึดหิมะให้เกาะอยู่ที่เดิม
เมื่อการแข่งขันนี้ถึงจุดสุดยอด แม้จะเป็นแรงกระทบกระเทือนจากภายนอกเพียงน้อยนิด อย่างเช่นการวิ่งของสัตว์ ก้อนหินกลิ้งกระเด็น ลมพัด หรือการที่แผ่นดินสั่นสะเทือนเพียงเล็กน้อย หากแรงกดดันสูงกว่าแรงยึดเหนี่ยวที่ทำให้เกล็ดหิมะเกาะตัวกันอยู่ เท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เกิดภัยร้ายแรงจากหิมะถล่มแล้ว
อย่างสภาพอากาศแบบลมพัดแรงที่เห็นอยู่บ่อยๆ บนภูเขาหิมะนั้น ไม่เพียงแต่จะทำให้หิมะสะสมเป็นปริมาณมาก แต่ยังทำให้เกล็ดหิมะเกาะตัวกันแน่น กลายเป็นชั้นหิมะที่แข็งแต่ก็เปราะแตกง่าย ทำให้ชั้นหิมะด้านบนสามารถเลื่อนไปตามชั้นหิมะที่อยู่ด้านล่างได้ และเกิดเหตุหิมะถล่มขึ้น
ดังนั้นเสียงและคลื่นสั่นสะเทือนที่เกิดจากการระเบิดกลุ่มเจดีย์น้ำแข็งนี้ จึงไม่เพียงแต่ทำให้เกิดหิมะถล่มบนภูเขาฝั่งที่เยี่ยเทียนอยู่เท่านั้น แต่ภูเขาลูกที่อยู่ข้างหลังรวมถึงที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายแห่งก็เกิดหิมะถล่มตามไปด้วย
หิมะถล่มมีอีกชื่อหนึ่งเรียกว่า ‘ทรายดูดหิมะ’ และสภาพการณ์ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าที่เยี่ยเทียนในตอนนี้ก็ตรงกับคำนี้มาก หิมะที่สะสมอยู่บนภูเขาไหลถล่มลงมาอย่างล้นหลามราวกับทรายดูด
ความรู้สึกแบบนี้เหมือนกับว่า ภูเขาหิมะทั้งลูกกำลังถล่มลงมาทางเขาก็ไม่ปาน ความสามารถต่างๆ ที่มีอยู่ในยามนี้กลับกลายเป็นอ่อนแอไร้ประโยชน์ เยี่ยเทียนเปล่งเสียงร้องแปลกๆ ออกมา แล้วโยนกระเป๋าเป้ลงไปที่พื้น วิ่งไปยังกลุ่มเจดีย์น้ำแข็งอย่างไม่คิดชีวิต
สิ่งที่ตี๋วั่งดูออก เยี่ยเทียนก็ย่อมดูออกได้เช่นกัน กลุ่มเจดีย์น้ำแข็งนี้เบื้องหลังอิงกับหินผา และภายในก็มีเสาน้ำแข็งอยู่มากมาย ต่อให้หิมะถล่มไปถึงที่นั่นได้ ก็จะถูกเสาน้ำแข็งขวางกั้นไว้ มีแต่ต้องวิ่งไปที่นั่นเท่านั้น เยี่ยเทียนถึงจะรอดจากภัยครั้งนี้ไปได้
“โธ่เว้ย ตอนจะออกเดินทางเราก็ทำนายไว้แล้วนี่หว่า ว่าเที่ยวนี้จะไม่มีอันตรายอะไรทั้งนั้น นี่สวรรค์จะล้อเล่นกับเรารึไง?!”
เยี่ยเทียนสาปแช่งสวรรค์ในใจ พลางวิ่งอย่างล้มลุกคลุกคลานไปยังเขตเจดีย์น้ำแข็ง บนพื้นเต็มไปด้วยกองหิมะ พอเท้าเหยียบลงไปก็จมถึงน่อง จึงเพิ่มความเร็วขึ้นอีกไม่ได้แล้วจริงๆ
มิหนำซ้ำบนเส้นทางยังมีรอยแยกบนธารน้ำแข็งที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง ถ้าตกลงไปละก็ ชีวิตน้อยๆ ของเขาก็คงจะต้องจบลงเดี๋ยวนั้นเลย ไม่ต้องรอจนหิมะถล่มลงมากลบฝังแล้ว
เยี่ยเทียนได้ยินเสียง “ครืนๆ” จากน้ำแข็งและหิมะที่กำลังถล่มลงมาข้างหลังอย่างชัดเจน พอมองกลับไปก็เห็นว่า ก้อนหิมะสีขาวที่ทับถมกันเป็นชั้นๆ ได้ถล่มมาถึงข้างหลังเขาแล้ว ดูราวกับมังกรหิมะสีขาวที่เหินหาวท่ามกลางเมฆหมอก
ตอนนี้เยี่ยเทียนรู้สึกเจ็บใจนัก ทำไมเขาต้องไปซ่อนตัวไกลจากเขตเจดีย์น้ำแข็งแบบนั้นด้วยเล่า?
ขณะที่ยังอยู่ห่างจากเสาน้ำแข็งเหล่านั้นอีกสิบกว่าเมตร เยี่ยเทียนก็รู้สึกว่ามีคลื่นอากาศพุ่งมากระแทกหลัง ร่างลอยกระเด็นขึ้นไปกลางอากาศทันที แต่เหนือศีรษะของเขากลับมองไม่เห็นแสงอาทิตย์แล้ว สิ่งที่ปรากฏแก่สายตามีเพียงความขาวโพลน
“ชีวิตเราจบสิ้นกันละทีนี้ ที่เขาว่าหมอดูทำนายให้ตัวเองไม่ได้นี่มันไม่ผิดเลยจริงๆ!” หลังจากประโยคนี้แล่นเข้ามาในสมองของเยี่ยเทียน หิมะสีขาวหนาแน่นก็ทับร่างของเขาล้มลงไปกับพื้น
“หือ? นี่มันอะไรกันเนี่ย?”
ขณะที่ร่างของเยี่ยเทียนล้มลงไปบนพื้น กองหิมะข้างบนกลับไม่ได้กลบฝังเขาอย่างที่จินตนาการไว้ และร่างของเยี่ยเทียนก็เหมือนกำลังไหลตกลงไปตามทางลาดอย่างรวดเร็ว
“นี่…นี่เราตกลงมาในรอยแยกบนน้ำแข็งรึเนี่ย?”
เมื่อรู้สึกถึงความเหน็บหนาวอย่างใกล้ชิด เยี่ยเทียนจึงเข้าใจในทันที โชคดีที่รอยแยกรอยนี้ไม่ได้ตรงดิ่งลงไปเป็นเส้นตรง ไม่อย่างนั้นถึงจะไม่ถูกหิมะฝังกลบ แต่ถ้าตกลงมาในความลึกระดับนี้ก็สงสัยคงได้ดับอนาถแน่
เยี่ยเทียนรู้สึกว่า เขากำลังตกลงไปด้วยความเร็วที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จึงหยิบมีด ‘อู๋เหิน’ ออกมา แล้วแทงมีดลงไปบนผิวน้ำแข็งสุดแรง ผนังน้ำแข็งที่แม้แต่สิ่วยังกะเทาะไม่แตกนั้น กลับเปราะแตกอย่างง่ายดายภายใต้คมของมีดอู๋เหิน
หลังจากทำเช่นนี้ไปสองสามครั้ง เยี่ยเทียนก็เริ่มตกลงไปด้วยความเร็วที่ช้าลง หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เยี่ยเทียนก็รู้สึกว่าสองเท้าได้เหยียบกับพื้นดินที่มั่นคงแล้ว ในใจจึงโล่งอกไปทันที
เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปข้างบน เยี่ยเทียนก็พบว่า แสงสว่างที่มีอยู่เล็กน้อยนั้นถูกหิมะกลบปิดไปอย่างรวดเร็ว ตำแหน่งที่เขาอยู่ในตอนนี้จึงตกอยู่ท่ามกลางความมืดมิด
ก้อนหิมะขนาดเท่ากำปั้นร่วงลงมาจากเหนือศีรษะของเยี่ยเทียนเป็นครั้งคราว โชคยังดีที่หิมะถล่มลงมาด้วยความเร็วสูง และรอยแยกรอยนี้ก็ไม่กว้างมาก ไม่อย่างนั้นชะตากรรมของเยี่ยเทียนก็คงจะหนีไม่พ้นถูกฝังอยู่ใต้กองหิมะ
หิมะถล่มนั้นมาเร็วแต่ก็ไปเร็ว หลังจากผ่านไปสองสามนาที เยี่ยเทียนก็ไม่ได้ยินเสียง “ครืนๆ” จากการเลื่อนไถลของหิมะแล้ว และก็สามารถมองเห็นแสงสว่างได้เล็กน้อยผ่านกองหิมะที่กลบอยู่เหนือรอยแยก
“ฮ่ะๆ ดูท่าพวกคนที่ตายไปในระหว่างหิมะถล่มนี่ คงไม่ได้ตายเพราะขาดอากาศหายใจหรอก แต่เพราะโดนหิมะชนตายต่างหากล่ะ!”
เมื่อถึงตอนนี้ ร่างกายที่ตึงเครียดของเยี่ยเทียนเพิ่งจะผ่อนคลายลงอย่างเต็มที่ หลังจากไอติดๆ กันหลายครั้งก็รู้สึกเค็มๆ ในปาก ที่แท้เขาก็กระอักโลหิตออกมา
ตำแหน่งที่เยี่ยเทียนอยู่นี้ไม่ได้ไกลจากยอดเขามากนัก แรงกระแทกจากหิมะถล่มจึงยังไม่ได้สะสมมาอย่างเต็มที่ ไม่อย่างนั้นลำพังแค่ถูกคลื่นอากาศเมื่อก่อนหน้านี้กระแทกใส่ ก็คงทำให้เขากล้ามเนื้อฉีกกระดูกหักไปแล้ว ไม่ใช่แค่กระอักโลหิตออกมาเท่านั้น
“แคร่กๆ…แคร่กๆ!”
เสียงที่ดังมาเข้าหูนั้นทำให้เยี่ยเทียนเงยหน้าขึ้นไปดูทันที ที่แท้หิมะที่กองทับอยู่บนรอยแยกก็กำลังทยอยกันร่วงลงมา
ก้อนหิมะที่ตกลงมาคราวนี้ใหญ่กว่าเดิมเยอะ เยี่ยเทียนจึงรีบเหลียวซ้ายแลขวาหาที่หลบ เขาคาดคะเนว่า ตรงนี้คงอยู่ห่างจากผิวดินอย่างน้อยสามสิบเมตร ถ้าหิมะก้อนนั้นตกใส่ศีรษะละก็ คงได้ปิดฉากเพราะศีรษะแตกเลือดอาบแน่
แต่เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เยี่ยเทียนนอกจากจะไม่ตกใจแล้วยังกลับดีใจเสียอีก เพราะนี่ก็หมายความว่า หิมะที่กองอยู่ข้างบนไม่ได้หนามากนัก เขาจึงยังมีความหวังที่จะได้รอดชีวิตอยู่
ตามคาด หลังจากผ่านไปสิบกว่านาที กองหิมะก็ไม่ตกลงมาอีกแล้ว และเหนือศีรษะของเยี่ยเทียนก็ปรากฏท้องฟ้าสีฟ้าและเมฆสีขาวให้เห็นอีกครั้ง พร้อมกับอากาศอันหนาวเหน็บที่โชยเข้าจมูก
“ปัดโธ่ แบบนี้ก็ปีนขึ้นไปไม่ได้อยู่ดีนี่!”
หลังจากหายดีใจ เยี่ยเทียนก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอีก รอยแยกนี้แม้จะมีความลาดเอียงอยู่ แต่ก็ลื่นจนเกาะไม่ติด ถึงจะมีมีดอู๋เหินอยู่ในมือ เยี่ยเทียนก็ปีนขึ้นไปบนทางลาดที่ยาวถึงสามสิบกว่าเมตรนี้ไม่ได้อยู่ดี
“ช่างเถอะ พักฟื้นร่างกายก่อนก็แล้วกัน!”
หลังจากคิดอยู่นานสองนาน เยี่ยเทียนก็ยังไม่ได้ความคิดอะไรดีๆ เลย เมื่อรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แล่นมาตามช่วงอกและท้อง เยี่ยเทียนก็ส่ายหน้าแล้วนั่งลงบนพื้น
ตั้งแต่เห็นหิมะถล่มจนถึงตอนเริ่มวิ่ง แม้จะเป็นเวลาเพียงไม่กี่สิบวินาที แต่กลับทำให้เยี่ยเทียนต้องใช้พลังไปจนหมดตัว ซ้ำยังถูกคลื่นอากาศกระแทกใส่อีก เมื่อครู่นี้ที่เขายังยืนอยู่ได้ ก็เพราะอาศัยพลังใจช่วยทั้งนั้น
เยี่ยเทียนนั่งขัดสมาธิหลังตรง ถอนหายใจยาว แล้วเริ่มโคจรปราณตามวิชายุทธของสำนัก กระแสความร้อนกลุ่มหนึ่งแผ่มาจากบริเวณท้องน้อยทันที ทำให้ร่างกายที่อ่อนล้าหมดแรงของเขาฟื้นพลังกลับมาได้บ้างแล้ว
หลังจากเยี่ยเทียนนั่นสมาธิไปประมาณสี่ห้าชั่วโมง แม้จะยังเจ็บหน้าอกนิดหน่อย แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคอะไรมากแล้ว เยี่ยเทียนลืมตาขึ้น หยิบก้อนหิมะที่ตกลงมาก้อนหนึ่งใส่ปาก แล้วเริ่มเคี้ยวดัง “กรุบๆ”
“แม่งหนาวจังวะ!”
เมื่อน้ำหิมะเย็นๆ ลงท้องไป เยี่ยเทียนก็สั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ อุณหภูมิโดยรอบเหมือนจะลดลงไปมาก เมื่อเงยหน้ามองฟ้า เยี่ยเทียนถึงเพิ่งจะสังเกตเห็นว่า ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนแล้ว
อุณหภูมิบนภูเขาหิมะในช่วงกลางคืนนั้น จะต่ำกว่าช่วงกลางวันมากกว่าสิบองศา ปกติก็มักจะอยู่ที่อุณหภูมิติดลบยี่สิบหรือสามสิบองศา เมื่อไม่มีทั้งถุงนอนและเต็นท์ป้องกันความหนาว อาศัยเพียงชุดปีนเขาที่สวมใส่อยู่ตอนนี้ เยี่ยเทียนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะทนอยู่ได้จนถึงรุ่งสางหรือไม่
เยี่ยเทียนลุกขึ้นยืน แล้วฝึกเพลงมวยอยู่ในรอยแยกอันคับแคบนั้นไปหนึ่งชุด จากนั้นร่างกายของเขาถึงจะอบอุ่นขึ้นมาบ้าง เขาไม่กล้านอนหลับโดยเด็ดขาด เพราะถ้าหลับไปตอนนี้ เขาอาจจะไม่ตื่นอีกเลยก็เป็นได้
เมื่อเหตุการณ์มาถึงขั้นนี้ เยี่ยเทียนก็ได้แต่หวังว่า โค้ชปีนเขาคนนั้นจะไปรายงานเรื่องที่เขาหายไป เพราะมีแต่ให้ทีมกู้ภัยมาที่นี่เท่านั้น เยี่ยเทียนถึงจะรอดชีวิตได้ ไม่อย่างนั้นต่อให้เขาปีนออกไปจากรอยแยกนี้ได้ ในสภาพที่ไม่มีเสบียงแบบนี้เขาก็ไม่มีทางข้ามภูเขาหิมะลูกนี้กลับไปได้อยู่ดี
ขณะที่เวลาผ่านไปเรื่อยๆ เยี่ยเทียนก็เดินไปเดินมาอยู่ในรอยแยกนั้นไม่หยุดเหมือนมดที่อยู่บนหม้อร้อนๆ เพราะอากาศขณะนั้นหนาวเหลือเกิน ถ้านั่งลงไปแม้เพียงครู่เดียว ก็จะรู้สึกราวกับเส้นเลือดทั่วร่างถูกแช่งแข็งไปหมดเลย
แต่ความหนาวเหน็บก็ยังไม่ใช่ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุด ความเงียบงันเปล่าเปลี่ยวและความคิดอย่างสิ้นหวังว่าความตายกำลังมาถึงนั้นก็กำลังกัดกร่อนหัวใจของเยี่ยเทียนอยู่เช่นกัน ทำให้เขายิ่งร้อนรนมากขึ้นเรื่อยๆ
“จี๊ดๆ…จี๊ดๆ!”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังเริ่มจะลนลานขึ้นมา ทันใดนั้นก็มีเสียงร้อง “จี๊ดๆ” ดังมาเข้าหู ทำให้เขาตาเป็นประกายขึ้นมา แล้วอาศัยแสงดาวมองไปยังตำแหน่งที่เกิดเสียง
“นี่มันอะไรกันเนี่ย? หรือว่าบนนั้นจะมีโพรงของตัวอะไรอยู่?”
เยี่ยเทียนเห็นว่า บนทางลาดเหนือขึ้นไปจากศีรษะของเขาประมาณห้าหกเมตร มีสัตว์ตัวเล็กๆ ขนปุกปุยปรากฏอยู่ตัวหนึ่ง เจ้าตัวเล็กนี้เป็นสีขาวทั้งตัว ขนาดใหญ่กว่าหนูเล็กน้อยเท่านั้น และกำลังพยายามร้องเรียกเยี่ยเทียนที่อยู่ข้างล่าง
“นี่มัน…ลูกอ่อนของตัวเฟอร์เร็ตนี่นา?”
หลังจากสังเกตดูได้พักใหญ่ๆ เยี่่ยเทียนถึงจะมองออกว่ามันเป็นตัวอะไร โดยดูจากขนสีดำรอบดวงตาของเจ้าสัตว์ตัวนี้ ในใจจึงรู้สึกยินดีขึ้นมา การที่ได้เจอสิ่งมีชีวิตสักตัวหนึ่งในเวลาแบบนี้ ทำให้จิตใจที่ร้อนรนของเยี่ยเทียนสงบลงมาก
“แล้วเฟอร์เร็ตใหญ่ตัวนั้นล่ะ?” เยี่ยเทียนมองซ้ายทีขวาที เขาไม่กล้าปีนขึ้นไปอย่างบุ่มบ่าม เพราะถ้าถูกเฟอร์เร็ตโตเต็มวัยที่มีลำตัวยาวถึงครึ่งเมตรกว่าๆ ตัวนั้นกัดเข้าละก็เป็นเรื่องยุ่งแน่ๆ
“จี๊ดๆ! จี๊ดๆ!”
“ช่างเถอะ ขึ้นไปดูหน่อยดีกว่า…” รอมาจะเป็นครึ่งวันแล้วก็ยังไม่เห็นเฟอร์เร็ตโตเต็มวัยตัวนั้นเลย เยี่ยเทียนโดนเจ้าตัวจ้อยนั้นร้องเรียกจนชักจะกังวลขึ้นมาแล้ว จึงหยิบมีดอู๋เหินออกมาเริ่มเจาะน้ำแข็ง
ก่อนหน้านี้เพราะอาศัยแรงขับเคลื่อนจากการที่เขาตกลงมา มีดอู๋เหินจึงสามารถกะเทาะชั้นน้ำแข็งได้อย่างง่ายดาย แต่ตอนนี้เยี่ยเทียนต้องใช้แรงอย่างมหาศาล ถึงจะขุดเจาะรูหลายๆ รูที่มีขนาดพอให้ปลายเท้าเหยียบเกาะขึ้นไปได้ แล้วปีนขึ้นไปยังจุดที่อยู่สูงประมาณสี่ห้าเมตร
“จี๊ดๆ…จี๊ดๆ…” ขณะที่ศีรษะของเยี่ยเทียนเพิ่งจะสูงพ้นปากโพรง และยังไม่ทันได้มองดูสภาพภายในนั้นเลย เจ้าตัวเล็กนั่นก็ใช้อุ้งเท้าหน้าคว้าคอเสื้อของเยี่ยเทียนไว้ แล้วพยายามมุดเข้าไปข้างใน
“อ้าวเฮ้ย นี่…ทำแบบนี้ไม่ได้นะ!”
พอเยี่ยเทียนรู้สึกคันที่ลำคอก็สะดุ้งจนเกือบจะมือหลุดตกลงไป เขารีบใช้มือข้างหนึ่งเกาะปากโพรงไว้ แล้วยื่นมืออีกข้างหนึ่งไปจับเจ้าตัวเล็กนั้น
“จี๊ดๆ…จี๊ดๆ!” เจ้าตัวเล็กนั้นขนาดยังไม่เท่าฝ่ามือของเยี่ยเทียนเลยด้วยซ้ำ หลังจากถูกจับได้มันก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้อีก แต่ปากของมันกลับยังส่งเสียงร้องไม่หยุด ท่าทางเหมือนจะไม่พอใจกับการกระทำของเยี่ยเทียนเอามากๆ
“อยู่เฉยๆ หน่อยล่ะ!”
เยี่ยเทียนคิดดูครู่หนึ่ง แล้วใส่เจ้าตัวเล็กนี่ไว้ในกระเป๋าเสื้อปีนเขา จะว่าไปก็แปลกพิลึก หลังจากเจ้าตัวเล็กเข้าไปอยู่ในกระเป๋าแล้วก็โผล่หัวน้อยๆ ออกมามองไปรอบๆ แต่ไม่ส่งเสียงร้องออกมาอีกแล้ว
“แกนี่ก็ยังอุตส่าห์รอดมาได้นะ!” หลังจากมองเข้าไปในถ้ำที่ไม่ได้ลึกเท่าไหร่นั้นเพียงปราดเดียว เยี่ยเทียนก็เข้าใจในทันที
ตอนที่ 209
รอดจากความตาย (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
โพรงนั้นไม่ได้ลึกมากนัก กะประมาณดูแล้วไม่ถึงหนึ่งเมตร อาศัยแสงสะท้อนจากผิวน้ำแข็ง เยี่ยเทียนจึงสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เฟอร์เรตตัวที่ต่อสู้กับงูประหลาดไปเมื่อก่อนหน้านั้น ตอนนี้ได้กลับมาตายอยู่ในโพรงแล้ว โดยที่เขี้ยวของงูประหลาดตัวนั้นก็ยังคงกัดอยู่ที่ขาหลังของมัน
เขี้ยวของงูประหลาดคงจะมีพิษอย่างร้ายแรง เพราะขนของเจ้าเฟอร์เรตที่ตอนแรกเป็นสีขาวเหลือบเงินนั้น ยามนี้กลับกลายเป็นสีดำไปหมดแล้ว และยังส่งกลิ่นเหม็นเน่าออกมาจางๆ อีกด้วย
นอกจากหนึ่งเฟอร์เรตหนึ่งงูที่จบชีวิตไปตามๆ กันแล้ว ยังมีลูกเฟอร์เรตที่ตัวเล็กกว่าตัวที่อยู่ในกระเป๋าของเขาอีกสองตัว เพียงแต่เพราะขาดความอบอุ่นจากมารดา พวกมันจึงหนาวจนแข็งตายไปกันหมดแล้ว
อาจเป็นเพราะเจ้าตัวนี้ร่างกายแข็งแรงกว่าตัวอื่นๆ เล็กน้อย ถึงได้รอดชีวิตมาเป็นตัวสุดท้าย แต่ถ้าไม่ใช่เพราะบังเอิญมาเจอเยี่ยเทียน มันก็คงไม่รอดพ้นจากชะตากรรมนั้นเช่นกัน
ผนังน้ำแข็งอันเรียบลื่นนั้นเกาะยากมาก เยี่ยเทียนจึงต้องใช้แรงมากถึงจะปีนเหยียบอยู่บนนั้นได้ หลังจากมองเข้าไปในโพรงอีกแวบหนึ่งแล้วก็เตรียมจะไถลกลับลงไป แต่ประกายสีขาวจุดหนึ่งในโพรงนั้นกลับทำให้เขาหยุดการเคลื่อนไหวลงก่อน
“นี่มันคืออะไรน่ะ? บัวหิมะหรือ?!”
เยี่ยเทียนยื่นมือไปผลักศพของเฟอร์เรตและงูตัวนั้นออก แล้วพบว่า ข้างในสุดของโพรงนั้นมีบัวหิมะซุกซ่อนอยู่สองดอก
แตกต่างจากพวกบัวหิมะที่เยี่ยเทียนพบเห็นมาในระหว่างปีนเขา บัวหิมะสองดอกนี้มีขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ กลีบดอกที่ผลิบานออกมานั้นดูสุกใสแพรวพราวราวกับอัญมณี ถึงศพของเจ้าเฟอร์เรตจะส่งกลิ่นเหม็นเน่าออกมา แต่ก็ยังไม่อาจกลบกลิ่นหอมอ่อนๆ นั้นไปได้
เยี่ยเทียนผลักมือซ้ายไปยันกับผนังโพรง มือขวายื่นเข้าไปในโพรงปานสายฟ้าแลบ เขาเก็บบัวหิมะออกมาหมดทั้งสองดอก จากนั้นก็พลิกร่างหันก้นเข้าหาผนังน้ำแข็ง แล้วไถลกลับลงไปที่พื้น
“นี่มันเป็นของหายากเลยนะเนี่ย…”
หลังจากกลับลงไปยืนบนพื้นแล้ว เยี่ยเทียนก็พิจารณาดูบัวหิมะที่อยู่ในมือ เขาเคยได้ยินอาจารย์บอกว่า บัวหิมะที่มีอายุมากกว่าร้อยปีนั้นกลีบดอกจะแข็งแรง ชุ่มน้ำและมีเนื้อเยอะ ส่วนบัวหิมะที่มีอายุมากกว่าพันปีนั้นภายนอกก็จะดูเหมือนกับอัญมณี และขาวบริสุทธิ์ไร้ตำหนิ
จากคำบรรยายของพรตเฒ่า เยี่ยเทียนจึงแน่ใจได้เลยว่า บัวหิมะทั้งสองดอกนี้จะต้องมีอายุอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันปีแน่นอน ต่อให้เป็นบนเทือกเขาเทียนซานนี่ บัวหิมะที่มีอายุถึงขนาดนี้ก็ยังคงถือว่าหาพบได้ยากอย่างยิ่ง
“จี๊ดๆ…จี๊ดๆ…”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังมองดูบัวหิมะที่อยู่ในมือ ก็มีเสียงร้องของลูกอ่อนเฟอร์เรตดังมาจากอกเสื้อของเขา เจ้าตัวน้อยยื่นหัวโผล่ออกมา ดวงตาจ้องเขม็งไปยังบัวหิมะที่อยู่ในมือของเยี่ยเทียน
“แกอยากกินนี่เหรอ?” เมื่อได้ยินเสียงร้องของลูกเฟอร์เรตน้อย เยี่ยเทียนก็ยิ้มออกมา เด็ดกลีบบัวหิมะออกมาหนึ่งกลีบ ยื่นไปที่ปากของลูกเฟอร์เรต แล้วเจ้าตัวน้อยก็อ้าปากงับไปทันที
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะกลีบดอกนั้นแข็งเกินไป หรือเพราะฟันของเจ้าเฟอร์เรตยังไม่งอกออกมา มันถึงได้กัดไม่เข้าเลย และเริ่มร้องจี๊ดๆ ฟ่อๆ ขึ้นมาอย่างร้อนรนอีก
“มิน่าล่ะเจ้าสองตัวนั้นถึงได้แข็งตายกันหมด ที่แท้พวกมันก็กัดบัวหิมะนี่ไม่เข้าอย่างนั้นหรอกรึ?”
หลังจากเห็นท่าทางของลูกเฟอร์เรต เยี่ยเทียนก็เริ่มเข้าใจแล้ว ปกติบัวหิมะมีสรรพคุณในการบำรุงเลือดลม ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ถ้ามีบัวหิมะสองดอกนี้อยู่ใกล้ๆ ลูกเฟอร์เรตที่อยู่ในโพรงก็ไม่น่าจะหิวตายกัน ท่าทางสาเหตุจะมาจากจุดนี้นี่เอง
เมื่อคิดได้ดังนั้น เยี่ยเทียนจึงฉีกกลีบบัวหิมะออก ในกลีบบัวหิมะนี้อมน้ำไว้มากกว่าบัวหิมะธรรมดาทั่วไป ดังนั้นทันทีที่ฉีกออก น้ำจากกลีบบัวจึงไหลไปตามมือของเยี่ยเทียน
“จี๊ดๆ!”
เมื่อได้กลิ่นหอมของน้ำนั้น เจ้าตัวน้อยก็มุดออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเยี่ยเทียนทันที อุ้งเท้าน้อยๆ ทั้งสี่เกาะอยู่บนนิ้วมือนิ้วหนึ่งของเยี่ยเทียน แล้วเริ่มดูดกินน้ำที่อยู่บนนั้น หลังจากดื่มน้ำบัวหิมะลงท้องไปจนหมดแล้วก็ยังไม่หนำใจ จึงตั้งหน้าเลียนิ้วมือของเยี่ยเทียนต่ออีก
“กินให้หมดเลยก็ได้นะ!”
เมื่อเห็นท่าทางน่ารักใสซื่อของเจ้าตัวน้อย ความหดหู่ของเยี่ยเทียนจากการที่ติดอยู่ในดินแดนน้ำแข็งนี้ก็ลดน้อยลงไปมาก จึงส่งกลีบบัวหิมะด้านที่ถูกฉีกออกแล้วไปที่ปากของลูกเฟอร์เรตน้อยอีก หลังจากรอจนน้ำในกลีบถูกดูดจนหมดแล้ว เยี่ยเทียนก็ฉีกเนื้อกลีบเป็นชิ้นเล็กละเอียดแล้วป้อนให้เจ้าตัวน้อยกิน
หลังจากกินดื่มจนอิ่มแล้ว เจ้าตัวจ้อยก็เริ่มง่วง ยื่นอุ้งเท้าหน้าไปจับเสื้อของเยี่ยเทียนไว้ ท่าทางอยากจะไต่ขึ้นไป ดูเหมือนว่ามันจะเห็นกระเป๋าของเยี่ยเทียนเป็นบ้านใหม่ของตัวเองไปแล้ว
“ฮ่ะๆ หลับซะนะ…”
เยี่ยเทียนค่อยๆ จับลูกเฟอร์เรตขึ้นมา แล้วใส่มันกลับลงไปในกระเป๋าเสื้อ เจ้าตัวจ้อยก็แลบลิ้นออกมาเลียนิ้วมือของเยี่ยเทียน ท่าทางเหมือนจะกำลังแสดงความขอบคุณอยู่
“ถ้ามีบัวหิมะนี่อยู่ เราก็ไม่ต้องกลัวว่าจะหนาวตายแล้วละ…” หลังจากจัดให้ลูกเฟอร์เรตนอนอย่างสบายแล้ว เยี่ยเทียนก็หันไปมองที่บัวหิมะสองดอกนั้น
พรตเฒ่าเคยกล่าวว่า บัวหิมะที่มีอายุได้ที่นั้นจะมีสรรพคุณในการขับไล่ความหนาว ขจัดพลังหยิน กระตุ้นพลังหยาง บำรุงโลหิต และก็จะมีประโยชน์อย่างมากในการรักษาอาการบาดเจ็บของเขาเช่นกัน
ตั้งแต่ตอนเที่ยงวันจนมาถึงตอนนี้ เยี่ยเทียนก็ไม่ได้กินอะไรเลยมาสิบกว่าชั่วโมงแล้ว เมื่อได้กลิ่นหอมอ่อนๆ นั้น เยี่ยเทียนก็รู้สึกอยากอาหารขึ้นมา ยื่นมือไปฉีกกลีบบัวหิมะมาหนึ่งกลีบ แล้วใส่ปากขบเคี้ยว
“ถุย ขมจังวะ?!”
ตอนแรกเขานึกว่า ดอกบัวหิมะที่มีกลิ่นหอมนี้พอกินแล้วน่าจะมีรสชาติหวานล้ำ แต่ชั่วขณะที่ต่อมรับรสบนลิ้นสัมผัสโดนน้ำบัวหิมะ เยี่ยเทียนก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที แล้วเร่งเคี้ยวให้เร็วขึ้น จากนั้นก็รีบกลืนกลีบบัวลงท้องไป
“ไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลยนี่ เจ้านี่มันใช่บัวหิมะพันปีรึเปล่าเนี่ย?” หลังจากกินกลีบบัวไปกลีบหนึ่ง เยี่ยเทียนก็ลองสังเกตดูความรู้สึกภายในร่างกาย แต่ก็ไม่มีอะไรผิดแปลกไปจากเดิมเลย
“เอาเถอะ ถือเสียว่าแค่เติมท้องให้อิ่มก็แล้วกัน!” พอได้ยินเสียงร้อง “จ๊อกๆ” ดังมาจากท้อง เยี่ยเทียนก็ไม่สนใจรสชาติขมนี้แล้ว จึงฉีกกลีบของบัวหิมะดอกหนึ่งออกมาจนหมดแล้วยัดเข้าปากไป
พอกินบัวหิมะหมดไปหนึ่งดอก สายตาของเยี่ยเทียนก็มองไปที่อีกดอกหนึ่ง เจ้าบัวหิมะนี่ถึงจะดอกใหญ่ แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นน้ำทั้งนั้น ความหิวจึงไม่ได้ทุเลาลงไปเท่าไรเลย
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนก็ฉีกกลีบบัวออกมาสองกลีบ แล้วยัดส่วนที่เหลือเข้าปากไปอีก เขมือบลงท้องไปเหมือนวัวเคี้ยวเอื้อง
“เอ๊ะ? เหมือนจะได้ผลแล้วนะเนี่ย!”
หลังจากบัวหิมะดอกที่สองลงท้องไป ทันใดนั้นเยี่ยเทียนก็รู้สึกว่าบริเวณท้องน้อยเริ่มร้อนขึ้นมาอย่างเดือดพล่าน พลังชี่ที่ฝึกมาหลายปีก็เริ่มมีความเคลื่อนไหว เขาจึงรีบนั่งขัดสมาธิลงกับพื้นด้วยความยินดี
เมื่อเยี่ยเทียนเริ่มโคจรพลังตามวิชายุทธ พลังปราณอันร้อนผ่าวที่ท้องน้อยก็แผ่ขจายไปทั่วร่าง ทำให้ความหนาวเย็นภายในเส้นลมปราณบนร่างกายถูกขับออกไปจนหมด
ตอนที่เยี่ยเทียนทำพิธีฝืนลิขิตพลิกชะตาให้พรตเฒ่า เขาถูกกระแสพลังหยินพิฆาตของฟ้าดินสะท้อนกลับใส่ จึงมีพลังพิฆาตปริมาณมากที่แทรกซึมเข้าไปแอบแฝงอยู่ในเส้นลมปราณของเขา และทำลายระบบต่างๆ ภายในร่างกาย เนื่องจากความสามารถยังไม่ถึงขั้น เยี่ยเทียนจึงไม่มีหนทางที่จะรักษาอาการนี้ได้เช่นกัน
แต่ขณะนี้ความร้อนที่เกิดจากบัวหิมะได้แผ่ซ่านไปตามเส้นลมปราณต่างๆ ราวกับกระแสน้ำถาโถม นอกจากจะขจัดกระแสพลังหยินพิฆาตเหล่านั้นไปจนหมดแล้ว ยังเบิกเส้นลมปราณภายในกายที่อุดตันอยู่ให้เปิดโล่งได้อีกด้วย เท่ากับเป็นการชำระล้างเยี่ยเทียน เหมือนเขาได้เกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง
เมื่อความร้อนจากบัวหิมะแผ่ซ่านอยู่ในร่างกาย ความหนาวจากภายนอกจึงไม่ส่งผลอะไรกับเขาอีก เยี่ยเทียนก็ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน จนสุดท้ายได้ยินเสียงร้อง “จี๊ดๆ” ของลูกเฟอร์เรตปลุกให้ตื่นขึ้นมา
เยี่ยเทียนซึ่งเพิ่งตื่นจากฌานกำลังอารมณ์ดีมาก เขารู้สึกได้ว่า อาการบาดเจ็บภายในร่างกายฟื้นฟูขึ้นจนเกือบจะสมบูรณ์แล้ว เส้นลมปราณที่แต่เดิมโคจรพลังชี่ได้อย่างติดขัดนั้น ตอนนี้ก็เปิดโล่งหมดแล้ว ภายในร่างกายเหมือนกับมีพลังปะทุออกมาตลอดเวลา
“โอ้โฮ ผ่านไปสิบหกชั่วโมงเต็มๆ แล้วหรือเนี่ย?”
เหนือศีรษะท้องฟ้าสว่างจ้าแล้ว พอเยี่ยเทียนดูนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่า ขณะนั้นเป็นช่วงบ่ายของอีกวันหนึ่งแล้ว เวลาได้ผ่านไปถึงสิบกว่าชั่วโมงโดยที่เขาไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย
“เจ้าตัวเล็ก หิวแล้วใช่ไหมล่ะ?” เมื่อเห็นลูกเฟอร์เรตที่กำลังโผล่หัวน้อยๆ มีขนปุยออกมาจากกระเป๋า เยี่ยเทียนก็ยิ้มออกมา แล้วหยิบกลีบบัวหิมะที่เหลือไว้นั้นออกมา ฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วป้อนให้เจ้าตัวน้อยกินลงไป
“แกนี่รู้จักแต่กินอย่างเดียวรึไงหา?!”
อาจเป็นเพราะบัวหิมะมีฤทธิ์แรงมาก เจ้าตัวน้อยเพิ่งจะกินเสร็จก็ท่าทางง่วงงุนอยากจะหลับอีกแล้ว จนเยี่ยเทียนที่ตอนแรกนึกว่าจะแหย่เจ้าตัวจ้อยนี่เล่นเสียหน่อยรู้สึกเซ็งไปเลย และวางมันกลับลงไปในกระเป๋าอย่างจนปัญญา
“ลองดูดีกว่าว่าจะปีนขึ้นไปได้รึเปล่า!”
เมื่ออาการบาดเจ็บที่แฝงอยู่ในกายหายดีแล้ว ความมั่นใจของเยี่ยเทียนจึงเพิ่มขึ้นมามาก ถึงเขาจะคิดอยู่ว่า น่าจะมีคนขึ้นเขามาทำการเสาะหากู้ภัย แต่แทนที่จะรอให้คนอื่นมา ตัวเองลงมือช่วยเหลือตัวเองก่อนน่าจะดีกว่า
“สวบๆ…สวบสาบ!” ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังถือมีดอู๋เหินเตรียมจะเจาะลงไปบนผนังน้ำแข็ง ทันใดนั้นก็มีเสียงเดินย่ำหิมะดังมาจากเหนือศีรษะ เยี่ยเทียนจึงลิงโลดยินดีขึ้นมาทันที
“มีใครอยู่บนนั้นไหม? ผมอยู่ข้างล่างนี่นะ มีใครอยู่รึเปล่า? ช่วยผมด้วย!”
หลังจากได้ประจักษ์ถึงความน่ากลัวของหิมะถล่ม เยี่ยเทียนจึงไม่กล้าตะโกนเสียงดัง และร้องเรียกด้วยเสียงเบาๆ แทน ขณะเดียวกันก็กลับด้านมีดอู๋เหิน ใช้ส่วนด้ามมีดเคาะลงไปบนผนังน้ำแข็ง
“นี่…หิมะถล่มคราวนี้เสียหายร้ายแรงขนาดนี้เลยรึเนี่ย?”
เหนือจากศีรษะของเยี่ยเทียนขึ้นไปหลายสิบเมตร คนหกคนกำลังยืนอยู่ที่เขตเจดีย์น้ำแข็ง และมองไปยังผาน้ำแข็งฝั่งตรงข้ามที่มีความสูงถึงร้อยเมตรด้วยสีหน้าพรั่นพรึง พวกเขาไม่รู้ว่า เพราะอะไรหิมะถล่มครั้งนี้ถึงทำให้ผาน้ำแข็งนั้นแตกแยกออกจากกันได้
ผาน้ำแข็งที่เรียบลื่นเป็นเงาดั่งกระจกนั้น ยามนี้กลับเกิดรอยแยกลึกขึ้นรอยหนึ่งราวกับมีคนจามขวานลงไปตรงกลาง
และเขตเจดีย์น้ำแข็งที่เดิมทีไม่น่าจะโดนหิมะถล่มได้นั้น ก็ดูราวกับถูกอุทกภัยซัดกระหน่ำ แม้แต่เสาน้ำแข็งที่ดำรงอยู่มานับพันนับหมื่นปีก็ยังหักไปตั้งแต่ตรงโคนตั้งหลายต้น
แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ช่วยลดความยุ่งยากให้เยี่ยเทียนไปได้ไม่น้อยเลย เพราะศพของพวกตี๋วั่งก็ถูกซัดกลบฝังอยู่ใต้กองหิมะลึกหลายสิบเมตรแล้วเช่นกัน
“อาลิม แค่ถอดถอนใบรับรองโค้ชปีนเขาของแกน่ะ ยังถือว่าเบาไปเลยด้วยซ้ำนะ!” คนที่เป็นหัวหน้าทีมกู้ภัยกำลังต่อว่าเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งในทีมนั้น ซึ่งที่แท้ก็คือโค้ชสอนปีนเขาของเยี่ยเทียนนั่นเอง
หลังจากที่เยี่ยเทียนแอบไปขึ้นเขาตามลำพัง อาลิมก็ไม่ได้ไปรายงานหัวหน้าตั้งแต่แรก เพราะเขาคิดจะหลบเลี่ยงความรับผิดชอบ แต่หลังจากเกิดเหตุหิมะถล่มขึ้น เขาก็ไม่กล้าปิดบังเรื่องนี้อีก จึงไปรายงานต่อฝ่ายบริหารทันที
สำหรับฝ่ายบริหารแล้ว อุบัติเหตุบนภูเขาหิมะเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก หลังจากได้รับรายงานจากอาลิม จึงจัดทีมกู้ภัยสองกลุ่มขึ้นเขาไปทันที และกลุ่มนี้ก็เป็นกลุ่มที่มาถึงเขตเจดีย์น้ำแข็งก่อน
“เหล่าอู๋ ฉันเหมือนจะได้ยินเสียงคนร้องเรียกอยู่นะ ยังมีคนรอดชีวิตอยู่อีกรึเปล่า?” เสียงร้องเรียกของเยี่ยเทียนดึงความสนใจของเจ้าหน้าที่คนหนึ่งในทีมมาได้
“เป็นไปไม่ได้น่า? ยังจะมีใครรอดชีวิตได้อีกล่ะ?” ชายวัยกลางคนที่ชื่อเหล่าอู๋นั้นส่ายหน้ารัวๆ แต่จากนั้นก็หูผึ่งขึ้นมาทันที เพราะเขาได้ยินเสียงเยี่ยเทียนเคาะผนังน้ำแข็ง
“เร็ว หาซิว่าเสียงมาจากตรงไหน ระวังรอยแยกพวกนั้นด้วยนะ ผู้รอดชีวิตน่าจะหลบอยู่ข้างล่างนี่แหละ!”
เหล่าอู๋เป็นผู้นำทีมกู้ภัยกลุ่มนี้ เขามีประสบการณ์มาอย่างโชกโชน จึงรู้ว่าในภัยธรรมชาติแบบนี้ มีแต่ต้องเข้าไปหลบอยู่ในรอยแยกบนน้ำแข็งเท่านั้น ถึงจะมีความหวังที่จะรอดชีวิตได้
ตอนที่ 210
เฟอร์เรตสายฟ้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เจอแล้ว เสียงมาจากข้างล่างนี่แหละ!”
เสียงของเจ้าหน้าที่กู้ภัยคนหนึ่งเรียกให้ทุกคนเดินเข้าไปหา เสียงเยี่ยเทียนเคาะผนังน้ำแข็งนั้นดังมาเข้าโสตประสาทของแต่ละคนอย่างชัดเจน
“ผูกเชือกไว้ ฉันจะลงไปก่อน พวกนายเตรียมเครื่องกว้านไว้เลยนะ แล้วคอยฟังคำสั่งฉัน!”
เหล่าอู๋มัดเชือกไว้กับตัวอย่างคล่องแคล่ว การกู้ชีพนั้นก็เหมือนกับการดับเพลิง แต่ละนาทีที่ล่าช้าไปอาจจะทำให้เสียไปหนึ่งชีวิตเลยก็ได้ หลังจากกำชับเสร็จ เหล่าอู๋ก็โหนเชือกปีนเขาโรยตัวลงไปในรอยแยกนั้น
“เครื่องกว้านไม่ต้องแล้ว หย่อนรองเท้าตะปูลงมาคู่หนึ่งซิ ขนาดเท่าไหร่นะ? อ้อเอาเบอร์สี่สิบสอง!” หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที เสียงของเหล่าอู๋ที่เพี้ยนไปเล็กน้อยก็ดังออกมาจากเครื่องวิทยุสื่อสาร
แต่คำสั่งของเหล่าอู๋กลับทำให้ทุกคนที่อยู่ที่ข้างบนต่างก็ฉงนใจ ผู้รอดชีวิตอยู่ข้างล่างนั่นมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ยังจะมีแรงปีนขึ้นมาเองได้อีกหรือ?
ที่จริงตอนแรกเยี่ยเทียนก็อยากจะแสร้งเป็นสลบไสลอยู่เหมือนกัน แต่ประการแรกเพราะเขาไม่มีทักษะการแสดงแบบนั้น ประการที่สองเพราะหน้าตาของเขาก็ดูสดใสมีเลือดฝาดดี คงตบตาคนอื่นไม่ได้อยู่แล้ว จึงได้แต่นั่งหน้าสลอนรอเจอกับเหล่าอู๋ที่โรยตัวลงมา
“นี่พ่อหนุ่ม เธอ…เธออยู่ข้างล่างนั่นมานานแค่ไหนแล้วนะ?”
หลังจากเยี่ยเทียนปีนขึ้นมาด้วยตัวเองแล้ว พวกที่รออยู่ข้างบนก็ตกตะลึงกันหมด แม้แต่โค้ชปีนเขาคนนั้นไม่มีเวลาไปสืบสาวเอาความกับเยี่ยเทียนที่ขึ้นเขาไปเองโดยไม่ได้รับอนุญาต ทุกคนต่างก็อยากรู้ว่า เยี่ยเทียนตกไปในรอยแยกบนน้ำแข็งตั้งแต่ตอนไหนกันแน่
“ตกลงไปตอนที่หิมะเริ่มถล่มน่ะครับ ถึงตอนนี้ก็น่าจะเกือบยี่สิบชั่วโมงแล้วมั้งครับ?”
เยี่ยเทียนตอบไปตามตรง แต่สายตากลับมองไปที่กระเป๋าเป้ของคนเหล่านั้น คราวนี้ท้องของเขาร้อง “จ๊อกๆ” เสียงดังยิ่งกว่าเดิมอีก บัวหิมะพันปีสามารถเยียวยารักษาได้ก็จริงอยู่ แต่ว่าใช้กินแทนข้าวไม่ได้จริงๆ
“หิวแล้วใช่ไหม? อย่ามัวยืนเฉยกันอยู่สิ ให้เขากินอะไรก่อน!”
สภาพของเยี่ยเทียนในตอนนี้ค่อยดูเหมือนคนที่กำลังรอหน่วยกู้ภัยขึ้นมาหน่อย แต่ชุดปฐมพยาบาลที่พวกเขานำมาด้วยนั้นกลับไม่ได้ใช้ประโยชน์เลย ตรงกันข้ามกับพวกอาหารกระป๋องและขนมปังกรอบที่ถูกเยี่ยเทียนกวาดเรียบ กินลงท้องไปจนหมดเกลี้ยงเลย
หลังจากเยี่ยเทียนกินอิ่มแล้ว เหล่าอู๋ก็เอ่ยถามว่า “พ่อหนุ่ม เธอใส่แต่เสื้อผ้าชุดนี้ อยู่ข้างล่างนั่นไปสิบกว่าชั่วโมงเลยหรือ?”
“ใช่ครับ…”
เยี่ยเทียนพยักหน้า แต่เขาก็รู้อยู่ว่า เรื่องของตัวเองนั้นฟังดูอัศจรรย์เกินไปแล้ว หลังจากคิดๆ ดู จึงหยิบกลีบบัวหิมะกลีบสุดท้ายออกมาจากกระเป๋า แล้วพูดว่า “แต่ผมเจอนี่อยู่ข้างล่างนั่นน่ะครับ ผมกินไปหมดเลย เหลือแค่กลีบนี้แหละ!”
“นี่…นี่มันบัวหิมะนี่นา?”
เหล่าอู๋ยื่นมือไปรับกลีบบัวจากมือของเยี่ยเทียน แล้วก็ตะลึงตาค้างไปเลย “นี่เป็นบัวหิมะที่มีอายุมากกว่าพันปี คุณ…คุณกินมันไปหมดเลยหรือ?”
ควรทราบว่า บัวหิมะมีสรรพคุณรักษาโรคได้หลายโรค นอกจากจะขจัดความหนาว ขับพลังหยิน กระตุ้นพลังหยางและบำรุงโลหิตได้แล้ว ยังสามารถรักษาโรคทางนรีเวชบางโรคที่รักษายาก และช่วยคงความอ่อนเยาว์ได้อีกด้วย
ว่ากันว่า ซ่งเหม่ยหลิง (ภรรยาคนที่สองของเจียงไคเช็ค) เคยใช้บัวหิมะที่มีอายุมากกว่าพันปีเป็นตัวยา แต่ในหลายสิบปีที่ผ่านมานี้ คนเก็บสมุนไพรบนภูเขาหิมะกลับไม่เคยพบบัวหิมะที่อายุมากกว่าพันปีอีกเลย
“ตอนนั้นผมทั้งหนาวทั้งหิว ไม่มีทางเลือกแล้วก็เลยกินมันลงไปน่ะครับ จริงสิ ข้างล่างนั่นมีโพรงน้ำแข็งอยู่โพรงหนึ่ง ในนั้นยังมีศพของสัตว์อีกสองชนิดด้วยครับ…”
เยี่ยเทียนรู้ว่า เมื่อเขากลับไปแล้วจะต้องถูกสอบสวนแน่นอน เรื่องเจ้าตัวน้อยที่อยู่กับเขานี่ก็คงปิดบังไม่ได้เช่นกัน ยามนั้นจึงเล่าเหตุการณ์ที่ตนพบบัวหิมะออกมาตามความจริง
“เฮ้อ เสียของจริงๆ เลย…” หลังจากฟังเยี่ยเทียนเล่าจบ เหล่าอู๋ก็กระทืบเท้าหลายที แต่ก็จนปัญญาที่จะทำอะไรได้
แต่สภาพของเยี่ยเทียนในตอนนี้ก็เป็นเครื่องอธิบายได้อย่างชัดเจนแล้ว เพราะในสายตาของคนที่อาศัยอยู่บริเวณเชิงเขาเทียนซาน บัวหิมะพันปีนั้นเป็นยาวิเศษในตำนาน เมื่อกินยาวิเศษนี้ลงไปแล้ว ก็ย่อมจะไม่รู้สึกหนาวเป็นธรรมดา
หลังจากนำศพของสัตว์สองตัวในโพรงน้ำแข็งนั้นขึ้นมาแล้ว พวกเหล่าอู๋ต่างก็รู้สึกอัศจรรย์ใจเมื่อเห็นงูประหลาดตัวนั้น พวกเขาก็ไม่เคยเห็นสัตว์ที่มีหน้าตาแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน ตอนนั้นจึงใส่มันไว้ในถุง เตรียมจะนำกลับไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการศึกษาวิจัย
ระหว่างนั้นเหล่าอู๋ก็ซักถามเยี่ยเทียนอีกเกี่ยวกับประสบการณ์ของเขาตอนที่เกิดหิมะถล่ม แต่เยี่ยเทียนก็ตอบว่าไม่รู้ไปเสียหมด และก็ไม่ได้พูดถึงพวกตี๋วั่งด้วย เพราะเยี่ยเทียนเห็นแล้วว่า จุดที่เดิมเป็นเขตเจดีย์น้ำแข็งนั้น ตอนนี้ไม่หลงเหลือสภาพเดิมแล้ว เขาก็ต้องไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวเป็นธรรมดา
แก๊งตี๋วั่งเดิมทีก็ทำธุรกิจที่สกปรกไม่อาจเปิดเผยอยู่แล้ว ตอนที่พวกนั้นขึ้นภูเขาไปก็ทำอย่างลับๆ ล่อๆ และตามรายงานของโค้ชปีนเขาที่อยู่ในทีมกู้ภัยคนนั้น ก็มีแต่เยี่ยเทียนคนเดียวที่ขึ้นภูเขาไปโดยพลการ ดังนั้นพวกเหล่าอู๋จึงไม่รู้เกี่ยวกับแก๊งตี๋วั่งเลย
ด้วยเหตุนี้เหล่าอู๋จึงสรุปว่า ในเหตุการณ์หิมะถล่มครั้งนี้ไม่ได้ทำให้มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตเลย สำหรับพวกเขาแล้ว ก็ถือว่ายังรักษาโบนัสปีนี้เอาไว้ได้ สีหน้าของแต่ละคนจึงเริ่มผ่อนคลายลง
“เอาละ พักที่นี่หนึ่งคืน พรุ่งนี้ค่อยเดินทางกลับ!” เนื่องจากตอนนี้พระอาทิตย์ใกล้จะลับไปหลังเขาแล้ว หลังจากเหล่าอู๋ใช้วิทยุสื่อสารติดต่อกับทางฝ่ายปกครองแล้ว ก็เริ่มตั้งค่ายในเขตเจดีย์น้ำแข็ง
“อื้อหือ คราวนี้เสียหายหนักเลยนะเนี่ย!”
ตอนกลางคืนเยี่่ยเทียนเดินไปรอบๆ เขตเจดีย์น้ำแข็ง แล้วความยินดีที่รอดจากความตายมาได้ก็มลายหายไปทันที เพราะเขาพบว่า เครื่องรางหกชิ้นที่ตนฝังไว้นั้น กลับไม่เหลือเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ถูกน้ำแข็งและหิมะพัดพาหายไปจนหมด
แม้จะได้บัวหิมะพันปีมารักษาความเจ็บป่วยที่ซ่อนเร้นอยู่ในร่างกาย แต่เมื่อเครื่องรางของขลังสูญหายไปหมด เยี่ยเทียนก็ไม่รู้แล้วว่าตัวเองได้กำไรหรือขาดทุนกันแน่ เพราะของพวกนั้นถ้านำไปขายละก็ อย่างน้อยๆ ก็จะทำให้เขาร่ำรวยมั่งคั่งชนิดที่ทั้งชาตินี้ก็ใช้ไม่หมดเลยทีเดียว
“ช่างเถอะ คราวนี้ก็ถือว่ายังมีโชคดีในความโชคร้ายอยู่ วันหลังถ้ามีโอกาสค่อยกลับมาขุดพวกมันขึ้นมาก็แล้วกัน!”
บนเครื่องรางนั้นมีพลังชี่ของเยี่ยเทียนอยู่ เขาจึงสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า เครื่องรางเหล่านั้นถูกพัดพาไปอยู่ที่จุดไหน แต่เมื่อเห็นกองหิมะที่ทับถมกันหนาหลายสิบเมตรบริเวณเชิงเขา เยี่ยเทียนก็ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขาก็เริ่มเดินทางข้ามภูเขาหิมะ เรี่ยวแรงของเยี่ยเทียนที่แสดงให้เห็นในระหว่างการเดินทางนั้น ทำให้ทุกคนตกตะลึงไปตามๆ กัน ถ้าไม่มีเรื่องหิมะถล่ม เยี่ยเทียนก็คงอยู่บนภูเขาหิมะนี้ได้อย่างปลอดภัยไม่มีปัญหาอยู่แล้ว
แต่หลังจากมาถึงสำนักงานการปกครอง วันเวลาดีๆ ของเยี่ยเทียนก็มีอันต้องสิ้นสุดลง
ตำรวจสองนายจากสถานีตำรวจประจำเขตพาเยี่ยเทียนไปทำการสอบสวนที่ห้องเดี่ยว เจ้าตัวเล็กที่กำลังหลับสะลึมสะลือถูกเหล่าอู๋นำตัวไปก่อน ซึ่งเขาก็ดูเหมือนจะรู้จักสัตว์ชนิดนี้อยู่
เยี่ยเทียนคิดคำตอบไว้ล่วงหน้าแล้ว เขายืนยันว่าตัวเองเป็นผู้ที่ชื่นชอบการปีนเขา ตอนนั้นเพราะอยากจะพิชิตภูเขาหิมะลูกนี้ให้ได้ จึงแอบปีนขึ้นไปเอง ส่วนเรื่องอื่นๆ เขาก็ไม่รู้อะไรทั้งนั้น
คำพูดเหล่านี้เยี่ยเทียนก็เคยใช้อธิบายกับพวกเหล่าอู๋ไปแล้ว ประกอบกับเหตุหิมะถล่มครั้งนี้เกิดในบริเวณกว้างมาก จึงไม่น่าจะเป็นเพราะฝีมือของเยี่ยเทียน ดังนั้นหลังจากถามอีกไม่กี่คำ ตำรวจสองนายนั้นก็เดินออกไป
“ลุงเฉิน ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ เรื่องนี้คงต้องรบกวนลุงแล้วละครับ!”
หลังจากให้ปากคำไปหมดทุกอย่างแล้ว เยี่ยเทียนก็ถูกขังอยู่ในห้องเล็กๆ คนเดียว แต่หลังจากผ่านไปยี่สิบนาที ประตูห้องก็เปิดออก เฉินสี่ฉวนเดินเข้ามาพร้อมกับชายวัยกลางคนสวมชุดเครื่องแบบตำรวจคนหนึ่ง
ระหว่างทางกลับมา เยี่ยเทียนได้ยินจากเหล่าอู๋ว่า พฤติกรรมของเขาละเมิดกฎการปีนเขา ซึ่งตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องนั้น ถ้าจะกักตัวเขาไว้สักสองสามวันก็นับว่าสมควรแล้ว
ดังนั้นก่อนที่จะมาถึงที่ทำการฝ่ายปกครอง เยี่ยเทียนจึงขอร้องเหล่าอู๋ให้เขาได้แอบโทรศัพท์สักครั้งหนึ่ง ในแถบซินเจียงนี้เขาไม่รู้จักใครเลย จะโทรหาพ่อก็อยู่ไกลเกินไป คงช่วยเหลือได้ไม่ทันการ ดังนั้นเขาจึงนึกถึงเฉินสี่ฉวนที่รู้จักกันบนรถไฟขึ้นมา
“เสี่ยวเยี่ย เธอนี่ใจกล้าไม่เบาเลยนะ กล้าปีนภูเขาหิมะคนเดียวเลยรึเนี่ย?”
พอเฉินสี่ฉวนเห็นเยี่ยเทียนแล้ว ก็เข้ามาตบไหล่เขาหนักๆ จากนั้นก็หันหน้าไปพูดกับตำรวจที่อยู่ข้างหลัง “ผู้กำกับจาง เด็กคงทำไปด้วยความไม่รู้น่ะ นี่ก็โดนตำหนิไปแล้ว ไว้เดี๋ยวผมจะอบรมเขาอีกที เห็นแก่หน้าผมเหล่าเฉินหน่อยเถอะนะ อย่าไปขังเขาเลย…”
เยี่ยเทียนเห็นเฉินสี่ฉวนขยิบตาให้ มีหรือที่เขาจะไม่เข้าใจ จึงทำหน้าสำนึกผิดทันที และพูดขึ้นว่า “ขอโทษครับคุณลุงจาง เป็นเพราะตอนนั้นผมไม่ทันยั้งคิด เลยไปเพิ่มปัญหาให้พวกคุณลุงแบบนี้!”
“การที่คนวัยรุ่นมีความกระตือรือร้นมันก็ดีอยู่หรอก แต่ต่อไปอย่าวู่วามอีกเด็ดขาดเลยนะ การที่เธอหายตัวไปคราวนี้น่ะ ทำให้พวกฉันมีภาระเพิ่มขึ้นมามากขนาดไหนรู้รึเปล่า?” เมื่อมีความเกี่ยวข้องกับเฉินสี่ฉวน ผู้กำกับจางจึงไม่อยากจะเอาเรื่องกับเยี่ยเทียน เพียงแต่สั่งสอนเป็นเชิงต่อว่าไปเล็กน้อยเท่านั้น”
เมื่อได้ยินผู้กำกับจางพูดอย่างนั้นแล้ว เฉินสี่ฉวนก็ยิ้มแย้ม “ผู้กำกับจาง วันนี้ทุกคนคงทำงานเหนื่อยกันแย่เลยสินะ ไว้วันไหนผมจะส่งผ้าห่มขนแกะมาให้สักหนึ่งคันรถ คุณดูแล้วเอาไปแจกให้สหายทุกคนเป็นรางวัลก็แล้วกันนะ!”
“แบบนั้นผมก็เกรงใจน่ะสิ นี่เหล่าเฉิน เย็นนี้ก็อย่าเพิ่งกลับไปเลยนะ ช่วงเดือนนี้สัตว์ป่าบนภูเขากำลังอ้วนท้วนดีนา…”
หลังจากได้ยินเฉินสี่ฉวนพูดแบบนั้น ผู้กำกับจางก็หัวเราะขึ้นมา เขารู้ว่าเฉินสี่ฉวนทำธุรกิจส่งออก ผ้าห่มขนแกะหนึ่งคันรถนี่มีมูลค่าสูงไม่ใช่เล่นเลย ถ้าหัวหน้าอย่างเขาสามารให้สวัสดิการดีๆ แก่ลูกน้องได้ นั่นก็ถือว่าเป็นอีกวิธีหนึ่งในการเพิ่มบารมีเหมือนกัน
“คุณลุงจางครับ ผมเก็บสัตว์ตัวเล็กๆ บนภูเขาได้ตัวหนึ่ง ไม่ทราบว่าผมจะขอเก็บไปเลี้ยงได้รึเปล่าครับ?”
พอได้ยินว่าผู้กำกับจางจะกินสัตว์ป่า เยี่ยเทียนก็รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา ถึงเขาจะเป็นคนที่กินได้ทุกอย่างไม่มีเกี่ยง และสัตว์ป่าที่ตายไปด้วยน้ำมือของเขาก็มีเป็นร้อยเป็นพันตัว แต่เยี่ยเทียนกลัวเหลือเกินว่า ผู้กำกับจางคนนี้จะจับลูกเฟอร์เรตที่เคยผ่านความทุกข์ยากร่วมกับเขาตัวนั้นไปกินเสีย
ขณะนั้นผู้กำกับจางกำลังอารมณ์ดี พอได้ยินเยี่ยเทียนถามก็โบกมือเรียกตำรวจที่ยืนอยู่ข้างหลังมาสั่งการว่า “เสี่ยวจ้าว พาเขาไปดำเนินการตามขั้นตอนทีนะ ถ้าสัตว์ตัวเล็กๆ อะไรนั่นไม่ใช่สัตว์สงวนหรือสัตว์คุ้มครองของประเทศ ก็คืนให้เขาไปเถอะ…”
ในสมัยนี้การคุ้มครองสัตว์ป่ายังไม่เข้มงวดเท่าไรนัก โดยเฉพาะในสถานที่ที่ห่างไกลจากศูนย์กลางการปกครองแบบนี้ด้วยแล้ว ก็ยิ่งไม่มีใครใส่ใจอย่างจริงจังเลย แม้แต่สัตว์ป่าคุ้มครองบางชนิดก็ยังปรากฏบนโต๊ะอาหารอยู่บ่อยๆ
เห็นได้ชัดว่า เหล่าอู๋ชอบลูกเฟอร์เรตตัวนี้มาก ตอนที่หาเขาเจอนั้น เขาก็กำลังฉีกผ้าห่มนวมมาทำรังให้เจ้าตัวเล็กนี่อยู่พอดี หลังจากได้ยินจุดประสงค์ที่เยี่ยเทียนมาหาตน จึงตอบอย่างอดไม่ได้ว่า “โธ่เสี่ยวเยี่ย ยกเจ้าตัวนี้ให้ลุงอู๋เลี้ยงเถอะนะ!”
“ลุงอู๋ เจ้านี่มันมีวาสนากับผมนะครับ ลุงคอยดูนะ… พอมันตื่นขึ้นมาละก็ จะเอาแต่หาผมท่าเดียวเลยละ!” ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกัน ลูกเฟอร์เรตตัวนั้นก็ตื่นขึ้นมา หลังจากสูดจมูกดมฟุดฟิด ขาทั้งสี่ก็ปีนขึ้นไปบนเสื้อผ้าของเยี่ยเทียน
“เฮ้อ เจ้าตัวนี้มันมีความคิดจิตใจเหมือนคน ถ้ามันยอมรับเธอเป็นเจ้านายแล้ว ลุงก็คงหมดปัญญาแล้วละนะ!” เมื่อเห็นเหตุการณ์เป็นแบบนั้น เหล่าอู๋ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที
เยี่ยเทียนยื่นนิ้วก้อยให้เจ้าลูกเฟอร์เรตดูด แล้วหันไปถามเหล่าอู๋ว่า “ลุงอู๋ แล้วตกลงมันเรียกว่าตัวอะไรครับเนี่ย?”
“มันเรียกว่าเฟอร์เรตสายฟ้า เป็นสายพันธุ์ที่มีเฉพาะบนภูเขาหิมะ ฝึกให้เชื่องได้ยากสุดๆ เลย แต่ถ้าเลี้ยงมันได้ละก็ มันจะช่วยล่าสัตว์ให้เราได้ด้วยนะ!” เมื่อเยี่ยเทียนกับลูกเฟอร์เรตท่าทางสนิทสนมกันดีเหลือเกิน เหล่าอู๋ก็ทำหน้าอิจฉา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น