ข้ามกาลบันดาลรัก 203-204
ตอนที่ 203 ระหว่างทางพบชายฉกรรจ์ลึกลับ
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
สะใภ้ใหญ่โจวไม่คิดว่านางจะซื้อกำไลนี้โดยไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย ตะลึงงันเล็กน้อย
หลงจู๊รีบเดินตามพนักงานออกมา ยืนตรงหน้าคนทั้งสอง พูดอย่างมีมิตรไมตรี “ฮูหยิน ท่านพอใจเครื่องประดับแบบไหนหรือ?”
สะใภ้ใหญ่โจววางถ้วยชาในมือลง ดันกล่องที่บรรจุกำไลไปด้านหน้า “ชิ้นนี้เล่า บอกราคามาเถิด”
หลงจู๊เห็นนางถูกใจกำไลข้อมือ ใบหน้าสะท้อนแววยินดี พูดว่า “กำไลนี้เป็นแบบใหม่ที่พวกเราเพิ่งจะวางขายไม่กี่วันก่อน ราคาเต็มคือสองพันตำลึง หากฮูหยินต้องการจริงๆ ข้าให้หนึ่งพันเก้าร้อยตำลึง”
สะใภ้ใหญ่โจวส่ายหน้า “แพงเกินไป อย่างมากข้าให้ท่านได้หนึ่งพันสองร้อยตำลึง”
ความปิติยินดีบนใบหน้าหลงจู๊จางหาย “ฮูหยิน ท่านให้ราคาต่ำเกินไปแล้ว ราคาที่พวกเรานำเข้ามาก็สูงกว่านี้แล้ว”
สะใภ้ใหญ่โจวพูดอย่างไม่อินังขังขอบ “เนื้องานของกำไลชิ้นนี้ยังไม่ละเอียดประณีต หากเป็นในอดีต ข้าไม่มีทางซื้อเด็ดขาด แต่ว่าตอนนี้มีคนจะแต่งงาน ข้าไม่มีอะไรเตรียมไว้ล่วงหน้า ทั้งเห็นว่าเป็นของที่มีความหมายดี ถึงได้ยอมหลับหูหลับตาซื้อไว้ หากพวกท่านเรียกราคาสูงเกินไป ข้าจะลองไปซื้อร้านอื่นก็ได้”
หลงจู๊พูดอย่างลำบากใจ “ฮูหยิน มิใช่ข้าไม่ขายให้ท่าน แต่ราคาที่ท่านให้ต่ำเกินไปจริงๆ”
สะใภ้ใหญ่โจวลุกขึ้น “เช่นนั้นข้าคงต้องไปหาดูร้านอื่นแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลุกขึ้นตาม
หลงจู๊ลนลานเข้าไปขวางพวกนางไว้ “ฮูหยิน อย่าเพิ่งใจร้อน พวกเราเจรจากันก่อนเถิด”
สะใภ้ใหญ่โจวนั่งลงอีกครั้ง “ความจริงเครื่องประดับของร้านพวกท่านล้วนพอๆ กัน ที่ข้าเข้ามาซื้อร้านพวกท่าน เพราะสาวน้อยนางนี้บอกว่าเครื่องประดับของพวกท่านเนื้องานดี ราคามิตรภาพ ข้าถึงได้เข้ามา ตอนนี้ท่านให้ราคาเดิมไม่ยอมเปลี่ยน ดูท่าข้าจะมาเสียเที่ยวแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวช่วยใส่เชื้อไฟ “นั่นสิ หลงจู๊ ข้าอุตส่าห์โน้มน้าวจนฮูหยินท่านนี้ยอมเข้ามา หากครั้งนี้พวกท่านตกลงกันไม่ได้ ต่อไปข้าจะไม่แนะนำลูกค้ามาให้พวกท่านอีกแล้ว”
หลงจู๊ได้ฟังกัดฟันพูดว่า “ฮูหยิน ข้าให้ท่านขาดตัว หนึ่งพันห้าร้อยตำลึง หากท่านเห็นว่าเหมาะสม ท่านก็ซื้อ หากไม่เหมาะสม ข้าก็ไม่มีทางเลือกแล้ว”
สะใภ้ใหญ่โจวเห็นหลงจู๊พูดถึงขั้นนี้ รู้ว่านี่เป็นราคาต่ำสุดของเขา ให้น้อยกว่านี้ไม่ได้แล้ว พยักหน้าพูดว่า “ก็ได้ เอาตามที่ท่านว่า หนึ่งพันห้าร้อยตำลึง พวกท่านห่อให้ดี ให้มีความเป็นสิริมงคล”
หลงจู๊ถอนใจโล่งอก หันไปเรียกพนักงาน “ไป รีบไปทำตามที่ฮูหยินท่านนี้กำชับ”
พนักงานถือกล่องเข้าไปในโต๊ะคิดเงิน
เมิ่งเชี่ยนโยวล้วงตั๋วเงินออกมาจากอก นับได้หนึ่งพันห้าร้อยตำลึงมอบให้หลงจู๊
หลงจู๊นับอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง ตรงตามจำนวนพอดี
พนักงานห่อกล่องเรียบร้อย นำมามอบให้ตรงหน้าสะใภ้ใหญ่โจวอย่างพินอบพิเทา
สะใภ้ใหญ่โจวรับมา พูดว่า “พวกท่านนับได้ว่าทำการค้ามีความจริงใจ ภายหน้าหากข้ายังต้องการสิ่งใด จะต้องมาซื้ออีก”
หลงจู๊รีบกล่าวขอบคุณ
สะใภ้ใหญ่โจวลุกขึ้นเดินออกไป เมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามหลัง
หลงจู๊ออกมาส่งพวกเขานอกประตูอย่างยิ้มแย้ม มองพวกเขานั่งรถม้าจากไปไกล ถึงทำหน้ายินดีเจือความทุกข์ตรมกลับเข้าไปในร้าน
ภายในห้องโดยสาร เมิ่งเชี่ยนโยวยกนิ้วหัวแม่มือชูให้สะใภ้ใหญ่โจว “ฮูหยิน ท่านเยี่ยมยอดไปเลย พริบตาเดียวก็ประหยัดไปได้ถึงห้าร้อยตำลึง”
สะใภ้ใหญ่โจวผ่อนคลายอารมณ์ลง ยิ้มพูด “ตอนอยู่ในเมืองหลวง มีโอกาสได้ติดตามท่านผู้หญิงชั้นสูงไปเดินชมร้านเครื่องประดับ ครูพักลักจำมาบ้าง ไม่คิดว่าวันนี้จะได้เอามาใช้จริง”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มพูด “ท่วงท่าเมื่อครู่ของท่านน่าเกรงขามมาก คิดว่าเพราะหลงจู๊เห็นท่านน่าเกรงขามเช่นนี้ ถึงยอมลดราคาให้ หากเป็นพวกท่านแม่ข้าเข้ามา คาดว่าให้ตายหลงจู๊ก็ไม่มีทางขายราคานี้ให้พวกเรา”
สะใภ้ใหญ่โจวยิ้มสรวล “เมื่อก่อนตอนอยู่ในเมืองหลวง ออกจากบ้านทีจะต้องวางมาดผึ่งผาย ไม่เช่นนั้นจะถูกคนวิพากษ์ได้ ตั้งแต่มาอยู่ชนบท รู้สึกว่าชีวิตเช่นนี้ถึงจะสุขสบายอย่างแท้จริง ข้าอิจฉาพวกมารดาของเจ้านัก มีชีวิตที่ไม่ต้องถูกตีกรอบ เรียบง่ายไร้กฎเกณฑ์”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “หากท่านเห็นตอนที่พวกเราท้องไม่อิ่ม ท่านคงจะไม่คิดเช่นนี้แล้ว”
ทั้งสองเสวนากันอีกเล็กน้อย เมิ่งเชี่ยนโยวถึงสั่งเหวินเปียวหาที่กินข้าวค่อยกลับไป
สะใภ้ใหญ่โจวยับยั้งนาง “ซื้ออะไรง่ายๆ มากินบนรถม้าก็ได้แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ยินยอม “ท่านช่วยข้ามากเช่นนี้ จะซื้ออะไรง่ายๆ มานั่งกินบนรถม้าได้อย่างไร หากท่านไม่อยากไปภัตตาคาร พวกเราหาร้านเล็กๆ กินกันก็ได้”
สะใภ้ใหญ่โจวปฏิเสธไม่สำเร็จ จำต้องยอมตกลง
เหวินเปียวบังคับรถม้ามาตามถนนช้าๆ เห็นร้านแผงลอยเล็กๆ ถามขึ้น “แม่นาง ข้างทางมีร้านหนึ่ง ท่านว่าพอได้หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ทันพูด สะใภ้ใหญ่โจวก็พูดขึ้น “ได้ๆ ข้าไม่เคยกินอาหารข้างทางมาก่อน อยากลองดูเสียบ้าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านไม่ต้องลองแล้ว คนไปมาพลุกพล่าน เกรงว่าท่านจะกินไม่ลงเสียเปล่า”
สะใภ้ใหญ่โจวโบกมือ “ต่อไปยังต้องพำนักในชนบทระยะยาว อย่างไรก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตเช่นนี้”
เห็นนางยืนกราน เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเหวินเปียวให้จอดรถม้า
ทั้งสองลงมาจากรถม้า เดินมาหน้าร้านแผงลอย หาโต๊ะว่างนั่งลง
เจ้าของแผงรีบเข้ามาถามไถ่ “ทั้งสองท่านจะรับอะไรดีขอรับ?”
“ร้านพวกท่านมีอะไรบ้าง?” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
เจ้าของแผงตอบกลับ “หลักๆ เลยก็มีบะหมี่และอาหารทานเล่นสองสามอย่าง ข้าวสวยก็มีขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามสะใภ้ใหญ่โจว “ฮูหยิน ท่านอยากกินอะไร?”
สะใภ้ใหญ่โจวพูดว่า “บะหมี่สักชามก็แล้วกัน”
“ขอบะหมี่สองชาม และอาหารทานเล่นอีกนิดหน่อย” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
“ได้ขอรับ” เจ้าของแผงรับคำ หันหลังไปทำบะหมี่
เมิ่งเชี่ยนโยวเอียงศีรษะหันไปพูดกับเหวินเปียวและเหวินหู่ “เจ้าสองคนอยากกินอะไร สั่งตามสบาย สลับกันคอยเฝ้ารถม้าก็พอ”
ทั้งสองรับคำ
ไม่นานเจ้าของแผงก็ยกบะหมี่เข้ามา
สะใภ้ใหญ่โจวหยิบตะเกียบคีบเข้าปาก ร้องอุทาน “อืม อร่อย!”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็กินตามหนึ่งคำ รู้สึกว่าไม่เลวทีเดียว
ทั้งสองไม่พูดคุยกันอีก คีบอาหารทานเล่นกินกับบะหมี่อย่างสบายอารมณ์
มีชายฉกรรจ์สองคนเข้ามานั่งข้างๆ โต๊ะถัดไป หลังจากสั่งอาหารเสร็จ ทั้งสองก็คุยไปรอไป
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งพูดว่า “พวกเรามาที่ตำบลชิงซีนานขนาดนี้แล้ว กลับยังไม่เจอเบาะแสใดเลย หรือข่าวกรองที่เราได้รับจะผิดพลาด”
ชายฉกรรจ์อีกคนก็พูดว่า “ไม่น่าจะใช่ นายท่านบอกว่านี่เป็นภาพวาดจากสายที่เขาแฝงตัวไว้ในสถาบันการเงิน ไม่มีทางผิดพลาดได้”
“แต่เราแทบจะพลิกแผ่นดินฝั่งตะวันตกของเมืองชิงซีค้นหาแล้ว ก็ยังหาไม่พบ เราจะกลับไปตอบนายท่านอย่างไร?”
ได้ยินทั้งสองคนคุยกัน เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักมือเล็กน้อย แล้วแสร้งกินต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อีกคนหนึ่งพูดขึ้นต่อ “นายท่านให้เวลาพวกเราเพียงสองเดือน บอกว่าไม่ว่าจะหาเจอหรือไม่ ก็จะต้องกลับเมืองหลวงไปรายงาน ตอนนี้เวลาก็งวดเข้ามาทุกทีแล้ว”
อีกคนหนึ่งพูดว่า “มิได้มีเพียงพวกเราที่หาไม่เจอเสียเมื่อไหร่ ก่อนหน้านี้ข้าพบชายสองคนจากจวนท่านอ๋องฉีถือภาพวาดถามไถ่ไปทั่ว โชคดีที่ข้าสังเกตเห็นก่อน หลบเลี่ยงพวกเขา ไม่เช่นนั้นคงถูกพวกเขาพบเข้า ทว่า นับตั้งแต่นั้นก็ไม่เห็นพวกเขาอีกเลย ไม่รู้ว่ากลับเมืองหลวงไปแล้วหรือไม่”
ทั้งสองพูดถึงตรงนี้ เจ้าของแผงก็ยกอาหารที่พวกเขาต้องการเข้ามา ทั้งสองหยุดปาก เริ่มลงมือกินบะหมี่
ไม่นานสะใภ้ใหญ่โจวก็กินบะหมี่ในชามหมด ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปากแล้วพูดว่า “ไม่คิดเลยว่าบะหมี่ของร้านแผงลอยจะอร่อยเช่นนี้”
ชายฉกรรจ์ที่อยู่ข้างๆ ได้ยินนางพูดด้วยสำเนียงเมืองหลวง มองนางอย่างประหลาดใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวก็วางตะเกียบในมือลง พูดว่า “ข้าก็ไม่คิดว่าจะอร่อยถึงเพียงนี้ เอาไว้คราวหน้าเข้ามาในเมืองอีก จะไม่ไปภัตตาคารแล้ว มากินที่ร้านนี้ดีกว่า”
เหวินเปียวและเหวินหู่กินอิ่มนานแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวชำระเงินเสร็จก็พากันขึ้นไปนั่งบนรถม้า เหวินเปียวบังคับรถม้าจากไปอย่างเชื่องช้า
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งย่นหัวคิ้วมองรถม้าจากไป
ชายฉกรรจ์อีกคนถามขึ้น “เป็นอะไร? พวกนางมีอะไรผิดปกติอย่างนั้นหรือ?”
ชายฉกรรจ์ยังคงมุ่นหัวคิ้วพูด “วันนั้นข้าคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเห็นชายสองคนนั้นจากจวนท่านอ๋องฉีทำลับๆ ล่อๆ ตามหลังรถม้าคันนั้น มุ่งหน้าไปทางฝั่งตะวันตก”
ชายฉกรรจ์อีกคนถามขึ้น “พวกเขาตามรถม้าไปทำไม หรือพบเบาะแสบางอย่างเข้า?”
ชายฉกรรจ์ส่ายหน้า “หารู้ไม่”
ชายฉกรรจ์อีกคนถามขึ้นอีก “เช่นนั้นพวกเราก็ควรจะตามพวกเขาไปด้วยหรือไม่?”
ชายฉกรรจ์มองตามรถม้าที่เคลื่อนไกลออกไปพูดว่า “ช่างเถอะ พวกนางมิใช่คนที่พวกเราจะตามหา พวกเราอย่าเปลืองแรงดีกว่า รีบทำเวลาหาคนที่นายท่านต้องการเถอะ”
ชายฉกรรจ์อีกคนพยักหน้า
หลังจากกินอาหารชำระเงินเรียบร้อย ทั้งสองก็ถือภาพวาดมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้เลยว่าครั้งนี้ตัวเองเกือบจะถูกสะกดรอยตามอีกครั้ง ยังคงพูดคุยสรวลเสเฮฮากับสะใภ้ใหญ่โจวในรถโดยสาร
รถม้าวิ่งช้า กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็บ่ายคล้อยแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ให้สะใภ้ใหญ่โจวไปโรงเย็บกระเป๋านักเรียนอีก แต่ให้นางกลับไปพักผ่อนแทน
นั่งรถม้าไปกลับเป็นเวลาสามชั่วยามกว่า สะใภ้ใหญ่โจวก็รู้สึกเหนื่อยล้าไม่น้อย จึงไม่ปฏิเสธ กลับไปพักผ่อนที่บ้าน
ตอนกลางคืนเมิ่งชื่อกลับมาบ้าน เห็นสิ่งของที่ซื้อมาบนโต๊ะก็ร้องอุทาน “คนในเมืองหลวงสายตาแหลมคมยิ่งนัก แค่เห็นก็ดูล้ำค่ามีราคา”
เมิ่งเชี่ยนโยวลอบพูด หากรู้ว่านางใช้จ่ายเงินไปเท่าใด เกรงว่าท่านจะดีใจไม่ออกแล้ว
เป็นดังคาด นางเพิ่งจะพูดไม่ทันขาดคำ เมิ่งชื่อก็ถามขึ้น “กำไลงดงามเช่นนี้ จักต้องจ่ายเงินไปไม่น้อยสินะ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกำกวม “ไม่แพง”
เมิ่งชื่อยิ้มถาม “ไม่แพงคือเท่าใด?”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่กล้าพูดความจริง ยื่นมือออกไปชูห้านิ้ว “ห้าร้อยตำลึง”
เมิ่งชื่อร้องอุทาน “ห้าร้อยตำลึง!”
เห็นปฏิกิริยาของนาง เมิ่งเชี่ยนโยวแอบลอบดีใจที่ตัวเองไม่ได้พูดความจริง หากเมิ่งชื่อรู้ว่ากำไลนี้ต้องจ่ายเงินไปหนึ่งพันห้าร้อยตำลึง คาดว่าตกค่ำจักต้องเจ็บปวดใจจนหลับไม่ลงเป็นแน่แท้
แค่นี้เมิ่งชื่อก็ปวดใจมากแล้ว ตำหนิที่นางใช้จ่ายเงินมากเกินไป
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ท่านแม่ ตอนที่เจี๋ยเอ๋อร์หายตัวไป โชคดีที่ได้คุณชายเปา ข้าถึงช่วยเขากลับมาได้อย่างปลอดภัย บุญคุณนี้ข้าระลึกถึงอยู่เสมอ อีกอย่าง คุณหนูซุนก็ดีต่อข้ามาก ข้ามองขอบขวัญที่มีมูลค่าให้ก็สมควรแล้ว”
ได้ฟังนางเอ่ยถึงตอนที่เจี๋ยเอ๋อร์หายตัวไป เมิ่งชื่อก็ไม่บ่นกระปอดกระแปดอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวลอบถอนใจโล่งอก
ผ่านไปอีกหนึ่งวัน ร่างกายเมิ่งเชี่ยนโยวกระฉับกระเฉงขึ้นมาก จึงบอกกับเมิ่งชื่อว่าตนเองจะล่วงหน้าเข้าอำเภอไปก่อนหนึ่งวัน
เมิ่งชื่อเริ่มเป็นห่วง จะให้เมิ่งเสียนตามไปด้วยให้ได้ เมิ่งเชี่ยนโยวก็คิดจะส่งสินค้าบางส่วนไปให้อันอี่หยวน จึงยินยอมตกลง บอกเมิ่งชื่อว่าเมื่อเสร็จงานแต่งงานของพวกเขา นางและเมิ่งเสียนจะรีบกลับมาทันที
เมิ่งชื่อทำราวกับว่าทั้งสองคนจะเดินทางไกลเป็นแรมปี กำชับย้ำแล้วย้ำอีก
หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียนรับปากทุกข้อแล้ว ก็ให้เหวินเปียวและเหวินหู่บังคับรถม้าไปบรรทุกมันฝรั่งแผ่นหนึ่งพันห่อที่โรงงาน แล้วนั่งรถม้าเข้ามาถึงตัวอำเภอพร้อมเมิ่งเสียน
ถึงอำเภอแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้ว่าร้านของอันอี่หยวนอยู่ที่ไหน จึงสั่งเหวินเปียวให้บังคับรถม้ามาหน้าร้านเซี่ยเจียงเฟิง
เหวินเปียวจอดรถม้าสนิท เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียนลงจากรถม้า แล้วเดินเข้าไปในร้าน
พนักงานในร้านเห็นนางเข้ามา รีบเข้ามาทักทายต้อนรับ “แม่นาง ท่านมาแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าถาม “นายท่านของพวกเจ้าเล่า?”
พนักงานตอบอย่างอ่อนน้อม “คุณชายเปาจะแต่งงานแล้ว นายท่านของพวกเราเข้าไปช่วยงาน หากแม่นางมีธุระ ผู้น้อยจะรีบไปรายงานนายท่านให้เดี๋ยวนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่ต้องแล้ว ข้าตรงไปเองดีกว่า”
พนักงานเดินพินอบพิเทาออกมาส่งนางนอกร้าน
เหวินเปียวและเหวินหู่บังคับรถม้ามาถึงหน้าศาลาว่าการ
ประตูใหญ่หน้าศาลาว่าการถูกประดับประดาไปด้วยโคมแดงมงคล เจ้าหน้าที่และบ่าวไพร่กำลังขัดเช็ดสิงโตหินหน้าประตูศาลาว่าการอย่างขะมักขะเม้น
เจ้าหน้าที่นายหนึ่งจำเมิ่งเชี่ยนโยวที่เพิ่งจะลงมาจากรถม้าได้ เดินมาเบื้องหน้านางอย่างเร็วรี่ พูดอย่างอ่อนน้อม “แม่นางเมิ่ง ท่านมาแล้ว นายท่านของพวกเราสั่งการพวกเราแต่เช้า บอกว่าพอท่านมาถึงไม่ต้องรายงาน ให้พาเข้าไปที่เรือนด้านหลังได้ทันที”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า สั่งการเหวินเปียวและเหวินหู่ให้เฝ้ารถม้าให้ดี ถึงเดินตามเจ้าหน้าที่เข้าไปเรือนด้านหลัง ภายในลานเรือนมีแต่เงาของบ่าวไพร่เดินขวักไขว่ไปมา
เรือนด้านหลังของศาลาว่าการมีขนาดไม่ใหญ่มาก มีเพียงเรือนหลักหนึ่งแห่งและเรือนรองสองแห่ง ในตอนนี้ถูกประดับด้วยโคมแดงจนทั่ว เป็นภาพมงคลที่เต็มไปด้วยความปิติยินดี เจ้าหน้าที่ยืนในลานบ้าน เปล่งเสียงดังกล่าวรายงานเข้าไปด้านใน “คุณชายขอรับ แม่นางเมิ่งมาแล้วขอรับ!”
ตอนที่ 204 ฮูหยินเปา
ได้ยินเจ้าหน้าที่รายงาน เปาอีฝานเดินออกมาจากตัวเรือน พูดอย่างยินดี “ข้าคิดว่าโมงยามนี้เจ้าน่าจะมาถึงแล้ว กำลังเตรียมจะไปรับเจ้าด้านหน้าพอดี”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดสัพยอกเขา “ท่านเป็นเจ้าบ่าว ข้ามิกล้าให้ท่านต้องลำบากหรอก”
เปาอีฝานหัวเราะ
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาหัวเราะแกนๆ เริ่มรู้สึกประหลาดใจ
เซี่ยเจียงเฟิง จูหลาน อันอี่หยวนก็เดินตามออกมา ต่างทักทายนางอย่างเบิกบาน
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับทีละคน แล้วพูดกับอันอี่หยวนว่า “คุณชายอัน ครั้งนี้ข้าบรรทุกมันฝรั่งแผ่นหนึ่งพันห่อติดมาให้ท่านด้วย อยู่บนรถม้าด้านนอก…”
ยังพูดไม่ทันจบ อันอี่หยวนก็เปล่งเสียงร้องดีใจออกมา “ดีเหลือเกิน ข้ารอมาหลายเดือนแล้ว ในที่สุดเจ้าก็ผลิตมันฝรั่งแผ่นสำเร็จแล้ว รีบไป พวกเราออกไปดูเถิด”
พูดจบ ก็จะพาเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกไปด้านนอก
เซี่ยเจียงเฟิงยับยั้งเขา “อี่หยวน แม่นางเมิ่งเพิ่งมาถึง ควรเข้าไปกล่าวทักทายท่านป้าเปาก่อน”
อันอี่หยวนตบหน้าผากตัวเอง ร้องพูดไม่หยุด “ใช่ๆๆ ดูข้าเถิด พอดีใจก็ลืมเรื่องสำคัญไปเสียสนิท”
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาอำเภอหลายครั้งแล้ว กลับยังไม่เคยได้พบมารดาของเปาอีฝาน ครั้งนี้ในเมื่อเข้ามาถึงเรือนด้านหลังแล้ว ไม่เข้าไปเยี่ยมเยียนจะเป็นการเสียมารยาทเป็นอย่างมาก ไม่คิดว่าเปาอีฝานกลับโบกไม้โบกมือ “ก่อนหน้านี้มารดาข้าเป็นไข้ลม เอาแต่นอนลุกไม่ขึ้น ช่วงเวลานี้ จึงไม่พบใครทั้งนั้น แม่นางเมิ่งไม่จำเป็นต้องเข้าไปแล้ว มารดาข้าไม่ตำหนิว่าเจ้าไร้มารยาทหรอก”
อันอี่หยวนถามอย่างประหลาดใจ “ผ่านมาเดือนกว่าแล้ว อาการไข้ของท่านป้ายังไม่หายดีหรือ?”
เปาอีฝานส่ายหน้า “ยังไม่หาย กลับยิ่งรุนแรงกว่าเดิม หลายวันก่อนยังลงจากเตียงได้ สองวันนี้แค่ขยับยังไม่ยินยอมแล้ว วันๆ เอาแต่นอนอยู่บนเตียง ร่างกายซูบผอมจนดูไม่ได้ ข้าสงสัยมาตลอดว่านางจะป่วยเป็นโรคร้ายแรง แต่หมอทั้งอำเภอชิงเหอล้วนเข้ามาตรวจแล้ว ต่างก็บอกว่านางเป็นไข้ธรรมดา ยาก็กินไม่รู้กี่ขนานแล้ว แต่ก็ไม่ดีขึ้น”
เซี่ยเจียงเฟิงพลันเข้าใจ “เพราะเหตุนี้หรือเปล่าเจ้าถึงได้จัดงานแต่งงานอย่างกะทันหัน”
เปาอีฝานพยักหน้า “มารดาข้ารู้สึกว่าร่างกายตัวเองแย่ลงทุกวัน ร้องขอให้ข้ารีบแต่งงาน หลังจากถามความเห็นฮุ่ยเอ๋อร์แล้ว จึงกำหนดวันแต่งงาน เดิมคิดว่าพอท่านแม่ได้ยินข่าวดีนี้จะดีขึ้น แต่ไม่คิดว่าอาการป่วยจะยิ่งทรุดลงกว่าเดิม ถึงกับลงจากเตียงไม่ได้แล้ว”
คนทั้งหมดได้ฟังก็ให้กลัดกลุ้มหัวใจ พลันพูดอะไรไม่ออก
ครู่ใหญ่เปาอีฝานถึงหันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “ข้าเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว อีกประเดี๋ยวจะให้บ่าวพาเจ้าไปหาฮุ่ยเอ๋อร์ เจ้าอยู่กับนางหนึ่งคืน พรุ่งนี้ให้มาพร้อมกับขบวนรับเจ้าสาวก็พอ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
อันอี่หยวนไม่เหลืออาการตื่นเต้นดีใจแล้ว พูดว่า “เจ้าไม่ต้องให้บ่าวไปส่งแล้ว ประเดี๋ยวพอข้านำมันฝรั่งแผ่นไปส่งที่ร้านพร้อมแม่นางเมิ่ง จะพานางไปส่งที่บ้านแม่นางซุนเอง”
เปาอีฝานพยักหน้า “ก็ดี เจ้าต้องให้เห็นกับตาตัวเองว่าฮุ่ยเอ๋อร์มารับแม่นางเมิ่งเข้าไปด้วยตัวเองถึงจะกลับมาได้”
อันอี่หยวนรับคำ “ข้ารู้แล้ว วางใจเถอะ”
พูดจบ หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่ง พวกเราไปเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวย่อมทำตามที่พวกเขาจัดเตรียม กล่าวลาทุกคน แล้วออกไปพร้อมเมิ่งเสียนและอันอี่หยวน
เพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าว “อ๊ะ” พลันมีเสียงร้องแปดร้องของจูหลานดังลอยมา “ช้าก่อน!”
ทั้งสามคนหยุดชะงัก หันกลับมาอย่างกังขา มองเขาอย่างข้องใจ
จูหลานยังคงใช้เสียงแปดหลอดเจือด้วยแววตื่นเต้นยินดี หันไปพูดกับเปาอีฝานว่า “เจ้าลืมไปแล้วหรือ แม่นางเมิ่งรู้วิชาการแพทย์ ไม่เช่นนั้นลองให้นางดูอาการให้ท่านป้าเปาเป็นอย่างไร”
เปาอีฝานถึงนึกขึ้นได้ มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างคาดหวัง
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ข้ารู้วิชาการแพทย์ที่ไหนกัน อย่างอาการป่วยไข้ของท่านป้า ข้าเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสั่งยาให้ถูกโรค”
จูหลานคนไร้สมองกลับพูดว่า “เจ้าจะกลัวอะไร เจ้าก็ถือเสียว่าเห็นม้าตายรักษาดุจม้าเป็น[1]อย่างไรเล่า”
เซี่ยเจียงเฟิงส่งเสียงกระแอม
จูหลานถึงรู้สึกว่าตนเองพูดไม่เหมาะสม ลนลานอธิบาย “ข้าหมายความว่า อาการป่วยของท่านป้าเป็นถึงขั้นนี้แล้ว หากเจ้ารักษาหายได้ พวกเราก็จะได้ยินดีกันถ้วนหน้า หากเจ้ารักษาไม่ได้ ก็ไม่มีใครโทษเจ้า” พูดจบ หันไปถามเปาอีฝานอย่างปะเหลาะเอาใจ “ใช่หรือไม่?”
เปาอีฝานทั้งโมโหทั้งขบขัน มองเขาแวบหนึ่งแล้วพยักหน้า
จูหลานเห็นเขาไม่โกรธเกรี้ยว ปาดเหงื่อที่ผุดซึมออกมากลางหน้าผาก แอบลอบถอนใจเบาๆ ในใจคิด โชคดีที่ท่านป้าเปาไม่สบาย เปาอีฝานไม่มีเวลามาเอาเรื่องเขา ไม่เช่นนั้นจากการพูดของตนเองเมื่อครู่ จะต้องถูกเปาอีฝานอัดจนเดินไม่ได้ไปสามวันเป็นแน่แท้
ทั้งสี่คนมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างรอคอย
เมื่อพูดมาถึงขั้นนี้แล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่อาจบอกปัดได้อีก จำต้องพยักหน้าตกลง
คนทั้งหมดตามเปาอีฝานมาถึงเรือนด้านหลัง
สาวใช้หน้าประตูเห็นพวกเขา แสดงความคำนับเปาอีฝาน “คุณชาย”
เปาอีฝานถามนาง “วันนี้ท่านแม่ดีขึ้นหรือไม่?”
“ฮูหยินเพิ่งจะกินยาเข้าไป กำลังจะพักผ่อนเจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบ
เปาอีฝานกำชับนาง “เจ้าเข้าไปเรียนว่า แม่นางเมิ่งและคุณชายสหายข้ามาเยี่ยมนาง”
สาวใช้รับคำ กำลังจะเข้าไปรายงาน เสียงอ่อนแรงหนึ่งก็ดังลอยมา “ฝานเอ๋อร์รึ? เข้ามาทั้งหมดเถอะ”
สาวใช้เปิดบานประตู เปาอีฝานนำหน้าเดินเข้าไปในห้อง
พอเข้ามาในห้อง กลิ่นฉุนรุนแรงของยาปะทะเข้าโพรงจมูกทุกคน จูหลานทนไม่ได้กระแอมไปสองครั้ง
อันอี่หยวนถลึงตาใส่เขา จูหลานรีบปิดปากตัวเองแน่น
ฮูหยินเปาได้ยินเสียงกระแอมของจูหลาน ยิ้มพูดอย่างอ่อนแรง “ทำพวกเจ้าสำลักแล้ว ป้ากำชับฝานเอ๋อร์แล้วว่าอย่าพาพวกเจ้าเข้ามา เดี๋ยวจะติดโรคจากป้าไป”
เซี่ยเจียงเฟิงอยู่ใกล้เปาอีฝานที่สุด เห็นสภาพของฮูหยินเปา ก็ให้ตกใจ ร้อนรนถาม “ท่านป้า เหตุใดท่านถึงกลายเป็นเช่นนี้?”
อันอี่หยวนและจูหลานได้ฟังเข้ามาดู ก็ให้ตกอกตกใจ
ฮูหยินเปายิ้มสรวลอย่างอ่อนแรง “หลังจากป้าป่วยเป็นไข้ลมนี้ ก็กินอะไรไม่ลง ค่อยๆ กลายมามีสภาพเช่นนี้ ไม่ทำพวกเจ้าตกใจหรอกนะ”
ทั้งสามโบกมือพลัน “ไม่เลยๆ”
ฮูหยินเปายิ้มสรวล แสดงท่าทีให้ทุกคนนั่งลง
เปาอีฝานพูดขึ้น “ท่านแม่ แม่นางเมิ่งมาร่วมงานแต่งของพวกเรา นางพอจะรู้วิชาการแพทย์ ให้นางช่วยดูอาการท่านเถิด”
ฮูหยินเปาฝืนยกมือกวัดแกว่ง “ไม่ต้องดูแล้ว ร่างกายของข้า ข้ามีหรือจะไม่รู้ ทนไปได้ถึงพรุ่งนี้ก็นับว่าดีแล้ว”
เปาอีฝานเริ่มกระวนกระวาย “ท่านแม่ ให้แม่นางเมิ่งลองตรวจดูหน่อยเถิด”
ฮูหยินเปาโบกมือเอื่อยสองครั้ง “ตรวจไปก็แค่กินยาเพิ่มเท่านั้น แม่ไม่อยากต้องทนทุกข์ทรมานอีกแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมาจากด้านหลังพวกเขา ยกยิ้มพูด “ฮูหยินยังอ่อนเยาว์เช่นนี้ ไม่คิดจะอยู่อุ้มหลานแล้วหรือ?”
ฮูหยินเปามักจะได้ยินเปาอีฝานและซุนฮุ่ยเอ่ยถึงเมิ่งเชี่ยนโยว กลับไม่เคยได้พบนางสักครั้ง ตอนนี้ได้ยินเสียงนาง พินิจมองดู เห็นนางมีใบหน้าหมดจด รูปหน้ากระจุ๋มกระจิ๋ม ดวงตากลมโตฉายแววสดใสและฉลาดเฉลียว นึกยินดีในใจ หายใจผ่อนยาวหลายครั้ง แล้วยิ้มพูด “มักจะได้ยินฝานเอ๋อร์และฮุ่ยเอ๋อร์เอ่ยถึงบ่อยๆ บอกว่าเจ้าเป็นเด็กสาวที่ใครเห็นก็ต้องชมชอบ วันนี้ได้พบ เป็นเช่นนั้นจริงๆ หากไม่เพราะข้ามีโรครุมเร้า ข้าอยากจะคุยกับเจ้าให้หนำใจนัก”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูฮูหยินเปาที่แม้จะซูบผอมกลับไม่ลดทอนความงดงามสง่า ยิ้มพูด “ฮูหยินชมเกินไปแล้ว ข้าเป็นเพียงเด็กสาวบ้านนอก ไม่รู้จักขนบธรรมเนียม ฮูหยินไม่ตำหนิโทษข้าก็ดีถมไปแล้ว”
ได้ยินวาจานาง ฮูหยินเปายิ่งทวีความชมชอบ “ในสายตาข้า พวกเจ้าล้วนเป็นเด็กน้อย ขนบธรรมเนียมอะไรพวกนั้น หาได้สำคัญไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวฉวยโอกาสนี้นั่งลงบนเก้าอี้เตี้ยข้างเตียง ยื่นมือออกไป “ในเมื่อฮูหยินชมชอบข้าเช่นนี้ เช่นนั้นก็ยื่นมือออกมาให้ข้าจับชีพจรหน่อยเถิด แม้วิชาการแพทย์ข้าจะไม่ได้ดีมาก แต่โรคภัยทั่วไปก็ยังพอมีความมั่นใจบ้าง”
ฮูหยินเปายิ้มแล้วยื่นมือออกมา วางไว้เบื้องหน้านาง ยกยิ้มพูด “ฮุ่ยเอ๋อร์บอกข้ามาตลอดว่า เจ้าเป็นเด็กสาวฉลาดมีไหวพริบ เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพียงไม่กี่คำก็ทำข้าหวั่นไหวแล้ว”
พูดจบ คงเพราะเหนื่อยล้า หายใจหอบลึกยาวหนึ่งเฮือก
เมิ่งเชี่ยนโยววางมือนางให้ดี กดนิ้วมือไปบนชีพจรนาง จับชีพจรอย่างละเอียด จากนั้นให้ฮูหยินเปาเปลี่ยนมืออีกข้าง ขั้นตอนทั้งหมดนี้ นอกจากเสียงหายใจแรงของฮูหยินเปาแล้ว ภายในห้องไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจให้ได้ยิน ทุกคนต่างกลั้นหายใจจ้องมองนาง
จับชีพจรเสร็จ สีหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย วางมือของฮูหยินเปาไว้ข้างลำตัวใต้ผ้าห่มอย่างแผ่วเบา จากนั้นถึงหันมาพูดกับเปาอีฝาน “ช่วงนี้ฮูหยินรับประทานยาอะไร เอามาให้ข้าดูหน่อยเถิด”
เปาอีฝานสั่งสาวใช้ให้ไปนำยามา
เมิ่งเชี่ยนโยวคลี่ห่อยาออก ตรวจดูอย่างละเอียด แล้วพูดว่า “กากยาในวันนี้เล่า ขอข้าดูหน่อย”
เปาอีฝานสั่งสาวใช้ให้ไปเอามา
สาวใช้ไม่ขยับ ตอบว่า “คุณชาย กากยาในวันนี้เทใส่ถังปฏิกูล มีคนมายกไปแล้วเจ้าค่ะ”
อาหารกินเหลือ น้ำล้างถ้วยชามสกปรกในบ้าน จะถูกเททิ้งใส่ถัง ทุกวันจะมีคนประจำมารับไป กากยาย่อมต้องถูกเทลงไปด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังขมวดคิ้วมุ่น ถามอย่างสงสัย “นี่ยังเป็นช่วงเช้า พวกเจ้าเทกากยาใส่ถังปฏิกูลแล้ว?”
สาวใช้ตอบ “ปกติกากยาจะเทใส่ถังในวันถัดไป วันนี้ฮูหยินบอกว่าอาจจะมีแขกเข้ามาเร็วขึ้น กลัวพอต้มยาแล้วกลิ่นยาจะลอยคลุ้งเต็มเรือน แขกเหรื่อดมแล้วจะไม่สบายตัว จึงให้พวกเราต้มยาก่อนเวลานำมาดื่มหมดไปแล้วเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
เปาอีฝานเห็นนางให้ความสนใจกากยาเช่นนี้ เกิดความสงสัยถามขึ้น “มีอะไร? ยามีปัญหาหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ไม่มีอะไร ท่านคิดมากไปแล้ว เป็นเพียงความเคยชินของข้า พอดูห่อยาแล้วจะต้องตรวจดูกากยาด้วย ดูว่ามีตรงไหนผิดปกติหรือไม่”
เปาอีฝานโล่งใจลง
ฮูหยินเปาพูดอย่างอ่อนแรง “ไม่คิดว่าแม่นางเมิ่งอายุเพียงเท่านี้ จะละเอียดลออถึงขั้นนี้” พูดจบก็หายใจหอบอีกหลายครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นสีหน้าอ่อนล้าของนาง พูดเตือน “ฮูหยินนั่งนานเช่นนี้ คงจะเหนื่อยแล้ว เอนกายพักสักครู่เถอะ”
ฮูหยินเปาโบกมือ “ให้ข้านั่งเป็นเพื่อนพวกเจ้าอีกหน่อยเถอะ ต่อไปเกรงว่าจะไม่มีโอกาสนี้แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “อาการป่วยของฮูหยินไม่ใช่โรคร้ายแรง เป็นไข้ลมจริงๆ ข้าจะออกยาให้สองสามเทียบ พูดไม่ได้ว่ากินปุ๊ปหายปั๊ป แต่ภายในเวลาไม่นานจะช่วยฟื้นฟูร่างกายได้แปดถึงเก้าส่วน หลังจากบำรุงร่างกายสักระยะหนึ่ง ร่างกายก็จะฟื้นคืนดังเดิม”
ฮูหยินเปาปิติยินดี ถามอย่างไม่เชื่อ “ที่เจ้าพูดเป็นความจริง?”
เปาอีฝานและคนอื่นๆ ก็ดีใจยกใหญ่ ต่างมองตรงมาที่นาง
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ฮูหยินนอนพักก่อนเถอะ ข้าจะไปเขียนใบสั่งยา ให้คนไปจัดยา หลังจากกินแล้ว ฮูหยินจะต้องดีขึ้น”
ฮูหยินเปาได้ฟัง ร่างกายก็มีเรี่ยวมีแรงขึ้น สั่งการสาวใช้ “เร็วๆๆ รีบไปเอากระดาษพู่กันมา”
สาวใช้รับคำแล้วออกไป
“ช้าก่อน” เมิ่งเชี่ยนโยวร้องทักนาง หันไปพูดกับฮูหยินเปา “ยาของข้าค่อนข้างแรง ฮูหยินนอนพักก่อนเถิด เลี่ยงไม่ให้อีกประเดี๋ยวท่านทนรับไม่ไหว”
ฮูหยินเปาไหนเลยจะยอมฟัง คว้ามือเมิ่งเชี่ยนโยวไว้แน่น พูดอย่างเบิกบาน “ข้าไม่เหนื่อย ข้ายังทนไหว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเกลี้ยกล่อม “พรุ่งนี้จะเป็นวันแต่งงานของคุณชายเปา ต่อให้ท่านไม่เหนื่อย ก็ต้องพักผ่อน รอข้าต้มยาเสร็จแล้ว ค่อยมาปลุกท่าน”
เปาอีฝานก็เกลี้ยกล่อมด้วย “ท่านแม่ ท่านเชื่อแม่นางเมิ่งเถอะ พักก่อนก่อน”
เซี่ยเจียงเฟิง จูหลานและอันอี่หยวนก็ช่วยกันโน้มน้าว
ฮูหยินเปาตบมือเมิ่งเชี่ยนโยว “ก็ได้ๆๆ ข้าเชื่อพวกเจ้า จะพักผ่อนให้เต็มอิ่ม พวกเจ้าไปนั่งคุยกันที่เรือนฝานเอ๋อร์ก่อน ไว้ข้าอาการดีขึ้นแล้วค่อยไปต้อนรับพวกเจ้า”
คนทั้งหมดกล่าวขอบคุณ
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืน ช่วยฮูหยินเปาเอนตัวนอนลงช้าๆ พูดว่า “ฮูหยินพักให้สบาย ข้าจะไปเขียนใบสั่งยาเดี๋ยวนี้”
ฮูหยินเปาพยักหน้าแผ่วเบา
คนทั้งหมดบอกลาฮูหยินเปา เดินออกมา
ฮูหยินเปาหลับตาลง นอนหลับสนิทไป
[1] 死马当活马医 เปรียบถึงการทำในสิ่งที่ไม่มีทางสำเร็จ แต่ก็ยังจะลองพยายามดู
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น