อัจฉริยะสมองเพชร 2024-2037

 ตอนที่ 2024 เหลือเชื่อจริงๆ!

เมื่อเขาได้กลายเป็นนักรบอมตะตัวจริงแล้วเท่านั้น ถึงจะมีพละกำลังแข็งแกร่งพอที่จะปกป้องตัวเองได้ในโลกใบนี้


“หนังสือเทคนิควรยุทธขั้นอมตะตัวจริง?” ได้ยินคำร้องขอนั้น ผู้จัดการหูครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “ผมพอมี มันคือสำเนาที่ผมทำไว้ก่อนการประมูล ถ้าคุณอยากดูล่ะก็ น้องจาง, ผมยิ่งกว่ายินดีที่จะแบ่งปันมันให้คุณ!”


ในเมื่อชายหนุ่มไขข้อสงสัยของวัตถุหายากแบบนี้ได้ ความสามารถในการหยั่งรู้ของเขาก็เรียกได้ว่าไร้เทียมทาน


หากเขาหว่านล้อมอีกฝ่ายให้ยอมทำงานที่ตลาดอู๋ไห่ได้สำเร็จ ก็น่าจะสร้างชื่อเสียงและนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ธุรกิจได้อีกมาก


ดังนั้น ผู้จัดการหูจึงตอบรับคำขอของจางเซวียน


อีกอย่าง ชายหนุ่มบอกไว้แล้วว่าแค่จะดูผ่านๆ ไม่ได้ทำสำเนาหรือนำมันติดตัวไป ซึ่งคำขอแบบนี้ไม่ได้ทำให้เขาเสียหายอะไรเลย


“ขอบคุณมาก ผู้จัดการหู”


เมื่อได้การตอบรับจากอีกฝ่าย จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก เขามองก้อนหินสีแดงก่ำนั้นเป็นครั้งสุดท้ายและให้คำแนะนำ “ผู้จัดการหู หินโลหิตเทพเจ้ามีความเชื่อมโยงอย่างล้ำลึกกับเรื่องราวต่างๆของเทพเจ้า จะดีที่สุดหากคุณไม่นำมันออกประมูล ใช้ค่ายกลปกปิดมันไว้ และดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครรู้ว่ามีมันอยู่ ถ้าบังเอิญผมค้นพบวิธีใช้หินโลหิตเทพเจ้าล่ะก็ ผมจะกลับมาบอกคุณ!”


“ขอรบกวนคุณด้วยก็แล้วกัน น้องจาง” ผู้จัดการหูตอบพร้อมกับพยักหน้า


ต่อให้ชายหนุ่มไม่พูดอะไร เขาก็จะทำแบบนั้นอยู่แล้ว เพราะต่อให้เขากล้ากว่านี้อีก 10 เท่า ก็ไม่มีวันกล้าทำเรื่องที่เป็นความกระด้างกระเดื่องอย่างการนำหินโลหิตเทพเจ้าออกประมูล!


แม้เขาจะสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งอมตะขั้นสูงแล้ว แต่ก็รู้ดีว่าหอเทพเจ้าสามารถทำลายทุกสิ่งที่เขาครอบครองได้อย่างง่ายดาย การทำตัวล้ำเส้นผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องฉลาดเลย


ที่สำคัญกว่านั้น ต่อให้หอเทพเจ้าไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว แต่การมีอยู่ของหินโลหิตเทพเจ้าก็ย่อมดึงดูดความสนใจของทั้ง 6 สำนักใหญ่ เขาเป็นแค่พ่อค้าคนหนึ่ง ไม่อยากเข้าไปพัวพันกับการเมืองที่แสนอันตรายในทวีปที่ถูกลืม


ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เขาก็เหลือทางเลือกเดียวคือปิดข่าวให้สนิท


หลังจากสั่งการให้คนของตัวเองปิดผนึกหินโลหิตเทพเจ้าแล้ว ผู้จัดการหูก็พาจางเซวียนไปที่ตลาดคลังหนังสือ


ก็ตามชื่อของมัน มีหนังสือล้ำค่ามากมายเรียงรายอัดแน่นอยู่บนชั้น แม้โดยปริมาณจะยังเทียบไม่ได้กับหอสมุดของสำนักดาบเมฆเหิน แต่ก็ถือว่าน่าประทับใจ


ที่นี่มีหนังสือแค่ 70 เล่ม…จางเซวียนส่ายหน้าและถอนหายใจเฮือกใหญ่


อันที่จริง มีหนังสืออยู่ที่นี่มากกว่า 70 เล่ม แต่มีเพียง 70 เล่มเท่านั้นที่เป็นหนังสือเทคนิควรยุทธขั้นอมตะตัวจริง


ดูเหมือนหนังสือเพียง 70 เล่มไม่น่าจะแก้ไขข้อบกพร่อง 7 ข้อที่มีอยู่ในเคล็ดวิชาเทียบฟ้าได้


ประมวล! จางเซวียนเพ่งสมาธิขณะรวบรวมหนังสือทั้ง 70 เล่มเข้ากับเคล็ดวิชาเทียบฟ้าที่ประมวลไว้แล้ว


เขาไม่คาดหวังอะไรมากนัก แต่เมื่อเปิดหนังสือเคล็ดวิชาเทียบฟ้าที่ประมวลขึ้นใหม่ ก็ต้องตาโตด้วยความตื่นเต้น


น่าประหลาดใจเหลือเกินที่ข้อบกพร่องทั้ง 7 ข้อได้รับการแก้ไขแล้ว ตอนนี้เคล็ดวิชาเทียบฟ้าของวรยุทธขั้นอมตะตัวจริงที่เขามีอยู่นั้นถือว่าสมบูรณ์แบบ!


จางเซวียนแทบไม่เชื่อสายตา


เขาคิดว่าหนังสือ 70 เล่มน่าจะแก้ไขข้อบกพร่องได้อย่างมากเพียงหนึ่งหรือสองข้อ แต่มันกลับแก้ไขข้อบกพร่องทั้งหมดได้ในคราวเดียว ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นได้?


ด้วยความประหลาดใจ จางเซวียนรีบพลิกดูหนังสือทั้ง 70 เล่มที่เขาเพิ่งประมวล ไม่ช้าก็ตาโตเมื่อพลันเข้าใจอะไรบางอย่าง


เป็นธรรมดาที่หนังสือที่นำออกขายในการประมูลจะไม่ลึกซึ้งไร้เทียมทานเหมือนกับหนังสือที่มีอยู่ในสำนักดาบเมฆเหิน แต่มันก็แตกต่างจากวิถีทางโดยทั่วไปที่นักรบส่วนใหญ่ใช้กัน


ก็เพราะเหตุนี้ที่ทำให้หนังสือเทคนิควรยุทธเหล่านี้ถูกนำออกขายในราคาสูงลิ่ว นักรบมากมายนับไม่ถ้วนอยากได้มันมาครอบครอง


หนังสือ 600 เล่มจากสำนักดาบเมฆเหินถือเป็นวิถีทางฝึกฝนแบบเก่า ขณะที่ 70 เล่มนี้ไม่ได้เป็นไปตามครรลองเดิม พวกมันจึงเติมเต็มซึ่งกันและกันและแก้ไขสิ่งที่อีกฝ่ายยังขาดอยู่ได้ ด้วยวิธีนี้ ข้อบกพร่องทั้งหมดจึงได้รับการแก้ไข


“น้องจาง ไม่ทราบว่ามีหนังสือเทคนิควรยุทธเล่มไหนที่คุณสนใจเป็นพิเศษหรือเปล่า ผมจัดหามันให้คุณได้นะ” ผู้จัดการหูพูดยิ้มๆ


“ไม่เป็นไร ผมดูผ่านๆครบหมดแล้ว ขอบคุณมากสำหรับความมีน้ำใจของคุณ” จางเซวียนประสานมือ


“คุณดูผ่านๆหมดแล้ว?” ผู้จัดการหูถึงกับผงะ


ทั้งคู่เพิ่งมาที่นี่ได้เพียงนาทีเดียว แล้วชายหนุ่มก็แค่กวาดสายตาผ่านกองหนังสือเท่านั้น เขาอ่านผ่านๆหมดแล้วหรือ?


ทำอย่างกับออกจากการแสดงทั้งที่มันเพิ่งเริ่ม จะไม่เร็วไปหน่อยหรือไง?


คุณแน่ใจนะว่ามาที่นี่เพื่อดูหนังสือ?


เหลือเชื่อจริงๆ!


“ผมเพิ่งพบข้อสงสัยบางอย่างในการฝึกฝนวรยุทธที่ไม่อาจหาคำตอบได้ จึงอยากดูหนังสือบางเล่มเพื่อหวังว่าจะเกิดแรงบันดาลใจ แต่หนังสือที่คุณมีอยู่ที่นี่ดูจะไม่เหมาะกับผม เพราะฉะนั้น แทนที่จะทำให้ตัวเองสับสนยิ่งขึ้นไปอีก ผมจึงคิดว่าไม่ศึกษามันจะดีกว่า” จางเซวียนอธิบายยิ้มๆ


“เอ่อ…เอาเถอะ ผมเข้าใจว่าคุณหมายความว่าอย่างไร หนังสือเทคนิควรยุทธเหล่านี้ดูจะผิดแปลกแตกต่างไปจากครรลองเดิมๆที่บรรดาศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหินฝึกฝนกัน” ผู้จัดการหูพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง ดูจะรับได้กับข้ออ้างของจางเซวียน


วรยุทธไม่ใช่สิ่งที่จะยกระดับกันได้ง่ายๆเพียงแค่ด้วยการศึกษาหาความรู้ มันคือสาขาความรู้ที่กว้างไกลเกินกว่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำความเข้าใจได้หมด ดังนั้น การอ่านหนังสือในจำนวนที่มากเกินไปก็อาจนำพาผู้นั้นไปสู่ความเข้าใจผิด แยกแยะความจริงออกจากความเท็จไม่ออก สุดท้ายก็ส่งผลให้วรยุทธของเขาถูกธาตุไฟเข้าแทรก


“น้องจาง ผมเป็นหนี้บุญคุณที่คุณช่วยชีวิตผมไว้จากหายนะ นี่คือของเล็กๆน้อยๆแทนความสำนึกในบุญคุณจากผม หวังว่าคุณจะไม่ปฏิเสธ…”


ก่อนออกจากห้อง ผู้จัดการหูยื่นเหรียญนิรันดร์ถุงหนึ่งให้จางเซวียน มันดูหนักอึ้ง น่าจะมีเงินมากกว่า 100 เหรียญอยู่ในนั้น


ผู้จัดการหูทุ่มทุนทีละมากๆขนาดนี้ ดูเหมือนเขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะดึงจางเซวียนมาทำงานด้วยให้ได้


“ผู้จัดการหู คุณมีน้ำใจเหลือเกิน ผมก็แค่ทำในสิ่งที่ควรทำเท่านั้น” จางเซวียนโบกมือและไม่ยอมรับเงิน


เขารักเงินยิ่งกว่าอะไร แต่เงินเพียงเท่านี้ไม่มากพอจะโน้มน้าวเขาได้ และเขาก็ไม่อยากสนิทชิดเชื้อกับผู้จัดการหูให้มากนัก


อีกอย่าง เขาก็มีวิธีหาเงินที่มีประสิทธิภาพกว่านี้มากอยู่แล้ว


“ลาก่อน ต่อไปเราคงได้พบกันอีก” จางเซวียนพูดก่อนจะเดินออกจากตลาด


เหตุผลที่เขามาที่ตลาดอู๋ไห่ก็เพื่อหาหนังสือเทคนิควรยุทธขั้นอมตะตัวจริงเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องในเคล็ดวิชาเทียบฟ้าของเขา ซึ่งเป้าหมายนั้นก็สำเร็จแล้ว ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ได้เวลากลับไปยกระดับวรยุทธเสียที


ขอแค่เขายกระดับวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ได้ ด้วยดาบถงซังในมือ เขาจะสามารถต่อกรได้แม้แต่กับคู่ต่อสู้ที่เป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น เขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของตัวเองมากนักหากต้องเดินทางไปยังทะเลดาวพลัดถิ่นเพื่อตามหาหลัวลั่วชิง!


เมื่อออกจากตลาดอู๋ไห่ จางเซวียนพบว่าท้องฟ้ามืดแล้ว ดวงจันทร์กระจ่างส่องสว่างโดยมีหมู่ดาวเป็นฉากหลัง บริเวณโดยรอบเงียบสงบมาก


จางเซวียนเดินไปตามถนน มุ่งหน้าสู่หอนิรันดร์ แต่หลังจากออกเดินไปได้แค่ไม่กี่ก้าว ก็หรี่ตาทันที


การควบคุมมิติ?


นัยน์ตาของจางเซวียนฉายความพรั่นพรึงขณะขนลุกขนชันทั่วทั้งตัว


หากเป็นใครสักคนในมิติเบื้องบนที่เจอปรากฏการณ์แบบนี้ ต่อให้เป็นนักรบอมตะขั้นสูง ก็อาจไม่รู้ว่าแท้ที่จริงมันคืออะไร แต่เพราะจางเซวียนมีความเชี่ยวชาญเรื่องมิติตั้งแต่ตอนอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ จึงรู้ดีว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นตรงหน้า


ใครคนหนึ่งสกัดกั้นมิติที่อยู่รอบตัวเขาไว้!


หรือพูดอีกอย่างก็คือ เขาถูกนำตัวเข้าสู่มิติลี้ลับ ซึ่งต่อให้เอ็ดตะโรโวยวายแค่ไหน ก็ไม่มีใครในโลกภายนอกที่จะได้ยิน


ถ้าเป็นในทวีปแห่งปรมาจารย์ แม้แต่นักรบระดับเซียนขั้น 9 ก็สามารถควบคุมมิติได้โดยใช้วิธีการบางอย่าง แต่ในมิติเบื้องบน ต่อให้นักรบอมตะขั้นสูงก็ไม่อาจควบคุมมิติได้


เพราะฉะนั้นก็หมายความว่า ผู้ที่จับตัวเขาคือ…


จางเซวียนรีบหันมามองกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้า พวกนั้นมีกันทั้งหมด 4 คน ทุกคนสวมเสื้อคลุมสีดำ แผ่รังสีเยือกเย็นออกมาในแบบที่ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกเหมือนพวกเขามาจากนรกขุมลึก


นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ 3 คน กับนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ 1 คน? จางเซวียนขมวดคิ้ว


คู่ต่อสู้อ่อนแอกว่าที่เขาคิดไว้ ซึ่งถือว่าโชคดีมาก แต่ก็ยังเหนือความสามารถที่เขาจะรับมือไหวอยู่ดี


จางเซวียนเป็นแค่นักรบเสมือนอมตะสรวงสวรรค์ แม้เคล็ดวิชาเทียบฟ้าของเขาจะรับมือกับนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ได้ แต่การจะเล่นงานนักรบระดับนั้นถึง 3 คนพร้อมๆกัน แถมด้วยนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์อีกคนหนึ่งย่อมเป็นเรื่องเกินกำลัง


คนพวกนี้เป็นใคร? ทำไมถึงมาเล่นงานเขา?


จางเซวียนวางท่าให้ดูสุขุมลุ่มลึกดังเดิม เขาตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “พวกคุณมาฆ่าผมหรือ?”


เจตนาสังหารที่คนเหล่านั้นแผ่ออกมาหนักหน่วงเสียจนแม้แต่นักรบธรรมดาสามัญก็รู้สึกได้ นับประสาอะไรกับจางเซวียน


นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ไม่หันมามองจางเซวียน เขาชำเลืองมองนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์คนหนึ่งที่สวมเสื้อคลุมสีดำและพูดว่า “ผมจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณนะ จำไว้ให้ดีว่านายท่านของเราบอกไว้อย่างไร!”


“ขอรับ!”


ได้ยินคำสั่งนั้น นักรบเสื้อคลุมสีดำที่ถูกเลือกก็พุ่งเข้าใส่และปล่อยพลังฝ่ามือเข้าหาจางเซวียนทันที


บึ้มมมม!


พละกำลังทำลายล้างแผ่ออกไปโดยรอบราวกับพายุทอร์นาโด ยังไม่ทันที่ฝ่ามือจะถึงเป้าหมาย จางเซวียนก็รู้สึกแน่นหน้าอกอย่างหนัก


“เขาเก่งกาจจริงๆ!” จางเซวียนหรี่ตา


จางเซวียนไม่เคยต่อกรกับนักรบอมตะตัวจริงมาก่อน แต่การได้ประลองศิลปะเพลงดาบกับคนอื่นๆในสภาผู้อาวุโสก็ทำให้เขาพอประเมินได้ว่านักรบอมตะตัวจริงโดยทั่วไปมีความแข็งแกร่งขนาดไหน


ถึงจางเซวียนจะเป็นแค่นักรบเสมือนอมตะสรวงสวรรค์ แต่ด้วยวิธีการมากมายที่เขามีอยู่ ก็ถือว่าเกินพอที่จะรับมือกับนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ได้


แต่พละกำลังที่อีกฝ่ายแผ่ออกมาก็ทำให้เขาหายใจหายคอไม่ออก!


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชายผู้นี้แข็งแกร่งกว่านักรบอมตะตัวจริงโดยทั่วไปมาก ถึงขนาดที่อาจเทียบชั้นกับนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ทั่วไปได้เลยทีเดียว


“ถอย!” รู้ดีว่าไม่มีเวลาให้คิดเยอะ สิ่งแรกที่จางเซวียนทำคือหลบการโจมตีของอีกฝ่ายด้วยการกระโจนถอยหลังไป


พร้อมกันนั้น เขาก็เคาะนิ้ว


ฟิ้ววววว!


ตอนที่ 2025 ทำไมถึงอยากฆ่าเขา?

กระแสดาบฉีพุ่งออกมาทำลายการโจมตีของอีกฝ่าย ตรงเข้าสู่หว่างคิ้วของชายผู้นั้น


ในเมื่ออีกฝ่ายจงใจสังหารเขา จางเซวียนจึงตัดสินใจทุ่มสุดตัว เขาไม่ได้ถ่ายทอดเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าเข้าไป แต่การโจมตีนั้นก็มีความเข้าใจอย่างล้ำลึกในศิลปะเพลงดาบของเขาอยู่


ด้วยความกะทันหันของการโจมตี จางเซวียนน่าจะเอาชนะนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ที่อยู่ตรงหน้าได้ไม่ยาก และก่อนที่คนอื่นๆจะมีโอกาสได้ตีวงล้อม เขาก็จะหาทางทำลายการสกัดกั้นมิติและหลบหนี!


“คุณเก่งกาจไม่เบานะ ดูเหมือนภารกิจนี้จะไม่น่าเบื่ออย่างที่คิด!”


ขณะที่กระแสดาบฉีกำลังจะแทงทะลุหน้าผากของเขา ชายเสื้อคลุมสีดำก็หัวเราะหึๆขณะยื่นมือออกมาแล้วคว้ากระแสดาบฉีนั้นไว้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่ากระแสดาบฉีจะดิ้นรนขัดขืนแค่ไหน ก็ไม่อาจหลุดรอดจากนิ้วของเขาได้


เห็นภาพนั้น จางเซวียนหน้าดำคร่ำเครียด


ด้วยพละกำลังของการโจมตีก่อนหน้านี้ ต่อให้เป็นบรรดาศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดของสำนักดาบเมฆเหิน ก็คงไม่ทันระวังและถูกสังหารได้ในชั่วพริบตา


แต่นักรบอมตะตัวจริงคนนี้คว้ากระแสดาบฉีของเขาไว้ได้อย่างง่ายดายราวกับจับแมลงตัวหนึ่ง


หมอนั่นจะต้องทรงพลังขนาดไหน?


“ไป!”


ขณะที่จางเซวียนกำลังงุนงง ชายเสื้อคลุมสีดำก็เปลี่ยนทิศทางของกระแสดาบฉีที่เขาคีบไว้ โดยปล่อยมันกลับเข้าหาจางเซวียน


ฟิ้ววววว!


การโจมตีอย่างกะทันหันครั้งนี้ทำให้จางเซวียนไม่ทันระวัง เขาถอยกรูดไปทันที


แต่ถึงอย่างนั้น กระแสดาบฉีก็ยังเล่นงานที่หัวไหล่ ทำให้เลือดสดๆซึมออกมา


ไม่น่าเชื่อว่าจะมีวันที่ใครสักคนสามารถใช้กระแสดาบฉีของตัวเขามาเล่นงานเขาเองได้!


“ไม่เลว ผมเล็งที่คอของคุณอยู่นะ” ชายเสื้อคลุมสีดำยิ้มเมื่อเห็นว่าการโจมตีจางเซวียนพลาดเป้าไป


จางเซวียนพยายามระงับความประหลาดใจไว้ เขาสูดหายใจลึกและเพ่งสมาธิ ข้อบกพร่อง!


อีกฝ่ายช่างแปลกประหลาดพิสดารเหลือเกิน เขาจำเป็นต้องพึ่งพาหอสมุดเทียบฟ้าเพื่อเอาชนะสถานการณ์ที่เป็นอยู่


วิ้งงงง!


หอสมุดเทียบฟ้าสั่นสะท้าน แต่ไม่มีหนังสือปรากฏ


“อะไรกัน?” จางเซวียนตัวแข็ง


การที่ไม่มีหนังสือถูกประมวลขึ้นในหอสมุดเทียบฟ้าก็หมายความว่าอีกฝ่ายอยู่ในระดับที่เหนือชั้นกว่าสวรรค์ของมิติเบื้องบน หรือไม่ก็ใช้เทคนิคพิเศษบางอย่างที่ปกปิดตัวเองไว้จากสายตาของสวรรค์


นี่คืออานุภาพของมิติลี้ลับหรือเปล่า? จางเซวียนครุ่นคิด


เขาเคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาแล้วในทวีปแห่งปรมาจารย์ มีความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะกำลังใช้วิธีเดียวกัน


เมื่อสวรรค์ถูกสกัดกั้นไว้ หอสมุดเทียบฟ้าก็ไม่อาจทำงานของมันได้ แต่นี่ก็นำไปสู่การตั้งคำถามอีกคำถามหนึ่ง-ว่าอีกฝ่ายทำแบบนี้เพื่ออะไร?


เป็นไปได้ไหมว่าพวกนั้นรู้เรื่องหอสมุดเทียบฟ้าเช่นกัน จึงเลือกวางกับดักตัวเขา?


แต่นั่นไม่น่าเป็นไปได้ สิ่งที่เป็นไปได้คือคนเหล่านี้น่าจะยำเกรงวิถีทางของสำนักดาบเมฆเหิน เพราะเหล่าผู้อาวุโสคอยจับตาเราอยู่เผื่อเราจะเผชิญกับอันตราย พวกเขาจึงอาจใช้วิธีนี้เพียงเพื่อยื้อเวลา…


จางเซวียนแน่ใจว่าในโลกใบนี้ไม่มีใครอื่นนอกจากหลัวลั่วชิงที่รู้เรื่องหอสมุดเทียบฟ้า เหตุผลนั้นจึงไม่น่าเป็นไปได้ ความเป็นไปได้ก็คือคนเหล่านี้น่าจะแค่ขู่สำนักดาบเมฆเหิน


“ผมรู้มาว่าคุณมีความเชี่ยวชาญในวิถีเพลงดาบ ทำไมไม่แสดงให้พวกเราเห็นสักหน่อยว่าศิลปะเพลงดาบของคุณทรงพลังขนาดไหน?”


ขณะที่จางเซวียนกำลังพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ชายเสื้อคลุมสีดำที่อยู่ตรงหน้าก็โจมตีซ้ำด้วยการกระดิกนิ้ว


ฟิ้ววววว!


กระแสดาบฉี 4-5 สายพุ่งออกจากนิ้วทั้ง 5 ของเขา มันตรงเข้าหาจางเซวียนด้วยความเร็วอันน่าสะพรึง จางเซวียนกระทืบเท้าทันทีและหลบไปด้านข้าง


ศิลปะการเคลื่อนไหวเทียบฟ้า!


แต่แม้จะเคลื่อนไหวรวดเร็วขนาดนั้น กระแสดาบฉีทั้ง 5 สายก็ยังมีความเร็วพอๆกัน ไม่ว่าเขาจะเคลื่อนไหวไปทางไหน กระแสดาบฉีทั้ง 5 ก็ตามทัน เขาไม่มีทางหนีพ้นเลย!


“กระบวนท่าของหมอนั่นน่าทึ่งจริงๆ” จางเซวียนพึมพำ


เขารู้ดีว่าคราวนี้เจอของจริงแล้ว


ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะสามารถควบคุมกระแสดาบฉีให้ตามศิลปะการเคลื่อนไหวเทียบฟ้าของเขาได้ทัน สิ่งที่อีกฝ่ายทำคือล็อคกระแสดาบฉีของตัวเองไว้ให้มีเป้าหมายอยู่ที่เจตจำนงเพลงดาบของเขา ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจางเซวียนจะไปทางไหน กระแสดาบฉีก็จะตามไปติดๆ


จางเซวียนมีความเชี่ยวชาญในการเคลื่อนไหวแบบนี้ แต่มันเป็นเทคนิคการเคลื่อนไหวชั้นสูงที่เขาต้องอาศัยเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าในการขับเคลื่อน เขาไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะทรงพลังขนาดนี้


สำนักดาบเมฆเหินขึ้นชื่อว่าเป็นที่พำนักของเหล่านักดาบที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ขนาดศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดที่แข็งแกร่งเป็นที่หนึ่งในหอนิรันดร์ของศิษย์สายตรงที่เขาได้พบเมื่อวานก็ไม่อาจทำแบบนี้ได้!


เรื่องนี้ทำให้จางเซวียนคิดหนัก กลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าเขามาจากไหน? ทำไมถึงอยากฆ่าเขา?


ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาทันที จางเซวียนนัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจ “พวกคุณมาจากหอเทพเจ้าหรือ?”


เจ้าสำนักหานเจี้ยนชิวเคยบอกไว้ว่าเขาต้องเก็บตัวตนที่แท้จริงไว้เป็นความลับ เพราะไม่อย่างนั้น หอเทพเจ้าอาจจับตาดูและพยายามปลิดชีวิตเขาได้


ในตอนนั้น จางเซวียนคิดว่าด้วยความถ่อมเนื้อถ่อมตัวของเขา คงอีกนานกว่าปัญหาจะมาถึงตัว


แต่เพียงไม่ทันข้ามวัน ศัตรูก็แกะรอยของเขาได้แล้ว


ดูเหมือนจางเซวียนจะประเมินความสามารถของหอเทพเจ้าต่ำไป การที่พวกนั้นรู้ตัวตนของเขาและสะกดรอยตามเขามาได้ภายในเวลาเพียงวันเดียวก็บอกชัดแล้วว่าฝีมือของคนเหล่านี้สูงส่งกว่าที่เขาคิดไว้มาก


ฟิ้วววว!


แทนที่จะตอบคำถามของจางเซวียน ชายเสื้อคลุมสีดำกระดิกนิ้วอีกครั้งและปล่อยกระแสดาบฉีอีกหลายสายเข้าใส่


กระแสดาบฉีเหล่านี้หลอมรวมกับกระแสดาบฉีสายก่อนๆอย่างรวดเร็ว ทำให้พละกำลังและความเร็วของมันเพิ่มขึ้นอีกมาก ดูเหมือนพวกเขาตั้งใจจะเล่นงานจางเซวียนให้ได้


“จัดการ!”


จางเซวียนรีบส่งพลังปราณเข้าสู่ปลายนิ้วแล้วปล่อยมันออกไปเล่นงานกระแสดาบฉีที่อยู่ด้านหลัง


กระแสดาบฉี 2 สายปะทะกัน เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น


รอไม่ได้แล้ว! จางเซวียนคิดขณะหาโอกาสถอยห่างจากคู่ต่อสู้


เพื่อหลบเลี่ยงกระแสดาบฉีของอีกฝ่าย เขาต้องบีบอัดพลังปราณอย่างหนักและปลดปล่อยมันออกมาอย่างรวดเร็ว เพียงเท่านี้ก็ทำให้ภายในร่างกายได้รับความบอบช้ำเล็กน้อยแล้ว


แต่คู่ต่อสู้ของเขาดูจะสบายอารมณ์กว่ามาก เห็นได้ชัดว่ายังไม่ได้ปล่อยพละกำลังเต็มพิกัด เรื่องนี้ทำให้จางเซวียนรู้ตัวว่าหากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป เขาต้องตายแน่ จึงสูดหายใจลึกและกลืนยาเม็ดอมตะขั้นสูงลงไปเม็ดหนึ่ง


ฟึ่บ!


พลังงานมหาศาลพวยพุ่งเข้าสู่ร่างของเขา


“อะไรกัน?”


เห็นทีท่าแปลกประหลาดของจางเซวียน ชายเสื้อคลุมสีดำจังงังไปครู่หนึ่ง เขารู้สึกได้ว่าพลังปราณของจางเซวียนพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนจะระเบิดออก


บึ้มมมม!


พลังงานมหาศาลพวยพุ่งออกจากร่างของจางเซวียนขณะที่วรยุทธของเขาเพิ่มสูงขึ้น


วรยุทธของจางเซวียนคือนักรบเสมือนอมตะสรวงสวรรค์ ซึ่งการฝ่าด่านวรยุทธโดยทั่วไปต้องอาศัยการเตรียมตัวระดับหนึ่ง แต่ด้วยความคับขันของสถานการณ์ตอนนี้ เขาจึงตัดสินใจใช้ทางลัด


“ฝ่าด่านวรยุทธตอนนี้หรือ? น่าสนใจดีนี่!” ชายเสื้อคลุมสีดำประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้ตกตะลึงมากนัก เขาเตรียมการโจมตีรอบใหม่โดยไม่ยอมเสียเวลา


ถ้าเขาสังหารไม่ได้แม้แต่เจ้าหนุ่มที่มีวรยุทธขั้นเสมือนอมตะสรวงสวรรค์ ต่อไปภายหน้า นายท่านคงไม่มีวันมอบหมายภารกิจใดๆให้อีก


การโจมตีรอบนี้แข็งแกร่งกว่าเดิมมาก แม้ปราศจากอาวุธในมือ กระแสดาบฉีของชายเสื้อคลุมสีดำก็คมกริบและว่องไวอย่างน่าทึ่ง เพียงครู่เดียว มันก็ไปจ่ออยู่ตรงหน้าจางเซวียน


ในเวลาเดียวกัน จางเซวียนยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่กับที่ขณะระบายลมหายใจยาว การฝ่าด่านวรยุทธไปสู่วรยุทธขั้นอมตะตัวจริงช่วยยกระดับประสิทธิภาพการต่อสู้ขึ้นอีกมาก


หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ พลังงานของนักรบเสมือนอมตะก็เหมือนกับหิมะ ยิ่งก่อทับกันสูงขึ้นเท่าไหร่ ก็สามารถทำลายทุกอย่างที่อยู่ภายใต้ตัวมันได้


แต่เมื่อสำเร็จวรยุทธขั้นอมตะตัวจริง หิมะนั้นจะละลายกลายเป็นแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว แม้จะยังไม่มีพละกำลังสูงส่งมากมาย แต่ก็มีธรรมชาติของการไหลบ่าอย่างไม่หยุดยั้ง ต่อให้วัตถุที่แข็งแกร่งที่สุดก็ต้องยอมแพ้ให้กับกระแสเชี่ยวกรากอันไม่ลดละนี้


อีกอย่าง การฝ่าด่านวรยุทธครั้งนี้ไม่ได้ช่วยเพิ่มเพียงแค่คุณภาพของพลังปราณ แต่จิตวิญญาณและกายเนื้อก็ยังได้รับการบ่มเพาะด้วย ทำให้ความคิดและปฏิกิริยาตอบสนองของจางเซวียนว่องไวกว่าเดิม


ขณะที่กระแสดาบฉีของชายเสื้อคลุมสีดำกำลังจะแทงทะลุหน้าอกของเขา จางเซวียนก็เอี้ยวตัว หลบการโจมตีนั้นได้อย่างง่ายดาย จากนั้นก็ปล่อยการตอบโต้ด้วยการกระดิกนิ้ว


ฟิ้วววว!


กระแสดาบฉีที่มีความกว้างราวท่อนแขนของมนุษย์คนหนึ่งพุ่งเข้าใส่ชายเสื้อคลุมสีดำ มันคือกระบวนท่าเดียวกับเมื่อครู่นี้ แต่มีพละกำลังและความเร็วที่เหนือชั้นกว่าเดิมมาก!


“ฮึ่มมมม!” ชายเสื้อคลุมสีดำคำรามขณะเงื้อมือขึ้นสกัดกั้นกระแสดาบฉีที่พุ่งเข้าใส่


เกิดพายุหมุนขนาดใหญ่ขึ้นกลางอากาศ บดบังสายตาของทุกคนไว้ ภายใต้พละกำลังมหาศาลของการโจมตีด้วยฝ่ามือ กระแสดาบฉีนั้นแตกสลายไป


แม้จางเซวียนจะยกระดับวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะตัวจริงได้สำเร็จแล้ว แต่พละกำลังของเขาในฐานะนักรบอมตะตัวจริงระดับล่างก็ยังอ่อนด้อยกว่าชายเสื้อคลุมสีดำซึ่งเป็นนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์


“ได้เวลาปิดจ๊อบเสียที!”


หลังจากเสร็จสิ้นการทดสอบขีดจำกัดของพละกำลังของจางเซวียนแล้ว ชายเสื้อคลุมสีดำแสยะยิ้มขณะพุ่งเข้าใส่จางเซวียนเพื่อจบการต่อสู้


แต่ทันใดนั้น เขาก็ขนลุกขนชันไปทั่วทั้งตัวขณะมีสัญญาณเตือนดังก้องในหัว สัญชาตญาณของเขากำลังกรีดร้องว่าตัวเขาตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง


ชายเสื้อคลุมสีดำรีบเงยหน้า และในตอนนั้นเองที่เห็นว่ามีดาบเล่มหนึ่งถูกการระเบิดของกระแสดาบฉีเมื่อครู่ปกคลุมไว้…และในตอนนี้ มันกำลังพุ่งเข้าใส่หน้าอกของเขา!


ชายเสื้อคลุมสีดำเชื่อมั่นในสัญชาตญาณของตัวเองเต็มเปี่ยม เขาถอยกรูดด้วยใบหน้าซีดเผือด


เขานึกไม่ถึงว่าการโจมตีเมื่อครู่นี้จะเป็นแค่การสับขาหลอก อันตรายที่แท้จริงกลับซ่อนอยู่ท่ามกลางกระแสดาบฉี!


“มันคือดาบระดับอมตะขั้นสูง!” ชายเสื้อคลุมสีดำถึงกับจังงัง


เป็นที่รู้กันว่าอาวุธในระดับขั้นนี้มีความหยิ่งผยองมาก ทำไมถึงยอมจำนนให้ผู้ที่เป็นแค่นักรบขั้นเสมือนอมตะ?


เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้!


แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะปล่อยให้ความคิดสับสนวุ่นวาย เขารีบหันหลังกลับแล้วจากไป


“คุณคิดจะไปไหน?”


จางเซวียนขับเคลื่อนเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าภายในร่างกายของเขา ดาบถงซังพร่าเลือนกลายเป็นภาพติดตา ดูราวกับหมู่เมฆที่เคลื่อนไหวโดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้


ตอนที่ 2026 แบบนี้ดูไม่ดีเลย!

ฟึ่บ!


เลือดสดๆพุ่งขึ้นสู่กลางอากาศขณะที่ชายเสื้อคลุมสีดำร้องลั่น


มือข้างหนึ่งของเขาถูกตัด


แต่จางเซวียนก็ไม่แสดงอาการโล่งใจสักนิดทั้งที่ตัดมือข้างหนึ่งของอีกฝ่ายไปแล้ว กลับมีสีหน้าเคร่งเครียดกว่าเดิม


เขานำดาบถงซังออกมาและใช้เจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้า จึงคิดว่าน่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้ด้วยการโจมตีครั้งเดียว แต่ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็แค่ตัดมือข้างหนึ่งของหมอนั่นออกไปเท่านั้น


แบบนี้ดูไม่ดีเลย!


“คุณ…คุณเล่นงานผมได้จริงๆหรือ?”


ชายเสื้อคลุมสีดำมองมือข้างที่ถูกตัดออกไปซึ่งกลิ้งอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ หน้าตาของเขาโหดเหี้ยมขึ้นทีละน้อย จากนั้นก็คำรามกร้าวพร้อมกับชักดาบออกมา


เหตุผลที่ก่อนหน้านี้เขาไม่ใช้อาวุธ ก็เพราะคิดว่าอีกฝ่ายไม่คู่ควรกับการที่เขาจะต้องลงไม้ลงมือให้เหนื่อย แต่ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าอาจเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่หากยังคงสบประมาทคู่ต่อสู้


ฟึ่บ!


ทันทีที่ดาบปรากฏ ชายเสื้อคลุมสีดำฟันฉับลงมาอย่างแรง เกิดเสียงหวีดหวิวขึ้นกลางอากาศ กระแสดาบฉีสีทองพุ่งออกไปกินอาณาเขตหลายจ้าง แล้วตรงเข้าเล่นงานจางเซวียน


“นี่คืออาวุธระดับอมตะขั้นสูงหรือ?” จางเซวียนตาโตด้วยความประหลาดใจขณะรีบถอยไป


เขารู้ดีว่าอาวุธระดับอมตะขั้นสูงมีความหยิ่งผยองแค่ไหน ดาบถงซังที่เขาถืออยู่เป็นตัวอย่างชั้นดี ถ้าไม่ใช่เพราะวิธีการต่างๆนานาที่เขามี คงทำให้มันยอมจำนนได้ยาก แต่อีกฝ่าย…ทั้งที่เป็นแค่นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ กลับทำได้สำเร็จ


ถือว่าน่าสะพรึงมาก!


จางเซวียนประหลาดใจ เขานำยาเม็ดอมตะขั้นสูงออกมา 2 เม็ดและกลืนมันลงไป


แม้วรยุทธของเขาจะเข้าถึงขั้นอมตะตัวจริงระดับล่างแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจถือไพ่เหนือกว่าชายเสื้อคลุมสีดำอย่างสิ้นเชิงได้ แถมยังมีคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังอีก 3 คนรออยู่ด้านหลังด้วย


ขณะที่หลบเลี่ยงการโจมตีของชายเสื้อคลุมสีดำ จางเซวียนก็พยายามจับจ้องการเคลื่อนไหวของนักรบที่เหลืออีก 3 คน เพราะเกรงว่าพวกนั้นจะลอบทำร้ายเขา แต่ทั้ง 3 กลับยืนนิ่งไม่ไหวติง ดูเหมือนไม่ใส่ใจกับความเหน็ดเหนื่อยของสหายร่วมกลุ่มเลย


เขาไม่รู้ว่า 3 คนนั้นคิดอะไร แต่ก็ถือเป็นข่าวดีที่พวกนั้นไม่เคลื่อนไหว เพราะอย่างน้อยที่สุดก็หมายความว่าเขายังพอมีโอกาส


จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาหลบการระเบิดของกระแสดาบฉีสีทองด้วยการเคลื่อนไหวอย่างว่องไว และตอบโต้กลับด้วยกระแสดาบฉีของเขา


ขณะที่กระแสดาบฉี 2 สายปะทะกัน เสียงระเบิดดังสนั่นก็กึกก้องไปทั่วกลางอากาศ การผนึกกำลังกันของพลังปราณ กายเนื้อ และจิตวิญญาณของจางเซวียนยิ่งใหญ่เสียจนแทบจะสลายภูเขาให้แตกเป็นเสี่ยงๆได้ แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ทุกการโจมตีที่เขาปล่อยออกไปถูกอีกฝ่ายจัดการได้อย่างง่ายดาย ราวกับว่าชายเสื้อคลุมสีดำผู้นี้มีพละกำลังไร้ขีดจำกัด ไม่ว่าจะเจอการโจมตีหนักหนาสาหัสแค่ไหน ก็รับมือได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ


จางเซวียนหน้าดำคร่ำเครียดขึ้นเรื่อยๆ


เขาฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้ามาตั้งแต่แรก ทำให้มีรากฐานวรยุทธที่แข็งแกร่งมาก ทั้งยังผ่านการทดสอบสถาปนาเซียนและการทดสอบของนักปราชญ์โบราณอีกหลายครั้ง


จะว่าไป พละกำลังของเขาน่าจะเทียบชั้นกับคู่ต่อสู้ที่มีระดับวรยุทธสูงกว่าเขามากได้สบาย


แต่ชายเสื้อคลุมสีดำคนนี้กลับต่อสู้กับเขาได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ต่อให้ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดหมายเลข 1, เหอจิ้งชวนก็ยังทำแบบนี้ไม่ได้


อันที่จริง แม้แต่เจ้าสำนักหานเจี้ยนชิวก็คงรับมือกับพละกำลังของชายเสื้อคลุมสีดำผู้นี้ไม่ได้เช่นกันหากวรยุทธของเขาถูกลดลงมาให้เป็นนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์!


นอกเสียจากหอเทพเจ้า ไม่มีกลุ่มอำนาจไหนในมิติเบื้องบนที่มีผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังขนาดนี้


ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป เราต้องตายที่นี่แน่ จางเซวียนคิด


แม้จะมียาเม็ดอมตะขั้นสูงอยู่ในครอบครองมากมาย แต่จางเซวียนก็พบว่าเขาใช้พลังปราณที่ดูเหมือนจะไร้ขีดจำกัดของตัวเองไปอย่างรวดเร็ว ทำให้สีหน้าของเขาเคร่งเครียดขึ้นอีก


หากใช้พลังปราณหมดเมื่อไหร่ แม้แต่การหลบหนีก็เป็นไปไม่ได้


นี่เป็นครั้งแรกตลอดระยะเวลาอันยาวนานที่จางเซวียนรู้สึกว่าตัวเองจนมุม เขาคุ้นชินกับการที่ตัวเองมีพละกำลังแข็งแกร่งกว่าคู่ต่อสู้มาก จนทำให้ประเมินภัยอันตรายที่อยู่ในมิติเบื้องบนต่ำไป


เราจะปล่อยให้การต่อสู้ยืดเยื้อแบบนี้ไม่ได้ ต้องหาจุดอ่อนของมิติลี้ลับแห่งนี้ให้เจอและหาทางหลบหนี จางเซวียนคิด


เขาไม่รู้ว่าทำไมนักรบอีก 3 คนถึงไม่เคลื่อนไหว แต่หนึ่งในนั้นเป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ ถ้าแม้แต่นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ยังเล่นงานเขาได้หนักหน่วงขนาดนี้ เขาคงตายแน่นอนถ้านักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์คนนั้นเปิดการโจมตี


ไม่ว่าอย่างไร เขาต้องออกจากที่นี่ให้ได้!


การที่ศัตรูดึงเขาเข้าสู่มิติลี้ลับก็หมายความว่าพวกนั้นระแวงมาตรการรักษาความปลอดภัยของสำนักดาบเมฆเหิน เป็นไปได้ว่าทางสำนักอาจส่งผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งคอยติดตามเขา เขาน่าจะปลอดภัยกว่านี้หากสามารถไปรวมตัวกับคนเหล่านั้นได้


หรือต่อให้ไม่เป็นอย่างนั้น ด้วยเครื่องรางปลอมตัวที่มีอานุภาพน่าทึ่งที่หลัวลั่วชิงมอบให้ เขาก็มั่นใจว่าน่าจะทำตัวกลมกลืนไปกับฝูงชนและหนีไปได้


เพียงแต่…จางเซวียนไม่อาจใช้หอสมุดเทียบฟ้าได้ที่นี่ ทำให้ทุกอย่างดูจะยุ่งยากกว่าเดิม


ดวงตาหยั่งรู้!


จางเซวียนตั้งต้นสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างถี่ถ้วน แต่ก็ไม่มีอะไรให้เห็น เขาเริ่มรู้สึกสิ้นหวัง


ด้วยการเตรียมตัวอย่างดีของอีกฝ่าย พวกนั้นดึงเขาเข้าสู่มิติลี้ลับเพื่อเล่นงาน ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะปล่อยให้เขาออกจากที่นี่ได้ง่ายๆแน่


โครงสร้างของมิติในมิติเบื้องบนแข็งแกร่งมั่นคงกว่าทวีปแห่งปรมาจารย์มาก แต่ทฤษฎีพื้นฐานก็เหมือนกัน จางเซวียนเค้นหัวสมองอย่างร้อนรน ค้นหาทุกเรื่องที่เขารู้เกี่ยวกับมิติ


เขาเพ่งดวงตาหยั่งรู้ไปที่โครงสร้างของมิติอีกครั้ง จากนั้นก็แยกเป็นส่วนๆ เปลี่ยนมันให้กลับไปอยู่ในรูปแบบพื้นฐานที่สุด


ตรงนั้น…ดูจะเปราะบางอยู่สักหน่อย…


ไม่ช้าจางเซวียนก็หาจุดที่ดูจะแตกต่างจากจุดอื่นๆได้ ด้วยการระเบิดพละกำลังอย่างกะทันหัน จางเซวียนปล่อยการโจมตีอันดุเดือดออกมาเป็นชุด ผลักดันให้ชายเสื้อคลุมสีดำถอยกรูดอย่างต่อเนื่อง จากนั้น เมื่อเขาเข้าใกล้จุดเปราะบางที่จับสังเกตไว้ ก็ทุ่มแรงขว้างดาบออกไปจนสุดกำลังเพื่อทำลายมัน


เคร้งงงงง!


เกิดเสียงเคร้งดังสนั่นของโลหะกึกก้องไปทั่ว จางเซวียนรู้สึกได้ถึงแรงสะท้อนหนักหน่วงจากดาบถงซังที่ตีกลับเข้าสู่ท่อนแขนของเขา ทำให้ต้องถอยไปหลายก้าวเพื่อบรรเทาแรงปะทะนั้น


ฟึ่บ!


พื้นที่ที่จางเซวียนเพิ่งทำลายบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในมิติลี้ลับ


“ผู้อาวุโสโฉวหั่ว?” จางเซวียนตาโต


อีกฝ่ายไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผู้อาวุโสโฉวหั่ว, ผู้อาวุโสที่ 1 ของแผนกศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดที่เขาเคยปะทะด้วยเมื่อครั้งอยู่ที่สภาผู้อาวุโส


ผู้อาวุโสโฉวหั่วตามจางเซวียนมาและซ่อนตัวอยู่ในเงามืด เมื่อกลุ่มชายเสื้อคลุมสีดำปรากฏตัว เขาก็รับรู้ทันทีและรีบตามมา แต่มิติลี้ลับได้สกัดกั้นเขาไว้ก่อนที่จะหาทางเข้ามาข้างในได้สำเร็จ เขาพยายามใช้วิธีการมากมายเพื่อทำลายมิติลี้ลับ แต่ทั้งๆที่เป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ ก็ยังหาทางเข้ามาข้างในไม่ได้


ผู้อาวุโสโฉวหั่วรู้สึกว่ามีคนกลุ่มหนึ่งเสริมกำลังให้มิติลี้ลับจากด้านใน ทำให้ความพยายามทั้งหมดของเขาล้มเหลว แต่เมื่อจางเซวียนทำลายจุดอ่อนของมิติลี้ลับได้สำเร็จ เขาจึงหาโอกาสพุ่งเข้ามาด้านในได้


หลังจากเข้ามาในมิติลี้ลับ ผู้อาวุโสโฉวหั่วกวาดสายตามองไปโดยรอบ เมื่อเห็นว่าจางเซวียนยังไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก “คุณไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว!”


จากนั้น เขาก็ก้าวเข้ามาบังจางเซวียนและจ้องหน้าชายเสื้อคลุมสีดำทั้ง 4 คนด้วยสายตาเย็นชา


“ในฐานะนักรบอมตะขั้นสูงและนักรบอมตะตัวจริงของหอเทพเจ้า พวกคุณไม่ละอายใจบ้างหรือที่รวมหัวกันเล่นงานนักรบเสมือนอมตะคนหนึ่ง?” ผู้อาวุโสโฉวหั่วคำรามอย่างดูถูก


แค่มองแวบเดียว เขาก็ระบุภูมิหลังของวายร้ายกลุ่มนี้ได้แล้ว


“ฆ่าเขาซะ อย่าปล่อยให้มีอะไรหลุดรอดไปได้!” ชายเสื้อคลุมสีดำที่เป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์สั่งการ


“ได้!”


นักรบอมตะตัวจริงอีก 2 คนที่ยืนอยู่ด้านหลังประสานมือพร้อมกับโค้งคำนับเล็กน้อยเพื่อรับคำสั่ง ทั้งคู่ชักดาบออกมาและพุ่งเข้าใส่อย่างไม่ลังเล ดาบของพวกเขาเป็นอาวุธระดับอมตะขั้นสูงเช่นกัน


คนหนึ่งเคลื่อนไหวไปทางซ้าย อีกคนไปทางขวา ทั้งคู่ขนาบข้างผู้อาวุโสโฉวหั่วไว้และโจมตีเขาจาก 2 ทิศทางพร้อมกัน


จากนั้น ทั้ง 3 ก็เข้าโรมรันพันตู


เห็นภาพนั้น จางเซวียนเลิกคิ้ว


เขาประหลาดใจที่พบว่าชายเสื้อคลุมสีดำ 2 คนที่เป็นนักรบอมตะตัวจริงสามารถสู้กับนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์อย่างผู้อาวุโสโฉวหั่วได้อย่างทัดเทียมกัน ไม่เพียงเท่านั้น ยังดูเหมือนจะค่อยๆพลิกสถานการณ์มาถือไพ่เหนือกว่าด้วย!


ความแตกต่างในพละกำลังระหว่างนักรบอมตะตัวจริงและนักรบอมตะขั้นสูงเทียบได้กับความแตกต่างของวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่กับนักปราชญ์โบราณ วรยุทธ 2 ขั้นนี้ห่างกันมากจนไม่อาจเทียบชั้นกันได้เลย


นักรบอมตะขั้นสูงระดับล่างสามารถเล่นงานนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์กว่า 10 คนได้อย่างง่ายดาย


ด้วยเหตุนี้ จึงยากที่จะเชื่อว่านักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์สองคนจะสามารถรับมือกับนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์อย่างผู้อาวุโสโฉวหั่วได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ขนาดเห็นกับตา จางเซวียนก็ยังแทบไม่อยากเชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นจริง


แต่สถานการณ์ตอนนี้ก็ไม่เอื้อให้เขามีเวลาสนใจการต่อสู้ของคนอื่น ชายเสื้อคลุมสีดำที่ถูกตัดมือออกไปก่อนหน้านี้เริ่มปล่อยการโจมตีอันหนักหน่วงเป็นชุดเข้าใส่ ทำให้จางเซวียนถอยกรูดไปครั้งแล้วครั้งเล่า


แม้จะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ดูเหมือนประสิทธิภาพการต่อสู้ของชายเสื้อคลุมสีดำจะไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย อันที่จริง ดูคล้ายกับว่าสิ่งนี้กระตุ้นบางอย่างที่อยู่ในส่วนลึกของเขา ทำให้ปล่อยพละกำลังออกมาได้อย่างไร้ขีดจำกัด ชายเสื้อคลุมสีดำฟาดฟันครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างคลุ้มคลั่ง เหมือนนักรบเสียสติในสนามรบที่ถูกธาตุไฟเข้าแทรก


“น้ำเต้าตงฉู่ อย่ามัวแกล้งตายน่ะ! ไม่เห็นหรือไงว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น?” จางเซวียนตวาดในใจ


“ผมเห็นแล้ว ก็แล้วไงล่ะ?” น้ำเต้าตงฉู่ตอบอย่างเกียจคร้านขณะว่ายวนอยู่ในจุดตันเถียนของจางเซวียน


“อ้าว แกกินดาบได้ไม่ใช่หรือ? ออกไปกลืนดาบของไอ้สารเลวพวกนั้นให้ฉันที!” จางเซวียนคำราม


ตอนที่ 2027 หุบปากแล้วรีบออกไป!

ในตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งนึกได้ว่าน้ำเต้าตงฉู่เคยกลืนดาบถงซังลงไปแล้วครั้งหนึ่ง ถ้ามันกลืนดาบของกลุ่มชายเสื้อคลุมสีดำได้ สถานการณ์ก็คงพลิกผัน


“ได้ ได้สิ” น้ำเต้าตงฉู่ตอบอย่างเกียจคร้าน “แล้วจำคำพูดของคุณไว้ด้วยนะ อย่าบังคับให้ผมคายมันออกมาทีหลัง! ตกลงไหม?”


“ตามนั้นแหละ เร็วๆเข้า!”


“เดี๋ยวก่อน ขอถามให้แน่ใจอีกที คุณอยากให้ผมกินดาบของไอ้สารเลวพวกนั้นให้หมด ถูกไหม?”


“หุบปากแล้วรีบออกไป!”


จางเซวียนรู้สึกเหมือนความดันเลือดพุ่งปรี๊ดจนใกล้จะแตก โลกนี้มีตัวอะไรที่น่ารำคาญขนาดนี้ด้วยหรือ?


ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเขาทำแบบเดียวกับมันไม่ได้ ป่านนี้คงใช้ขวานจามน้ำเต้าตงฉู่ให้แตกเป็นเสี่ยงๆไปนานแล้ว!


“ได้ ได้…” เมื่อได้รับอนุญาตจากจางเซวียน น้ำเต้าตงฉู่มองดาบที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตาตื่นเต้นก่อนจะเริ่มเคลื่อนไหว


“ฉันจะไม่มีวันยกโทษให้ใครที่เหยียดหยามฉัน ชดใช้ความหยิ่งผยองของแกด้วยชีวิตเสียเถอะ!”


ขณะที่จางเซวียนกำลังสื่อสารกับน้ำเต้าตงฉู่ ชายเสื้อคลุมสีดำก็รู้สึกได้ว่าตัวเองเสียสมาธิ เขากัดฟันกรอดจนฟันแทบร่วงออกมา จากนั้นก็คำรามกร้าว เงื้อดาบขึ้นแล้วฟันฉับลงมาอย่างแรง


ศิลปะเพลงดาบของเขาทั้งคมกริบและก้าวร้าว ทุกการโจมตีมีพลังหนักหน่วง เป้าหมายอยู่ที่จุดเป็นจุดตาย แม้จะแตกต่างจากเคล็ดวิชาเทียบฟ้ามาก แต่ก็ไม่อาจสบประมาทได้


เป็นไปได้ว่ามันคือศิลปะเพลงดาบเฉพาะของหอเทพเจ้า


ฟึ่บ!


แต่ฟันฉับลงไปได้เพียงครึ่งทาง ภาพตรงหน้าก็พร่าเลือน ทันใดนั้น เขารู้สึกได้ถึงความว่างเปล่า ราวกับมีเวทมนตร์ ดาบที่เขาถือไว้หายไปอย่างไร้ร่องรอย


“ฮะ?”


การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันทำให้ชายเสื้อคลุมสีดำเซถลาออกมาข้างหน้าเล็กน้อย แต่ก็รีบตั้งตัวและถอยกลับไป


เขาใช้ความพยายามมากมายเพื่อทำให้ดาบระดับอมตะขั้นสูงเล่มนี้ยอมจำนน และเมื่อครู่นี้มันก็ยังอยู่ในมือของเขา แล้วจู่ๆจะหายไปไหนได้?


ชายเสื้อคลุมสีดำมองไปรอบๆด้วยนัยน์ตาเบิกโพลง แต่ก็ไม่มีดาบให้เห็น


นรกอะไรกันนี่? ใครบอกเราได้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้น?


ดาบของผมอยู่ไหน? ดาบของผมอยู่ไหน?


“แก ไอ้สารเลว! แกใช้เวทมนตร์สกปรกอะไรกับฉัน?”


“บ้าที่สุด! แกมันรนหาที่ตายแล้ว!”


ขณะที่ชายเสื้อคลุมสีดำกำลังงมหาดาบ ก็ได้ยินเสียงตวาดก้องอยู่ไม่ห่างออกไป เขาหันขวับไปมอง เห็นดาบอีก 2 เล่มของสหายนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ทั้งสองคนของเขาหายวับไปเช่นกัน


จากนั้น เสียงพึมพำด้วยความงุนงงอย่างหนักก็ดังขึ้น


“ไม่ใช่ผมนะ ดาบของผมก็หาย!”


ดาบที่อยู่ในมือของผู้อาวุโสโฉวหั่วก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


(1 จ้าง = 3.33 เมตร)


จางเซวียนโมโหจนแทบลมจับ


เขารู้ว่าน้ำเต้าตงฉู่ไว้ใจไม่ได้ แต่ไม่นึกเลยว่ามันจะปัญญาอ่อนได้ขนาดนี้!


“ฉันบอกให้แกกินดาบของไอ้สารเลวพวกนั้น แล้วแกกินดาบของผู้อาวุโสโฉวหั่วลงไปด้วยทำไม?”


เขาเป็นนักดาบ ความแข็งแกร่งสูงสุดของเขาอยู่ที่ศิลปะเพลงดาบ แกคิดว่าเขาจะสู้กับพวกนั้นได้อย่างไรหากไม่มีดาบในมือ?


ขณะที่จางเซวียนกำลังครุ่นคิด นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ 2 คนที่สวมเสื้อคลุมสีดำก็เริ่มปะทะกับผู้อาวุโสโฉวหั่วอีกครั้ง


เพราะไม่มีดาบในมือ ประสิทธิภาพการต่อสู้ของผู้อาวุโสโฉวหั่วจึงลดลงมาก เมื่อถูกทั้งคู่โจมตี เขาค่อยๆตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบไปทีละน้อย


เราต้องรีบจัดการหมอนี่เพื่อช่วยผู้อาวุโสโฉวหั่ว จางเซวียนคิด


รู้ดีว่าเวลาไม่คอยท่า จางเซวียนตัดสินใจไม่แยแสน้ำเต้าตงฉู่และจ่อดาบถงซังเข้าใส่ชายเสื้อคลุมสีดำที่อยู่ตรงหน้า


เมื่อไม่มีดาบในมือ ประสิทธิภาพการต่อสู้ของชายเสื้อคลุมสีดำถูกลดทอนลงมาก หลังจากปะทะกันหลายครั้ง ก็ปรากฏบาดแผลหลายแห่งทั่วร่างของเขา


ขณะกำลังโจมตีชายเสื้อคลุมสีดำ จางเซวียนก็คอยจับตานักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์อีกคนหนึ่งไว้ แต่หมอนั่นก็ดูไม่คิดจะเข้ามาช่วยเพื่อนเลย จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วโจมตีอย่างหนักหน่วงต่อไป


ฉึกกกก!


หลังจากผ่านไป 3 กระบวนท่า ดาบถงซังก็แทงทะลุหน้าผากของชายเสื้อคลุมสีดำ จางเซวียนบิดดาบไปด้านข้างอย่างแรง


โพละ!


ศีรษะของชายเสื้อคลุมสีดำแบะออกจากกัน ทำให้เขาตายทันที


ในตอนนั้น นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ยังคงยืนนิ่ง ราวกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ธุระของเขา


“พวกคนจากหอเทพเจ้านี่เลือดเย็นจริงๆ” เสียงผู้อาวุโสโฉวหั่วดังเข้าหูจางเซวียน “พวกเขาสนใจแค่การปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ ส่วนชะตากรรมของมิตรสหายจะเป็นอย่างไรนั้นไม่มีความหมายเลย”


จางเซวียนพยักหน้ารับ เขารีบพุ่งเข้าใส่นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ที่อยู่ใกล้ที่สุดเพื่อแบ่งเบาภาระของผู้อาวุโสโฉวหั่ว


ด้วยการที่เพิ่งฝ่าด่านไปเป็นนักรบอมตะตัวจริงระดับล่างได้หมาดๆ ผนวกกับดาบถงซัง ประสิทธิภาพการต่อสู้ของจางเซวียนจึงเทียบเท่ากับนักรบอมตะขั้นสูงโดยทั่วไป เพียงครู่เดียว นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ก็หันมารับมือกับจางเซวียน


เมื่อภาระหนักหน่วงตรงหน้าบรรเทาไป ผู้อาวุโสโฉวหั่วรีบเล่นงานนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์อีกคนหนึ่งที่เหลือด้วยการใช้พลังฝ่ามือก่อนจะหันไปมองสภาพของจางเซวียน ในเมื่อเขารับมือกับทั้งสองด้วยความยากลำบาก จึงไม่แน่ใจว่าจางเซวียนจะสู้ไหวหรือไม่


“คุณทำให้ดาบถงซังยอมจำนนได้แล้วหรือ?”


นั่นคือดาบที่ท่านเจ้าสำนักมอบให้จางเซวียนเมื่อตอนอยู่ที่สภาผู้อาวุโส จากนั้นอีกฝ่ายก็แจ้นมาที่เมืองอู๋ไห่ทันที เมื่อมาถึงเมืองอู๋ไห่ ก็เข้าไปสำรวจหอนิรันดร์ และไม่นานหลังจากนั้นก็ไปที่ตลาดอู๋ไห่เพื่อตรวจสอบของล้ำค่าบางอย่าง…


ทั้งที่มีธุระยุ่งเหยิงขนาดนี้ เอาเวลาที่ไหนไปทำให้ดาบถงซังยอมจำนนได้? ยิ่งไปกว่านั้น ยังเข้าถึงระดับของความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างดาบกับมนุษย์ด้วย ซึ่งหมายความว่าดาบถงซังยอมรับเขาอย่างสิ้นเชิงแล้ว!


การทำให้ดาบระดับอมตะขั้นสูงยอมจำนนมันง่ายดายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?


ถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมกว่าเขาจะทำให้ดาบของตัวเองยอมจำนนได้ถึงยากเย็นเหลือเกิน?


นอกจากจะเสียเลือดไปหลายลิตร ยังหมดเงินทองไปมากมายเพื่อการนี้


แค่คิดว่าทั้งหมดทั้งมวลที่เขาลงทุนไปกับดาบต้องหายวับไปในชั่วพริบตา ผู้อาวุโสโฉวหั่วก็ปวดใจแล้ว เขาจ้องหน้านักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ที่อยู่ตรงหน้าด้วยนัยน์ตาโกรธเกรี้ยวราวกับมีเปลวเพลิงแผดเผาอยู่ภายใน


ตัวการจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าสองคนนี้! ไม่อย่างนั้น ทำไมจู่ๆดาบของเขาถึงหายไปในระหว่างการต่อสู้?


“แก ไอ้สารเลว คืนดาบของฉันมานะ!”


ผู้อาวุโสโฉวหั่วปล่อยพลังจากฝ่ามือออกไปครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความโกรธเกรี้ยว


เขาเป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ หนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในมิติเบื้องบน พละกำลังเต็มพิกัดของเขาทำให้มิติลี้ลับสั่นสะท้านไม่หยุด ราวกับใกล้จะพังทลายในไม่ช้า


พลั่ก!


เมื่อถูกแรงปะทะจากพลังฝ่ามือของผู้อาวุโสโฉวหั่วเข้าอย่างจังหลายครั้ง นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ก็มีสีหน้าย่ำแย่จนแทบกระอักเลือดออกมา


คุณสมองเพี้ยนหรือไง? ผมไม่ได้เอาดาบของคุณไปสักหน่อย!


ก็ถ้าผมเอาดาบของคุณไป ทำไมดาบของผมถึงหายไปด้วย?


“คุณมันชั่วช้า คิดหรือว่าผมจะปล่อยให้คุณลอยนวลหลังจากขโมยของรักของผมไป? คืนดาบของผมมาเดี๋ยวนี้!” ผู้อาวุโสโฉวหั่วตวาดก้องราวกับคนบ้า


“ก็บอกแล้วไงว่าผมไม่ได้เอาไป! คุณต่างหากที่ต้องคืนดาบให้ผม!” นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ตะโกนสวนอย่างหงุดหงิด


เขากำลังจะปลิดชีวิตของผู้อาวุโสโฉวหั่วด้วยความขุ่นเคือง ก็พอดีกับที่รู้สึกเจ็บแปลบบริเวณจุดชีพจรที่ร่างกายส่วนล่าง เขาหันกลับไป และเห็นจางเซวียนที่สู้กับสหายของเขาเมื่อครู่นี้โผล่พรวดมายืนอยู่ด้านหลัง แน่นอนว่าอาการเจ็บแปลบนั้นมาจากดาบของชายหนุ่ม


“อ๊ากกกก!”


เลือดสดๆพุ่งออกจากจุดชีพจรบริเวณร่างกายท่อนล่างของเขา


“อ้าว แย่จริง ผมพลั้งมือแทงคุณด้วยดาบเสียแล้ว” จางเซวียนตอบด้วยสีหน้าขอโทษขอโพยขณะชักดาบกลับอย่างแรง


“คุณ…”


นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์คับแค้นใจ แต่เพราะมีนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์อีกคนหนึ่งยืนขวางไว้ และรู้ดีว่านี่คือคู่ต่อสู้ที่เขาต้องรับมือด้วยในเวลานี้ จึงจำเป็นต้องปล่อยชายหนุ่มไปก่อน


เขาพุ่งเข้าโจมตีผู้อาวุโสโฉวหั่วด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง แต่หลังจากผ่านไปเพียง 2 กระบวนท่า ก็รู้สึก เจ็บแปลบที่ลำไส้


เมื่อหันกลับไป ก็เห็นสีหน้าขอโทษขอโพยของจางเซวียนอีกครั้ง


“สวรรค์โปรด ผมทำพลาดอีกแล้ว!”


“พลาดกับผีอะไร!” นักรบอมตะตัวจริงสวรรค์คำรามกร้าว


ผมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณด้วยซ้ำ ทำไมถึงเล่นงานผมซ้ำแล้วซ้ำอีก?


ทำพลาด? ไปตายซะ! คนเราจะทำผิดพลาดกันอย่างหน้าด้านๆแบบนี้หรือ?


ไม่ต้องสงสัยเลย คุณจงใจทำแน่!


นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ผู้นั้นกำลังคิดจะปล่อยคู่ต่อสู้ของเขาไว้ก่อนเพื่อหันกลับมาสังหารจางเซวียน ก็พอดีกับที่รู้สึกได้ว่ามีแรงกดดันมหาศาลตรงเข้าเล่นงานเขา ผู้อาวุโสโฉวหั่วเพิ่งปล่อยการโจมตีเข้าใส่อีกครั้ง


พลังฝ่ามือที่ถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่องทำให้เขาขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้ เลือดสดๆทะลักออกจากร่าง ทางเดินพลังปราณของเขากระตุกจากแรงปะทะ และยังไม่ทันจะรู้ตัว ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว


แบบนี้ไม่ได้การ ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป เราต้องตายแน่ นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียด


เขาเค้นหัวสมองด้วยสีหน้าย่ำแย่เพื่อหาทางออก ก็พอดีกับที่รู้สึกเจ็บแปลบอีกครั้งที่บั้นท้าย เมื่อหันกลับไป ก็เห็นสีหน้าขอโทษขอโพยของจางเซวียนอีกครั้งพร้อมการโบกมือ “มันเป็นความผิดพลาด ความผิดพลาด!”


“ผิดพลาดบ้านแกน่ะสิ!”


เมื่อทนไม่ไหวอีกต่อไป นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ไม่แยแสผู้อาวุโสโฉวหั่วและพุ่งเข้าเล่นงานจางเซวียน แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ปล่อยการโจมตี ก็รู้สึกได้ถึงกระแสดาบฉีที่ระเบิดในร่างกายของเขาจากคมดาบของอีกฝ่าย


อวัยวะภายในทุกส่วนของเขาแหลกละเอียด ศพนั้นร่วงลงไปกองกับพื้นด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ


ส่วนจางเซวียน เมื่อเห็นว่าสามารถกำจัดนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ได้อีกคนหนึ่งแล้ว ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก


คนจากหอเทพเจ้านี่ทรงพลังจริงๆ แม้ด้วยวรยุทธอมตะตัวจริงระดับล่างและดาบถงซังของเขา การเล่นงานคนพวกนั้นให้พ่ายแพ้ก็ต้องใช้ราว 100 กระบวนท่า


ด้วยเหตุนี้ เขาจึงจงใจล่อชายเสื้อคลุมสีดำคนหนึ่งออกไป และเล่นงานคนที่กำลังสู้กับผู้อาวุโสโฉวหั่ว


จางเซวียนต้องอาศัยการยั่วยุหลายครั้งกว่าจะทำให้อีกฝ่ายโมโหเดือดจนเปิดเผยจุดอ่อนได้ ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น เขาก็เล่นงานจุดอ่อนของอีกฝ่ายทันที


ด้วยสิ่งนี้ นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ที่เหลืออีกคนหนึ่งจึงไม่ต่างอะไรกับลูกไก่ในกำมือ จางเซวียนผนึกกำลังกับผู้อาวุโสโฉวหั่วและเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย


ตอนที่ 2028 ตลกสิ้นดี!

น่าประหลาดใจที่แม้ทั้งคู่จะสังหารนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ไปถึง 3 คนแล้ว แต่ชายเสื้อคลุมสีดำที่เป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์จากหอเทพเจ้าก็ยังไม่แสดงอาการว่าจะเข้าขัดขวาง เขายิ้มน้อยๆแล้วพูดว่า “คุณเป็นคนพิเศษจริงๆ ภายในระยะเวลาอันสั้น ก็วางแผนสังหารสมาชิก 3 คนของหอเทพเจ้าได้สำเร็จ ไม่แปลกใจแล้วที่หัวหน้าต้องการให้พวกเราจับคุณเป็นๆ”


จากนั้น นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ก็ย่างสามขุมเข้าหาจางเซวียน


“จับผมเป็นๆ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


เขาเองก็สงสัยอยู่ว่าทำไมชายเสื้อคลุมสีดำพวกนั้นถึงไม่ชักอาวุธออกมาตั้งแต่แรก กลับกลายเป็นว่าพวกนั้นเกรงว่าจะพลั้งมือสังหารเขา แต่ลงท้ายก็รู้แล้วว่าไม่มีทางเอาชนะเขาได้หากปราศจากอาวุธในมือ


แน่นอนว่าแม้จะถูกบีบให้จนมุมแล้ว พวกเขาก็ยังไม่ระเบิดพลังจากวรยุทธหรืออะไรทำนองนั้นออกมา เห็นได้ชัดว่าพวกนั้นเกรงว่าจะพลั้งมือทำอะไรรุนแรงเกินไป


“ใช่แล้ว” นักรบอมตะขั้นสูงสวรรค์ตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ “มันคือบททดสอบของพวกเขาสำหรับการจับตัวคุณเป็นๆ ซึ่งผมคิดว่าพวกนั้นจะทำได้โดยไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือของผม บอกได้เลยว่าความแข็งแกร่งของคุณเหนือกว่าที่ผมคาดไว้มาก ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น คุณก็จะได้รับเกียรติให้เผชิญหน้ากับผม!”


“ต้องผ่านผมไปก่อนถ้าคิดจะเล่นงานเขา!” ผู้อาวุโสโฉวหั่วถลันเข้าขวางและคำราม


แม้จะไม่มีดาบในมือ แต่เจตจำนงเพลงดาบที่โอบล้อมร่างของเขาอยู่ก็หนักหน่วงจนดูเหมือนจะพุ่งทะลุผ่านมิติลี้ลับได้


“ผมได้ยินมานานแล้วว่าคนของหอเทพเจ้าล้วนเป็นนักรบผู้ไร้เทียมทาน จึงอยากพิสูจน์เรื่องร่ำลือเหล่านั้นให้เห็นกับตา”


“คุณน่ะหรือ?” นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ส่ายหน้าและหัวเราะหึๆ ราวกับจะเยาะเย้ยไอ้โง่ที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร


เขากระดิกนิ้วเบาๆ


ฟึ่บ!


ร่างของผู้อาวุโสโฉวหั่วลอยขึ้นสู่กลางอากาศ เลือดพุ่งออกจากปาก ไม่ว่าจะทำอย่างไรเขาก็ควบคุมตัวเองไม่ได้


นัยน์ตาของผู้อาวุโสโฉวหั่วเต็มไปด้วยความพรั่นพรึง


ตอนที่เขาพบว่านักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ทั้งสองคนสู้กับเขาได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ก็รู้แล้วว่า ชายผู้นี้จะต้องเป็นคู่ต่อสู้ที่ไร้เทียมทาน แต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะทรงพลังขนาดนี้


สามารถสกัดกั้นพลังงานในร่างของเขาไว้ได้ทั้งหมดภายในกระบวนท่าเดียว ไม่เปิดช่องให้เขาถอยได้เลย…


“ดูเหมือนคุณก็ไม่เหลาเหย่เสียทีเดียวนะ” นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์คำรามเยาะ


นับตั้งแต่วินาทีที่อีกฝ่ายเริ่มเคลื่อนไหวจนกระทั่งพูดจบ ก็ไม่มีการหยุดชะงักเลย หรือพูดอีกอย่างก็คือ แม้เขาจะเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักดาบเมฆเหิน แต่ก็ไม่มีเวลาแม้จะได้สูดหายใจสักเฮือกก่อนจะถูกตรึงให้ไร้เรี่ยวแรงอยู่กลางอากาศ


ไม่แปลกใจแล้วที่ชายเสื้อคลุมสีดำไม่ยอมเคลื่อนไหวแม้นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ทั้ง 3 จะถูกสังหารไปก่อนหน้านี้ เพราะด้วยพละกำลังของอีกฝ่าย เขาไม่จำเป็นต้องผนึกกำลังกับใคร!


ขณะที่ตรึงร่างของผู้อาวุโสโฉวหั่วไว้ด้วยนิ้วเดียว นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ก็หันไปถามจางเซวียนด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “คุณจะมากับผม หรือจะรอให้ผมลงมือ?”


ด้วยระดับพละกำลังของเขา เขาไม่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำรุนแรงเกรี้ยวกราด ไม่มีอะไรที่จะเสียงดังไปกว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริง!


แทนการตอบคำถามของอีกฝ่าย จางเซวียนจ้องหน้าชายเสื้อคลุมสีดำและถามว่า “ทำไมหัวหน้าของคุณถึงอยากจับผมเป็นๆ? เพราะผมทำความเข้าใจเจตจำนงของเทพเจ้าได้สำเร็จใช่ไหม?”


“นั่นไม่ใช่เรื่องที่คุณจำเป็นต้องรู้” นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย


“ผมก็คิดว่าคุณคงไม่บอกอะไรอยู่แล้ว…” จางเซวียนส่ายหน้าและถอนหายใจ “บอกตามตรงนะ ดูเหมือนคุณจะเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอในมิติเบื้องบนนอกเสียจากเจ้าสำนักหาน แต่คุณเทียบชั้นกับผมไม่ได้หรอก แค่ใช้ความคิดแวบเดียว ผมก็เล่นงานคุณได้แล้ว”


“ผมเทียบชั้นกับคุณไม่ได้?” นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์หัวเราะลั่น “คุณจะลองไหมล่ะ?”


ปฏิเสธไม่ได้ว่าชายหนุ่มคนนี้ทรงพลัง อันที่จริง ชายหนุ่มน่าจะเอาชนะนักรบทุกคนในหอเทพเจ้าที่มีวรยุทธขั้นเดียวกันกับตัวเขาได้อย่างง่ายดาย


แต่โชคร้ายที่วรยุทธของชายหนุ่มยังอ่อนด้อยไปหน่อย ถือว่ากระดูกคนละเบอร์


แถมยังกล้าอวดอ้างว่าตัวเขาเทียบชั้นกับตัวเองไม่ได้…


ตลกสิ้นดี!


ผู้อาวุโสโฉวหั่วที่ถูกตรึงไว้ก็พูดไม่ออกกับถ้อยคำเหลวไหลของจางเซวียน


น้องชาย…นี่มันความเป็นความตายนะ คุณจะช่วยจริงจังและหยุดโม้ก่อนได้ไหม?


ถ้าไอ้การโม้จะช่วยให้เอาชนะเขาได้ ผมคงโม้ไปนานแล้ว ไม่เห็นหรือไงว่าผมถูกตรึงไว้ตรงนี้ตั้งแต่ยังไม่ทันโม้จบ?


“ก็ใช่น่ะสิ ถ้าคุณไม่เชื่อผม เราท้าพนันกันไหม?” จางเซวียนย้อนถาม


นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์หัวเราะหึๆและดูจะเกิดความสนใจขึ้นมา เขาตั้งคำถามโดยเอาสองมือไพล่หลังไว้ “คุณจะเดิมพันด้วยอะไร?”


ด้วยความแข็งแกร่งในระดับเขา เขาไม่เกรงกลัวความพยายามในการจัดฉากใดๆของจางเซวียนทั้งนั้น


“ง่ายนิดเดียว ผมอยากให้คุณยืนนิ่งอยู่กับที่ ห้ามเคลื่อนไหว ถ้าคุณต้านทานการโจมตีของผมได้ ผมจะไปกับคุณโดยไม่อิดออด แต่ถ้าไม่…ก็เกรงว่าคงต้องเป็นจุดจบของคุณแล้วล่ะ” จางเซวียนตอบ


“คุณกำลังท้าทายผมให้ต้านทานการโจมตีของคุณ?” นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์เลิกคิ้ว “คุณมีอาวุธระดับกึ่งสรวงสวรรค์อยู่กับตัวหรือ?”


การที่อีกฝ่ายกล้าท้าพนันแบบนี้บ่งบอกชัดว่าเขามีไม้ตายบางอย่างซ่อนอยู่ เป็นไปได้ว่าอาจเป็นอาวุธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์


แต่ต่อให้มีอาวุธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อยู่ในมือ ก็ไม่มีทางเอาชนะเขาได้ง่ายดายขนาดนั้น


“มันไม่ใช่อาวุธ แต่เป็นหนังสือเล่มหนึ่ง ถ้าคุณต้านทานน้ำหนักของหนังสือของผมได้ ผมจะยอมทำทุกอย่างที่คุณอยากให้ทำ แต่ถ้าไม่…ก็อย่าต่อว่ากันนะที่ผมไม่ออมมือให้คุณ” จางเซวียนตอบ


“หนังสือ?” นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์หัวเราะลั่น “คุณล้อผมเล่นแน่ๆ คิดจริงๆหรือว่าหนังสือเล่มหนึ่งจะฆ่าผมได้?”


“พนันกับผมสิ แล้วเราจะได้เห็นกัน” จางเซวียนพูด “เพราะต่อให้คุณปฏิเสธไม่รับคำท้าและใช้กำลังพาตัวผมไป ผมก็ทำอะไรไม่ได้ เพียงแต่มันออกจะดูเลวร้ายอยู่สักหน่อยที่นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์จากหอเทพเจ้าจะหวาดกลัวผมที่เป็นแค่นักรบอมตะตัวจริงระดับล่าง เท่าที่เห็น ดูเหมือนหอเทพเจ้าจะไม่ได้น่าประทับใจเท่าไหร่!”


“อมตะตัวจริงระดับล่าง?”


ได้ยินคำนั้น ผู้อาวุโสโฉวหั่วที่ถูกตรึงอยู่กลางอากาศรีบพิจารณาจางเซวียนอย่างถี่ถ้วน ตอนนั้นเองที่เขาพบว่าระดับวรยุทธของอีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงไป


เรื่องนี้ทำให้เขาจังงัง


การต่อสู้ก่อนหน้านี้ส่งผลให้ตัวเขาตกอยู่ในอันตรายเสียจนไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น นึกไม่ถึงเลยว่าจางเซวียนจะฝ่าด่านวรยุทธได้ในระยะเวลาอันสั้นหลังจากที่ออกจากสำนักดาบเมฆเหิน


ถ้าข้อมูลที่พวกเขาได้มาเป็นเรื่องจริง ตอนที่จางเซวียนเข้าสู่สำนักดาบเมฆเหินเป็นครั้งแรก เขาน่าจะเป็นนักรบผู้ทำลายล้างมิติขั้นต้น แต่เพียงวันกว่าๆ วรยุทธของอีกฝ่ายก็พุ่งพรวดไปเป็นนักรบอมตะตัวจริงระดับล่างแล้ว


แต่…น้องชาย ไม่ว่าผมจะมองคุณอย่างไร ดูเหมือนสิ่งเดียวที่คุณสนใจก็คือการสร้างปัญหา หลังจากก่อความยุ่งยากเรื่องราวเรื่องเล่า คุณเอาเวลาที่ไหนไปฝึกฝนวรยุทธ?


เพียงแค่หายใจ ระดับวรยุทธของคุณก็เพิ่มสูงขึ้นแล้วใช่ไหม?


ที่สำคัญกว่านั้น คุณหมายความว่าอย่างไรที่ว่าจะสังหารอีกฝ่ายด้วยหนังสือเล่มหนึ่ง?


พูดจริงหรือเปล่า?


ผู้อาวุโสโฉวหั่วมีชีวิตมายาวนานกว่า 200 ปี อ่านหนังสือมาแล้วหลายแสนเล่ม แต่ก็ไม่เคยเห็นหนังสือเล่มไหนที่ฆ่าคนได้!


“มายั่วโมโหผมน่ะไม่มีประโยชน์หรอก” ชายเสื้อคลุมสีดำที่เป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ตอบอย่างไม่แยแส


“ผมรู้ว่าคนทรงพลังอย่างคุณไม่ตกหลุมพรางการยั่วยุของผมแน่ แต่คุณก็ไม่ควรดูถูกความตั้งใจของผมนะ ถ้าไม่ตอบตกลงล่ะก็ ผมยอมจบชีวิตเสียตรงนี้ดีกว่าที่จะไปกับคุณ” จางเซวียนตอบ


“จบชีวิตของคุณ?” นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์หัวเราะลั่น “คุณคิดจริงๆหรือว่าอยู่ต่อหน้าผมแล้วจะมีโอกาสทำแบบนั้น?”


“ดูเหมือนคุณจะถูกความหยิ่งผยองปิดหูปิดตาเสียหมด” จางเซวียนตอบพร้อมกับยิ้มให้ “ดาบระดับอมตะขั้นสูงพวกนั้นหายไปก่อนที่คุณจะทันรู้ตัวเสียอีก ไม่ใช่หรือ?”


คำพูดนั้นทำให้ชายเสื้อคลุมสีดำหรี่ตาด้วยความตกตะลึง


ก็จริง ด้วยพละกำลังของเขา เขาไม่จำเป็นต้องเสียเวลาพูดกับจางเซวียนเลย เขาสามารถจับตัวจางเซวียนและลากอีกฝ่ายไปที่หอเทพเจ้าได้อย่างง่ายดาย แต่เหตุผลที่เขาต้องลงทุนทำขนาดนี้ก็เพราะอาวุธระดับอมตะขั้นสูงเหล่านั้นหายไปอย่างประหลาดพิสดาร!


แม้เขาจะเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ตลอด แต่ก็ไม่เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร


ด้วยเหตุนี้ เขาจึงคิดว่าน่าจะมีพลังที่แข็งแกร่งบางอย่างก่อตัวอยู่ในพื้นที่นี้ และเขาก็ทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปกับการเฝ้าระวังมัน นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขามองลูกน้องของตัวเองถูกสังหารต่อหน้าต่อตาได้โดยไม่ยอมเคลื่อนไหว เพราะเกรงว่าหากเปิดเผยจุดอ่อนไป พลังนั้นอาจสังหารเขาได้ในชั่วพริบตา


นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์คำราม “ผมพนันกับคุณก็ได้ แต่คุณใช้ได้เฉพาะพละกำลังของคุณเองเท่านั้นนะ ถ้ามีใครเข้ามายุ่งเกี่ยวล่ะก็ ผมไม่รับประกันว่าผมจะรักษาคำพูด”


เขาเฝ้าดูการต่อสู้ของชายหนุ่มมาตลอด ซึ่งไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีไม้ตายแบบไหน ก็ไม่มีทางสังหารเขาได้ สิ่งเดียวที่เขากังวลก็คือ ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ ที่ทำให้ดาบทั้งหมดหายวับไป


ขอแค่ ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ นั่นไม่ปรากฏตัว ก็ไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น


แต่ก็แน่นอนว่าต่อให้ ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ ปรากฏตัวจริงๆ อีกฝ่ายก็ไม่น่าเทียบชั้นกับเขาได้ ในมิติแห่งนี้ เขาคือผู้ควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เว้นเสียแต่วรยุทธของอีกฝ่ายจะเข้าถึงขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ ก็ไม่มีใครเอาชนะเขาได้อย่างแน่นอน


อันที่จริง เขาแทบไม่กังวลอะไร ต่อให้เจ้าสำนักดาบเมฆเหินมาปรากฏตัวตอนนี้ก็ตาม


“ผมไม่มีปัญหา” จางเซวียนพยักหน้า


แน่นอนว่าสิ่งที่เขากำลังจะทำก็คือใช้ประสิทธิภาพของหน้าหนังสือสีทอง


เหตุผลที่จางเซวียนยอมเสียเวลาพูดอะไรมากมายก็เพราะมิติลี้ลับแห่งนี้ถูกปิดกั้นไว้จากสายตาของสวรรค์ เขาจึงไม่รู้ว่าสิ่งนั้นจะส่งผลกระทบต่อความสามารถของเขาหรือไม่


อีกอย่าง ด้วยความทรงพลังของนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ มีความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะมีวิธีเอาตัวรอดมากมาย ถ้าอีกฝ่ายรับรู้ถึงพละกำลังมหาศาลของหน้าหนังสือสีทองล่วงหน้าแล้วหลบหนีไปเสียก่อนที่หน้าหนังสือสีทองจะได้เข้าใกล้ จางเซวียนก็อาจต้องลงเอยด้วยการสูญเสียหน้าหนังสือสีทองไปโดยไม่ได้อะไรกลับมา


นั่นเรียกได้ว่าเป็นหายนะ โดยเฉพาะเมื่อเขามีหน้าหนังสือสีทองเพียงหน้าเดียว ตอนนี้จางเซวียนมีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น จึงต้องทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อเพิ่มโอกาสของการประสบความสำเร็จ


ถ้าการสัญญิงสัญญาครั้งนี้สามารถยื้อการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายไปได้แม้เสี้ยววินาที ก็คุ้มค่าต่อความพยายามแล้ว!


ตอนที่ 2029 นี่มันอันตรายเกินไปแล้ว

“เอาล่ะ ผมจะยืนตรงนี้ ขอดูหน่อยว่าคุณมีอะไรอยู่กับตัวบ้าง” ชายเสื้อคลุมสีดำยืนนิ่งขณะจ้องมองจางเซวียนอย่างเฉยเมย


แม้จะไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวสักนิด แต่อันที่จริงเขากำลังขับเคลื่อนพลังปราณอย่างดุเดือดเพื่อปกป้องตัวเองจากอะไรก็ตามที่กำลังเข้ามา เขาเชื่อว่าจางเซวียนจัดฉากสร้างเรื่องทั้งหมดนี้เพื่อทำให้เขาวอกแวก จึงเตรียมตัวพร้อม เผื่อว่า ‘ผู้เชี่ยวชาญที่ซ่อนตัวอยู่’ จะเปิดการโจมตี


“ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มเลย…”


ด้วยการใช้ความคิด จางเซวียนใช้หน้าหนังสือสีทองที่ก่อตัวขึ้นตอนที่เขารับไป๋เหรินชิงเป็นศิษย์สายตรงอย่างเป็นทางการ หน้าหนังสือสีทองพุ่งออกจากหว่างคิ้วของเขาไปปรากฏตัวอยู่เหนือร่างของนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ในชั่วพริบตา


“มันคือหนังสือจริงๆหรือ?” ชายเสื้อคลุมสีดำถึงกับผงะ


เขาคิดว่าเรื่องนี้เป็นแค่เรื่องเหลวไหลที่อีกฝ่ายพูดเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเขา ใครจะไปรู้ว่ามันคือหนังสือเล่มหนึ่งจริงๆ!


ชายเสื้อคลุมสีดำจ้องมองหนังสือที่อยู่เหนือร่างของเขาอย่างถี่ถ้วน อยากรู้ให้ได้ว่ามันคือของล้ำค่าชนิดไหน แต่ก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าแม้ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้ของเขา ก็ยังมองไม่เห็นเนื้อแท้ของมัน


เขาไม่รู้สึกว่ามีพลังงานใดๆสะท้อนออกจากหนังสือเลย ทำให้ดูเป็นของธรรมดาสามัญมาก แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เขารู้สึกได้ถึงความกดดันอย่างหนักจากการปรากฏตัวของมัน ราวกับเขากำลังยืนอยู่ต่อหน้าสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่ไม่อาจต่อต้านมันได้ ไม่ว่าจะดิ้นรนขัดขืนสักแค่ไหน


แย่แล้ว เราติดกับของหมอนั่น นี่ไม่ใช่การเบี่ยงเบนความสนใจ แต่เป็นกระบวนท่าสังหารจริงๆ! นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์นัยน์ตาเบิกโพลงเมื่อพลันเข้าใจทุกอย่าง


เขาไม่รู้ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นของล้ำค่าระดับกึ่งสรวงสวรรค์หรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ก็คือมันมีวรยุทธสูงส่งไม่เบา


ถ้าหนังสือเล่มนี้ตกทับร่างของเขา แม้ด้วยพละกำลังที่เขามีอยู่ ก็ไม่มั่นใจว่าจะต้านทานไหว


“จัดการ!”


ชายเสื้อคลุมสีดำชักดาบออกมาแล้วพุ่งเข้าใส่จางเซวียนโดยไม่ลังเล


ไม่ว่าอย่างไร เขาก็จะต้องเปิดการโจมตีก่อนเพื่อปกป้องตัวเอง


ครืนนนนน!


ด้วยพละกำลังมหาศาลของเขา เกิดรอยร้าวมากมายโดยรอบมิติที่โดยปกติแล้วจะมั่นคง ทำให้รู้สึกราวกับว่ามิติลี้ลับแห่งนี้กำลังจะพังทลาย


“จัดการเขา!” จางเซวียนเพ่งสมาธิ


ฟิ้ววววว!


หน้าหนังสือสีทองร่วงลงมาจากกลางอากาศ มันตกใส่ศีรษะของชายเสื้อคลุมสีดำอย่างจัง ทำให้ศีรษะนั้นแยกออกจากกัน


พลั่ก!


ศพของเขาร่วงลงไปกองกับพื้น


ผู้อาวุโสโฉวหั่วพลันรู้สึกว่าพละกำลังที่พันธนาการร่างกายของเขาไว้สลายไป ทำให้เคลื่อนไหวได้อีกครั้ง แต่ภาพที่ปรากฏตรงหน้าก็ทำให้เขาตกตะลึงจนไม่รู้จะพูดอะไร ใบหน้าของเขาซีดเผือด ตัวสั่นไม่หยุด


คงไม่เป็นการพูดเกินเลยหากจะบอกว่านักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์มีพละกำลังที่เทียบชั้นได้แม้แต่กับเจ้าสำนักของเขา แต่กลับถูกสังหารด้วยหนังสือเพียงเล่มเดียว…


มันคือการสังหารรวดเดียวอย่างเหมาะเจาะ ถึงขนาดที่อีกฝ่ายไม่มีแม้โอกาสตอบโต้


ผู้อาวุโสโฉวหั่วจับจ้องจางเซวียนอีกครั้ง แต่คราวนี้สายตาของเขาเปี่ยมด้วยความยำเกรง


ก่อนหน้านี้ เขามองจางเซวียนเป็นแค่รุ่นน้องคนหนึ่ง แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลายเป็นผู้ที่มีอาวุโสรุ่นเดียวกับเขาแล้ว ผู้อาวุโสโฉวหั่วสาบานเงียบๆกับตัวเองว่าจะไม่มีวันล้ำเส้นหรือทำอะไรให้ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าหงุดหงิดใจเป็นอันขาด


“ได้ผล!”


ส่วนอีกด้านหนึ่ง จางเซวียนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าหน้าหนังสือสีทองกำจัดศัตรูของเขาได้สำเร็จ


เขายังกังวลอยู่ว่าหน้าหนังสือสีทองอาจทำงานได้ไม่เต็มที่ เพราะครั้งสุดท้ายที่เขาใช้มัน ก็มีวรยุทธแค่ผู้ทำลายล้างมิติขั้นต้นเท่านั้น จางเซวียนจึงพยายามใช้เวลาเจรจาต่อรองกับอีกฝ่ายเพื่อเพิ่มโอกาสของการประสบความสำเร็จ แต่เท่าที่เห็น ก็ดูเหมือนที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น


หน้าหนังสือสีทองยังคงไร้เทียมทานเหมือนอย่างเคย!


ต่อให้ศัตรูจะทรงพลังแค่ไหน เขาก็สังหารอีกฝ่ายได้ด้วยหน้าหนังสือสีทองเพียงหน้าเดียว


จางเซวียนเดินเข้าหาร่างของนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ที่กองอยู่กับพื้นและสะบัดข้อมือ


ฟึ่บ!


ศพนั้นถูกเก็บเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติของเขา


จากนั้นจางเซวียนก็ทำแบบเดียวกันกับร่างของนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์อีก 3 คนที่เหลือ


ร่างของผู้เชี่ยวชาญในระดับขั้นนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นขุมสมบัติเดินได้ ขอแค่เขาใช้อย่างเหมาะสม ก็จะเพิ่มจำนวนไม้ตายที่มีอยู่ได้อีกมาก


ก่อนหน้านี้จางเซวียนไม่ได้คิดอะไร แต่เมื่อได้เห็นพละกำลังสูงส่งของคนจากหอเทพเจ้าด้วยตาตัวเอง ก็รู้แล้วว่าจะต้องระมัดระวังตัวให้มากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นอาจได้เสียชีวิตจริงๆ


ครืนนนนน!


เมื่อนักรบระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์เสียชีวิต ก็ไม่มีใครปลดปล่อยพละกำลังที่ช่วยพยุงมิติลี้ลับไว้อีก มันจึงสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว


ครู่ต่อมา เสียงอื้ออึงเซ็งแซ่ของถนนหนทางอันมีชีวิตชีวาก็แว่วเข้าหูของจางเซวียน เมื่อมองไปรอบๆ จางเซวียนก็รู้ว่าเขากลับมายังถนนที่อยู่ด้านนอกตลาดแล้ว


ผู้อาวุโสโฉวหั่วยังคงยืนอยู่ใกล้ๆด้วยสีหน้าจังงัง


เมื่อหายตะลึง เขาเร่งอย่างร้อนใจ “ผู้อาวุโสจาง กลับสำนักกันเถอะ…”


นี่มันอันตรายเกินไปแล้ว!


เขาเคยภาคภูมิใจในพละกำลังของตัวเอง แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับชายเสื้อคลุมสีดำ ก็ได้ลิ้มรสทั้งความจนปัญญาและความสิ้นหวัง


แม้ตัวเขากับคู่ต่อสู้จะเป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์เหมือนกัน แต่ช่องว่างของพละกำลังก็ต่างกันมากมายเหลือเกิน


จางเซวียนพยักหน้ารับ


ตอนนี้เขาไม่มีหน้าหนังสือสีทองเหลือแล้ว จึงต้องระวังตัวให้ดี หากบังเอิญพบผู้เชี่ยวชาญที่มีวรยุทธระดับเดียวกันกับชายเสื้อคลุมสีดำเมื่อครู่นี้อีก คงได้ตายแน่!


เห็นจางเซวียนตอบตกลง ผู้อาวุโสโฉวหั่วรีบใช้พลังปราณห่อหุ้มร่างของอีกฝ่ายไว้ ทั้งคู่ออกเดินทางกลับสู่สำนักดาบเมฆเหิน


ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าหอเทพเจ้าจะส่งคนมาตามล่าพวกเขาอีกเมื่อไหร่ การรีบกลับโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้จึงดีที่สุด ส่วนไป๋เหรินชิงน่าจะยังปลอดภัย เพราะไม่ได้เป็นเป้าหมายของหอเทพเจ้า พวกเขาค่อยส่งข่าวบอกเธอว่าเกิดอะไรขึ้นผ่านทางตราหยกสื่อสารในภายหลังก็ได้


“ผู้อาวุโสโฉวหั่ว ผมจำได้ว่าคุณเคยพูดว่าพวกคนจากหอเทพเจ้าล้วนแต่เลือดเย็น นั่นหมายความว่าอย่างไร?” จางเซวียนกินยาเม็ดอมตะขั้นสูงเข้าไปอีก 2-3 เม็ดก่อนจะตั้งคำถาม


“ผมเองก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหอเทพเจ้ามากนัก แต่ครั้งหนึ่งเคยได้ยินเจ้าสำนักหานพูดว่าหอเทพเจ้าคัดเลือกสมาชิกของพวกเขาด้วยวิธีการเดียวกันกับการเพาะเลี้ยงหนอนกู้ ผู้ที่ได้เข้าร่วมกับพวกเขาคือคนสุดท้ายที่อยู่รอดจากการต่อสู้นับครั้งไม่ถ้วน มือเปื้อนเลือดครั้งแล้วครั้งเล่า กระบวนการนี้ทำให้อารมณ์ความรู้สึกของพวกเขาด้านชา สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่คือเจตจำนงกับความมุ่งมั่นในการปฏิบัติภารกิจใดๆก็ตามที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ ส่วนที่นอกเหนือจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นความสูญเสียหรือใดๆก็แล้วแต่ ล้วนไม่มีความหมายกับพวกเขา” ผู้อาวุโสโฉวหั่วตอบ


หอเทพเจ้าเป็นกลุ่มอำนาจที่ลึกลับซับซ้อนอย่างน่าทึ่งในทวีปที่ถูกลืม และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับสมาชิกของหอเทพเจ้า ตอนแรกที่ได้ฟังเรื่องเล่าก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่เมื่อเจอตัวเป็นๆ ถึงได้รู้ซึ้งว่าหอเทพเจ้าเต็มไปด้วยปีศาจชนิดไหน


อย่างนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ที่จางเซวียนใช้ดาบทิ่มแทงครั้งแล้วครั้งเล่า อันที่จริงจางเซวียนไม่ได้ทำแบบนั้นเล่นๆ การโจมตีของเขาหนักหน่วงและตรงเป้าหมาย แต่นักรบอมตะตัวจริงผู้นั้น ถึงจะไม่ทันระวังตัว แต่ก็ควบคุมตัวเองได้ดีในวินาทีสุดท้าย จึงลดความบอบช้ำที่ได้รับลงไปได้มาก ไม่เพียงเท่านั้น ประสิทธิภาพการต่อสู้ของอีกฝ่ายยังดูจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อได้รับบาดเจ็บ ราวกับแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาชนะเขา


ส่วนคนที่ถูกจางเซวียนตัดมือก็เป็นแบบเดียวกัน การสูญเสียมือข้างหนึ่งไปมีแต่จะทำให้ศักยภาพแท้จริงของเขาเผยตัวออกมา


มีแต่ผู้ที่ผ่านสถานการณ์ประหนึ่งเหมือนอยู่ในนรกมาเท่านั้นที่จะสำแดงความอึดอย่างน่าสะพรึงขนาดนั้นออกมาได้ในการต่อสู้


“หอเทพเจ้าเคลื่อนไหวเพราะผมทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ พวกเขากลัวว่าผมจะพัฒนาตัวเองจนกลายเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจของพวกเขาใช่ไหม?” จางเซวียนยังสับสนเล็กน้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้น


ตอนที่เขาได้ยินเรื่องหอเทพเจ้าเป็นครั้งแรก ยังคิดว่ามันคือองค์กรทรงอำนาจที่ไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจธุระของมนุษย์ เว้นเสียแต่จะมีใครล้ำเส้นและท้าทาย แต่แล้วหอเทพเจ้าก็ส่งนักรบกลุ่มหนึ่งมาคร่าชีวิตเขาทันทีที่รู้ว่ามีตัวเขาอยู่ มันไม่เกินไปหน่อยหรือ?


รายละเอียดอีกอย่างที่จางเซวียนรับรู้ก็คือ ชายเสื้อคลุมสีดำกลุ่มนี้ได้รับคำสั่งให้จับตัวเขากลับไปเป็นๆ และดูเหมือนทุกคนจะหวาดกลัวมากว่าจะพลั้งมือฆ่าเขา เรื่องนี้ดูไม่มีเหตุผลเลย เพราะถ้าเป้าหมายของคนเหล่านั้นคือการกำจัดภัยคุกคาม ฆ่าเขาเสียเลยจะไม่ง่ายกว่าหรือ?


“เอ่อ…ผมเกรงว่าเรื่องนี้ผมจะไม่รู้ แต่เชื่อว่านั่นคือเหตุผลเบื้องต้น ไม่อย่างนั้น ท่านเจ้าสำนักหานคงไม่ส่งผมให้ตามมาปกป้องคุณหรอก” ผู้อาวุโสโฉวหั่วตอบ


“คนที่รู้ว่าผมทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จก็มีแต่เหล่าผู้อาวุโสในสภาผู้อาวุโสเท่านั้น” จางเซวียนพึมพำพร้อมกับขมวดคิ้ว “หอเทพเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นผม? อีกอย่าง พวกเขาลงมืออย่างรวดเร็วเหลือเกิน ราวกับรู้อยู่แล้วว่าผมอยู่ในเมืองอู๋ไห่”


นี่คือสิ่งที่น่าคิด


จางเซวียนได้ใช้หอสมุดเทียบฟ้าตรวจสอบภูมิหลังของผู้ที่อยู่ในสภาผู้อาวุโสแล้ว ซึ่งทุกคนล้วนแต่ไว้ใจได้


อีกอย่าง เขาตัดสินใจในช่วงเวลาเพียงไม่กี่นาทีในการมุ่งหน้าสู่เมืองอู๋ไห่ และไม่ได้บอกใครล่วงหน้า ดังนั้น จนกว่าเขาจะค้นหาความจริงที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ได้ คงไม่มีวันได้อยู่เป็นสุข


“หารือเรื่องนี้กับเจ้าสำนักหานเถอะ เขาน่าจะมีความคิดอะไรบางอย่าง” ผู้อาวุโสโฉวหั่วก็หาคำตอบไม่ได้ จึงได้แต่ส่ายหน้า


“ตอนนี้ไป๋เหรินชิงคงยังฝึกฝนวรยุทธอยู่ในห้องส่วนตัวของหอนิรันดร์ ผมขอรบกวนคุณให้แจ้งเธอด้วยว่าผมกลับสำนักแล้ว” จางเซวียนพูดขณะกินยาเม็ดอมตะขั้นสูงอีก 2 เม็ด


ผู้อาวุโสโฉวหั่วตอบรับด้วยการพยักหน้าก่อนจะเร่งความเร็ว


ตอนที่ 2030 เคล็ดวิชาเทพดาบเมฆเหิน?

10 นาทีต่อมา ทั้งคู่ก็กลับถึงสภาผู้อาวุโส


“คุณบอกว่าหอเทพเจ้าส่งทีมลอบสังหารมาเล่นงานผู้อาวุโสจางเซวียนหรือ?”


ได้ฟังรายงานของผู้อาวุโสโฉวหั่ว หานเจี้ยนชิวหน้าถอดสีด้วยความตกใจ


“ใช่” ผู้อาวุโสโฉวหั่วตอบ “พวกนั้นส่งนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ 1 คนกับนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์อีก 3 คนมา”


“นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ 1 คนกับนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์อีก 3 คน?” หานเจี้ยนชิวทวนคำอย่างพรั่นพรึง เขามองทั้งคู่ด้วยความไม่อยากเชื่อ “พวกนั้นทรงพลังขนาดนี้ คุณทั้งคู่เอาตัวรอดมาได้อย่างไร?”


“มันน่าอับอายมากที่ต้องพูดแบบนี้ แต่ผมแทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย ผู้อาวุโสจางเซวียนฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะตัวจริงระดับล่างได้ในช่วงเวลาคับขัน และด้วยดาบถงซังที่คุณมอบให้เขาก่อนหน้านี้ เขาสังหารนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ทั้ง 3 คนไปก่อนที่…ก่อนที่…”


ระหว่างที่กำลังอธิบาย ผู้อาวุโสโฉวหั่วหันไปมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ ร่างของเขาแข็งทื่อขึ้นมาทันที นัยน์ตาแทบทะลุออกจากเบ้าด้วยความตกใจ


“คุณ…คุณสำเร็จวรยุทธขั้นอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ตั้งแต่เมื่อไหร่?”


สิ่งที่ผู้อาวุโสโฉวหั่วพูดเป็นความจริง


เขาติดตามจางเซวียนไปเพื่อรักษาความปลอดภัยให้อีกฝ่าย ซึ่งกับนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ 3 คนนั้น จางเซวียนสังหารไปคนหนึ่ง, เล่นงานคนที่ 2 ที่ต่อสู้กับเขา และเฉือนคนสุดท้ายเป็นชิ้นๆ แม้แต่นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ก็ถูกจางเซวียนใช้หนังสือทุ่มจนตาย!


เมื่อหวนนึกดู เขาแทบไม่ได้ทำประโยชน์เท่าไหร่


ถ้าจะมีอะไรที่เขาได้ทำลงไปบ้าง ก็คือดึงดูดความสนใจของฝูงชน


เพราะเขาไม่ได้ทำตัวเป็นประโยชน์ในการต่อสู้ จึงไม่กล้าบ่นอะไร


ผุ้อาวุโสโฉวหั่วอดสงสัยไม่ได้ว่าชายหนุ่มยกระดับวรยุทธของตัวเองรวดเร็วแบบนี้ได้อย่างไร จึงหันไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจ…แต่ยังไม่ทันที่เขาจะรู้ตัว วรยุทธของชายหนุ่มก็เพิ่มจากนักรบอมตะตัวจริงระดับล่างไปเป็นนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์แล้ว!


“ผมรู้สึกว่าตัวเองยังอ่อนด้อยไปสักหน่อย ระหว่างทางที่กลับมา จึงกินยาเม็ดอมตะขั้นสูง 2-3 เม็ดและฝ่าด่านวรยุทธไป 2-3 ครั้ง” จางเซวียนอธิบาย


หากเขายกระดับวรยุทธของตัวเองไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ได้ตั้งแต่ก่อนจะถูกลอบทำร้าย ก็คงรับมือกับชายเสื้อคลุมสีดำกลุ่มนั้นได้สบาย ต่อให้ถูกรุมก็ตาม


เพราะเห็นแก่ความปลอดภัย จางเซวียนจึงกินยาเม็ดอมตะขั้นสูงพร้อมกับขับเคลื่อนพลังปราณเทียบฟ้ามาตลอดระยะเวลาที่เดินทางกลับ ด้วยการสั่งสมพลังงานจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ไม่นานเขาก็ยกระดับวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ได้สำเร็จ


ตอนแรกจางเซวียนไม่ได้เปิดเผย เพราะเกรงว่าอาจมีสายสืบจากหอเทพเจ้าคอยสะกดรอยตาม เขาไม่อยากให้ศัตรูรู้ว่าเขามีเทคนิควรยุทธที่ไร้เทียมทานอยู่ในครอบครอง แต่ในเมื่อตอนนี้เขากลับถึงสภาผู้อาวุโสแล้ว ก็รู้สึกว่าตัวเองปลอดภัยอีกครั้ง จึงไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องปกปิดระดับวรยุทธ ใครจะไปคิดว่าลงท้ายเขาก็ทำให้ผู้อาวุโสโฉวหั่วตกใจ?


“กินยาเม็ดอมตะขั้นสูงเข้าไป 2-3 เม็ด…และฝ่าด่านวรยุทธอีก 2-3 ครั้ง?”


เมื่อได้ยินว่าจางเซวียนฝ่าด่านวรยุทธได้ง่ายดายขนาดไหน หานเจี้ยนชิว ผู้อาวุโสเหอเทียนและคนอื่นๆแทบกระอักเลือดออกมา


เมื่อ 2-3 ชั่วโมงก่อน พวกเขายังออกจะหงุดหงิดใจกับความไม่เป็นโล้เป็นพายของจางเซวียน อีกฝ่ายลักลอบออกไปนอกสำนักแทนที่จะใส่ใจกับการยกระดับวรยุทธ แต่ในระยะเวลาเพียง 4 ชั่วโมงที่ออกไป ชายหนุ่มก็ยกระดับวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ได้สำเร็จ


ถ้าข้อมูลที่พวกเขาได้จากผู้อาวุโสลุ่อวิ๋นเป็นเรื่องจริง เมื่อวันก่อน วรยุทธของชายหนุ่มน่าจะอยู่ที่ผู้ทำลายล้างมิติขั้นต้นเท่านั้น!


สิ่งที่ทำให้พวกเขาแทบคลุ้มคลั่งก็คืออีกฝ่ายทำราวกับเรื่องนี้ไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลย


ถ้ากุญแจของการฝ่าด่านวรยุทธเป็นเพียงแค่การกินยาเม็ดอมตะขั้นสูง ทำไมถึงไม่เกิดเรื่องแบบนั้นกับพวกเราบ้าง?


หานเจี้ยนชิวพลันนึกอะไรบางอย่างที่น่าสะพรึงกว่าเดิมได้ เขาโพล่งออกมา “ไม่ใช่นะ รอเดี๋ยว คุณบอกว่าผู้อาวุโสจางเซวียนเอาชนะเหล่าผู้เชี่ยวชาญของหอเทพเจ้าได้โดยใช้ดาบถงซัง…คุณกำลังจะบอกว่าเขาทำให้ดาบถงซังยอมจำนนได้แล้วหรือ?”


ดาบถงซังคือสมบัติล้ำค่าที่เขาได้มาเมื่อหลายปีก่อน และรู้ดีว่ามันหยิ่งผยองแค่ไหน


ขนาดตัวเขายังต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการทำให้มันยอมจำนน และด้วยความยุ่งยากของกระบวนการนั้น เขาจึงยังไม่คืบหน้าไปไหน แล้วจางเซวียนทำให้ดาบถงซังยอมจำนนได้อย่างไร ในเมื่อตอนนั้นอีกฝ่ายเป็นแค่นักรบเสมือนอมตะสรวงสวรรค์?


ที่สำคัญกว่านั้น…ยังใช้เวลาแค่ 2-3 ชั่วโมง!


“ใช่ ตอนที่ผมเห็น เขาก็ทำให้ดาบถงซังยอมจำนนได้แล้ว” ผู้อาวุโสโฉวหั่วตอบพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ


เขาเพิ่งพบจางเซวียนได้ไม่ถึงหนึ่งวัน แต่เหตุการณ์แต่ละอย่างที่เกิดขึ้นทำให้เขารู้สึกว่าความมั่นใจของตัวเองหดหายไปทุกที


ผู้อาวุโสโฉวหั่วถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็เล่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด


เมื่อเหล่าผู้อาวุโสได้รู้ว่านักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์เล่นงานผู้อาวุโสโฉวหั่วได้ด้วยการใช้เพียงนิ้วเดียว ทุกคนต่างก็ตกตะลึง แต่จากนั้น เมื่อได้ยินว่าจางเซวียนโจมตีนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ผู้ทรงพลังคนนั้นด้วยหนังสือเล่มหนึ่ง ก็ถึงกับพูดไม่ออก


“หนังสือเล่มนั้นเป็นของล้ำค่าสำหรับการป้องกันตัวที่ท่านอาจารย์ของผมมอบให้ มันใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ต่อไปผมคงพึ่งพามันไม่ได้อีก” จางเซวียนอธิบาย


เขาไม่อาจพูดถึงหอสมุดเทียบฟ้าได้ จึงต้องผลักภาระให้ท่านอาจารย์ของเขาที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง


ถึงอย่างไร สำนักดาบเมฆเหินก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้วกับการที่บรรดาศิษย์สายตรงจะไปสวามิภักดิ์กับผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ตราบใดที่พวกเขายังคงภักดีต่อสำนัก


ได้ยินคำนั้น ฝูงชนพยักหน้า


ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขาสงสัยว่าชายหนุ่มอายุเพียง 20 ปีคนหนึ่งมีวรยุทธที่ทรงพลัง อีกทั้งมีความเข้าใจอันล้ำลึกในศิลปะเพลงดาบได้อย่างไร แต่เมื่อได้รู้ว่าแท้ที่จริงเขามีอาจารย์ ก็ทำให้รู้สึกโล่งอกโล่งใจไปมาก


มีแต่การอยู่ภายใต้คำชี้แนะของผู้เชี่ยวชาญสักคนเท่านั้นที่จะทำให้นักรบเก่งกาจไร้เทียมทานได้ขนาดนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย


คงเป็นเรื่องที่ท้าทายสามัญสำนึกของพวกเขาเกินไปหากจะคิดว่าชายหนุ่มเก่งกาจได้ขนาดนี้ด้วยความสามารถของตัวเอง


“หอเทพเจ้าวางอำนาจบาตรใหญ่อยู่เสมอ แต่โดยทั่วไป พวกเขาจะไม่โจมตีนักรบคนไหนก็ตามที่มีวรยุทธต่ำกว่าอมตะขั้นสูงลงไป ผมไม่เคยได้ยินว่าพวกเขาส่งนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์คนหนึ่งกับนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์อีกสามคนมาเพียงเพื่อรับมือกับนักรบขั้นเสมือนอมตะเพียงคนเดียว แถมยังใช้มิติลี้ลับสกัดกั้นพื้นที่โดยรอบไว้ด้วย…” หานเจี้ยนชิวขมวดคิ้ว


“ยิ่งไปกว่านั้น ไม่น่าเป็นไปได้ที่หอเทพเจ้าจะรู้ตัวตนและที่อยู่ของคุณ เพราะหลังจากที่คุณออกไป ก็ไม่มีใครออกจากสภาผู้อาวุโสเลย จึงไม่มีทางที่ข้อมูลจะรั่วไหล แม้จะเป็นหอเทพเจ้า แต่พวกเขาก็ไม่ได้รู้ทุกอย่าง!”


สภาผู้อาวุโสหารือเรื่องนี้กันอีกครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่มีคำอธิบายที่ฟังขึ้น พวกเขาจึงต้องเก็บความสงสัยไว้ก่อน


“ถ้าหอเทพเจ้าส่งทีมลอบสังหารมาที่สำนักดาบเมฆเหิน ทางสำนักจะต้านทานพวกเขาได้ไหม?” ในที่สุดจางเซวียนก็ตั้งคำถามสำคัญ


นี่คือสิ่งที่เขากังวลมากที่สุด ถ้าสำนักดาบเมฆเหินไม่อาจรับมือกับหอเทพเจ้าได้ ก็ไม่มีประโยชน์ที่เขาจะอาศัยใบบุญการคุ้มกันจากที่นี่ เขาควรออกเดินทางไปเสียดีกว่า เพื่อที่หอเทพเจ้าจะได้พบตัวเขาไม่ง่ายนัก


หานเจี้ยนชิวครุ่นคิดเงียบๆอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบอย่างเคร่งขรึม “ตอนนี้ผมยังไม่มีคำตอบให้คุณ แต่สิ่งที่คุณคิดไม่น่าจะเกิดขึ้นหรอก พวกเราคือคนที่ถูกเหล่าเทพเจ้าละเลย เรายำเกรงเทพเจ้าก็จริง แต่เราก็จะไม่ปล่อยให้พวกเขาทำอะไรข้ามหน้าข้ามตาเราเหมือนกัน”


“การที่หอเทพเจ้าพยายามลอบสังหารคุณจากเงามืดก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่หากพวกนั้นโจมตีสำนักดาบเมฆเหิน ก็จะเสี่ยงกับการทำให้ทั้งทวีปที่ถูกลืมลุกฮือขึ้นต่อต้าน หอเทพเจ้าอาจทรงพลังก็จริง แต่ต่อให้เป็นพวกเขา ก็ยังต้องเสียหายหนักหากทำตัวเป็นศัตรูกับทวีปที่ถูกลืมทั้งทวีป!”


“หอเทพเจ้าอาจพยายามส่งทีมลอบสังหารเข้ามาในสำนักดาบเมฆเหินเพื่อปลิดชีวิตคุณ แต่คุณไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น สำนักของเราได้รับการเสริมกำลังจากเหล่าบรรพบุรุษหลายชั่วคน ต่อให้นักรบอมตะขั้นสูงในกลุ่มพวกเขาก็ไม่อาจฝ่าปราการการป้องกันตัวของพวกเราได้”


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก ช่างดีเหลือเกินที่ได้รู้ว่าตอนนี้เขายังปลอดภัยอยู่


แต่เมื่อหวนนึกถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น คำพูดของหานเจี้ยนชิวดูจะไม่สมเหตุสมผลนัก เพราะถ้าหอเทพเจ้าไม่เกรงกลัวเหล่านักรบของทวีปที่ถูกลืมจริงๆ ชายเสื้อคลุมสีดำกลุ่มนั้นก็ไม่น่าจะต้องเหนื่อยยากถึงขนาดลากตัวเขาเข้าสู่มิติลี้ลับก่อนจะเปิดการโจมตี


“ไม่ทราบว่าในสำนักของเรา นอกจากที่หอสมุดของผู้อาวุโสแล้ว ยังมีหนังสือเทคนิควรยุทธระดับอมตะขั้นสูงอยู่บ้างไหม?” จางเซวียนถาม “ผมอยากได้มันในปริมาณมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพราะมีข้อสงสัยบางอย่างเกี่ยวกับวรยุทธขั้นนั้น ยิ่งได้เอกสารมาอ้างอิงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”


ย่อมดีที่สุดหากเขาจะฝากชะตาชีวิตไว้ในมือของตัวเอง เขาไม่รู้สึกปลอดภัยนักกับการพึ่งพาสำนักดาบเมฆเหินมากเกินไป จึงรู้ตัวว่าจะต้องพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้


หากเขาฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูงได้สำเร็จ ต่อให้หอเทพเจ้าจะส่งผู้เชี่ยวชาญมามากมายแค่ไหนก็ไม่จำเป็นต้องกังวล


ด้วยเหตุนี้ เรื่องสำคัญสูงสุดของจางเซวียนก็คือการยกระดับวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูงให้ได้


“หนังสือเทคนิควรยุทธระดับอมตะขั้นสูงทั้งหมดที่เรามี…อยู่ในหอสมุดของผู้อาวุโส” หานเจี้ยนชิวตอบพร้อมกับส่ายหน้า


นักรบระดับอมตะขั้นสูงคือผู้ที่เป็นสุดยอดของทวีปที่ถูกลืม เป็นธรรมดาที่จะมีนักรบระดับนั้นอยู่ไม่มาก ด้วยเหตุนี้ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่หนังสือเทคนิควรยุทธระดับอมตะขั้นสูงจะกระจัดกระจายอยู่ไม่กว้างขวางนัก


“ทั้งสำนักมีหนังสือเทคนิควรยุทธระดับอมตะขั้นสูงแค่ 10 เล่มหรือ?”


“ใช่” หานเจี้ยนชิวพยักหน้า “นอกจากเคล็ดวิชาเทพดาบเมฆเหินที่มีแต่เจ้าสำนักเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเพียงพอจะได้ฝึกฝน หนังสือเทคนิควรยุทธระดับอมตะขั้นสูงทั้งหมดของเราก็ถูกเก็บรักษาไว้ในหอสมุด”


“เคล็ดวิชาเทพดาบเมฆเหิน?” จางเซวียนตาโต “ผมขอดูได้ไหม?”


“ในฐานะผู้ทำความเข้าใจเจตจำนงของเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ คุณคือว่าที่เจ้าสำนักคนต่อไป แน่นอนว่าคุณมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้ศึกษาเคล็ดวิชาเทพดาบเมฆเหิน แต่การถ่ายทอดเทคนิควรยุทธนี้ออกจะแปลกประหลาดอยู่สักหน่อย มันไม่มีหนังสือเทคนิควรยุทธที่เป็นชิ้นเป็นอัน คุณจะต้องสัมผัสมันด้วยตัวเองถึงจะเรียนรู้ได้ ตามผมมา” หานเจี้ยนชิวพูดขณะลุกขึ้นยืนและเดินออกจากสภาผู้อาวุโส


จางเซวียนรีบตามไปติดๆ


ตอนที่ 2031 แต่นั่นไม่น่าเป็นไปได้!

ไม่ช้า ทั้งคู่ก็มายืนอยู่หน้าห้องลับห้องหนึ่ง หานเจี้ยนชิวนำตราสัญลักษณ์เจ้าสำนักของเขาออกมาเพื่อปลดปล่อยฉนวนที่อยู่รอบห้อง ก่อนจะเดินเข้าไป


ในห้องนั้นมีรูปปั้นเรียงรายเป็นแถว นับดูแล้วก็ตกราว 12 ชิ้น แต่ละตัวถือดาบไว้ในมือและกำลังสำแดงศิลปะเพลงดาบที่แตกต่างกันไป


“นี่คือเคล็ดวิชาเทพดาบเมฆเหิน?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


“ใช่ เทคนิควรยุทธคือกุญแจที่นำไปสู่การทำความเข้าใจเจตจำนงของเพลงดาบของเทพเจ้า ซึ่งความลับอยู่ในรูปปั้นเหล่านี้แหละ” หานเจี้ยนชิวตอบ


จางเซวียนพิจารณารูปปั้นทั้ง 12 ตัวอย่างช้าๆ ทุกตัวยืนด้วยท่วงท่าแตกต่างกันไป ไม่มีอะไรที่บ่งบอกถึงการไหลเวียนของกระแสพลังปราณ ทำให้ยากจะเชื่อว่ามีเทคนิควรยุทธซ่อนอยู่ในรูปปั้น


“รูปปั้น 12 ตัวนี้สำแดงกระบวนท่าของเพลงดาบที่แตกต่างกันไป เป็นกระบวนท่าที่แปลกประหลาดมาก ขัดกับสภาวะร่างกายโดยปกติของมนุษย์ แต่หากคุณเคลื่อนไหวไปตามกระบวนท่าเหล่านี้ พลังปราณของคุณจะไหลเวียนและก่อตัวขึ้นเป็นเทคนิควรยุทธด้วยตัวเอง นี่แหละคือสิ่งที่พวกเราเรียกว่าเคล็ดวิชาเทพดาบเมฆเหิน มันไม่ได้เป็นแค่เทคนิควรยุทธระดับอมตะขั้นสูงที่เป็นสุดยอดของสำนักของเราเท่านั้น แต่ยังเป็นกุญแจที่นำไปสู่การสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ด้วย” หานเจี้ยนชิวอธิบาย


เป็นอย่างที่หานเจี้ยนชิวบอก กระบวนท่าเพลงดาบของรูปปั้นเหล่านี้พิสดารมาก รูปปั้นทั้ง 12 ตัวบิดงอในมุมที่แปลกประหลาดอย่างไม่น่าเชื่อ ขัดกับสภาพร่างกายโดยปกติของมนุษย์ ดูคล้ายกับศิลปะแอบสแทรคมากกว่าจะเป็นการสำแดงศิลปะเพลงดาบ


“คุณควรเริ่มต้นจากการฝึกฝนกระบวนท่าแรกก่อน แต่ละกระบวนท่าจะยากขึ้นเรื่อยๆ ในครั้งนั้น ผมต้องใช้เวลา 3 วันเต็มกว่าจะฝึกฝนกระบวนท่าแรกให้เชี่ยวชาญได้สำเร็จ” หานเจี้ยนชิวพูดพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ


“3 วันเต็ม?” จางเซวียนทวนคำขณะจ้องมองรูปปั้นตัวแรก


กระบวนท่านั้นใช้การแอ่นตัวไปด้านหลัง และดาบจะพุ่งตรงไปเหนือศีรษะ แค่เห็นก็รู้สึกว่าประหลาดพิสดารแล้ว อย่าว่าแต่จะเลียนแบบ


“ใช่ และนี่คือกระบวนท่าที่ง่ายที่สุด” หานเจี้ยนชิวพยักหน้า “สำหรับกระบวนท่าที่ 2 ผมต้องใช้เวลาถึง 10 วัน ส่วนกระบวนท่าที่ 3 ใช้เวลา 1 ปีเต็ม รวมแล้ว…ผมใช้เวลา 15 ปีในการฝึกทั้ง 12 กระบวนท่านี้จนเชี่ยวชาญ”


ในเมื่อมันเป็นเทคนิควรยุทธขั้นสุดยอดที่ผู้ก่อตั้งสำนักดาบเมฆเหินทิ้งไว้ ก็ถือเป็นวีรกรรมน่าทึ่งแล้วที่เขาสามารถฝึกฝนจนเชี่ยวชาญได้ภายในเวลา 15 ปี ถือว่าหานเจี้ยนชิวเป็นเจ้าสำนักที่ปราดเปรื่องที่สุดคนหนึ่งตลอดประวัติศาสตร์ของสำนักดาบเมฆเหินเลยทีเดียว


ส่วนจางเซวียนก็ประหลาดใจกับระยะเวลาที่อีกฝ่ายใช้…15 ปี…นั่นเท่ากับสามในสี่ของอายุของเขาตอนนี้เลยทีเดียว!


เห็นจางเซวียนทำหน้าประหลาด หานเจี้ยนชิวสาธยายอย่างวางมาด “คุณอย่าสบประมาทความยากของเทคนิควรยุทธนี้นะ ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของสำนักของเรา วีรกรรมของผมในการฝึกฝนทั้ง 12 กระบวนท่าจนเชี่ยวชาญ ได้ภายใน 15 ปีนั้นทำให้ผมก้าวเข้าสู่ 1 ใน 10 สุดยอดเจ้าสำนักเลยทีเดียว”


มีแต่นักดาบที่ปราดเปรื่องที่สุดเท่านั้นที่จะได้เป็นเจ้าสำนักดาบเมฆเหิน กฎเกณฑ์ต่างๆของสำนักดาบก็ได้กำหนดไว้แล้ว หากเขามีความเก่งกาจไม่มากพอ ก็คงไม่มีโอกาสได้รับตำแหน่งนี้


15 ปีอาจดูยาวนานสำหรับการฝึกฝนเทคนิควรยุทธเพียงเทคนิคเดียว แต่ในเมื่อมันคือเคล็ดวิชาเทพดาบเมฆเหิน ความสำเร็จครั้งนี้จึงถือเป็นวีรกรรมอันน่าทึ่ง


“อย่างนั้นหรือ?” จางเซวียนย้อนถามขณะชักดาบถงซังออกมา


เขาแอ่นตัวไปด้านหลังจนขนานกับร่างกายส่วนล่าง ก่อนจะชูดาบขึ้นมา ในชั่วพริบตา จางเซวียนก็เลียนแบบท่วงท่าของรูปปั้นตัวแรกได้เหมือนเป๊ะ


หานเจี้ยนชิวเลิกคิ้ว


เมื่อครู่นี้ เขาเพิ่งบอกว่าเขาใช้เวลา 3 วันเต็มกว่าจะเชี่ยวชาญกระบวนท่าแรก ก็พอดีกับที่อีกฝ่ายเลียนแบบมันได้ครบถ้วนในทันที เรื่องนี้ทำให้เขาเกิดลางสังหรณ์เลวร้ายขึ้นมา


หานเจี้ยนชิวกระแอมให้ลำคอโล่ง ก่อนจะพยายามกลบเกลื่อนความภาคภูมิใจของตัวเอง “กระบวนท่าแรกเป็นกระบวนท่าที่ง่ายที่สุดในบรรดา 12 กระบวนท่า สำหรับผู้ที่ทำความเข้าใจเจตจำนงของเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จอย่างคุณ ก็เป็นธรรมดาที่จะฝึกฝนมันได้ทันที แต่กระบวนท่าที่เหลือคงไม่ง่ายแบบนี้…”


“อย่างนั้นหรือ? ขอผมลองหน่อย”


ร่างของจางเซวียนเริ่มโค้งงอทำมุมประหลาด ไม่ช้าเขาก็เลียนแบบกระบวนท่าที่ 2 ได้สำเร็จ


ตามด้วยกระบวนท่าที่ 3 ที่ 4 และที่ 5…


กว่าหานเจี้ยนชิวจะรู้สึกตัว จางเซวียนก็เลียนแบบไปถึง 10 กระบวนท่าแล้ว


หานเจี้ยนชิวแทบคลุ้มคลั่ง


เขานึกสงสัยว่าอาจเป็นเพราะมีคนแบบจางเซวียน นักรบดีๆจึงต้องลงเอยด้วยความสิ้นหวังและหันไปหาศิลปะการต่อสู้ที่ไม่เป็นไปตามครรลองเดิมๆ


เขาพออ้างได้ว่าที่จางเซวียนเลียนแบบกระบวนท่าแรกได้ในทันทีก็เพราะมันง่ายที่สุด แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมหยุด และเลียนแบบกระบวนท่าอื่นต่อไปได้เรื่อยๆ


เป็นไปได้หรือเปล่าว่าชายหนุ่มเคยฝึกฝนกระบวนท่าเหล่านี้มาก่อน?


แต่นั่นไม่น่าเป็นไปได้!


เพราะนอกเสียจากเจ้าสำนักรุ่นต่างๆ ก็ไม่มีใครสามารถเข้าสู่ห้องลับแห่งนี้!


ขณะที่หานเจี้ยนชิวกำลังพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์อันน่าหงุดหงิด จางเซวียนก็สำแดงอีก 2 กระบวนท่าที่เหลือได้อย่างไร้ที่ติ ราวกับเขาไม่อาจทำความเข้าใจว่าได้ว่าคนๆหนึ่งจะต้องใช้เวลายาวนานขนาดนั้นในการฝึกฝนเทคนิคเหล่านี้จนเชี่ยวชาญ จึงหันมาถามหานเจี้ยนชิว “คุณใช้เวลาถึง 15 ปีจริงๆหรือ?”


แล้วหานเจี้ยนชิวจะตอบอะไรได้?


เมื่อครู่ก่อนนี่เองที่เขาเพิ่งคุยโวว่าเขาใช้เวลาเพียง 15 ปีในการฝึกฝนทั้ง 12 กระบวนท่าจนเชี่ยวชาญ แถมยังเล่าต่ออย่างยินดีปรีดาว่าตัวเขาอยู่ใน 10 อันดับของสุดยอดเจ้าสำนัก แต่แล้วชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าก็ทำลายความสำเร็จของเขาจนหมดไม่มีเหลือภายในเวลาเพียง 15 อึดใจ!


หานเจี้ยนชิวเข้าใจทันทีว่าทำไมโลกนี้ถึงมีผู้ปลีกวิเวก เพราะในตอนนั้น เขาก็นึกอยากขุดหลุมขุดรูลงไปซ่อนตัวเหมือนกัน


ขณะที่กำลังครุ่นคิดว่าจะหนีไปให้พ้นจากสถานการณ์ตรงหน้าได้อย่างไร เสียงของชายหนุ่มก็ดังขึ้นอีกครั้ง “พูดก็พูดเถอะ ถ้าคุณฝึกฝนเทคนิควรยุทธนี้ถึง 15 ปีจริงๆ แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่าการเรียงลำดับของเทคนิคมันผิดพลาด?”


“ผิดพลาด?” หานเจี้ยนชิวถึงกับจังงัง


หานเจี้ยนชิวงงงัน


ความยากของแต่ละกระบวนท่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อครั้งที่เขาฝึกฝนเทคนิควรยุทธนี้ด้วยตัวเอง ก็ไม่รู้สึกถึงความผิดแปลกในการไหลเวียนของกระแสพลังปราณหรือความไม่สบายตัวใดๆ ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งวรยุทธและความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วขณะฝึกฝน เทคนิควรยุทธดังกล่าว


ก็ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ลำดับของมันจะผิดพลาดได้อย่างไร?


“ถ้าคุณสลับกระบวนท่าแรกกับกระบวนท่าที่ 7 ความเร็วในการขัดเกลาพลังปราณของคุณจะเพิ่มขึ้นอีกมาก ถ้าคุณสลับกระบวนท่าที่ 8 กับกระบวนท่าที่ 11 จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้เจตจำนงเพลงดาบของคุณได้ และถ้าคุณสลับกระบวนท่าที่ 6 กับกระบวนท่าที่ 3 การเพ่งสมาธิจะเฉียบคมขึ้นอีกหลายเท่า…” จางเซวียนพูดอย่างสบายๆขณะชี้นิ้วไป


หานเจี้ยนชิวงุนงง แต่ก็รีบฝึกฝนวรยุทธตามลำดับที่จางเซวียนสาธยาย


บึ้มมมม!


พลังปราณของเขาพุ่งพรวดราวกับแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว พุ่งเข้าสู่บริเวณที่เขาไม่เคยฝึกฝนวรยุทธได้สำเร็จมาก่อน ในเวลาเดียวกัน ก็รู้สึกได้ว่าความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบของตัวเองล้ำลึกขึ้นอีกมากในทุกกระบวนท่าที่สำแดงออกไป ทำให้เจตจำนงเพลงดาบของเขาเฉียบคมกว่าเดิม หานเจี้ยนชิวรู้สึกราวกับจะฟาดฟันมิติที่อยู่โดยรอบได้ด้วยการขยับดาบเพียงครั้งเดียว


“คุณพูดถูก…” หานเจี้ยนชิวถึงกับจังงัง


เขาฝึกฝนวรยุทธมากว่า 80 ปีแล้ว แต่ไม่เคยคิดสักครั้งว่าลำดับของเทคนิควรยุทธเหล่านี้จะผิดพลาด ที่เหนือจินตนาการไปกว่านั้นก็คือเพียงแค่สลับลำดับของมันเล็กน้อย เทคนิคเหล่านี้ก็ทรงพลังกว่าเดิมมาก…


ความเชี่ยวชาญในศิลปะเพลงดาบของเขาที่ชะงักงันมานานเริ่มพัฒนาขึ้นอีกครั้ง


ตอนนี้การพัฒนายังคงไม่โดดเด่นชัดเจน แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันจะพอกพูนเหมือนลูกบอลหิมะและมีพลังมากขึ้น วันหนึ่งเขาอาจทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จเหมือนชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า!


เมื่อหานเจี้ยนชิวฟื้นคืนจากความตื่นเต้นและตกตะลึง ก็ไม่อาจละสายตาจากจางเซวียนได้


เขาใช้เวลาถึง 15 ปีเต็มกว่าจะเชี่ยวชาญทั้ง 12 กระบวนท่า แต่อีกฝ่ายทำสำเร็จได้ภายในเวลาเพียง 15 อึดใจ…และราวกับเท่านั้นยังไม่พอ ชายหนุ่มยังระบุข้อบกพร่องที่อยู่ในเทคนิควรยุทธ และอธิบายวิธีแก้ไขที่ปฏิบัติจริงได้อย่างละเอียดด้วย


ไม่ว่าสิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาจะเป็นอะไร ก็แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่มนุษย์!


เขาเคยคิดว่าโชคคงเข้าข้างชายหนุ่ม ทำให้อีกฝ่ายทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ แต่ด้วยหลักฐานที่ยืนยันชัดเจนอยู่ตรงหน้า ความแตกต่างระหว่างตัวเขากับจางเซวียนไม่ได้อยู่ที่โชคชะตา แต่เป็นความสามารถ ชายหนุ่มมีความปราดเปรื่องในศิลปะเพลงดาบอย่างเหลือเชื่อจริงๆ!


อันที่จริง ก็คงไม่เกินเลยหากจะบอกว่าอีกฝ่ายสามารถเทียบชั้นได้แม้แต่กับหัวหน้าหอนิรันดร์


เมื่อหลายพันปีก่อน หัวหน้าหอนิรันดร์ปรากฏตัวขึ้นจากที่ไหนสักแห่ง และภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน ก็เอาชนะทั่วทั้งทวีปที่ถูกลืมได้และกลายเป็นบุคคลผู้ไร้เทียมทาน จากนั้นเขาก็บุกเดี่ยวเข้าไปที่หอเทพเจ้าและฉกฉวยตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ จากที่นั่น นำไปสู่การก่อตั้งหอนิรันดร์


ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่มีใครเทียบชั้นความสำเร็จของหัวหน้าหอนิรันดร์ได้ แต่ดูเหมือนบางอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป!


หากเป็นอย่างนี้ เมื่อถึงเวลาที่สะพานเบื้องบนเปิดออกอีกครั้งและเหล่าอัจฉริยะของ 6 สำนักใหญ่มารวมตัวกัน สำนักดาบเมฆเหินของเราก็น่าจะได้ตำแหน่งที่ดีที่สุด หานเจี้ยนชิวคิด ความตื่นเต้นฉายระริกในดวงตา


ในอดีต แม้สำนักดาบเมฆเหินของพวกเขาจะได้รับครึ่งหนึ่งของตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ มา แต่ก็ไม่อาจรวบรวม 6 สำนักใหญ่ให้เป็นหนึ่งเดียวได้เพราะมีพละกำลังจำกัด แต่เมื่อมีจางเซวียนอยู่ด้วย พวกเขาน่าจะชักนำให้อีก 5 สำนักใหญ่มาอยู่ใต้สังกัดได้!


หานเจี้ยนชิวหันไปมองจางเซวียนอย่างตื่นเต้น แต่ก็เห็นอีกฝ่ายยืนนิ่งงัน ราวกับเพิ่งได้รับแรงบันดาลใจบางอย่าง


รู้ดีว่าแรงบันดาลใจไม่ใช่สิ่งที่จะได้มาง่ายๆ หานเจี้ยนชิวออกจากห้องลับแห่งนั้นไปอย่างเงียบๆ


เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ จางเซวียนเพิ่งได้รับแรงบันดาลใจจริงๆ


น่าเสียดายที่เคล็ดวิชาเทพดาบเมฆเหินไม่ได้มีประโยชน์ต่อเขามากนักในการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่การเป็นนักรบอมตะขั้นสูง แต่มันทำให้เขาควบคุมเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้ดีขึ้น


จางเซวียนใช้หน้าหนังสือสีทองที่ได้จากการรับตั้นเฉี่ยวเทียนเป็นศิษย์สายตรงมาสกัดกั้นเจตจำนงเพลงดาบไว้ เขาสามารถทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าทั้งหมดได้สำเร็จ แต่เพราะขีดจำกัดของระดับวรยุทธและจิตวิญญาณ จึงไม่อาจดึงประสิทธิภาพสูงสุดของมันออกมาได้


ตอนที่ 2032 ผมขอ…ชื่อใหม่ได้ไหม?

แต่เมื่อได้ฝึกฝนทั้ง 12 กระบวนท่าที่เพิ่งเรียนรู้ไป จางเซวียนพบว่าเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าสามารถหลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขาได้ดีกว่าเดิม


พูดอีกอย่างก็คือ เจตจำนงเพลงดาบกลายเป็นส่วนหนึ่งของเขาไปแล้ว เขาสามารถสำแดงมันออกมาได้ทุกเมื่อที่ต้องการ มันจะไม่ถูกพละกำลังในร่างกายของเขาจำกัดไว้อีกต่อไป


นั่นอธิบายได้ว่าทำไมหานเจี้ยนชิวถึงบอกไว้ว่าเทคนิควรยุทธคือกุญแจที่นำไปสู่การทำความเข้าใจเจตจำนงของเพลงดาบของเทพเจ้า


จางเซวียนครุ่นคิดเมื่อรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย


หากเขาสามารถดึงประสิทธิภาพสูงสุดของเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าออกมาได้เมื่อตอนที่เผชิญหน้ากับชายเสื้อคลุมสีดำกลุ่มนั้น ก็คงเอาชนะนักรบอมตะตัวจริงทั้ง 3 ได้อย่างง่ายดาย แม้ตัวเขาจะยังไม่ได้สำเร็จวรยุทธขั้นอมตะตัวจริงก็ตาม


นั่นคือความทรงพลังของเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้า!


ฟิ้วววววว!


ขณะที่เจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าไหลเวียนทั่วร่าง จางเซวียนรู้สึกได้ว่าการปรากฏตัวของเขาเฉียบคมขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าเจตจำนงเพลงดาบของเขาอาจพุ่งทะลุสวรรค์ได้หากเขาต้องการ


ฟึ่บ!


ขณะที่เจตจำนงเพลงดาบไหลเวียนอย่างอิสระไปทั่วร่าง จางเซวียนรู้สึกได้ว่าพลังปราณค่อยๆแปรสภาพเป็นดาบ จากนั้นร่างของเขาก็ค่อยๆลอยสูงขึ้น


“นี่เรา…บินได้!” นัยน์ตาของจางเซวียนเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น


เพราะในมิติเบื้องบนมีแรงกดดันของมิติมากกว่าทวีปแห่งปรมาจารย์ จึงมีแต่นักรบระดับอมตะขั้นสูงเท่านั้นที่บินได้ ตอนนี้จางเซวียนเป็นแค่นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ แต่ด้วยอานุภาพของเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าที่อยู่ในตัว จึงสามารถปรับสภาพพลังปราณให้เป็นดาบและลอยตัวขึ้นสู่กลางอากาศได้ ในแง่ของความเร็ว เขาอาจบินได้เร็วกว่าแม้แต่ผู้อาวุโสโฉวหั่ว!


ด้วยความสามารถของเราในเวลานี้ คงต่อกรได้แม้แต่กับนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ หากเราต้องเผชิญหน้ากับนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์จากหอเทพเจ้าอีกครั้ง ก็คงไม่จนปัญญาอย่างที่ผ่านมา…


เมื่อรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายของตัวเอง จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก


แม้จะยังเสียดายที่ไม่อาจหาหนังสือเทคนิควรยุทธระดับอมตะขั้นสูงมาประมวลเคล็ดวิชาเทียบฟ้าได้ แต่ทั้ง 12 กระบวนท่าก็ทำให้เขามีความเข้าใจในเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าที่ล้ำลึกขึ้นอีกมาก


ด้วยสิ่งนี้ ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาจะเพิ่มสูงขึ้นอีกหลายเท่า


สำหรับตอนนี้ ต่อให้ผู้อาวุโสไป๋เย่ก็เทียบชั้นกับเขาไม่ได้แล้ว


จางเซวียนละความคิดจากการฝึกฝนวรยุทธ เขาเพ่งจุดตันเถียนของตัวเองและเอ่ยถาม “น้ำเต้าตงฉู่ ดาบที่แกกินเข้าไปน่ะอยู่ไหน? เหลือไว้ให้ฉันสักเล่มหรือเปล่า?”


เขาสั่งการให้เจ้านี่กลืนดาบของคู่ต่อสู้ลงไปในระหว่างการต่อสู้เพื่อตัดกำลังของทีมลอบสังหารจากหอเทพเจ้า ซึ่งนั่นช่วยลดความกดดันลงได้มาก…แต่คงจะดีกว่านี้ถ้ามันไม่กลืนดาบของผู้อาวุโสโฉวหั่วลงไปด้วย


แต่เพราะตอนนั้นทุกอย่างเร่งร้อนไปหมด เขาจึงไม่มีเวลาถามอาการของมัน ตอนนี้มีเวลาแล้ว คงจะดีหากแสดงความเป็นห่วงเป็นใยสักหน่อยกับ ‘อสูรในตำนาน’ ตัวใหม่ที่เขาเพิ่งทำให้มันยอมจำนนได้สำเร็จ


เมื่อได้ยินคำถามของจางเซวียน น้ำเต้าตงฉู่ตอบกลับอย่างระแวง “หยุดตรงนั้นเลย คุณสัญญาแล้วไม่ใช่หรือว่าจะไม่บังคับให้ผมคายดาบพวกนั้นออกมา อย่าคืนคำสิ!”


“แน่อยู่แล้ว ฉันดูเหมือนคนปลิ้นปล้อนในสายตาแกหรือไง? ฉันแค่ห่วงว่าแกจะปวดท้องเพราะกินมากเกินขนาด” จางเซวียนตอบพร้อมกับส่งยิ้มแบบคุณชาย


“อ๋อ เรื่องนั้นไม่เป็นไรเลย ผมย่อยดาบพวกนั้นหมดแล้วล่ะ” น้ำเต้าตงฉู่ส่ายก้นอย่างสบายใจ


“แกย่อยดาบพวกนั้นหมดแล้ว?” จางเซวียนเลิกคิ้ว


เขารีบพิจารณาน้ำเต้าตงฉู่อย่างใกล้ชิด ซึ่งอีกฝ่ายก็กำลังนอนเอ้อระเหยอยู่ในจุดตันเถียนของเขา เหมือนอย่างเคย ไม่แสดงอาการของความไม่สบายเนื้อสบายตัวสักนิด ราวกับการกลืนกินพลังงานมหาศาลจากดาบระดับอมตะขั้นสูงทั้ง 4 เล่มนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับมัน


“ช่างมันเถอะ!”


รู้ดีว่าไม่มีทางเอาดาบที่น้ำเต้าตงฉู่ย่อยแล้วกลับคืนมาได้ จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะสะบัดข้อมือและนำดาบถงซังกับศพอีกจำนวนหนึ่งออกมา


ศพเหล่านั้นคือนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์และนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์อีก 3 คนที่เขาเล่นงานไปก่อนหน้านี้


ฟึ่บ!


ทันทีที่ศพเหล่านั้นปรากฏ ดาบเล่มหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่หว่างคิ้วของจางเซวียน


มันคือดาบของชายเสื้อคลุมสีดำที่เป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ ดาบเล่มนี้ตกตะลึงกับภาพที่เจ้านายของมันถูกหนังสือหล่นทับจนไม่ได้สำแดงฤทธิ์เดชใดๆตอนที่ถูกใส่เข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ แต่เมื่อเห็นศัตรูอีกครั้ง ก็ตรงเข้าแก้แค้นให้เจ้านายของมันทันที


ฟึ่บ!


จางเซวียนยกมือขึ้นและจรดปลายนิ้วเข้าด้วยกัน ดาบเสียบเข้าระหว่าง 2 นิ้วของเขาอย่างเหมาะเจาะ


ตอนที่เขายังเป็นแค่นักรบเสมือนอมตะ อาจทำอะไรไม่ได้มากกับดาบระดับอมตะขั้นสูง แต่เพราะตอนนี้เขายกระดับวรยุทธขึ้นเป็นนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์และทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ต่อให้นักรบระดับอมตะขั้นสูงสวรรค์ก็เทียบชั้นกับเขาไม่ได้ จึงเป็นธรรมดาที่การรับมือกับดาบเพียงเล่มหนึ่งจะไม่เหลือบ่ากว่าแรง


“คะ-คุณ…”


ดาบแทบไม่เชื่อว่าเกิดอะไรขึ้น


ผ่านไปเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น…จู่ๆหมอนี่ก็เกิดทรงพลังขึ้นมา?


จางเซวียนไม่อยากเสียเวลาพูดกับดาบ ขณะที่คีบมันไว้ ก็ใช้มืออีกข้างแตะดาบเล่มนั้นหลายจุด


เมื่อเจตจำนงเพลงดาบเข้าปะทะกับดาบเล่มนั้น จิตวิญญาณในดาบก็ส่งเสียงครวญครางออกมาก่อนจะสลายตัวไป


จางเซวียนดูออกว่าจิตวิญญาณของดาบภักดีต่อนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์คนนั้นอย่างมาก ถึงขนาดที่ต่อให้เขาทำให้มันยอมจำนนได้ ก็มีโอกาสสูงที่มันจะทรยศ เขาไม่อยากตกอยู่ในสภาพที่ต้องคอยระแวงว่าดาบของตัวเองจะทรยศขณะที่อยู่ท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือด


เพื่อจบปัญหา จางเซวียนจึงตัดสินใจกำจัดจิตวิญญาณที่อยู่ในดาบเล่มนั้นไปโดยใช้เจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าของเขา


“คุณ…นั่นไม่ต่างกับการตัดตอนวรยุทธของดาบเลยนะ!” เห็นการกระทำของจางเซวียน ดาบถงซังตัวสั่นด้วยความตกใจ


มันมีพละกำลังระดับเดียวกันกับดาบเล่มนั้น แต่นายท่านสามารถกำจัดจิตวิญญาณของดาบได้ในเวลาเพียงครู่เดียว นั่นหมายความว่าเขาก็ทำลายมันได้เหมือนกันใช่ไหม?


มันพอเข้าใจว่าทำไมนายท่านถึงอยากกำจัดดาบเล่มนั้น แต่ดาบระดับอมตะขั้นสูงที่ปราศจากจิตวิญญาณจะมีประสิทธิภาพลดลงมาก ไม่ต่างอะไรกับอาวุธที่ค่อนข้างจะทนทานชิ้นหนึ่งเท่านั้น


“อย่าห่วงน่ะ มันไม่ได้ถูกตัดตอนวรยุทธหรอก” จางเซวียนหัวเราะหึๆขณะเคาะนิ้วเบาๆที่ดาบ


สองอึดใจต่อมา เสียงร้องจุ๊กจิ๊กเหมือนนกก็ดังขึ้นจากดาบ ราวกับเป็นการเฉลิมฉลองชีวิตใหม่


“ดาบได้จิตวิญญาณอีกดวงแล้วหรือ?”


เห็นภาพนั้น ดาบถงซังแทบร่วงจากกลางอากาศ


โดยปกติ จะต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะบ่มเพาะดาบสักเล่มให้มีจิตวิญญาณขึ้นมา แต่ชายหนุ่มทำลายจิตวิญญาณดวงหนึ่งได้ด้วยการกระดิกนิ้ว และสร้างจิตวิญญาณดวงใหม่ขึ้นได้ด้วยการกระดิกนิ้วเช่นกัน…


ดาบถงซังอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นด้วยความพรั่นพรึงเมื่อหวนนึกถึงสิ่งที่มันเคยทำ


เหตุผลที่มันทำตัวอวดดีแบบนั้นก็เพราะรู้ว่าดาบจะหมดสภาพทันทีที่มันจากไป ไม่มีนักดาบคนไหนอยากทำลายดาบของตัวเอง


แต่เมื่อเห็นสิ่งที่จางเซวียนทำ ก็รู้ทันทีว่ามันกำลังให้ความสำคัญกับตัวเองมากไป…


บ้าที่สุด! หมอนี่ไม่เคยทำอะไรแบบธรรมดาเลย เขาเรียกจิตวิญญาณให้อาวุธได้!


พูดอีกอย่างก็คือ ความหยิ่งผยองของมันไม่มีความหมายอะไรทั้งนั้นกับอีกฝ่าย ดูเหมือนต่อไปมันจะต้องถ่อมเนื้อถ่อมตัวไว้ ไม่อย่างนั้นอาจตายไม่รู้ตัว


ในเวลานี้ ดาบถงซังยอมจำนนให้จางเซวียนทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ มันไม่กล้าคิดอะไรที่เป็นการต่อต้านอีกฝ่ายแล้ว


“นับจากนี้ไป ฉันจะเรียกแกว่า…ดาบ!”


หลังจากเพิ่งทำให้อาวุธที่เขาร่ายมนต์ใส่ยอมจำนนได้อย่างง่ายดาย จางเซวียนมองดาบในมืออย่างพอใจ


ก็เหมือนกับดาบถงซัง มันเป็นอาวุธระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์


“ดาบ?”


ดาบที่ได้รับการร่ายมนต์ใหม่แทบร่วงจากกลางอากาศเมื่อได้ยินคำพูดนั้น


ชื่อนี้ออกจะง่ายไปหน่อยไหม?


ถึงอย่างไรมันก็เป็นดาบระดับอมตะขั้นสูง หนึ่งในอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปที่ถูกลืม จะให้มีชีวิตอยู่ด้วยชื่อธรรมดาสามัญแบบนั้นหรือ?


เมื่อไม่อาจยอมรับได้ ดาบทักท้วง “นายท่าน ผมขอ…ชื่อใหม่ได้ไหม? ผมรู้สึกว่าชื่อที่คุณตั้งให้มัน…ง่ายไปหน่อย!”


“ง่าย? เอ่อ…” จางเซวียนขมวดคิ้ว “ก็ได้ งั้นฉันเรียกแกว่าดาบน้อยดีไหม?”


พลั่ก!


ดาบร่วงลงจากกลางอากาศอย่างหมดเรี่ยวแรงและเริ่มคร่ำครวญ


จะบ้าหรือไง! ถ้าเป็นแบบนี้ ผมใช้ชื่อเดิมดีกว่า…


เมื่อเจ้านายของพวกมันเสียชีวิต รอยประทับที่อยู่บนแหวนเก็บสมบัติก็สลายตัวไป จางเซวียนจึงใช้เพียงแค่การหยดเลือดลงไปบนแหวนเก็บสมบัติเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของแหวนเหล่านั้น


เขารีบกวาดตาดูข้าวของในแหวนเก็บสมบัติ ไม่ช้าก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ


จางเซวียนคิดว่าน่าจะได้ทรัพย์สมบัติไม่น้อยเพราะคู่ต่อสู้ของเขาเป็นนักรบผู้ทรงพลัง แต่ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าพวกนั้นแสนจะยากจน!


นอกจากดาบระดับอมตะขั้นสูงที่น้ำเต้าตงฉู่กลืนเข้าไป ก็มีแค่ยาเม็ดฟื้นฟูสภาพร่างกาย 2-3 เม็ด เสบียงอาหาร น้ำดื่ม และเสื้อผ้าสะอาดๆอีกไม่กี่ชุด


จางเซวียนพยายามคุ้ยข้าวของในแหวนเก็บสมบัติ ซึ่งก็ไม่มีอะไรที่พอจะมีค่า แต่เขาก็พบสิ่งหนึ่งในนั้นที่ทำให้ประหลาดใจ


นี่คือ…ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล?


คนของหอเทพเจ้าใช้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลด้วยหรือ?


เรื่องนี้ฟังดูไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไหร่ ยากจะนึกภาพเหล่าผู้เชี่ยวชาญผู้สูงส่งของหอเทพเจ้าใช้สิ่งที่พวกเขามองว่าเป็น ‘ของต่ำต้อย’ ของทวีปที่ถูกลืม!


มีบางอย่างแปลกประหลาดจริงๆ


จางเซวียนย่นหน้าผากขณะหยิบตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลขึ้นมาและแตะมันเบาๆ เขากัดนิ้วและหยดเลือดลงไปหยดหนึ่งบนตราสัญลักษณ์ ตั้งใจจะทำให้มันยอมจำนนเพื่อดูว่ามีอะไรอยู่ข้างใน แต่ในพริบตาต่อมา ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลก็แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับไม่ถ้วน


เห็นภาพนั้น จางเซวียนได้แต่ส่ายหน้าและถอนหายใจ


ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลไม่เหมือนของล้ำค่าชนิดอื่นที่ใครๆก็สามารถทำให้มันยอมจำนนได้หลังจากเจ้าของดั้งเดิมตายไปแล้ว มันถูกออกแบบมาให้ทำลายตัวเองทันทีหากมีใครที่ไม่ใช่เจ้าของดั้งเดิมพยายามเข้าครอบครอง


พูดอีกอย่างก็คือ เขาไม่อาจมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลได้


ตอนที่ 2033 ล้มเหลว…

จางเซวียนพยายามทำแบบเดียวกันกับตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลอีก 3 อันที่เหลือ แต่ลงท้ายมันก็แตกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อไม่มีทางเลือก จึงต้องล้มเลิกความคิดนั้น


“ดูเหมือนสิ่งประดิษฐ์ของปรมาจารย์ขงจะได้การยอมรับแม้แต่จากหอเทพเจ้า…” จางเซวียนพึมพำ เขามองศพทั้งสี่ที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้งก่อนจะยิ้มกับตัวเอง “ถึงเจ้าพวกนี้จะไม่มีของล้ำค่า แต่อย่างน้อยร่างของพวกเขาก็ถือเป็นทรัพย์สมบัติแล้ว!”


ศพเหล่านี้สามารถถูกหลอมเป็นหุ่นโลหะไร้วิญญาณได้ และนั่นคือทรัพย์สมบัติล้ำค่าสำหรับเขา “ได้เวลาทำงานเสียที”


จางเซวียนทรุดตัวลงนั่งกับพื้น เขาถอดจิตวิญญาณออกจากหว่างคิ้วแล้วตั้งต้นทำงานกับศพที่อยู่ตรงหน้า


…..


บนท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไปในมิติเบื้องบน…


แอ๊ดดดด!


ประตูที่อยู่ในเงามืดถูกเปิดออก ชายสวมเสื้อคลุมสีดำคนหนึ่งผลุบเข้าไปอย่างร้อนใจ เขาเดินตรงไปยังใจกลางห้องโถงที่มืดมิด พื้นที่นั้นถูกประดับประดาด้วยแสงเทียนวิบวับ เห็นแผ่นหลังสูงสง่าของร่างหนึ่งได้อย่างเลือนรางที่บริเวณใจกลางห้อง


“นายท่าน” ชายเสื้อคลุมสีดำทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นและกล่าวทักทายอย่างนอบน้อม


“เป็นอย่างไรบ้าง?” ร่างสูงสง่านั้นตั้งคำถามโดยไม่เคลื่อนไหว


“ล้มเหลว…ทั้ง 4 คนถูกฆ่าตาย!” ชายเสื้อคลุมสีดำตอบพร้อมกับตัวสั่น


ตอนแรกที่ได้ข่าว เขาไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริง ต้องตรวจสอบหลายครั้งกว่าจะกล้านำข่าวนี้มาแจ้ง


นั่นคือนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์คนหนึ่งกับนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์อีก 3 คนจากหอเทพเจ้า! ไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาจะถูกนักรบเสมือนอมตะสังหาร…


เรื่องนี้เหลือเชื่อมากสำหรับเขา


“พวกนั้นตายหมด?” ร่างสูงสง่าตั้งคำถาม ไม่มีความประหลาดใจอยู่ในน้ำเสียงนั้นแม้แต่น้อย


เขาพยักหน้าราวกับคาดเดาผลลัพธ์แบบนี้ไว้แล้ว จากนั้นก็พูดต่อ “สมกับเป็นผู้ที่ได้รับเลือกจากสวรรค์ เขาโชคดีจริงๆ…ก็เหมือนกับชายผู้นั้นนั่นแหละ แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ ผมก็ยิ่งสนใจ…”


ชายเสื้อคลุมสีดำก้มหน้าด้วยความหวาดกลัวขณะฟังเจ้านายของเขาพึมพำ ไม่กล้าขัดจังหวะเพราะเกรงจะทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคือง


“ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?”


“นายท่าน ดูเหมือนเขาจะกลับสู่สำนักดาบเมฆเหินแล้ว” ชายเสื้อคลุมสีดำรายงาน


“ถ้าตอนนี้เขาอยู่ที่สำนักดาบ ก็ยังไม่ต้องทำอะไร” ร่างสูงสง่าสั่งการ


“ขอรับ นายท่าน…” ชายเสื้อคลุมสีดำตอบอย่างนอบน้อม “แล้วถ้าเขาไม่ยอมออกจากสำนักดาบ เราควรทำอย่างไร?”


“เขาจะต้องออกมาเร็วๆนี้แหละ” อีกฝ่ายตอบอย่างมั่นใจ


“เข้าใจแล้ว นายท่าน…ผมจะจับตามองเขาและจัดการทันทีที่เขาออกจากที่นั่น” ชายเสื้อคลุมสีดำตอบ


“ดี คราวหน้าส่งคนที่เก่งกว่านี้ไปนะ เหมือนกับครั้งก่อนนั่นแหละ ผมต้องการตัวเขาเป็นๆ จะบาดเจ็บหรือไม่ก็ไม่เป็นไร แต่เขาต้องยังหายใจเมื่ออยู่ต่อหน้าผม” ร่างสูงสง่าสั่งการ


“ขอรับ นายท่าน!” ชายเสื้อคลุมสีดำตอบพร้อมกับโค้งคำนับอย่างงาม ก่อนจะออกจากห้อง


ในเวลาเดียวกัน ร่างสูงสง่านั้นก็ค่อยๆจางลง ก่อนจะเลือนหายไปท่ามกลางความมืดมิด


…..


ไม่มีทางที่จางเซวียนจะรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในหอเทพเจ้า ตอนนี้เขากำลังนวดหว่างคิ้วอย่างหงุดหงิดขณะลุกขึ้นยืน


“ศพของนักรบอมตะตัวจริงทั้งสามยังพออยู่ในวิถีที่เราจัดการได้ แต่สำหรับศพของนักรบอมตะขั้นสูง วรยุทธของเรายังอ่อนด้อยเกินไป…”


จางเซวียนใช้เวลาเพียงครู่เดียวในการขัดเกลาศพของนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ทั้งสามคนให้กลายเป็นหุ่นโลหะไร้วิญญาณ แต่เมื่อมาถึงร่างของนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหนก็ไม่สำเร็จ


“จิตวิญญาณของเรายังอ่อนด้อยไปหน่อย” จางเซวียนส่ายหน้า


เขาตามหาหนังสือเทคนิควรยุทธเพื่อยกระดับวรยุทธของพลังปราณให้เป็นนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ได้แล้ว แต่เมื่อมาถึงการยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณ ก็ไม่โชคดีแบบนั้น


ในเวลานี้ จิตวิญญาณของจางเซวียนยังมีวรยุทธแค่ระดับเสมือนอมตะสรวงสวรรค์ หากไม่มีศาสตร์แห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้าที่สมบูรณ์พอ เขาก็ไม่อาจฝ่าด่านวรยุทธได้


สำนักดาบเมฆเหินให้ความสำคัญเฉพาะกับศิลปะเพลงดาบและเจตจำนงเพลงดาบ พวกเขาไม่ใส่ใจการยกระดับพลังงานของจิตวิญญาณมากนัก จึงแทบไม่มีหนังสือที่เกี่ยวข้องกับวรยุทธของจิตวิญญาณ ด้วยเหตุนี้ จางเซวียนจึงยังห่างไกลจากการประมวลศาสตร์แห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้าของวรยุทธขั้นอมตะตัวจริง


เราต้องหาทางยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณให้ได้ จางเซวียนคิดขณะเก็บศพของนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์เข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ


ที่เขาต้องยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณก็ไม่ใช่เพื่อการขัดเกลาศพของนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นเงื่อนไขของการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูงด้วย


ถึงเขาจะยังรวบรวมหนังสือเทคนิควรยุทธได้ไม่มากพอสำหรับการประมวลเคล็ดวิชาเทียบฟ้าของวรยุทธระดับอมตะขั้นสูง แต่ด้วยหนังสือที่พอหาได้ จางเซวียนก็พอมีความเข้าใจในวรยุทธขั้นนี้อยู่บ้าง


ก็เหมือนกับการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณในครั้งนั้น ทั้งจิตวิญญาณ กายเนื้อ และพลังปราณของเขาจะต้องกลมกลืนกันอย่างสมบูรณ์แบบ การฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูงจึงจะประสบความสำเร็จ


ปัญหาแบบนี้จะไม่เกิดกับนักรบคนอื่นๆ เพราะพวกเขาไม่เคยฝึกฝนวรยุทธของจิตวิญญาณมาตั้งแต่แรก วรยุทธของพลังปราณจึงมีความสำคัญมากกว่า ด้วยเหตุนี้ นักรบเหล่านั้นจึงประสานจิตวิญญาณให้กลมกลืนกันกับพลังปราณได้ง่ายกว่าจางเซวียน


สำหรับจางเซวียน เขาต้องสร้างความสมดุลระหว่างวรยุทธของจิตวิญญาณกับวรยุทธของพลังปราณให้ได้เพื่อนำไปสู่การฝ่าด่านวรยุทธ ซึ่งเรื่องนั้นจะสำเร็จก็ต่อเมื่อเขายกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณให้เสมอกับพลังปราณได้แล้วเท่านั้น


ด้วยเหตุนี้ เรื่องด่วนที่สุดในเวลานี้ก็คือค้นหาหนังสือเทคนิควรยุทธของจิตวิญญาณ!


เมื่อคิดได้ จางเซวียนก็เดินออกจากห้องลับแห่งนั้น


ในเมื่อเขาเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาเทพดาบเมฆเหินและเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าอย่างสมบูรณ์แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีก


หานเจี้ยนชิวยืนรออยู่ด้านนอกห้องลับ เมื่อเห็นจางเซวียนออกมา ก็รีบตั้งคำถามพร้อมกับยิ้มให้ “เป็นอย่างไรบ้าง?”


“ก็ได้อยู่…เจ้าสำนักหาน ไม่ทราบว่าในบรรดา 6 สำนักใหญ่ สำนักไหนที่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษเรื่องศาสตร์แห่งจิตวิญญาณ?” จางเซวียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนตั้งคำถาม


เขาอ่านหนังสือทั้งหมดที่มีในสำนักดาบเมฆเหินแล้ว ซึ่งหากพูดกันตามตรง ก็ไม่มีหวังเลยที่จะรวบรวมหนังสือเทคนิควรยุทธขั้นอมตะตัวจริงของจิตวิญญาณได้จากที่นี่ เพราะนักรบส่วนใหญ่ในทวีปที่ถูกลืมให้ความสำคัญเฉพาะกับวรยุทธของพลังปราณ จางเซวียนจะต้องตามหาสำนักที่เชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งจิตวิญญาณให้ได้ ไม่อย่างนั้น ก็คงยากมากที่จะหาหนังสือที่จำเป็นสำหรับการยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณได้สำเร็จ


“คือ…”


หานเจี้ยนชิวดูจะไม่เข้าใจเหตุผลที่จางเซวียนตั้งคำถาม เขาครุ่นคิดก่อนจะตอบว่า “ถ้าผมจะต้องพูดถึง 1 ใน 6 สำนักใหญ่ที่มีทักษะเชี่ยวชาญที่สุดในศาสตร์ของจิตวิญญาณ ก็ไม่น่าจะเป็นที่อื่นนอกจากตำหนักคว้าดาว พวกเขาสามารถสื่อสารกับเทพเจ้า และทำได้ถึงขนาดใช้บรรณาการเชื้อเชิญเทพเจ้าให้ลงมายังมิติเบื้องล่างได้ด้วย ผมคิดไม่ออกว่ามีกลุ่มอำนาจไหนที่จะเชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งจิตวิญญาณมากกว่าพวกเขา”


“ตำหนักคว้าดาว?” จางเซวียนพยักหน้า


เขาเคยได้ยินชื่อตำหนักนี้มาแล้วหลายครั้ง


“6 สำนักใหญ่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะของตัวเอง ซึ่งตำหนักคว้าดาวไม่เหมือนกับสำนักอื่นๆที่เหลือ เหล่าสมาชิกของตำหนักคว้าดาวไม่ได้ถูกละเลยจากเผ่าพันธุ์เทพเจ้า แต่เป็นพลเมืองของดินแดนนั้น พวกเขามีจิตวิญญาณที่ทรงพลังตั้งแต่เกิด ความเชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งจิตวิญญาณ จึงมีอยู่ทั่วไป”


“สำหรับสำนักดาบเมฆเหินของพวกเรา อย่างที่คุณเห็น เราเชี่ยวชาญในศิลปะเพลงดาบมากกว่า แต่ในทางตรงกันข้าม เราก็อ่อนด้อยเรื่องการพัฒนาจิตวิญญาณ ส่วนหอนานาอสูร…ก็ตามชื่อของมัน พวกเขาเชี่ยวชาญในศิลปะการทำให้อสูรยอมจำนน ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดทุกคนที่หอนานาอสูรจะมีอสูรทรงพลังเป็นของตัวเองอย่างน้อย 1 ตัว จึงไม่อาจประมาทประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกเขาได้”


“สำนักดาวเจ็ดดวงคือธุรกิจหมายเลข 1 ของทวีปที่ถูกลืม พวกเขาซื้อขายของล้ำค่าทุกชนิดผ่านช่องทางขนาดใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาไปทั่วทั้งทวีป ในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ คนเหล่านั้นเทียบชั้นไม่ได้กับอีก 5 สำนักที่เหลือ แต่ความร่ำรวยของพวกเขาก็เกินพอที่จะทำให้สำนักดาวเจ็ดดวงโดดเด่นอยู่ได้ท่ามกลาง 6 สำนักใหญ่”


“ป้อมปราการกระจกดำมีความเชี่ยวชาญในการหลอมอาวุธและของล้ำค่า ซึ่งดาบถงซังของคุณก็เป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของพวกเขา ส่วนสำนักอมตะเลือนหาย พวกเขาพำนักอยู่ในทะเลทางตอนเหนือสุดของทวีป บรรดาศิษย์สายตรงของสำนักนี้มีทักษะเชี่ยวชาญอย่างน่าทึ่งในเทคนิคการเคลื่อนไหว”


หานเจี้ยนชิวอธิบายภูมิหลังของ 6 สำนักใหญ่ในมิติเบื้องบนอย่างรวบรัด


“ผมเข้าใจแล้ว” จางเซวียนพยักหน้า


เขาฟังเรื่องราวของ 6 สํานักใหญ่มาแล้วหลายครั้ง ทั้งยังมีรายละเอียดบอกไว้ในหนังสือด้วย แต่ทุกอย่างก็ดูจะกระจ่างกว่าเมื่อมีผู้ที่รอบรู้ในมิติเบื้องบนมาอธิบายให้ฟังโดยตรง


“คุณบอกว่าสมาชิกของตำหนักคว้าดาวคือประชากรของดินแดนนี้ และไม่ได้ถูกละเลยจากเทพเจ้า…ไม่ทราบว่าเรื่องนั้นหมายความว่าอย่างไร?” จางเซวียนถาม


ทุกเรื่องที่เขาเข้าไปเกี่ยวข้องดูจะเชื่อมโยงกับตำหนักคว้าดาวไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ทำให้เขาสนใจในกลุ่มอำนาจนี้มาก


“อย่างที่คุณรู้ ประชากรส่วนใหญ่ในทวีปที่ถูกลืมคือผู้ที่ถูกละเลยจากเทพเจ้า แต่มีดินแดนส่วนหนึ่งที่ไม่ได้เป็นแบบนั้น ประชากรที่อาศัยอยู่ที่นั่นมาก่อนพวกเราได้ชื่อว่าเป็นคนท้องถิ่น ตำหนักคว้าดาวก่อร่างสร้างตัวขึ้นจากผู้คนเหล่านั้น และแหล่งพละกำลังของพวกเขาก็มาจากจิตวิญญาณ ที่มีอานุภาพเหนือชั้นที่ทำให้พวกเขาสื่อสารได้แม้แต่กับเทพเจ้า” หานเจี้ยนชิวอธิบาย


จางเซวียนพยักหน้าอย่างเข้าใจ


“คุณตั้งใจจะศึกษาศาสตร์แห่งจิตวิญญาณหรือ?” หานเจี้ยนชิวถาม


“นั่นคือสิ่งที่ผมคิดอยู่” จางเซวียนพยักหน้า “ผมอยากเดินทางไปตำหนักคว้าดาว”


“เอ่อ” หานเจี้ยนชิวขมวดคิ้ว “มันอยู่ไกลจากสำนักดาบเมฆเหินมาก ต่อให้คุณขี่อสูรอมตะไป ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 วัน ในเมื่อตอนนี้คุณถูกจับตาจากหอเทพเจ้า และคนของตำหนักคว้าดาวก็ไม่เป็นมิตรกับคนนอก ผมขอแนะนำว่าคุณอย่าไปจะดีกว่า”


จางเซวียนพยักหน้าพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่


เขาเองก็คิดถึงปัจจัยเหล่านี้เช่นกัน ในเมื่อตำหนักคว้าดาวเป็นกลุ่มอำนาจที่มีแต่คนท้องถิ่น ก็ไม่ยากเกินไปที่จะคาดเดาได้ว่าพวกเขาคงไม่เป็นมิตรเท่าไหร่กับคนนอกที่เข้ามาอ้างสิทธิ์ในดินแดนที่เคยเป็นของพวกเขา


ตอนที่ 2034 ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…

การหว่านล้อมให้คนเหล่านั้นยอมให้เขาดูหนังสือเทคนิควรยุทธที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณคงเป็นเรื่องยาก


อีกอย่าง ตอนนี้หอเทพเจ้าก็จับตาทุกการเคลื่อนไหวของเขา การออกจากสำนักดาบเมฆเหินจึงถือว่าอันตรายมาก แต่ถ้าเขาไม่ไป ก็จะไม่มีวันได้ยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณ สุดท้าย การฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะขั้นสูงก็จะไม่สำเร็จ!


มันเป็นการเดินเกมที่เสี่ยง แต่จางเซวียนมองว่าเป็นเรื่องจำเป็น การยื้อเวลาออกไปมีแต่จะทำให้หอเทพเจ้ามีโอกาสเตรียมตัว ส่งผลให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่าเดิม


อีกอย่าง หินโลหิตเทพเจ้าที่เขาได้พบที่ตลาดอู๋ไห่ก็น่าจะเกี่ยวข้องกับหลัวลั่วชิง ไม่ว่าอย่างไร เขาก็จะต้องเดินทางไปตำหนักคว้าดาวเพื่อสืบเสาะเรื่องนี้ให้ได้


สำหรับอันตรายที่จะเกิดขึ้น เขายังลังเลอยู่สักหน่อยกับการที่จะต้องเผชิญหน้ากับเหล่าผู้เชี่ยวชาญของหอเทพเจ้า แน่นอนว่าตอนนี้เขาเทียบชั้นกับคนเหล่านั้นไม่ได้ แต่หากปลอมตัวให้แนบเนียนและดูให้แน่ใจว่าไม่เปิดเผยเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าออกมา การที่หอเทพเจ้าจะพบตัวเขาก็คงไม่ง่ายเช่นกัน


“ถ้าคุณยืนกรานจะเดินทางไปตำหนักคว้าดาวให้ได้ ก็ขอผมไปด้วย ถึงตู้ชิงหย่วนจะไม่ใช่คนที่รับมือด้วยได้ง่ายนัก แต่ผมคิดว่าอย่างน้อยผมก็พอจะหว่านล้อมให้เธอยอมให้คุณศึกษาศาสตร์แห่งจิตวิญญาณของพวกเขาได้” หานเจี้ยนชิวเสนอ


ด้วยวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์และศิลปะเพลงดาบอันเหนือชั้นของเขา ต่อให้เขาเอาชนะเหล่าผู้เชี่ยวชาญของหอเทพเจ้าไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็พอยื้อเวลาให้จางเซวียนมีโอกาสหลบหนีหากเกิดสถานการณ์คับขัน


แต่จางเซวียนส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ผมจะไปที่นั่นคนเดียว”


ถ้าหานเจี้ยนชิวตามไปด้วย โอกาสที่ทั้งคู่จะถูกเปิดโปงก็มีสูงขึ้น เขารู้สึกว่าน่าจะปลอดภัยกว่าหากไปที่นั่นอย่างเงียบๆ


ที่สำคัญกว่านั้น เขาตั้งใจจะไปสืบเสาะเรื่องที่เกี่ยวกับหินโลหิตเทพเจ้าและหลัวลั่วชิง อย่างน้อยที่สุด ในเวลานี้เขาก็ไม่อยากให้มีคนรู้เรื่องนี้มากเกินไป


“มันอันตรายเกินไป!” หานเจี้ยนชิวอุทานอย่างร้อนใจ


จางเซวียนเอ่ยปากแย้งข้อกังวลใจของหานเจี้ยนชิว “ผมคือผู้ที่ทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ ก็เหมือนอย่างที่คุณบอกไว้หลายครั้งหลายหนแล้ว ไม่ช้าไม่นานผมก็จะกลายเป็นเจ้าสำนักดาบเมฆเหินคนใหม่ ผมจะมีวุฒิภาวะเพียงพอได้อย่างไรหากยังอยู่ภายใต้การปกป้องของคุณตลอดเวลาแบบนี้? นักดาบควรมีความแข็งแกร่งของกระทิงดุ พุ่งเข้าใส่ศัตรูโดยปราศจากความลังเล ความหวาดกลัวมีแต่จะทำให้ความลังเลเข้าปะปนในศิลปะเพลงดาบของผม”


“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…”


หานเจี้ยนชิวอยากทักท้วง แต่รู้ว่าที่จางเซวียนพูดมาก็มีเหตุผล


บ่อยครั้งที่ช่วงเวลาของการเสี่ยงอันตรายทำให้เหล่านักรบมีวุฒิภาวะมากขึ้นและก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด หากไม่ได้เผชิญหน้ากับศัตรูและไม่ได้ทดสอบศิลปะเพลงดาบของตัวเอง ก็ไม่มีทางที่จะพัฒนาตัวเองไปสู่ความเป็นสุดยอดได้


ไม่ใช่ว่าการระมัดระวังตัวนั้นไม่สำคัญ แต่ทุกอย่างจะสำเร็จได้ก็ด้วยจิตวิญญาณและความมุ่งมั่น ทันทีที่นักดาบสูญเสียความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นไป ศิลปะเพลงดาบของเขาก็จะไร้ความตื่นเต้นและเป็นไปตามรูปแบบเดิมๆ


เคยมีกรณีแบบนี้ในสำนักดาบเมฆเหินเหมือนกัน เมื่อพันปีก่อน เจ้าสำนักคนหนึ่งมีศิลปะเพลงดาบที่อยู่ในระดับเหนือชั้น ถึงขนาดที่ในโลกนี้ไม่มีใครแข่งขันกับเขาได้ แต่ความผิดพลาดเล็กน้อยครั้งหนึ่งทำให้เขาพลั้งมือทำร้ายเพื่อนสนิทที่สุดของตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาโทษตัวเองอย่างมากและเกิดความสงสัยแคลงใจในเส้นทางที่เลือก เมล็ดพันธุ์ของความแคลงใจนี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว สั่นคลอนความศรัทธาในเพลงดาบของเขา สุดท้าย เจตจำนงเพลงดาบของเจ้าสำนักผู้นั้นก็แหลกสลาย ส่งผลให้วรยุทธของเขาตกฮวบ


ในที่สุดเขาก็ตายอย่างคนธรรมดาสามัญคนหนึ่ง


ในชีวิตหนึ่งย่อมมีความยากลำบากและความสูญเสียมากมายหลายครั้ง ซึ่งการเรียนรู้ที่จะข้ามผ่านมันไปให้ได้คือวิถีทางที่คนคนหนึ่งจะมีวุฒิภาวะและเจริญเติบโต หากใครสักคนที่สามารถทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จไม่อาจเผชิญหน้ากับอันตรายได้ ก็จะไม่มีวันกลายเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่


การปกป้องใครสักคนไม่ได้หมายถึงการคุ้มกันเขาจากจากภัยอันตรายทุกรูปแบบในโลก แต่คือการจัดหาเงื่อนไขและสภาวะที่จำเป็นต่อการพัฒนาวุฒิภาวะให้กับอีกฝ่าย และสุดท้ายเขาก็จะได้ดำรงชีวิตอย่างเป็นอิสระโดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใด


“ผมเข้าใจแล้ว ผมจะให้คุณยืมอสูรอมตะบินได้ตัวที่บินเร็วที่สุดในสำนักของเราก็แล้วกัน” หานเจี้ยนชิวยังคงครุ่นคิดหนัก แต่รู้ดีว่านี่คือสิ่งที่เขาทำได้เพียงแค่เรียนรู้ว่าจะรับมือกับมันอย่างไร


“ไม่ต้องหรอก นั่นจะสะดุดตาเกินไป” จางเซวียนตอบ เขานิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนตั้งคำถาม “แถวนี้มีอสูรอมตะบินได้ตัวอื่นๆไหม? ผมอยากลองทำให้มันยอมจำนนด้วยตัวผมเอง”


เขาไม่รู้ว่าเหล่าผู้เชี่ยวชาญของหอเทพเจ้าซ่อนตัวอยู่ที่ไหน แต่การขี่อสูรอมตะบินได้ของสำนักดาบเมฆเหินไปย่อมเป็นที่สะดุดตา ไม่ต่างอะไรกับการประกาศให้พวกนั้นรู้ว่าเขากำลังออกจากเขตปลอดภัยของสำนักดาบเมฆเหิน


ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เขาก็ควรจะแอบออกไปเงียบๆและทำให้อสูรอมตะบินได้สักตัวยอมจำนน แบบนั้นจะไม่เป็นการเปิดเผยการเดินทางของเขามากเกินไป


“คุณคิดจะทำให้อสูรอมตะบินได้ยอมจำนนด้วยตัวเองหรือ?” หานเจี้ยนชิวถึงกับผงะ “อสูรอมตะนั้นขึ้นชื่อว่าหยิ่งผยองมาก และการทำให้มันยอมจำนนก็ต้องใช้เวลานาน มันไม่ง่ายอย่างที่คุณคิดหรอกนะ”


อสูรอมตะบินได้ที่สำนักดาบเมฆเหินมีล้วนถูกส่งมาจากหอนานาอสูร เหล่าสมาชิกของสำนักดาบเมฆเหินล้วนแต่ให้ความสำคัญกับการฝึกฝนศิลปะเพลงดาบมากกว่า และแทบไม่รู้อะไรในทางปฏิบัติเกี่ยวกับการทำให้อสูรยอมจำนนเลย


แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็พอรู้ว่าความพยายามในการทำให้อสูรอมตะสักตัวยอมจำนนนั้นยากเย็นแค่ไหน


ขนาดเหล่าศิษย์สายตรงของหอนานาอสูรซึ่งอุทิศชีวิตให้กับการฝึกฝนทักษะการฝึกอสูรให้เชื่องจนเชี่ยวชาญก็ยังต้องใช้เวลานานจนแทบไม่น่าเชื่อกว่าจะทำให้อสูรอมตะยอมจำนนได้สักตัว!


“ผมเข้าใจ ก็แค่อยากลองดูเท่านั้น” จางเซวียนตอบยิ้มๆ


“เอ่อ…ผมดูออกว่าคุณตัดสินใจแล้ว ก็จะไม่ห้ามปรามละนะ นี่คือตราหยกพิทักษ์ที่ผมหลอมไว้ ถ้าเกิดอันตรายใดๆขึ้น ก็ถ่ายทอดพลังปราณเข้าไปในนั้น มันจะสร้างปราการแสงที่มีอานุภาพป้องกันตัวไว้รอบตัวคุณ ช่วยป้องกันการโจมตีของนักรบระดับกึ่งสรวงสวรรค์ได้”


เห็นจางเซวียนตัดสินใจแล้ว หานเจี้ยนชิวส่ายหน้าอย่างจนปัญญาก่อนจะยื่นตราหยกอันหนึ่งให้


“ขอบคุณมาก” จางเซวียนตอบขณะรับตราหยกพิทักษ์ไว้


“ส่วนเรื่องอสูรอมตะบินได้ที่คุณพูดถึงก่อนหน้านี้ บนภูเขาเมฆเหินที่ห่างออกไปจากที่นี่ราวหมื่นลี้ มีอสูรอมตะขั้นสูงและอสูรอมตะตัวจริงอยู่มากมาย…หอนานาอสูรเคยส่งสมาชิกของพวกเขาไปที่นั่นหลายครั้งแล้วเพื่อทำให้อสูรยอมจำนน แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครทำสำเร็จ คุณต้องระวังตัวให้ดีนะถ้าอยากไปที่นั่น” หานเจี้ยนชิวแนะนำ


จางเซวียนพยักหน้า


เขาศึกษาตำแหน่งที่ตั้งของตำหนักคว้าดาวและตั้งคำถามอีก 2-3 ข้อ เมื่อได้ทุกคำตอบที่ต้องการแล้ว ก็รีบกลับไปยังที่พักของตั้นเฉี่ยวเทียน


ในตอนนี้ ไป๋เหรินชิงได้รับข้อความจากผู้อาวุโสไป๋เย่แล้วและกลับมาจากเมืองอู๋ไห่เป็นที่เรียบร้อย


“เฉี่ยวเทียน ผมรับไป๋เหรินชิงเป็นศิษย์สายตรงของผมแล้ว นับจากวันนี้ไป เธอจะเป็นศิษย์พี่ของคุณ”


“คารวะศิษย์พี่!” ตั้นเฉี่ยวเทียนประสานมือและทักทายไป๋เหรินชิง


“นี่คือเทคนิควรยุทธและศิลปะเพลงดาบที่พวกคุณจะต้องฝึกฝนในอนาคต ถ้ามีข้อสงสัยก็ถามได้เลย” จางเซวียนพูดขณะยื่นตราหยก 2 อันให้ทั้งคู่ด้วยการสะบัดข้อมือ


ที่บรรจุอยู่ภายในตราหยกคือเทคนิควรยุทธและคำชี้แนะบางส่วนที่ช่วยบอกแนวทางที่ทั้งคู่จะต้องให้ความสำคัญในอนาคต


ตั้นเฉี่ยวเทียนกับไป๋เหรินชิงรีบเพ่งสมาธิเข้าสู่ตราหยก ไม่ช้าทั้งคู่ก็จมดิ่งอยู่กับสิ่งที่กำลังอ่าน


เทคนิควรยุทธและศิลปะเพลงดาบที่บันทึกอยู่ในตราหยกนั้นเป็นผลงานชั้นยอด ขอแค่พวกเขาตั้งใจฝึกฝนมันอย่างจริงจัง จะต้องยกระดับวรยุทธได้อย่างรวดเร็วแน่


ไม่ช้า ทั้งคู่ก็อ่านทุกอย่างที่บันทึกอยู่ในตราหยกจนจบและเริ่มมีความไม่แน่ใจบางอย่างเกิดขึ้น


จางเซวียนตอบข้อสงสัยทีละข้ออย่างอดทน


จากนั้น เขาก็รีบเข้าสู่หอนิรันดร์ของสำนักดาบเมฆเหินและซื้อยาเม็ดอมตะขั้นสูงกับยาเม็ดอมตะขั้นพิเศษมา 2 ขวด จางเซวียนมอบให้ศิษย์สายตรงทั้งสองและพูดว่า “นี่คือยาเม็ดอมตะที่พวกคุณต้องใช้สำหรับการฝึกฝนวรยุทธ หวังว่าคราวหน้าที่เราพบกัน คุณจะทำได้ตามความคาดหมายของผมนะ”


กว่าจางเซวียนจะเสร็จสิ้นการสั่งเสียของเขา ดวงอาทิตย์ก็เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้า


ยังไม่ทันจะรู้ตัว เขาก็ใช้เวลาอยู่ในสำนักดาบเมฆเหิน 2 วันแล้ว ถือเป็นระยะเวลายาวนานไม่น้อย


แต่ก็โชคดีที่เวลาที่จางเซวียนเสียไปที่นี่ได้รับผลตอบแทนอย่างงาม เขายกระดับวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ได้แล้ว ทั้งยังได้ทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าจนสำเร็จด้วย ในเวลาเดียวกัน ก็ทำให้อาวุธระดับอมตะขั้นสูงยอมจำนนได้ถึง 2 ชิ้น และหลอมหุ่นโลหะไร้วิญญาณที่ทำจากศพของนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ได้อีก 3 ตัว…


รวมแล้ว จางเซวียนมีพละกำลังแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก และจะไม่อับจนอีกต่อไปหากต้องเผชิญหน้ากับนักรบชั้นยอดของทวีปที่ถูกลืม


“พวกเราจะไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวัง!” ไป๋เหรินชิงกับตั้นเฉี่ยวเทียนโค้งคำนับอย่างงามด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ


จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจเมื่อเห็นภาพนั้น


ความมุ่งหมายในการออกเดินทางสู่มิติเบื้องบนของเขาคือการเดินทางระยะสั้นที่เป้าหมายหลักคือการตามหาหลัวลั่วชิง การรับศิษย์สายตรงไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการของเขาเลย แต่ก็ไม่เสียใจกับสิ่งที่ตัดสินใจทำลงไป


ตั้นเฉี่ยวเทียนกับไป๋เหรินชิงเป็นคนหนุ่มสาวที่มีความแข็งแกร่งอดทน และจางเซวียนก็พึงพอใจในตัวทั้งคู่อย่างมาก


น่าเสียดายที่เขาไม่อาจพาทั้งคู่ไปไหนมาไหนด้วยเหมือนกับจ้าวหย่าและคนอื่นๆ และไม่มีโอกาสได้สั่งสอนอย่างถี่ถ้วน ต่อไปทั้งสองจะต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น


“เฉาเฉิงลี่ เมื่อผมจากไปแล้ว ผมอยากให้คุณดูแลเฉี่ยวเทียนกับเหรินชิงให้ดี นี่คือเทคนิควรยุทธและยาเม็ดของคุณ เลิกหมกมุ่นกับผู้หญิงทั้งวันทั้งคืนและหันมาใส่ใจฝึกฝนวรยุทธได้แล้ว แทนที่จะต้องฟังคุณพล่ามถึงการบริหารเสน่ห์และการเด็ดดอกไม้ให้ได้ร้อยดอกหรืออะไรทำนองนั้น ผมหวังว่าในครั้งหน้าที่เราพบกัน คุณจะพัฒนาวรยุทธได้อีกมากนะ เข้าใจใช่ไหม?” จางเซวียนเรียกจอมโจรเฉาเฉิงลี่มาเทศนา


ตอนที่ 2035 เราต้องรีบหาตัวเขาให้พบ!

“แค่ก แค่ก…นายน้อย ผมเด็ดดอกไม้ได้ครบพันดอกแล้ว!” เฉาเฉิงลี่ตอบพร้อมกับเกาหัวแกรก จากนั้นก็แอบมองจางเซวียนด้วยความอยากรู้และถามอ้อมแอ้ม “ก็แค่อยากรู้หรอกนะนายน้อย แต่ว่าตอนนี้คุณเด็ดดอกไม้ได้กี่ดอกแล้วล่ะ…”


คำพูดนั้นทำให้จางเซวียนหน้าตึงขึ้นมาทันที หมอนี่ชักจะกำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว!


“ผมรู้มาว่าคุณเพิ่งกระโดดข้ามธรณีประตูใช่ไหม? ดูเอาเถอะว่าเดี๋ยวนี้มารยาทของคุณเป็นอย่างไร! ถ้าผมเจออีกครั้งว่าคุณทำตัวเหลวไหลอย่างนี้ล่ะก็ แน่ใจได้เลยว่าผมจะหักขาคุณ!”


“ผมกระโดดข้ามธรณีประตูก็ไม่ได้หรือ?” เฉาเฉิงลี่งงงัน


ใช้ขาซ้ายก็ไม่ได้ ขาขวาก็ไม่ได้เหมือนกัน…แถมตอนนี้กระโดดข้ามก็ไม่ได้ด้วย! นายน้อยคิดจะปล่อยเขาไว้นอกบ้านหรือขังเขาไว้ในบ้านชั่วชีวิตหรือไง?


จางเซวียนคำรามอีกครั้งและปล่อยให้เฉาเฉิงลี่ใคร่ครวญการทำความผิดของตัวเองก่อนจะออกจากบ้านพัก


เมื่อดวงอาทิตย์ลอยสูง เขาก็พ้นจากประตูขุนเขามาแล้ว จากนั้นก็หายตัวไปท่ามกลางความเวิ้งว้างอันกว้างใหญ่


ครู่เดียวหลังจากที่จางเซวียนหายตัวไป ผู้อาวุโส 2 คนก็ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ ทั้งคู่มองหน้ากันด้วยสีหน้างุนงงสงสัย


พวกเขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผู้อาวุโสเหอเทียนกับผู้อาวุโสโฉวหั่ว


หานเจี้ยนชิวอนุญาตให้จางเซวียนเดินทางตามลำพัง แต่สุดท้ายก็พบว่าไม่อาจปล่อยให้เป็นแบบนั้นได้ นั่นคือความปลอดภัยของว่าที่หัวหน้าสำนักของพวกเขา! จะยอมให้เกิดความผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด!


ดังนั้น ทันทีที่จางเซวียนออกไป หานเจี้ยนชิวก็รีบสั่งการให้ 2 ผู้อาวุโสตามจางเซวียนไปติดๆเพื่อคุ้มกันอีกฝ่าย


ใครจะไปคิดว่าทั้งคู่จะคลาดกันกับจางเซวียนทันทีที่ออกจากสำนัก…


“เร็วเข้า เราต้องรีบหาตัวเขาให้พบ!”


สองผู้อาวุโสตามหาชายหนุ่มอย่างรีบร้อน แต่ทั่วบริเวณนั้นก็ว่างเปล่า ไม่มีวี่แววของจางเซวียน


4 ชั่วโมงต่อมา ทั้งคู่ก็หมดหนทาง ต้องกลับสภาผู้อาวุโสเพื่อรายงานความล้มเหลว


ไม่น่าเชื่อว่านักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์อย่างพวกเขาจะปล่อยให้นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์คนหนึ่งคลาดสายตาได้…ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่าจะมองหน้าเจ้าสำนักได้อย่างไร


“คุณคลาดกันกับเขาหรือ?”


…..


หานเจี้ยนชิวดูจะคาดเดาเหตุการณ์ได้ทันทีที่เห็นทั้งคู่ ทำให้ผู้อาวุโสเหอเทียนกับผู้อาวุโสโฉวหั่วไม่ต้องเสียเวลาสาธยายความล้มเหลวของตัวเอง


“คือ…”


ผู้อาวุโสเหอเทียนกับผู้อาวุโสโฉวหั่วไม่กล้าเงยหน้า


“เขารู้ว่าผมจะต้องส่งคุณทั้งสองติดตามเขาไป จึงหาวิธีกันท่าไว้ก่อน…” หานเจี้ยนชิวถอนหายใจอย่างจนปัญญา


“เขารู้ว่าพวกเราตามเขาไป?”


ผู้อาวุโสทั้งสองเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน


“นี่คือข้อความที่เขาทิ้งไว้ให้พวกคุณ” หานเจี้ยนชิวพูดขณะยื่นตราหยกสองอันในมือให้อีกฝ่าย


ทั้งคู่รีบถ่ายทอดพลังปราณเข้าสู่ตราหยก ไม่ช้าเสียงของจางเซวียนก็ดังขึ้น “ผู้อาวุโสเหอกับผู้อาวุโสโฉว พวกคุณไม่จำเป็นต้องตามผมหรอก ผมดูแลตัวเองได้ นี่คือศิลปะเพลงดาบที่ผมคิดค้นให้คุณทั้งคู่หลังจากวิเคราะห์ข้อบกพร่องในศิลปะเพลงดาบของคุณแล้ว ขอแค่ฝึกฝนตามนี้ คุณจะยกระดับความเชี่ยวชาญในศิลปะเพลงดาบขึ้นได้อีกมาก…”


“เอ่อ…”


ทั้งคู่รีบอ่านรายละเอียดที่ปรากฏในตราหยก ครู่ต่อมาก็ตกใจจนพูดไม่ออก


ศิลปะเพลงดาบที่บรรจุอยู่ในตราหยกดูจะแก้ไขข้อบกพร่องในศิลปะเพลงดาบของพวกเขาได้ทั้งหมด ขอแค่ขยันหมั่นเพียรฝึกฝนตามนี้ ก็จะมีความเชี่ยวชาญในระดับที่สูงขึ้นอีกมาก อันที่จริงอาจทำได้แม้แต่ยกระดับวรยุทธของพวกเขาเลยทีเดียว!


“คะ-คุณ คุณมองเห็นทั้งหมดนี้ได้อย่างไร?”


ทั้งคู่ตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ


โดยทั่วไป นักดาบจะเก็บข้อบกพร่องในศิลปะเพลงดาบของตัวเองไว้เป็นความลับ ไม่ใช่เรื่องที่จะเปิดเผยกับใครได้แม้แต่ญาติมิตรที่สนิทสนมที่สุด แต่ด้วยการดวลเพียงครั้งเดียว ชายหนุ่มก็ค้นพบข้อบกพร่องทั้งหมดของพวกเขาและหาวิธีการแก้ไขที่เป็นรูปธรรมมาแก้ไขความผิดพลาดได้…


ทั้งคู่รู้มานานแล้วว่านักดาบที่สามารถทำความเข้าใจเจตจำนงของเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จจะมีความเก่งกาจเหนือชั้นกว่าธรรมดา แต่นี่เป็นสิ่งที่เหนือกว่าจินตนาการของพวกเขามาก!


ใครๆก็รู้ว่าแต่ละกระบวนท่าของศิลปะเพลงดาบเหมือนกับฟันเฟืองตัวหนึ่งของระบบทั้งระบบ ต่อให้ใครสักคนค้นพบปัญหาของฟันเฟืองตัวหนึ่ง แต่การปรับเปลี่ยนมันอย่างรีบร้อนก็มีแต่จะสร้างปัญหาให้ทั้งระบบมากกว่าเดิม


ก็เพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้พวกเขาไม่กล้าแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเอง แม้จะพอรู้อยู่ว่าปัญหาคืออะไร ไม่ใช่เพราะไม่อยากแก้ เรื่องของเรื่องก็คือแก้ไม่ได้!


แต่ปัญหานี้ก็ถูกแก้ไขจนสำเร็จอย่างไร้ที่ติด้วยฝีมือของชายหนุ่มคนหนึ่ง…


“เราจะตอบแทนบุญคุณครั้งนี้ได้อย่างไร?”


นัยน์ตาของผู้อาวุโสทั้งคู่แดงก่ำด้วยความตื่นเต้น


พวกเขาตั้งใจจะปกป้องชายหนุ่ม แต่ไม่เพียงอีกฝ่ายจะไม่ต้องการความช่วยเหลือ ยังมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้ด้วย ไม่มีถ้อยคำไหนจะบรรยายความรู้สึกในเวลานี้ได้เลย


“ไม่ใช่เฉพาะพวกคุณนะ พวกเราทุกคนก็ได้รับคำชี้แนะเหมือนกัน…” หานเจี้ยนชิวพูดขณะกวาดสายตามองเหล่าสมาชิกของสภาผู้อาวุโสด้วยนัยน์ตาเคร่งขรึมอย่างล้ำลึก


ราวกับว่าชายหนุ่มคือเทพเจ้าที่ร่อนลงมาหาพวกเขา จากนั้นก็มอบพรล้ำค่าให้ก่อนจะหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


ผู้อาวุโสเหอเทียนกับผู้อาวุโสโฉวหั่วมองไปรอบๆ ในตอนนั้นเองที่ได้รู้ว่าทั้งเจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆก็มีตราหยกในมือเช่นกัน เป็นไปได้ว่าตราหยกเหล่านั้นบรรจุเอาข้อบกพร่องและวิธีแก้ไขข้อบกพร่องของแต่ละคนไว้


“ตั้งใจฝึกฝนวรยุทธให้ดี อย่าทำให้เขาต้องผิดหวัง!” หานเจี้ยนชิวพูดขณะลุกขึ้นยืน “ด้วยความเก่งกาจของจางเซวียน ผมเชื่อว่าสำนักดาบเมฆเหินจะรุ่งเรืองขึ้นอีกมากภายใต้การนำของเขา”


“ใช่!” คนอื่นๆในห้องพยักหน้ารับ


กลับกลายเป็นว่าการปรากฏตัวของนักดาบผู้สามารถทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จไม่ได้เป็นผลดีต่อสำนักของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อสมาชิกทุกคนด้วย ขอแค่พวกเขาทำความเข้าใจคำชี้แนะของจางเซวียนให้ถี่ถ้วน ก็จะสามารถถ่ายทอดความรู้นี้ให้เหล่าศิษย์สายตรงได้ ประสิทธิภาพการต่อสู้ของสมาชิกทั้งสำนักจะเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก


แค่คิดก็ทำเอาทุกคนตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น


อัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องคนหนึ่งสามารถนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่สำนักได้ในช่วงเวลาหนึ่งชั่วคน แต่ครูบาอาจารย์ผู้ปราดเปรื่องคนหนึ่งจะนำความรุ่งเรืองมาสู่สำนักได้ยาวนานอีกหลายชั่วคน!


“ผมตัดสินใจแล้ว” หานเจี้ยนชิวประกาศอย่างปุบปับ


ราวกับจะรู้ว่าหานเจี้ยนชิวคิดอะไร ผู้อาวุโสเหอเทียนตั้งคำถามด้วยความประหลาดใจ “ท่านเจ้าสำนักหาน คุณแน่ใจหรือว่า…”


“แน่ใจอย่างยิ่ง” หานเจี้ยนชิวตอบ “ผมยังกังวลใจเรื่องนิสัยอวดเนื้ออวดตัวของเขา จึงคิดว่าจำเป็นต้องขัดเกลานิสัยของเขาสักหน่อยก่อนจะฝากฝังทั้งสำนักให้เขาดูแลได้ แต่การที่จางเซวียนเต็มใจถ่ายทอดคำชี้แนะของเขาให้พวกเราโดยไม่ปิดบัง ก็แปลว่าสภาวะจิตของเขามีความเหมาะสมแล้ว ผมเชื่อว่าเขาพร้อม!”


หลังจากพูดจบ หานเจี้ยนชิวก็นำตราหยกที่แสดงตัวตนของเขาในฐานะเจ้าสำนักออกมาและชูมันขึ้นตรงหน้า


เสียงทุ้มลึกของเขาดังก้องไปทั่วทั้งสำนักดาบเมฆเหิน


“นับจากวันนี้ไป จางเซวียนจะเป็นเจ้าสำนักดาบเมฆเหินคนใหม่!”


ที่โซนศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดของสำนักดาบเมฆเหิน ชายหนุ่มคนหนึ่งพุ่งปราดออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับดาบในมือ จากนั้นก็ปล่อยมืออย่างกะทันหัน ทำให้ดาบกระเด็นออกไปด้วยความเร็วอันน่าอัศจรรย์ มันพุ่งเข้าปักลำต้นของต้นไม้เก่าแก่ต้นหนึ่งที่อยู่ห่างออกไป


“ศิษย์พี่เหอ คุณกำลังฝึกฝนเทคนิคของเธอหรือ?” ชายหนุ่มคนหนึ่งถามอย่างตื่นเต้นขณะเดินเข้ามา


ถ้าไป๋เหรินชิงอยู่ตรงนี้ ก็จะจำชายทั้งสองที่ยืนอยู่ได้ ทั้งคู่ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเหอจิ้งชวน, ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดอันดับ 1 และหูเฉิน, ผู้รั้งอันดับ 4


หลังจากดวลกับไป๋เหรินชิง เหอจิ้งชวนก็ศึกษาทั้ง 2 กระบวนท่าที่เขาพ่ายแพ้ให้กับมัน ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็พอเข้าใจบางส่วนแล้ว


“ต้องขอบอกว่า 2 กระบวนท่านี้เป็นผลงานชั้นยอดจริงๆ ผมยำเกรงกับความสวยและสง่างามของมัน” เหอจิ้งชวนถอนหายใจอย่างทึ่งจัด


ครั้งแรกที่เขาเผชิญหน้ากับมัน ก็คิดว่าไม่น่ามีอะไรมากกว่าการโยนดาบแบบธรรมดา แต่ยิ่งศึกษามากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้ความน่าสะพรึงของมันมากขึ้นเท่านั้น


ราวกับว่าการโยนดาบเพียงครั้งเดียวนี้กุมความลับที่ซุกซ่อนอยู่ในแก่นสารของศิลปะเพลงดาบไว้


เขาพยายามจำลองสถานการณ์หลากหลายรูปแบบ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจเอาชนะเทคนิคการโยนดาบนั้นได้ ราวกับมันมีอานุภาพในการทำลายความเป็นไปได้ทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า ทำให้โชคชะตาของเขาต้องถึงจุดจบ!


“ถ้าไม่ใช่อย่างนั้น พวกเราทุกคนคงไม่พ่ายแพ้ให้เธอกันหมดหรอก…” หูเฉินรำพึงอย่างหม่นหมอง


ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ ไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่ยอมรับในความแข็งแกร่งของไป๋เหรินชิง แต่นั่นก็มีแต่จะทำให้รู้สึกท้อใจกว่าเดิม ยิ่งไปกว่านั้น…ดูเหมือนไป๋เหรินชิงจะไม่มีอะไรเลยนอกจากสองกระบวนท่าที่กล่าวมา


“คุณหาเจอหรือยังว่าเธอร่ำเรียน 2 กระบวนท่านี้จากใคร?” เหอจิ้งชวนถาม


“ผมพยายามตีกรอบของความเป็นไปได้ ซึ่งก็คาดเดาว่าเธอน่าจะเรียนจาก ‘ผมน่ะถ่อมตัว’, ชายผู้เอาชนะศิษย์สายตรงฝ่ายในทั้งหมดได้เมื่อไม่นานมานี้” หูเฉินตอบ


“เป็นเขาหรือ?” เหอจิ้งชวนขมวดคิ้ว “ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เขาเป็นแค่นักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึกนี่?”


“เขาน่าจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบเสมือนอมตะระดับล่างได้เมื่อไม่นานมานี้ อันที่จริง ตามข้อมูลที่ได้มา ดูเหมือน ‘ผมน่ะหล่อมาก’ ที่เอาชนะพวกเราทุกคนได้ในวันนั้นก็น่าจะเป็นเขา” หูเฉินตอบ


เขากำลังจะอธิบายเหตุผลที่สนับสนุนข้อสันนิษฐานนี้ ก็พอดีกับที่เสียงหนึ่งดังกึกก้องทั่วทั้งสันเขา “นับจากวันนี้ไป จางเซวียนจะเป็นเจ้าสำนักดาบเมฆเหินคนใหม่!”


“นั่นเสียงท่านเจ้าสำนักนี่!”


“ว่าแต่เขาพูดอะไร? จางเซวียนจะเป็นเจ้าสำนักคนใหม่ของเรา? จางเซวียนคนนั้นเป็นใครกัน?”


เหอจิ้งชวนกับหูเฉินต่างจังงัง


ไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่เจ้าสำนักของพวกเขาจะลงจากตำแหน่งและมอบตำแหน่งให้คนอื่น และส่วนใหญ่ผู้รับสืบทอดตำแหน่งก็มักจะเป็นผู้อาวุโสผู้ทรงเกียรติหรือใครสักคนที่ได้รับความเคารพอย่างสูงภายในสำนัก แต่จางเซวียนล่ะ…หมอนี่มาจากไหน?


ขณะที่ทั้งคู่กำลังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงของหานเจี้ยนชิวก็ดังขึ้นต่อไป


“ผมรู้ว่าชื่อ ‘จางเซวียน’ อาจไม่คุ้นหูสำหรับพวกคุณส่วนใหญ่ แต่เขาคือ ‘ผมน่ะถ่อมตัว’ และ ‘ผมน่ะหล่อมาก’, ชายผู้เอาชนะศิษย์สายตรงฝ่ายในและศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดทั้งหมดได้ภายในเวลาเพียงวันเดียว!”


“ผมน่ะถ่อมตัว?” เหอจิ้งชวนผงะ “เขาเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบเสมือนอมตะเมื่อไม่นานนี้เองไม่ใช่หรือ?”


ตอนที่ 2036 ทำแบบนี้จะดีหรือ?

นึกภาพไม่ออกเลยว่านักรบเสมือนอมตะระดับล่างคนหนึ่งจะมาเป็นเจ้าสำนักดาบเมฆเหินได้อย่างไร! ใครๆก็รู้ว่าสำนักดาบเมฆเหินคือ 1 ใน 6 สำนักใหญ่ มีพละกำลังและความแข็งแกร่งมากพอจะชี้นำโชคชะตาของทวีปที่ถูกลืมได้


นี่มันเหลวไหลเกินไปแล้ว!


“จางเซวียนทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ แม้เขาจะเป็นแค่นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ แต่ด้วยพละกำลังเหนือชั้นในศิลปะเพลงดาบ เขาสามารถเล่นงานนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์คนหนึ่งกับนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์อีก 3 คนได้สำเร็จ และในวรยุทธระดับเดียวกัน เขาก็แข็งแกร่งพอจะเอาชนะการผนึกกำลังกันของผมกับผู้อาวุโสอีก 4 คนได้…” หานเจี้ยนชิวสร้างความชอบธรรมให้กับการตัดสินใจของเขาต่อไป


“เดี๋ยวก่อน เขาเป็นนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์หรือ?”


“ที่ผมเพิ่งได้ยินคือเขาสังหารนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ไปคนหนึ่งใช่ไหม?”


“เขาโค่นเจ้าสำนักหานกับผู้อาวุโสอีก 4 คนได้?”


เหอจิ้งชวนกับหูเฉินมองหน้ากันด้วยนัยน์ตาเบิกโพลง


หมอนั่นทรงพลังขนาดนั้นเลย? เป็นคนเดียวกันจริงๆหรือเปล่า?


ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นแค่นักรบผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึกเมื่อวันก่อน ก็ช่างเหลือเชื่อที่เขากลายเป็นนักรบเสมือนอมตะระดับล่างได้ภายในเวลาเพียงวันเดียว…แล้วมันเรื่องบ้าบออะไรที่เจ้าสำนักหานพูดว่า ‘เขาเป็นแค่นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์’?


แถมยังสังหารนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ไปคนหนึ่งด้วย เรื่องแบบนี้เป็นไปได้ด้วยหรือ?


“เหตุผลที่ผมบอกเรื่องเหล่านี้กับพวกคุณก็เพื่อให้พวกคุณรู้ว่าผมตัดสินใจมอบตำแหน่งให้เขาด้วยความเต็มใจ หวังว่าพวกคุณจะสนับสนุนเขาในฐานะเจ้าสำนัก และนำพาสำนักดาบเมฆเหินของเราไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง!”


เสียงนั้นค่อยๆจางหายไป


หูเฉินมองหน้าเหอจิ้งชวนอย่างไม่อยากเชื่อ


“ผมคิดว่าเราควรฟังคำสั่งของเจ้าสำนักหานนะ นับจากวันนี้ไป เจ้าสำนักของเราจะไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจางเซวียน!”


“แต่…เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าสำนักจางหน้าตาเป็นอย่างไร อายุเท่าไหร่!”


เหอจิ้งชวนกับหูเฉินงุนงงอย่างหนัก ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


ถ้าคุณอยากให้พวกเราเชื่อฟังเจ้าสำนักคนใหม่ อย่างน้อยก็ควรบอกเราสักหน่อยว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร? นี่ไม่บอกข้อมูลอะไรกับเราสักนิด แล้วคาดหวังจะให้พวกเราทำอย่างไรหรือ?


…..


ที่โซนศิษย์สายตรงฝ่ายใน…


เฉาเฉิงลี่ยังนั่งอยู่บริเวณทางเข้าบ้านพัก เพ่งดูธรณีประตูอย่างเคร่งเครียด


เราใช้ขาซ้ายไม่ได้ เราใช้ขาขวาไม่ได้ กระโดดก็ไม่ได้เหมือนกัน…ดูเหมือนจะทำได้ก็แค่คลานเข้าออก…เฉาเฉิงลี่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา


ในตอนนั้น เสียงของหานเจี้ยนชิวก็แว่วมา


“นายน้อยของเรากลายเป็นเจ้าสำนักดาบเมฆเหิน, 1 ใน 6 สำนักใหญ่ไปแล้วหรือ?” เฉาเฉิงลี่ผงะด้วยความตกใจ


เขาสะบัดหน้าอย่างแรง ราวกับพยายามจะยอมรับข้อมูลที่เพิ่งได้มา


เขารู้ตั้งแต่ที่เมืองชวนเจียงแล้วว่านายน้อยคือผู้เก่งกาจไร้เทียมทาน แต่นึกไม่ถึงเลยว่านายน้อยจะน่าทึ่งได้ขนาดนี้!


พวกเขาเพิ่งมาถึงสำนักดาบเมฆเหินได้เพียง 2 วันเท่านั้น แต่อีกฝ่ายเปลี่ยนสถานภาพจากผู้ติดตามศิษย์สายตรงฝ่ายในคนหนึ่งไปเป็นเจ้าสำนักเสียแล้ว


เขาไต่เต้ารวดเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร?


ตั้นเฉี่ยวเทียนกับไป๋เหรินชิงที่ยังคงฝึกฝนวรยุทธอยู่ต่างก็จังงังกับสิ่งที่ได้ยิน นัยน์ตาของพวกเขาลุกโชนด้วยความกระตือรือร้น


ท่านอาจารย์กลายเป็นเจ้าสำนักดาบเมฆเหินแล้ว!


ในฐานะศิษย์สายตรงของท่านอาจารย์ จะทำให้ชื่อเสียงของเขาด่างพร้อยไม่ได้


เพราะฉะนั้น พวกเขาจะต้องตั้งใจฝึกฝนให้หนักกว่าเดิม!


ภาพแบบเดียวกันเกิดขึ้นทั่วทั้งสำนักดาบเมฆเหิน


ในเวลานี้ ศิษย์สายตรงและผู้อาวุโสทุกคนจดจำชื่อหนึ่งไว้ขึ้นใจ…จางเซวียน!


ชายหนุ่มคนนี้มาจากไหนก็ไม่รู้ แต่ภายในเวลาเพียง 2 วัน ก็เปลี่ยนสถานภาพจากคนธรรมดาสามัญที่ไม่มีใครรู้จักมาเป็นเจ้าสำนักผู้ทรงเกียรติได้!


ในโลกนี้คงไม่มีใครไต่เต้าได้รวดเร็วอย่างเขาอีกแล้ว


“ผู้อาวุโสหาน คิดดีแล้วหรือที่ประกาศออกไปอย่างนั้น? การทำอะไรเอิกเกริกมีแต่จะทำให้หอเทพเจ้าระแวงเจ้าสำนักจางมากขึ้นนะ” ผู้อาวุโสเหอเทียนตั้งคำถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


ในเมื่อหานเจี้ยนชิวลงจากตำแหน่งเจ้าสำนักแล้ว ก็มีตำแหน่งเป็นผู้อาวุโสขั้นสูงสุดโดยอัตโนมัติ


พวกเขาพยายามเต็มที่ที่จะปกปิดตัวตนของจางเซวียนเพื่อคุ้มกันอีกฝ่ายจากหอเทพเจ้า แต่จู่ๆ หานเจี้ยนชิวก็ประกาศออกไป…


ทำแบบนี้จะดีหรือ?


“ผู้อาวุโสเหอ หอเทพเจ้าเคลื่อนไหวแล้ว ต่อให้ตอนนี้เราพยายามปิดบังอะไร ก็สายเกินไปแล้วล่ะ”


“ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ประกาศให้รู้ทั่วกันไปเลยดีกว่า ด้วยวิธีนี้ ต่อให้หอเทพเจ้าอยากเปิดการโจมตี ก็จะต้องใคร่ครวญก่อนว่ามันคุ้มกันหรือเปล่าที่จะสังหารเจ้าสำนักดาบเมฆเหินคนใหม่และเสี่ยงกับความโกรธเกรี้ยวของทวีปที่ถูกลืม…” หานเจี้ยนชิวพูด


ถ้าจางเซวียนเป็นคนธรรมดาสามัญที่ไม่มีใครรู้จัก หอเทพเจ้าก็สามารถทำอะไรได้ตามใจ ไม่มีใครกล่าวโทษ เพราะถึงอย่างไรโลกทั้งโลกก็ไม่มีเวลาพอจะใส่ใจใครสักคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเขา


แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว เพราะจางเซวียนกลายเป็นเจ้าสำนักดาบเมฆเหิน


ถ้าหอเทพเจ้าอยากสังหารเขา ก็ต้องเตรียมหาคำอธิบายที่ทวีปที่ถูกลืมยอมรับได้


ไม่อย่างนั้น ความตายของเจ้าสำนักใหญ่จะสร้างความตื่นตระหนกอย่างหนักไปทั่ว ถ้าหอเทพเจ้าสามารถทำกับสำนักดาบเมฆเหินได้ อีก 5 สำนักที่เหลือก็มีโอกาสเผชิญกับเหตุการณ์แบบเดียวกัน


แม้ทั้ง 6 สำนักจะแข่งขันกันอยู่ในที แต่ก็รู้ดีว่าการรวมพลังกันเพื่อต่อสู้กับศัตรูนั้นมีความสำคัญแค่ไหน ซึ่งการผนึกกำลังกันอย่างเหนียวแน่นระหว่าง 6 สำนักใหญ่ก็ถือเป็นหนึ่งในสถานการณ์ที่หอเทพเจ้าไม่อยากเผชิญ


เมื่อได้ฟังคำอธิบายนั้น ผู้อาวุโสเหอตาโต


…..


ตำหนักคว้าดาว


หญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูที่มีลักษณะเหมือนพระจันทร์เต็มดวง เธอสวมเสื้อคลุมสีขาว ตัดกันกับผมยาวสยายดำสนิท ราวกับน้ำหมึกที่แผ่กระจายบนแผ่นกระดาษ


เธอมักใช้เวลาไปกับการจ้องมองท้องฟ้าด้วยแววตาล้ำลึก ราวกับกำลังพยายามหยั่งถึงเจตจำนงของโลกใบนี้ และวันนี้ก็เช่นกัน


“ท่านหัวหน้า!”


สาวใช้คนหนึ่งพรวดพราดเข้ามาที่ประตูจันทร์เต็มดวง จากนั้นก็ทรุดตัวลงคุกเข่าตรงหน้าหญิงสาวเสื้อคลุมสีขาว


“มีอะไร?”


หญิงสาวเสื้อคลุมสีขาวหันกลับมา เผยให้เห็นความงดงามชวนตะลึงของเธอ


“พวกเราเพิ่งได้ข่าวว่าที่สำนักดาบเมฆเหิน…เจ้าสำนักหานเจี้ยนชิวลงจากตำแหน่งแล้ว!” สาวใช้รายงาน


ทั้ง 6 สำนักใหญ่มีเครือข่ายข้อมูลข่าวสารของตัวเอง ด้วยหอนิรันดร์ ข่าวสารต่างๆจะถูกส่งไปยังทุกมุมของทวีปที่ถูกลืมด้วยความรวดเร็วอย่างน่าทึ่ง


“ลงจากตำแหน่ง? ตานั่นคิดอะไรอยู่?” หญิงสาวเสื้อคลุมสีขาวขมวดคิ้ว


เหตุผลที่สำนักดาบเมฆเหินก้าวขึ้นสู่สุดยอด 1 ใน 3 สำนักของ 6 สำนักใหญ่ได้ก็เพราะความแข็งแกร่งอันน่าทึ่งของหานเจี้ยนชิว ถ้าผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงพลังระดับนั้นลงจากตำแหน่งอย่างกะทันหันโดยไม่มีเหตุอันควร ทั้งสำนักก็จะร่วงโรย หายนะจะเกิดตามมาแน่!


“ฉันก็ไม่แน่ใจ ตามข่าวที่เราได้มา มีการประกาศอย่างกะทันหัน ไม่มีสัญญาณบอกล่วงหน้าเลย” สาวใช้ตอบ


“ฉันคิดว่าผู้สืบทอดน่าจะเป็นบุคคลที่ทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ…แล้วจะมีพิธีสถาปนาเมื่อไหร่?” หญิงสาวเสื้อคลุมสีขาวตั้งคำถาม


เหตุผลเดียวที่หานเจี้ยนชิวทำแบบนี้ก็เพราะได้พบบุคคลที่เหมาะสมกับตำแหน่งมากกว่าตัวเขาแล้ว ซึ่งคนเดียวที่จะมีคุณสมบัติเหมาะสมกว่าหานเจี้ยนชิวก็คือผู้เชี่ยวชาญที่ทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ


“ก็เป็นอย่างนั้นแหละ เจ้าสำนักหานเจี้ยนชิวกล่าวว่าเจ้าสำนักคนใหม่ทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ และชื่อของเขาคือ…” สาวใช้ทบทวนความจำครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “…จางเซวียน?”


“จางเซวียน?” หญิงสาวเสื้อคลุมสีขาวนัยน์ตาเบิกโพลง


ครืนนนน!


พื้นหินที่เธอยืนอยู่เริ่มแตกร้าว


อารมณ์ที่ปั่นป่วนอย่างหนักทำให้เธอควบคุมพลังงานในร่างกายไม่ได้ไประยะหนึ่ง


“ท่านหัวหน้า…”


สาวใช้รีบก้มหน้าลงอย่างพรั่นพรึง


“ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่ไม่คิดว่าจะรวดเร็วขนาดนี้…” หญิงสาวเสื้อคลุมสีขาวรีบปรับอารมณ์ให้กลับสู่สภาพปกติ การแตกร้าวของพื้นหินที่อยู่ใต้ร่างของเธอก็หยุดชะงักไปด้วย “แล้วสายของเราได้พบเจ้าสำนักคนใหม่หรือยัง? เรามีข้อมูลเรื่องความแข็งแกร่งของเขาไหม?”


“เจ้าสำนักคนใหม่ยังไม่ได้ปรากฏตัวต่อสาธารณชน แต่เท่าที่เจ้าสำนักหานเจี้ยนชิวพูด วรยุทธของ ชายผู้นั้นเป็นแค่นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ แต่เขาสามารถสังหารนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์คนหนึ่งและนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์อีก 3 คนได้” สาวใช้รายงาน


สายข่าวที่อยู่ในสำนักดาบเมฆเหินได้ถ่ายทอดคำพูดของเจ้าสำนักหานอย่างละเอียด


“เป็นแค่นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ แต่สังหารนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ได้หรือ?” หญิงสาวเสื้อคลุมสีขาวตั้งข้อสังเกตด้วยสีหน้าทึ่งจัด “เรื่องนี้เกิดขึ้นนานแค่ไหนแล้ว? เขาพัฒนาตัวเองได้อย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาอันสั้น…”


ครืนนนนน!


พื้นหินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเธอเกิดรอยร้าวอีกครั้ง


“หัวหน้าตู้…คุณรู้จักมักคุ้นกับเจ้าสำนักจางเซวียนหรือเปล่า?” สาวใช้ตั้งคำถาม


ในความรู้สึกของเธอ หัวหน้าตำหนักคนนี้คือผู้ที่ยังคงสงบเยือกเย็นอยู่ได้แม้ฟ้าถล่ม แต่วันนี้อีกฝ่ายสูญเสียการควบคุมตัวเองถึงสองครั้งแล้ว


หญิงสาวเสื้อคลุมสีขาวส่ายหน้าและรีบออกจากภวังค์ เธอยิ้มแล้วตอบว่า “คงพูดไม่ได้ว่าเรารู้จักมักคุ้นกัน แต่ฉันรู้จักคนๆหนึ่งที่รู้จักมักคุ้นกับเขา เรียกหวู่เฉินเข้ามา!”


“ได้”


สาวใช้รีบออกจากห้อง ครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมเด็กชายวัยรุ่นคนหนึ่ง


“คารวะหัวหน้าตู้!” เด็กชายวัยรุ่นโค้งคำนับอย่างงาม


หญิงสาวเสื้อคลุมสีขาวเอาสองมือไพล่หลังขณะมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเฉยเมย “เขาอยู่ที่นี่แล้ว”


มันเป็นแค่ประโยคสั้นๆ แต่เด็กชายวัยรุ่นดูจะเข้าใจทันทีว่าหญิงสาวเสื้อคลุมสีขาวพูดถึงอะไร นัยน์ตาของเขาเบิกโพลงขณะประสานมือ “หัวหน้าตู้ ผมอยากตามหาเขา ผมพร้อมจะลุยน้ำลุยไฟและยอมตายแทนเขาได้ ได้โปรดอนุญาตให้ผมทำตามความปรารถนาของผมด้วย”


“คุณอยากติดตามเขา? รู้หรือว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน และมีพละกำลังมากเท่าไหร่?” หญิงสาวเสื้อคลุมสีขาวย้อนถาม


เด็กชายวัยรุ่นส่ายหน้า


ตอนที่ 2037 ภูเขาเมฆเหิน

“ตอนนี้เขาเป็นเจ้าสำนักดาบเมฆเหิน ทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จแล้ว ส่วนวรยุทธคือนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้น เขาสังหารนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ไปคนหนึ่งด้วย” หญิงสาวเสื้อคลุมสีขาวพูด


“เอ่อ…” เด็กชายวัยรุ่นถึงกับตะลึง เขาอุทานออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ “เขาพัฒนาตัวเองได้มากขนาดนี้?”


“ก็ใช่น่ะสิ ที่ผ่านมา…ฉันคิดว่าคราวนี้เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณคงตัดสินใจพลาด คนจากมิติเบื้องล่างจะมีคุณสมบัติเพียงพอคู่ควรกับเธอได้อย่างไร? แต่ตอนนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเขาคือผู้ที่เก่งกาจอย่างไม่ธรรมดา ไม่น่าจะด้อยกว่าปรมาจารย์ขงในครั้งนั้น!”


หญิงสาวเสื้อคลุมสีขาวเดินผ่านประตูจันทร์เต็มดวงและพูดต่อ “ไปสำนักดาบเมฆเหินด้วยกันเถอะ ฉันอยากตรวจสอบให้แน่ใจว่าเจ้าสำนักคนใหม่ใช่เขาจริงๆหรือเปล่า”


หลังจากพูดจบ เธอก็หายวับไปพร้อมกับเด็กชายวัยรุ่นคนนั้น


ทวีปที่ถูกลืม, หอเทพเจ้า


ร่างสูงสง่าไหวระริกอยู่ภายใต้แสงเทียนสลัวเลือนราง ยากที่จะมองรูปลักษณ์ของร่างนั้นให้เห็นชัดเจน


ชายเสื้อคลุมสีดำทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น “นายท่าน”


“ว่าอย่างไร?” เสียงไร้อารมณ์ดังขึ้นจากร่างสูงสง่านั้น


“เจ้าสำนักหานเจี้ยนชิวแห่งสำนักดาบเมฆเหินลงจากตำแหน่งแล้ว เขามอบตำแหน่งให้จางเซวียน เรายังจะดำเนินตามแผนการเดิมไหม?” ชายเสื้อคลุมสีดำตั้งคำถาม


“ลงจากตำแหน่งแล้ว?” ร่างสูงสง่าคำราม “น่าสนใจดีนี่ เขาคิดว่าผมจะถอยเพียงเพราะเหตุนี้หรือ? ไม่ต้องใส่ใจ จับตัวชายผู้นั้นทันทีที่เขาปรากฏตัว เข้าใจไหม?”


“แต่…” ชายเสื้อคลุมสีดำลังเล “ถ้าเราแตะต้องผู้นำของ 6 สำนักใหญ่ ผมเกรงว่าจะทำให้ทุกคนต่อต้านเรา…”


พลั่ก!


ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ก็ถูกสอยกระเด็นไปกระแทกกับพื้นอย่างแรง เลือดซึมออกจากมุมปาก แรงปะทะเพียงครั้งเดียวนี้ทำให้ใบหน้าของเขาซีดเผือด


“ผมขอให้คุณมาสั่งสอนผมว่าควรทำอะไรหรือไง?” ร่างสูงสง่าหรี่ตาอย่างเยือกเย็น


“ผะ-ผมมิบังอาจ…” ชายเสื้อคลุมสีดำโค้งคำนับครั้งแล้วครั้งเล่า โขกหน้าผากของเขากับพื้นหินเย็นเยือกเพื่อขออภัยโทษ


“ก็ควรจะเป็นอย่างนั้น ผมจะพูดซ้ำอีกทีนะ ไม่ว่าอย่างไร ผมก็ต้องการให้ชายผู้นั้นมาปรากฏตัวต่อหน้าผมในขณะที่เขายังมีชีวิต ถ้ามีอะไรผิดพลาดล่ะก็ ผมจะถลกหนังคุณทั้งเป็น!” ร่างสูงสง่าโบกมือ


ฟึ่บ!


เขาหายวับไปราวกับเปลวเทียนที่วูบดับ


ชายเสื้อคลุมสีดำกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน เขาปาดเหงื่อที่ไหลอาบแก้มก่อนจะรีบออกจากห้อง


…..


เมืองอู๋ไห่


จางเซวียนที่ผ่านการปลอมตัวเรียบร้อยก้าวยาวๆเข้าสู่ตลาดอู๋ไห่


เมื่อออกจากสำนักดาบเมฆเหิน เขาก็บินไปราวสิบนาทีโดยใช้เจตจำนงเพลงดาบ สุดท้ายก็มาถึงที่นี่ จึงไม่รู้เรื่องที่หานเจี้ยนชิวลงจากตำแหน่งและมอบตำแหน่งเจ้าสำนักให้เขา


“มีอะไรที่คุณต้องการไหม?” พนักงานต้อนรับถามพร้อมกับยิ้มให้


“ผมอยากเช่าอสูรบินได้สักตัวหนึ่ง” จางเซวียนตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น


ตอนนี้เขาปลอมตัวเป็นชายวัยกลางคนอายุราว 30 ปลายๆที่มีบุคลิกนุ่มนวลอ่อนโยน ใบหน้าสะอาดสะอ้านและร่างสูงตระหง่าน แต่ก็แผ่รังสีของความเยือกเย็นที่ดูจะทำให้ใครๆไม่กล้าเข้าใกล้


อันที่จริง สำนักดาบเมฆเหินอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก บินมาเพียง 10 นาทีเท่านั้น แถมที่นี่ยังเป็นสถานที่ที่หอเทพเจ้าตามตัวเขาเจอและพยายามสังหารเขา


ในโลกที่มีแต่นักรบอมตะขั้นสูงเท่านั้นที่บินได้ คงจะสะดุดตาเกินไปหากเขาบินตรงไปยังที่หมาย แม้ตอนที่เดินทางมายังเมืองอู๋ไห่ จางเซวียนก็บินในระดับต่ำ บดบังร่างไว้ด้วยพุ่มไม้ดกหนา แม้จะรู้ว่าการทำแบบนั้นจะลดความเร็วของเขาลงมากก็ตาม


น่าจะปลอดภัยกว่าหากเขาใช้การเดินเท้า แต่จางเซวียนคิดว่าหอเทพเจ้าน่าจะส่งม้าเร็วมาตรึงกำลังไว้รอบอาณาเขตของสำนักดาบเมฆเหิน จึงแน่ใจว่าคงดีกว่าหากจะออกจากพื้นที่นั้นมา โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้


“ทางนี้เลย” พนักงานต้อนรับพยักหน้า


ตลาดอู๋ไห่ไม่ได้ขายแค่ของล้ำค่าเท่านั้น แต่ยังให้บริการด้านการเดินทางขนส่งกับลูกค้าด้วย


จางเซวียนตามหลังพนักงานต้อนรับไป ไม่ช้าก็มาถึงโซนที่อสูรบินได้พักอาศัยอยู่ มีตัวอักษรคำว่า ‘อสูร’ ขนาดใหญ่อยู่บริเวณทางเข้า


ชายชราคนหนึ่งเดินมาทักทายจางเซวียน “ท่านผู้โดยสาร คุณจะเดินทางไปที่ไหน?”


“ภูเขาเมฆเหิน”


“10 เหรียญนิรันดร์!”


“ได้”


ด้วยการโบกมือของจางเซวียน เงิน 10 เหรียญนิรันดร์ก็ถูกส่งถึงมือชายชราผู้นั้น จางเซวียนแอบแลกเหรียญสำนักดาบของเขาเป็นเหรียญนิรันดร์ทันทีที่มาถึงเมืองอู๋ไห่ เพราะรู้ดีว่าจะเป็นที่สะดุดตาหากนำเหรียญสำนักดาบมาใช้ที่นี่ แม้จะเป็นอัตราแลกเปลี่ยนที่ใครๆยอมรับก็ตาม


ชายชราตาโตทันทีเมื่อเห็นเงิน เขารีบพาอสูรบินได้ตัวหนึ่งออกมา


“ไปกันเลย!”


ทั้งคู่ขึ้นขี่หลังอสูรบินได้ ไม่ช้าก็อยู่บนเส้นทางที่นำไปสู่ภูเขาเมฆเหิน


จางเซวียนเหลียวมองรอบๆ และพบว่ามีผู้โดยสารหลายคนอยู่บนอสูรบินได้หลายตัวที่อยู่รอบตัวเขา เมื่อรู้ว่าไม่ได้เป็นที่โดดเด่นสะดุดตาใคร ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก


จากนั้น จางเซวียนก็หันมามองชายชราที่กำลังบังคับอสูรบินได้ และเห็นตราสัญลักษณ์อันหนึ่งติดอยู่ที่หน้าอกของเขา มีคำว่า ‘อสูร’ อยู่บนตราสัญลักษณ์นั้น เหมือนกับที่เขาเห็นตรงทางเข้าเมื่อครู่ก่อน


จางเซวียนตั้งคำถาม “คุณมาจากหอนานาอสูรหรือ?”


“ผมเป็นศิษย์สายตรงระดับล่างของหอนานาอสูร ผมแก่เกินไปแล้ว และดูเหมือนวรยุทธก็ไม่ค่อยก้าวหน้า ทางสำนักจึงส่งผมมาที่นี่เพื่อให้หาเลี้ยงตัวเอง” ชายชราตอบ


“คุณเป็นผู้ทำให้อสูรบินได้ตัวนี้ยอมจำนนหรือ?” จางเซวียนถามต่อ


บรรดาศิษย์สายตรงของหอนานาอสูรมีทักษะเชี่ยวชาญทุกด้านที่เกี่ยวข้องกับอสูร รวมถึงการบังคับอสูรบินได้ ซึ่งการเดินทางขนส่งก็เป็นธุรกิจที่ทำรายได้งามในทวีปที่ถูกลืม เพราะนักรบส่วนใหญ่ไม่สามารถบินได้


จึงเป็นธรรมดาที่หอนานาอสูรจะนำความได้เปรียบข้อนี้มาใช้ โดยเรื่องจริงก็คือพวกเขามีรายได้อย่างงามจากการขายอสูรบินได้และบริการรับส่งผู้โดยสาร มีศิษย์สายตรงจากทั่วทั้งทวีปที่ถูกลืมเป็นผู้ดำเนินการ


ธุรกิจขนาดเล็กส่วนใหญ่ทำเงินได้ไม่ถึง 10 เหรียญนิรันดร์ต่อเดือนด้วยซ้ำ แต่นั่นคือราคาค่าโดยสารของการเดินทางไปกลับภูเขาเมฆเหินหนึ่งเที่ยว


“ไม่ใช่แน่ ผู้ที่มีวรยุทธระดับผมจะทำให้อสูรบินได้ที่ไร้เทียมทานขนาดนี้ยอมจำนนได้อย่างไร? ตลาดอู๋ไห่ซื้อตัวมันมาจากหอนานาอสูร ผมเป็นแค่ผู้ขี่มันมาเท่านั้น” ชายชราตอบ


จางเซวียนตั้งคำถามอีก 2-3 ข้อ แต่บางที อาจเป็นเพราะชายชราเป็นแค่ศิษย์สายตรงระดับล่าง จึงดูเหมือนจะไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับรายละเอียดลึกๆของการฝึกอสูร ทักษะเดียวที่เขามีอยู่ในตอนนี้ก็คือการบังคับอสูรให้เดินทางไปไหนต่อไหนเท่านั้น


เมื่อเห็นว่าไม่ได้ข้อมูลเท่าไหร่ สุดท้ายจางเซวียนก็ล้มเลิกความพยายาม


ในฐานะหนึ่งใน 6 สํานักใหญ่ หอนานาอสูรคือองค์กรขนาดมหึมาที่มีศิษย์สายตรงฝ่ายในและศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดอย่างน้อยหนึ่งหมื่นคน เพราะฉะนั้น ก็ย่อมมีศิษย์สายตรงระดับล่างอีกจำนวนมากมายมหาศาล


ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ทางสำนักจะไม่อาจทุ่มเทเวลาและความพยายามทั้งหมดเพื่อบ่มเพาะศิษย์สายตรงระดับล่างทุกคนได้ ดังนั้น สิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้จึงมีจำกัดมาก


เมื่อบรรยากาศระหว่างทั้งคู่ลดความตึงเครียดลงเพราะมีการพูดคุย ชายชราให้คำแนะนำ “ท่านผู้โดยสาร คุณจะร่อนลงที่ไหน? ภูเขาเมฆเหินมีอสูรดุร้ายอยู่มากมาย ผมขอแนะนำคุณว่าอย่าเข้าไปลึกนัก ไม่อย่างนั้นจะเป็นอันตรายมาก…”


“คุณคุ้นเคยกับภูเขาเมฆเหินหรือ?” จางเซวียนถามด้วยความอยากรู้


“ผมเคยไปที่นั่น 2-3 ครั้ง” ชายชราตอบ “สถานที่แห่งนั้นเรียกได้ว่าเป็นสนามเด็กเล่นของเหล่าอสูรเลยทีเดียว ครั้งสุดท้ายที่ผมไปที่นั่น ผมพบแรงบันดาลใจที่ทำให้หวังว่าจะทำให้อสูรสักตัวยอมจำนนได้ด้วยตัวเอง แต่นั่นก็เกือบคร่าชีวิตของผม…หลังจากนั้น ผมก็ไม่กล้าเหยียบที่นั่นอีกเลย”


ในฐานะผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับแรงบันดาลใจให้เป็นนักฝึกอสูร เขายังคงหวังว่าจะได้ทำให้อสูรสักตัวหนึ่งยอมจำนนด้วยตัวเอง แต่น่าเสียดายที่พละกำลังของเขาอ่อนด้อยเกินไป และยังไม่ได้ร่ำเรียนวิธีการที่ถูกต้องของการฝึกอสูรด้วย จึงยากมากที่จะประสบความสำเร็จ


“เราทำข้อตกลงกันดีไหม?” ถ้าคุณให้ข้อมูลของภูเขาเมฆเหินที่เป็นประโยชน์กับผม ผมจะช่วยคุณทำให้อสูรยอมจำนน” จางเซวียนยื่นข้อเสนอพร้อมกับยิ้มให้


“อ้อ?” ชายชราประหลาดใจเล็กน้อยกับข้อเสนอของจางเซวียน “คุณเป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด


ของหอนานาอสูรหรือ?”


“ไม่สำคัญหรอกว่าผมเป็นใคร จริงไหม?” จางเซวียนตอบ “ผมมีวิธีของผมก็แล้วกัน อย่าห่วงน่ะ ผมไม่โกหกคุณหรอก”


“เข้าใจแล้ว…”


เมื่อพิจารณาถึงการที่จางเซวียนจ่ายค่าตอบแทนสิบเหรียญนิรันดร์ให้เขาอย่างง่ายๆ ก็ดูเหมือนว่าชายวัยกลางคนผู้นี้น่าจะมีภูมิหลังไม่ธรรมดา อีกอย่าง ต่อให้อีกฝ่ายไม่รักษาคำพูด เขาก็ไม่ได้สูญเสียอะไรมากนัก


“ในหมู่นักฝึกอสูร ภูเขาเมฆเหินเป็นที่รู้จักกันในชื่อขุนเขาสี่อสูร มันเป็นดินแดนอันตรายที่แม้แต่นักฝึกอสูรก็ยังไม่อยากย่างกรายเข้าไป ซึ่งเหตุผลหลักของเรื่องนั้นก็เพราะมันเป็นอาณาเขตของสี่อสูรอมตะผู้ทรงพลัง”


“สี่อสูรอมตะผู้ทรงพลัง?”


“ใช่ มีอสูรอมตะ 4 ตัวที่สำเร็จวรยุทธอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ ตัวที่แข็งแกร่งที่สุดคือมังกรอสรพิษ มันคือมังกรอสรพิษจริงๆไม่ใช่แค่เชื้อสายที่ห่างออกไปของเผ่าพันธุ์มังกรที่มีสายเลือดมังกรเพียงเศษเสี้ยว!”


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนตาโต


เขาเคยทำให้อสูรในทวีปแห่งปรมาจารย์ยอมจำนนมาแล้วมากมาย หลายตัวมีคำว่า ‘มังกร’ อยู่ในชื่อของมัน แต่ก็เป็นเชื้อสายที่ห่างไกลซึ่งมีสายเลือดมังกรเบาบาง มังกรอสรพิษไม่ได้มีสายเลือดมังกรบริสุทธิ์ก็จริง แต่ก็ถือเป็นสมาชิกตัวหนึ่งของเผ่าพันธุ์มังกร


ในฐานะมังกรอสรพิษตัวจริง ประสิทธิภาพการต่อสู้ของมันย่อมเหนือชั้นกว่าอสูรอมตะทั่วไปมาก


“แล้วตัวอื่นๆล่ะ?” จางเซวียนถาม


“ตัวที่แข็งแกร่งรองลงมาคือนกฟีนิกซ์เปลวเพลิงเก้าหัว มันมีสายเลือดนกฟีนิกซ์ในตัว ส่วนอีก 2 ตัวที่เหลือคือเสือเขี้ยวดาบเจ็ดหาง และหมาจิ้งจอกหูขาว”


ชายชราหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะอธิบายต่อ “พูดก็พูดเถอะ มันออกจะประหลาดอยู่สักหน่อย แม้หมาจิ้งจอกหูขาวจะเป็นตัวที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาสี่อสูรอมตะ แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง แม้แต่มังกรอสรพิษที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังเชื่อฟังมัน หอนานาอสูรพยายามหลายครั้งที่จะทำให้มังกรอสรพิษยอมจำนน แต่ทุกครั้ง แผนการของพวกเขาก็พังไม่เป็นท่าเพราะหมาจิ้งจอกหูขาว ทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากล่าถอยอย่างผู้แพ้”


“หมาจิ้งจอกหูขาว?” จางเซวียนพยักหน้าขณะครุ่นคิด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)