อัจฉริยะสมองเพชร 2022-2023

ตอนที่ 2022 แค่หินก้อนหนึ่งหรือ?

ไม่ช้า ทั้งคู่ก็มาถึงห้องหนึ่งที่ถูกปิดไว้มิดชิด มีค่ายกลติดตั้งไว้มากมายหลายชั้น องครักษ์ที่มีวรยุทธขั้นอมตะตัวจริง 4 คนยืนอารักขาอยู่ด้านนอก


ชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อคลุมขนสัตว์ตัวหนาเห็นผู้อาวุโสเหอเดินเข้ามา เขารี่เข้ามาทักทาย


ผู้อาวุโสเหอแนะนำชายวัยกลางคนให้จางเซวียนรู้จัก “ชายผู้นี้คือผู้จัดการหูแห่งตลาดอู๋ไห่ ผู้จัดการหู, ชายหนุ่มคนนี้เป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดของสำนักดาบเมฆเหิน, จางเซวียน, เขาอาจยังหนุ่ม แต่ความเชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบสมบัติสูงส่งกว่าผมมาก!”


“สูงส่งกว่าคุณมาก?” ผู้จัดการหูประหลาดใจกับคำยกย่องที่ผู้อาวุโสเหอมีให้จางเซวียน ถึงขนาดอดไม่ได้ที่จะประเมินชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง


ผู้อาวุโสเหอคือหัวหน้าฝ่ายตรวจสอบสมบัติของตลาดอู๋ไห่ ตัวเขากับผู้อาวุโสเหอรู้จักกันมาหลายสิบปีแล้ว จึงคุ้นเคยกับบุคลิกและนิสัยของอีกฝ่ายดี


จากการแนะนำอย่างเป็นทางการที่ผู้อาวุโสเหอแนะนำชายหนุ่มผู้นี้กับเขา ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเป็นของจริง!


เพียงแต่เขายังอดสงสัยไม่ได้ การตรวจสอบสมบัติขึ้นอยู่กับขอบเขตความรู้ของนักตรวจสอบสมบัติแต่ละคน ยิ่งอายุมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความรอบรู้มากขึ้นเท่านั้น ออกจะยากสักหน่อยที่จะเชื่อว่าชายหนุ่มอายุเพียง 20 ปีจะเป็นนักตรวจสอบสมบัติที่เก่งกาจเชี่ยวชาญจริงๆ


แม้จะสงสัย แต่ผู้จัดการหูก็ไม่แสดงกิริยาใดๆที่บ่งบอกความไม่สุภาพต่อจางเซวียน เขาหันมาโค้งคำนับให้ “น้องจาง ยินดีที่ได้พบคุณ ผู้อาวุโสเหอยกย่องคนหนุ่มอย่างคุณขนาดนี้ แปลว่าคุณต้องเก่งกาจจริงๆแน่!”


“ผู้จัดการหู คุณก็เยินยอผมเกินไป” จางเซวียนตอบอย่างสุภาพ


ชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ได้มีอะไรที่ดูน่าประทับใจเป็นพิเศษ เขาสกัดกั้นพลังปราณไว้อย่างล้ำลึกเพื่อไม่ให้มองเห็นร่องรอยได้ แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยการใช้ดวงตาหยั่งรู้ จางเซวียนก็ยังดูออกว่าอีกฝ่ายเป็นนักรบกึ่งอมตะขั้นสูง


ด้วยวรยุทธระดับนี้ อีกฝ่ายน่าจะอยู่ในกลุ่มชนชั้นสูงของเมืองอู๋ไห่ “มาสิ ตามผมมา!”


หลังจากพูดคุยสัพเพเหระกันเล็กน้อย ผู้จัดการหูก็พาทั้งคู่เข้าไปในห้อง


เขาชี้นิ้วไปที่วัตถุชิ้นหนึ่งซึ่งอยู่ตรงหน้าโดยไม่รีรอและพูดว่า “น้องจาง นี่คือของล้ำค่าที่ผมอยากให้คุณตรวจสอบ”


บริเวณใจกลางห้องมีวัตถุชิ้นหนึ่งตั้งอยู่ สูงพอๆกับนักรบคนหนึ่งและถูกหุ้มไว้ด้วยผ้าสีดำ


เมื่อดึงผ้าออก หินสีแดงก่ำเป็นประกายก็เผยตัวออกมา ดูเหมือนมันจะได้รับการดูแลอย่างดีก่อนหน้านี้ ประกายที่อยู่บนก้อนหินจึงยังคงเจิดจ้า ดูคล้ายกับหยกสีเลือด แต่เมื่อพิจารณาอีกที ก็ไม่น่าจะใช่


“แค่หินก้อนหนึ่งหรือ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


ด้วยค่าตอบแทนของการปฏิบัติภารกิจที่ตั้งไว้อย่างงาม อีกทั้งข้อเท็จจริงที่ว่านักตรวจสอบสมบัติผู้เก่งกาจอย่างผู้อาวุโสเหอก็ยังไม่อาจระบุเนื้อแท้ของมันได้ จางเซวียนจึงคาดว่าของล้ำค่าที่เป็นเป้าหมายของการปฏิบัติภารกิจน่าจะเป็นสิ่งที่ประเมินค่ามิได้ แต่แล้วก็กลับกลายเป็นเพียงหินก้อนหนึ่ง!


เรื่องนี้ประหลาดมาก


“อย่าประเมินมันต่ำไปเพียงเพราะมันเป็นแค่หินก้อนเดียวนะ มันมีหน้าตาคล้ายคลึงกับหยกสีเลือด แต่หยกสีเลือดไม่มีประกายอบอุ่นแบบนี้ พื้นผิวของมันก็ดูคล้ายกับคริสตัลสีเลือด แต่คริสตัลสีเลือดก็มักมีขนาดเล็กกว่า ผมค้นคว้าจากหนังสือมาแล้วมากมาย แต่ไม่มีอะไรที่บ่งบอกข้อมูลเกี่ยวกับหินก้อนนี้เลย นักตรวจสอบสมบัติอย่างน้อย 100 คนได้เข้ามาตรวจสอบหินก้อนนี้ แต่ไม่มีใครระบุต้นกำเนิดหรือชื่อของมันได้ ด้วยเหตุนี้ เราจึงเลือกขอความช่วยเหลือจากสำนักดาบเมฆเหิน” ผู้อาวุโสเหอพูด


มีหลายเหตุผลที่เมืองอู๋ไห่เลือกติดต่อขอความช่วยเหลือจากบรรดาศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด


ข้อแรก ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดส่วนใหญ่ในสำนักดาบเมฆเหินมาจากตระกูลที่สูงส่งและมั่งคั่ง จึงมีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะเคยเห็นอะไรบางอย่างที่คล้ายคลึงกับสิ่งนี้


ข้อสอง, บรรดาศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดไม่ได้ทรงพลังเท่ากับเหล่าผู้อาวุโส ดังนั้น ต่อให้พวกเขาประเมินหินก้อนนี้ว่าเป็นสิ่งล้ำค่าและพยายามจะฉกฉวยมันไปเป็นของตัวเอง ทางเมืองอู๋ไห่ก็ยังพอจัดการได้


โลกนี้อยู่ได้ด้วยการเอาตัวรอด การตรวจสอบสมบัติจึงเป็นเรื่องจำเป็น เพราะมันจะน่าสะพรึงมากหากมีศัตรูที่แกล้งทำเป็นไม่สนใจในของล้ำค่าชิ้นนี้ แต่พยายามเล่นใต้เข็มขัดทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มันไป สิ่งนี้จะทำให้เกิดปัญหาใหญ่


ดังนั้น การขอความช่วยเหลือจากศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดจึงง่ายกว่ามาก


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนพยักหน้ารับ


ขณะที่กำลังพูดคุยกัน เขาก็พยายามใช้ดวงตาหยั่งรู้ประเมินหินก้อนนั้น แต่ก็ต้องประหลาดใจที่ไม่อาจบอกรายละเอียดของมันได้


จางเซวียนได้อ่านหนังสือทั้งหมดที่มีอยู่ในหอสมุดของศิษย์สายตรงฝ่ายใน ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด และผู้อาวุโสแล้ว ในแง่ของความรู้ทั่วไป ต่อให้เหล่าผู้อาวุโสที่อาศัยอยู่ในทวีปที่ถูกลืมมาหลายร้อยปีก็ยังเทียบชั้นกับเขาไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่อาจใช้ดวงตาหยั่งรู้ระบุและแยกแยะก้อนหินที่อยู่ตรงหน้าได้ เรื่องนี้มีบางอย่างผิดปกติจริงๆ


“คุณตรวจสอบองค์ประกอบของหินก้อนนี้หรือยัง?” จางเซวียนตั้งคำถาม


ถ้ามันเป็นแค่หินก้อนหนึ่งที่ระบุตัวตนไม่ได้ ผู้จัดการหูคงไม่ลงทุนถึงขนาดเรียกหานักตรวจสอบสมบัติมากมายและยอมขอความช่วยเหลือจากสำนักดาบเมฆเหิน น่าจะมีสัญญาณบางอย่างที่ทำให้เขาแน่ใจว่าหินก้อนนี้ไม่ใช่ของล้ำค่าธรรมดาสามัญ


“พวกเราตรวจสอบแล้ว เปลวเพลิงที่มีความเข้มข้นสูงสุดซึ่งใช้โดยช่างตีเหล็กที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองอู๋ไห่ก็ไม่อาจทำอันตรายมันได้ อาวุธระดับอมตะขั้นสูงก็สร้างรอยขีดข่วนให้มันไม่ได้เช่นกัน” ผู้อาวุโสเหอพูด


รู้ดีว่าข้อมูลแบบนี้มีความจำเป็นต่อการประเมินของล้ำค่า พวกเขาจึงไม่ปิดบังข้อมูล


“ทนทานต่อเปลวเพลิง และแม้แต่อาวุธระดับอมตะขั้นสูงก็สร้างรอยขีดข่วนให้มันไม่ได้?” จางเซวียนอัศจรรย์ใจ


วรยุทธระดับอมตะขั้นสูงเรียกได้ว่าเป็นสุดยอดของมิติเบื้องบน แต่ขนาดอาวุธระดับนั้นก็ไม่อาจทำอะไรหินก้อนนี้ได้ หรือว่าหินก้อนนี้มีวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์…หรือสูงกว่านั้น?


นั่นอธิบายได้ว่าทำไมผู้จัดการหูจึงยอมเสียเงินมากมาย เป็นไปได้ว่าเขากำลังวางแผนจะขายหินก้อนนี้ในราคาสูงลิ่วหลังจากที่แน่ใจแล้วว่ามันคืออะไร


“น้องจาง ผมขอรบกวนคุณให้พิจารณาหินก้อนนี้สักหน่อย และช่วยบอกพวกเราว่ามันคืออะไร!” ผู้อาวุโสเหอประสานมือ


“ได้สิ” จางเซวียนตอบขณะเดินไปที่หินสีแดงก่ำก้อนนั้น


ก้อนหินดูหนักอึ้ง แม้ยังไม่ได้สัมผัสมัน จางเซวียนก็ดูออกว่าด้วยระดับวรยุทธของเขาในตอนนี้ การยกมันขึ้นคงยากลำบากไม่น้อย


จางเซวียนเป็นนักรบเสมือนอมตะสรวงสวรรค์ที่มีพละกำลังเทียบชั้นได้กับนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังยกมันไม่ขึ้น หินก้อนนี้ดูจะน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ


“น้องจาง คุณอยากได้เข็มทิศหรือเครื่องมืออื่นๆเพื่อการตรวจสอบสมบัติไหม?” ผู้อาวุโสเหอตั้งคำถามขณะเฝ้ามองจางเซวียนสำรวจหินก้อนนั้นทั้งที่ไม่มีเครื่องมือใดๆ


โดยทั่วไป เมื่อเป็นการตรวจสอบก้อนหิน นักตรวจสอบสมบัติจะพยายามวัดความหนาแน่น น้ำหนัก และคุณสมบัติอื่นๆโดยใช้เครื่องมือมากมายหลายชนิด เพื่อให้ได้ข้อมูลมากที่สุดสำหรับการระบุตัวตนของหินก้อนนั้น


แต่จางเซวียนยืนมือเปล่า ราวกับว่าคิดว่าเพียงแค่จับจ้องมันแล้วตัวเขาจะบอกได้ว่าหินก้อนนั้นคืออะไร


จางเซวียนโบกมือตอบรับคำถามของผู้อาวุโสเหอ “ตอนนี้ยังไม่ต้องใช้หรอก…”


เขาเดินวนรอบก้อนหินพร้อมกับครุ่นคิดหนัก ก่อนจะยื่นมือออกไปสัมผัสมันเบาๆ


วิ้งงงง!


หนังสือเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในหอสมุดเทียบฟ้า


จางเซวียนรีบแตะหนังสือที่ประมวลขึ้นใหม่ รายละเอียดในนั้นลอยเข้าสู่หัวสมองของเขา ครู่ต่อมา เขาก็หรี่ตาขณะยืนตัวแข็งทื่อ


“ผู้อาวุโสเหอ เจ้าหนุ่มนี่ดูจะไม่ค่อยน่าไว้ใจนะ” ผู้จัดการหูออกความเห็นพร้อมกับขมวดคิ้ว ขณะเฝ้าดูจางเซวียนเดินวนไปมาโดยไม่ใช้เครื่องมือใดๆ


เขาเป็นผู้จัดการตลาดอู๋ไห่ เคยเห็นการทำงานของนักตรวจสอบสมบัติชั้นยอดมาแล้วมากมาย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นนักตรวจสอบสมบัติคนหนึ่งทำงานแบบนี้ แถมอีกฝ่ายยังอายุน้อยจนน่าประหลาดใจ


“วิธีของเขาอาจพิสดารไปสักหน่อย แต่ปฏิเสธไม่ได้นะว่าความสามารถในการหยั่งรู้ของเขาเหนือชั้นกว่าผมมาก!” ผู้อาวุโสเหอตอบ


ประติมากรรมชิ้นก่อนหน้านี้ก็ทำจากหิน และแม้จะมีค่ายกลที่เขียนด้วยหมึกปกปิดอยู่ ชายหนุ่มก็มองทะลุถึงความจริงได้ เท่านั้นก็เกินพอที่จะแน่ใจในความสามารถของเขาแล้ว


อีกฝ่ายน่าจะทำแบบเดียวกันได้กับหินก้อนนี้


ขณะที่ทั้งคู่หารือกัน จางเซวียนก็หันกลับมามองพวกเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “คุณ…ได้หินก้อนนี้มาจากไหน?”


เห็นจางเซวียนดูเหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง ผู้จัดการหูตอบตามตรง “ผมซื้อมันมาจากนักรบพเนจรคนหนึ่ง ตามที่เขาบอก ดูเหมือนมันจะมาจากทะเลดาวพลัดถิ่น”


“ทะเลดาวพลัดถิ่น?” จางเซวียนพึมพำ


ทวีปที่ถูกลืมนั้นกว้างใหญ่มาก แต่บรรดาหนังสือในห้องสมุดที่เขาได้อ่านก็มีเนื้อหาเกี่ยวกับดินแดนที่อยู่โดยรอบสำนักดาบเมฆเหินเท่านั้น เขาจึงไม่เคยได้ยินชื่อทะเลดาวพลัดถิ่นมาก่อน


“ตำหนักคว้าดาว, 1 ใน 6 สำนักใหญ่, ตั้งอยู่บนเกาะหนึ่งที่อยู่ใจกลางมหาสมุทรนั้น ชื่อของมหาสมุทรที่ล้อมรอบเกาะคือทะเลดาวพลัดถิ่น” ผู้อาวุโสเหออธิบาย


“ตำหนักคว้าดาว…ตู้ชิงหย่วน?” จางเซวียนกำหมัดแน่น


ก่อนหน้านี้ เจ้าสำนักหานเจี้ยนชิวเคยบอกไว้ว่าหากเขาอยากรู้รายละเอียดเรื่องเทพเจ้าให้มากกว่านี้ ก็ไม่มีใครที่จะให้คำปรึกษาได้ดีกว่าหัวหน้าตำหนักคว้าดาว, ตู้ชิงหย่วน เพียงแต่อีกฝ่ายอาจไม่เต็มใจคุยด้วย


เพราะการพูดถึงเทพเจ้าอย่างไม่มีที่มาที่ไปอันเหมาะสมอาจหมายถึงชีวิต


และสิ่งนี้ก็เพิ่งปรากฏขึ้นในทะเลดาวพลัดถิ่น


หรือว่าจะมีบางอย่างเชื่อมโยงกัน?


“น้องจาง คุณระบุตัวตนของหินก้อนนี้ได้หรือยัง?” ผู้อาวุโสเหอตั้งคำถาม


นับตั้งแต่วินาทีที่เขาเห็นชายหนุ่มคนนี้เป็นครั้งแรก อีกฝ่ายก็สงบนิ่งและสุขุมเยือกเย็นมาตลอด ราวกับไม่มีสิ่งใดในโลกที่จะทำให้เขาตื่นตระหนกได้ แต่ในเวลานี้ เห็นได้ชัดว่าจิตใจของชายหนุ่มกำลังระส่ำระสาย หรือว่าเขาระบุตัวตนของก้อนหินที่อยู่ตรงหน้าได้แล้ว?


จางเซวียนสูดหายใจลึกเพื่อระงับอารมณ์ เขาพยักหน้า “ใช่”


“แล้วมันคืออะไร?” ผู้อาวุโสเหอถามอย่างร้อนใจ


ผู้จัดการหูก็หูผึ่ง


จางเซวียนหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “มันคือ…หินโลหิตเทพเจ้า”


“หินโลหิตเทพเจ้า?”


ทั้งผู้อาวุโสเหอกับผู้จัดการหูสบตากัน ทั้งคู่หน้าถอดสีด้วยความอัศจรรย์ใจ


ตอนที่ 2023 หลักฐานพิสูจน์เรื่องนั้น?

คำว่าเทพเจ้าไม่ใช่คำที่จะใช้กันได้ง่ายๆในทวีปที่ถูกลืม เพราะอาจเสี่ยงกับการต้องเผชิญกับความโกรธเกรี้ยวของเทพเจ้าโดยตรง


หินโลหิตเทพเจ้า…มันคือของล้ำค่าที่พวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน มีของแบบนี้อยู่จริงๆหรือ?


“ใช่” จางเซวียนพยักหน้า


เหตุผลที่เขาเก็บกิริยาไม่อยู่เมื่อครู่ก่อนไม่ใช่เพราะความเชื่อมโยงระหว่างหินก้อนนี้กับเทพเจ้า แต่เป็นเพราะมีความเป็นไปได้สูงที่ของล้ำค่าชิ้นนี้อาจมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับหลัวลั่วชิง!


ชื่อของหลัวลั่วชิงไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือเล่มไหน แต่ความแปลกประหลาดของหินโลหิตเทพเจ้าก้อนนี้มีความคล้ายคลึงกับสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับหลัวลั่วชิงมาก จางเซวียนสามารถประมวลหนังสือที่เกี่ยวข้องกับหินโลหิตเทพเจ้าได้ก็จริง แต่นอกเหนือจากชื่อของมันแล้ว หนังสือก็ไม่ได้บอกอะไรอีก


หลังจากที่หอสมุดเทียบฟ้าได้รับการยกระดับ จางเซวียนก็สามารถระบุรายละเอียดของของล้ำค่าระดับอมตะขั้นสูงสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย ประมวลหนังสือได้แม้แต่กับนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อย่างหานเจี้ยนชิว แต่สิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับหลัวลั่วชิง อย่างจี้สีแดงก่ำที่เขาสวมอยู่ หอสมุดเทียบฟ้าก็บอกได้แค่ชื่อของมันเท่านั้น ไม่ปรากฏรายละเอียดอื่นใดอีกเลย


ซึ่งหินก้อนนี้ก็เป็นแบบเดียวกัน!


นี่หมายความว่ามีโอกาสที่หินโลหิตเทพเจ้าก้อนนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับเธอ


แน่นอนว่าเพียงเท่านี้ไม่อาจทำให้เขาจังงังได้ เพราะถึงอย่างไรหอสมุดเทียบฟ้าก็มีความลับอีกมากมายที่ยังไม่ถูกเปิดเผย เพียงแต่จางเซวียนไม่อาจทำนายพฤติกรรมของมัน แต่สิ่งที่ทำให้เขาเชื่อว่ามีความเชื่อมโยงกันระหว่างหลัวลั่วชิงกับหินโลหิตเทพเจ้าก็คือรังสีอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากจี้สีแดงก่ำบริเวณหน้าอกของเขาเมื่อเขาสัมผัสก้อนหิน จางเซวียนคงโง่เต็มทีหากยังปะติดปะต่อหลักฐานเหล่านี้เข้าด้วยกันไม่ได้!


“หินโลหิตเทพเจ้ามีอะไรเกี่ยวข้องกับเหล่าเทพเจ้าไหม?” ผู้จัดการหูตั้งคำถามด้วยสายตาที่บ่งบอกความพรั่นพรึง


เขาคงยิ่งกว่ายินดีปรีดาหากหินก้อนนี้เป็นทรัพย์สมบัติทั่วไป เพราะแน่ใจว่าวัตถุที่มีคุณภาพระดับหินก้อนนี้น่าจะขายได้ราคางาม แต่หากมีเทพเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง…


นั่นคือเรื่องที่ต้องกังวล!


ในฐานะพลเมืองของทวีปที่ถูกลืม เขารู้ดีว่าข้อห้ามเคร่งครัดข้อหนึ่งคือห้ามเข้าใกล้เทพเจ้า การเสาะหาความรู้และวัตถุที่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้านั้นถือเป็นสิ่งต้องห้าม เพราะจะทำให้เทพเจ้าเกิดความขุ่นเคืองขึ้นมา


ถ้าหินก้อนนี้เกี่ยวข้องกับเหล่าเทพเจ้าจริงๆ การนำมันออกมาประมูลย่อมดึงดูดความสนใจของหอเทพเจ้า และนั่นไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย


“ด้วยชื่อของมัน ผมแน่ใจว่ามันเชื่อมโยงกับเหล่าเทพเจ้า แต่ส่วนโครงสร้างของมันจะเป็นอย่างไร และใช้สำหรับทำอะไรนั้น เกรงว่าในเวลานี้ผมยังไม่มีคำตอบ…” จางเซวียนส่ายหน้า


สิ่งเดียวที่เขารู้เกี่ยวกับของล้ำค่าชิ้นนี้คือชื่อของมัน ในหนังสือที่หอสมุดเทียบฟ้าประมวลขึ้นไม่ได้บอกรายละเอียดหรือคำอธิบายใดๆเกี่ยวกับคุณสมบัติหรือข้อบกพร่อง เขาจึงไม่รู้ว่ามันสามารถใช้หลอมเป็นอาวุธหรือมีอานุภาพพิเศษใดๆหรือไม่


แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ก็คือ หากแม้แต่หอสมุดเทียบฟ้าก็ยังไม่อาจประมวลข้อมูลที่สมบูรณ์แบบเกี่ยวกับของล้ำค่าชิ้นนี้ได้ ก็แปลว่ามันจะต้องเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าอย่างแน่นอน


“เอ่อ…” ผู้จัดการหูลังเล


เขาก็ดูออกว่าหินก้อนนี้มีบางอย่างพิเศษ จึงยอมจ่ายเงินสูงลิ่วเพื่อซื้อมันมา จากนั้นก็ใช้เงินอีกมากเพื่อการตรวจสอบสมบัติ


ถ้ามันเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าจริงๆ…แล้วเขาควรทำอย่างไร? ควรขายมันหรือเปล่า?


ผู้จัดการหูตั้งคำถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “น้องจาง เมื่อครู่นี้คุณบอกว่ามันคือหินโลหิตเทพเจ้า แล้วคุณมีหลักฐานพิสูจน์เรื่องนั้นไหม? ต้องขออภัยด้วยที่ถามแบบนี้ ไม่ใช่เพราะผมแคลงใจในการตรวจสอบของคุณ แต่ชื่อนั้นมีความสำคัญมาก ผมต้องระมัดระวังที่สุดหากจะต้องเกี่ยวข้องกับมัน…”


“หลักฐานพิสูจน์เรื่องนั้น?” จางเซวียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า “ก็พอมีวิธี!”


“ทำอย่างไรล่ะ?” ผู้จัดการหูถามอย่างร้อนใจ


“ง่ายนิดเดียว ในเมื่อชื่อของมันคือหินโลหิตเทพเจ้า ก็น่าจะหลงเหลือร่องรอยของโลหิตของเทพเจ้าอยู่บ้าง ถ้าคุณมีเลือดของอสูรอมตะที่ดุร้ายที่สุดในทวีปแห่งนี้อยู่ล่ะก็ นำเลือดนั้นมาสัมผัสกับ หินโลหิตเทพเจ้าและดูว่ามันมีปฏิกิริยาอย่างไร ถ้าเลือดของอสูรนั้นแสดงอาการยอมจำนนต่อหินโลหิตเทพเจ้าล่ะก็ เพียงเท่านั้นก็เกินพอที่จะพิสูจน์ได้แล้วว่าการตรวจสอบของผมไม่ผิดพลาด!” จางเซวียนตอบ


ถึงจางเซวียนจะไม่รู้คุณสมบัติที่แท้จริงของหินโลหิตเทพเจ้า แต่ก็มีความเข้าใจอย่างล้ำลึกในเรื่องของอสูรอมตะ


ในเมื่อของล้ำค่าชิ้นนี้มีคำว่า ‘โลหิตเทพเจ้า’ อยู่ ก็น่าจะต้องมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเลือดของเทพเจ้า ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น ต่อให้อสูรที่น่าสะพรึงที่สุดในทวีปที่ถูกลืมก็จะถูกกดข่มสายเลือดโดยอัตโนมัติ


นี่คือกระบวนการที่เขาได้เรียนรู้จากหอสมุดของสำนักดาบเมฆเหิน


ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา ไม่มีอสูรอมตะแม้สักตัวที่กล้าเข้าใกล้หอเทพเจ้าเพราะรังสีที่หอเทพเจ้าแผ่ออกมา รังสีนั้นมาจากตัวอักษรคำว่าเทพเจ้าอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือจากที่ผู้ก่อตั้งฉกฉวยไป


“เอ่อ…ผมจะไปหามาเดี๋ยวนี้แหละ!”


วิธีการนี้ฟังดูมีเหตุผลและเป็นไปได้ ทั้งยังไม่ได้ยากเย็นเกินไป ผู้จัดการหูกับผู้อาวุโสเหอสบตากัน ฝ่ายหลังพยักหน้าขณะรีบออกจากห้อง


เขาร้อนใจมาก อยากรู้ว่าของล้ำค่าชิ้นนี้คือหินโลหิตเทพเจ้าจริงหรือไม่


ถ้าเป็นหินโลหิตเทพเจ้าจริง ต่อให้เขาต้องสูญเสียครั้งใหญ่ ก็ไม่มีวันกล้านำของล้ำค่าที่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าเข้าสู่การประมูล


เพราะถึงอย่างไร เงินมากมายแค่ไหนก็ไม่อาจช่วยชีวิตเขาจากความโกรธเกรี้ยวของเทพเจ้าได้


1 ชั่วโมงต่อมา ผู้จัดการหูก็กลับมาพร้อมกับขวดหยกหลายใบในมือ


“ขวดเหล่านี้มีเลือดของอสูรอมตะขั้นสูงอยู่” ผู้จัดการหูพูด


ในโลกนี้มีอสูรที่มีวรยุทธอมตะขั้นสูงอยู่ไม่มากนัก จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะหาตัวพวกมันพบในทันที แต่หากเป็นการนำแค่เลือดของมันมา ก็พอหาได้บ้างตามท้องตลาด


เลือดของอสูรอมตะขั้นสูงมีพลังงานปริมาณสูงมาก ทำให้เป็นทรัพยากรล้ำค่าสำหรับการยกระดับวรยุทธ ขอแค่ใครสักคนมีเงินมากพอ ก็สามารถหาเลือดของอสูรเหล่านี้ได้จากท้องตลาดหรือหอนิรันดร์


“ขวดใบนี้บรรจุเลือดของอสูรอมตะพยัคฆ์หมึกที่โตเต็มวัย ซึ่งเป็นที่รู้กันว่ามีวรยุทธอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์” ผู้จัดการหูอธิบายขณะหยดเลือดหยดหนึ่งลงไปบนหินโลหิตเทพเจ้า


แม้จะเป็นเพียงเลือดหยดเดียว แต่ด้วยพลังจิตวิญญาณมหาศาลที่อยู่ในนั้น มันจึงหนักอึ้งราวกับทองคำ เมื่อหยดลงไป ก็ได้ยินเสียงหวีดหวิวแหวกผ่านอากาศ


ฟึ่บ!


ขณะที่เลือดหยดนั้นกำลังจะหยดลงบนก้อนหิน มันก็เบี่ยงเบนทิศทางอย่างฉับพลันแล้วกระเด็นออกไปด้านข้าง ราวกับได้เผชิญหน้ากับบางอย่างที่สร้างความหวาดกลัวอย่างล้ำลึกจนต้องหนี


ภาพนี้ทำให้ผู้จัดการหูพูดอะไรไม่ออก


หากก่อนหน้านี้เขายังแคลงใจอยู่บ้าง ตอนนี้ก็แน่ใจแล้วว่าคำพูดของจางเซวียนถูกต้อง ในบรรดา เลือดอสูรหลายขวดที่เขานำมา อสูรอมตะพยัคฆ์หมึกคือตัวที่แข็งแกร่งที่สุด


แต่ก็เผื่อไว้ในกรณีที่อาจมีข้อยกเว้น ผู้จัดการหูจึงทำการทดลองกับเลือดขวดอื่นๆด้วย ซึ่งทุกขวดก็มีปฏิกิริยาแบบเดียวกัน ยังไม่ทันที่จะได้หยดลงบนหินโลหิตเทพเจ้า พวกมันก็ลอยหนีไป ราวกับไม่กล้าปล่อยให้ของล้ำค่าจากสวรรค์ต้องแปดเปื้อน


สิ่งนี้เกินพอที่จะแสดงให้เห็นแล้วว่าหินโลหิตเทพเจ้ามีพละกำลังบางชนิดที่ทำให้อสูรอมตะเหล่านั้นยำเกรง


นอกเหนือจากเทพเจ้า ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดที่พวกเขานึกออกที่จะทำให้พวกมันมีปฏิกิริยาแบบนี้ได้!


“นี่เป็นการพิสูจน์สิ่งที่คุณพูดแล้ว มันคือหินโลหิตเทพเจ้าจริงๆ” ผู้จัดการหูเปรยพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเงยหน้ามองจางเซวียน


ชายหนุ่มคนนี้อธิบายได้ชัดเจนว่าหินก้อนนี้มีบางอย่างเกี่ยวข้องกับโลหิตของเทพเจ้าโดยไม่ได้ใช้เครื่องมือใดๆเลย บ่งบอกว่าความสามารถในการหยั่งรู้ของเขาน่าสะพรึงมาก


“สำหรับของล้ำค่าชิ้นนี้…คุณมีข้อมูลไหมว่ามันถือกำเนิดขึ้นเมื่อไหร่ และที่อยู่จริงๆของมันคือที่ไหน?” จางเซวียนตั้งคำถาม


“ตอนที่ผมซื้อมันมา ชายผู้นั้นเพียงแค่บอกชื่อทะเลดาวพลัดถิ่น ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลใดๆนอกเหนือจากนั้น” ผู้จัดการหูตอบ


“ถ้าอย่างนั้น…คุณพอจะติดต่อกับชายที่ขายหินก้อนนี้ให้คุณได้ไหม? ผมมีบางคำถามที่อยากถามเขา” จางเซวียนถามต่อ


“ผมจะลองดู” ผู้จัดการหูนำตราหยกสื่อสารออกมาและพยายามส่งข้อความหาอีกฝ่าย แต่หลังจากรออยู่ระยะหนึ่งก็ไม่ได้คำตอบ จึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “เขาไม่ตอบ ผมไม่เห็นเขาอยู่ในเมืองเลยตั้งแต่ผมซื้อหินก้อนนั้นมา การติดต่อเขาทำได้คงยากแล้วล่ะ”


จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อได้ยินคำพูดนั้น


เขาคิดว่าจะตั้งคำถามกับอีกฝ่ายเพื่อหาข้อมูลเพิ่ม แต่เท่าที่เห็น ตอนนี้ดูจะเป็นไปไม่ได้


จางเซวียนพยายามซักไซ้อีกสองสามคำถาม แต่ก็ไม่ได้เงื่อนงำใดที่พอจะมีประโยชน์ จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวัง


“ถ้าอย่างนั้น…คุณรู้ไหมว่าชายผู้นั้นได้หินก้อนนี้มานานแค่ไหนแล้ว?” ในที่สุดจางเซวียนก็ตั้งคำถามอีก


“ผมซื้อหินก้อนนี้มาได้ราว 1 เดือนแล้ว และจำได้ว่าชายผู้นั้นบอกว่ามันมาอยู่กับเขาได้ราว 1 เดือนเหมือนกัน รวมแล้ว หินก้อนนี้ถูกพบครั้งแรกเมื่อ 2 เดือนก่อน!”


“2 เดือน?” จางเซวียนคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว เขากำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว


เมื่อลองนึกดู เป็นเวลาราว 1 ปี 4 เดือนแล้วที่หลัวลั่วชิงออกจากทวีปแห่งปรมาจารย์ และเขาเข้าสู่มิติเบื้องบน


ด้วยอัตราส่วน 1:10 ของกาลเวลาในมิติเบื้องบนกับทวีปแห่งปรมาจารย์ 1 ปี 4 เดือนคือราวๆ 500 วัน ซึ่งจะเท่ากับ 50 วันในมิติเบื้องบน และตัวเขาก็เพิ่งมาถึงมิติเบื้องบนได้ราว 10 วัน รวมกันเป็น 2 เดือนพอดี!


หลักฐานชิ้นนี้ดูจะบอกชัดว่าหินโลหิตเทพเจ้ามีบางอย่างเกี่ยวข้องกับหลัวลั่วชิง


ส่วนจะเป็นความจริงหรือไม่นั้น เขาจะต้องเดินทางไปเยือนตำหนักคว้าดาวเพื่อคลี่คลายข้อสงสัยด้วยตัวเอง


เมื่อเข้าใจทั้งหมดแล้ว จางเซวียนระบายลมหายใจยาวก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ผู้จัดการหู คุณมีหนังสือเทคนิควรยุทธขั้นอมตะตัวจริงอยู่บ้างไหม? ถ้าเป็นไปได้ ผมขอยืมดูสักหน่อยได้หรือเปล่า? แค่ดูผ่านๆเท่านั้น ผมรับประกันว่าจะไม่ทำสำเนาหรือนำมันติดตัวไป”


นี่คือเหตุผลหลักของการมาตรวจสอบสมบัติที่นี่ ถ้าเขาอยากแกะรอยตามหลัวลั่วชิงต่อไป การยกระดับวรยุทธก็มีความสำคัญสูงสุด 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)