ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 202-205

 ตอนที่ 202 บุกพระราชวังในยามค่ำคืน

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลิ่วหมิงไต่ตรองเรื่องราวระหว่างพรรควิญญาณมืดกับจวนอ๋องสามแล้ว ก็ต้องร้องปวดหัวออกมา


ตามที่หูชุนเหนียงกล่าวไว้ อ๋องสามผู้นี้อาจจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของพรรควิญญาณมืด แม้กระทั่งจวนอ๋องสาม ก็อาจจะเป็นซ่องของพรรควิญญาณมืดก็เป็นได้


เดิมทีเขาคิดแฝงตัวเข้าไปในนั้นเพื่อหาความลับบางอย่าง แต่คงต้องละความคิดนี้ไปก่อน


แม้ว่าพลังของเขา ไม่ใช่สิ่งที่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบทั่วไปสามารถเทียบได้ แต่เขาก็ไม่อยากตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกคนจับได้ และถูกทูตวิญญาณมืดสิบกว่าคนล้อมโจมตี


ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่รีบร้อนเข้าจวนอ๋องสามแล้ว แต่จะตรวจสอบการหายตัวของศิษย์ตรวจตราคนก่อน ว่าเป็นการลงมือของพรรควิญญาณมืดจริงหรือไม่


เพียงแค่เขาหาหลักฐานได้ และรอกำลังสนับสนุนของนิกายมาถึง ก็สามารถใช้พลังมหาศาลกวาดล้างพรรควิญญาณมืดให้หมดไปได้


พอถึงเวลานั้น เมื่อไม่มีพรรควิญญาณมืดชักใยอยู่เบื้องหลัง เขาก็สามารถเข้าไปในจวนอ๋องสามได้โดยง่าย


แม้หลิ่วหมิงจะมีแผนแยบยลอยู่ในใจนานแล้ว แต่ก็ยังคิดไตร่ตรองอย่างละเอียดอีกรอบ พอเห็นว่าแผนนี้ไม่มีปัญหาอะไร ถึงได้ถอนหายใจออกมา และเก็บเรื่องไว้ทีหลัง


เวลาต่อมา เขาพลิกมือข้างหนึ่งขึ้น และคัมภีร์โบราณบางๆ สีขาวก็พลันปรากฏขึ้นในมือ บนปกหนังมีอักขระคำว่า ‘สิบสามเคล็ดวิชาหุ่น” ประทับอยู่


สิ่งนี้เป็นเคล็ดวิชาพื้นฐานของการควบคุมหุ่น ที่เขาซื้อมาจากตลาดใต้ดินเมื่อหลายวันก่อน


ถึงแม้จะเป็นผู้ที่ไม่เคยฝึกฝนวิชาควบคุมหุ่นมาก่อน แต่หลังจากที่อ่านคัมภีร์นี้แล้ว ก็สามารถควบคุมหุ่นอย่างง่ายๆ ได้


แน่นอนว่าวิธีการควบคุมเช่นนี้ ไม่อาจเทียบกับศิษย์หุบเขาเก้าช่องได้ และไม่เกี่ยวข้องกับด้านอื่นๆ ของเส้นทางการฝึกฝนหุ่น


ศิษย์หุบเขาเก้าช่องเหล่านั้น ไม่เพียงแต่จะเรียนวิชาควบคุมหุ่นไม่กี่ตัวแล้ว ยังต้องเรียนรู้การสร้างหุ่น และเพิ่มความแข็งแกร่งให้มันด้วย แม้กระทั่งในตอนที่หุ่นของตนเองถูกทำลายในขณะต่อสู้ ยังสามารถซ่อมมันให้ฟื้นฟูขึ้นมาได้


แต่ทั้งหมดนี้ หลิ่วหมิงล้วนเข้าใจดี


ที่เขาซื้อคัมภีร์เล่มนี้มา เพราะว่าเคล็ดวิชาที่บันทึกไว้ในนี้ง่ายต่อการเรียนรู้ และทำให้เขากระตุ้นหุ่นอสูรได้โดยง่ายก็เท่านั้น


เขาค่อยๆ พลิกอ่านคัมภีร์ทีละหน้า ด้วยสีหน้าครุ่นคิด


ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด หลิ่วหมิงปิดคัมภีร์ในมือลงฉับพลัน และหลับตาทำความเข้าใจอย่างเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง แล้วถึงสะบัดแขนเสื้อปล่อยลูกกลมๆ สีฟ้าอ่อนสองลูกให้กลิ้งออกมา


หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือเดียว ตาทั้งคู่จ้องมองลูกกลมๆ ทั้งสอง นิ้วมือนิ้วหนึ่งชี้ไปยังลูกกลมๆ ทั้งสองลูก


“ฟู่!” “ฟู่!”


หลังจากที่ลูกกลมๆ ทั้งสองสั่นไหว มันก็เปลี่ยนรูปร่างจนดูพร่ามัวขึ้นมา พริบตาเดียวก็กลายเป็นวิหคไม้สีฟ้าที่มีปีกอยู่ตรงหลังสี่ปีก


มันคือหุ่นอสูรสองตัว ที่เขาได้มาจากแขกขององค์ชายเก้าที่เขาเพิ่งสังหารไป


แม้ว่าวิหคไม้ทั้งสองตัวนี้ ไม่อาจเทียบได้กับหุ่นอสูรของศิษย์แกนนำหุบเขาเก้าช่องที่เขาเคยเห็นในตอนแรก แต่มันเป็นของล้ำค่าที่หาได้ยากในบรรดาผู้ฝึกฝนอิสระ


ถ้าเขาสามารถควบคุมได้ดั่งใจล่ะก็ ตอนที่ทำการต่อสู้ ก็สามารถพลิกแพลงวิธีรับมือกับศัตรูได้ในทันที


แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ การฝึกฝนวิชานี้ให้ชำนาญ สำหรับเขาแล้วใช้เวลาแค่ไม่กี่วันเท่านั้น


เวลาต่อมา หลิ่วหมิงก็ร่ายคาถา นิ้วทั้งสิบเคลื่อนไหวอยู่ไม่หยุด วิหคไม้สีฟ้าทั้งสองเคลื่อนไหวตามนิ้วมือของเขา และขยุกขยิกพุ่งขึ้นไปด้านบน และบินไปมาอยู่ในห้องลับ


……


ในระยะเวลาครึ่งเดือน หลิ่วหมิงไปเรียนวิชาปรุงโอสถกับฝานไปจื่อไปด้วย และฝึกควบคุมหุ่นวิหคไม้ทั้งสองอยู่ในห้องลับไปด้วย


ไม่นานพิธีบูชาของราชวงศ์ที่หูชุนเหนียงเคยพูดไว้ ก็มาถึงโดยไม่รู้ตัว


ถึงแม้นางจะบอกให้เขาคอยฟังข่าวจากนางก็พอ แต่หลังจากที่หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองดูแล้ว ในช่วงบ่ายเขาก็ลงจากเขาเซียนทอแสงไปอย่างเงียบๆ


ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด เขาถึงรู้สึกว่าการดำเนินการของหูชุนเหนียงในครั้งนี้ไม่ค่อยราบรื่นนัก เขาจึงเตรียมแผนรับมือบางอย่างไว้


พอเขามาปรากฏตัวในโรงน้ำชาที่ห่างจากพระราชวังไม่ไกล ก็ได้เปลี่ยนตัวเองให้เป็นชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ใบหน้าเหี้ยมหาญเป็นอย่างมาก


หลิ่วหมิงจิบชา และนั่งรออยู่ในโรงน้ำชาอย่างเงียบๆ


ตำแหน่งการสร้างพระราชวังของเสวียนจิงช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก ด้านหนึ่งติดกับทะเลสาบที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงของเสวียนจิง ด้านหนึ่งติดกับค่ายทหารองครักษ์ ส่วนอีกด้านเป็นพื้นที่พิเศษที่เป็นที่ตั้งของตำหนักต่างๆ ของเชื้อพระวงศ์ และมีเพียงด้านเดียวที่เป็นประตูใหญ่ของพระราชวังที่เป็นศูนย์กลางของเสวียนจิง


ด้านที่หลิ่วหมิงอยู่ เป็นด้านที่ตั้งตำหนักของเชื้อพระวงศ์ ด้านอื่นอีกสามด้าน ถ้าไม่ถูกวางชั้นจำกัดไว้หลายชั้น ก็ถูกคุ้มกันไว้อย่างหนาแน่น


ถ้าหูชุนเหนียงทำสำเร็จแล้วออกจากวังล่ะก็ มีโอกาสแปดถึงเก้าส่วนที่จะแอบออกมาทางนี้


เวลาค่อยๆ ผ่านไป!


หลิ่วหมิงนั่งอยู่ในโรงน้ำชา จนกระทั่งได้ยินเสียงอึกทึกครึกครื้นดังแว่วมาจากภายในกำแพงของพระราชวัง ดูเหมือนว่าพิธีบูชาของราชวงศ์คงเริ่มขึ้นอย่างราบรื่นแล้ว


ขณะนี้ องครักษ์เสื้อเกราะก็มาลาดตระเวนบริเวณพระราชวัง


ดูเหมือนว่าเป็นเพราะมีพิธีบูชา ทั่วทั้งพระราชวังจึงคุ้มกันหนาแน่นกว่าปกติ


หลิ่วหมิงค่อยๆ จิบชาด้วยสีหน้าสงบ ชาหนึ่งกาพอดื่มได้สองชั่วยามกว่าๆ


พอน้ำชากาที่สามไหลลงท้องแล้ว ท้องฟ้าก็มืดครึ้มขึ้นมา


หลิ่วหมิงหยิบเงินมาวางบนโต๊ะจำนวนหนึ่ง แล้วเดินออกไปด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก


ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป หลังจากเขาแปะยันต์ซ่อนตัวลงบนร่างของตนเองแล้ว ก็มาปรากฏตัวในทางเข้าตรอกที่อยู่ห่างจากโรงน้ำชาไม่ไกล ลำตัวครึ่งหนึ่งแนบชิดกำแพงบริเวณนั้น และจ้องมองพระราชวังที่อยู่ไกลๆ


หลังจากผ่านเสียงอึกทึกครึกโครมในตอนกลางวัน เห็นได้ชัดว่าพระราชวังในยามค่ำคืนช่างเงียบสงัดมาก นอกจะมีเสียงเคาะดัง “ปังๆ!” ที่มาเป็นครั้งคราวแล้ว ก็ไม่มีเสียงใดๆ อีกเลย


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ยังไม่รู้สึกวางใจ ยังคงยืนนิ่งเงียบอยู่ที่เดิม


หลังจากไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ก็มีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นดังมาจากในพระราชวัง ตามด้วยเสียงดังกังวาน และปราณกระบี่อันน่าตกใจ ก็พุ่งขึ้นจากใจกลางของพระราชวัง


จากนั้นทั่วทั้งพระราชวังก็สับสนอลหม่านขึ้นมา ภายใต้ตะเกียงไฟอันสว่างไสว องครักษ์จำนวนมากกรูกันออกมาจากสถานที่ต่างๆ ของพระราชวัง และพุ่งไปยังสถานที่ที่ปราณกระบี่พุ่งขึ้นมา


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ตาก็เป็นประกาย แต่ก็ยังไม่รีบร้อนเคลื่อนไหว


หลังจากผ่านไปซักพักก็มีเสียงระเบิดออกมา ทันใดนั้นก็มีปราณกระบี่อีกสายพุ่งขึ้น ดูเหมือนว่าจะอยู่ห่างกำแพงด้านนอกพระราชวังไม่ไกล


พอเห็นเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็เคลื่อนไหวอย่างไม่ลังเล และเข้าไปใกล้กำแพงสูงของพระราชวังอย่างรวดเร็ว


พอเขาเคลื่อนไหวอีกที ก็มาปรากฏตัวอยู่บนกำแพงอย่างไร้สุ้มเสียง พอตาทั้งคู่จ้องมองไปยังพื้นที่เกิดเหตุวุ่นวาย ก็เจอกับเงาร่างสีขาวที่ถูกแสงกระบี่สองสายคุ้มกันอยู่หนาแน่น และพุ่งมายังด้านที่หลิ่วหมิงอยู่


บริเวณเงาร่างสีขาว มีผู้ฝึกฝนระดับต่างๆ สิบกว่าคน ใช้อาวุธอาญาสิทธิ์โจมตีเงาร่างสีขาวอยู่ไม่หยุด


แม้ว่าการโจมตีระดับนี้ ไม่สามารถทำลายเกราะป้องกันของเงาร่างสีขาวได้ แต่ก็ทำให้การเคลื่อนไหวของนางลดความเร็วลงไปมาก จนไม่อาจฝ่าวงล้อมออกมาได้ในทันที


ขณะนี้ สถานที่อยู่ไกลออกไปอีกหน่อย ก็มีแขกระดับจิตวิญญาณทองคำคนอื่นๆ พากันขี่เมฆพุ่งเข้ามา


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เคลื่อนไหวอย่างไม่ลังเล จากนั้นก็กลายเป็นเงาร่างสีดำพุ่งไปยังวงล้อมที่ทำการต่อสู้อยู่


ขณะนี้ ผู้ฝึกฝนทั้งหมดกับทหารองครักษ์ต่างก็มุ่งความสนใจไปที่เงาร่างสีขาว ไม่มีใครค้นพบว่ามีคนแปลกหน้าโผล่เข้ามานอกวงล้อม


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขารีบทำท่ามือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แสงเพลิงปรากฏขึ้นตรงหน้าเป็นจุดๆ ไม่นานลูกเปลวไฟลูกหนึ่งก็โผล่ออกมา มันแค่หมุนตัวติ้วๆ ก็ขยายใหญ่จนมีขนาดเท่าอ่างน้ำ ขณะเดียวกันไอร้อนระอุก็ม้วนตัวออกไป


แต่ด้วยเหตุนี้ ผู้ฝึกฝนหลายคนในบริเวณนั้นต่างก็รับรู้ได้ในทันที


หนึ่งในนั้นรีบหมุนตัวกลับมา หลังจากที่เห็นลูกเปลวไฟยักษ์ในมือหลิ่วหมิงก็อดตกใจไม่ได้


“เจ้าเป็นใครกัน ทำไมข้าถึงไม่เคยเห็นเจ้า……แย่แล้ว! เจ้าสารเลวผู้นี้มีคนคอยช่วยรับมืออยู่”


คนผู้นี้ถามออกมาแค่สองประโยค ก็รู้ต้องร้องออกมาด้วยเสียงอันดัง


แต่ขณะนี้ หลิ่วหมิงก็สะบัดข้อมือปล่อยลูกเปลวไฟยักษ์ใส่กลุ่มคนด้านหน้าด้วยเสียงอันดัง


หลังจากได้ยินเสียงเตือน ผู้ฝึกฝนคนอื่นๆ ก็หันตัวกลับมา แต่พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ไหนเลยจะยังสนใจโจมตีเงาร่างสีขาวต่อ พวกเขาต่างก็ตกใจจนล่าถอยออกไป


เสียงดัง “ตู๊ม!”


ลูกเปลวไฟระเบิดตัวท่ามกลางคนกลุ่มนั้น เปลวไฟอันคุโชนม้วนตัวไปรอบด้าน และพุ่งขึ้นฟ้ากลายเป็นรูปดอกเห็ด


พอแขกระดับจิตวิญญาณทองคำสองคนที่ไหวตัวช้า ได้สัมผัสกับหมอกอัคคีที่ปกคลุมอยู่ก็ต้องร้องอย่างเวทนา และกลายเป็นขี้เถ้าไปในพริบตา แม้แต่ผู้ฝึกปราณบริเวณนั้นสิบกว่าคน ต่างก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้


เงาร่างสีขาวอาศัยจังหวะนี้ รวมกระบี่ทั้งคู่เข้าด้วยกัน จนมันกลายเป็นปราณกระบี่ยักษ์พุ่งออกจากหมอกอัคคี และเคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็มาอยู่ข้างหลิ่วหมิง


“ศิษย์น้องเฉียนใช่ไหม? รีบหนีไป คาดไม่ถึงว่าในวังนี้จะมีเผ่าเจ้าสมุทรที่แข็งแกร่ง ข้าไม่ทันระวังจึงตกอยู่ในมือของพวกมัน ข้าต้องไปหาสถานที่เงียบๆ รักษาอาการบาดเจ็บก่อน” เงาร่างสีขาวเป็นหญิงสาวที่สวมหน้ากากกระดูกขาว พอเขาเห็นใบหน้าหลิ่วหมิงชัดเจนก็รู้สึกตกใจมาก แต่ก็ได้สติในฉับพลันก่อนที่จะกล่าวออกไป


ฟังจากน้ำเสียงแล้ว นางก็คือหูชุนเหนียง


แต่พอนางพูดสองประโยคนี้ออกมาอย่างรีบร้อนแล้ว ก็พลันอ้าปากพ่นโลหิตสีดำออกมา จนมันเกือบจะย้อมผ้าสีขาวของนางจนกลายเป็นสีแดงกว่าครึ่งหนึ่ง จากนั้นร่างอรชรก็โงนเงน พลิกตัวล้มลงไป


“เผ่าเจ้าสมุทร!”


พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจเช่นกัน แต่พอสะบัดแขนเสื้อ มันก็ม้วนรัดเอวของนางไว้แน่น พอเขาออกแรงดึง ร่างอรชรที่มีกลิ่นหอมกรุ่น ก็มาอยู่ในอ้อมกอดเขา


ร่างของหูชุนเหนียงอ่อนยวบยาบ ไม่มีแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่านางไม่รับรู้เรื่องใดๆ แล้ว


หลิ่วหมิงกระทืบเท้าอย่างไม่ลังเล และเขาก็พาหญิงสาวกลายร่างเป็นลูกธนูพุ่งยิงออกไปนอกพระราชวัง


ขณะนี้ แขกระดับจิตวิญญาณทองคำที่ตกใจจนล่าถอย ถึงได้รีบตามไปด้วยความโมโหอย่างสุดขีด


แต่การเคลื่อนไหวของคนที่เคยทานหญ้าลอยฟ้าอย่างหลิ่วหมิง รวดเร็วกว่าที่คนทั่วไปคาดคิดไว้มาก พวกเขาเพียงแค่เห็นเงาร่างหลิ่วหมิงพร่ามัวไม่กี่ที่ ก็ลื่นไหลผ่านกำแพงสูงไปอย่างรวดเร็ว


พอแขกระดับจิตวิญญาณทองคำตามมาถึงบนกำแพงด้วยความโมโห หลิ่วหมิงก็หายไปในสิ่งก่อสร้างสูงใหญ่ตั้งนานแล้ว


พวกเขาต่างก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้!


“รีบให้คนปิดประตูทั้งสี่ด้านไว้ เจ้าสารเลวที่บุกเข้าวังได้รับบาดเจ็บอยู่ ภายในระยะเวลาสั้นๆ นี้ ไม่อาจหนีไปจากเสวียนจิงได้” ขณะนั้นเอง น้ำเสียงอันเยือกเย็นก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังโดยฉับพลัน


พอแขกระดับจิตวิญญาณทองคำเหล่านี้ หันกลับไปมองด้วยความตกใจ ก็พบกับชายฉกรรจ์ผมสีฟ้า หนวดสีม่วง ที่กำลังจ้องมองพวกเขาอย่างเยือกเย็น


“ทราบ! ผู้บัญชาการชิว! พวกข้าจะแจ้งทหารเฝ้าประตูทั้งสี่ด้าน ให้รีบปิดประตูในทันที!” องครักษ์ผู้ฝึกปราณที่มีรูปร่างค่อนข้างสูงคนหนึ่ง ก้าวออกมารับคำสั่งอย่างนอบน้อม


……………………………………….


ตอนที่ 203 บาดเจ็บสาหัส

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ตอนที่ข้าเข้ามา ได้ยินคนพูดว่าผู้บุกรุกอยู่ในวังมาตลอด จนกระทั่งถึงตอนที่ค้นพบ แม้แต่จักรพรรดิเองก็ตกใจจนหมดสติ พวกเจ้ารีบแยกย้ายกันไปจับตัวคนผู้นี้กับสหายของเขา ข้าจะไปดูในวังสักหน่อย เผื่อมีคนถือโอกาสนี้คิดไม่ซื่อกับจักรพรรดิอีก” ชายฉกรรจ์ผมฟ้าหนวดม่วงผู้นี้ก็คือ ชิวหลงจื่อที่เป็นหนึ่งในแขกระดับจิตวิญญาณทองคำนั่นเอง ขณะนี้เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอึมครึมเป็นครั้งแรก


“ทราบ! ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” องครักษ์ผู้ฝึกปราณคนนั้นตอบรับ แล้วก็ถ่ายทอดคำสั่งออกไป


ขณะนี้ แขกระดับจิตวิญญาณทองคำที่เหลือก็แบ่งกันไปตามหาที่นอกวัง


ชิวหลงจื่อตะคอกเสียงสั่งอีกคนที่อยู่ด้านข้างสองสามประโยค แล้วก็หมุนตัวพาผู้ฝึกปราณคนสนิทไม่กี่คน พุ่งตรงเข้าไปในพระราชวัง


ผ่านไปไม่นาน หลังจากที่เขาจัดเวรยามยืนเฝ้าอย่างแน่นหนาแล้ว ในที่สุดก็มาถึงหน้าตำหนักที่งดงามเป็นพิเศษ ด้านในมีแสงสว่างจากตะเกียง ด้านนอกมีทหารองครักษ์เกราะเงินที่มีกลิ่นไอโหดเหี้ยมยืนอยู่ร้อยกว่าคน ทหารแต่ละคนต่างก็หุ้มเกราะถือดาบ แบ่งออกเป็นหลายแถว ยืนขวางอยู่หน้าตำหนัก โดยไม่คิดที่จะหลีกทางให้ชิวหลงจื่อเลยแม้แต่น้อย


“ชิวหลงจื่อ คารวะฝ่าบาท! ฝ่าบาทไม่เป็นอะไรใช่ไหม!” ชิวหลงจื่อ หยุดฝีเท้าอยู่ตรงหน้าทหารชุดเกราะ หลังจากที่ตาเขาเป็นประกายเล็กน้อย ก็ป้องมือออกไปทางตำหนักแล้วถามออกไป


“ผู้บัญชาการชิว ข้าไม่เป็นไร เพียงแค่ถูกคนชั่วผู้นั้นทำให้ตกใจเล็กน้อย พักผ่อนสักหน่อยก็ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าจับมันมาได้หรือยัง?” เสียงชายที่ไร้เรี่ยวแรงดังออกมาจากในตำหนัก


“ฝ่าบาทไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เดิมทีคนชั่วผู้นั้นจะถูกจับได้แล้ว แต่น่าเสียดายที่มีคนมาช่วยไว้ได้ ดังนั้นมันจึงหนีออกวังไปแล้ว แต่ขอฝ่าบาทโปรดวางพระทัย หม่อมฉันได้ให้คนปิดประตูทั้งสี่ด้าน และยังส่งคนออกไปตามล่ามัน เชื่อว่าอีกไม่นานก็จะมีข่าวส่งมา นอกจากนี้ฝ่าบาททรงทราบใบหน้าที่แท้จริง กับวัตถุประสงค์ที่เข้าวังของคนผู้นี้หรือไม่?” ชิวหลงจื่อกล่าวอย่างไม่รีบร้อน


“ไม่! มันถูกข้าพบเข้ากะทันหัน และยังสามหน้ากากอยู่ตลอดเวลา ข้าจะเห็นใบหน้าที่แท้จริงของมันได้อย่างไร ฮึ! หรือว่าเจ้าสงสัยข้า?” น้ำเสียงจากในตำหนักเคร่งขรึมขึ้นมาทันที


“มิกล้า! หม่อมฉันเพียงแค่กังวลว่า คนผู้นี้เข้าวังเพราะคิดจะทำอะไรบางอย่างที่เราไม่อาจรู้ได้ และกังวลว่าจะมีคนอื่นซ่อนตัวอยู่ตามตำหนักต่างๆ ก็เท่านั้น” แม้ว่าชายฉกรรจ์จะกล่าวอย่างนอบน้อม แต่สายตาที่จ้องมองเข้าไปตำหนักกลับดูหวาดระแวงอย่างอดไม่ได้


ถ้าเขาฟังไม่ผิดล่ะก็ น้ำเสียงของคนในตำหนัก ดูเหมือนจะไม่สามารถควบคุมลมหายใจได้


จักพรรดิเสวียนจื้อผู้นี้ ก็เป็นผู้ฝึกปราณคนหนึ่ง ถ้าเพียงแค่ ‘ตกใจ’ เล็กน้อยล่ะก็ คงไม่ถึงกับขนาดนี้


เห็นได้ชัดว่า จักรพรรดิผู้นี้กำลังซ่อนอะไรบางอย่างอยู่ และไม่พูดความจริงกับผู้บัญชาการแขกระดับจิตวิญญาณทองคำอย่างเขา


“อืม! ที่แท้ผู้บัญชาการชิวก็เป็นห่วงข้า งั้นข้าก็จะไม่โทษเจ้าแล้ว! แต่คนชั่วผู้นั้นช่างเหิมเกริมยิ่งนัก บังอาจเข้าวังมาทำให้ข้าตกใจ เจ้าจะต้องจับคนผู้นี้มาให้ได้ ข้าไม่สนว่าจะจับเป็นหรือจับตาย! เจ้ารีบไปจัดการเถอะ!” เสียงชายในตำหนักแผ่วลงไปมาก และกัดฟันกล่าวออกมา


“ทราบ! หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชา! แต่เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด หม่อมฉันจะให้คนของหม่อมฉันอยู่ที่นี่สักสองสามคน จะได้เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับทหารองครักษ์เหล่านี้” ชิวหลงจื่อกล่าว


“ไม่ต้องแล้ว! ข้าได้ส่งคนไปบอกแขกระดับจิตวิญญาณทอง ที่อยู่ใต้บัญชาการของผู้บัญชาการหลี่ว์แล้ว ผู้บัญชาการชิวไปให้ความสนใจกับการจับตัว ‘ผู้บุกรุกพระราชวัง’ เถอะ!” จักรพรรดิ์เสวียนจื้อ กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมอีกครั้ง


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นหม่อมฉันก็วางใจแล้ว” พอชิวหลงจื่อได้ยินก็รู้สึกแปลกใจ แต่ก็แสดงสีหน้าคล้อยตามออกมา


จากนั้น เขาก็พาผู้ฝึกปราณคนสนิทสองสามคนกล่าวทูลลา และเดินออกไป


“พี่ชิว มีเรื่องบางอย่างไม่ถูกต้อง! เมื่อครู่ข้าได้สืบมาแล้ว มีนางกำนัลคนหนึ่ง ได้ยินเสียงฝ่าบาทร้องอย่างเวทนาในตอนแรก แล้วถึงเห็นผู้บุกรุกคนนั้นพุ่งออกจากตำหนักของฝ่าบาท อีกอย่างบนกระบี่ของมันเต็มไปด้วยโลหิตสดๆ ทั้งยังก่อเรื่องเลวร้ายถึงขนาดนี้ ผู้บัญชาการคนอื่นๆ ที่เก็บตัวฝึกฝนกลับไม่สนใจอะไรเลย ดูเหมือนไม่คิดจะออกจากการเก็บตัวเลยแม้แต่น้อย และฝ่าบาทก็ไม่คิดที่จะลงโทษพวกเขา มันช่างแปลกประหลาดเสียจริง!” ชายชรารูปร่างผอมแห้ง ดวงตารูปสามเหลี่ยมเดินเข้ามากระซิบกับชิวหลงจื่อ


“ข้าก็เห็นความผิดปกติบางอย่าง แต่ก็ไม่สามารถบุกเข้าไปในตำหนักของฝ่าบาทได้ เอาอย่างนี้เถอะ! ข้าจะพาคนไปตามผู้ที่บุกรุกเข้าวัง เจ้าแอบส่งพี่น้องสองสามคนไปสอดส่องอยู่ในวัง ถ้ามีการเคลื่อนไหวอะไร ให้รีบรายงานข้าทันที” ชิวหลงจื่อสั่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“พี่ชิวโปรดวางใจ ข้าเข้าใจแล้วว่าควรทำเช่นไร” ชายชราดวงตารูปสามเหลี่ยมพยักหน้าเข้าใจโดยไม่ต้องอธิบาย


ต่อมาไม่นาน คนกลุ่มหนึ่งก็มาถึงหน้ากำแพงสูงของพระราชวังอีกครั้ง


ชิวหลงจื่อกวาดสายตามองโลหิตสีดำบนพื้นทีหนึ่ง และโบกมือเรียกองครักษ์แถวนั้นมาสอบถาม หลังจากนั้นใบหน้าของเขาก็แสดงความดีใจออกมาทันที


พอเขาสะบัดแขนเสื้อ สุนัขตัวจิ๋ว สีเหลืองทองขนาดเท่ากำปั้นตัวหนึ่ง ก็พุ่งออกมา หลังจากนั้นเขาก็ทำท่ามือพูดอะไรบางอย่างกับมันเบาๆ ในบัดดลนั้นสุนัขจิ๋วสีเหลืองทองก็เดินวนโลหิตสีดำสองสามรอบ และสูดดมไปสองสามที หลังจากนั้นก็วิ่งพุ่งไปยังทิศทางบางแห่งทันที


“ไป! ตามสุนัขจิตวิญญาณไป! รอยเลือดนั้นเป็นของผู้ที่บุกรุกในก่อนหน้า เพียงแค่มันยังอยู่ในระยะร้อยลี้ ก็อย่าคิดว่าจะหนีการตามล่าจากสุนัขพันลี้ของข้าได้” ชิวหลงจื่อกล่าวด้วยสีหน้าเหี้ยมโหด จากนั้นก็พาคนอื่นๆ ตามสุนัขจิ๋วไป


ขณะเดียวกัน ในตำหนักใหญ่ที่มีทหารชุดเกราะสีเงินล้อมรอบอยู่


เสวียนจื้อผู้เป็นประมุขของผู้คนในเสวียนจิง กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าขาวซีด พอมองไปด้านข้าง แขนข้างหนึ่งของเขาได้หายไปแล้ว


และด้านหลังของเขา มีมือหยกเรียวยาวคู่หนึ่งค้ำยันอยู่ตรงแผ่นหลัง เพื่อส่งพลังสีฟ้าเข้าไปในร่างของเขา


เจ้าของมือคู่นี้ก็คือต่งไทเฮา!


จากนั้นแสงสีฟ้าก็เพิ่มเข้าไปในร่างของเสวียนจื้อมากขึ้น ใบหน้าของเขาแสดงความเจ็บปวดออกมาอย่างสุดขีด ทันใดนั้น บริเวณที่แขนขาดหายไป ก็มีแสงสีฟ้าเปล่งประกายขึ้นมา โลหิตเป็นสายๆ ประสานกันออกมา มันเลื้อยขยุกขยิกขยายยาวขึ้น จนกลายเป็นแขนใหม่เอี่ยมอ่องข้างหนึ่ง


หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป เสวียนจื้อก็คำรามเสียงต่ำออกมา ทันทีที่แสงสีฟ้าเปล่งประกายขึ้นบนแขนข้างใหม่ มันก็ถูกฟื้นฟูกลับมาโดยสมบูรณ์


แขนใหม่นี้ นอกจากผิวหนังจะขาวนุ่มไปหน่อยแล้ว ก็ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเดิมเลย


“เอาล่ะ! ข้าช่วยเจ้าสลายพลังโอสถจิตวิญญาณ จนเกิดเป็นแขนข้างใหม่แล้ว เช่นนี้แล้ว การเสด็จออกว่าการในสองวันข้างหน้าจะได้ไม่มีคนสงสัย แต่ทำไมเจ้าถึงไม่ระมัดระวังเช่นนี้ ให้มนุษย์ผู้ฝึกฝนคนนั้นเห็นเจ้าตอนเปลี่ยนร่างได้อย่างไร ทั้งยังถูกตัดแขนไปหนึ่งข้างในกระบี่เดียวอีก” ต่งไทเฮาเก็บมือทั้งสอง แล้วกล่าวอย่างไม่พอใจ


“ลูกจะรู้ได้อย่างไร ว่ามีผู้ฝึกฝนปลอมเป็นนางกำนัลแฝงตัวเข้ามาในห้องนอน ตามหลักความเคยชิน พอนางกำนัลที่เป็นมนุษย์ธรรมดาเหล่านี้เห็นข้ากลายร่าง ก็จะถูกข้าฆ่าตายในทันที ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเสด็จแม่ส่งองครักษ์เผ่าเจ้าสมุทรมาอารักขาล่ะก็ เกรงว่าข้าคงยากที่จะหลบพ้นเคราะห์ในครั้งนี้ไปได้” เสวียนจื้อกล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม


“ฮึ! ตอนที่ข้าส่งสองคนนั้นมาให้เจ้า เจ้าเองก็มีท่าทีไม่ค่อยเต็มใจมากนัก ตอนนี้รู้ถึงประโยชน์ของพวกเขาหรือยัง พวกเขาทั้งสองเป็นข้ารับใช้ในตระกูลต่งของพวกเรามาโดยตลอด เจ้าเป็นลูกชายของข้า พวกเขาย่อมจงรักภักดีต่อเจ้า ไม่คิดคดทรยศอย่างเด็ดขาด” ต่งไทเฮากวาดสายตามองเสวียนจื้อก่อนกล่าวออกมา


“เสด็จแม่ไม่ต้องพูดแล้ว แต่ก่อนลูกไม่รู้ความ ตอนนี้สำนึกผิดแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเก่งกาจ แต่คนที่บุกเข้ามานั้นก็มีคนคอยช่วยอยู่ ไปตามล่าเพียงลำพังเช่นนี้ ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?” เสวียนจื้อยิ้มอย่างขมขื่น และกล่าวด้วยความกังวล


“เรื่องนี้เจ้าวางใจได้ ผู้บุกรุกคนนั้น ได้รับบาดเจ็บจากเคล็ดวิชาประจำตระกูลของสองคนนั้น ตอนนี้คงจะตายไม่ตายแหล่ ต่อให้มีคนคอยช่วย ก็ล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาทั้งสอง แต่ตอนที่ผู้บุกรุกคนนั้นหนีไป ได้แสดงวิชาแปลกประหลาด ดูเหมือนจะเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่จากนิกาย ไม่เหมือนกับผู้ฝึกในอิสระทั่วไป! หรือว่าจะเป็นผู้ฝึกฝนหญิงของนิกายจันทราสวรรค์?” ต่งไทเฮาเงียบไปครู่หนึ่ง และเอ่ยปากคาดเดาสถานะที่แท้จริงของหูชุนเหนียงออกมา


“อะไรนะ! เป็นผู้ฝึกฝนของนิกายจันทราสวรรค์? หรือว่านิกายต่างๆ รู้เรื่องของพวกเราแล้ว?” เสวียนจื้อได้ยินก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ใบหน้าซีดขาวไปในทันที


“ถ้านิกายทั้งห้ารู้เรื่อง คงส่งอาจารย์จิตวิญญาณมากวาดล้างเสวียนจิงตั้งนานแล้ว ไหนเลยจะส่งศิษย์จิตวิญญาณมาแหวกหญ้าให้งูตื่น แต่ก็ไม่อาจตัดสินใจได้ว่า คนผู้นี้ได้รับการถ่ายทอดวิชากระบี่มาโดยไม่ได้ตั้งใจ ถึงได้แสดงวิชากระบี่ออกมาเช่นนี้” ต่งไทเฮาฟังแล้วก็ส่ายหน้ากล่าว


“มันคงเป็นเช่นนั้น แต่เสด็จแม่ จนถึงตอนนี้พวกข้ายังสืบไม่ได้ว่า ศิษย์ตรวจตราเสวียนจิงของนิกายจันทราสวรรค์เป็นใคร ผู้ที่บุกรุกเข้าวังในคืนนี้คงไม่ใช่นางหรอกนะ?” เสวียนจื้อถอนหายใจยาวๆ ออกมา แต่ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงถามออกไปด้วยความสงสัย


“ศิษย์ตรวจตราของนิกายจันทราสวรรค์? อืม! ที่เจ้าพูดก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ช่างเถอะ! ไม่ว่านางจะเป็นใคร แต่ถ้ากลายเป็นศพล่ะก็ คงไม่มีปัญหาอะไรแล้ว รอผ่านไปอีกครึ่งปี งานใหญ่ของเผ่าเราก็เริ่มดำเนินการได้แล้ว พอถึงตอนนั้นต่อให้นิกายทั้งห้าจะรับรู้ข่าวอะไร ก็ไม่สามารถมาช่วยได้ทัน” ต่งไทเฮาพยักหน้า และกล่าวออกมาก่อนที่จะหัวเราะอย่างเยือกเย็น


“หวังว่าจะผ่านครึ่งปีนี้ไปได้อย่างราบรื่น” เสวียนจื้อได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปมา แต่สุดท้ายก็ฝืนยิ้มกล่าวออกมา


……


หลิ่วหมิงโอบร่างของหญิงสาวไว้ และพุ่งไปตามตรอกเงียบสงัดแห่งหนึ่ง ผ่านไปไม่นาน ก็ห่างออกจากพระราชวังไปไกลขึ้นเรื่อยๆ และกระโจนเข้าป่าไผ่ขนาดเล็กที่อยู่ระหว่างถนนสองสาย


ในป่าไผ่มีศาลาหินขนาดไม่ใหญ่มากอยู่หลังหนึ่ง นอกจากถนนเล็กๆ สองสายแล้ว ก็ไม่มีถนนสายอื่นอีก


เขาได้ดูสถานที่แห่งนี้ไว้ก่อนแล้ว ไม่เพียงแต่มันจะเปล่าเปลี่ยวเป็นพิเศษ ทั้งยังไม่มีคนเดินผ่านในตอนกลางคืนอย่างแน่นอน


พอเข้าไปในศาลาหิน เขาก็วางหญิงสาวไว้บนพื้น หลังจากนั้นก็ยื่นมือไปดึงหน้ากากของนางออก


เผยให้เห็นใบหน้างดงามของหญิงสาววัยยี่สิบกว่าปีที่ขาวราวกับหยก แต่ตอนนี้แก้มทั้งสองแดงเข้ม ริมฝีปากดำคล้ำ และแตกแห้ง


ใจหลิ่วหมิงดิ่งลึกลงไปในทันที และเอามือแตะหน้าผากนางอย่างรวดเร็ว


……………………………………….


ตอนที่ 204 ต่อสู้กับเผ่าเจ้าสมุทร

โดย

Ink Stone_Fantasy

หน้าผากนางร้อนราวกับเตาหลอม!


หลิ่วหมิงขมวดคิ้วทันที เขากวาดสายตามองดูริมฝีปากอันดำคล้ำของนางทีหนึ่ง แล้วพลันหยิบกระบี่สั้นสีเขียวออกมา และกรีดนิ้วของนางทันที ทันใดนั้นโลหิตสีดำก็หยดลงมาหนึ่งหยด มันโชยกลิ่นแปลกประหลาดบางอย่าง


ขณะนี้ สีหน้าเขาค่อยๆ เปลี่ยนไป


หลังจากที่เขาลังเลเล็กน้อยแล้ว ก็หยิบขวดโอสถออกมาสองสามใบ และใส่โอสถต่างๆ ลงในปากของนาง จากนั้นก็ใช้มือยกคางของนางนั้น เพื่อให้นางกลืนโอสถลงไปโดยที่ยังหมดสติอยู่


เมื่อจัดการเรียบร้อยแล้ว หลิ่วหมิงก็เก็บขวดโอสถเข้าไป และหยิบยันต์มาแปะบนตัวหญิงสาวผืนหนึ่ง


“ฟู่!” ม่านแสงสีขาวจางๆ ปรากฏขึ้นบนร่างของหูชุนเหนียง มันปกคลุมนางไว้อย่างแน่นหนา


ขณะนี้ เขาถึงค่อยๆ หันไปมองทางด้านหนึ่งของป่าไผ่อันมืดมิด และกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ


“ท่านทั้งสองช่างอดทนได้ดียิ่งนัก ตามข้ามาถึงที่นี่แล้วยังไม่ยอมลงมืออีก?”


“หืม! เจ้าสามารถมองเห็นวิชาซ่อนตัวของพวกข้าได้ ดูท่าพวกเราคงจะประมาทเจ้าไปหน่อย พี่เว่ย พวกเราแสดงตัวเถอะ!” น้ำเสียงแหบแห้งของชายผู้หนึ่ง ดังออกมาจากในป่าไผ่ด้วยความตกใจ หลังจากที่มีแสงสีฟ้าเปล่งประกายออกมา ชายสวมชุดคลุมยาวสีเทาสองคนก็เดินเข้ามา


คนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ บุคลิกลักษณะองอาจห้าวหาญ ใบหน้าหล่อเหลา อีกคนหนึ่งรูปร่างเตี้ยแคระ ใบหน้าสีขาวเต็มไปด้วยจุดด่างดำ และดูอัปลักษณ์ยิ่งนัก


แต่พอคนทั้งสองที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มายืนอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิง ทำให้เขาความรู้สึกว่า พวกเขาสอดคล้องกันอย่างแปลกประหลาด


พอหลิ่วหมิงฉากนี้ สีหน้าเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป


“เจ้าไม่ต้องคิดที่จะช่วยนางแล้ว นางถูกพิษแปลกประหลาดที่แฝงอยู่ในเคล็ดวิชาของพวกเราทั้งสอง นอกจากพวกเราจะถอนพิษให้แล้ว ก็ไม่มีโอสถไหนถอนพิษได้อีก โอสถของเจ้าเหล่านี้ มีแต่จะทำให้นางเจ็บปวดขึ้นกว่าเดิม” ชายผู้มีหน้าตาหล่อเหลามองหูชุนเหนียงทีหนึ่ง แล้วกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ


“เฮ่อๆ! พี่เว่ยกล่าวได้ถูกต้อง ถ้าเจ้าไม่อยากมีจุดจบเช่นเดียวกับนางล่ะก็ ทางที่ดีควรจะหักคอของตัวเองซะ พวกข้าทั้งสองจะได้ไม่เปลืองแรง” พอชายที่มีรูปร่างเตี้ยแคระเอ่ยปาก คำพูดโหดร้ายก็เปล่งออกมา เขาคือผู้ที่มีน้ำเสียงแหบแห้งในก่อนหน้านั้น


“อย่างนี้ก็แสดงว่า พวกเจ้าจะต้องมีโอสถถอนพิษอย่างแน่นอน และก็หมายความว่าเพียงฆ่าพวกเจ้าทั้งสองได้ ก็สามารถช่วยสหายข้าได้แล้ว” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้สีหน้าเขาก็ยังไม่เปลี่ยน แต่กลับหรี่ตากล่าวออกมา


“อะไรนะ! เจ้าจะฆ่าพวกข้า ลำพังแค่เจ้าคนเดียวนี่นะ?” ชายรูปร่างเตี้ยแคระเปล่งเสียงหัวเราะอันน่าเกลียดออกมา และกล่าวด้วยสีหน้าดูถูก


แม้ว่าชายหน้าตาหล่อเหลาจะไม่ได้กล่าวอะไรออกมา แต่ดูจากแววตาเยาะเย้ยแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องน่าขันสำหรับเขา


“ที่นี่ยังอยู่ในเสวียนจิง การที่จะจัดการศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายสองคนในอึดใจเดียว ดูท่าคงต้องจัดการอย่างรวดเร็ว” หลิ่วหมิงพูดพึมพำออกมาอย่างไม่สนใจ จากนั้นมือข้างหนึ่งก็ดึงถุงหนังสองใบออกมา แล้วโยนออกไปด้านหน้า


“ฟู่!” “ฟู่!” ถุงหนังทั้งสองหมุนติ้วๆ กลางอากาศ จากนั้นก็มีเงาร่างสีขาว สีดำ สองกลุ่มพุ่งออกจากถุงหนังแต่ละใบ หลังจากที่มันหล่นลงพื้นคนละฝั่งแล้ว ก็กลายเป็นแมงป่องกระดูกขาวขนาดใหญ่ ยาวหลายฉื่อ กับหัวบินที่มีผมเผ้ากระเซิง และมีเขาสีเขียวอยู่บนหัว


“นี่คืออะไรกัน? ระวังตัวหน่อย ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กนี้คงไม่ได้รับมือง่ายๆ” เห็นได้ชัดว่าทั้งสองไม่รู้จักแมงป่องกระดูกขาวกับหัวบิน พอเห็นพวกมันแล้ว ทั้งสองก็อึ้งไปเล็กน้อย แต่ชายหน้าตาหล่อเหลา รับรู้ถึงกลิ่นไออันแข็งแกร่งที่แผ่ออกมาจากทั้งสอง เขาก็รีบเตือนคู่หูด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป


“ถึงเจ้าไม่พูดข้าก็รู้ ดูท่าถ้าลงมือแค่คนเดียวคงไม่อาจจัดการเขาได้ พวกเราคงต้องร่วมมือกันเหมือนเดิม” ชายร่างเตี้ยแคระสังเกตดูแมงป่องกระดูกขาว กับหัวบินอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวด้วยความรู้สึกเย็นยะเยือก จากนั้นก็หยิบเปลือกหอยสีเงินออกมาจากแขนเสื้อ


ส่วนชายหน้าตาหล่อเหลา ก็พลิกฝ่ามือทั้งสองขึ้น จากนั้นกระบองสั้นสีเขียวอ่อนก็ปรากฏขึ้นบนมือทั้งสอง


แต่ขณะนั้นเอง ดวงตาของหัวบินก็เปล่งประกายดุร้ายออกมา และชิงลงมือก่อน


หัวปีศาจตนนี้แค่สะบัดหัว ผมยาวทั้งหัวก็ตั้งตรงขึ้นมา และกลายร่างเป็นตาข่ายยักษ์พุ่งเข้าใส่ชายร่างเตี้ยแคระ


ในขณะเดียวกัน ทางด้านแมงป่องกระดูกขาวก็กระแทกหางตะขอลงพื้น และกลายเป็นเงาร่างกระโจนเข้าใส่ชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลา


ไม่ว่าจะเป็นหัวบินหรือแมงป่องกระดูกขาว ล้วนแสดงออกได้โหดเหี้ยมกว่าที่ทั้งสองคิดไว้มาก


“ใช้วิชาประสานพลัง! ชายร่างเตี้ยแคระเห็นเช่นนี้ก็ตะโกนเสียงต่ำออกมา และกระตุ้นเปลือกหอยในมือทันที แสงสีฟ้ากลุ่มใหญ่ม้วนตัวออกไป หลังจากที่มันพร่ามัว ก็กลายเป็นม่านวารีหนาๆ ปกคลุมทั้งสองไว้


และในขณะเดียวกัน ชายใบหน้าหล่อเหลาก็สูดหายใจเข้าไปลึกๆ ก่อนที่จะโบกสะบัดกระบองสั้นในมือ คลื่นอักขระสีเขียวกระเพิ่มออกไปเป็นวงกลมซ้อนกันหลายวง พริบตาเดียวก็จมหายเข้าไปในม่านวารี


ครู่ต่อมา ผลึกแสงสีเขียวก็เปล่งประกายขึ้นบนพื้นผิวของม่านวารี


และขณะนี้ แมงป่องกระดูกขาวได้กระโจนมาถึงหน้าม่านวารีแล้ว มันอ้าปากพ่นหมอกพิษสีม่วงออกไป จากนั้นก็สะบัดหางตะขอ ก่อนที่จะมีเส้นสีดำพุ่งออกมาสิบกว่าเส้น ท่ามกลางเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น


“ฟู่!”


พอหมอกสีม่วงพ่นลงบนผิวม่านวารี ผลึกแสงสีเขียวบนนั้น ก็สึกกร่อนไปกว่าครึ่งหนึ่ง


จากนั้นเส้นสีดำสิบกว่าเส้น ก็พุ่งเข้าไปโจมบนพื้นที่สึกกร่อนนั้น


“ฉึกๆ!” ไม่เพียงแต่ผลึกสีเขียวจะถูกทำลายจนแตกกระจายออกมา แม้แต่ม่านวารีก็ถูกโจมตีจนสั่นไหวอยู่ไม่หยุด


แมงป่องกระดูกขาวชูก้ามยักษ์ทั้งสองโจมตีม่านวารีอย่างรุนแรง หลังจากนั้นก็พุ่งเข้าไปในม่านวารีอย่างพร่ามัว พริบตาเดียวก็กระโจนมาถึงหน้าชายใบหน้าหล่อเหลา


“เป็นไปไม่ได้!”


ดูเหมือนว่าชายใบหน้าหล่อเหลา ไม่อยากจะเชื่อภาพที่เห็นตรงหน้า


วิชาการป้องกันนี้ เกิดจากการประสานพลังของพวกเขาทั้งสอง บวกกับอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางในมือ ถึงแสดงมันออกมาได้


โดยปกติแล้ว ต่อให้จะเผชิญหน้ากับศิษย์จิตวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบสามสี่คน ก็สามารถรับมือไว้ได้ แต่ในตอนนี้มันไม่สามารถต้านทานแมงพิษตัวหนึ่งได้


เขารู้สึกลนลานเป็นอย่างมาก คิดที่จะหลบเลี่ยงก็คงหลีกไม่พ้น ทำได้แค่ไขว้กระบอกทั้งสองเข้าหากัน พร้อมกับป้องออกไปด้านหน้า และคำรามเสียงต่ำออกมา!


แสงสีฟ้าเปล่งประกายตรงร่างกายส่วนล่างของชายหนุ่ม จากนั้นมันก็กลายเป็นหางมัจฉาสีเขียว ขณะเดียวก็มีเกล็ดเล็กๆ โผล่ออกมาบนใบหน้าทั้งสองด้าน


หลังจากที่ชายใบหน้าหล่อเหลาแปลงร่าแล้ว พลังเวทย์ภายในร่างก็เพิ่มขึ้นเกือบครึ่งหนึ่ง พอกระบองทั้งสองไหว้เข้าหากัน แสงสีเขียวก็สว่างมากขึ้นกว่าเดิม


“เพล้ง!”


แมงป่องกระดูกขาวปะทะเข้ากับกระบองสั้นทั้งสอง จนร่างของมันกระเด็นไปโดนผนังม่านวารีอย่างแรง


หลังจากแมงป่องกระดูกขาวส่งเสียงร้องประหลาดออกมา และกลิ้งตัวไปรอบหนึ่งแล้ว ก็กระโจนเข้ามาใหม่อย่างโหดเหี้ยม


ครั้งนี้ชายใบหน้าหล่อเหลาไม่กล้าประมาทมันอีก เขารีบโบกสะบัดกระบองสั้นในมือจนกลายเป็นกลุ่มแสงสีเขียว พุ่งเข้าต่อสู้กับแมงป่องกระดูกขาว


อีกด้านหนึ่ง ชายร่างเล็กก็กระตุ้นเปลือกหอยสีเงินอย่างบ้าคลั่ง และแอบร้องทุกข์อยู่ไม่หยุด


ตาข่ายยักษ์ที่หัวบินกลายร่างมา ได้ปกคลุมม่านวารีไว้โดยสมบูรณ์ ถึงแม้จะถูกยกขึ้นไปได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่แสงสีเขียวบนตายข่ายก็เปล่งประกายปะทะกับม่านวารีด้วยเสียงดัง “ซื้ด!” ไอสีเขียวบางส่วนแทรกซึมเข้าไปในม่านวารี และกัดกร่อนพลังการป้องกันของม่านวารีอยู่ไม่หยุด


ในขณะเดียวกัน หัวบินเองก็เคลื่อนไหวเข้ามาใกล้ม่านวารี และอ้าปากยื่นลิ้นยาวออกมาหวดใส่ม่านวารีอยู่ไม่หยุด ราวกับมันเป็นแส้


ม่านวารีสั่นสะท้าน จนดูเหมือนจะสลายไปได้ในทุกขณะ


ภายใต้ความตกใจ ชายร่างเตี้ยแคระทำได้เพียงแต่กลายร่างเป็นมัจฉา และกระตุ้นหอยสีเงินอยู่ไม่หยุด แม้ว่าเขาอยากจะหยิบอาวุธอย่างอื่นออกมา หรือเปลี่ยนเคล็ดวิชาที่ใช้ในการรับมือ ก็ไม่สามารถทำได้


มิเช่นนั้น ถ้าพลังเวทย์ที่ส่งเข้าไปในเปลือกหอยลดน้อยลงล่ะก็ ม่านวารีก็จะสลายในทันที


ขณะนี้ หลังจากที่ขายใบหน้าหล่อเหลาโจมตีแมงป่องกระดูกขาวจนล่าถอยออกไปอีกครั้ง ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก และรีบอ้าปากพ่นธงเล็กๆ สีฟ้าออกมา


เขาใช้กระบองทั้งสองโจมตี จนแมงป่องกระดูกขาวกระเด็นออกไป พอบีบให้มันถอยไปได้แล้ว ก็คว้าธงเล็กไว้แน่น และกระตุ้นมันด้วยสีหน้าน่าเกลียดน่ากลัว


แต่ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงระเบิดดังมาจากหน้าศาลาหินที่หลิ่วหมิงยืนนิ่งอยู่


ชายใบหน้าหล่อเหลาเพียงแค่รู้สึกว่า มีเสียงสีเขียวเปล่งประกายขึ้นตรงหน้า จากนั้นคมวายุยักษ์ยาวจั้งกว่าๆ ก็พุ่งเข้าใกล้ตัวเขา


“แย่แล้ว!”


ชายใบหน้าหล่อเหลาตกใจจนหน้าถอดสี ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีทางเลี่ยง เขาทำให้แค่ปักธงสีฟ้าลงบนตัวอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน เอวเขาก็เคลื่อนไหว ร่างของเขาดูโปร่งใสราวกับเป็นของเหลวในพริบตา


“ฟิ้ว!”


ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีอะไรขัดขวาง คมวายุฟันเข้าไปที่เอวของชายใบหน้าหล่อเหลา จนขาดออกมาเป็นสองส่วน


แต่ครู่ต่อมา ฉากอันน่าแปลกใจก็ได้ปรากฏขึ้น


แม้ว่าชายใบหน้าหล่อเหลา จะมีสีหน้าเจ็บปวดเป็นอย่างมาก แต่หลังจากที่คำรามเสียงต่ำออกมาแล้ว ร่างส่วนบนและส่วนล่างของเขาก็มาประกบกัน หลังจากบิดตัวในฉับพลัน มันก็เชื่อมติดกันเหมือนเดิมอย่างเหลือเชื่อ


จากนั้นแสงสีฟ้าก็เปล่งประกายออกมาจากรอยที่ขาดออกจากกัน แล้วร่างของชายหนุ่มก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิม และไม่มีรอยเลือดตรงเอวเลยแม้แต่น้อย


ชายใบหน้าหล่อเหลาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขาอ้าปากเพื่อจะพ่นธงเล็กๆ สีฟ้าในร่างออกมา


แต่ขณะนั้นเอง หูเขาก็พลันได้ยินเสียงดังราวกับยุงบินหึ่งๆ


เข็มแหลมเล็กสีเขียวเล่มหนึ่งเปล่งประกายออกมา และถือโอกาสที่ชายหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายนั้น พุ่งเข้าไปในหูของเขา จากนั้นมันก็ทะลุออกจากหูอีกด้าน


บังเกิดเสียงร้องอย่างเวทนา!


ชายใบหน้าหล่อเหลาล้มลงพื้นท่ามกลางไอสีดำเต็มใบหน้า และเสียชีวิตในทันที


พอชายร่างเตี้ยแคระเห็นฉากนี้ก็ตกใจจนขวัญกระเจิง ทันใดนั้นเขาก็กัดฟันพ่นโลหิตออกมาเป็นจำนวนมาก


แต่เขายังไม่ทันได้แสดงวิชาอะไร แมงป่องกระดูกขาวก็มาปรากฏตัวอยู่หน้า และอ้าปากพ่นหมอกสีม่วงใส่หน้าเขา


“อ๊ากกก!”


หอยสีเงินในมือของชายร่างเล็กทุบไปยังแมงป่องกระดูกขาวอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันมือทั้งสองก็ยกขึ้นมาป้องหน้าในทันที ร่างของเขาพร่ามัวกลายเป็นเงาร่างเจ็ดแปดเงาพุ่งหนีไปทั่วทิศ


แต่ขณะนั้นเอง พลันมีเงาร่างเคลื่อนไหวขึ้นตรงหน้า หลิ่วหมิงมายืนขวางอยู่ตรงหน้าเขาด้วยความรวดเร็วราวกับปีศาจ เพียงแค่สะบัดกระบี่สั้นสีเขียวในมือ แสงเย็นสะท้านอันน่าสะพรึงก็ฟาดฟันออกไป และฟันเงาร่างจนขาดออกจากกัน


โลหิตสดๆ ไหลทะลักออกมาในพริบตา เงาร่างนั้นคือร่างที่แท้จริงของชายร่างเตี้ยแคระ


แต่ในขณะนี้ ร่างของเขาถูกฟันออกเป็นสองส่วน ก่อนที่จะตกลงไปในบ่อเลือด และไม่สามารถกระดิกตัวได้อีก


……………………………………….


ตอนที่ 205 หลบหนี

โดย

Ink Stone_Fantasy

ผู้ฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายของเผ่าเจ้าสมุทรทั้งสองคนนี้ นับว่าโชคร้ายเป็นอย่างมาก


เดิมทีทั้งสองไม่เพียงแต่จะฝึกฝนเคล็ดวิชาของเผ่าเจ้าสมุทรเท่านั้น ทั้งยังชำนาญวิชาประสานพลัง ต่อให้เผชิญกับผู้ที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขามาก ก็ยังสามารถป้องกันตัวได้อย่างเหลือเฟือ


แต่ดันมาเจอกับผู้ที่สามารถควบคุมได้ทั้งแมงป่องกระดูกขาว และหัวบินอย่างหลิ่วหมิง


เดิมทีทั้งสองสิ่งนี้ ต่างก็มีวิธีการโจมตีที่แปลกประหลาด พลังก็เหนือกว่าศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายสมบูรณ์แบบโดยทั่วไป และยังมีหลิ่วหมิงคอยจ้องเขมือบอยู่ข้างๆ


เท่ากับว่าพวกเขาสองคน ถูกศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายสมบูรณ์แบบสามคน ล้อมโจมตี


และในตอนแรกพวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจหลิ่วหมิง นอกจากพวกเขาจะได้ประสานพลังแสดงวิชาป้องกันตัวตอนแรกแล้ว ตอนหลังก็ถูกหัวบินกับแมงป่องกระดูกขาวโจมตี จนไม่ทันได้แสดงวิชาอื่นๆ ออกมารับมือ


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาจึงถูกหลิ่วหมิงคว้าโอกาสนี้ ใช้เข็มเงาหยกลอบโจมตี แล้วมันจะไม่พ่ายแพ้จนเสียชีวิตอย่างรวดเร็วได้อย่างไร


หลิ่วหมิงมองไปยังท่อนล่างที่เป็นหางมัจฉาของทั้งสอง แล้วก็ขมวดคิ้วกล่าวออกมา


“ไม่คิดว่าจะเป็นเผ่าเจ้าสมุทร? ครั้งนี้คงเกิดเรื่องยุ่งยากเข้าแล้วจริงๆ”


แม้เขาจะกล่าวเช่นนี้ แต่กลับเคลื่อนตัวไปที่ข้างศพทั้งสอง และก้มตัวลงค้นร่างของพวกเขาไปหนึ่งรอบ ผลลัพธ์คือไม่เพียงแต่จะได้เปลือกหอยสีเงิน ธงเล็กสีฟ้า กับกระบองสั้นสองอัน แต่ยังค้นเจอถุงหนังสองใบ กับขวดโอสถจำนวนมาก และมุกสีดำไม่ทราบชื่อเม็ดหนึ่ง


หลิ่วหมิงเลือกขวดโอสถออกมาหลายใบ แล้วเปิดจุกขวดแต่ละใบ ก่อนนำมาดมเบาๆ จากนั้นก็ปัดขวดสามใบออกไป และหยิบอีกสองใบที่เหลือกลับไปหาหูชุนเหนียง


ขณะนี้หญิงสาวยังคงหมดสติอยู่ในม่านแสง และลมหายใจแผ่วเบากว่าก่อนหน้านั้นมาก


ใจหลิ่วหมิงเย็นยะเยือกลงในทันที เขาเคลื่อนไหวเข้าไปในม่านแสงโดยไม่มีสิ่งใดมาขัดขวาง


พอสะบัดข้อมือ แสงเย็นสะท้านก็เปล่งประกายออกมา!


เขาใช้กระบี่สั้นกรีดข้อมือหญิงสาวจนเป็นแผลยาวชุ่นกว่าๆ สองแผล และโลหิตสีดำก็ไหลออกมาในทันที


หลิ่วหมิงเทโอสถสีเหลือง และสีแดงออกมาจากขวดทั้งสองอย่างละเม็ด หลังจากที่บีบจนละเอียดแล้ว ก็แยกกันโรยลงบนปากแผลทั้งสอง จากนั้นก็จ้องมองตาไม่กะพริบ


ผ่านไปไม่นาน แผลที่ถูกผงโอสถสีเหลืองปกคลุมอยู่ ก็ยังมีโลหิตสีดำค่อยๆ ไหลออกมา โดยไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย และโลหิตสีดำที่ถูกผงโอสถสีแดงปกคลุมอยู่ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงขึ้นมา ขณะเดียวกันกันกลิ่นคาวเลือดก็เบาบางลงไปอย่างรวดเร็ว


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง เขารีบควักยันต์ผืนหนึ่งออกมาทันที หลังจากที่แปะลงบนข้อมือของหญิงสาวแล้ว บาดแผลทั้งสองก็ค่อยๆ ผสานเข้าหากันท่ามกันแสงสีเขียวจางๆ


ในขณะเดียวกัน เขาก็เทโอสถสีแดงออกมาเม็ดหนึ่ง แล้วยัดเข้าไปในปากของนาง และทำให้นางกลืนลงไป


ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป ลมหายใจของหูชุนเหนียงก็คงที่ ขณะเดียวกันริมฝีปากดำคล้ำก็ดูเหมือนจะจางลงไปเล็กน้อย


ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงได้รู้สึกวางใจขึ้นมา


เขาเก็บขวดโอสถเข้าไปทันที และหมุนตัวเดินออกมาจากม่านแสง จากนั้นก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นปล่อยลูกเปลวไฟเผาร่างของชายหนุ่มใบหน้างดงาม จนกลายเป็นขี้เถ้าในทันที


แต่พอเขาคิดที่จะใช้วิธีเดียวกัน จัดการกับร่างของชายร่างเตี้ยแคระ ก็พลันนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้


หลิ่วหมิงดึงกระบี่สั้นออกมาจากแขนเสื้อ ทันทีที่แสงเย็นสะท้านเปล่งประกายออกมา เขาก็ตัดร่างของชายร่างเตี้ยในส่วนที่เป็นหางมัจฉาออก


จากนั้นก็ก้าวไปด้านหน้า และหยิบยันต์เก็บของที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียวออกมาจากอก พอเขาโบกมันไปทางหางปลา มันก็กลายเป็นแสงสีขาวดูดหางปลาเข้าไปในนั้น


เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว เขาถึงมีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นมา เขายกมืออีกข้างปล่อยลูกเปลวไฟเผาซากศพที่เหลือจนกลายเป็นขี้เถ้า


แต่พอเขาหันตัวเพื่อจะเดินไปยังศาลาหินนั้น สีหน้าเขาก็พลันเปลี่ยนไป และหันไปยังด้านหนึ่งของป่าไผ่ด้วยสีหน้าแปลกใจ


“มีคนมาอีกแล้วหรือ? ดูท่าจะพุ่งมาทางนี้ด้วย นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น หรือว่ามีคนวางอะไรไว้บนตัวหูชุนเหนียง?”


หลิ่วหมิงกล่าวพึมพำไปไม่กี่ประโยค จากนั้นก็เคลื่อนไหวอย่างพร่ามัว แล้วมาปรากฏตัวตรงหน้าหญิงสาว ขณะเดียวกันก็ชี้นิ้วไปในอากาศ


ม่านแสงที่ปกคลุมหญิงนางนี้อยู่ หายไปอย่างไร้ร่องรอย


หลิ่วหมิงก้มตัวนำหญิงสาวมากอดไว้ และควักยันต์สีเหลืองออกมาผืนหนึ่ง หลังจากที่ความเจ็บปวดเผยออกมาบนใบหน้า เขาก็แปะยันต์ลงบนตัว


“ฟู่!” ยันต์ระเบิดออกมา อักขระสีเหลืองจำนวนมากทะลักออกมาจากในนั้น พริบมาเดียวมันก็ห่อหุ้มหลิ่วหมิงกับหญิงสาวไว้


เขาทำท่ามือด้วยมือเดียว หลังจากที่แสงสีเหลืองเปล่งประกายขึ้นที่ใต้เท้า ร่างของเขากับหูชุนเหนียงก็จมหายเข้าไปใต้ดินอย่างไร้ร่องรอย


นี่คือยันต์ดำดินที่เขาซื้อมาเกือบพันหินจิตวิญญาณ


ถึงแม้มันจะแสดงผลลัพธ์ได้ไม่นาน และเมื่อลงไปใต้ดินแล้ว ก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้เร็วมากนัก ขณะเดียวกันยังมีข้อเสียอื่นๆ อีกมาก แต่นำมาใช้ในเวลาเช่นนี้ นับว่าเป็นวิธีการหลบหนีศัตรูได้ดีที่สุด


ขณะที่หลิ่วหมิงดำลงดินพร้อมกับแสงสีเหลืองที่ปกคลุม และพาหญิงสาวค่อยๆ เคลื่อนไหวไปนั้น สุนัขจิ๋วสีเหลืองทองตัวหนึ่งก็กระโจนเข้ามาจากป่าไผ่ หลังจากที่มันส่งเสียงออกมา เงาร่างคนเจ็ดแปดคนก็ตามติดเข้ามา


พวกเขาก็คือชิวหลงจื่อกับลูกน้องคนสนิทของเขา


ขณะนี้ สุนัขสีเหลืองทองเดินวนอยู่ในศาลาหิน ตรงจุดที่หญิงสาวเอนกายในก่อนหน้านี้ มันเดินวนอยู่หลายรอบ จากนั้นก็กระโจนไปยังจุดที่หลิ่วหมิงดำดินลงไปโดยฉับพลัน หลังจากที่ใช้กรงเล็บเขี่ยคุ้ยดินบริเวณนั้นแล้ว ก็หันหน้าเห่าไปทางชิวหลงจื่อและคนอื่นๆ


“เกิดอะไรขึ้น หรือว่าสุนัขพันลี้จะติดตามพลาด” ผู้ฝึกฝนคนหนึ่งเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวด้วยความแปลกใจ


“จมูกของสุนัขพันลี้รับรู้ได้เฉียบไวเช่นนี้ ในสถานปกติมันย่อมไม่พลาดอย่างเด็ดขาด ดูจากท่าทางของสุนัขพันลี้ คนทั้งสองน่าจะอยู่ที่นี่สักพักหนึ่ง จากนั้นกลิ่นไอก็หายเข้าไปในดิน ดูท่าสองคนนั้นคงหลบหนีไปทางใต้ดิน” ดูเหมือนชิวหลงจื่อจะคุ้นเคยกับท่าทีของสุนัขพันปีเป็นอย่างมาก เขามองไปแค่สองทีก็พูดออกมาอย่างเฉียบขาด


“หนีไปทางใต้ดิน ทั้งสองคนนี้มีความสามารถในวิชาดำดินด้วยหรือ!” ผู้ฝึกฝนอีกคนได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก


“ฮึ! ใยต้องมีวิชาดำดินด้วยเล่า เพียงแค่ใช้ยันต์ดำดินก็สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ ดูท่าพวกเราคงได้แต่รอไปก่อน ข้าไม่เชื่อว่า พวกเขาจะใช้ยันต์ดำดินหนีออกไปจากเสวียนจิงได้” ชิวหลงจื่อกล่าวอย่างมีแผนในใจ


“ใต้เท้าชิวกล่าวได้มีเหตุผล พวกเราก็รออยู่ที่นี่สักพักเถอะ เอ๋! ดูจากสภาพของสถานที่นี้แล้ว เหมือนว่าสองคนนั่นจะเคยต่อสู้กับใครบางคนมาก่อน แต่การต่อสู้คงจะสิ้นสุดอย่างรวดเร็ว” ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมสีขาวพยักหน้า และกล่าวออกมา


คนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ ถึงค้นพบว่าพื้นดินบริเวณนั้นเละเทะนิดหน่อย และยังมีพื้นที่เป็นหลุมเป็นบ่ออยู่หลายแห่ง


คนที่มีพลังจิตค่อนข้างแข็งแกร่ง ใช้จิตรับรู้กวาดดูอากาศบริเวณนั้น ก็รับรู้ถึงคลื่นของกลิ่นไอจิตวิญญาณที่เหลืออยู่ เขาจึงพยักหน้าเห็นด้วย


ชิวหลงจื่อกวาดสายตามองบนพื้นแล้ว ก็คว้ามือข้างหนึ่งไปในอากาศ ทันใดนั้นสิ่งของบางอย่างก็พุ่งขึ้นมาจากดิน และมาอยู่ในมือเขาอย่างรวดเร็ว


มันคือเกล็ดสีเขียวเกล็ดหนึ่ง!


ผู้บัญชาการแขกระดับจิตวิญญาณทองคำเพียงแค่สังเกตดูเกล็ดนี้ไม่กี่ที จากนั้นก็เอามันมาดมเบาๆ แล้วสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปในทันที


“ใต้เท้าชิว ท่านค้นพบอะไรหรือ?” หนึ่งในคนสนิทของเขาเห็นเช่นนี้ ก็ถามออกไปอย่างอดไม่ได้


“ไม่มีอะไร ไม่ใช่ของสำคัญอะไร ข้าเพียงแต่คิดว่าคนที่ต่อสู้กับสองคนนี้ ใช่คนที่ส่งออกมาในก่อนหน้าหรือไม่?” ดูเหมือนชิวหลงจื่อจะเก็บเกล็ดสีเขียวเข้าไปเสื้ออย่างไม่ใส่ใจ และกล่าวด้วยสีหน้าปกติ


“คงไม่ใช่หรอกมัง ถ้าเป็นคนของพวกเราจริงๆ คงส่งสัญญาณขอกำลังสนับสนุนตั้งนานแล้ว ทำไมถึงต้องทำเรื่องให้ตนเองตายอย่างไร้ศพด้วยเล่า?” ผู้ฝึกฝนอีกคนกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“อืม! หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น ผู้ที่บุกเข้าวังทั้งสองคนนี้ ไม่ใช่คนธรรมดา มิเช่นนั้นคงไม่อาจหลุดจากวงล้อมการโจมตี และหนีออกจากวังได้ อีกประเดี๋ยวพอปิดกั้นพวกเขาได้ ทุกท่านต้องตั้งสติให้ดี อย่าได้ประมาทเป็นอันขาด” ชิวหลงจื่อกำชับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“ใต้เท้าวางใจเถอะ! พวกเราไม่เหมือนกับพวกไร้ประโยชน์เหล่านั้น จะไม่ทำผิดพลาดเหมือนพวกเขาเด็ดขาด”


“ถูกต้อง! ใต้เท้าชิว อีกเดี๋ยวพอเจอสองคนนั้น พวกข้าจะไม่เสียเวลา และทำการกระตุ้นธงหยุดวิญญาณล้อมพวกมันทั้งสองไว้”


พอคนสนิทของชิวหลงจื่อได้ยินเช่นนี้ ก็กล่าวออกมาราวกับเป็นเรื่องตลก


ชิวหลงจื่อพยักหน้า แล้วเดินไปยังศาลาหินก่อนที่จะนั่งลงพักผ่อนบนหินก้อนหนึ่ง


……


ขณะนี้ หลิ่วหมิงอยู่ห่างจากป่าไผ่เจ็ดแปดลี้ ด้านหนึ่งเขากระตุ้นพลังของยันต์ให้ค่อยๆ ทะลวงไปตามพื้นดิน อีกด้านหนึ่งก็ใช้มือที่เปล่งประกายแสงสีดำ ค้นตามตัวหญิงสาวอยู่ไม่หยุด เพื่อหาอะไรบางอย่าง


ผ่านไปซักพักเขาถึงได้หยุดมือลง และกล่าวกับตนเอง


“แปลกจริง! ร่างของนางก็ไม่ได้มีเครื่องหมายติดตามอะไร อย่างนี้ก็หมายความว่า คนที่ตามมามีวิธีพิเศษอะไรบางอย่าง ที่สามารถรู้ตำแหน่งของหูชุนเหนียงได้ ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็คงต้องยุ่งยากหน่อยแล้ว”


ในขณะที่กล่าว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความลังเล ผ่านไปซักพัก ถึงสะบัดหน้าแล้วกล่าวพึมพำออกมา


“ช่างมันเถอะ! คงต้องลองดูซักตั้งแล้ว”


จากนั้นหลิ่วหมิงก็หยิบขวดขนาดต่างๆ ออกมาจากแขนเสื้อ เขาค่อยๆ เปิดจุกออก และราดลงบนตัวของหญิงสาว


ผงสีขาวถูกเทออกมาจากขวดใบแรกอย่างรวดเร็ว อีกใบกลับเทของเหลวใสๆ ออกมา ขวดสุดท้ายแผ่หมอกควันสีดำที่มีกลิ่นฉุนแสบจมูกออกมา


พริบตาเดียว ของทั้งสามอย่างก็จมหายเข้าไปในร่างของหลิ่วหมิงกับหญิงสาวอย่างไร้ร่องรอย


เมื่อทำทุกอย่างที่ว่ามานี้เสร็จแล้ว สีหน้าของหลิ่วหมิงถึงค่อยๆ ผ่อนคลายขึ้นมา


พอเขาทะลวงไปได้สิบกว่าลี้ ม่านแสงสีเหลืองที่ปกคลุมอยู่ก็ค่อยๆ อ่อนพลังลง เวลานั้นหลิ่วหมิงรีบทำท่ามือด้วยมือเดียวอย่างไม่ลังเล และพาหญิงสาวพุ่งขึ้นไปด้านบน


หลังจากแสงสีเหลืองเปล่งประกายออกมา หลิ่วหมิงก็พาหญิงสาวมาปรากฏตัว ณ มุมถนนแห่งหนึ่ง


ขณะนี้ท้องฟ้าดำมืด บนถนนทั้งสายเงียบสงัด ไร้เงาร่างของผู้คน


หลิ่วหมิงสังเกตดูรอบด้านซักพักหนึ่ง เมื่อมั่นใจว่าไม่มีกับดักอะไรอยู่บริเวณนั้น ก็ควักยันต์ซ่อนตัวออกมาสองผืน และแปะลงบนตัวเขากับหญิงสาว จากนั้นก็กลายเป็นเงาร่างจางๆ จนเกือบมองไม่เห็น พร้อมกับพุ่งไปยังเขาเซียนทอแสงอย่างรวดเร็ว


……………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)