อัจฉริยะสมองเพชร 2018-2020

 ตอนที่ 2018 ฝึกฝนให้ดีนะ

ดูเหมือนเราต้องรับเธอเป็นศิษย์เสียแล้ว! จางเซวียนถอนหายใจอย่างจนปัญญา


การที่ไป๋เหรินชิงจะได้ร่ำเรียนศิลปะเพลงดาบ 2-3 ชนิดจากเขาโดยไม่ได้ยอมรับเขาเป็นอาจารย์นั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร จางเซวียนไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ แต่เขาไม่อาจทำแบบเดียวกันกับเคล็ดวิชาเทียบฟ้าได้ มันเป็นหนึ่งในความลับสุดยอดของจางเซวียน และเขาจะไม่ละเลยอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับมัน


ด้วยเหตุนี้ จางเซวียนจึงตั้งใจว่าจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาเทียบฟ้าเฉพาะฉบับเรียบง่ายเท่านั้นให้กับบรรดาศิษย์สายตรงของเขา


แม้ไป๋เหรินชิงจะหุนหันพลันแล่นไปบ้างในบางครั้ง แต่เขาก็ดูออกว่าเธอเป็นคนมีน้ำใจ เธอจะไม่โอนเอนจากหลักการของตัวเอง และทันทีที่พบเป้าหมาย ก็จะพุ่งเข้าใส่และพากเพียรอย่างไม่ลดละ


ด้วยเหตุนี้ จางเซวียนจึงไม่ลำบากใจนักที่จะรับเธอเป็นศิษย์สายตรง


ในเวลานี้ เคล็ดวิชาเทียบฟ้าขั้นอมตะตัวจริงยังมีข้อบกพร่องอยู่ 7 ข้อ ถึงเราจะไม่อยากฝึกฝนอะไรแบบนี้ แต่อย่างน้อยก็น่าจะดีกว่าสิ่งที่ไป๋เหรินชิงเคยฝึกฝนก่อนหน้านี้มาก จางเซวียนคิด


ถึงเคล็ดวิชาเทียบฟ้าของวรยุทธขั้นอมตะตัวจริงจะยังคงไม่สมบูรณ์แบบ แต่อย่างน้อยก็เป็นเทคนิควรยุทธที่ครบถ้วน ในแง่ของคุณภาพ มันเทียบได้กับเคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับเรียบง่ายที่เขาเคยถ่ายทอดให้ศิษย์สายตรงคนอื่นๆเลยทีเดียว


แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะจางเซวียนไม่อยากถ่ายทอดเคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับสมบูรณ์ให้เหล่าสิทธิ์สายตรงของเขา แต่เขาเป็นเพียงคนเดียวในโลกนี้ที่สามารถฝึกฝนมันได้


จางเซวียนส่งโทรจิตหาไป๋เหรินชิงอย่างไม่ลังเล “ผมแก้ไขวิกฤติตอนนี้ให้คุณได้ แต่คุณจะต้องยอมรับผมเป็นอาจารย์เสียก่อน เพื่อที่ผมจะได้ถ่ายทอดเทคนิควรยุทธส่วนตัวของผมให้คุณ!”


“ศิษย์ไป๋เหรินชิงคารวะท่านอาจารย์!” ไป๋เหรินชิงรีบทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นและร้องออกมา


เธออยากรับจางเซวียนเป็นอาจารย์นานแล้ว แต่อีกฝ่ายไม่เคยพูดถึงเรื่องนั้น เธอจึงไม่รู้ว่าจะหาโอกาสไถ่ถามอย่างไร


ในเมื่อสุดท้ายโอกาสก็มาอยู่ตรงหน้า เธอจึงรีบคว้าไว้อย่างไม่ลังเล


“ดี นี่คือเทคนิควรยุทธของผม ฝึกฝนให้ดีนะ!”


หลังจากยอมรับการคารวะของไป๋เหรินชิงแล้ว จางเซวียนรีบปรับเปลี่ยนเคล็ดวิชาเทียบฟ้าให้เหมาะกับสภาวะร่างกายของอีกฝ่ายก่อนจะถ่ายทอดเข้าสู่หัวสมองของเธอ ในเวลาเดียวกัน ก็นำเข็มเงินจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา ถ่ายทอดพลังปราณเทียบฟ้าเข้าไปในเข็มเหล่านั้น ก่อนจะปักมันลงไปทั่วร่างของไป๋เหรินชิง


ฟึ่บ!


พลังจิตวิญญาณที่กำลังพลุ่งพล่านสงบลงทันทีด้วยการควบคุมของพลังปราณเทียบฟ้า ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดแสนสาหัสจากพลังงานเกินขนาดที่ไป๋เหรินชิงกำลังทุกข์ทรมานอยู่


“เทคนิควรยุทธนี้…”


ไป๋เหรินชิงรีบสำรวจเทคนิควรยุทธที่เพิ่งได้รับการถ่ายทอดมาทันที เธออดไม่ได้ที่จะหรี่ตาอย่างทึ่งจัด


เทคนิควรยุทธนี้มีพื้นฐานคล้ายคลึงกับที่เธอเคยฝึกฝนที่สำนักดาบเมฆเหิน แต่ล้ำลึกและทรงพลังกว่ามาก


ถ้าพลังจิตวิญญาณที่เธอสามารถซึมซับได้หลังจากขับเคลื่อนเทคนิควรยุทธเก่าของเธอเป็นลำธารสายเล็กๆ สำหรับเทคนิควรยุทธที่ได้มาใหม่นี้ เธอก็พอคาดการณ์ได้ว่าปริมาณของมันน่าจะไม่ต่างอะไรกับแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกราก


รู้ดีว่าเทคนิควรยุทธที่ได้มาใหม่จะช่วยชีวิตของเธอได้ ไป๋เหรินชิงรีบหลับตาและตั้งต้นฝึกฝนมัน


วรยุทธของเธอพุ่งพรวดทันที


อมตะตัวจริง ระดับล่าง!


อมตะตัวจริง ระดับสูง!


อมตะตัวจริง ปฐพี!


6 ชั่วโมงผ่านไป วรยุทธของเธอยังคงพุ่งพรวดอย่างไม่ลดละ จนในที่สุดก็เข้าถึงวรยุทธอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์!


“ในเมื่อคุณเป็นศิษย์ของผมแล้ว นับจากนี้ไปคุณจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของผม” จางเซวียนพูดอย่างเคร่งขรึม “อีกอย่าง คุณจะต้องไม่ถ่ายทอดเทคนิควรยุทธที่ผมเพิ่งถ่ายทอดให้คุณให้กับใครทั้งนั้น รวมถึงผู้อาวุโสไป๋เย่ด้วย ทำได้ใช่ไหม?”


“ฉันทำได้!” ไป๋เหรินชิงพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น


การที่หน้าหนังสือสีทองปรากฏขึ้นก็หมายความว่าไป๋เหรินชิงมีความสำนึกในบุญคุณอย่างจริงใจต่อตัวเขาและไม่น่าจะแพร่งพรายความลับใดๆออกไป จางเซวียนจึงไม่กังวลมากนัก


แนวคิดเรื่องความเป็นอาจารย์กับศิษย์นั้นมีความสำคัญในสำนักดาบเมฆเหินเช่นกัน ลูกศิษย์ถูกคาดหวังให้ทำตามคำสั่งของอาจารย์ และบุญคุณของการที่ท่านอาจารย์อบรมสั่งสอนก็ไม่ใช่สิ่งที่จะลืมเลือนกันได้


“ดี ตอนนี้ผมจะออกไปข้างนอกสักครู่ คุณอยู่ขัดเกลาวรยุทธที่นี่ไปก่อนก็แล้วกัน” จางเซวียนพูด


จากนั้นเขาก็เปิดประตูแล้วเดินออกไป


จางเซวียนได้ยาเม็ดอมตะขั้นสูงสำหรับการยกระดับวรยุทธมาแล้ว สิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้คือหาหนังสือเทคนิควรยุทธขั้นอมตะตัวจริงให้ได้มากขึ้นเพื่อประมวลขึ้นเป็นเคล็ดวิชาเทียบฟ้าฉบับสมบูรณ์


เป้าหมายของเขาในเวลานี้คือตลาดอู๋ไห่ ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะพอหาหนังสือที่ต้องการจากที่นั่นได้


แน่นอนว่าหนังสือเหล่านั้นย่อมมีราคาสูง แต่เขาไม่จำเป็นต้องซื้อ แค่ชำเลืองมองแล้วถ่ายโอนมันเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้าก็เป็นอันเรียบร้อย


จางเซวียนศึกษาแผนที่มาแล้ว จึงรู้ว่าตลาดอู๋ไห่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้มากนัก แม้ไม่ใช้อสูร หากเดินไปเรื่อยๆก็น่าจะกินเวลาเพียง 1 ชั่วโมง


สมกับที่เป็นตลาดของเมืองขั้น 1 ตลาดอู๋ไห่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน จางเซวียนเห็นผู้คนมากมายอยู่แถวนั้นตั้งแต่ยังเดินไปไม่ถึงตลาด


ชั้นล่างเป็นที่ทำมาหากินของพ่อค้าทั่วไป ขายของธรรมดาสามัญอย่างสมุนไพร สินแร่ล้ำค่า อาวุธ และอื่นๆ หลังจากกวาดสายตาดูโดยรอบ จางเซวียนก็ส่ายหน้าอย่างผิดหวัง


มีของปลอมอยู่เต็มไปหมด ต่อให้ไม่ใช้หอสมุดเทียบฟ้า เขาก็ดูออกอย่างง่ายดาย


อีกอย่าง ของส่วนใหญ่ยังมีวรยุทธต่ำกว่าขั้นเสมือนอมตะลงไป จึงไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย


จางเซวียนเดินเข้าไปหาพ่อค้าคนหนึ่งและยื่นเงิน 1 เหรียญสำนักดาบให้ “ไม่ทราบว่าในตลาดนี้มีที่ไหนขายหนังสือเทคนิควรยุทธบ้าง?”


“โดยปกติ หนังสือเทคนิควรยุทธจะเปิดขายเพื่อการประมูล” พ่อค้าตอบขณะรับเหรียญสำนักดาบไว้ด้วยความยินดี เพียงหนึ่งเหรียญสำนักดาบก็มากพอจะทำให้เขาอยู่สบายไปหนึ่งเดือนแล้ว!


“ไม่ต้องเป็นหนังสือเทคนิควรยุทธที่ลึกซึ้งนักก็ได้ แบบธรรมดาก็ใช้ได้เหมือนกัน” จางเซวียนเสริม


หนังสือเทคนิควรยุทธที่มีไว้เพื่อการประมูลน่าจะเป็นของล้ำค่า แต่สำหรับเขา ไม่ว่าเทคนิควรยุทธนั้นจะเป็นขั้นสูงหรือหายากขนาดไหนก็ไม่สำคัญ เพราะสิ่งที่เขาต้องการคือปริมาณ ไม่ใช่คุณภาพ


แน่นอนว่าเทคนิควรยุทธที่มีคุณภาพสูงกว่าย่อมมีข้อบกพร่องน้อยกว่า ซึ่งนั่นหมายความว่าจะสามารถประมวลขึ้นเป็นเคล็ดวิชาเทียบฟ้าที่สมบูรณ์แบบได้ง่ายขึ้น แต่ปัญหาก็คือจำนวนเทคนิคระดับนั้นมีน้อยเกินไป ไม่ควรค่าแก่การต้องเสียเวลาเสาะหา แถมราคาก็สูงลิ่วจนน่าสะพรึง


“เทคนิควรยุทธแบบธรรมดาก็ได้หรือ? ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ ที่คลังความรู้ไร้ขีดจำกัดมีหนังสือพวกนั้นอยู่เยอะแยะ จ่ายแค่ 1 เหรียญสำนักดาบ คุณก็สามารถอ่านหนังสือทุกเล่มที่ต้องการได้ที่นั่น แต่หนังสือเทคนิควรยุทธในนั้นค่อนข้างจะธรรมดา แม้แต่ผมก็ยังไม่อยากฝึกฝนมัน พวกเราส่วนใหญ่ไปที่นั่นเพื่ออ่านหนังสือทำนองนั้นมากกว่า” พ่อค้าตอบด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย


ในเมื่อชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาสามารถให้ทิปเป็นเงิน 1 เหรียญสำนักดาบได้ง่ายๆ อีกฝ่ายก็น่าจะเป็นศิษย์สายตรงฝ่ายใน หรือแม้แต่ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด!


เพราะฉะนั้น ความคาดหวังเรื่องเทคนิควรยุทธของเขาจึงน่าจะค่อนข้างสูง และในเมื่อหนังสือเทคนิควรยุทธที่อยู่ในคลังความรู้ไร้ขีดจำกัดไม่อาจดึงดูดใจได้แม้แต่กับพ่อค้าขายยาปลอมแบบเขา ก็ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะสนใจแน่


เป็นไปได้ว่า ‘เทคนิควรยุทธ’ ที่ชายหนุ่มพูดถึงอาจหมายถึงอย่างอื่น


จางเซวียนงงกับรอยยิ้มมีเลศนัยของพ่อค้า แต่ก็โบกมือและพูดว่า “พาผมไปดูที!”


“ได้สิ” พ่อค้าหัวเราะหึๆและรีบนำทางไป


ไม่ช้าทั้งคู่ก็มาถึงร้านหนังสือร้านหนึ่ง พ่อค้าชี้นิ้วไปและพูดว่า “เรามาถึงแล้ว!”


จางเซวียนกวาดสายตามอง ในนั้นมีหนังสือมากมายเรียงรายอัดแน่นอยู่ ทั้งหนังสือเทคนิควรยุทธ หนังสือเทคนิคการต่อสู้ หนังสือพิมพ์และนิตยสารเก่า สมุดจด และไดอารี่…


แน่นอนว่ามีของจำพวกที่พ่อค้าพูดถึงด้วย ทำให้จางเซวียนเข้าใจทันทีว่ารอยยิ้มมีเลศนัยก่อนหน้านี้ของอีกฝ่ายหมายถึงอะไร ปกหนังสือเหล่านั้นดูสะดุดตามากจนแทบจะกระโจนเข้าใส่ผู้ที่ผ่านไปมาหน้าร้านหนังสือ


จางเซวียนจ่ายเงิน 1 เหรียญสำนักดาบและเดินเข้าไป


เขากวาดสายตาดูหนังสือที่อยู่บนชั้นอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าก็ถ่ายโอนหนังสือเทคนิควรยุทธไว้ได้ทั้งหมด


ครู่ต่อมา จางเซวียนได้แต่ส่ายหน้าและยิ้มเจื่อนๆ


มีหนังสือเทคนิควรยุทธอยู่มากมายก็จริง แต่ทุกเล่มล้วนเป็นวรยุทธขั้นเสมือนอมตะลงไป ไม่มีหนังสือเทคนิควรยุทธขั้นอมตะตัวจริงเลยสักเล่ม ดังนั้น หนังสือเหล่านี้จึงไม่อาจช่วยแก้ไขข้อบกพร่องในเคล็ดวิชาเทียบฟ้าของเขาได้


จางเซวียนออกจากร้านหนังสือมาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก


“เป็นอย่างไรบ้าง? เทคนิควรยุทธพวกนั้นน่ะไม่ได้เรื่องใช่ไหม?” พ่อค้าที่ยังแกร่วรออยู่ตรงนั้นตั้งคำถาม “ถ้าคุณอยากได้เทคนิควรยุทธขั้นสูงกว่านี้ล่ะก็ มีเพียงทางเดียวที่จะได้มันมา”


“ฮะ?”


“ไม่นานมานี้ หอประมูลของตลาดอู๋ไห่ได้ของล้ำค่ามาชิ้นหนึ่ง พวกเขาเชิญนักตรวจสอบสมบัติมามากมาย แต่ไม่มีใครยืนยันได้ชัดเจนว่ามันคืออะไร เพราะฉะนั้น ถ้าใครสามารถตรวจสอบมันได้อย่างถูกต้องและระบุชัดเจนได้ว่าสมบัติชิ้นนั้นคืออะไรล่ะก็ เขาจะได้รับอนุญาตให้เข้าสู่คลังสมบัติของหอประมูลและเลือกหนังสือเทคนิควรยุทธเล่มไหนก็ได้ตามที่ต้องการ” พ่อค้ากระซิบกระซาบ


“สมบัติ?” จางเซวียนชะงัก


นั่นทำให้เขานึกถึงภารกิจที่รับมาก่อนจะเดินทางมายังเมืองอู๋ไห่ ถ้าเขารู้ว่ามีโอกาสดีๆแบบนี้อยู่ คงมาเสียนานแล้ว!


แต่ถึงอย่างไรก็ย่อมดีกว่าที่จะศึกษารายละเอียดเสียก่อน แม้จะต้องผิดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็ตาม จางเซวียนถามต่อ “ดูเหมือนหอประมูลจะมีหนังสือเทคนิควรยุทธที่น่าสนใจอยู่มากนะ คุณรู้หรือเปล่าว่าพวกเขามีหนังสือเทคนิควรยุทธขั้นอมตะตัวจริงอยู่บ้างไหม?”


“มีอยู่แล้ว! หอประมูลของตลาดอู๋ไห่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 500 ปี และผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดที่ทางหอประมูลจ้างมาอารักขาทรัพย์สมบัติก็เป็นนักรบกึ่งอมตะขั้นสูง พวกเขาน่าจะมีหนังสือเทคนิควรยุทธระดับอมตะขั้นสูงอยู่ไม่น้อย” พ่อค้าสำทับอย่างหนักแน่น


จากนั้น เขาก็เหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะลดเสียงให้เบาลงอีก “บ่อยครั้งที่หนังสือเทคนิควรยุทธถูกขายไปในการประมูล ซึ่งจากการคาดเดาของผม ผมเชื่อว่าหอประมูลของตลาดอู๋ไห่น่าจะแอบทำสำเนาของหนังสือเหล่านั้นไว้…”


ตอนที่ 2019 ให้เขารอตรงนั้นก่อน

อันที่จริง หอประมูลไม่มีสิทธิ์ทำสำเนาของหนังสือเทคนิควรยุทธที่ลูกค้านำมาฝากขาย จึงเป็นไปได้ว่าหอประมูลของตลาดอู๋ไห่แอบทำอย่างลับๆ


ด้วยกฎเกณฑ์ของการประมูล ทรัพย์สมบัติที่ถูกขายไประหว่างการประมูลจะต้องถูกเก็บรักษาไว้ในคลังของหอประมูลก่อน จึงไม่มีทางที่ลูกค้าจะแน่ใจได้ว่ามีการลักลอบทำสำเนาหรือไม่


จากที่พ่อค้าพูด ดูเหมือนการทำสำเนาหนังสือเทคนิควรยุทธจะเป็นเรื่องที่รู้กันโดยนัยภายในหอประมูล เพียงแต่ไม่มีใครอยากพูดถึงมัน


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก


ถึงอย่างไรก็เป็นข่าวดีที่ได้รู้ว่าหอประมูลมีหนังสือเทคนิควรยุทธขั้นอมตะตัวจริงอยู่ โชคดีเหลือเกินที่เขารับภารกิจตรวจสอบสมบัตินี้มา


หลังจากไถ่ถามเรื่องที่ตั้งของหอประมูลแล้ว จางเซวียนก็กล่าวอำลาพ่อค้าก่อนจะรุดหน้าไป


…..


“คุณมีจดหมายเชิญหรือเปล่า?”


ที่บริเวณทางเข้าหอประมูล จางเซวียนถูกองครักษ์คนหนึ่งรั้งตัวไว้


ผมคือศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหิน รับภารกิจการตรวจสอบของล้ำค่าของตลาดอู๋ไห่มา” จางเซวียนพูดขณะแสดงตราสัญลักษณ์การปฏิบัติภารกิจ


องครักษ์มองตราสัญลักษณ์นั้นก่อนจะโค้งคำนับอย่างงาม “ยินดีต้อนรับ เชิญทางนี้”


สำนักดาบเมฆเหินคือ 1 ใน 6 สำนักใหญ่ ซึ่งเมืองอู๋ไห่ก็ดูเหมือนจะขึ้นตรงต่อที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นที่รู้กันดีว่าทางสำนักรับเฉพาะศิษย์สายตรงที่เป็นอัจฉริยะชั้นยอดเท่านั้น จึงเป็นธรรมดาที่องครักษ์จะไม่กล้าแสดงกิริยาไม่สุภาพต่อจางเซวียน


องครักษ์นำจางเซวียนมายังห้องหนึ่ง ในห้องนั้นมีชายชราผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่หน้าของล้ำค่าและตรวจสอบมันอย่างใกล้ชิด


“ผู้อาวุโสเหอ ชายหนุ่มคนนี้คือศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหิน มาที่นี่เพื่อปฏิบัติภารกิจตรวจสอบสมบัติ” องครักษ์รายงานชายชราผู้นั้น


“ให้เขารอตรงนั้นก่อน”


ผู้อาวุโสไม่แม้แต่จะหันกลับมา เขาตรวจสอบสมบัติที่อยู่ตรงหน้าต่อไปอย่างตื่นเต้น


จางเซวียนขมวดคิ้วและประเมินชายชราที่ถูกเรียกว่าผู้อาวุโสเหออย่างถี่ถ้วน อีกฝ่ายมีอายุราว 60 ปี รังสีที่เขาแผ่ออกมาหนักหน่วงและทรงพลังมาก เขาเป็นนักรบอมตะขั้นสูง


ของล้ำค่าที่อยู่ตรงหน้าผู้อาวุโสเหอคือประติมากรรมชิ้นหนึ่งที่มีความสูงราว 1 สือ มันถูกระบายด้วยสีสันที่ตัดกันอย่างสวยสดงดงาม บ่งบอกถึงรสนิยมอันสุนทรีย์ เพียงแค่ดูจากทักษะการลงสี ก็แน่ใจได้ว่าเป็นผลงานของผู้ที่เก่งกาจระดับจิตรกรระดับ 9 ดาวของทวีปแห่งปรมาจารย์


จางเซวียนยังไม่รู้แน่ชัดว่ามันคืออะไร แต่เขาสัมผัสได้ถึงรังสีที่ล่องลอยออกมา ให้ความรู้สึกสุขุมและสงบเย็น


“เยี่ยมมาก เยี่ยมจริงๆ!” ผู้อาวุโสเหออดไม่ได้ที่จะอุทานอย่างยินดีปรีดา


ไม่ห่างออกไปนัก ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งคลี่ยิ้มเมื่อเห็นปฏิกิริยาของผู้อาวุโสเหอ เขาตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกความเคารพ “ผู้อาวุโสเหอ ไม่ทราบว่ามันคือของแท้หรือเปล่า?”


“จากการประเมินของผม ประติมากรรมชิ้นนี้เป็นผลงานที่นักรบอมตะขั้นสูงตู้เหอทิ้งไว้ เขาใช้หินสงบใจแกะสลักเป็นประติมากรรมชิ้นนี้ เพราะฉะนั้น ถ้าใครใช้มันเป็นแกนกลางของค่ายกล ก็จะนำพาความสงบเย็นมาสู่จิตใจของผู้นั้นได้ ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะต้องเผชิญหน้ากับปีศาจใต้สำนึกในระหว่างการฝึกฝนวรยุทธ” ผู้อาวุโสเหอตอบยิ้มๆ


“คุณได้รับความขอบคุณสูงสุดจากผม ผู้อาวุโสเหอ!” เมื่อได้ยินว่าประติมากรรมนั้นเป็นของแท้ ชายวัยกลางคนยกมือขึ้นอย่างยินดีปรีดา แล้วบริวารคนหนึ่งก็รีบเดินเข้ามาพร้อมกับยื่นเหรียญนิรันดร์จิ้งหลิงถุงหนึ่งให้


“ผู้จัดการหวัง คุณเกรงอกเกรงใจเกินไปแล้ว!” ผู้อาวุโสเหอพูด


“ไม่, ไม่เลย สมควรแล้วที่ผมจะมอบสิ่งนี้ให้คุณ ผมรบกวนคุณให้มาตรวจสอบสมบัติให้ผม…ผู้อาวุโสเหอ นี่เป็นเพียงสิ่งน้อยนิดที่จะแสดงความขอบคุณต่อการช่วยเหลือของคุณ” ชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าหัวหน้าหวังรีบตอบ


จากนั้น เขาก็เดินไปที่ประติมากรรมชิ้นนั้นและเก็บรักษามันไว้อย่างดีในกล่อง ตั้งใจจะเคลื่อนย้ายไปไว้ที่อื่น


เห็นภาพนั้น จางเซวียนได้แต่ส่ายหน้า แต่ก็ตัดสินใจไม่พูดอะไร


ในเวลาเดียวกัน หลังจากเสร็จสิ้นการตรวจสอบสมบัติแล้ว ผู้อาวุโสเหอหันหลังกลับและเห็นว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลัง คิ้วของเขาขมวดมุ่นทันที “คุณคือศิษย์สายตรงจากสำนักดาบเมฆเหินที่รับภารกิจหรือ?”


จางเซวียนพยักหน้า “ไม่ทราบว่าทรัพย์สมบัติอะไรที่คุณอยากให้ผมตรวจสอบ?”


เขาไม่อาจทนเสียเวลากับเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองได้ ตอนนี้เขาแค่อยากปฏิบัติภารกิจการตรวจสอบสมบัติให้เสร็จสิ้นโดยเร็วเพื่อจะได้ไปหาหนังสือ


“ไม่ต้องรีบร้อนหรอกน่ะ” ผู้อาวุโสเหอพูดขณะทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ซึ่งอยู่ใกล้ๆ เขายกถ้วยชาขึ้นจิบก่อนจะมองจางเซวียนด้วยแววตาแสดงอาการดูถูก “บรรดาศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหินล้วนเก่งกาจในศิลปะเพลงดาบ เรื่องนั้นปฏิเสธไม่ได้ แต่ทักษะการตรวจสอบสมบัติของพวกเขาดูจะยังอ่อนด้อยไปสักหน่อย ไม่นานมานี้ มีสหายร่วมสำนักของคุณมาที่นี่ 2 คน แต่ก็ไม่รู้อะไรสักอย่าง ผมจึงตะเพิดพวกเขาออกไป คุณอยากลองเหมือนกันใช่ไหม? ถ้าไม่มีความสามารถล่ะก็ ผมขอแนะนำคุณไว้ตรงนี้เลยว่าเราไม่ควรทำให้อีกฝ่ายเสียเวลา มันจะทำให้ผมยุ่งยาก และเป็นการดูถูกคุณด้วยหากต้องทำอะไรเยิ่นเย้อแบบนี้”


คำพูดนั้นทำให้นัยน์ตาของจางเซวียนวาววับ


เห็นชัดว่าอีกฝ่ายดูถูกเขา


“ผมรู้ว่าคำพูดของผมฟังไม่ไพเราะเสนาะหู แต่ก็แน่ใจว่ามีความจริงอยู่ในนั้น ผมได้ยินมามากเรื่องความปราดเปรื่องของบรรดาศิษย์สายตรงจากสำนักดาบเมฆเหิน แต่เกรงว่าความเชี่ยวชาญของพวกคุณจะหยุดอยู่แค่ศิลปะเพลงดาบ คงต้องขอร้องคุณดีๆว่าอย่าดูถูกเหล่านักตรวจสอบสมบัติอย่างพวกเรา!” ผู้อาวุโสเหอส่ายหน้า


เขาโบกมือและพูดว่า “หยวนชิง นำเงิน 2 เหรียญสำนักดาบไปมอบให้ชายหนุ่มคนนั้น และเชิญให้เขากลับไปด้วย ผมไม่ต้องการให้ใครมาสร้างปัญหาที่นี่!”


“ขอรับ” องครักษ์ที่พาจางเซวียนมารับเงิน 2 เหรียญสำนักดาบจากผู้อาวุโสเหอและยื่นให้จางเวียน “นี่”


จางเซวียนไม่แยแสท่าทีขององครักษ์ เขาจ้องหน้าผู้อาวุโสเหอและคำราม “สร้างปัญหา?”


เขาไม่ได้อยากเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องไร้สาระแบบนี้ แต่หมอนี่เพิ่งจะยื่นหน้าให้เขาตบ รู้สึกคันคะเยอที่แก้มขึ้นมาหรือไง?


จางเซวียนเดินเข้าไปหาชายวัยกลางคนที่กำลังง่วนอยู่กับการจัดเก็บประติมากรรมชิ้นนั้นและพูดว่า “สหาย ผมขอแนะนำคุณว่าอย่าเพิ่งนำของชิ้นนี้ไป”


“ฮะ?” หัวหน้าหวังชะงักแล้วหันมามองจางเซวียนอย่างสงสัย


เขาได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งคู่แล้ว แม้ผู้อาวุโสเหอจะไม่เกรงกลัวการปีนเกลียวกับศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหิน แต่ตัวเขาไม่กล้า


“ผมแค่อยากเตือน สมบัติในมือคุณน่ะไม่ใช่ของล้ำค่าจากนักรบอมตะขั้นสูงตู้เหอ และไม่ใช่ประติมากรรมที่ทำจากหินสงบใจด้วย ถ้าคุณใช้มันเป็นแกนกลางของค่ายกลล่ะก็ ไม่นานวรยุทธของคุณก็จะถูกธาตุไฟเข้าแทรก” จางเซวียนพูดอย่างสุขุม


“คุณหมายความว่าอย่างไร? ผมเพิ่งตรวจสอบของล้ำค่าชิ้นนั้นและแน่ใจว่ามันเป็นสิ่งที่นักรบอมตะขั้นสูงตู้เหอทิ้งไว้ คุณมีปัญหากับผลการตรวจสอบสมบัติของผมหรือ?” ผู้อาวุโสเหอหน้าดำคร่ำเครียด


เขาตรวจสอบสมบัติมากว่าร้อยปีแล้ว และจนถึงวันนี้ก็แทบไม่เคยเกิดข้อผิดพลาด แล้วชายหนุ่มอายุ 20 ปีคนหนึ่งกล้าท้าทายการตัดสินใจของเขาได้อย่างไร? ปัญญาอ่อน!


“มีปัญหากับผลการตรวจสอบสมบัติของคุณ?” จางเซวียนส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มอย่างสมเพช “ไม่หรอก ผมมีเพียงแค่ 2 คำเท่านั้นที่จะพูด-เลวทราม ถ้าหัวหน้าหวังเชื่อคำพูดของคุณจริงๆล่ะก็ เขาจะต้องตายภายในสามวัน!”


“บังอาจ!” ผู้อาวุโสเหอหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธจัด


เขาเป็นหัวหน้าฝ่ายตรวจสอบสมบัติของหอประมูลแห่งนี้มาเกือบ 100 ปีแล้ว และปริมาณของล้ำค่าที่เขาเคยตรวจสอบก็มีอย่างน้อย 8,000 ชิ้น ต่อให้ความรู้ของเขาจะเสื่อมถอยไปบ้างตามกาลเวลา แต่การตรวจสอบสมบัติของเขาก็ไม่เคยเบี่ยงเบนไปไกลความเป็นจริง…ชายหนุ่มคนนี้กำลังบอกว่าหัวหน้าหวังจะต้องตายภายใน 3 วันหากเชื่อคำพูดของเขา ไม่มีอะไรที่จะเป็นการดูถูกความเชี่ยวชาญในวิชาชีพของเขามากกว่านี้อีกแล้ว!


“คุณต่างหากที่บังอาจ! คุณถูกจ้างมาให้ตรวจสอบของล้ำค่า แต่ความผิดพลาดที่คุณก่อขึ้นทำให้ชีวิตของลูกค้าตกอยู่ในความเสี่ยง คุณคงรู้ผลที่จะตามมาใช่ไหม?” จางเซวียนคำรามตอบ


เขาได้อ่านหนังสือมาแล้วไม่น้อยในสำนักดาบเมฆเหิน จึงพอรู้รายละเอียดของอาชีพต่างๆในมิติเบื้องบนอยู่บ้าง แม้อาชีพนักตรวจสอบสมบัติจะไม่มีมรดกตกทอดเฉพาะของตัวเอง ต่างจากในทวีปแห่งปรมาจารย์ และไม่มีสมาคมวิชาชีพที่แบ่งแยกออกมาอย่างชัดเจนด้วย แต่อาชีพนี้ก็ยังมีกฎระเบียบที่เข้มงวดบางอย่าง


หากนักตรวจสอบสมบัติคนหนึ่งทำงานพลาด ไม่เพียงแต่จะเสื่อมเสียชื่อเสียง ยังจะต้องจ่ายค่าชดเชยเป็นเงินก้อนโตด้วย ซึ่งอาจทำให้พวกเขาล้มละลายได้ทีเดียว ในกรณีที่มีความรุนแรงมาก นักตรวจสอบสมบัติผู้นั้นอาจถึงกับต้องเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย


ในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ หากใครสักคนต้องเสียชีวิตเพราะการตรวจสอบสมบัติที่ผิดพลาดของผู้อาวุโสเหอ เขาจะต้องถูกตัดตอนวรยุทธและเนรเทศออกจากพื้นที่


“พูดจาเหลวไหล!” ได้ฟังคำพูดของชายหนุ่ม ผู้อาวุโสเหอหน้าเปลี่ยนสีด้วยความโกรธจัด เขาสะบัดแขนเสื้อและตวาดก้อง “คุณรู้หรือเปล่าว่าผลของความพยายามใส่ร้ายป้ายสีชื่อเสียงของนักตรวจสอบสมบัติคืออะไร? ผมขอให้คุณอธิบายมาเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้น ต่อให้ผมต้องเจอเจ้าสำนักหาน ผมก็จะทำให้คุณถูกลงโทษอย่างหนักให้ได้เพราะคำโกหกที่คุณกล้าใส่ร้ายผม!”


ชื่อเสียงมีความสำคัญต่ออาชีพนักตรวจสอบสมบัติมาก ถือเป็นธรรมเนียมในมิติเบื้องบน ที่ใครก็ตามที่กล้าใส่ร้ายป้ายสีและทำให้ชื่อเสียงของนักตรวจสอบสมบัติต้องด่างพร้อยโดยไม่มีเหตุผลจะต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง


ธรรมเนียมนี้เกิดขึ้นก็เพราะความเกรงกลัวว่าตลาดจะตกอยู่ในความวุ่นวาย เหล่านักตรวจสอบสมบัติจึงได้การยอมรับจากนักรบส่วนใหญ่ในมิติเบื้องบน ดังนั้น ต่อให้เป็นศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหิน ก็จะต้องถูกลงโทษอย่างหนักหากล้าฝ่าฝืนธรรมเนียมดังกล่าว


“ใส่ร้ายป้ายสีชื่อเสียงของนักตรวจสอบสมบัติ?” จางเซวียนยิ้มอย่างนึกสนุก เขาส่ายหน้า “เดี๋ยวก็รู้!”


ระหว่างนั้น หัวหน้าหวังออกจะสับสนเล็กน้อยกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า เขาไม่อาจมีเรื่องกับทั้งชายหนุ่มคนนี้หรือผู้อาวุโสผู้ทรงเกียรติได้ ทำให้ตกที่นั่งลำบากสุดๆ


“เมื่อครู่นี้คุณพูดว่าท่านอาจารย์ของผมตรวจสอบสมบัติผิดพลาด แล้วคุณพิสูจน์ได้ไหม? ถ้าคุณพิสูจน์ไม่ได้ พวกเราก็ไม่มีทางเลือกนอกจากจะตั้งข้อสงสัยว่าคุณจงใจทำลายชื่อเสียงของท่านอาจารย์ของผม!” องครักษ์ที่ชื่อหยวนชิงโพล่งออกมาอย่างหงุดหงิด


ตอนที่ 2020 เพียงแต่…

เขาไม่อยากเผชิญหน้ากับศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหิน แต่ก็ไม่อาจนิ่งดูดายและปล่อยให้ท่านอาจารย์ของเขาถูกชายคนหนึ่งดูถูกเหยียดหยามได้


“ไม่ต้องห่วง นั่นคือสิ่งที่ผมกำลังจะทำ!” จางเซวียนหัวเราะหึๆ เขาหันไปถามหัวหน้าหวัง “คุณมีหนูทดลองหรืออะไรทำนองนั้นบ้างไหม?”


ก็เหมือนกับอสูรที่ใช้สำหรับทดลองยาเม็ดในทวีปแห่งปรมาจารย์ พวกมันคือสิ่งมีชีวิตในมิติเบื้องบนที่ถูกนำมาใช้ทดสอบประสิทธิภาพของยาต่างๆที่จะส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต ในฐานะที่เป็นหอประมูล ก็น่าจะมีของแบบนั้นอยู่เพื่อใช้ในวัตถุประสงค์ของการตรวจสอบสมบัติ


“เรามี!” หยวนชิงตอบ เขาชำเลืองมองท่านอาจารย์ เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ก็รีบออกไปจากห้อง


ไม่ช้าก็กลับมาพร้อมกับอสูรระดับเซียนตัวหนึ่งที่มีหน้าตาคล้ายกระต่าย


มันเป็นแค่อสูรระดับเซียนขั้น 1 ซึ่งสำหรับมิติเบื้องบน พละกำลังของมันไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยที่ไร้เรี่ยวแรง


เห็นสิ่งที่เขาต้องการถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อย จางเซวียนหันไปยิ้มให้หัวหน้าหวัง “ขออภัยเถอะ แต่ผมขอรบกวนให้คุณนำประติมากรรมชิ้นนั้นออกมาอีกครั้งได้ไหม?”


หัวหน้าหวังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ทำตามคำขอของจางเซวียน


จางเซวียนไม่แตะต้องประติมากรรมชิ้นนั้น เขานำพู่กันออกมาแล้ววาดลวดลายพิสดารกลางอากาศในบริเวณโดยรอบ


เห็นพฤติกรรมของจางเซวียน ผู้อาวุโสเหอชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะลั่น “นั่นมันค่ายกลสงบใจใช่ไหม? คุณตั้งใจจะสร้างค่ายกลโดยใช้พู่กันหรือ?”


เขาเข้าใจเจตนาของจางเซวียนทันทีที่จดจำลวดลายพิสดารเหล่านั้นได้ อีกฝ่ายกำลังพยายามสร้างค่ายกลสงบใจเพื่อทดสอบความถูกต้องของการตรวจสอบสมบัติของเขา


เพียงแต่…


การติดตั้งค่ายกลสงบใจต้องใช้ธงค่ายกลและของล้ำค่าอื่นๆอีกมาก ลำพังแค่พู่กันกับหมึกจะไปทำอะไรได้


ตลกสิ้นดี!


“ประสิทธิภาพของมันจะลดลงเมื่อเป็นแค่ค่ายกลที่สร้างขึ้นจากหมึก แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ ผมเกรงว่าอสูรระดับเซียนตัวนั้นจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน” จางเซวียนตั้งข้อสังเกตด้วยสีหน้าเรียบเฉย


ไม่ช้าเขาก็ติดตั้งค่ายกลเสร็จ จางเซวียนรีบเก็บพู่กันเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ ด้วยการเคาะเบาๆ เขาถ่ายทอดพลังปราณเข้าสู่ค่ายกลสงบใจ


วิ้งงงง!


เกิดแสงสว่างเรืองจากค่ายกลที่ทำจากหมึกนั้น มันโอบล้อมประติมากรรมไว้อย่างรวดเร็ว ทำให้ประติมากรรมชิ้นนั้นกลายเป็นหัวใจของค่ายกล ในชั่วพริบตา พลังงานสงบเย็นก็แผ่ออกไปในบริเวณโดยรอบ


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการได้ฝึกฝนวรยุทธในบรรยากาศแบบนี้จะช่วยยกระดับวรยุทธของผู้นั้นได้มาก


“เอ่อ…” ผู้อาวุโสเหอไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะสร้างค่ายกลสงบใจได้สำเร็จจริงๆด้วยการใช้แค่พู่กันกับหมึก เขาเลิกคิ้วด้วยความอัศจรรย์ใจ


แม้แต่นักรบที่มีทักษะเก่งกาจสูงสุดด้านค่ายกลก็ยังทำแบบนี้ไม่ได้!


ชายหนุ่มจะต้องมีความรู้ความเข้าใจเรื่องค่ายกลล้ำลึกขนาดไหน? อีกทั้งรายละเอียดของพื้นที่โดยรอบและประติมากรรมชิ้นนั้นด้วย สิ่งนี้จะไม่มีทางสำเร็จได้เลยหากมีข้อผิดพลาดแม้เพียงข้อเดียว!


ในตอนนั้น ผู้อาวุโสเหอพลันรู้สึกถึงลางสังหรณ์เลวร้ายขึ้นมาทันที


ส่วนจางเซวียน เมื่อเห็นค่ายกลถูกเปิดใช้งานแล้ว ก็หันไปพูดกับหยวนชิง “ขอรบกวนให้คุณนำอสูรระดับเซียนตัวนั้นเข้าสู่ค่ายกลด้วย”


หยวนชิงรีบเดินเข้าไปแล้ววางกระต่ายที่อยู่ในมือของเขาลงไปในค่ายกล


ด้วยอานุภาพของพลังงานสงบเย็น กระต่ายที่ดูลุกลี้ลุกลนอยู่เมื่อครู่สงบนิ่งลงอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าเปลือกตาของมันก็หลุบต่ำ ดูเหมือนพร้อมจะหลับได้ทุกขณะ


“คุณบอกว่าประติมากรรมเป็นของปลอมไม่ใช่หรือ?” เห็นสภาพของกระต่าย ผู้อาวุโสเหอคำรามอย่างลิงโลด


จากการตรวจสอบสมบัติของเขา เขามองว่าประติมากรรมชิ้นนี้เติมเต็มกันได้ดีกับค่ายกลสงบใจ ทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของมันด้วย แต่หมอนี่กล่าวหาว่าเขาโกหก และถึงกับอ้างว่าสิ่งนี้จะทำให้หัวหน้าหวังตกอยู่ในอันตราย แต่กระต่ายที่อยู่ในค่ายกลก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าผลการตรวจสอบสมบัติของเขาถูกต้อง!


“ไม่ต้องรีบหรอกน่ะ รอดูอะไรดีๆก่อน” จางเซวียนหัวเราะหึๆขณะหันกลับไปและทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ๆ เขาทำตัวตามสบายราวกับอยู่บ้าน จากนั้นก็หันไปพูดกับหยวนชิง “ชงชามาให้ผมกาหนึ่ง”


ชิงหยวนกำหมัดแน่น


“ไปสิ!” ผู้อาวุโสเหอหรี่ตามองจางเซวียน แต่ก็ยังโบกมือพร้อมกับสั่งการให้หยวนชิงทำตามคำสั่งของชายหนุ่ม


ถึงเขาจะไม่ชอบขี้หน้าหมอนี่อย่างมาก แต่อีกฝ่ายก็เป็นศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหิน


เมื่อท่านอาจารย์ออกคำสั่ง หยวนชิงรีบออกจากห้องและนำน้ำชากลับมากาหนึ่ง


จางเซวียนจิบชาด้วยอาการใจเย็นขณะเฝ้ารออย่างอดทน ราว 1 ชั่วโมงให้หลัง กระต่ายที่กำลังหลับไหลก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง มันดูลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย


“เกิดอะไรขึ้น?” ผู้อาวุโสเหอถึงกับผงะ


ภายใต้สถานการณ์ปกติ อสูรตัวไหนก็ตามที่อยู่ในอาณาบริเวณของค่ายกลสงบใจจะนิ่งเงียบอย่างสิ้นเชิง การที่มันเริ่มออกอาการลุกลี้ลุกลนบ่งบอกชัดว่ามีบางอย่างผิดปกติ


ฟึ่บ!


กระต่ายตัวนั้นลุกพรวด นัยน์ตาของมันแดงก่ำ จากนั้นก็กระโจนเข้าใส่ประติมากรรมที่อยู่ตรงหน้า


พลั่ก!


ร่างของมันกระแทกกับประติมากรรมนั้น ขาสั้นม่อต้อบิดงอเล็กน้อยขณะหมดลมหายใจเฮือกสุดท้าย


เพล้ง!


ถ้วยชาที่หัวหน้าหวังถือไว้แตกเป็นเสี่ยงๆขณะที่น้ำชาหกเลอะมือของเขา


หัวหน้าหวังตั้งคำถามอย่างฉุนเฉียว “ผู้อาวุโสเหอ เกิดอะไรขึ้น?”


เขาแทบจะเห็นตัวเองเข้าไปแทนที่กระต่ายตัวที่อยู่ในค่ายกล หากเขาฝึกฝนวรยุทธโดยใช้ประติมากรรมชิ้นนั้นจริงๆ นั่นคงเป็นจุดจบของเขาแน่


ผู้อาวุโสเหอก็จังงังกับภาพที่ปรากฏตรงหน้า


การตรวจสอบสมบัติของเขาไม่น่ามีอะไรผิดพลาด ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น?


ด้วยการจับตามองอย่างใกล้ชิดของพวกเขา ไม่มีทางที่ศิษย์สายตรงจากสำนักดาบเมฆเหินจะเข้าไปยุ่มย่ามกับค่ายกลนั้นได้ สิ่งที่อีกฝ่ายทำก็แค่สร้างค่ายกลสงบใจเท่านั้น


จริงอยู่ว่าค่ายกลถูกสร้างขึ้นด้วยวิธีการที่ออกจะพิสดารไปสักหน่อย แต่ไม่มีอะไรผิดปกติแน่


พูดอีกอย่างก็คือ…ความตายของกระต่ายเกี่ยวข้องกับประติมากรรมชิ้นนั้นโดยตรง!


เห็นผู้อาวุโสเหอไม่มีคำตอบให้ หัวหน้าหวังหันไปมองชายหนุ่ม “เกิดอะไรขึ้น?”


“คุณอยากรู้เหตุผลหรือ?” จางเซวียนย้อนถามพร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัย


“ใช่” หัวหน้าหวังพยักหน้า


นี่มันน่าสะพรึงเกินไป! เขาจ่ายเงินสูงลิ่วเพื่อซื้อประติมากรรมชิ้นนี้ หวังจะใช้มันสงบสภาวะจิต และขับไล่ปีศาจใต้สำนึกในจิตใต้สำนึกของเขาออกไป แต่เรื่องแบบนี้ก็มาเกิดขึ้น…


จนกว่าเขาจะเข้าใจว่าที่มาที่ไปของมันคืออะไร เขาจะไม่มีวันใช้ประติมากรรมชิ้นนี้อีกเป็นอันขาด!


“ถ้าคุณอยากรู้เหตุผลล่ะก็ แค่ยกมันขึ้นมา!” จางเซวียนพูด


“ได้สิ” หัวหน้าหวังตอบขณะยกประติมากรรมขึ้น


ขนาดอสูรระดับเซียนพุ่งเข้ากระแทกเหมือนเมื่อครู่นี้ ด้วยความแข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อของมัน ประติมากรรมชิ้นนั้นไม่มีร่องรอยอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย


“ยกมันขึ้นเหนือศีรษะของคุณ” จางเซวียนสั่งการ


หัวหน้าหวังยกประติมากรรมชิ้นนั้นสูงขึ้นอีก


“คราวนี้ก็ทุ่มมันลงกับพื้น ทุ่มลงไปให้สุดกำลังเลยนะ!” จางเซวียนพูด


“ทุ่มมันกับพื้น?” หัวหน้าหวังถึงกับผงะ


จริงอยู่ว่าประติมากรรมชิ้นนี้แข็งแกร่งทนทานมากเพราะถูกหลอมขึ้นจากหินสงบใจ แต่มันน่าจะแตกเป็นเสี่ยงๆแน่หากทุ่มมันลงกับพื้นด้วยความรุนแรงขนาดนั้น


มันคือสิ่งที่เขาซื้อหามาโดยใช้เงินเก็บที่มีไปเกือบหมด จะทุ่มมันทิ้งแบบนั้นได้อย่างไร?


“ใช่ คุณไม่อยากรู้หรือว่ามันคืออะไร ทุ่มลงไป!” จางเซวียนตอบอย่างไม่แยแสขณะจิบชา “ถ้าคุณทนพรากจากมันไม่ได้ล่ะก็ นำมันกลับบ้านแล้วเอาไปใช้อย่างที่ผู้อาวุโสเหอบอกก็แล้วกัน”


หัวหน้าหวังกระพริบตาปริบๆ


ส่วนผู้อาวุโสเหอที่อยู่ข้างๆก็ตัวแข็งทื่อ เขาอยากจะทักท้วงคำพูดของจางเซวียน แต่ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร


กระต่ายเอาหัวชนประติมากรรมแบบนั้น แล้วใครยังจะกล้าใช้มันอีก?


“ถ้ามันแตกเป็นเสี่ยงๆแล้ว แต่คุณก็ยังหาคำอธิบายไม่ได้ คุณจะชดใช้ความเสียหายให้หัวหน้าหวังหรือเปล่า?” ผู้อาวุโสเหอตั้งคำถาม


“แล้วถ้าผมอธิบายได้ คุณจะชดใช้ความเสียหายให้หัวหน้าหวังไหม?” จางเซวียนย้อน


“ถ้าคำอธิบายของคุณฟังขึ้น ผมก็จะยอมรับว่าผมตรวจสอบสมบัติผิดพลาด และจ่ายค่าชดเชยให้เขาอย่างแน่นอน!” ผู้อาวุโสเหอคำราม


เป็นเรื่องธรรมดาที่นักตรวจสอบสมบัติจะต้องถูกลงโทษหากทำงานผิดพลาด


“ก็ดี ผมเต็มใจจ่ายค่าชดเชยสำหรับประติมากรรมชิ้นนี้หากผมหาคำอธิบายที่เหมาะสมไม่ได้” จางเซวียนตอบอย่างสุขุม


“ถ้าอย่างนั้น…”


หัวหน้าหวังกัดฟันกรอด จากนั้นก็ทุ่มประติมากรรมลงกับพื้นด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี


เพล้งงงงง!


ประติมากรรมชิ้นนั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ


ฟึ่บ!


แต่ขณะที่หินแตกกระจาย รังสีชั่วร้ายก็พวยพุ่งออกมาจากภายใน ทำให้ทุกคนสั่นสะท้าน


ผู้อาวุโสเหอรีบก้มลงมอง เห็นเศษเสี้ยวที่แตกเป็นเสี่ยงๆของประติมากรรมมีสีแดงก่ำ เขาหน้าถอดสีทันทีเมื่อพลันเข้าใจ


“นี่มัน…หินโชกเลือด?”


เป็นที่รู้กันว่าหินโชกเลือดจะปรากฏในสนามรบหรือสถานที่ที่เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่ ขณะที่เลือดไหลนองชุ่มโชกหินเหล่านั้น เจตนาสังหารปริมาณมหาศาลก็จะถูกสั่งสมไว้


ที่สำคัญกว่านั้น มันยังปกคลุมด้วยเจตจำนงชั่วร้ายของจิตวิญญาณอาฆาตแค้น อย่าว่าแต่จะเข้าใกล้มัน เพราะเจตจำนงชั่วร้ายนั้นสามารถส่งผลกระทบต่อใครๆได้แม้จะอยู่ในระยะไกล ความเลินเล่อเพียงเล็กน้อยอาจทำให้วรยุทธของนักรบผู้หนึ่งถูกธาตุไฟเข้าแทรกได้ และหากเลวร้ายกว่านั้น เขาอาจสูญเสียสติสัมปชัญญะและสุดท้ายก็กลายเป็นบ้า


กล่าวได้ว่าหินโชกเลือดเป็นวัตถุที่ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิงกับหินสงบใจ


เขาแน่ใจว่าประติมากรรมที่อยู่ตรงหน้าถูกหลอมขึ้นจากหินสงบใจ แต่ทำไมเมื่อแตกเป็นเสี่ยงๆแล้วถึงกลายเป็นหินโชกเลือดไปได้?


ผู้อาวุโสเหอจังงังจนพูดอะไรไม่ออก


คนอื่นๆที่อยู่ในห้องต่างก็จังงัง


แม้หัวหน้าหวังจะไม่ใช่นักตรวจสอบสมบัติ และมีความรู้เรื่องการตรวจสอบสมบัติไม่มาก แต่การที่เขาเสาะหาประติมากรรมชิ้นนี้มาได้ก็บ่งบอกแล้วว่าเขาพอมีความรู้เรื่องหินสงบใจอยู่บ้าง จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะดูออกว่าวัตถุที่อยู่ตรงหน้าคือสิ่งที่ตรงกันข้าม…มันคือหินโชกเลือด


ไม่น่าเชื่อว่าตัวเขาลงเอยด้วยการซื้อสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความต้องการอย่างสิ้นเชิง แถมทุกอย่างยังเลวร้ายกว่าเดิมอีก เพราะแม้แต่ผู้อาวุโสเหอก็ยืนยันว่ามันคือหินสงบใจ!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)