กระบี่จงมา 201.3-202.2

 บทที่ 201.3 หากไม่มีเรื่องจุกจิกรบกวนใจ

โดย

ProjectZyphon

นอกจุดพักม้ามีรถเข็นล้อเดียวที่บรรจุแผงดูดวงคันหนึ่งจอดอยู่ นักพรตหนุ่มไม่ทันได้ตั้งแผงก็เริ่มจับมือของคนงานในจุดพักม้าที่เชื่อเรื่องดวงชะตามาตรวจดูดวงแล้ว เมื่ออยู่ในสายตาของขุนนางคนอื่นๆ ที่อยู่ในจุดพักม้า นี่ก็คือเรื่องเหลวไหลที่น่าขันอย่างถึงที่สุด สุดท้ายนักพรตหนุ่มไม่เก็บเงิน อันที่จริงคนงานผู้นั้นก็ไม่คิดจะจ่ายเงินเหมือนกัน ยังดีที่นักพรตรู้อะไรควรไม่ควร แค่ขอน้ำร้อนๆ ถ้วยหนึ่ง ยืนดื่มอักๆ อยู่ข้างรถเข็นอย่างสบายอารมณ์


นักพรตหนุ่มเช็ดปาก โบกมือลากับคนในจุดพักม้าด้วยรอยยิ้มเบิกบาน เข็นรถเดินหน้าต่ออีกครั้ง


ทางฝั่งของจุดพักม้า มีคนขยี้ตาอย่างแรง เอ๊ะ? ทำไมด้านหลังนักดูดวงต้มตุ๋นถึงได้มีสตรีสวมชุดแม่ชีผู้หนึ่งโผล่มาได้ล่ะ?


แม่ชีสาวหน้าตางดงามถามเสียงอ่อนโยน “อาจารย์อาน้อย ท่านบอกว่าท่านดูดวงและเล่นหมากล้อมได้แย่ที่สุด ถ้าอย่างนั้นใครเก่งที่สุดกันล่ะ?”


นักพรตนามว่าลู่เฉินตอบยิ้มๆ “อาจารย์อาน้อยที่แท้จริงของเจ้า หรือก็คือศิษย์พี่ของข้า ด้านหนึ่งในอนาคตจะต้องเล่นหมากล้อมได้ดีกว่าข้า จะต้องชนะปีศาจแห่งนครจักรพรรดิขาวผู้นั้น อีกด้านหนึ่งก็ทำนายดวงชะตาได้ดีกว่าข้า จะต้องทำให้…เฮ้อ ไม่พูดถึงเรื่องนี้ดีกว่า พูดแล้วก็ทำร้ายจิตใจ สรุปก็คือศิษย์พี่ที่ ‘หนึ่งบวกหนึ่งก็ยังเป็นที่หนึ่ง บวกอีกหนึ่งก็ยิ่งเป็นที่หนึ่ง’ ผู้นี้เก่งกาจกว่าข้ามาโดยตลอด”


แม่ชีก็คือเฮ้อเสี่ยวเหลียงที่ถูกลู่เฉินหลอกพามาจากสำนักโองการเทพ หญิงสาวใจร้ายที่ทำให้เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะดื่มเหล้าเมาหัวราน้ำ


อันที่จริงก่อนหน้านี้นางก็เคยใช้สถานะของกุมารีหยกเป็นตัวแทนของระบบเต๋าในแจกันสมบัติทวีปเดินทางมาที่นี่กับกุมารทอง เพื่อเอาวัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะที่บุรพาจารย์ของสำนักทิ้งไว้ในถ้ำสวรรค์หลีจู ตอนที่จากไป พวกเขาไม่สามารถพาตัวหม่าขู่เสวียนไปด้วยกันได้สำเร็จ แต่นางกลับได้หินดีงูงดงามก้อนหนึ่งมาเพิ่ม ช่วยไม่ได้ โชควาสนาของนางหนาหนักจนเป็นที่จับตามองของคนทั้งทวีป ราวกับว่าไม่ว่าจะไปที่ไหน ของดีๆ ก็มักจะตรงเข้ามาหานางเสมอ ขวางอย่างไรก็ขวางไม่อยู่


แม่ชีสาวลังเลอยู่ชั่วครู่


นางอยากถามคำถามที่แม้แต่อาจารย์อาน้อยท่านที่อยู่ในสำนักโองการเทพก็ยังคิดไม่ตก


เหตุใดคนข้างกายผู้นี้ถึงเป็นเงื่อนตายซึ่งผลักให้ฉีจิ้งชุนเดินไปสู่ความตายที่แท้จริง


อาศัยอะไร!


ต้องรู้ว่าตบะที่ฉีจิ้งชุนแสดงออกมาในตอนนั้น หากไม่เป็นเพราะเขาไม่ต้องการให้ทั้งบุรพแจกันสมบัติทวีปจมหายลงไปในทะเล ไม่ต้องการให้คนทั้งเมืองเล็กต้องเดือดร้อน ลำพังแค่เลือกใช้ตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตสองตัวต้านรับศัตรู และลงมือเต็มกำลัง นักพรตหนุ่มที่ทำตัวลึกลับผิดปกติคนนี้จะสามารถต้านทานได้จริงๆ หรือ? หรือถึงขั้นรับประกันได้ว่าจะสามารถฆ่าฉีจิ้งชุนได้?!


เอาชนะห้าขอบเขตบนกับสังหารห้าขอบเขตบนคือสองเรื่องที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว  อีกอย่างหากห้าขอบเขตบนคนหนึ่งรู้ว่าตัวเองต้องตายอย่างแน่นอน พลังการทำลายล้างที่เขาระเบิดออกมาย่อมน่ากลัวเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้


เว้นเสียแต่ว่ามีเซียนที่ขอบเขตสูงกว่าหนึ่งถึงสองระดับมาเข้าควบคุมสมรภูมิรบอย่างเต็มกำลัง หรือไม่ก็มีคนที่สามารถย้ายถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งหนึ่งมาเป็นกรงขัง


เหตุใดเซี่ยสือถึงกล้ามาเยือนเมืองเล็กเพียงลำพัง ก็คือเหตุผลข้อนี้


ข้าเซี่ยสือจะตายในเขตการปกครองหลงเฉวียนก็ได้ แต่เจ้าต้าหลีก็ต้องชั่งน้ำหนักผลลัพธ์ให้ดีเสียก่อน


ตอนนั้นที่หลี่เอ้อร์ไปเยือนวังหลวงของต้าสุยก็ใช้หลักการเดียวกันนี้


แต่ลู่เฉินกลับรู้ว่านางจะถามอะไร จึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เต๋าที่อธิบายได้ไม่ใช่เต๋าที่เที่ยงแท้ หมายความว่าอย่างไร ก็คือภาษาเอามาพูดได้ แต่ให้ใช้อธิบายมหามรรคากลับมีน้ำหนักไม่มากพอ ส่วนความหมายของข้าก็คือ อันที่จริงคำถามที่เจ้าอยากถามนั้น นักพรตอย่างข้าไม่มีทางตอบ”


เฮ้อเสี่ยวเหลียงได้แต่ยิ้มเจื่อน


‘อาจารย์อาน้อย’ ที่จู่ๆ ก็มาปรากฏตัวในสำนักโองการเทพผู้นี้พูดจาประหลาดนับไม่ถ้วนมาตลอดทาง มีหลายเรื่องที่นางคิดตามแล้วก็ไม่เข้าใจ ตอนหลังเลยหยุดคิดมันเสียเลย ถ้าเขาอยากพูดก็จะพูดๆๆๆ ไม่หยุด ต่อให้เจ้าปิดหู หรือปิดประตูหัวใจก็ไม่ได้ผล เพราะในหัวใจก็ยังคงมีเสียงของเขาดังขึ้นมาอยู่ดี แต่หากเวลาใดที่เขาไม่อยากพูดก็สามารถเงียบกริบได้เป็นสิบวันเป็นครึ่งๆ เดือน


ลู่เฉินมองไปทางเมืองเล็กแล้วก็เริ่มพูดจาประหลาดอีกครั้ง “คนในโลกล้วนอิจฉาเทพเซียน เทพเซียนดีหรือไม่ แน่นอนว่าต้องดี แต่เหตุใดเจ้าเว่ยป้อถึงไม่อิจฉา นั่นก็เพราะเจ้าไม่เคยเป็นเทพเซียนที่แท้จริงนี่นา”


“ถามใจตัวเองแล้วรู้สึกละอาย หากละอาย คำว่าละอายนี้คือผีอยู่ในหัวใจ (愧 แปลว่าละอายใจ หากแยกกันจะได้ตัวอักษร 心 หัวใจกับตัวอักษร 鬼 ที่แปลว่าผี) เส้นทางการเป็นเทียนจวินหลังจากนี้ เจ้าจะเดินได้อย่างยากลำบากกว่าเดิม”


“จุ๊ๆ หลานชายเจ้าน่ะเหรอจะถูกคนอื่นรังแก? เขาไม่รังแกคนอื่นก็ถือว่ามีเมตตาธรรมมากพอแล้ว ตอนนี้เขาได้ดิบได้ดีแล้ว แต่ด้วยนิสัยของเขานั้น ทำให้คนชื่นชอบไม่ลงจริงๆ แต่ไม่เป็นไร ชะตาชีวิตดีก็คือชะตาชีวิตดี”


“จะว่าไปแล้วก็แปลก เป็นคนที่ออกไปจากเมืองเล็กเหมือนกัน กลับมาบ้านเกิดเวลาเดียวกัน เซี่ยสือเป็นเทพเซียนที่ดีมาตลอดชีวิต แต่กลับทำเรื่องที่ผิดต่อใจต่อเอง เฉาซีทำตัวระยำมาชั่วชีวิต แต่กลับทำเรื่องที่มีคุณธรรม”


กล่าวมาถึงตรงนี้ นักพรตหนุ่มก็พลันหันหน้าไปมองเฮ้อเสี่ยวเหลียงที่อยู่ด้านหลัง ถามยิ้มๆ “เจ้าได้ยินเสียงในใจของมนุษย์ธรรมดาบ้างไหม?”


เฮ้อเสี่ยวเหลียงตอบอย่างระอาใจ “ต้องเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบเท่านั้นถึงจะพอได้ยิน ตอนนี้ข้าทำได้ซะที่ไหน”


นักพรตหนุ่มร้องอ้อเบาๆ หนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องตั้งใจฝึกตนให้ดีล่ะ”


เฮ้อเสี่ยวเหลียงได้แต่ยิ้มฝืดเฝื่อน


นักพรตหนุ่มรู้สึกว่าเรื่องนี้สามารถพูดได้ จึงเปิดฉากสนทนาโดยไม่สนว่าเฮ้อเสี่ยวเหลียงจะสนใจหรือไม่ เขาพูดรวดเดียวราวเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่ “ข้าจะบอกเจ้าให้นะ เรื่องแบบนี้น่ะลึกลับมาก แต่ก็เหมือนว่าจะไม่ลึกลับสักนิดเดียวเช่นกัน ชนิดแรกคือต้องใช้ความจริงใจอย่างถึงที่สุด ก็เหมือนกับคำกล่าวที่ว่าหากเรามีความตั้งใจจริง แม้แต่หินที่แข็งกร้าวก็ยังแตกออกได้ ดังนั้นอริยะจึงมีคำกล่าวบอกว่า มีเพียงความจริงใจเท่านั้นที่ถึงจะเขย่าคลอนจิตใจคนได้ บางครั้งคนธรรมดาก็สามารถชักนำการตอบรับจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เช่นเดียวกัน”


“อีกชนิดหนึ่งแน่นอนว่าต้องมีตบะสูงส่ง หรือไม่ก็พรสวรรค์โดดเด่น เสียงหัวใจของพวกเขาย่อมดังกังวานยิ่งกว่ายกตัวอย่างเช่นข้าผู้อาวุโสต้องการพูดคุยกับเจ้า เจ้าจะอยากฟังหรือไม่ก็ยังได้ยินอยู่ดี”


“แต่ข้ารู้สึกว่านี่ไม่เกี่ยวข้องกับตบะของข้า ล้วนเป็นความจริงใจอย่างเดียวเท่านั้น เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”


เฮ้อเสี่ยวเหลียงประจบสอพลอใครไม่เป็น “ข้ารู้สึกว่าเกี่ยวข้องกับเวทคาถาที่ลึกล้ำของอาจารย์อาน้อยมากกว่า”


ลู่เฉินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แล้วก็ไม่อยากพูดอะไรต่ออีก


ตามคำบอกของลู่เฉินก็คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่หลี่ซีเซิ่งขึ้นไปในภูเขาแล้วเอ่ยเรียกชื่อไป๋เจ๋อออกมาโดยตรง ซึ่งทำให้นายท่านไป๋ที่อยู่ห่างไปไกลถึงชายหาดมหาสมุทรประจิมของแจกันสมบัติทวีปได้ยินทันที ส่วนเด็กหนุ่มชุยฉานเด็กนักเรียนข้างกายเขาที่ต่อให้อ้าปากด่าหยาบคายไปเป็นร้อยรอบ นายท่านป๋ายก็คงไม่ได้ยิน หรือต่อให้ได้ยินแล้วก็คงไม่สนใจ แน่นอนว่าหากเขาคิดจะเอาจริงขึ้นมา ต่อให้อยู่ห่างหนึ่งแสนแปดพันลี้ ชุยชื่อก็สามารถตายคาที่อย่าง ‘ไร้สาเหตุ’ ได้


ลูกรักแห่งสวรรค์ประเภทนี้เป็นเหมือนกับดวงดาวดารดาษที่พริบพราวอยู่เหนือผืนแผ่นดินซึ่งย่อมดึงดูดสายตาคนได้มากกว่า อย่าเห็นว่าพวกผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบซึ่งเคยชินกับการสวมยศ ‘อริยะ’ ชอบหลบซ่อนตัวเหมือนเต่าพันปี แต่ในความเป็นจริงแล้ว สายตาของบุคคลยิ่งใหญ่มีตบะเลิศล้ำค้ำฟ้าบางคนกลับมองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่งยิ่งกว่าคนธรรมดาบนโลกมากนัก


แน่นอนว่าการที่เทพมองเห็นภูเขาและแม่น้ำผ่านฝ่ามือก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น อาณาเขตของหนึ่งทวีปหนึ่งแคว้นย่อมต้องสิ่งกีดขวางที่มองไม่เห็นดำรงอยู่เพื่อขัดขวางไม่ให้คนของที่อื่นมองมาเห็น สถานที่อย่างถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลก็มีต้นกำเนิดมาจากสาเหตุนี้ หากมีหนึ่งใต้หล้ากั้นขวาง แล้วยังคิดจะตรวจสอบเรื่องราวภายในของใต้หล้านั้นๆ ตบะและขอบเขตที่ต้องใช้ก็ต้องสูงเทียมฟ้าจริงๆ


ทางทิศใต้ของเมืองเล็กมีเสียงโลหะกระทบกันดังกังวานไปยันชั้นฟ้า เสียงที่มีพลังแห่งการสั่นสะเทือนรุนแรงนั้น คนธรรมดากลับสัมผัสไม่ได้แม้แต่นิดเดียว แต่สำหรับผู้ฝึกลมปราณแล้ว ความเคลื่อนไหวนี้ไม่น้อยเลย และในความเป็นจริงหากเสียงตีเหล็กในเตาหลอมของหร่วนฉงดังเข้าหูของเผ่าปีศาจ ก็เทียบเท่ากับเสียงฟ้าร้องในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ดังเป็นระลอก


พวกภูตผีปีศาจที่อยู่ในเมืองเล็กต่อเพราะหวังว่าจะโชคดีต่างก็พากันกลับคืนสู่ร่างเดิม มหาสมุทรลมปราณสั่นสะท้านรุนแรง อยู่ไม่สู้ตาย คลุ้มคลั่งราวกับเป็นบ้า จากนั้นก็จะถูกผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวและผู้ฝึกลมปราณของต้าหลีที่เตรียมตัวรอไว้นานแล้วช่วยกันกำราบก่อน แล้วค่อยโยนพวกเขาเข้าไปในภูเขาใหญ่ น้ำใจนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นบุญคุณช่วยชีวิต


ขณะเดียวกันบรรยากาศการหลอมกระบี่ของหร่วนฉงก็อดทำให้คนข้างๆ ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังไม่ได้ อริยะก็คืออริยะ


แม้แต่เฮ้อเสี่ยวเหลียงก็อดตกตะลึงไม่ได้ “หลอมกระบี่มาจนเกือบถึงช่วงสุดท้ายแล้ว เหตุใดความเคลื่อนไหวถึงยังรุนแรงขนาดนี้ ถึงขนาดทำให้รากฐานภูเขาและโชคชะตาแม่น้ำในอาณาเขตสั่นคลอนตามไปด้วย หรือว่าระดับของกระบี่เล่มนี้สูงจนถึงขั้นสั่นคลอนใต้หล้าได้?”


ลู่เฉินเพียงส่งยิ้ม ไม่เอ่ยอะไร


พวกอริยะก็ต้องทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนเหมือนกัน


เพียงแต่ว่าในเมื่อฉีจิ้งชุนพูดคุยกับท่านอาจารย์รู้เรื่องแล้ว เขาก็จะไม่ยื่นมือเข้าแทรกเรื่องนี้อีก


นี่เป็นทั้งความเคารพที่มีต่ออาจารย์ และยิ่งเป็นการแสดงความเลื่อมใสของตัวเองที่มีต่อบัณฑิตคนนั้น


หวนนึกถึงปีนั้นในอดีต


หมอดูลู่เฉินนั่งหันหลังให้กับโรงเรียน คอยทำนายดวงชะตาให้กับผู้คน


ด้านหลังคืออริยะลัทธิขงจื๊อที่กำลังถ่ายทอดความรู้แก่เหล่าเด็กๆ


ส่วนข้อที่ว่าทำไมฉีจิ้งชุนถึงต้องตาย


มันเกี่ยวพันกับมหามรรคาที่ยิ่งใหญ่มากเส้นหนึ่ง


ฉีจิ้งชุนที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูได้อ่านตำราของสามลัทธิอย่างถ้วนทั่ว


คำกล่าวที่ว่าฉีจิ้งชุน ‘มีความหวังในการก่อตั้งลัทธิเรียกตนเป็นบรรพจารย์’ คือตั้งลัทธิอะไร?


ไม่ว่าจะด้วยเหตุใด สรุปก็คือเขาคิดเหมือนกับใครบางคน ถ้าอย่างนั้นลู่เฉินที่เป็นศิษย์น้องของคนผู้นั้นก็จำเป็นต้องมาเยือนที่นี่ด้วยตัวเอง


ลู่เฉินมองไปยังท้องฟ้า


เคยมีบัณฑิตคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น ใช้พละกำลังของตัวเองคนเดียวต่อต้านเซียนจากสามลัทธิ


นับถือก็ส่วนนับถือ เคารพก็ส่วนเคารพ


แต่เรื่องที่ผิดต่อเจตจำนงเดิมก็ยังต้องทำ


ภายหลังเขาปล่อยเรื่องราวให้เป็นไปตามสถานการณ์ หลังจากพอจะคำนวณทางหนีทีไล่ที่แท้จริงของฉีจิ้งชุนได้คร่าวๆ จึงทิ้งสี่ตัวอักษรนั้นไว้ให้กับเด็กหนุ่ม บอกว่าให้เขาหัดเรียนรู้ตัวอักษร นี่เป็นความจริง แต่ความหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดยังคงเป็นเหมือนการปล่อยว่าวให้บินไปตามลม หวังจะอาศัยตอนที่เด็กหนุ่มคัดลอกสี่ตัวอักษรนั้นมาคำนวณการเดินหมากก้าวที่สำคัญที่สุดได้ในวันใดวันหนึ่ง ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความสงสัยใคร่รู้ของยอดฝีมือในการเล่นหมากล้อมเท่านั้น


แต่ที่น่าประหลาดมากก็คือ เฉินผิงอันให้โอกาสลู่เฉินแค่ครั้งเดียวเท่านั้น


และลู่เฉินก็คำนวณอะไรไม่ได้มากนัก


สำหรับเรื่องนี้ลู่เฉินไม่ได้ถือสาอะไร เพราะอย่างไรซะสถานการณ์โดยรวมก็ค่อนข้างแน่นอนแล้ว เขาไม่มีทางได้ทีขี่แพะไล่หลังจากที่ฉีจิ้งชุนตายไปแล้ว


นักพรตหนุ่มเคยพูดกับเด็กหนุ่มกับปากตัวเองว่า “มองดูเหมือนเป็นการกระทำด้วยความหวังดี แต่ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นคนดี เป็นเรื่องที่ดี”


ประโยคนี้มีความหมายลึกล้ำ ทั้งพูดถึงสี่ตัวอักษรบนเทียบยาสองสามแผ่นนั้น แล้วก็ยิ่งพูดถึงถังหูลู่ไม้นั้นที่ผ่านการวางแผนมานานมากแล้ว


ลู่เฉินปล่อยมือที่จับรถเข็นล้อเดียว ยืดแขนบิดขี้เกียจ เอ่ยยิ้มๆ “หากไม่มีเรื่องจุกจิกรบกวนใจ ประโยคหลังว่ายังไงแล้วนะ”


แม่ชีสาวยิ้มบางๆ “ก็คือช่วงเวลาที่ดีของชีวิตคน”


 —————————–


บทที่ 202.1 ก็คือช่วงเวลาที่ดีของชีวิตคน

โดย

ProjectZyphon

การฝึกหมัดของสองวันที่ผ่านมานี้ ผู้เฒ่าเปลือยเท้ายิ่งลงแรงอย่างดุดันมากขึ้น แม้จะไม่ได้มีการกระทำที่โหดร้ายอย่างให้เฉินผิงอันถลกหนังดึงเส้นเอ็นของตัวเองอีก แต่ก็ใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าต่อยไปบนเรือนกายหรือไม่ก็จิตวิญญาณของเฉินผิงอันครั้งแล้วครั้งเล่า ทับซ้อนกันหลายชั้น นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกอยากตายจริงๆ


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่อยู่นอกหอเรือนไม้ไผ่แทะเมล็ดแตงอย่างเหม่อลอย แทะไปแทะมาจนกัดปากตัวเองแตกก็ยังไม่รู้สึกตัว ส่วนเด็กชายชุดเขียวที่นั่งฝึกตนอย่างน่าเบื่อหน่ายอยู่ริมหน้าผากลับมีสีหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลา เขาทั้งต้องอาศัยเรือนกายที่แข็งแกร่งมาตั้งแต่กำเนิดมาพยายามหลอมละลายหินดีงูชั้นเยี่ยมที่อยู่ในห้อง ทั้งยังต้องรวบรวมสมาธิพยายามไม่ให้ถูกความเคลื่อนไหวที่น่าขนลุกขนพองในหอเรือนไม้ไผ่มารบกวน แม้แต่งูน้ำแห่งแม่น้ำอวี้เจียงก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่า แท้จริงแล้วนี่คือโชควาสนายิ่งใหญ่ที่มาจากการทุ่มเทแรงใจในการฝึกตนครั้งหนึ่ง ทั้งเป็นการหล่อเลี้ยงลมปราณและหล่อหลอมลมปราณ สภาพการณ์ลมปราณในร่างของเขาเป็นเหมือนคลื่นน้ำที่จู่โจมไปยังเสาหินกลางแม่น้ำ ได้แต่ปรารถนาไม่อาจได้มาครอบครอง


บางครั้งที่เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกระวนกระวายก็จะยื่นมือไปลูบคลำเรือนไม้ไผ่ ถึงแม้ว่าตัวอักษรที่หลี่ซีเซิ่งลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อเขียนไว้ตอนนั้นจะไม่ปรากฎบนผนังเรือนไม้ไผ่อย่างชัดเจน แต่นางล้วนจดจำขึ้นใจได้ทั้งหมด เนื้อความของตัวอักษรหรือแม้แต่การวาดตวัดพู่กันแต่ละขีด นางล้วนจำได้ชัดเจน เวลาที่นางทนเสียงร้องโหยหวนของนายท่านหรือเสียงที่ร่างของเขากระแทกกับกำแพงไม่ไหวก็จะต้องบังคับให้ตัวเองท่องวลีหรือบทกลอนที่อยู่บนผนังเงียบๆ


นี่ก็เป็นการฝึกตนอย่างหนึ่ง


ส่วนหินดีงูนั้น แน่นอนว่ามีประโยชน์มากมาย เป็นของล้ำค่าที่เจียวและมังกรทุกตัวใต้หล้าปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน แต่ก็ต้องปฏิบัติตามกฎ ‘หน่วยสิบร้อยพันหมื่น’ ด้วย


เว่ยป้อเคยเปิดเผยความลับสวรรค์เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยอธิบายสาเหตุความเป็นมาให้เด็กน้อยสองคนฟัง หินดีงูชั้นเยี่ยมก้อนแรกที่ช่วยให้ทลายขอบเขตได้ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งปี เหล่าเจียวและมังกรที่เหลือรอดบนโลกถึงจะสามารถหลอมละลายมันได้ ร่างกายของเด็กหญิงงูหลามไฟไม่แข็งแรง เวลาที่ใช้จะนานกว่าเล็กน้อย อาจจะต้องใช้เวลาประมาณสิบสามสิบสี่เดือน แต่หากเป็นเด็กชายชุดเขียวใช้เวลาแค่เกินครึ่งปีก็ได้แล้ว ทว่าหากเป็นก้อนที่สองกลับไม่ได้ง่ายขนาดนั้น จำเป็นต้องใช้เวลาเป็นสิบปีในการกลืนกินมัน ก้อนที่สามต้องใช้เวลาในการขัดเกลาถึงหนึ่งร้อยปี ก้อนที่สี่ต้องใช้เวลายาวนานถึงหนึ่งพันปี ส่วนก้อนที่ห้าต้องหมื่นปี! อันที่จริงจะมีหินดีงูชั้นยอดก้อนที่ห้าหรือไม่ ความหมายก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ เพราะไม่ถือเป็นการปักลายดอกไม้ลงบนผ้าแพรด้วยซ้ำ อย่างมากสุดก็เป็นได้แค่ของเก่าหายากที่อยู่ในคลังสมบัติของตัวเองชิ้นหนึ่งเท่านั้น


ดังนั้นก่อนหน้านี้ตอนที่เด็กชายชุดเขียวกำหินดีงูชั้นเยี่ยมสามก้อนไว้ในมือจึงเริ่มหันไปอยากได้หินดีงูธรรมดาแทนแล้ว เพราะแม้จะรับประกันไม่ได้ว่าจะฝ่าทะลุขอบเขต แต่ก็สามารถสั่งสมตบะไปได้ทีละสิบปี เพิ่มพูนรากฐานให้กับขอบเขตต่อไปอย่างแน่นหนา แค่กินเข้าไป เคี้ยวกร้วมๆ ตบะก็เพิ่มสูง แบบนี้ไม่ประเสริฐยิ่งหรอกหรือ? ตอนนั้นเด็กชายชุดเขียวคิดว่านายท่านใหญ่อย่างข้าแค่นอนอยู่เฉยๆ ก็สามารถเสวยสุข แค่อาบแดด ชื่นชมธรรมชาติที่งดงามทุกวันขอบเขตก็ทะยานขึ้นสูงได้ ช่างเป็นชีวิตที่แสนสุขยิ่งนัก


จนกระทั่งเฉินผิงอันเริ่มฝึกหมัดในเรือนไม้ไผ่ เด็กชายชุดเขียวก็เปลี่ยนความคิด ก้มหน้าก้มตาฝึกตน สำหรับงูน้ำแม่น้ำอวี้เจียงที่ดื้อดึงตรงไปตรงมาตัวหนึ่งแล้ว ความคิดของเขาไม่ซับซ้อน เขาทั้งไม่อยากให้ใครก็ได้สามารถต่อยตัวเองตายด้วยหมัดเดียว แล้วก็ยิ่งไม่อยากให้นายท่านเด็กบ้านนอกอย่างเฉินผิงอันมีตบะแซงหน้าตัวเอง แบบนั้นน่าอายจะตายไปไม่ใช่หรือ?


ฟ้าดินกว้างใหญ่ เอกบุรุษที่อยู่ในยุทธภพอย่างพวกเรา หน้าตานั้นใหญ่ที่สุด!


ในเรือนไม้ไผ่ ผู้เฒ่าเปลือยเท้ายกสองแขนขึ้นกอดอก ก้มหน้าลงมองเด็กหนุ่มที่นอนขดตัวอยู่บนพื้น เจ็บปวดจนกล้ามเนื้อทุกก้อนส่งเสียงเหมือนถั่วเหลืองระเบิดแตก ก่อนหน้านี้ผู้เฒ่าใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้ายี่สิบแปดหมัดต่อยลงไปบนหน้าประตูช่องโพรงลมปราณยี่สิบแปดแห่งของเฉินผิงอัน ต่อยจนเฉินผิงอันหายใจรวยริน


ผู้เฒ่าหัวเราะหยัน “เพิ่งจะยี่สิบแปดหมัดก็ทำท่าเหมือนคนตายซะแล้ว ทุเรศลูกกะตาจริงๆ! หากรับสามสิบหมัดไม่ไหว ขอบเขตที่สามนี้ก็ไม่ใช่ขอบเขตที่แข็งแกร่งที่สุดใต้หล้าแล้ว!”


เฉินผิงอันที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดไม่มีเวลามาต่อปากต่อคำ เขาหายใจโดยอาศัยวิธีที่หยางเหล่าโถวถ่ายทอดให้ รวมไปถึงหาลมปราณที่แท้จริงซึ่งเหมือนมังกรเพลิงในร่างตัวเองให้เจอ บวกกับใช้การโคจรลมปราณสิบแปดหยุดที่อาเหลียงบอกว่า ‘มาจากการคลำทางของเซียนกระบี่นับไม่ถ้วน’ สามอย่างรวมกันถึงพอจะกัดฟันต้านรับยี่สิบแปดหมัดของผู้เฒ่าเอาไว้ได้


ผู้เฒ่าเตะเข้าไปที่แผ่นหลังของเฉินผิงอัน ร่างทั้งร่างของเฉินผิงอันปลิวไปกระแทกลงบนผนังแล้วร่วงลงบนพื้นอย่างแรง มหาสมุทรลมปราณที่กว่าจะเข้าสู่สภาวะมั่นคงได้ไม่ใช่เรื่องง่ายกลับมามีลมมรสุมโหมกระหน่ำอีกครั้ง ทุกอย่างที่ทำมาก่อนหน้านี้สูญเปล่า เฉินผิงอันที่นอนอยู่บนพื้นคล้ายคนเป็นโรคลมชัก


ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดัง “ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่งคิดจะยืนอยู่บนยอดเขาที่สูงกว่ากลุ่มเขาที่รายล้อม ต้องอาศัยอะไร? ก็ต้องอาศัยลมปราณหนึ่งเฮือกมาเล่นงานผู้ฝึกลมปราณที่สามารถดึงปราณวิญญาณฟ้าดินมาใช้ได้อย่างกำเริบเสิบสานจนกว่าพวกเขาจะตาย! หากแค่เจอกับความยากลำบากเล็กน้อยก็สูญเสียความสามารถในการออกหมัดไปแล้ว ยังหวังว่าจะได้ผลัดเปลี่ยนลมปราณรักษาบาดแผลเหมือนเต่าหดหัวอยู่อีกหรือ? คนที่เจ้าออกหมัดเล่นงานจะให้โอกาสนี้กับเจ้าไหม? ดังนั้นลมปราณเฮือกนี้ที่เจ้าเฉินผิงอันสะสมไว้ยังอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าพอ!”


ลำบากเล็กน้อย


เฉินผิงอันที่ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือดพูดตอบโต้ไม่ออกแม้แต่คำเดียว


แม้ว่าปากของผู้เฒ่าจะพูดจาร้ายกาจ มีความสามารถในการทารุณ ทำร้ายจิตใจคนทุกรูปแบบ แต่ถ้าหากเป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ที่เคยเปิดศึกตัดสินเป็นตายกับผู้เฒ่า หรือเป็นเทพเซียนบนภูเขาที่บาดเจ็บหนักหรือไม่ก็ตายไปด้วยน้ำมือของผู้เฒ่าจะต้องรู้สึกเหลือเชื่อมากแน่นอน เพราะนอกจากผู้เฒ่าจะมีวิชาหมัดเลิศล้ำค้ำฟ้าแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็คือมีชื่อเสียงเรื่องความเย่อหยิ่งหัวสูง


ยามที่อยู่ในขอบเขตสูงสุด ด้วยสถานะของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบเพียงคนเดียวในบุรพแจกันสมบัติทวีป อาศัยแค่ร่างกายและสองหมัดก็สามารถตะลุยไปได้ทั้งทวีปแล้ว! ก่อนจะออกหมัด ผู้เฒ่าไม่บอกชื่อแซ่ แต่พอออกหมัดแล้วก็ยังไม่บอกชื่อแซ่อีกเช่นเดียวกัน มาอย่างรีบร้อน จากไปก็อย่างรีบร้อน  ทะเลาะต่อยตีกันเสร็จก็เดินจากไป หากไม่ทันระวังฆ่าใครตาย ลูกใครหลานใครมีความกล้ามีความสามารถก็มาแก้แค้นเขาได้เลย เจ้าจะใช้การล้อมโจมตีเป็นร้อยปี จะโยนสมบัติอาคมใช้กลไกทั้งหมดจนสิ้น เขาก็ใช้แค่สองหมัดรับไว้เท่านั้น!


ตอนนั้นสามทวีปรู้แค่ว่า น้อยครั้งที่เทพไร้แซ่ไร้นามนิสัยประหลาดผู้นี้จะให้ความสำคัญต่อคู่ต่อสู้ที่ตัวเองเอาชนะได้ ต่อให้เป็นคู่ต่อสู้ที่ฝีมือสูสีกัน ผู้เฒ่าก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา ยิ่งไม่เคยมีความคิดว่าจะรับใครเป็นลูกศิษย์


ในเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้มีความลี้ลับที่ยิ่งใหญ่ ผู้เฒ่าแซ่ชุยสามารถคงสติแจ่มชัดได้ถึงหนึ่งชั่วยาม และเมื่อตบะค่อยๆ ย้อนกลับไปสู่จุดสูงสุดทีละก้าวอีกครั้ง เขาจึงสามารถทำให้สมองโปร่งโล่งมีสติได้นานเกินครึ่งวัน หลังจากที่ท่านปู่ของราชครูชุยฉานแห่งต้าหลีผู้นี้หล่นจากยอดเขาสู่หุบเหวก็หมดสิ้นซึ่งความรู้สึกดีๆ ต่อตระกูลตัวเองไปอย่างสิ้นเชิงนานแล้ว ปีนั้นเพราะเรื่องของหลานชาย เขาเคยถูกพวกลูกหลานสารเลวในตระกูลที่ดีแต่จะประจบและอิงแอบผู้มีอิทธิพลทำร้ายจิตใจอย่างสาหัส ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์กับพันธมิตรอื่นๆ เลย ตอนนี้มาอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว อยู่ในเรือนไม้ไผ่ทุกวัน บางครั้งที่ยืนทอดสายตามองไปไกลจากชั้นสอง ผู้เฒ่าก็เริ่มชอบความเงียบสงบของสถานที่แห่งนี้แล้ว ซึ่งเหตุผลไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่เพราะที่นี่เป็นพื้นที่มงคลของตนเท่านั้น


เว่ยป้อที่เดินอยู่นอกเรือนไม้ไผ่มาทันได้ยินเสียงคำรามอย่างเดือดดาลของผู้เฒ่าพอดี “เฉินผิงอัน จะมัวนอนอยู่ทำไม! ลุกขึ้นมา ต่อให้ต้องคลานก็ต้องลุกขึ้นมาให้ได้!”


“เจ้ารู้หรือไม่ว่าชีวิตนี้ของข้าผู้อาวุโสที่เดินทางไกลไปทั่วสารทิศ เคยออกหมัดฆ่าคนทำร้ายคนมาแล้วนับไม่ถ้วน คนเดียวที่ข้าเคารพนับถือคือใคร?!”


“คือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปดคนหนึ่งที่แม้แต่ชื่อแซ่ของเขาตอนนี้ข้าก็จำไม่ได้แล้ว ก่อนตายแม้จะถูกข้าผู้อาวุโสเหยียบใบหน้า ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปดคนนี้ก็ยังพยายามยกหมัดสุดท้ายในชีวิตต่อยใส่ข้าผู้อาวุโส ต่อให้หมัดนั้นจะอ่อนแรงจนเทียบกับพละกำลังของเด็กและสตรีไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่หมัดนั้นกลับเป็นหมัดที่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบทุกคนใต้หล้า หรือแม้แต่เทพฝ่ายบู๊ขอบเขตสิบเอ็ดในตำนานต้องนับถือ!”


“หมัดนั้นต่างหากถึงจะมีจิตวิญญาณที่แท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์อย่างเราซุกซ่อนอยู่!”


เสียงกระแทกปังๆๆ ดังอย่างรุนแรงอีกหลายระลอก เห็นได้ชัดว่าเฉินผิงอันที่ลุกขึ้นยืนได้อย่างยากลำบากถูกต่อยติดอัดกำแพงรัวอีกครั้งหนึ่งแล้ว


“เฉินผิงอัน มาอีก! ความเจ็บปวดแค่นี้นับเป็นอะไรได้ หากเจ้าพกไอ้จ้อนมาด้วยก็ลุกขึ้นมากินอีกหมัด…”


ผู้เฒ่าเงียบงันไปชั่วครู่ จากนั้นก็แผดเสียงคำรามเกรี้ยวกราด ผรุสวาทเสียงดังโฉงเฉง และอันที่จริงคำด่าที่เขาใช้ก็เอามาจากเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงนั่นเอง


ที่แท้เส้นเอ็นที่ขึงอยู่ในใจของเฉินผิงอันเกือบจะขาดผึงออกแล้ว


อะไรที่มากเกินไปย่อมไม่ดี


เฉินผิงอันไม่ยอมแพ้ เขาไม่เพียงแค่อาศัยลมปราณเฮือกนั้นฝืนยันตัวเองขึ้นมาได้ และยังถึงขั้นใช้ ‘ลมปราณหัวใจ’ ที่เป็นดั่งภาพมายาล่องลอยโดยไม่รู้ตัวด้วย หลังจากเขาถูกผู้เฒ่าต่อยหนึ่งหมัดจนกระเด็นออกไป ลมปราณหัวใจก็ดิ่งฮวบลงไปเบื้องล่าง ตอนนั้นเรียกได้ว่ามีแค่เส้นบางๆ กั้นขวางอยู่ระหว่างความเป็นความตายอย่างแท้จริง และนี่ก็เป็นอุบัติเหตุครั้งแรกที่เกิดขึ้นนับจากที่ผู้เฒ่าสอนวิชาหมัดมา


ผู้เฒ่าที่ปากยังสบถด่าไม่หยุดทรุดตัวนั่งยองลงนานแล้ว เขารีบเอาฝ่ามือข้างหนึ่งไปอุดหัวใจของเด็กหนุ่มเอาไว้ ก้มหน้าลงมองก็เห็นใบหน้าดำเกรียมของเด็กหนุ่มที่บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด รวมไปถึงแขนข้างหนึ่งที่วางไว้บนหน้าอก มือข้างนั้นของเขากำหมัดแน่น เป็นท่าทางที่เกิดจากสัญชาตญาณล้วนๆ


ผู้เฒ่ายื่นมืออีกข้างหนึ่งไปกดหมัดของเด็กหนุ่มที่กล้ามเนื้อปริแตกเผยให้เห็นข้อกระดูกสีขาวเบาๆ ใบหน้าฉายความปราณีมีเมตตาอย่างที่หาได้ยาก เขาพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ไอ้หนู ไม่เลว ท่าหมัดอยู่ในจุดต่ำจุดที่จับต้องได้จริง ปณิธานหมัดอยู่ในจุดสูงจุดที่ล่องลอย วิชาหมัดอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ เจ้าเดินขึ้นไปบนวิถีวรยุทธ์ที่แท้จริงแล้ว”


เพียงแต่ว่าเวลานี้เอง ไม่รู้ว่ากำลังฝันหรือกำลังเลอะเลือน เฉินผิงอันถึงทำปากขมุบขมิบด่าด้วยคำหยาบคาย


ผู้เฒ่าอึ้งตะลึง ไม่เพียงไม่โกรธกลับยังหัวเราะขำ “ไอ้เด็กตัวเหม็น”


……


วันต่อมา เฉินผิงอันทนรับหมัดถึงยี่สิบเก้าหมัดก็หมดสติไปอย่างสิ้นเชิง


เรื่องแรกที่เฉินผิงอันทำหลังจากคืนสติก็คือ เดินขึ้นไปบนชั้นสองอย่างยากลำบาก ถามคำถามหนึ่งว่า “คราวหน้าสามสิบหมัด ข้าจะถูกท่านต่อยตายหรือไม่?”


ผู้เฒ่าที่อยู่ในห้องลืมตาขึ้น “ไม่”


จากนั้นเฉินผิงอันก็มายืนอยู่ใต้ชายคาชั้นสอง แล้วเริ่มผรุสวาทด่าทอ มารดาของกู้ช่านเคยได้รับฉายาว่าเจ้าแม่คำด่าอันดับหนึ่งของเมืองเล็ก นางด่าจนทุกครั้งที่แม่เฒ่าหม่าของตรอกซิ่งฮวากลับบ้านจะต้องสรุปรวมประสบการณ์มาเป็นบทเรียนให้กับตัวเอง แต่กระนั้นก็ยังรบทุกครั้งแพ้ทุกครั้ง ถ้าเช่นนั้นเฉินผิงอันที่เป็นคนชมศึกการด่าอยู่ข้างๆ เป็นประจำย่อมต้องถูกกล่อมเกลาให้ชินหูชินตา เวลาที่เขาเปิดปากด่าใครขึ้นมาจริงๆ มีฝีปากจึงไม่ด้อยไปกว่ากันเลย


และหากพรุ่งนี้เริ่มฝึกหมัดเมื่อไหร่ เขาก็ไม่มีโอกาสด่าอีกแน่ๆ


วันนี้ด่าไปก่อนค่อยว่ากัน


จะอย่างไรซะความลำบากที่ควรได้รับ โทษทัณฑ์ที่ไม่ควรพบเจอ เขาก็ถูกประเคนให้กินเสียจนอิ่ม แถมตาแก่นั่นยังไม่คิดจะต่อยตนให้ตาย แล้วเขาเฉินผิงอันยังต้องกลัวอะไรอีก


หากไม่ด่าเลย เฉินผิงอันกลัวว่าตัวเองจะอัดอั้นจนตายไปจริงๆ ยังไม่ทันฝึกหมัดได้ประสบความสำเร็จ ไฟโทสะกลับสุมตัวเองตายเสียก่อน จะปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด!


และผู้เฒ่าก็ไม่ถือสาเขาในเรื่องนี้


เพราะในความเป็นจริงแล้วนี่ถือเป็นเรื่องดี


เพราะนี่ก็คือความหมายที่สำคัญของการฝึกหมัดในระดับหนึ่ง


ในร่างของเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงสะสมสิ่งเจือปนทางอารมณ์ไว้มากเกินไป ตอนนี้ก็เหมือนกับว่าตัวเฉินผิงอันเองค่อยๆ กวาดขยะที่อยู่มุมกำแพงบ้านออกไปทีละนิด ไม่มากไม่น้อย ไม่เป็นอุปสรรคต่อจิตใจ เพราะเมื่อ ‘ตาไม่เห็นจิตใจก็ไม่วุ่นวาย’ แต่หากในอนาคตเดินขึ้นไปบนวิถีวรยุทธ์สูงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าอย่างนั้นข้อบกพร่องเล็กน้อยนี้ก็จะต้องขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง เมื่อถูกผู้เฒ่าใช้วิชาหมัดอันเยี่ยมยอดมาเคาะตีหล่อหลอมในขณะที่อยู่ขอบเขตสองถึงสาม ก็จะสามารถกำจัดได้โดยง่าย แต่หากไปถึงธรณีประตูใหญ่ของวิถีวรยุทธ์ระหว่างขอบเขตที่หกและเจ็ด หรือถึงปราการที่กางกั้นระหว่างขอบเขตที่เก้าและสิบเมื่อไหร่ หากคิดจะมาเก็บกวาดทำความสะอาดมันอีกครั้งก็ยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์แล้ว


แต่ผู้เฒ่าไม่ใช่รูปปั้นพระโพธิสัตว์ ไหนเลยจะทนรับคำด่าที่ไม่รู้จักจบจักสิ้นได้ จึงคำรามอย่างหงุดหงิด “เด็กเปรต หากยังพูดมากอีกคำเดียว ข้าจะต่อยเจ้าให้ตายเสียตอนนี้เลย”


เฉินผิงอันหัวเราะเฮอๆ แล้วเดินจากไปด้วยความพึงพอใจ


ผู้เฒ่าที่อยู่ในห้องด่ากลั้วหัวเราะเบาๆ “เหมือนฉานฉานตอนเป็นเด็กจริงๆ”


กล่าวมาถึงตรงนี้ สีหน้าของผู้เฒ่าก็เปลี่ยนมาเป็นเลื่อนลอยเล็กน้อย


——————————-


บทที่ 202.2 ก็คือช่วงเวลาที่ดีของชีวิตคน

โดย

ProjectZyphon

สำหรับฉานฉานตอนเด็ก ตนที่เป็นปู่เข้มงวดไร้เมตตาเกินไป ฝืนดึงต้นกล้าให้เติบโตก่อนเวลาหรือไม่?


อริยะลำดับที่สามของลัทธิขงจื๊อเคยเอ่ยคำพูดมีเหตุผลน่าเชื่อถือซึ่งได้รับความนิยมไปทั่วโลก กล่าวว่า ‘มนุษย์นั้นเดิมทีมีสันดานดีงาม แม้นิสัยคล้ายคลึง แต่การเลี้ยงดูทำให้แตกต่าง’


ผู้เฒ่าถอนหายใจ


ศึกตรีจตุที่สะเทือนขวัญสั่นวิญญาณครั้งนั้น เขาเองก็เคยได้เห็นกับตาตัวเองมาก่อน จุดจบเป็นเช่นไร ก็คือสภาพในตอนนี้ และนี่ยังเป็นเพราะผู้เฒ่าไม่ได้มีความข้องเกี่ยวลึกซึ้งด้วย


ก่อนหน้านี้มีครั้งหนึ่งเขาเดินทางไปเยือนภูเขาใหญ่ไร้นามแห่งหนึ่ง และได้พบกับผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อหนึ่งท่าน อีกฝ่ายหันหน้าไปทางดวงอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นขอบฟ้า เดินยืดเส้นยืดสายวนเป็นวงกลมอยู่บนยอดเขาคล้ายกำลังวาดวงกลม แต่ด้วยสายตาของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบของเขาทำให้มองออกว่า แม้จะมองดูเหมือนบัณฑิตเฒ่ากำลังเดินวนเป็นวงอยู่ที่เดิม แต่อันที่จริงแล้วทุกครั้งที่วนครบหนึ่งรอบ พื้นที่จะขยับออกรอบนอกเล็กน้อย


เขาจึงถามด้วยความใคร่รู้ “ทำไมท่านผู้เฒ่าถึงไม่ก้าวออกไปหนึ่งก้าวล่ะ?”


ผู้เฒ่าสวมชุดขงจื๊อตอบด้วยรอยยิ้มบางเบา “ผิดกฎ จะทำแบบนั้นไม่ได้หรอก”


จากนั้นพวกเขาก็พูดคุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระอย่างถูกคอ ทว่านับแต่นั้นมาเขาก็ไม่เคยเห็นบัณฑิตวัยชราผู้นั้นอีกเลย


……


วันที่สาม ก่อนจะฝึกวิชาหมัด ผู้เฒ่าพูดกับเฉินผิงอันยิ้มๆ ว่า “ในเมื่อยืนหยัดอยู่บนขอบเขตที่สามได้มั่นคงแล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาต่อกันเลย ข้าผู้อาวุโสจะปูรากฐานขอบเขตที่สี่ให้เจ้าอย่างแน่นหนา ไม่เสียเวลาการเดินทางไกลของเจ้าหรอก”


เฉินผิงอันส่ายหน้าบอกว่าไม่ได้ เรื่องการเดินทางไกลนั้น ขอแค่ช่างหร่วนหลอมกระบี่สำเร็จก็ต้องออกเดินทางทันที


ผู้เฒ่ายังคงพูดล่อลวงให้เฉินผิงอันฝึกหมัดต่อ “ก่อนหน้านี้ทำไมข้าผู้อาวุโสใช้ตบะขอบเขตห้าก็ต่อยให้ซุนซูเจียนที่อยู่ขอบเขตหกขั้นสูงสุดตายได้ด้วยหมัดเดียว? นั่นก็เพราะว่าขอบเขตเดียวกัน แต่แตกต่างกันราวก้อนเมฆกับก้อนดิน ดังนั้นต่อให้เป็นวิถีวรยุทธ์ที่ฆ่าคนข้ามขอบเขตได้ยากมากที่สุด ข้าผู้อาวุโสก็ยังคงสามารถต่อยให้ซุนซูเจียนที่มีขอบเขตสูงกว่าหนึ่งระดับตายได้ นี่เป็นเพราะรากฐานของเขาคลอนแคลนเกินไป”


“ยกตัวอย่างเช่นการสอบเคอจวี่ เป็นบัณฑิตที่ได้สอบหน้าพระที่นั่งเหมือนกัน แต่ทำไมบางคนถึงได้เป็นจอหงวน เป็นทั่นฮวาที่สูงศักดิ์เกินบรรยาย คนอื่นๆ เป็นแค่จิ้นซื่อ หรืออาจเป็นแค่ถงจิ้นซื่อที่น่าสงสาร? นั่นก็เพราะตำหนักจินหลวนคือขอบเขตอย่างหนึ่ง ทว่าแม้จะอยู่ในขอบเขตเดียวกันก็ยังมีแบ่งระดับสาม หก เก้า เป็นต้น”


“เฉินผิงอัน เจ้าควรต้องรู้ไว้ว่า วิถีวรยุทธ์ขอบเขตสามขอบเขตสี่นั้นมีความต่างกันมหาศาล ไม่ต้องสงสัยเลยว่าระหว่างขั้นสุดท้ายของห้าขอบเขตล่างกับห้าขอบเขตกลางของผู้ฝึกลมปราณนั้นย่อมต้องมีร่องน้ำลึกกว้างขวางกั้นเอาไว้ มีหรือไม่มีข้าผู้อาวุโสช่วยวางรากฐานให้เจ้านั้นแตกต่างกันอย่างไร เจ้าแค่ทนลำบากเพียงเท่านี้ แต่จะได้รับผลประโยชน์มากน้อยเท่าไหร่ เจ้าน่าจะรู้ชัดเจนดีอยู่แก่ใจ หากสามารถฝ่าทะลุขอบเขตที่สี่ได้สำเร็จในรวดเดียว ขอแค่ฝ่าทลายคอขวดที่เป็นอุปสรรคไปได้ เส้นทางวิถีวรยุทธ์ของขอบเขตสี่หลังจากนี้ก็เหมือนควบม้าบนทางเรียบ แบบนั้นจะไม่ดีกว่าหรอกหรือ?”


เฉินผิงอันยังคงส่ายหน้าอย่างไม่ลังเล


ในเมื่อหยางเหล่าโถวบอกว่าสถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะให้อยู่นาน เมื่อได้กระบี่แล้วก็จำเป็นต้องไปจากภูเขาลั่วพั่ว มุ่งหน้าลงใต้ไปเรื่อยๆ เฉินผิงอันก็ไม่มีทางถ่วงเวลาให้ล่าช้าแม้แต่ก้านธูปเดียวอย่างแน่นอน


และพูดกันตามจริง สำหรับการฝึกหมัดในระดับที่เหนือกว่าขอบเขตสามขึ้นไป เฉินผิงอันยังรู้สึกอกสั่นขวัญผวาอยู่บ้าง หากจะบอกว่าไม่กลัวเลยก็แสดงว่าเขาหลอกตัวเอง


ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “ต้านรับการล่อลวงได้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี คนอย่างซุนซูเจียนนั้นพรสวรรค์ไม่เลว แต่คนที่ตายไปก่อนเวลาอันควรกลับมีมากจนนับไม่ถ้วน พวกเขาตายเพราะคำว่าละโมบ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ข้าผู้อาวุโสจะให้รางวัลเจ้าสักครั้งก็แล้วกัน จะเปลี่ยนจากสามสิบหมัดเป็นสามสิบเอ็ดหมัด วางใจเถอะ รับรองว่าเจ้าไม่ตายแน่ ข้าจะช่วยกระทุ้งให้ขอบเขตที่สามของเจ้าแน่นหนามั่นคงเอง เจ้าไม่ต้องซาบซึ้งใจจนน้ำหูน้ำตาไหลหรอกนะ ใครใช้ให้เจ้าเป็นอาจารย์ของฉานฉาน…”


ภายนอกผู้เฒ่าพูดด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส แต่ในถ้อยคำนั้นปราณสังหารกลับท่วมท้น ความเย็นเยียบลึกล้ำ มีหรือที่เฉินผิงอันจะไม่รู้?


เมื่อวานตอนที่ด่าอีกฝ่าย เขาด่าอย่างสาแก่ใจไปแล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าวันนี้กรรมกำลังจะตามสนอง?


และหลังจากโดนไปสามสิบเอ็ดหมัด เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันนอนอยู่ในถังยาใบใหญ่หนึ่งวันเต็ม จากนั้นก็นอนหลับอยู่บนเตียงไปอีกหนึ่งคืนเต็มๆ


ยามฟ้าสาง เฉินผิงอันเดินออกจากห้อง เว่ยป้อและเด็กน้อยสองคนต่างก็นั่งกันอยู่ใต้ชายคา


พอเห็นเฉินผิงอัน เว่ยป้อที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ก็เงยหน้าขึ้น ยกสองแขนกอดอก กล่าวแสดงความยินดี “ยินดีด้วยๆ”


เฉินผิงอันกุมมือคารวะกลับ ยิ้มเจื่อนตอบ “เรื่องมันยาวน่ะ”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยกเก้าอี้ไม้ไผ่ให้นายท่านของตัวเองนั่ง พอเฉินผิงอันนั่งลงแล้ว เว่ยป้อก็กดเสียงแผ่วต่ำเอ่ยว่า “สองวันนี้หร่วนฉงจะเปิดเตาหลอมกระบี่แล้ว ก่อนหน้านี้ข้าคุยกับงูน้อย ได้ยินว่าเจ้าอยากซื้อน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งลูก ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอตัดสินใจเองโดยพลการ ไม่เอาสมบัติอาคมห้าชิ้นที่เดิมทีราชสำนักต้าหลีต้องมอบให้เป็นของขวัญชิ้นใหญ่ต่อภูเขาหนึ่งลูก จะเอาแค่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกเดียว เฉินผิงอัน หากเจ้ารู้สึกว่าขาดทุน จะเปลี่ยนก็ได้ แล้วก็รับเอาสมบัติอาคมห้าชิ้นที่ต้าหลีเตรียมไว้ให้เหมือนเดิม”


เด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูหันมาส่งสายตา พยายามโน้มน้าวไม่ให้เฉินผิงอันถูกน้ำมันหมูบังตา ทิ้งของห้าชิ้นเลือกเอาแค่ชิ้นเดียว


เฉินผิงอันกล่าวยิ้มๆ “แน่นอนว่าข้าต้องเอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้น”


เว่ยป้อหัวเราะเสียงดังกังวาน โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นน้ำเต้าขนาดเล็กจิ๋วสีแดงสดก็มาปรากฎอยู่กลางฝ่ามือของเขา


เมื่อเทียบกับน้ำเต้าลูกเล็กสีเงินที่อาเหลียงห้อยไว้ตรงเอวแล้ว ใบนี้มีขนาดเล็กกว่านิดหน่อย แวววาวเรียบลื่นเป็นมัน ลักษณะโบราณเรียบง่าย ทำให้คนหลงรักได้ตั้งแต่แรกเห็น


ใบหน้าของเฉินผิงอันเต็มไปด้วยความตะลึงระคนดีใจ เขาใช้สองมือรับเอาน้ำเต้าสีชาดลูกนั้นมาอย่างระมัดระวัง เอาขยับเข้ามาใกล้ใบหน้าตัวเอง เบิกตากว้างพินิจดูอย่างละเอียด


เว่ยป้ออธิบายด้วยรอยยิ้ม “น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนี้ถือว่าอยู่แค่ในระดับปานกลางเท่านั้น ไม่ถือว่าเป็นวัตถุของเทพเซียนที่แท้จริง แต่ก็ถือว่าหาได้ยากมากแล้ว เพราะอย่างไรซะในบุรพแจกันสมบัติทวีปก็เทียบกับอุตรกุรุทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่เดินกันให้เกร่อไม่ได้ ทว่าต่อให้เอาไปที่อุตรกุรุทวีป น้ำเต้าลูกเล็กลูกนี้ก็สามารถทำให้ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางน้ำลายไหลด้วยความอยากครอบครองได้อยู่ดี”


เว่ยป้อชี้ไปที่ก้นของน้ำเต้าใบเล็ก “ด้านใต้ของน้ำเต้าเขียนว่า ‘เจียงหู’ ซึ่งอ่านเหมือนคำว่าเจียงหูที่แปลว่ายุทธภพ น่าสนใจมากเลยล่ะ อีกอย่างมีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นของรักที่ผู้ฝึกกระบี่แซ่เจียงบางท่านทิ้งเอาไว้ ถึงได้จงใจสลักชื่อนี้ เจ้าชอบหรือไม่?”


รอยยิ้มของเฉินผิงอันนั้นต้องเรียกว่าเบิกบานอย่างยิ่ง เขาตอบรับรัวๆ อย่างลนลาน “ชอบๆๆ! จะไม่ชอบได้อย่างไร! น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เลยนะ!”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูปิดปากหัวเราะ เด็กชายชุดเขียวกลับเหลือกตามองบน ตบหน้าผากตัวเองดังป้าบ


ดีนักนะ เพราะประเด็นสำคัญคือเขารู้จักดูของ รู้ว่าน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มีมูลค่าควรเมือง ถึงได้ดีใจมากขนาดนี้ นิสัยเห็นแก่เงินของนายท่านเปลี่ยนแปลงไม่ได้จริงๆ


เฉินผิงอันพลันถามว่า “ใส่เหล้าได้ไหม?”


เว่ยป้อพยักหน้ารับยิ้มๆ “ต้องได้แน่อยู่แล้ว บรรจุเหล้าสิบกว่าจินได้ไม่มีปัญหา ไม่ส่งผลต่อการเลี้ยงกระบี่บิน แต่จำไว้ว่า ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ห้ามเลี้ยงกระบี่บินที่ปณิธานขัดแย้งกันเองเด็ดขาด ไม่ได้เน้นว่ามีมากเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะไม่อย่างนั้นจะส่งผลต่อขั้นตอนในการเลี้ยงกระบี่ ทางที่ดีที่สุดเลี้ยงไว้พร้อมกันแค่สองสามเล่ม…”


กล่าวมาถึงตรงนี้ เว่ยป้อก็หัวเราะหยันตัวเอง “หากสามารถเลี้ยงกระบี่บินสองเล่มได้ในเวลาเดียวกันก็น่าตะลึงมากแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงโอกาสที่จะได้กระบี่บินชั้นเยี่ยม เพราะนี่เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องใช้ทรัพย์สินมหาศาลเลยทีเดียว”


เฉินผิงอันจดจำไว้เงียบๆ


จากนั้นเสียงสวบๆ ก็ดังขึ้นสองครั้ง ชูอีที่ชื่อเดิมคือ ‘เสี่ยวเฟิงตู’ รวมไปถึง ‘สืออู่’ สีเขียวมรกตที่หยางเหล่าโถวใช้แลกเปลี่ยนกับปิ่นหยกของเฉินผิงอันก็บินออกมาจากในช่องโพรงลมปราณสองช่องของเฉินผิงอัน พริบตาเดียวก็พากันผลุบหายเข้าไปในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีแดงสด ดูเหมือนว่ากระบี่บินทั้งสองเล่มต่างก็อารมณ์ดีสุดขีด พวกมันว่ายวนไปรอบด้าน ชนผนังด้านในของน้ำเต้าไม่หยุด เป็นเหตุให้น้ำเต้าน้อยในมือเฉินผิงอันส่ายไหวเบาๆ


เว่ยป้อเบิกตากว้าง รู้สึกเหมือนตัวเองขายหน้าหมดสิ้น ได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนใจ “ดีนักนะ ถือซะว่าข้าไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน”


เด็กชายชุดเขียวที่รู้สึกเป็นเกียรติแค่นเสียงพูด “รู้แล้วสินะว่านายท่านของข้ามีทรัพย์สมบัติมหาศาล?”


เว่ยป้อไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับงูน้อยตัวนี้ จึงตอบอย่างอารมณ์ดี “รู้แล้วน่า รู้แล้วน่า”


สุดท้ายเว่ยป้อเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ใช่แล้ว ในน้ำเต้าบรรจุเหล้าไว้แล้ว เจ้าเฉินผิงอันที่คออ่อนแค่นี้ก็ดื่มให้ตามสบาย”


หลังเว่ยป้อจากไป เฉินผิงอันก็หิ้วเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวหนึ่งมานั่งที่ริมหน้าผา ดื่มเหล้าจิบเล็กๆ อยู่เพียงลำพัง


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูอยากเดินตามไป กลับถูกเด็กชายชุดเขียวคว้าแขนไว้แล้วส่ายหน้าบอกเป็นนัยไม่ให้เข้าไปยุ่ง


เฉินผิงอันเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบาย สองขาเหยียดตรง มือสองข้างประคองน้ำเต้าใบน้อยที่ตอนนี้เอามาเป็นกาเหล้าชั่วคราว ดื่มเข้าไปได้สองสามคำก็รู้สึกหน้าร้อนไปทั้งแถบ ลำคอก็แสบร้อน ร่างทั้งร่างอบอุ่นขึ้น


เฉินผิงอันมองไปทางทิศใต้ที่อยู่ห่างไกล สายตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง


ดูเหมือนว่าแม่น้ำและภูเขาที่อยู่ทางฝั่งนั้นก็คือยุทธภพที่ออกเสียงอ่านเหมือนชื่อน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ในมือ


นี่คือชีวิตที่เฉินผิงอันไม่เคยคิดถึงมาก่อน


มีชีวิตอยู่ ยังมีชีวิตอยู่เป็นอย่างดี ช่างดีจริงๆ


……


หลังบิดามารดาลาจากโลกนี้ไป ช่วงอายุห้าขวบถึงเจ็ดขวบเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมากที่สุดของเด็กกำพร้าตรอกหนีผิง


บางครั้งที่หิวจนไส้พันกัน นั่นก็เป็นความหิวจนเขาแทบจะลุกไปขุดดินขึ้นมากินจริงๆ ทุกครั้งที่ถึงเวลากินข้าว บ้านเรือนแต่ละหลังที่อยู่ติดกันในตรอกหนีผิงต่างก็มีควันโชยหอมฉุย แม้จะเดินอยู่ในตรอก เด็กชายก็ยังได้กลิ่นหอมของอาหารที่ล่อลวงใจคน บนร่างของเด็กชายสวมเสื้อผ้าที่บิดามารดาทิ้งเอาไว้ เขาต้องเอามาตัดให้ได้ขนาดที่ตัวเองสามารถใส่ได้ แม้แต่ริมขอบหรือเศษผ้าก็ทิ้งไม่ได้ แต่ละชิ้นต้องถูกเก็บรวบรวมสะสมเอาไว้


ครั้งแรกที่เด็กชายต้องไปกินข้าวบ้านคนอื่นเป็นตอนที่ใช้ของในบ้านหมดสิ้นแล้ว อะไรที่ขายได้ก็ล้วนเอาไปขายจนหมด ในช่วงฤดูหนาวที่อากาศหนาวเหน็บ เด็กหกขวบคนหนึ่งไม่สามารถขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรเพื่อหาเงินมาเลี้ยงชีพได้ อีกทั้งยังไม่อยากไปขโมยของคนอื่น ความหนาวและความหิวโหยตัดสลับกันไม่หยุด เขาเดินไปเดินมาอยู่ในตรอกตั้งแต่ปากซอยยันท้ายซอยเหมือนผีเร่ร่อนตัวน้อยตัวหนึ่ง เดินจนกระทั่งถึงยามสนธยา จนถึงเวลาที่ควันจากการทำอาหารโชยขึ้นมา เด็กชายไม่รู้เลยว่าตัวเองจะเอาชีวิตรอดต่อไปอย่างไร


ก่อนหน้านี้มีคนหวังดีพูดว่าผิงอันน้อย ไปกินข้าวที่บ้านข้าเถอะ เด็กชายก็มักจะยิ้มแล้วพูดว่าไม่เป็นไร ในบ้านยังมีข้าวสารเหลืออยู่ จากนั้นก็รีบวิ่งหนีไป


แต่ว่าวันนั้นเด็กชายไม่มีอะไรเหลือแล้วจริงๆ ตอนกลางวันเขาไปที่ร้านตระกูลหยางมารอบหนึ่ง หวังจะขอติดหนี้ผู้เฒ่าเอาไว้ก่อน แต่ผู้เฒ่ากลับไม่ยอมพบเขา


ยามสนธยาของวันนั้นเด็กชายจึงคิดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจว่า จะมีคนมาเจอตนแล้วยิ้มพูดกับตนว่า ผิงอันน้อย เข้ามากินข้าวหรือไม่


แต่ว่าวันนั้นไม่มีคนเปิดประตู ประตูใหญ่ปิดสนิท เสียงพูดคุยคลอเสียงหัวเราะ เสียงสบถด่าทอดังมาจากด้านใน


สุดท้ายเด็กชายก็เดินหิวกลับไปที่บ้านตัวเอง นอนลงบนเตียงเย็นเฉียบที่มีเพียงผ้าห่มผืนบาง บอกกับตัวเองเงียบๆ ว่า ไม่หิวๆ นอนหลับไปก็ไม่หิวแล้ว คิดถึงพ่อแม่ก็ไม่หิวแล้ว


 ——————————–

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)