ยอดหญิงสกุลเสิ่น 201.1-203.1
ตอนที่ 201-1 นายท่านสามแซ่หมิ่นระหว่า...
บริเวณที่ห่างไกลจากเมืองหลวงสองร้อยกว่าลี้มีภูเขาใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางอย่างถึงที่สุดอยู่หนึ่งลูก ชื่อว่าเขาชิงลั่ว ลึกเข้าไปในเขาลูกใหญ่มีวัดจยาหลานวัดเก่าแก่อยู่หนึ่งแห่ง ย้อนไปเมื่อรัชสมัยก่อน นับๆ ดูแล้วก็มีประวัติศาสตร์มาห้าหกร้อยปีได้แล้ว ทั่วทั้งวัดมีกลิ่นอายของความเก่าแก่และความยาวนานชนิดหนึ่ง
เช้าตรู่ ใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่องผ่านเงาไม้ ระฆังโบราณในวัดก็ส่งเสียงดัง เสียงที่ทุ้มหนักดังออกไปไกลอย่างยิ่ง หลวงจีนแต่ละกลุ่มทำวัตรเช้าอย่างเป็นระเบียบ ทุกองค์ต่างก็สงบและไม่รีบร้อนเช่นนั้น
แม้ว่าวัดจยาหลานจะตั้งอยู่ลึกในภูเขาชิงลั่ว แต่ตะเกียงธูปกลับแน่นขนัดอย่างยิ่ง ประชาชนในบริเวณร้อยกว่าลี้ข้างล่างเขาชิงลั่วต่างสามารถไปกราบไหว้พระที่วัดจยาหลานเพื่อสร้างบุญกุศลได้ ปกติพวกเขาจะออกไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เดินผ่านเส้นทางภูเขาที่ขรุขระทีละก้าวๆ คุกเข่าหน้าพระพุทธรูปด้วยความเคารพไหว้พระขอพร ต่อให้จะเป็นชายที่หยาบโลนที่สุดเมื่อมาถึงที่นี่ก็ยังต้องสำรวมกิริยาอย่างรู้สำนึก
แต่ใครจะคิดได้ว่าวัดที่ผู้คนเลื่อมใสแห่งนี้กลับซ่อนสิ่งชั่วร้ายให้กลายเป็นสถานที่สะสมกองกำลังส่วนตัวของใครบางคน
สวีโย่วได้รับพระราชโองการของจักรพรรดิยงเซวียนก็แฝงตัวเข้าไปสืบความลับในที่มืด ตามข้อมูลจำนวนหนึ่งที่จักรพรรดิยงเซวียนพระราชทานมา จากเมืองหลวงไปทางตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากนั้นเบาะแสก็ขาดหายไป ใช้เวลาอยู่สองวันจึงสืบหาเงื่อนงำบางอย่างได้ ทิศทางกลับชี้ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ พวกเขาก็มุ่งไปทางตะวันตกเฉียงเหนืออย่างไม่หยุดพัก เริ่มต้นก็ราบรื่นดีอย่างยิ่ง ท้ายที่สุดเบาะแสไม่มีอีกแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้สวีโย่วจึงพาคนวิ่งอ้อม ในที่สุดก็กำหนดเป้าหมายได้ที่วัดจยาหลานบนเขาชิงลั่ว
แม้แต่สวีโย่วยังรู้สึกเหลือเชื่อ หากที่นี่เป็นที่ฝึกกองกำลังส่วนตัวของอ๋องเคียงบ่าผู้นั้นจริงๆ เช่นนั้นความกล้าหาญและการวางแผนของเขาก็ทำให้คนเลื่อมใสจริงๆ ตั้งแต่ยี่สิบปีก่อน หลังจากที่เฉิงอ๋องหลบซ่อนตัวจากสาธารณะ ไม่ใช่ว่าไม่มีคนทายว่าเขาไปไหน บ้างก็บอกว่าเขานั่งเรือออกทะเล บ้างก็บอกว่าเขาไปทางตอนเหนือ ปราบแคว้นเล็กที่ชายแดน ตนสถาปนาตัวเป็นเจ้าแคว้น อีกทั้งยังว่าไม่ใช่ บอกว่าเขาหลบอยู่ที่เจียงหนาน ในมือดูแลการค้าขายขนาดใหญ่ แม้แต่จักรพรรดิยงเซวียนยังเดาไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วเขาไปไหน แต่ใครจะคิดได้ว่าเขาไม่ได้ไปไหนทั้งสิ้น แต่กลับเก็บตัวอยู่ใต้ตาจักรพรรดิ
สองร้อยลี้ เหอะๆ ช่างเป็นระยะห่างที่น่าสนใจยิ่งนัก
“เหมือนหรือไม่” มือสวีโย่วสะบัดพัดพับได้ ก้มหน้ามองเสื้อผ้าคนร่ำคนรวยที่ตนสวมอยู่ วันนี้เขาต้องไปวัดจยาหลาน ส่วนฐานะในวันนี้ของเขาก็คือลูกคุณชายตระกูลพ่อค้าที่ผ่านทางมา
“ไม่เหมือน” เจียงเฮยกับเจียงไป๋กล่าวขึ้นพร้อมกัน ไม่ได้บอกว่าแต่งตัวแบบนี้ไม่ได้ แต่คุณชายของพวกเขาแต่งตัวเช่นนี้มักจะทำให้คนรู้สึกขัดแย้ง พลังของผู้สูงศักดิ์ชนิดนั้นที่ออกมาจากร่างคุณชายทำให้คนไม่มีทางเมินเฉยได้
มีสำนวนว่าไว้ไม่ใช่หรือว่า ‘แม้จะสวมชุดฮ่องเต้ก็ยังไม่เหมือนรัชทายาท’ ส่วนคุณชายของพวกเขาสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งก็ยังไม่เหมือนขอทาน
“หากคุณหนูสี่แซ่เสิ่นอยู่ก็คงจะดี” จู่ๆ เจียงไป๋ก็กล่าว
เจียงเฮยเองก็ใจเต้น ทันใดนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วยเงียบๆ จำต้องยอมรับว่าคุณหนูสี่แซ่เสิ่นผู้นี้เก่งกาจจริงๆ กายเป็นหญิงแต่แต่งตัวเหมือนชายได้ก็ไม่เลวแล้ว แต่นางน่ะ กลับแต่งอะไรก็เหมือน คุณชายตระกูลขุนนางที่สูงส่ง ปัญญาชนผู้ยึดมั่นในคุณธรรม นักเลงหัวไม้ข้างถนน เด็กหนุ่มลูกชาวนาผู้ซื่อสัตย์ กระทั่งขอทานที่ขอทานอยู่ข้างถนน นางยังทำได้ง่ายๆ สมจริงอย่างยิ่ง
ได้ยินเจียงเฮยเจียงไป๋เอ่ยถึงเสิ่นเวย ดวงตาของสวีโย่วก็ปรากฏรอยยิ้มหลายส่วน ใช่แล้ว นั่นมันเด็กสาวเจ้าเล่ห์กลับกลอก มีนางอยู่ ตนก็ไม่ต้องกลุ้มใจอย่างตอนนี้ ตนโรคเก่ากำเริบ เลื่อนงานสมรสออกไป เด็กน้อยคนนั้นจะดีใจหรือว่าโมโห เป็นห่วงเขาหรือไม่ …อยู่ในจวนรอตนไปสู่ขอที่หน้าประตูอย่างเชื่อฟังหรือไม่
“ช่างเถอะ คุณชายท่านกลับไปเป็นตัวเองเถิด ท่านไม่เหมือนลูกคุณชายตระกูลเศรษฐีที่ไม่เอาไหน เจียงเฮยเจียงไป๋เองก็ไม่เหมือนสุนัขรับใช้ พวกเราต้องเปลี่ยน” ซังหลิ่งกล่าว เขาก็คือผู้จัดการร้านหนังสือผู้นั้นที่เสิ่นเวยเคยเห็น “เจียงเฮยเจียงไป๋เป็นทหารคุ้มกันของท่านดีกว่า ส่วนท่านก็เป็นคุณชายตระกูลขุนนางที่ป่วยออดแอด ที่บ้านไม่วางใจ ข้างกายมีทหารคุ้มกันติดตามหลายคนก็เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่งมิใช่หรือ”
สวีโย่วคิดครู่หนึ่ง ตอบรับแล้ว ความรู้สึกที่ผู้อื่นมีต่อเขาเดิมก็ผ่ายผอมอ่อนแออยู่แล้ว ไม่ต้องพยายามแสดงก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนขี้โรค หากไอบ่อยครั้งก็ยิ่งเหมือนเข้าไปอีก อีกทั้งยังมีเหตุผลไปวัดจยาหลานได้พอดี ‘ร่างกายไม่ดี มาไหว้พระขอพร’
เมื่อเสิ่นเวยกลับไปถึงโรงเตี๊ยมก็ขอน้ำอุ่น ยุ่งอยู่ครึ่งวัน เหงื่อออกเยอะอย่างยิ่ง เสื้อผ้าด้านหลังเปียกชุ่มหมดแล้ว เหนียวติดร่างกายไม่สบายอย่างมาก
พ่อบ้านรองเห็นเสิ่นเวยกลับมาแล้ว หัวใจทั้งดวงก็นับได้ว่าวางลงแล้ว หากคุณหนูสี่เป็นอะไรไปข้างนอก เขาเองก็ไม่ต้องกลับจวนจงอู่โหวแล้ว หาต้นไม้ที่มีกิ่งโน้มเอียงแล้วผูกคอตายได้เลย
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ทหารลับก็เข้ามารายงานข่าวด้วยตัวเอง “ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหลายสืบหาแล้ว ผู้มีอำนาจในเมืองทงโจวก็คือตระกูลหมิ่น ครอบครองพื้นที่ทางตะวันออกของเมือง คฤหาสน์หลังนั้นที่คุณชายอยู่ก่อนหน้านี้เป็นคฤหาสน์ภายใต้ชื่อพ่อบ้านใหญ่ข้างกายนายท่านสามตระกูลหมิ่น ผู้น้อยคิดว่าเรื่องนี้น่าจะหนีไม่พ้นต้องเกี่ยวข้องกับนายท่านสามตระกูลหมิ่น”
เสิ่นเวยพยักหน้า “นายท่านสามแซ่หมิ่นมีประวัติอย่างไร”
“บุตรภรรยาเอกตระกูลหมิ่นมีสามคน แม้ว่านายท่านสามแซ่หมิ่นจะถูกเรียกว่านายท่านสาม แต่กลับเป็นบุตรภรรยาเอกคนโต คนผู้นี้ค่อนข้างแผนสูง ฝีมือก็โหดเ**้ยม การค้าในมือก็มีส่วนเกี่ยวเนื่องถึงขอบเขตมากมาย ฮูหยินที่เขาแต่งงานก็มีฐานะในตระกูลดี หลายปีมานี้บ้านใหญ่ได้เปรียบมาโดยตลอด” ทหารลับกล่าว
เสิ่นเวยพยักหน้าอีกครั้ง แววตาคล้ายกำลังครุ่นคิด “คืนนี้พวกเจ้าตื่นตัวไว้”
พลลับหนึ่งตกใจ “นายท่านคิดว่าพวกเขาจะ? เช่นนั้นพวกเราขึ้นเรือกลับดีกว่าหรือไม่” พวกเขามีคนเพียงเท่านี้ อีกทั้งยังอยู่ในอาณาเขตของคนอื่น ต่อให้นายท่านจะเป็นมังกรที่แข็งแกร่ง อ้อไม่ หงส์ที่แข็งแกร่ง ก็สู้พวกอิทธิพลท้องถิ่นไม่ได้หรอก ขึ้นเรือกลับตอนกลางคืนยังดีเสียกว่า
เสิ่นเวยชายตามองเขาปราดหนึ่ง “เจ้าคิดว่านายท่านสามแซ่หมิ่นเสียหายมากเพียงนี้แล้วจะยังกล้ำกลืนฝืนทนหรือ ทำได้หรือ ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ ไม่ว่าเรื่องในวันนี้จะเป็นฝีมือของนายท่านสามแซ่หมิ่น หรือเป็นฝีมือของคนใต้บังคับบัญชาเขา ล้วนแต่ไม่ใช่เจตนาเพียงชั่วครู่ เกรงว่าพวกเขาจะจับตาดูข้ากับลูกผู้น้องอยู่นานแล้ว พวกเราไปที่ไหนพวกเขาก็รู้ได้อย่างชัดเจน มิเช่นนั้นจะรออยู่ในร้านเครื่องประดับร้านนั้นพอดีได้อย่างไร”
นายท่านสามแซ่หมิ่นผู้นั้นจะต้องไม่ใช่คนดีอะไร มิเช่นนั้นจะทำเรื่องล่อลวงคนไปขายได้หรือ วันนี้เผาคฤหาสน์ของเขาทั้งหลัง ก็นับว่าได้ระบายความแค้นแล้ว มิเช่นนั้นเสิ่นเวยคงได้จัดการเขาแล้วจริงๆ
พลลับหนึ่งและคนอื่นๆ ขมวดคิ้วเล็กน้อย “นายท่าน เช่นนั้นพวกเราก็ยิ่งควรขึ้นเรือกลับนะขอรับ”
ทว่าเสิ่นเวยกลับส่ายหน้า “ไม่ควร พวกเขาเป็นพวกอิทธิพลท้องถิ่น ต่อให้เจ้ากลับขึ้นเรือกลับแล้วเขาจะหมดหนทางหรือ ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะตายเร็วกว่าเดิม ไม่เป็นไร แม้ว่าตระกูลหมิ่นจะมีอำนาจในท้องถิ่น แต่ก็ไม่ได้มีมือค้ำฟ้า ตอนกลางคืนพวกเจ้าตื่นตัวกันหน่อยก็พอแล้ว พวกเขาเองก็ไม่กล้าทำโจ่งแจ้ง ทำได้อย่างมากที่สุดก็แค่เป่าควันสลบลอบสังหารทำนองนี้ ขอเพียงแค่ผ่านคืนนี้ไป พรุ่งนี้เช้าพวกเราก็ไปแล้ว พวกเขาคงจะไม่ตามไปถึงเมืองหลวงหรอก” นางยังหวังว่าพวกเขาจะตามไปถึงเมืองหลวง นั่นเป็นอาณาเขตของข้า จะฆ่าเจ้าไม่ได้เชียวหรือ
เห็นทหารลับทั้งหลายยังคงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นเวยก็กล่าว “หากไม่วางใจจริงๆ พลลับหนึ่ง เจ้าเอาเทียบเชิญนี้ไปขอยืมกำลังพลที่ที่ว่าการทงโจว” นางไม่ได้กังวล แต่ไม่ใช่ว่ายังมีท่านอากับลูกผู้น้องรวมถึงสาวใช้ทั้งหมดอยู่หรอกหรือ โดยเฉพาะท่านอา ท่านปู่ยังรออยู่เลย ไม่อาจให้เป็นอะไรในมือนางได้แม้แต่นิดเดียว
พลลับหนึ่งรับเทียบเชิญมา เห็นว่าเป็นของนายท่านผู้เฒ่าโหว หัวใจที่เป็นกังวลก็วางลงครึ่งหนึ่ง ด้วยบารมีของนายท่านผู้เฒ่าโหว ข้าหลวงเมืองทงโจวก็คงจะให้เกียรติหลายส่วนมิใช่หรือ
เทียบเชิญนี้ตอนที่ออกมาเสิ่นเวยยัดไว้ในอกลวกๆ เดิมคิดว่าไปอวิ๋นโจวอาจจะได้ใช้ ไม่คิดว่าจะได้ใช้มันที่เมืองทงโจวจริงๆ
เสิ่นเวยไปดูลูกผู้น้องรอบหนึ่ง เห็นฤทธิ์ยาในร่างนางยังไม่หมดไป ก็ไม่ได้ฝืนปลุกนางตื่น อย่างไรเสียพรุ่งนี้เช้านางก็ตื่นเองได้ หลังจากนั้นนางก็ไปหาท่านอา บอกนางว่าลูกผู้น้องเหนื่อย หลับไปแล้ว
เสิ่นหย่าไม่วางใจ ตั้งใจมาดูลูกสาว เห็นลูกสาวนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง นางก็ลูบหน้าผากของลูกสาวด้วยความรักจากนั้นก็ถอยออกมา “ดูท่าเด็กคนนี้จะเหนื่อย ช่างเถอะ ให้นางนอน ให้ครัวเตรียมของว่างไว้ ประเดี๋ยวหลินเอ๋อร์ตื่นมากลางดึกจะได้มีของกินรองท้อง”
เสิ่นเวยทานข้าวเย็นเป็นเพื่อนท่านอา หลังจากนั้นก็กลับไปที่ห้องของตน
เหอฮวากำลังเล่าคุณูปการความกล้าหาญของตัวเองให้คนหลายคนฟังอย่างตื่นเต้นดีใจ “เสียดายพวกเจ้าไม่เห็น คนชั่วผู้นั้นสูงเพียงนี้ แข็งแรงเพียงนี้ น่าจะจัดการข้าได้สามคน เขายิ้มเยาะกำลังจะเข้ามาจับข้า ข้าหมอบลงไป เพียงแค่ก้มตัวก็หลบได้แล้ว ข้าวิ่งเร็วมาก เขาตามข้าอยู่นานก็ยังตามไม่ทัน ฮ่าๆ ไฟในคฤหาสน์หลังนั้นข้าคนเดียวก็จุดไปสามแห่งแล้ว ใช่ไหมคุณชาย” เหอฮวาถามเสิ่นเวยอย่างคาดหวัง ภูมิใจยิ่งนัก
เสิ่นเวยยิ้มพลางพยักหน้า “ถูกต้อง วันนี้เหอฮวาของพวกเราสร้างคุณูปการใหญ่แล้ว กลับจวนไปจะปูนบำเหน็จให้สิบตำลึง”
ทว่าปากของเถาฮวากลับเบะสูงอย่างยิ่ง “คุณชายลำเอียง ท่านไม่พาข้าไปด้วย เชอะ”
“ไอหยา เถาฮวาของพวกเรารู้จักฟ้องร้องก่อนแล้ว ตอนที่ข้าออกไปเด็กน้อยคนไหนหลับเป็นลูกหมูอยู่เล่า” เสิ่นเวยบีบแก้มของเถาฮวาหยอกล้อ
สาวใช้ในห้องต่างก็หัวเราะ เถาฮวาเองก็เขินอายหลายส่วน เกาหัวบ่นพึมพำ “เช่นนั้นครั้งหน้าคุณชายจะต้องตะโกนเรียกข้า แค่ท่านตะโกนข้าก็ตื่นแล้ว”
เห็นความจริงจังบนใบหน้าเถาฮวา เสิ่นเวยรู้สึกหวานชื่นในใจอย่างไม่มีเหตุผล “ได้ ครั้งหน้าข้าจะตะโกนเรียกเถาฮวา เถาฮวาของพวกเราเก่งที่สุด”
ตอนที่ 201-2 นายท่านสามแซ่หมิ่นระหว่า...
“คุณชาย คุณชายผู้นั้นที่ตามท่านกลับมามาขอพบท่าน” เถาจือเข้ามารายงาน
เสิ่นเวยหันหลังกลับ มองเห็นคุณชายคนโง่ผู้ที่อยู่ข้างหลังเถาจือ บนร่างยังคงสวมชุดสีฟ้าอ่อนตัวนั้นอยู่ ยับย่นสกปรก มวยผมก็ยังบิดเบี้ยว แต่ใบหน้ากลับล้างสะอาดแล้ว คิ้วตรงยาว ตาดำเป็นประกาย นับได้ว่าหน้าตาดี มิน่าเล่าจึงถูกคนชอบใจจับตัวไป
เพียงแต่คนโง่ผู้นี้ดูเหมือนบุตรหลานตระกูลร่ำรวย เด็กรับใช้ที่ติดตามข้างกายเล่า คงจะไม่ได้หนีออกจากบ้านมาใช่หรือไม่ เสิ่นเวยกำลังวิจารณ์ในใจ ก็เห็นคุณชายคนโง่กล่าวอย่างน่าสงสาร “ช่วยคนก็ช่วยให้ถึงที่สุด ส่งพระพุทธเจ้าก็ส่งให้ถึงฟ้า พี่ชาย สามารถเปลี่ยนชุดให้ข้าน้อยได้หรือไม่ ชุดนี้แปดเปื้อนพลังอันสง่างามองอาจของข้าน้อย” เขาใช้นิ้วสองนิ้วคีบชุดที่ตนสวมอยู่ด้วยความรังเกียจ
ยังคิดว่าเขาจะเอาอะไร เพียงแค่อยากได้ชุด นางยังนับว่าให้ได้ “โอวหยางไน่ ชุดที่พวกเจ้าเตรียมมาไม่ต่างจากเขามากใช่หรือไม่ แบ่งชุดให้เขาเสีย”
“ไม่ ข้าน้อยต้องการผ้าไหมหางโจว” คุณชายคนโง่มองชุดบนร่างโอวหยางไน่ เอ่ยความต้องการของตน
เสิ่นเวยแบมือ “ขออภัย ร้านขายเสื้อผ้าปิดไปนานแล้ว เจ้าใส่เท่าที่มีเถอะ” ยังกล้ามาร้องขอ แบ่งให้เจ้าได้หนึ่งชุดก็ไม่เลวแล้ว
“ไม่ ข้าน้อยใส่แต่ผ้าไหมหางโจว ข้าน้อยใส่ผ้าชนิดอื่นแล้วบนร่างจะมีผื่นแดง คันเกินทน เงินทั้งหมดที่ใช้ข้าน้อยจะคืนให้พี่ชาย” คุณชายคนโง่กล่าวด้วยใบหน้าจริงจัง
เสิ่นเวยจ้องมองสีหน้าของเขา เห็นว่าไม่ได้เสแสร้ง มุมปากก็กระตุกอย่างอดไม่ได้ เป็นลูกคนรวยจริงๆ มิหนำซ้ำเขายังบอกว่าจะคืนเงิน เช่นนั้นไยนางจะต้องใจแคบไม่ให้ชุดผ้าไหมหางโจวหนึ่งชุดด้วย
“โอวหยางไน่ เจ้าไปดูที่ร้านขายเสื้อเป็นเพื่อนคุณชายท่านนี้ ใช้เงินเยอะหน่อยก็ไม่เป็นไร จะต้องให้คุณชายท่านนี้พอใจ” เสิ่นเวยกล่าวสั่ง
ทว่าคุณชายคนโง่กลับไม่ขยับ เสิ่นเวยเลิกคิ้ว “ยังมีเรื่องอะไรอีก”
บนใบหน้าคุณชายคนโง่ปรากฏความเคอะเขินหลายส่วน “พี่ชายช่วยหาสาวใช้ให้ข้าน้อยหน่อย ข้าน้อย ข้าน้อยหวีผมไม่เป็น”
“ได้ เถาจือ เจ้าไปปรนนิบัติคุณชายท่านนี้” เสิ่นเวยรับปากอย่างสบายอารมณ์ยิ่งนัก นางก็ว่าคนโง่ผู้นี้สนใจในรูปลักษณ์ภายนอกของตนเช่นนี้ เหตุใดผมถึงยุ่งเล่า ที่แท้แล้วก็หวีผมไม่เป็น เหอะๆ โรคคนรวย ลูกคนรวย
“อะไร เจ้ายังมีอะไรอีก รบกวนช่วยพูดมาทีเดียวได้ไหม” เสิ่นเวยเห็นคนโง่ยังคงไม่ไป ก็หงุดหงิดเล็กน้อยแล้ว นางไม่อยากสนทนากับคนผู้นี้เลยแม้แต่นิดเดียว หน้าตาไม่มีพิษไม่มีภัย ความจริงแล้วในใจเต็มไปด้วยแผนร้าย นางกดดันอย่างยิ่ง
คุณชายคนโง่ดูเหมือนถูกนิสัยใจร้อนของเสิ่นเวยทำให้ตกใจสะดุ้ง กล่าวอ้ำๆ อึ้งๆ “ข้าน้อยอยากถามว่าสามารถกินอะไรก่อนได้หรือไม่” เขากดท้องของตัวเอง สีหน้าเต็มไปด้วยความหงุดหงิด
เสิ่นเวยโบกมือให้เขารีบไปทันที “เถาจือ พาเขาไปกินข้าว”
รีบพาไปเลย อย่าอยู่ที่นี่ให้ขวางหูขวางตาได้หรือไม่ ตีสองหน้าเช่นนี้นางเห็นแล้วเหนื่อยใจจริงๆ รู้หรือไม่ ลูกผู้ชายเช่นเจ้า ซ้ำยังเป็นลูกผู้ชายที่มีวิทยายุทธ์ อย่าทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมตลอดเวลาได้หรือไม่ ทำเช่นนี้ก็ไม่ถูก
เถาจือเห็นนายตนหงุดหงิดแล้ว ก็ดึงแขนเสื้อคุณชายรองเดินไปข้างนอกทันที แต่เขาก็ยังหันหน้ามาตะโกนเสียงดัง “ข้าน้อยจะคืนเงินให้”
ไม่เอาเงินแล้วก็ได้ ขอแค่รีบพาไปเถอะ
หอซิ่งชุน หมิ่นซือเหนียนหน้าดำคร่ำเครียด แม่เล้าฉินแม่เล้าในหอซิ่งชุนปรนนิบัติอยู่ข้างๆ อย่างระมัดระวัง เอ้อร์กุ้ยคุกเข่าอยู่บนพื้นร้องไห้น้ำตานอง “นายท่านสาม เป็นผู้น้อยที่ไม่ได้เรื่อง เป็นผู้น้อยที่ไร้ประโยชน์ ท่านโปรดระงับโทสะ” พูดหนึ่งประโยคก็ตบหน้าตัวเองหนึ่งที ไม่นานนักใบหน้าของเขาก็แดงบวมขึ้นมา มองดูแล้วน่ากลัวอย่างยิ่ง
ตอนนี้ในใจเขาเสียใจอย่างถึงที่สุด เขาไม่ควรประจบนายท่านสามด้วยการเสนอความคิดเห็นเช่นนั้นออกมา ตอนนั้นเขาถูกหลอกได้อย่างไร คุณชายผู้นั้นดูเหมือนอ่อนแออย่างยิ่ง ใครจะรู้ว่าจะกลายเป็นจุดแข็งได้ ตอนนี้แย่แล้ว ไม่เพียงแต่คฤหาสน์พังทลาย สินค้าจำนวนมากยังหายไปอีก ด้วยนิสัยอารมณ์ร้อนของนายท่านสามจะไว้ชีวิตเขาได้อย่างไร
“นายท่านสาม จิตใจที่จงรักภัคดีต่อท่านของผู้น้อยฟ้าดินเป็นพยานได้ หากท่านเห็นแก่ความจงรักภัคดีของผู้น้อยก็โปรดไว้ชีวิตผู้น้อยครั้งนี้ด้วยเถอะ นายท่านสาม ผู้น้อยโขกศีรษะให้ท่านแล้ว” ขณะที่พูด ศีรษะนั้นก็โขกลงบนพื้นดังตุบๆๆ โลหิตสดสีแดงฉานนั้นก็ไหลลงมาตามแก้ม
ทว่าหมิ่นซือเหนียนกลับไม่ขยับ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย คล้ายกำลังหลับอยู่ แต่อันที่จริงตอนนี้ไฟโกรธในใจเขาพุ่งพล่าน กี่ปีแล้ว ตั้งแต่ที่เขาใช้อุบายโหดเ**้ยมสั่นคลอนบ้านรองและบ้านสาม จนไม่มีใครกล้ามาระรานเขาอีก แต่เด็กสองคนที่ยังไม่โตกลับต้มเขาจนเปื่อย เขาจะกล้ำกลืนความโกรธนี้ลงได้อย่างไร
แม่เล้าฉินเห็นใบหน้าเอ้อร์กุ้ยเต็มไปด้วยโลหิต ในใจก็ทนไม่ไหวหลายส่วน ผลักหมิ่นซือเหนียนเบาๆ “นายท่านสาม ไม่มีใครสมบูรณ์แบบทุกคนล้วนเคยผิดพลาด เอ้อร์กุ้ยเองก็ติดตามท่านมาหลายปีแล้ว ไม่ได้สร้างคุณูปการแต่ก็ทำงานอย่างหนักมิใช่หรือ ท่านเป็นเจ้าคนนายคนต้องใจกว้าง ให้อภัยเขาสักครั้งเถอะ”
อันที่จริง แม่เล้าฉินพูดประโยคขอความเมตตานี้ออกมาในใจก็พะว้าพะวงเช่นกัน แม้ว่าหอซิ่งชุนแห่งนี้จะเป็นของนาง แต่เงินที่ทำงานแลกมาครึ่งหนึ่งกลับตกอยู่ในมือของหมิ่นซือเหนียน แม้แต่ตัวนางเองยังเป็นของที่หมิ่นซือเหนียนหวงแหน แต่นางเองก็หมดหนทาง ไม่พึ่งเขา หอซิ่งชุ่นแห่งนี้ก็ประคับประคองไม่ไหวหรอก
แม่เล้าฉินติดตามหมิ่นซือเหนียนมาสิบกว่าปีแล้ว รู้นิสัยของเขาเป็นอย่างดี แม่นางในหอซิ่งชุนแห่งนี้ไม่มีใครไม่กลัวเขา เมื่อเจ้าทำผิด เขาก็จะใช้แส้โบยทันที โบยจนเจ้าอยากตายไปเสียยังดีกว่า
“ลุกขึ้นเถอะ” ในขณะที่แม่เล้าฉินอดสั่นระริกไม่ได้ หมิ่นซือเหนียนก็เอ่ยปาก
เอ้อร์กุ้ยราวกับได้รับนิรโทษกรรม กล่าวอย่างประหลาดใจ “ขอบคุณนายท่านสามที่เมตตา ขอบคุณนายท่านสามที่เมตตา” ดีจริงๆ ในที่สุดก็ไม่ต้องถูกโบยแล้ว แส้ของนายท่านสามไม่เหมือนแส้ทั่วไป บนแส้ของนายท่าสามมีหนาม โบยลงไปบนตัวก็สามารถดึงเนื้อของคนออกมาด้วย แส้โบยลงมาพักหนึ่ง ใครบ้างไม่ต้องนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงครึ่งปี ครึ่งปีหายดีแล้ว ข้างกายนายท่านสามก็มีคนใหม่ไปนานแล้ว ไหนเลยจะมีที่ของเจ้าอยู่
ตอนนี้ชายสวมชุดจอมยุทธ์ผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เรียกนายท่านสามหนึ่งครา จากนั้นจึงกล่าว “ผู้น้อยไปสืบมาแล้วขอรับ เด็กหนุ่มสองคนนั้นพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมหรงฝู ข้างกายคล้ายมีทหารคุ้มกันที่มีความสามารถอย่างยิ่งติดตามอยู่หลายคน”
ในดวงตาของหมิ่นซือเหนียนมีแสงเย็นเยียบกะพริบผ่าน เด็กน้อย คิดว่ามีที่พึ่งแล้วจึงไม่กลัวงั้นหรือ ทำลายเกียรติข้าแล้ว ไม่หนี แต่กลับลอยหน้าลอยตาอยู่ต่อ คิดจริงๆ หรือว่าตนเป็นมังกรเก่งกาจ ในอาณาเขตเมืองทงโจวแห่งนี้ ข้าเป็นผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอะไร เป็นมังกรเจ้าก็ต้องก้มหัวให้ข้า เป็นเสือเจ้าก็ต้องหมอบลงให้ข้า กล้ามายุแหย่ข้า คิดว่าข้าฆ่าเจ้าไม่ได้หรือ
“รู้ภูมิหลังของพวกเขาหรือไม่” หมิ่นซือเหนียนถาม
“คนที่จับกลับมาคนแรกดูเหมือนจะเป็นคุณชายตระกูลร่ำรวย ไม่เคยออกจากบ้านมาก่อน คนก็โง่เขลา” ผู้ใต้บังคับบัญชานึกถึงเหตุการณ์ที่คนโง่ผู้นั้นให้เงินจำนวนมากแก่ขอทานข้างถนน ทำให้คนมาแย่งชิง ส่วนเขาที่ไร้ประสบการณ์ก็เข้าไปไกล่เกลี่ยจนแทบจะถูกตีพักหนึ่ง
“สำหรับเด็กคนหลังคล้ายเป็นบุตรหลานขุนนาง ได้ยินเด็กในโรงเตี๊ยมหรงฝูบอกว่าพวกเขามีนายสามคน ญาติผู้พี่ ญาติผู้น้อง และกูไหน่ไนอีกหนึ่งคน คล้ายจะกลับเมืองหลวงไปเยี่ยมญาติ นายท่านสาม ท่านคิดว่า?” ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นั้นกล่าวไปพลาง สีหน้าก็มีความลังเลหลายส่วน
ตระกูลหมิ่นไม่มีใครในทงโจวกล้ายุแหย่ แม้แต่ใต้เท้าข้าหลวงก็ต้องให้เกียรติหลายส่วน แต่อย่างไรเสียเด็กคนนั้นก็เป็นบุตรหลานตระกูลขุนนาง แต่ไหนแต่ไรมาประชานชนสู้ขุนนางไม่ได้ ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังเด็กคนนั้นมีความสัมพันธ์ที่ยุ่งยากซับซ้อนอะไรหรือไม่
ทว่าหมิ่นซือเหนียนกลับไม่คิดเช่นนี้ เป็นบุตรหลานขุนนางแล้วอย่างไร คุณชายคุณหนูตระกูลขุนนางที่ส่งผ่านมือเขาออกไปมีน้อยหรือไร ถึงตอนนั้นทิ้งศพไว้ที่ก้นแม่น้ำ ลบร่องรอยทั้งหมด ใครจะสืบสาวมาถึงตัวเขาได้อีก ต่อให้สืบมาถึงตัวเขาเขาก็ไม่กลัว หลักฐาน หลักฐานเล่า ไม่มีหลักฐานแล้วจะทำอะไรเขาได้
“คืนนี้เจ้าพาคนฝีมือดีไปให้มากหน่อย ให้คนในเมืองทงโจวได้เห็นจุดจบของคนที่ยุแหย่นายท่านสามแซ่หมิ่นเช่นข้า” หมิ่นซือเหนียนวางแก้วชาลงบนโต๊ะอย่างแรง ใบหน้าเต็มไปด้วยความดุร้าย
ตอนนี้ใต้เท้าอวี๋ข้าหลวงเมืองทงโจวถือเทียบเชิญของจวนจงอู่โหวลำบากใจไม่สิ้นสุด นี่ นี่มันเรื่องอะไรกัน คุณชายจวนจงอู่โหววิ่งมาถึงเมืองทงโจวได้อย่างไร ซ้ำยังไปสร้างความแค้นให้หมิ่นเหล่าซานตัวปัญหาผู้นั้นอีก ตระกูลเจ้าสองคนผูกพยาบาทก็ผูกพยาบาทไปสิ เหตุใดต้องลากข้าเข้าไปเกี่ยวด้วย
คุณชายสี่แซ่เสิ่นมาขอยืมคนจากเขา เขาจะให้ยืมหรือไม่ให้ยืมดี หากให้ยืม ผิดใจหมิ่นเหล่าซาน ตระกูลหมิ่นเป็นผู้มีอำนาจในท้องถิ่น ไปขัดขาเขาก็ไม่ใช่เรื่องที่จะจัดการได้ง่ายๆ หลายปีมานี้เขากับตระกูลหมิ่นต่างคนต่างอยู่ กลับไม่มีปัญหาอะไร แม้ว่าเขาจะไม่กลัวตระกูลหมิ่น แต่ขอเพียงแค่เขายังดำรงตำแหน่งข้าหลวงเมืองทงโจวอยู่ ก็ไม่ควรผิดใจตระกูลหมิ่นมากเกินไป
หากไม่ให้ยืม ผิดใจจวนจงอู่โหว ภูมิหลังนี้ใหญ่เสียยิ่งกว่า มีใครไม่รู้บ้างว่านายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหวผู้นั้นเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่จักรพรรดิโปรดปราน หากคุณชายสี่แซ่เสิ่นเกิดเรื่องขึ้นในอาณาเขตเมืองทงโจว เช่นนั้นตำแหน่งข้าหลวงของเขาก็อยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะนำหายนะมาสู่คนในครอบครัวอีกด้วย
ให้ยืมหรือว่าไม่ให้ยืม ข้าหลวงอวี๋ขมวดคิ้วเดินไปเดินมา ท้ายที่สุดก็ยังตัดสินใจไม่ได้
ตอนนี้นอกประตูมีเสียงฝีเท้าดังเข้ามา ตามมาด้วยเสียงของฮูหยิน คิ้วของข้าหลวงอวี๋ก็ยิ่งขมวดมุ่น “ฮูหยินมาได้อย่างไร”
อวี๋ฮูหยินมองค้อนสามีปราดหนึ่ง “ไม่ใช่กลัวว่านายท่านจะตัดสินใจผิดหรือไร” ที่เรือนหน้านางเองก็มีคนสนิท ย่อมรู้เรื่องที่คุณชายสี่จวนจงอู่โหวมายืมคนแล้ว นางจึงรีบตามมาทันที
ข้าหลวงอวี๋โบกมือ “สตรีเช่นเจ้าจะรู้อะไร อยู่นิ่งๆ ในเรือนหลังก็พอแล้ว ข้าว้าวุ่นใจอยู่ เจ้าอย่ามากวนข้า”
อวี๋ฮูหยินร้อนใจแล้ว “ข้าว่านะนายท่าน ท่านอย่าได้ทำเรื่องโง่เขลาเลย ในเมื่อคุณชายสี่จวนจงอู่โหวมาขอยืมกำลังคน เช่นนั้นก็หมายความว่าเขาชอบท่าน โอกาสผูกสัมพันธ์อันดีเช่นนี้ท่านอย่าได้โง่ปฏิเสธเลย นั่นเป็นถึงจวนโหว หากเป็นเวลาปกติ เขาจะเห็นหัวพวกเราหรือ นายท่านดำรงตำแหน่งมาสามสมัยแล้ว เหตุใดถึงไม่เลื่อนขั้นเสียที ไม่ใช่เพราะว่าพวกเราไม่มีหนทางหรอกหรือ ตอนนี้โอกาสที่ส่งมาตรงหน้าท่านต้องคว้าไว้” นางจับแขนของสามี กลัวว่าเขาจะพลาดโอกาสอันดี
ข้าหลวงอวี๋ยังคงสนใจเล็กน้อยจริงๆ จริงอย่างที่ฮูหยินว่า เขาดำรงตำแหน่งข้าหลวงอยู่ที่อวิ๋นโจวมาสามสมัยแล้ว อยากจะเลื่อนขั้นมานานแล้ว แต่จนปัญญาไร้หนทาง จึงต้องปล่อยเวลาผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์เช่นนี้มาโดยตลอด
หากอาศัยจวนจงอู่โหวที่พึ่งนี้ มีนายท่านผู้เฒ่าโหวผู้นั้นช่วยตนพูดสักประโยคสองประโยค เช่นนั้นตนก็คงจะ…
“แต่ว่าตระกูลหมิ่นเล่า” นางลังเลอีกครั้ง
“ไอหยา นายท่านผู้โง่เขลาของข้า ท่านเป็นใต้เท้าข้าหลวง ตระกูลหมิ่นจะทำอะไรท่านได้ จะยังทำร้ายท่านได้หรือ อย่างมากก็แค่สร้างความรำคาญให้ท่าน แต่ตำแหน่งนี้ท่านก็เหลืออีกเพียงครึ่งปี สร้างความรำคาญจะสร้างได้ถึงไหน หากท่านไม่สบายใจจริงๆ ก็แอบส่งจดหมายให้หมิ่นเหล่าซาน ให้เขาหาวิธีเอง หากเขายอม นายท่านก็จะกลายเป็นผู้ไกล่เกลี่ย สองฝ่ายไกล่เกลี่ยกันแล้ว เปลี่ยนจากสงครามสู่สันติภาพ ก็เป็นผลดีของทั้งสองฝ่ายมิใช่หรือ”
ข้าหลวงอวี๋ตาลุกวาวในชั่วขณะ ใช่แล้ว ความคิดนี้ดี เหตุใดเขาถึงคิดไม่ได้เล่า “ยังคงเป็นฮูหยินที่มีความคิดเหนือชั้น” เขายื่นหัวแม่มือออกไปกล่าวชม
ตอนที่ 202-1 การปะทะระหว่างทางกลับเมื...
หลังจากใต้เท้าไปแล้ว หมิ่นซือเหนียนก็คว้าแก้วชาบนโต๊ะขึ้นมาแล้วขว้างลงบนพื้นอย่างแรง คนที่ยืนรับใช้อยู่ภายในห้องต่างก็ใจสั่น ก้มหน้างุดอยากจะให้ตัวเองหายไปจากตรงนี้
“นายท่านสาม ท่านว่าใต้เท้าอวี๋มีเจตนาอันใด” ชายสวมชุดจอมยุทธ์เป็นคนสนิทอันดับหนึ่งของหมิ่นซือเหนียน เขาส่งสายตาให้แม่เล้าฉิน รั้นจะถามกลับ
แม่เล้าฉินเองก็เป็นคนฉลาด ไม่เรียกคนใช้ แต่เก็บกวาดเศษแก้วบนพื้นด้วยตัวเอง การเคลื่อนไหวเบายิ่งนัก กลัวว่าหากมีเสียงแม้แต่นิดเดียวจะยั่วยุไฟโกรธของหมิ่นซือเหนียน
หมิ่นซือเหนียนยิ้มเยาะ “เจตนาอันใดงั้นหรือ เพียงแค่เตือนข้าว่านั่นไม่ใช่คนที่ข้าจะผิดใจได้ก็เท่านั้น” อวี๋เซวียนตาเฒ่านั่นกลับเอาตัวรอดได้ ไม่กล้าผิดใจตนเอง แต่ก็ไม่อยากผิดใจคุณชายจวนจงอู่โหวอะไรนั่น เหอะ ใต้หล้าไหนเลยจะมีเรื่องที่ง่ายเพียงนั้น
แต่ว่าเด็กนั่นคือคุณชายจวนจงอู่โหวในเมืองหลวง นี่กลับทำให้เขาประหลาดใจ แต่หลังจากนั้นเมื่อคิดดูแล้วก็เข้าใจ จวนจงอู่โหวตั้งตระกูลจากการทหาร ข้างกายคุณชายจวนโหวจะไร้คนติดตามหลายคนได้อย่างไร มิน่าเล่าเร็วเพียงนั้นถึงได้หาคฤหาสน์เจอแล้ว
ภูมิหลังค่อนข้างใหญ่ แม้ว่าหมิ่นซือเนียนจะไม่กลัว แต่ก็รู้สึกจัดการยากเล็กน้อย
“นายท่าสาม เช่นนั้นคืนนี้พวกเรา?” ชายในชุดจอมยุทธ์ถามต่อ ในใจเขาเองก็ยังคงหวาดกลัวอยู่หลายส่วน ให้ตายเถอะ นั่นคือคุณชายจวนโหว คืนนี้ผู้ที่เขาต้องพาคนไปจู่โจมคาดไม่ถึงว่าเป็นคุณชายจวนโหว ปู่เขากระดิกนิ้วก็บดขยี้ตนได้แล้วมิใช่หรือ โชคดีที่ใต้เท้าอวี๋นำข่าวนี้มาบอก ไม่เหมือนหมิ่นซานเหนียนที่เดือดดาล เขากับรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง
“ถูกคนเปิดเผยตัวแล้ว ยังจะไปทำไมอีก” หมิ่นซือเนียนกล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี “ไม่ใช่ใต้เท้าอวี๋พูดหรือว่า เขาส่งกำลังคนไปแล้ว พวกเราไปจะยังได้อะไรขึ้นมา” อวี๋เซวียนสมควรตายผู้นี้
ชายในชุดจอมยุทธ์ถอนหายใจยาวโล่งอกอยู่เงียบๆ ในใจ
เสิ่นเวยทราบว่าพลลับหนึ่งไปยืมคนจากใต้เท้าข้าหลวงมาได้สำเร็จ เข้าใจเรื่องราวที่ผ่านมาแล้ว มุมปากนางก็ยกขึ้น ดูท่าแล้วคืนนี้จะหลับสบายได้แล้ว สำหรับจิตใจของใต้เท้าข้าหลวงผู้นั้นนางกลับเดาได้หลายส่วน นางไม่ถือสาเลยแม้แต่นิดเดียว เรื่องบนโลกก็เป็นเช่นนี้ แวดวงขุนนางก็เป็นเช่นนี้ ขอเพียงแค่ใต้เท้าข้าหลวงผู้นี้ไม่ใช่คนเลอะเลือน นางก็ไม่ถือสาที่จะผูกพันธมิตรเพิ่มอีกหนึ่งคน
หลายปีมานี้ที่ใช้ชีวิตมา รวมกลุ่มกันจึงจะไปได้ไกล สู้เพียงลำพังเรี่ยวแรงยังคงไม่พอ
หมิ่นซือเหนียนไม่มีอารมณ์กินอาหารชั้นดีที่วางอยู่เต็มโต๊ะเลยแม้แต่นิดเดียว ก้มหน้าดื่มสุราแก้วแล้วแก้วเล่า แม่เล้าฉินที่รินสุราอยู่ข้างๆ ก็อกสั่นขวัญแขวน แม้จะรู้ว่าหมิ่นซือเหนียนคอแข็ง แต่ก็ไม่อาจดื่มหนักเช่นนี้ได้ ดื่มจนเมาแล้วยังไม่รู้ว่าจะทรมานตัวเองอย่างไร นึกถึงนิสัยของหมิ่นซือเหนียน สีหน้าแม่เล้าฉินก็ซีดลงหลายส่วนอย่างอดไม่ได้
“นายท่านสาม เอาแต่ดื่มสุราเช่นนี้จะไปสนุกอะไร ให้ข้าเรียกแม่นางหลายคนมาขับเพลงให้ท่านอารมณ์ดีดีหรือไม่ ช่วงนี้ซูซูเรียนเพลงบทใหม่หลายบท ท่านยังไม่เคยฟังมิใช่หรือ ไม่สู้เรียกนางมา…”
พูดยังไม่ทันจบก็ถูกหมิ่นซือเหนียนตัดบท “ขับเพลงอะไร หนวกหู ข้ากลุ้มใจ เจ้านั่งลง ดื่มเป็นเพื่อนข้าสองแก้ว”
“เจ้าค่ะ ข้ารับคำสั่ง” ต่อให้แม่เล้าฉินจะไม่ยินยอมก็ต้องดื่มสุราเป็นเพื่อนอย่างยินดี
หมิ่นซือเหนียนยิ่งดื่มตาก็ยิ่งเป็นประกาย แม่เล้าฉินยิ่งดื่มจิตใจก็ยิ่งเต้น กล่าวด้วยความกล้าหาญ “นายท่านสาม พอได้แล้วกระมัง ข้าไม่ไหวจริงๆ” สุราออกฤทธิ์ ทั้งใบหน้าของแม่เล้าฉินก็แดงก่ำ
ทว่าหมิ่นซือเหนียนไม่สนใจนาง กลับขึ้นเสียงเรียก “เอ้อร์กุ้ย เข้ามา”
เอ้อร์กุ้ยที่ยืนรับใช้อยู่ข้างนอกวิ่งเข้ามาทันที รอยเลือดบนศีรษะเขาล้างสะอาดแล้ว ศีรษะทั้งศีรษะพันผ้าขาวไว้หนึ่งรอบ มองไปแล้วดูตลกอย่างถึงที่สุด
“นายท่านสาม ท่านมีอะไรรับสั่งหรือขอรับ” บนใบหน้าเขามีรอยยิ้มสอพลอ ท่าทางเป็นสุนัขรับใช้
มือที่ถือแก้วของหมิ่นซือเหนียนหยุดชะงัก จากนั้นจึงจรดแก้วสุราไว้ตรงมุมปาก เงยหน้า สุราในแก้วก็ลงท้องไปทั้งหมด “ไปเชิญอาจารย์เฮ่อมา” ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งไม่ยินยอม หากปล่อยให้จบเช่นนี้ในภายหน้าเขาก็คงจะต้องกินไม่ได้นอนไม่หลับไปอีกนาน
เอ้อร์กุ้ยตกตะลึง ทันใดนั้นก็กล่าวด้วยความเคารพ “ขอรับ บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้”
เอ้อร์กุ้ยติดตามหมิ่นซือเหนียนมาหลายปีแล้ว ย่อมต้องเข้าใจเจตนาในการเรียกอาจารย์เฮ่อผู้นี้ อาจารย์เฮ่อเป็นบุคคลพิเศษอย่างยิ่งข้างกายนายท่านสาม จัดการปัญหายุ่งยากจำนวนหนึ่งให้นายท่านโดยเฉพาะ ปกติก็อยู่แต่ในเรือนของตน ไม่ชอบออกจากบ้าน เรือนหลังนั้นของเขาคนอื่นไม่ก็ชอบเข้าไป เหตุใดน่ะหรือ เอ้อร์กุ้ยก็บอกไม่ถูก แต่มักจะรู้สึกว่าเรือนของอาจารย์เฮ่อมืดทะมึน เมื่อเข้าไปก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่มีเหตุผล
อาจารย์เฮ่อมาเร็วอย่างยิ่ง “นายท่านสาม” เขาประสานมือคารวะหมิ่นซือเหนียน ท่าทางตามอำเภอใจอยางถึงที่สุด มีความสง่างามที่บอกไม่ถูก เสียงคาดไม่ถึงว่าไพเราะอย่างถึงที่สุด ไม่เข้ากับภาพลักษณ์ภายนอกของเขาอย่างสิ้นเชิง
อาจารย์เฮ่อดูไม่มีความกลุ้มใจเลยแม้แต่น้อย กลับเหมือนนักปราชญ์ที่มีความรู้ผู้หนึ่ง ในดวงตาที่ลุ่มลึกหนึ่งคู่เต็มไปด้วยความเมตตาและรอยยิ้ม
หมิ่นซือเหนียนเองก็ไม่ได้ถือสาที่เขาไม่ถ่อมตน แต่กลับกล่าวอย่างสุภาพ “ครั้งนี้ต้องรบกวนอาจารย์ออกมือแล้ว”
“ไม่เป็นไร นายท่านสามเชิญรับสั่ง” อาจารยเฮ่อกล่าว
หมิ่นซือเหนียนตาลุกวาว เล่าเรื่องให้ฟังหนึ่งรอบ อาจารย์เฮ่อก็กล่าวต่อ “นายท่านสามหวังจะให้ทำถึงระดับใด”
หมิ่นซือเหนียนครุ่นคิดครู่หนึ่งจากนั้นก็กล่าวอย่างไม่ยินยอม “ให้บทเรียนเสียหน่อย ไม่ต้องเอาชีวิตก็พอ” เด็กโง่คนนั้นเผาคฤหาสน์ของเขา ทั้งยังปล่อยสินค้าที่เขาหามาด้วยความยากลำบากหนึ่งกลุ่มใหญ่ หากปล่อยเขาไปอย่างไม่มีบาดแผลเลยแม้แต่นิดเดียว เขาจะกล้ำกลืนความแค้นนี้ได้อย่างไร
คุณชายจวนจงอู่โหวแล้วอย่างไร เอาชีวิตเจ้าไม่ได้แล้วยังจะคิดดอกเบี้ยให้ข้าไม่ได้อีกหรือ มิหนำซ้ำใครจะรู้ว่าเรื่องนี้ข้าเป็นคนทำ คนของข้าไม่ได้ขยับอย่างสิ้นเชิง
ดังเช่นตระกูลใหญ่ทรงอำนาจ ตระกูลใดบ้างไม่มีไพ่ลับหลายๆ ใบ และอาจารย์เฮ่อก็คือไพ่ลับหนึ่งใบที่ดีที่สุดในมือหมิ่นซือเหนียน อันที่จริงเขาเองก็ไม่รู้ว่าอาจารย์เฮ่อเป็นใครมาจากไหน กระทั่งไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาแซ่เหอ หรือว่าในชื่อมีอักษรเฮ่ออยู่ เขาเพียงแค่บังเอิญช่วยชีวิตเขาไว้หนึ่งครั้ง เขาจึงติดตามเขามาตระกูลหมิ่น หลายปีมานี้ช่วยเขาจัดการเรื่องที่เขาไม่สะดวกออกมือไม่น้อย ทำให้ฐานะในตระกูลหมิ่นของตนมั่นคงยิ่งขึ้น ความระมัดระวังตัวในตอนแรกที่เขามีต่ออาจารย์เฮ่อก็กลายเป็นความเชื่อใจและเคารพอย่างเช่นในตอนนี้
ราตรีมืดมิดสายลมกรรโชก ควรค่าแก่การสังหารวางเพลิง อาจารย์เฮ่อยืนอยู่บนหลังคาเงยหน้ามองนภาที่ดำมืด ดวงจันทร์ในคืนนี้ราวกับสัมผัสได้ถึงความไม่สงบ มักจะหลบเข้ากลีบเมฆอยู่เสมอ ดวงดาราก็ไม่มากเช่นกัน ประหนึ่งง่วงนอน กะพริบตาอย่างโรยแรง หากเป็นกลางวัน เจ้าจะต้องมองเห็นความทุกข์ตรมในแววตาของอาจารย์เฮ่อ เสมือนพระพุทธเจ้าที่โปรดสรรพสิ่งอยู่บนตำหนัก
แม้เสิ่นเวยจะบอกว่าโหยหาการนอนหลับสนิท แต่ความตื่นตัวที่ฝึกฝนมาในหลายปีนี้ก็ยังคงอยู่ แทบจะในทันทีที่อาจารย์เฮ่อจรดเท้าลงที่นอกประตูนางก็รู้สึกตัวแล้ว นางนอนอยู่บนเตียงไม่ขยับ แต่มือกลับคลำไปใต้หมอน
เสิ่นเวยลืมตาอยู่ กุมกริช ร่างทั้งร่างกระชับตึง เตรียมพร้อมโจมตีทุกเมื่อ
รออยู่นานแล้วก็ยังไม่มีควันสลบ ซ้ำยังไม่มีการจู่โจม ในห้องกลับมีเสียงถอนหายใจดังขึ้นมา “คุณชายท่านนี้ตื่นแล้วสินะ”
เสิ่นเวยตกใจ แต่กลับไม่ได้ส่งเสียง กระทั่งลมหายใจก็ไม่เปลี่ยน นางไม่แน่ใจว่าคนที่มาหลอกนางหรือไม่ ทำได้เพียงเตรียมระวังอยู่เงียบๆ
หึ เสียงหัวเราะเบาๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นอีกครั้ง “กลับเป็นคนรอบคอบดีนี่ มีสหายเดินทางไกลมาหา ไม่ใช่ควรลุกจากเตียงมาต้อนรับหรอกหรือ”
คนผู้นี้สติไม่ดี นี่คือความคิดแรกของเสิ่นเวย กลางดึกยามสามเข้ามาในห้องคนอื่น นี่ไหนเลยจะเป็นเรื่องที่สหายทำกัน ศัตรูสิไม่ว่า ตอนนี้ เสิ่นเวยเพิ่งจะมั่นใจได้ว่าผู้ที่มารู้ว่านางตื่นแล้ว ลมปราณของนางก่อนหน้านี้ก็หลุดไปเล็กน้อย คาดว่าถูกคนสังเกตเห็นแล้ว
“บนโต๊ะมีคบไฟ รบกวนสหายจุดเทียนไขที พวกเราจะได้นั่งสนทนากันยามค่ำคืน” เสิ่นเวยเอ่ยปากกล่าว
หึ เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นอีกครั้ง “เช่นนั้นพวกเราจะคุยอะไรกันดีเล่า” ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความสนใจ ราวกับว่าเสิ่นเวยเล่าเรื่องตลกอย่างยิ่ง
“ย่อมต้องพูดคุยเรื่องชีวิตเอยความคิดเอยต่างๆ นานา จะได้ถือโอกาสพูดคุยว่ากลางดึกสหายไม่หลับไม่นอนแอบเข้ามาหาข้าทำไม นิสัยเช่นนี้ไม่ดีเลย” พูดยังไม่ทันขาดคำ คนก็จู่โจมเข้ามาแล้ว กริชในมือแทงไปยังผู้ที่มาอย่างโหดเ**้ยม
ผู้ที่มาคล้ายรู้ว่าเสิ่นเวยจะทำเช่นนี้ เท้าก้าวหนึ่งจังหวะก็หลบกริชของเสิ่นเวยได้แล้ว ระหว่างนั้นเสิ่นเวยก็แทงเข้ามาอีกสี่ห้าครั้ง ล้วนแต่ถูกผู้ที่มาหลบได้ทั้งสิ้น
ปังๆๆ ชั่วพริบตาทั้งสองก็ผลัดกันโจมตี ท่ามกลางความดำมืดก็ผ่านไปสิบกว่ากระบวนท่าแล้ว แต่กลับไม่มีใครยอมใคร เสิ่นเวยกล่าวในใจ แย่ล่ะ นี่มันยอดฝีมือ คนผู้นี้หลบทหารลับได้ จะต้องมีความสามารถมากแน่ๆ เขาติดอยู่กับนางที่นี่ ไม่รู้เหมือนกันว่าที่ห้องท่านอาและลูกผู้น้องจะมีคนหรือไม่ หากมี เช่นนั้นก็แย่แล้วจริงๆ
อาจารย์เฮ่อที่มาก็ประหลาดใจเช่นกัน ไอหยา คุณชายจวนโหวที่ว่าผู้นี้เก่งอย่างยิ่งจริงๆ มิน่าเล่าหมิ่นเหล่าซานถึงได้เสียเปลี่ยนในมือเขา ตอนที่มาเขาคิดไว้แล้วว่า ในเมื่อหมิ่นเหล่าซานบอกว่าให้ไว้ชีวิต เช่นนั้นเขาตัดขาเขาไปข้างหนึ่งก็พอแล้ว คุณชายจวนโหวที่ขาด้วนจะต้องน่าสนใจอย่างยิ่ง ตอนนี้ดูท่าแล้วคงจะไม่ง่ายยิ่งนัก
ชั่วพริบตาก็ผ่านไปอีกสิบกว่ากระบวนท่า แม้เสิ่นเวยจะไม่เสียเปรียบ แต่นางก็รู้ว่าสู้ต่อไปเช่นนี้ก็ไม่ได้ ในเมื่อรีบรบรีบจบไม่ได้ เช่นนั้นก็ต้องหาคนช่วยแล้ว
เมื่อเกิดความคิดนี้ เสิ่นเวยก็ถีบโต๊ะอย่างแรง กระแทกไปกับประตู ส่งเสียงดังสนั่นอย่างยิ่ง
“แย่แล้ว รีบไปคุ้มกันนายท่าน” ในที่สุดโอวหยางไน่กับทหารลับก็ได้ยินการเคลื่อนไหว นอกจากคนที่คุ้มกันเสิ่นหย่าสองแม่ลูกจะไม่ขยับ คนทั้งหมดที่เหลือก็วิ่งไปทางห้องของเสิ่นเวย แม้แต่คุณชายคนโง่ผู้นั้นก็มาแล้วเช่นกัน
“พี่ชายไม่ต้องกลัว ข้าน้อยมาช่วยท่านแล้ว” คุณชายคนโง่ อ้อไม่ เขาบอกเสิ่นเวยเองว่าเขาแซ่ฟู่ คุณชายฟู่ตะโกนเสียงดังโผเข้ามาหาอาจารย์เฮ่อทันที
มุมปากของเสิ่นเวยกระตุกเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าหมอนี่ถือเทียนมาด้วย ห้องที่เขาอยู่ห่างจากห้องของเสิ่นเวยระยะหนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาปกป้องไฟไม่ให้ดับทั้งยังวิ่งมาเร็วเพียงนั้นได้อย่างไร
ตอนที่ 202-2 การปะทะระหว่างทางกลับเมื...
คุณชายฟู่โยนเทียนในมือไปบนร่างอาจารย์ฟู่ ยกหมัดขึ้นแล้วต่อยออกไป ท่ามกลางแสงไฟเสิ่นเวยมองเห็นโฉมหน้าของอาจารย์เฮ่อ ประหลาดใจอย่างอดไม่ได้ มือสังหารไม่ใช่หน้าตาโหดเ**้ยมดุร้ายน่ากลัวหรอกหรือ เหตุใดมือสังหารผู้นี้ถึงได้เหมือนนักปราชญ์เลยเล่า
มีคุณชายฟู่กับทหารลับเข้ามา ชั่วขณะเสิ่นเวยก็ผ่อนคลายลง โดยเฉพาะคุณชายฟู่ผู้นั้น ต่อยไปทางขวา เตะไปทางซ้าย อีกทั้งยังร้องฮือๆ ไม่หยุด ประหนึ่งจนตรอกอย่างยิ่ง แต่เสิ่นเวยสังเกตเห็นว่าเขาสามารถหลบกระบวนท่าสังหารในอันตรายซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้ทุกครั้ง อย่าเห็นว่าเขาร้องโวยวาย ความจริงแล้วไม่ได้ถูกโจมตีเลย
นี่ทำให้เสิ่นเวยยิ่งมั่นใจว่าหมอนี่ทำซื่อเป็นแมวนอนหวด จึงปล่อยให้เขาร้องตวาดไป ทำให้มือสังหารสับสนวุ่นวายจึงจะดี น่าเสียดายที่เป้าหมายที่นางปรารถนากำลังจะล้มเหลวแล้ว อาจารย์เฮ่อสีหน้าไม่สะทกสะท้าน กระบวนท่าก็ดุดัน ไม่ได้รับผลกระทบจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง
อาจารย์เฮ่อรู้ว่าวันนี้โจมตีไม่ได้แล้ว ต่อให้วรยุทธ์เขาจะสูงก็ยากจะต่อสู้กับศัตรูหลายคน โดยเฉพาะเด็กที่โวยวายผู้นี้ เขาจะจัดการเขาอย่างไร ปลายกระบี่อยู่ห่างจากเขาตั้งไกลก็ร้องจนห่างออกไปสิบลี้ก็ยังได้ยิน แต่ว่าที่เด็กคนนี้ทำเป็นศิลปะการป้องกันตัวของตระกูลฟู่ เขาเป็นอะไรกับฟู่เซิ่งเทียนกัน
อาจารย์ฟู่คาดการณ์ได้ว่าไม่ดีแล้ว เก็บพิรุธแล้วใช้กระบวนท่าหนึ่งกระโดดออกมาจากวงล้อม ประหนึ่งลูกนกนางแอ่นที่โผบินเข้าป่า ขึ้นๆ ลงๆ ไม่กี่ครั้งก็หายไปในแสงยามราตรีที่ไร้ขอบเขตแล้ว
ทหารลับจะตามไป ถูกเสิ่นเวยห้ามไว้ “ไม่ต้องตามแล้ว” ตามไปแล้วอย่างไร อย่าได้ตกหลุมพรางกลยุทธ์ล่อเสือออกจากถ้ำของเขาเด็ดขาด ปกป้องโรงเตี๊ยมให้ดีก่อน อย่าให้เขาได้มีโอกาสอีก
เสิ่นหย่าตกใจตื่นแล้ว ตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่ทำก็คือวิ่งไปที่ห้องลูกสาว เห็นลูกสาวยังคงนอนหลับสนิท ก็วางใจลง ตอนนี้เห็นเสิ่นเวยเข้ามา นางก็จับมือของเสิ่นเวยไว้ทันที “หลานสี่ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น” นางถูกเยว่ว์กุ้ยคุ้มกันไว้ในห้อง แต่นางได้ยินเสียงดาบกระบี่ปะทะกันข้างนอก นางกลัวยิ่งนัก แม้ว่าหลานสี่จะมีความสามารถ แต่อย่างไรเสียก็เป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง
“ท่านอา ข้าไม่เป็นไร เพียงแค่โจรขโมยของคนหนึ่ง ไล่เขาหนีไปแล้ว ท่านรีบไปพักเถอะ พรุ่งนี้เช้าพวกเราก็ขึ้นเรือแล้ว ท่านต้องพักผ่อนให้เพียงพอ” เสิ่นเวยกล่าวอย่างเรียบง่าย ทั้งยังปลอบขวัญท่านอานางอยู่พักหนึ่งจึงกล่อมให้นางกลับไปได้
โอวหยางไน่พาคนไปตรวจดูรอบหนึ่ง ส่ายหน้าให้เสิ่นเวย “ไม่มีความผิดปกติ คาดว่ามาแค่ผู้นี้ผู้เดียว” เสิ่นเวยพยักหน้าเบาๆ วางใจลงแล้ว
ส่วนกำลังคนหนึ่งกลุ่มที่ยืมมาจากใต้เท้าอวี๋ตอนนี้ต่างก็เข้ามาแล้ว คนผู้นั้นที่นำมาสีหน้าเหยเก เจ้าว่านี่มันเรื่องอะไรกัน ใต้เท้าอวี๋ส่งพวกเขามาปกป้องคุณชายหนุ่มผู้นี้ ผลสุดท้ายเล่า โรงเตี๊ยมมีมือสังหารมาพวกเขาไม่รู้ตัวเลย จนกระทั่งพวกเขาได้ยินการเคลื่อนไหว คนก็ไล่มือสังหารหนีไปแล้ว กลับไปจะรายงานใต้เท้าอย่างไร
“คุณชายเสิ่น” คนผู้นั้นที่นำมาเอ่ยปากด้วยสีหน้าอึกอัก แต่กลับถูกเสิ่นเวยแย่งพูดขึ้นก่อน “การตรวจตราครึ่งคืนหลังจากนี้ก็รบกวนทุกท่านแล้ว”
คนผู้นั้นที่นำมาถอนหายใจในชั่วขณะ ตอบรับเต็มปากเต็มคำ “ควรเป็นเช่นนั้น ควรเป็นเช่นนั้น คุณชายเสิ่นวางใจเถิด มีพวกข้าพี่น้องอยู่ ไม่อาจเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกแน่นอน” เขาตบอกรับประกัน นำคนลงไปจัดระเบียบ
เสิ่นเวยโบกมือให้คนทั้งหมด ไม่มีอารมณ์จะพูดแม้แต่นิดเดียว ในใจนางรู้ดีอย่างยิ่ง คนผู้นั้นในคืนนี้จะต้องเป็นคนที่หมิ่นซือเหนียนส่งมาแน่นอน แต่ว่าในมือนางไม่มีหลักฐาน เฮ้อ นี่ก็ดึกมากแล้ว ไปนอนก่อนดีกว่า นอนตื่นแล้วจึงจะมีอารมณ์มาคิดแก้ปัญหา เรื่องที่ใหญ่เท่าฟ้าพรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากันแล้วกัน
เสิ่นเวยเตะคุณชายฟู่ที่โวยวายว่านางได้ผลประโยชน์แล้วทิ้งผู้นั้นออกไป เดินหาวคลานขึ้นเตียง
คราวนี้โอวหยางไน่ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่ยอมออกห่างแล้ว เฝ้าอยู่นอกประตูห้องคุณหนูของเขาราวกับเสาหนึ่งต้น ส่วนทหารลับก็พากันซ่อนตัว
เช้าวันที่สอง กลุ่มของเสิ่นเวยเพิ่งจะทานข้าวเช้าเสร็จ ข้าหลวงอวี๋กับหมิ่นซือเหนียนก็รีบตามมา
“คุณชายเสิ่น ฟังว่าเมื่อคืนมีมือสังหารมา พวกท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” ข้าหลวงอวี๋ถามไถ่ทันที เมื่อเช้าได้รับข่าวเขาก็กลัดกลุ้มใจ กลัวว่าคุณชายท่านนี้จะเกิดอะไรขึ้นในอาณาเขตของเขา
หมิ่นซือเหนียนเองก็มีสีหน้าเป็นกังวล “ใช่แล้ว ใช่แล้ว คุณชายไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ ผู้แซ่หมิ่นได้ยินใต้เท้าอวี๋พูดขึ้นมา ตกใจแทบแย่ เหตุใดถึงพบมือสังหารได้” เห็นเสิ่นเวยยืนอยู่ตรงหน้าอย่างแข็งแรงปลอดภัย ในใจเขาก็เต็มไปด้วยความเสียดาย แต่ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ ทำร้ายเจ้าไม่ได้ เช่นนั้นข้าก็จะทำให้เจ้าเกลียด ขอเพียงแค่สร้างความรำคาญใจให้เจ้า เช่นนั้นข้าก็มีความสุขแล้ว ดังนั้นเช้าวันนี้เขาจึงมาสร้างความรำคาญใจให้เสิ่นเวย
“คนผู้นี้คือ?” เสิ่นเวยตั้งใจถามด้วยความสงสัย ในใจกลับฝากความคิดถึงไปให้บรรพบุรุษแปดชั่วโคตรของหมิ่นซือเหนียนหนึ่งรอบแล้ว
บนใบหน้าของหมิ่นซือเหนียนผะอืดผะอมขึ้นมา ความโกรธแวบผ่านดวงตาเขาไป ข้าหลวงอวี๋แอบดีใจเงียบๆ สำหรับเรื่องมือสังหารเมื่อคืนเขาเองก็รู้ดีแก่ใจ ดังนั้นจึงไม่พอใจหมิ่นซือเหนียนอย่างมาก อุส่าตั้งใจไปบอกก่อนแล้ว เจ้าก็ยังจะเลื่อนขาเก้าอี้ข้างั้นหรือ
“มาๆ ให้ข้าแนะนำให้คุณชายเสิ่น คนผู้นี้คือนายท่านสามตระกูลหมิ่นเมืองทงโจวของพวกเรา ก่อนหน้านี้นายท่านสามแซ่หมิ่นล่วงเกินคุณชายเสิ่นอย่างไม่ได้ตั้งใจ เขามาของให้ข้าเป็นผู้ไกล่เกลี่ย ใต้เท้าคุณชายเสิ่นมีอำนาจมาก คงไม่คิดเล็ดคิดน้อยกับนายท่านสามหรอกกระมัง หืม? ฮ่าๆ” ข้าหลวงอวี๋หัวเราะฮ่าๆ อยากลบเรื่องนี้ออกไป ไม่ใช่ว่าเขาจิตใจดี แต่เขากลัวว่าทั้งสองคนทะเลาะกัน จะลามมาถึงตัวเขาด้วย
หมิ่นซือเหนียนเองก็รีบก้าวขึ้นไปข้างหน้า “เป็นพวกบ่าวที่ไม่รู้ประสา ล่วงเกินคุณชายเสิ่น หวังว่าคุณชายเสิ่นจะเมตตา ปล่อยผู้แซ่หมิ่นไป” เขาโบกมือ ก็เห็นเด็กรับใช้สิบกว่าคนยกของขวัญก้าวเข้ามา “ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ หวังว่าคุณชายเสิ่นจะให้อภัย”
ปากก็พูดจาน่าฟัง แต่สีหน้าท่าทางในแววตากลับโองหังยิ่งนัก ราวกับว่าได้รับคำขอโทษจากเขาหนึ่งประโยคก็เป็นเกียรติมากแล้ว
ให้อภัยย่าเจ้าสิ เสิ่นเวยบ่นคำหยาบในใจหนึ่งประโยค ทว่าบนใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความจริงใจและซาบซึ้ง ปากเองก็พูดจาน่าฟัง “ดูนายท่านสามพูดเข้า ล่วงเกินไม่ล่วงเกินอะไร พวกเราเองก็นับว่าไม่ทะเลาะก็ไม่ได้รู้จัก อันที่จริงจะว่าไปแล้วกลับเป็นข้าที่ผิด ข้าอายุยังน้อยใจร้อน ไม่รู้ว่านั่นคือการธุรกิจของนายท่านสามแซ่หมิ่น มิเช่นนั้นก็คงจะไม่จุดไฟ…เฮ้อ คฤหาสน์ดีๆ หนึ่งหลัง หรือว่า ให้ข้าชดเชยคฤหาสน์หลังใหม่ให้นายท่านสามดี”
ไม่เอยถึงคฤหาสน์ยังดี เมื่อเอ่ยถึงคฤหาสน์แล้วแววตาของหมิ่นซือเหนียนก็มีความดุร้ายแวบผ่าน เขามั่นใจมากว่าคุณชายจวนโหวผู้นี้ตรงหน้าจะต้องตั้งใจ เขาตั้งใจอยากยั่วโมโหตน เหอะ อายุยังน้อยก็เล่นอุบายต่อหน้าข้าแล้ว ไม่ดูบ้างว่าเจ้ามีความสามารถนั้นหรือไม่
ด้วยเหตุนี้หมิ่นซือเหนียนจึงหัวเราะฮ่าๆ “เข้าใจผิด เข้าใจผิด เป็นเรื่องเข้าใจผิดทั้งหมด คุณชายเสิ่นพูดถูก พวกเราไม่ทะเลาะก็ไม่ได้รู้จักกัน ข้าชอบเด็กหนุ่มมากความสามารถเช่นคุณชายเสิ่นที่สุด อ้อจริงสิ คุณชายเสิ่นนั่งเรือกลับเมืองหลวงใช่หรือไม่ นั่งเรือดียิ่งนัก มั่นคง ปลอดภัย” เขากล่าวอย่างมีเลศนัย
ไม่รู้เหมือนกันว่าเสิ่นเวยรู้สึกไปเองหรือไม่ นางมักจะรู้สึกว่า ‘มั่นคง ปลอดภัย’ สี่คำนี้หมิ่นซือเหนียนเน้นนักเป็นพิเศษ ด้วยเหตุนี้นางจึงตาลุกวาว เคารพกลับอย่างไม่เกรงใจ “พูดถึงความปลอดภัยข้าก็นึกถึงมือสังหารผู้นั้นเมื่อคืน ใต้เท้าอวี๋ เหตุใดพื้นที่เมืองทงโจวถึงได้มีผู้ที่เก่งกาจเช่นนี้ ใต้เท้าต้องเพิ่มการป้องกันให้มากๆ จึงจะถูก โรงเตี๊ยมหรงฝูแห่งนี้ห่างจากที่ว่าการไม่ไกล” พูดกับข้าหลวงอวี๋ ทว่าสายตากลับมองหมิ่นซือเหนียน
สีหน้าข้าหลวงอวี๋ก็ยิ่งไม่ดีแล้ว มองหมิ่นซือเหนียนเงียบๆ ปราดหนึ่ง เห็นเขายืนนิ่งไม่ขยับ บนใบหน้าไม่มีความผิดปกติใดๆ ในใจก็อดเคียดแค้นไม่ได้
เดิมเขายอมให้ยืมกำลังคนก็เพื่อที่จะผูกมิตรกับคุณชายจวนจงอู่โหวผู้นี้ ไม่คิดว่าหมิ่นเหล่าซานชายผู้นี้จะไม่ไว้หน้าเขาแม้แต่นิดเดียว นี่ไม่ใช่ว่าเป็นการตบหน้าเขาอย่างจังหรอกหรือ อย่างไรเสียเขาต่างหากที่เป็นใต้เท้าข้าหลวงเมืองทงโจวแห่งนี้ ตระกูลหมิ่นกลั่นแกล้งคนเกินไปแล้วจริงๆ ความไม่พอใจที่เขามีต่อตระกูลหมิ่น มีต่อหมิ่นซือเหนียนก็เลื่อนขึ้นหลายขั้นในชั่วพริบตา
“ขอบคุณคุณชายเสิ่นที่ตักเตือน ข้าเองก็กำลังสงสัย ตั้งแต่ที่ข้าเข้ามาดำรงตำแหน่ง เมืองทงโจวแห่งนี้ก็สงบสุขยิ่งนัก เหตุใดเมื่อคืนคุณชายสี่ถึงพบมือสังหารเข้าได้ เป็นข้าที่บกพร่องต่อหน้าที่ โชคดีที่คุณชายไม่เป็นอะไร มิเช่นนั้นข้าก็ละอายใจอย่างยิ่งจริงๆ คุณชายวางใจ ในเมื่อข้าเป็นขุนนางปกครองเมืองทงโจว จะไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกเด็ดขาด” ใต้เท้าอวี๋สีหน้าจริงจัง พูดด้วยเสียงดังกังวาน วางมาดขุนนางโปร่งใสเป็นธรรมที่คิดแทนราษฎร
มุมปากเสิ่นเวยปรากฏรอยยิ้ม เหอะ นี่ก็เป็นตาแก่ปลิ้นปล้อนเหมือนกัน
จำต้องบอกว่าลูกไม้นี้ของเสิ่นเวยยุยงได้ดีจริง อันที่จริงนี่เองก็ไม่เหมือนการยุยง ที่เสิ่นเวยพูดล้วนแต่เป็นความจริง นี่คือแผนเปิดโปงที่ตรงไปตรงมา
หมิ่นซือเหนียนย่อมฟังการยุยงในคำพูดของเสิ่นเวยและความไม่พอใจในวาจาของข้าหลวงอวี๋ออกแล้ว แต่แล้วอย่างไรเล่า หลักฐานล่ะ หลักฐานเล่า เจ้าพูดปากเปล่าว่ามือสังหารเป็นข้าที่ส่งมา ข้าก็พูดได้ว่าเจ้ามีเจตนาร้ายสาดสีใส่ข้าเช่นกัน
สำหรับข้าหลวงอวี๋ ฮ่าๆ ยิ่งไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ เจ้าเป็นข้าหลวงเมืองทงโจวก็จริง ดังนั้นก็ต้องเห็นสีหน้าการกระทำของตระกูลหมิ่นข้าเหมือนกันมิใช่หรือ ข้าไม่ขัดขาเจ้าก็ถือว่าไว้หน้าเจ้ามากแล้ว เหอะๆ ยั่วโมโหนายท่านสาม นายท่านสามจะทำให้เจ้านั่งอยู่ในตำแหน่งข้าหลวงนี้ไม่ติด
เห็นความเหยียดหยามแวบผ่านใบหน้าหมิ่นซือเหนียน ในใจข้าหลวงอวี๋ก็ยิ่งแค้น เสิ่นเวยเห็นท่าทีแล้ว ก็ยกมุมปากอย่างอดไม่ได้
ภายใต้การส่งของข้าหลวงอวี๋และหมิ่นซือเหนียน เสิ่นเวยก็ขึ้นเรือเดินทางต่อ เสิ่นเวยยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ เมื่อมองไม่เห็นเงาคนบนฝั่งแล้วจึงเข้าไปในห้องใต้ท้องเรือของลูกผู้น้อง เมื่อวานนางถูกทำให้ตกใจ เสิ่นเวยยังต้องชี้แนะนางสักหน่อย
เรือลำใหญ่เดินทางในน้ำมาสองวันแล้ว คืนวันนี้เสิ่นเวยเปลี่ยนชุด ขึ้นเรือลำเล็กเงียบๆ คนที่ติดตามมีเพียงโอวหยางไน่กับพลลับหนึ่ง แม้แต่เถาฮวานางก็ไม่พาไปด้วย แม้เถาฮวาจะห้าวหาญ แต่กลับไม่ใช่คนชำนาญการลอบสังหาร
หากไม่มีการลอบสังหารครั้งนั้น เสิ่นเวยก็อาจจะปล่อยหมิ่นซือเหนียนไป แต่ตอนนี้นางจะต้องชำระแค้นนี้ให้ได้
ตอนที่ 203-1 ชำระหนี้แค้น
นั่งเรือลำเล็กกลับทางเดิมเป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะว่าช้าเกินไป กลุ่มเสิ่นเวยสามคน อ้อไม่ใช่สิ กลุ่มสี่คนจึงขึ้นฝั่งขี่ม้าเดินทาง
เหตุใดถึงเปลี่ยนเป็นสี่คนน่ะหรือ คนที่เพิ่มเข้ามาแน่นอนว่าเป็นคุณชายฟู่คนโง่ผู้นั้น คืนนั้นเสิ่นเวยเพิ่งจะลงเรือลำเล็ก คุณชายฟู่ก็กระโดดลงมาจากข้างบน เชิดหน้ายิ้มซื่อๆ ยียวน “พี่ชายจะไปหาเรื่องคนแซ่หมิ่นหรือ ข้าน้อยจะไม่ไปด้วยได้อย่างไร พวกเราเป็นพี่น้องที่ร่วมตกทุกข์ได้ยากมาด้วยกัน” เสิ่นเวยชายตามองเขาปราดหนึ่งก็อนุญาตโดยนัยแล้ว
ตอนที่เมืองทงโจวอยู่ตรงหน้าก็เข้าสู่บ่ายวันที่สองแล้ว พวกเขาไม่ได้เข้าเมืองทันที แต่เข้าโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งหนึ่งเพื่อกินข้าวพักเท้าให้พอแล้วจึงถือโอกาสเข้าเมืองในช่วงที่อาทิตย์ตกดิน แน่นอนว่ามีคนคอยช่วยเหลือ สามวันก่อนเข้ามาก็เช่าเรือนหลังเล็กไว้เรียบร้อยแล้ว ต่างฝ่ายต่างเข้าห้องนอนพักเอาแรง
“เจ้ามั่นใจหรือว่าคลังลับของหมิ่นซือเหนียนอยู่ที่นี่” คุณชายฟู่ชี้คฤหาสน์ที่เคยขังเขาไว้แล้วถามด้วยความสงสัย
ดูผิดหรือไม่ คลังลับไม่ใช่ว่าต้องคุ้มกันอย่างเข้มงวดหรอกหรือ คฤหาสน์หลังนี้ถูกไฟไหม้แล้วก็กลายเป็นคฤหาสน์ร้างหนึ่งหลัง พวกเขาเข้ามานานแล้ว แม้แต่เงาผียังมองไม่เห็น หมิ่นซือเหนียนจะเก็บคลังลับไว้ที่นี่หรือ คุณชายฟู่แสดงท่าทีไม่เชื่อ
เสิ่นเวยเองก็มองเสี่ยวตี๋ที่อยู่สืบข่าวอยู่ที่เมืองทงโจว ในใจนางก็ไม่มั่นใจ ตามวิธีจัดการของคนทั่วไป ในเมื่อรังแห่งนี้ถูกเปิดเผยแล้ว เพื่อป้องกันคนอื่นมาสืบสวน คฤหาสน์หลังนี้ก็ต้องกำจัดทิ้งทันที หมิ่นซือเหนียนเองก็คล้ายจะทำเช่นนี้เหมือนกัน มิเช่นนั้นก็คงมีช่างเข้ามาซ่อมแซมแล้ว แต่คลังลับที่สร้างไว้ที่นี่เขาไม่เอาแล้วหรือไร
เสี่ยวตี๋กล่าว “ไม่ผิดเจ้าค่ะ อยู่ที่นี่” นางกล่าวอย่างมั่นใจ “เพราะว่าเวลากระชั้นชิด ผู้น้อยจึงสืบหาได้แค่เพียงคลับลับสองแห่งของหมิ่นซือเหนียน แห่งหนึ่งอยู่ที่นี่ อีกหนึ่งแห่งอยู่ในจวนตระกูลหมิ่น หมิ่นซือเหนียนไม่ได้ลืมที่นี่ เขากำลังสั่งคนให้มาขนย้ายอย่างลับๆ อยู่ เพียงแต่ที่หอซิ่งชุนคล้ายเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงถูกพวกเราเจาะหาโอกาสนี้ได้”
เสิ่นเวยพยักหน้า กล่าวในใจ หมิ่นซือเหนียนชายผู้นี้ยังนับได้ว่ามีสมอง ที่ที่อันตรายที่สุดก็คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด ใครจะคิดได้ว่าในเรือนแห่งนี้ซึ่งขัง ‘สินค้า’ ที่หามาด้วยวิธีต่างๆ นานา ใต้ดินกลับสร้างคลังลับเอาไว้
“เอาล่ะ คลังลับอยู่ไหน เจ้านำทางไปเถอะ” เสิ่นเวยกวาดสายตามองคุณชายฟู่ปราดหนึ่ง หลังจากนั้นก็พูดกับเสี่ยวตี๋
เสี่ยวตี๋นำทุกคนมายังเรือนข้างเรือนหลักหลังหนึ่ง เสิ่นเวยมองดู ดีจริงๆ นี่ไม่ใช่เรือนหลังนั้นที่ขังนางไว้หรอกหรือ คลังลับสร้างอยู่ข้างใต้นี้เองหรือ ช่างบังเอิญจริงๆ
ไม่ได้เข้าไปในห้อง เสี่ยวตี๋เดินไปยังภูเขาจำลองลูกหนึ่งในลานบ้าน กดลงบนผนังหินหลายครา ในท้องภูเขาจำลองก็ปรากฎเส้นทางเล็กๆ ที่ลงไปข้างล่างหนึ่งสาย เดินลงไปตามเส้นทางสายเล็กก็จะเป็นคลังลับของหมิ่นซือเหนียน
“โห คนแซ่หมิ่นนี่มีเงินจริงๆ ครั้งนี้พวกเรารวยแล้ว” คบไฟจุดขึ้นมา คุณชายฟู่ก็มองเห็น**บที่เต็มไปด้วยเงินทองแต่ละใบๆ ดวงตาก็ตะลึงงัน
ทว่าเสิ่นเวยกลับมีสีหน้าเรียบเฉย ไร้ซึ่งอารมณ์ เรื่องพวกนี้นางทำมาเยอะแล้ว ไม่ได้ตื่นเต้นดีใจเหมือนตอนแรกแล้ว
“เร่งมือ ขนของออกไปให้หมด ลงมือเบาๆ อย่าทำให้เกิดการเคลื่อนไหวที่มากเกินไป” เสิ่นเวยออกคำสั่งทันที เวลากระชั้นชิด จัดการเรื่องนี้เสร็จแล้วยังมีเรื่องใหญ่ให้ต้องไปทำอีก
“คุณชายวางใจเถอะ คนที่เฝ้าเวรกลางดึกหลายคนนั้นถูกควันสลบของพวกเราแล้ว นอนหลับเหมือนหมูตาย” พลลับสามกล่าว
“นั่นก็ต้องระวังไว้ก่อนเหมือนกัน” เสิ่นเวยกำชับอย่างจริงจัง ระมัดระวังจึงจะประสบความสำเร็จได้
กลุ่มของเสิ่นเวยมีคนสิบกว่าคน ไปๆ มาๆ ไม่กี่รอบก็ขนคลังลับออกไปหมดเกลี้ยงแล้ว พวกเขาไม่ได้ขนเงินกลับไปที่เรือนหลังเล็กชั่วคราว แต่กลับกระจายเงินทองเหล่านี้ออกไปทั้งหมด หาครอบครัวที่มีชีวิตยากจนนั้น โยนเงินทองเข้าไปในบ้านของคน คนที่ไม่มีบ้านก็วางไว้ข้างประตู
เรื่องเหล่านี้มีทหารลับไปทำ เสิ่นเวยกับคุณชายฟู่ รวมถึงโอวหยางไน่และเสี่ยวตี๋ก็ไปยังหอซิ่งชุน
หอซิ่งชุนในคืนนี้จุดไฟสว่างไสว ร้องรำทำเพลงสนุกสนาน ในขณะที่กำลังครึกครื้น เสิ่นเวยและคนอื่นๆ ก็ไม่ได้เข้าไปทางประตูใหญ่ แต่ปีนเข้าทางเปลี่ยวไปยังที่พักของแม่เล้าฉิน
แม่เล้าฉินเคยมีชื่อที่ไพเราะอย่างยิ่ง ชื่อว่าฉินฟังฟัง นางเองก็เป็นสตรีในตระกูลดี แต่ชีวิตตกระกำลำบากจนต้องเข้ามาในหอโคมเขียว หลังจากผ่านความยากลำบากมาก็ไม่มีกระจิตกระใจจะหนีแล้ว นางหน้าตาดี คนก็ยังฉลาด เรียนรู้เร็ว ค่อยๆ มีชื่อเสียงขึ้นมา แขกผู้ร่ำรวยที่ตามชื่อเสียงมาก็เยอะอย่างยิ่ง ในช่วงที่อายุยังน้อยนางก็กอบโกยรายได้จำนวนมาก
คิดถึงอนาคตแม่เล้าฉินก็เกิดหวาดกลัวในใจ คนเช่นพวกนางจุดจบที่ดีที่สุดก็คือการเป็นอนุภรรยาของคนร่ำคนรวย แต่แม่เล้าฉินไม่ยอมไปถูกเปรียบเทียบกับภรรยาหลวง จึงถือโอกาสไถ่ตัวเอง ใช้เงินเก็บซื้อหอซิ่งชุนแห่งนี้ จากนั้นก็ซื้อเด็กสาวที่ท่าทางดีจำนวนหนึ่ง ประกอบอาชีพเดิม ส่วนตนเองก็เป็นแม่เล้า
หมิ่นซือเหนียนก็คือที่พึ่งของแม่เล้าฉิน นางอยู่กับเขามาเกือบยี่สิบปีแล้ว ไม่ใช่สามีภรรยาก็ยิ่งกว่าสามีภรรยา หอซิ่งชุนแห่งนี้พูดในอีกความหมายหนึ่งก็คือคฤหาสน์อีกหลังของหมิ่นซือเหนียน อีกทั้งยังเป็นคฤหาสน์ที่นำความมั่งคั่งมาให้เขา อย่างไรเสียกำไรครึ่งหนึ่งของหอซิ่งชุนในทุกๆ ปีต่างก็เข้ากระเป๋าเขา ดังนั้นหมิ่นซือเหนียนจึงให้ความสำคัญกับแม่เล้าฉินอย่างยิ่ง
เรือนหน้าเต็มไปด้วยเสียงออดอ้อนอ่อนหวาน ดนตรีบรรเลงอย่างต่อเนื่อง ทว่าในเรือนเล็กของแม่เล้าฉินกลับมีบรรยากาศคุกรุ่น
“หนีสิ กล้านักเจ้าก็หนีไปแล้วอย่าถูกจับกลับมา นางแพศยาให้หน้าไม่เอาหน้า ต่อให้เจ้าหนีออกไปแล้วก็ยังเป็นนางแพศยาอยู่ดี” หมิ่นซือเหนียนบีบคางของสตรีที่ถูกมัดไว้กับเสาผู้นั้น กล่าวด้วยใบหน้าดุร้าย
“เหอะ” สตรีผู้นั้นก็เป็นคนดื้อรั้นเช่นกัน พยายามส่ายหน้าคิดจะดิ้นให้หลุดจากการบีบบังคับของหมิ่นซือเหนียน ครู่ใหญ่ก็ยังไม่เป็นดั่งหวัง นางจ้องมองหมิ่นซือเหนียน ในปากเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
“ยังไม่ยอมแพ้อีกหรือ ข้าจ่ายเงินก้อนใหญ่ซื้อเจ้ามา ทั้งยังจ่ายเงินอีกก้อนใหญ่เพื่ออบรมเลี้ยงดูเจ้า ไม่ได้ให้เจ้ามายั่วโมโหข้า ในเมื่อไม่เชื่อฟัง เช่นนั้นข้าก็จะตีจนกว่าเจ้าจะเชื่อฟัง” หมิ่นซือเหนียนหรี่ตาลง พร้อมด้วยปราณที่อันตราย
แม่นมฉินเห็นท่าทีแล้วก็รีบส่งสายตาให้สตรีผู้นั้น “ลูกข้า รีบสำนึกผิดกับพ่อเจ้าเสีย เร็วเข้า มิเช่นนั้นพ่อเจ้าจะตีเจ้าตาย” นางเองก็เข้ามาเช่นนี้ ตอนนี้แม้ว่าตนจะเป็นแม่เล้า แต่ก็ยังดีกับเหล่าสตรีในหอทั้งหมด หากมีแขกยินดีไถ่ตัวสตรี ปกติแล้วนางก็จะปล่อย บางครั้งแม้แต่ค่าตัวก็ยังไม่เอา
สำหรับนิสัยที่โหดเ**้ยมของหมิ่นซือเหนียนนางเข้าใจดีที่สุด ดังนั้นนางจึงเป็นกังวล ตีแม่นางจนยับเยินแล้วไม่ใช่นางที่ขาดทุนหรือไร
“ถุย ใครเป็นลูกเจ้า เลิกคิดเอาเองฝ่ายเดียวได้แล้ว พ่อแม่ข้านอนอยู่ใต้ดิน ในเมื่อถูกพวกเจ้าจับกลับมาแล้ว คุณหนูเช่นข้าก็ไม่คิดจะมีชีวิตอยู่แล้ว” สตรีผู้นั้นบ้วนน้ำลายใสหน้าหมิ่นซือเหนียน
หมิ่นซือเหนียนเดือดดาล “ข้าว่าเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ในเมื่อเจ้าอยากตาย เช่นนั้นข้าก็จะทำให้เจ้าสมปรารถนา เอาแส้มา” เขาตะโกนเสียงดัง
แส้โบยลงบนหลังของสตรีผู้นั้น ไม่ทันไรเสื้อผ้าก็ถูกโบนจนขาดวิ่น บนหลังเป็นรอยเลือดแต่ละขีดๆ สตรีผู้นั้นกัดฟันกรอด ไม่ส่งเสียงเลยแม้แต่นิดเดียว
“หึ อดทนเก่งดีนี่ วันนี้ข้าจะดูสิว่ากระดูกของเจ้าจะแข็งหรือว่าแส้ที่แข็งกว่า” หมิ่นซือเหนียนพูดไปพลาง แส้ในมือก็ออกแรงเพิ่มขึ้น
แม่เล้าฉินขมวดคิ้ว ทนดูไม่ได้ นางอยากเข้าไปร้องขอ แต่เห็นหมิ่นซือเหนียนทุ่มแรงเช่นนั้นแล้วก็ลังเล วิธีทรมานคนของหมิ่นซือเหนียนไม่ได้มีเพียงเท่านี้ เพื่อสตรีที่วิ่งหนีคนหนึ่งเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวจะคุ้มกันหรือไม่
เพียงแค่ลังเลเช่นนี้ สตรีผู้นั้นก็ถูกโบยจนสลบแล้ว หมิ่นซือเหนียนโยนแส้ลงบนพื้นอย่างแรง “ลากไปที่ห้องเก็บฟืน ปล่อยให้หิวสามวัน ดูสิว่าหลังจากนี้จะยังกล้าหนีไปไหนได้อีก”
“นายท่านสามเหนื่อยแล้วสิท่า ไปเถอะ ข้าจะดื่มสุราเป็นเพื่อนท่าน” แม่เล้าฉินแย้มยิ้มดุจบุปผาเข้ามาควงแขนหมิ่นซือเหนียนไว้ทันที สีหน้าของหมิ่นซือเหนียนจึงผ่อนคลายลง “ยังคงเป็นชิงชิงที่เข้าใจ”
เสิ่นเวยและคนอื่นๆ ในมุมมืดก็ตะลึงงันกับการโบยลงโทษครั้งนี้ หากไม่ใช่ว่าเสิ่นเวยห้ามไว้ คนโง่แซ่ฟู่ก็คงจะพุ่งออกไปแล้ว รอหมิ่นซือเหนียนและแม่เล้าฉินไป เสิ่นเวยจึงจะบอกเป็นนัยให้โอวหยางไน่ปล่อยคนโง่แซ่ฟู่
เมื่อปากของคนโง่แซ่ฟู่เป็นอิสระก็บ่นพึมพำอย่างไม่พอใจ “เจ้า คาดไม่ถึงว่าทหารคุ้มกันของเจ้าจะปิดปากข้า ใจดำจริงๆ ถุยๆๆ” เขาพยายามถ่มน้ำลาย
“ไม่ปิดปากเจ้าไว้แล้วจะยอมให้เจ้าโวยวายหรือ เจ้าอยากตายแต่ข้ายังไม่อยากนี่” เสิ่นเวยกำลังจะพ่ายแพ้ให้ตาทึ่มผู้นี้แล้วจริงๆ จะบอกว่าเขาเชื่อถือไม่ได้ เขาก็ดันแก้ไขปัญหาได้ จะบอกว่าเขาเชื่อถือได้ เขาก็ทำเรื่องสมองกลวง เจ้าบอกว่าเจ้ามาลอบสังหาร เปิดเผยตำแหน่งตัวเองล่วงหน้า นี่ไม่ใช่ว่ารนหาที่ตายหรือไร
“เจ้า” คนโง่แซ่ฟู่สำลัก “เมตตาคนอ่อนแอเห็นใจคนจนเป็นคุณลักษณะของสัตบุรุษรุ่นข้า แม่นางผู้นั้นน่าสงสารยิ่งนัก พี่ชายไม่สงสารบ้างเลยหรือ” เขากล่าวเสียงเบา
“น่าสงสารหรือ ใต้หล้านี้คนน่าสงสารมีเยอะถมไป เจ้าจะดูแลได้หมดหรือ” เสิ่นเวยมองเขาอย่างเย็นเยียบปราดหนึ่ง “เวลามีคนน่าสงสาร เจ้าสงสารตัวเจ้าเองก่อนจะดีกว่า เจ้าคิดเองว่าติดหนี้ข้าอยู่เท่าไร” ตอนที่ออกจากเมืองทงโจวขึ้นเรือ คนโง่แซ่ฟู่ผู้นี้ก็ดึงดันจะตามไปด้วย บอกว่าเขาผ่านทางมาพอดี เขาจะไปหาญาติที่เมืองหลวง สำหรับค่าเรือและค่าข้าว แม้แต่เสื้อผ้าทุกตัวที่เขาเปลี่ยนล้วนแต่เป็นสิ่งที่เสิ่นเวยให้ เขาผู้ไม่มีอะไรเลยย่อมต้องติดหนี้ไว้ก่อน
คนโง่แซ่ฟู่นึกถึงเรื่องนี้ ชั่วขณะก็หยุดเถียงทันที ไม่โวยวายว่าเสิ่นเวยไม่รู้จักเมตตาแล้ว อันที่จริงก็ไม่กล้า อดแค้นใจตัวเองเงียบๆ ไม่ได้ เงินทองแต่ละ**บๆ เมื่อครู่ เหตุใดเขาถึงไม่เก็บมาสักนิดเล่า ไม่ได้ ไม่ได้ เขาเป็นสัตบุรุษ จะยึดติดอยู่กับเงินทองได้อย่างไร ต้องเห็นเงินทองเป็นของไร้ประโยชน์จึงจะถูก
การลอบสังหารของเสิ่นเวยเงียบเชียบไร้เสียง แต่ก็ยังคงทำให้หมิ่นซือเหนียนรู้ตัว เขาดึงแม่นมฉินข้างๆ เข้ามาบังไว้หน้าตัวเอง ตนกลิ้งไปหลบอยู่ข้างๆ “มีมือสังหาร” เสียงที่แหลมเปรียวดังกังวาลเป็นพิเศษในราตรีที่เงียบสงัด
อันที่จริงไม่ต้องให้หมิ่นซือเหนียนตะโกน คนที่คุ้มกันเขาซึ่งหลบอยู่ในที่มืดก็สัมผัสได้ถึงเสียงอาวุธทลายอากาศอยู่ก่อนแล้ว คนสามคนกระโดดออกมาต่อสู้กับเสิ่นเวยและคนอื่นๆ หลังจากนั้นก็มีผู้คุ้มกันเรือนที่พักอยู่ห้องข้างๆ อีกสามคนออกมา หมิ่นซือเหนียนเห็นแล้วก็วางใจลง ทั้งตกใจทั้งโกรธอย่างอดไม่ได้ บนพื้นที่ในทงโจวยังมีใครกล้าลงมือกับเขา รนหาที่ตายจริงๆ
ฝั่งเสิ่นเวยสี่คนสู้กับคนหกคนของฝั่งหมิ่นซือเหนียน แม้ว่าจะเสียเปรียบในด้านจำนวนคน แต่ฝั่งเสิ่นเวยก็ล้วนแต่เป็นมือดีอันดับหนึ่ง ชั่วขณะกลับไม่เสียเปรียบ อีกทั้งเสิ่นเวยยังไม่ได้คิดจะเอาชีวิตของหมิ่นซือเหนียนอย่างสิ้นเชิง ตายแล้วจะเป็นการเสียเปรียบเขามิใช่หรือ ไม่ใช่ว่าเขาอยากได้ขานางหนึ่งข้างหรือ เช่นนั้นก็ดี นางขอขาของเขาสองข้างก็พอ ข้างหนึ่งเป็นของนาง อีกข้างหนึ่ง อืม ให้คนโง่แซ่ฟู่แล้วกัน อย่างไรเสียเขาก็ออกแรง ไม่แบ่งผลประโยชน์ให้หน่อยก็คงจะไม่เหมาะ
ดูสิ เสิ่นเวยเป็นคนที่ยุติธรรมเที่ยงตรงถึงเพียงนี้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น