ข้ามกาลบันดาลรัก 201-202
ตอนที่ 201 ตัวตนของท่านอ๋องฉี
เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่เขา แสร้งทำเป็นปิดบังความรู้สึกตัวเอง “ข้าถามเจ้ากลับเฉไฉ ไม่ยอมตอบ อย่าบอกว่าเจ้าไม่รู้หรอกนะ?” พูดจบก็ส่ายหน้า พูดพึมพำ “ก็ถูก เจ้าไม่ได้อยู่เมืองหลวงมานานแล้ว ย่อมไม่รู้เรื่องในเมืองหลวง ข้า…”
“ใครบอกว่าข้าไม่รู้” เหวินซื่อพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “แม้ว่าหลายปีมานี้ข้าจะมิได้อยู่เมืองหลวง แต่ข้าก็เติบโตในเมืองหลวง จะไม่รู้จักท่านอ๋องฉีได้อย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ทีรีบพูดต่อ “อ่อ เช่นนั้นเจ้าลองบอกข้าว่าท่านอ๋องฉีเป็นคนเยี่ยงไร?” ในเนื้อเสียงเจตนาใส่โทนเสียงคล้ายมีความเยาะหยัน
“ท่านอ๋องฉีและฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเป็นเจ้าพี่เจ้าน้องร่วมพระมารดาเดียวกัน หลายปีก่อน หลังจากช่วยอย่างสุดกำลังจนฮ่องเต้ครองราชย์ได้สำเร็จ ฮ่องเต้จึงทรงพระราชทานแต่งตั้งให้เป็นท่านอ๋องฉี เรียกได้ว่าอยู่ใต้คนผู้เดียว แต่เหนือคนนับหมื่น ฮ่องเต้เห็นแก่ที่เขามีคุณความชอบ ให้ความโปรดปรานต่อเขาอย่างหาใดเปรียบ แต่ท่านอ๋องฉีเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนมาก ไม่เคยเย่อหยิ่งด้วยเป็นที่โปรดปราน ด้วยเหตุนี้ คนในเมืองหลวงต่างก็ยกย่องนับถือเขา” เหวินซื่อพูดบอกกล่าวเล่าความเป็นต่อยหอยไม่หยุด เพื่อแสดงว่าไม่มีอะไรที่ตัวเองไม่รู้
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่ง พูดว่า “รู้ละเอียดเช่นนี้ หรือว่าเจ้าเคยพบเขาแล้ว”
เหวินซื่อส่ายหน้า “ข้าเป็นเพียงพ่อค้า จะเคยพบท่านอ๋องฉีได้อย่างไร ทว่าคนในเมืองหลวงต่างก็พูดถึงกันเช่นนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งเสียง “เชอะ” “เสียงลือเสียงเล่าอ้าง ไม่รู้ว่าตัวตนจริงๆ จะเป็นอย่างไร”
เหวินซื่อสะอึกกึก พูดว่า “ฟังจากโทนเสียงเจ้า เหตุใดข้าถึงรู้สึกเหมือนท่านอ๋องฉีและเจ้ามีความแค้นต่อกันเล่า?”
เมิ่งเชี่ยนโยวกรอกตาขาวใส่เขา พูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “สมองเจ้าเสื่อมไปแล้วหรือไร ข้าเติบโตในชนบท ไกลที่สุดที่ได้ไปก็คือตัวจังหวัด แม้แต่ท่านอ๋องฉีเป็นใครข้ายังไม่รู้ จะมีความแค้นกับเขาได้อย่างไร?”
เหวินซื่อพยักหน้า “ก็ถูก แต่กิริยาเจ้าประหลาดนัก พอเอ่ยถึงท่านอ๋องฉีเจ้าจะต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน คล้ายว่าเขาได้เคยล่วงเกินอะไรเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มประหวั่น เพื่อยับยั้งเหวินซื่อคาดเดาต่อไป ต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลมก่อน พูดกับเขาอย่างฉุนเฉียว “อย่าเปลี่ยนเรื่องพูด จงเล่ามาว่าสภาพครอบครัวของท่านอ๋องฉีเป็นอย่างไร?”
เหวินซื่อแปลกประหลาดใจ ลุกขึ้นยืนเดินไปตรงหน้าพินิจมองนางอย่างใคร่ครวญ “สาวน้อย ข้ารู้สึกว่าวันนี้เจ้าประหลาดนัก เอาแต่สอบถามเรื่องของท่านอ๋องฉี คงมิได้มีความคิดอะไรไม่ดีดอกนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืน เหยียบขยี้ใส่เท้าของเขาอย่างไร้ความปราณี
เหวินซื่อร้องโอดครวญ เจ็บจนกอดเท้าตัวเองหมุนไปรอบตัว “พวกเราจะคุยกันดีๆ ไม่ได้หรือ? ต้องลงมือลงไม้ทุกครั้ง มีเด็กสาวที่ไหนหยาบเถื่อนเช่นเจ้าบ้าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวยกเท้าขึ้น
เหวินซื่อตกใจกลัวถอยกรูดไปข้างโต๊ะบัญชี
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลง
เหวินซื่อบ่นงึมงำเสียงเบา “ไม่มีความเป็นผู้หญิงสักนิด ไม่รู้ว่าภายหน้าใครจะมาขอเจ้าแต่งงาน”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างเ**้ยมเกรียม “เจ้าว่าอะไรนะ ข้าฟังไม่ถนัด เจ้าพูดอีกครั้งซิ”
เหวินซื่อรีบโบกไม้โบกมือ “ข้าไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น เจ้าอยากรู้สภาพภายในครอบครัวท่านอ๋องฉีมิใช่หรือ มาๆ ข้าจะเล่าให้ฟัง”
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งสงบนิ่งบนเก้าอี้รอให้เขาพูด
กล่าวถึงสภาพภายในครอบครัวท่านอ๋องฉี สีหน้าเหวินซื่อสะท้อนแววเห่อเหิมใจ “กล่าวถึงท่านอ๋องฉี ถือได้ว่าเป็นแบบอย่างของพวกเราแคว้นอู่กั๋ว ตราบจนกระทั่งบัดนี้ ยังไม่มีท่านอ๋องคนไหนเทียบเทียมเขาได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวกรอกตาขาวมองบน พูดอย่างหงุดหงิด “พูดเข้าประเด็น!”
เหวินซื่อร้อง “อ่อ” พูดว่า “บัดนี้ท่านอ๋องฉีใกล้จะสี่สิบแล้ว ครอบครัวมีเพียงพระชายาเอกและพระชารารอง ไม่มีนางสนมกำนัลผู้อื่นอีก สำหรับเจ้านายชั้นสูงด้วยกันนี่เป็นเรื่องที่น้อยนักจะมีได้…”
เมิ่งเชี่ยนโยวกรอกตาขาวมองบน หยุดยั้งไม่ให้เขาพูดต่อไป ถามขึ้น “ทายาทเล่า?”
เหวินซื่อตอบว่า “ได้ยินว่ามีบุตรชายเพียงคนเดียว ทั้งเกิดจากพระชายารอง มีอายุไล่เลี่ยกับเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวย่นหัวคิ้วถาม “พระชายาเอกของเขาไม่มีบุตรหรือ?”
เหวินซื่อส่ายหน้า “ได้ยินว่าพระชายาเอกของท่านอ๋องฉีร่างกายไม่แข็งแรง ล้มหมอนนอนเสื่อเป็นแรมปี ดังนั้นแม้แต่งานธุรการภายในครอบครัวก็เป็นพระชายารองเป็นคนจัดการ”
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น “ได้ยินว่าในอดีตนางสูญเสีย…” พูดถึงตรงนี้ ก็ตั้งสติได้ว่าไม่เหมาะสม จึงหยุดถ้อยคำ
เหวินซื่อได้ยินนางพูดไม่จบประโยคก็หยุดพูด ถามอย่างแคลงใจ “เจ้าคิดจะพูดอะไร?”
“ไม่มีอะไร” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ
เหวินซื่อมองนางอย่างคลางแคลงใจ “สาวน้อย ข้ารู้สึกว่าวันนี้เจ้าผิดปกตินัก เจ้ามีเรื่องอะไรปิดบังข้าอยู่ใช่หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้าปฏิเสธ “เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าเพียงแค่ได้ยินตี้ซือเอ่ยถึง พลันสนใจใคร่รู้ จึงถามไถ่เจ้าก็เท่านั้น”
เหวินซื่อไม่เชื่อ ยังคงมองนางอย่างกังขา
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งนิ่งให้เขามองประเมินตามสบาย
ครู่ใหญ่เหวินซื่อก็มองไม่เห็นอาการร้อนตัวของเมิ่งเชี่ยนโยว ครุ่นคิดในใจหรือจะเป็นตัวเองที่คิดมากไปเอง? เด็กสาวหาได้มีเรื่องปิดบังเขาไม่?
เห็นเขาขมวดคิ้วขบคิด เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืน “ข้ายังมีธุระที่บ้าน ขอตัวกลับก่อน รอยแผลเป็นบนใบหน้าเจ้าขอเพียงทายาตามเวลา ผ่านไปอีกระยะหนึ่งก็จะถูกกำจัดไปหมด”
ได้ยินนางเอ่ยถึงรอยแผลเป็นของตัวเอง เหวินซื่อถูกเบี่ยงเบนความสนใจ ลุกขึ้นยืนเดินมาเบื้องหน้านาง “สาวน้อย ยากำจัดรอยแผลเป็นของเจ้ามีประสิทธิภาพสูงมาก หลังจากข้าใช้ไปได้ระยะหนึ่ง รอยมีดบากบนใบหน้าก็จางหายลงไปมาก แม้แต่เหล่าอู๋ยังบอกว่าข้าดูสบายตาขึ้นเป็นกอง”
“ดังนั้นเล่า?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา
เหวินซื่อหัวเราะแหะๆ ทำหน้าปะเหลาะเอาใจ “ดังนั้นเจ้าช่วยขายสูตรยานี้ให้ข้าได้หรือไม่ ราคาเท่าไรก็ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยกมือชูสองนิ้วให้เขา “สองแสนตำลึง”
เหวินซื่อพลันไม่เข้าใจ “อะไรคือสองแสนตำลึง?”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร จ้องมองรอยแผลเป็นบนใบหน้าเขา
เหวินซื่อได้สติกลับมา ร้องเสียงหลง “เจ้าจะปล้นหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเอียงศีรษะ ลูบคลำใบหูที่ได้รับพิษของตัวเอง สีหน้าดูแคลน “เป็นถึงนายใหญ่เจ้าของร้านยาเต๋อเหริน เงินเพียงสองแสนตำลึงกลับนำออกมาไม่ได้ ยังมีหน้าคุยโวไปทั่ว”
เหวินซื่อโมโหจนจมูกบิดเบี้ยว “เจ้าต้องการสองแสนตำลึง มิใช่สองร้อยตำลึง เจ้าพูดง่ายเกินไปแล้ว หากเจ้ามี ก็นำออกมาให้ข้าดูเสียหน่อยปะไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอ่อน “คุณชายเหวิน ท่านลืมไปแล้วหรือว่าข้ามีแผ่นหยก อย่าว่าแต่สองแสนตำลึง ต่อให้เป็นสองล้านตำลึง ข้าก็นำออกมาได้อย่างไม่ต้องเหนื่อยแรงสักนิด”
เหวินซื่อสะอึกกึก
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะร่วนอย่างมีความสุข
หมอชราได้ยินเสียงหัวเราะของนาง แอบถอนใจยาวโล่งอก ดูท่าแม่นางเมิ่งจะคลายโทสะลงแล้ว
เหวินซื่อโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง “ยายตัวดี เจ้าไม่อยากขายสูตรยาให้ข้า ถึงจงใจใช้ข้ออ้างนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้าล่อหลอกอย่างสะใจ “เจ้าพูดถูกแล้ว ข้าไม่ยินดีจะขายให้เจ้า เจ้าจะทำอะไรข้าได้?”
เหวินซื่อสะอึกนิ่งงัน
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะร่าลงมาชั้นล่าง
หมอชราได้ยินเสียงนาง ลุกขึ้นร้องทักทายนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือให้เขา พูดอย่างซุกซน “ท่านรีบขึ้นไปดูนายท่านของพวกท่านเถอะ คาดว่าตอนนี้จะโมโหจนสลบไปแล้ว”
พูดจบ เดินออกไปจากร้านยาเต๋อเหรินอย่างสุขใจ
หมอชรามองแผ่นหลังนาง แย้มยิ้มส่ายหน้า กลับไม่ได้ขึ้นไปชั้นบน แต่นั่งลงตรวจอาการให้ผู้ป่วยต่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวออกมาจากร้านยาเต๋อเหริน อารมณ์เบิกบาน สั่งการเหวินเปียว “ไป พวกเรากลับบ้าน”
เหวินเปียวคล้ายจะได้รับการซึมซับ ขานรับอย่างชื่นบาน บังคับรถม้ามุ่งหน้ากลับ
เมิ่งเชี่ยนโยวได้แหย่เย้าเหวินซื่ออารมณ์เบิกบานแจ่มใสอย่างประหลาด ระหว่างทางฮัมเพลงไปอย่างสบายอารมณ์
เหวินเปียวได้ยินเสียงเพลงระรื่นหูดังแว่วออกมาจากในรถม้าของนาง ไม่อาจเชื่อมโยงแววตาที่สั่งฆ่าคนโดยไม่กะพริบตาของนางเมื่อหลายวันก่อนกับเมิ่งเชี่ยนโยวในตอนนี้ได้เลย
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้ความรู้สึกนึกคิดของเขา ขณะกำลังฮัมเพลงรอกลับถึงบ้านอย่างสุขใจ กลับรู้สึกปวดท้องตะหงิดๆ ความรู้สึกที่คุ้นเคยในชาติก่อนถาโถมเข้ามา ลอบอุทาน “แย่แล้ว” จากนั้นพลันรับรู้ได้ถึงกระแสความร้อนหนึ่งพุ่งทะลักออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวอยากจะร้องก่นด่า จะมาตอนไหนไม่มา กลับต้องมาในเวลานี้ แล้วจะให้นางรับมืออย่างไร?
เพิ่งจะคิดเสร็จ อาการเจ็บเสียดที่ท้องน้อยก็ทวีความรุนแรงขึ้น เจ็บจนต้องบีบกอดท้องตัวเองแน่น
เหวินเปียวสังเกตว่าเมิ่งเชี่ยนโยวที่เมื่อครู่ยังฮัมเพลงกลับไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว ถามอย่างเป็นกังวล “แม่นาง ท่านไม่เป็นอะไรนะ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวฝืนกลั้นความเจ็บปวด สูดลมหายใจเข้าลึก พยายามใช้น้ำเสียงราบเรียบ “ข้าไม่เป็นอะไร เจ้ารีบหน่อยเถิด”
เหวินเปียวเป็นคนมีวรยุทธ์ ฟังออกว่าน้ำเสียงเมิ่งเชี่ยนโยวผิดปกติ เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูด ก็ไม่กล้าถามมาก สะบัดบังเ**ยนม้า เร่งความเร็วให้รถม้าแล่นทะยานไป
เหวินหู่เห็นรถม้าด้านหน้าตะบึงฮ่อเพิ่มความเร็วกะทันหัน ชะงักงันเล็กน้อย แล้วรีบตามติดไป
เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ในรถม้าโคลงเคลงเอียงซ้ายทีขวาที ยิ่งรู้สึกปวดท้องหนักกว่าเดิม จำต้องกัดฟันอดทน ให้ถึงบ้านโดยไว
เหวินเปียวบังคับรถม้าอย่างเร็วรี่ ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามก็มาถึงบ้าน
หลังจากจอดสนิท เหวินเปียวกระโดดลงจากรถม้า พูดอย่างอ่อนน้อม “แม่นาง ถึงบ้านแล้วขอรับ”
อึดใจหนึ่งน้ำเสียงที่สะกดไว้ของเมิ่งเชี่ยนโยวถึงดังลอยออกมา “จอดรถม้าไว้ตรงนี้ เจ้าและเหวินหู่บังคับรถม้าอีกคันเข้าไปพร้อมกันก่อน”
เหวินเปียวนึกว่าอีกประเดี๋ยวจะต้องไปข้างนอก ขานรับคำ บอกเหวินหู่ให้นำรถม้าคันนี้เข้าไปก่อน
ได้ยินเสียงทั้งสองคนไปไกลแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านรถมองซ้ายมองขวา พบว่าโดยรอบไม่มีคน รีบลงจากรถม้า เตรียมจะวิ่งเข้าไปในบ้าน
ไม่คิดว่าเมิ่งอี้เซวียนจะเลิกเรียนพอดี เห็นรถม้ากลับมาแต่ไกล ก็รีบวิ่งเข้ามา พอเมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้าเขาก็วิ่งมาตรงหน้านางพอดี ถามอย่างยินดี “เจ้ากลับมาแล้ว?”
เมิ่งเชี่ยนโยวลอบเปล่งเสียงซวยแล้ว ยืนอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหว ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดกับเมิ่งอี้เซวียนว่า “เจ้าเข้าไปก่อน!”
เมิ่งอี้เซวียนเห็นนางไม่ยอมขยับ เกิดความกังขา “เจ้าเป็นอะไร? ไม่สบายตรงไหนหรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกถึงกระแสความร้อนพุ่งทะลักออกมาอีกแล้ว แอบสบถเสียงต่ำ หันหลังวิ่งเข้าบ้านทันที
เมิ่งอี้เซวียนตื่นตกใจต่อพฤติกรรมของนาง รีบวิ่งตามนางเข้าไป กลับเห็นชายกระโปรงขาวนวลของนางมีรอยหยดเลือด พลันร้องตะโกนลั่น “เจ้าเลือดไหลแล้ว!”
เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดงก่ำ แทบอยากจะเค้นคอเขาให้ตาย จากสามก้าววิ่งเป็นสองก้าวเข้าไป ถึงห้องก็ปิดประตูดังปัง คิดจะควานหาสิ่งของมารอง ถึงนึกได้ว่าไม่เคยเตรียมของพวกนี้เอาไว้ก่อน
เมิ่งอี้เซวียนตามมาถึงหน้าประตู เห็นประตูห้องปิดสนิท ร้อนใจถาม “เจ้ามีเลือดไหล ได้รับบาดเจ็บหรือ?”
เมิ่งชื่อได้ยินเสียงร้อง เดินออกมาจากในห้อง เห็นเมิ่งอี้เซวียนกำลังยืนหน้าประตูอย่างกระวนกระวาย ถามขึ้น “อี้เซวียน เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
น้ำเสียงเมิ่งอี้เซวียนปนเสียงสะอื้น “ท่านแม่ โยวเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บ มีเลือดไหลเยอะมาก”
เมิ่งชื่อตกใจตัวโยน ตะลีตะลานเคาะประตู “โยวเอ๋อร์ รีบเปิดประตู เจ้าได้รับบาดเจ็บตรงไหน รีบออกมาให้แม่ดู”
เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ได้ยินเสียงเมิ่งชื่อ จึงเปิดประตูห้อง
เมิ่งชื่อรีบเข้าไปในห้อง เมิ่งอี้เซวียนก็คิดจะตามเข้าไป
เมิ่งเชี่ยนโยวร้องห้ามเขา “เจ้าไม่ต้องเข้ามา”
เมิ่งอี้เซวียนชะงักฝีเท้า
เมิ่งเชี่ยนโยวปิดประตูใส่หน้าเขาดัง “ปัง”
เมิ่งชื่อเข้ามาในห้องลนลานถาม “โยวเอ๋อร์ เจ้าบาดเจ็บตรงไหน”
เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดงพูดเสียงเบา “ท่านแม่ ข้ามิได้ได้รับบาดเจ็บ ข้าแค่…” พูดจบ ก็ให้นางดูรอยเลือดที่ชายชุดด้านหลัง
เมิ่งชื่อชะงักอึ้ง แล้วได้สติกลับมา พูดอย่างปิติยินดี “โยวเอ๋อร์ เจ้ามีระดูแล้ว!”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งหน้าแดง “ท่านแม่พูดเบาๆ เถิด อี้เซวียนยังอยู่ข้างนอก”
“ได้ๆๆ แม่จะพูดเบาๆ” เมิ่งชื่อพูดอย่างยินดี “โยวเอ๋อร์ นับแต่วันนี้ไปเจ้าเป็นสาวแล้ว จะทำตัวเหมือนแต่ก่อน…”
พูดยังไม่ทันจบ ก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวตัดบท “ท่านแม่ ข้ายังไม่ได้ทำสิ่งนั้น ท่านช่วยทำให้ข้าก่อนเถิด”
เมิ่งชื่อตีหน้าผาก “แม่มัวแต่ดีใจ แม่จะไปเอาให้เจ้าเดี๋ยวนี้” พูดจบ เปิดประตูห้อง เดินหน้าตาตื่นออกมา วิ่งเข้ามาหยิบแผ่นระดูหนึ่งแผ่นในห้องตัวเอง แล้วรีบกลับเข้ามาในห้องเมิ่งเชี่ยนโยว “นี่เป็นของเก่า เจ้าใช้ไปก่อน ประเดี๋ยวแม่จะไปทำมาให้เจ้าเพิ่ม”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา ไม่มีเวลาสนใจเรื่องต้องห้าม รีบร้อนทำจนเสร็จ จากนั้นถอดเสื้อผ้าบนตัวออกทั้งหมด
เมิ่งอี้เซวียนเห็นเมิ่งชื่อเดินพรวดพราดออกมา แล้วรีบร้อนกลับเข้าไป นึกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวบาดเจ็บหนัก จึงให้ร้อนใจ ใบหน้ากะจิริดมีเหงื่อผุดซึม
ตอนที่ 202 เทียบเชิญงานมงคล
เมิ่งเชี่ยนโยวเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ คิดจะเอาเสื้อผ้าออกไปซัก กลับรู้สึกที่ท้องมีอาการบีบรัดรุนแรง ขมวดคิ้วนิ่วหน้า
เมิ่งชื่อกำชับนาง “เจ้ารีบไปเอนตัวนอน แม่จะไปชงน้ำตาลแดงมาให้สักถ้วย ค่อยไปซักผ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ล้มตัวลงนอนบนเตียงเตา
เมิ่งชื่อเดินหน้าตั้งออกมาจากห้องอีกครั้ง
เมิ่งอี้เซวียนทนไม่ไหวแล้ว เอ่ยปากถาม “ท่านแม่ โยวเอ๋อร์บาดเจ็บหนักหรือไม่?”
เมิ่งชื่อพูดอย่างหน้าระรื่น “โยวเอ๋อร์มิได้ได้รับบาดเจ็บหรอก นางโตเป็นสาวแล้ว เจ้ารู้หรือไม่?”
เมิ่งอี้เซวียนย่อมไม่รู้เรื่องพวกนี้
เมิ่งชื่อก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายให้เขาฟังอย่างไร พูดรวบรัด “นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของผู้หญิง เจ้าไม่ต้องถามแล้ว”
“ข้าเข้าไปดูนางได้หรือไม่?” เมิ่งอี้เซวียนถามอย่างระวัง
เมิ่งชื่อโบกมือ “ไปเถอะ แม่จะไปชงน้ำตาลแดงให้นาง”
เมิ่งอี้เซวียนเข้ามาในห้อง เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวนอนบนเตียงเตาใบหน้ามีเหงื่อเม็ดโต รีบล้วงผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมา ช่วยซับให้นางอย่างแผ่วเบา ถามด้วยเสียงละมุน “เจ็บมากหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเจ็บราวกับเนื้อตัวจะแตกเป็นเสี่ยง รวดร้าวไปหมดทั้งร่าง ไหนเลยจะมีแก่ใจตอบได้
เมิ่งอี้เซวียนมองนางอย่างปวดใจ คอยซับเหงื่อที่ซึมผุดออกมาไม่หยุดให้นาง
เมิ่งชื่อยกถ้วยน้ำตาลแดงเข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวฝืนยันกายลุกขึ้น ดื่มลงไปทั้งหมด แล้วล้มตัวกลับไปนอนตามเดิม
เมิ่งชื่อห่มผ้าให้นาง พูดกับเมิ่งอี้เซวียน “พวกเราออกไปเถอะ ให้นางหลับสักตื่นก็จะดีขึ้น”
เมิ่งอี้เซวียนมองนางอย่างเป็นห่วงแวบหนึ่ง ลุกขึ้นเดินออกไป
เมิ่งชื่อหยิบเสื้อผ้าเปรอะเปื้อน เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับนาง “ท่านแม่ อย่าลืมว่าทำความสะอาดรถม้าด้วย”
เมิ่งชื่อพยักหน้า หลังจากทำความสะอาดเบาะนั่งในรถม้า ก็มาทำแผ่นระดูจำนวนหนึ่งให้นางอย่างว่องไว
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้กินแม้แต่ข้าวเที่ยง เอาแต่นอนลุกไม่ขึ้นครึ่งค่อนวัน กระทั่งยามค่ำ ถึงรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย ฝืนผยุงตัวลุกขึ้นมาดื่มโจ๊กถ้วยหนึ่ง แล้วล้มตัวนอนบนเตียงเตา สะลึมสะลือหลับไปอีกครั้ง ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่ รู้สึกว่ามีคนจ้องมองตัวเอง พลันลืมตาโพลง กลับเห็นเมิ่งอี้เซวียนกำลังยืนข้างเตียงเตา เอาแต่มองตัวเองด้วยสีหน้าเป็นกังวล
เมิ่งเชี่ยนโยวเอ็ดเขา “ดึกดื่นค่อนคืนไม่หลับไม่นอน เข้ามาในห้องข้าจะให้ข้าตกใจตายหรือไร”
เมิ่งอี้เซวียนไม่คิดว่านางจะตื่นกะทันหัน ก็ให้ตกใจสะดุ้ง แม้จะถูกเอ็ด แต่ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ข้าเป็นห่วงเจ้า จึงเข้ามาดู”
หลังจากเข้ารับการฝึกในองค์กร นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนอยู่ใกล้ตัวเองเช่นนี้แล้วถึงสะดุ้งตื่นขึ้นมา หงุดหงิดงุ่นง่านใจ น้ำเสียงดุดันกระแทกกระทัน “ข้าจะเป็นอะไรได้ รีบกลับไปนอนที่ห้องเจ้าได้แล้ว”
เมิ่งอี้เซวียนไม่ขยับ เม้มริมฝีปาก “เจ้านอนก่อนเถอะ รอให้เจ้าหลับก่อนข้าถึงจะกลับไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งให้บันดาลโทสะ พูดเกรี้ยวกราด “รีบไสหัวไป คราวหน้าหากไม่ได้รับการอนุญาตจากข้าก็เข้ามาในห้องข้า ข้าจะหักขาเจ้าทิ้ง”
เมิ่งอี้เซวียนไม่กล้ายืนหยัดอีก หันหลังเดินออกไปจากห้อง
เมิ่งเชี่ยนโยวโล่งใจลง นอนครุ่นคิดบนเตียงเตา “หรือตนเองใช้ชีวิตอย่างสุขสบายนานเกินไปแล้ว ไร้การระแวดระวังโดยสิ้นเชิง กระทั่งเมิ่งอี้เซวียนเข้ามาตอนไหนก็ยังไม่รู้”
เมิ่งชื่อบอกว่าในช่วงเวลานี้ผู้หญิงจะเป็นไข้ไม่ได้เด็ดขาด ทั้งห้ามทำงานหนัก ให้เมิ่งเชี่ยนโยวนอนบนเตียงเตาสามวันถึงอนุญาตให้นางลงมาได้
สำหรับเมิ่งเชี่ยนโยวสามวันนี้ช่างยาวนานเหมือนสามปี หลังจากได้รับการอนุญาตจากเมิ่งชื่อ ก็รีบถลึงตัวลุกขึ้น กระโดดเหยงๆ ไปมา ยืดเหยียดร่างกายที่ใกล้จะขึ้นราของตัวเอง
เมิ่งชื่อเห็นท่าทีของนาง ยิ้มเอ็ด “เพราะแม่หวังดีกับเจ้าหรอก หากเจ้าไม่ระวังป่วยไข้ขึ้นมา จะส่งผลเสียต่อสุขภาพภายหน้าได้ แต่ดูเจ้าเถิด ทำเหมือนกับได้รับทุกข์เวทนาครั้งใหญ่”
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเข้าไปคล้องแขนนาง พูดประจบเอาใจ “ข้าทราบว่าท่านแม่ดีกับข้าที่สุด ข้าเพียงแค่อยู่ว่างไม่ได้เท่านั้น”
เมิ่งชื่อจิ้มหน้าผากนางอย่างเอ็นดู “เจ้านี่นะ…”
เมิ่งเชี่ยนโยวแลบลิ้นซุกซน
เมิ่งชื่อหัวเราะร่วน
พอคิดว่าตัวเองไม่ได้ออกจากบ้านสามวัน ไม่รู้ว่าโรงงานมันฝรั่งแผ่นเป็นอย่างไรบ้าง เมิ่งเชี่ยนโยวร้องบอกเมิ่งชื่อ แล้วออกมาโรงงานมันฝรั่งแผ่น
อากาศร้อนแล้ว เหล่าหญิงสาวในโรงงานมันฝรั่งแผ่นต่างถูกอบจนเหงื่อซึมไปทั้งร่าง กลัวเม็ดเหงื่อจะไหลย้อยลงกระทะ ต้องคอยเช็ดเหงื่อไม่หยุด
สะใภ้เมิ่งต้าจินเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา ร้องทักทายนาง “โยวเอ๋อร์ เจ้ามาแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เห็นสภาพร้อนระอุของเหล่าหญิงสาว ขบคิดว่าควรหาคนมาเพิ่มหรือไม่ ให้พวกนางได้ผลัดเปลี่ยนกัน ต่อไปอากาศจะยิ่งร้อนกว่านี้ หากมีคนเป็นลมไปจะยุ่งยาก คิดถึงตรงนี้ หันไปถามสะใภ้เมิ่งต้าจิน “ท่านป้าใหญ่ ท่านลองไปดูว่าในหมู่บ้านยังมีคนที่ทำงานคล่องแคล่วอีกหรือไม่ เรารับคนเพิ่มอีกหน่อยเถอะ”
สะใภ้เมิ่งต้าจินเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “อาสะใภ้สามเจ้ายังว่างอยู่ ให้นางมาช่วยเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เห็นด้วย “อีกไม่กี่วันข้ายังมีงานอื่นให้อาสะใภ้สามช่วย ไม่ต้องให้นางเข้ามา”
สะใภ้เมิ่งต้าจินได้ยินว่านางเตรียมการไว้แล้ว พูดว่า “เอาไว้ช่วงค่ำหลังเลิกงานป้าจะไปหาคนมาให้เพิ่มก็แล้วกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาในห้องบรรจุมันฝรั่งแผ่น เปิดมันฝรั่งแผ่นห่อหนึ่งออกลิ้มรส พยักหน้าพอใจ มองดูมันฝรั่งแผ่นที่วางกองเต็มครึ่งห้องแล้ว ตัดสินใจรออีกสองวันให้ตัวเองหายดีก่อน ค่อยนำไปส่งให้อันอี่หยวนด้วยตัวเอง
เดินวนรอบโรงงานหนึ่งรอบ เห็นทุกคนทำงานได้เป็นระบบระเบียบดี กำชับทุกคนว่าหากร้อนจนทนไม่ไหว ก็ให้พักสักครู่ จากนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินกลับออกมา เพิ่งจะเดินมาถึงหน้าบ้าน ด้านหลังก็มีม้าเชือกหนึ่งวิ่งเข้ามา
เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดฝีเท้า หันกลับไปดู
อึดใจเดียวม้าก็วิ่งเข้ามาอยู่ในสายตา คนบนม้าเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่หน้าประตู รีบกระตุกให้ม้าหยุด พลิกตัวลงจากหลังม้า เดินมาตรงหน้านาง พูดอย่างนอบน้อม “แม่นางเมิ่ง คุณชายของพวกเราให้นำจดหมายนี้มามอบให้ท่านขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้รับมา พิจารณาเขาอย่างละเอียด ไม่รู้จักว่าเป็นใคร ถามขึ้นอย่างกังขา “คุณชายของพวกเจ้าเป็นใคร?”
ผู้ที่มาตอบอย่างอ่อนน้อม “คุณชายของข้าก็คือเปาอีฝาน คุณชายเปาขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวร้อง “อ่อ” รับจดหมายมาเปิดดู ด้านในเป็นเทียบเชิญมงคลแผ่นหนึ่ง เมื่อเปิดเทียบเชิญออก กวาดตามองแล้วพูดด้วยความปิติ “คุณหนูซุนและเปาอีฝานจะแต่งงานกันแล้ว?”
ผู้ที่มาพยักหน้า “คุณชายกล่าวว่า อีกสามวันให้หลังแม่นางจะต้องเข้าไปร่วมอวยพร”
เมิ่งเชี่ยนโยวตื่นตกใจ มองดูวันเวลาอย่างละเอียด เป็นอีกสามวันให้หลังจริงๆ ถามผู้ที่มาอย่างตื่นตระหนก “รีบด่วนเช่นนี้เลยหรือ?”
ผู้ที่มาอธิบาย “ฤกษ์แต่งงานกำหนดไว้ตั้งแต่กลางเดือนก่อนแล้ว คุณชายของเรามัวแต่ตระเตรียมจัดงานแต่งงาน ดังนั้นเทียบเชิญทั้งหมดจึงเพิ่งจะได้แจกจ่ายวันนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงกังขา รู้สึกตะหงิดๆ ว่างานแต่งของเปาอีฝานปัจจุบันทันด่วนเกินไป ทว่าก็มิได้ถามมาก พูดกับคนที่มา “บอกคุณหนูซุนและคุณชายของเจ้าด้วยว่า ข้าจะเข้าไปล่วงหน้าหนึ่งวัน”
ผู้ที่มารับคำ “ข้ากลับไปแล้วจะนำความบอกแก่คุณชายของพวกเรา หากแม่นางไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ข้าขอตัวลา”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
ผู้ที่มาหันหัวม้า พลิกตัวขึ้นหลังม้า ห้อตะบึงจากไป
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูเทียบเชิญในมือ ไม่ได้กลับเข้าบ้าน เดินมายังโรงงานกระเป๋านักเรียน ชูเทียบเชิญในมือแล้วพูดกับเมิ่งชื่อ “ท่านแม่ คุณหนูซุนและคุณชายเปาจะแต่งงานกันในอีกสามวันให้หลัง”
เมิ่งชื่อได้ฟังก็พูดด้วยความยินดี “ดีเหลือเกิน พวกเราจะต้องเตรียมของขวัญอย่างพิถีพิถัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าเองก็คิดเช่นนี้ จึงเข้ามาปรึกษากับท่าน พวกเราควรเตรียมของขวัญเช่นไรถึงจะเหมาะสม”
เมิ่งชื่อได้ฟังก็ให้ลำบากใจ เวลาที่คนบ้านนอกแต่งงาน ครอบครัวที่ฐานะดีจะให้เงินอีแปะจำนวนหนึ่ง ครอบครัวที่ฐานะไม่ดีจะให้เป็นสิ่งของแสดงถึงน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเอง มีเพียงคนสนิทถึงจะให้ผ้าหนึ่งพับ ตนเองไฉนเลยจะรู้ว่าควรเตรียมของขวัญอย่างไร
หลังจากที่ทะลุมิติเข้ามา เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เคยพบเจอเรื่องทำนองนี้ ยิ่งไม่มีความรู้เลย
สะใภ้ใหญ่โจวเห็นสองแม่ลูกไม่รู้จะตระเตรียมสิ่งของอย่างไร จึงหยั่งเชิงเอ่ยปากพูด “ตอนที่พวกเราอยู่เมืองหลวง หากเป็นแม่นางที่สนิทสนมกันแต่งงาน จะมอบเครื่องประดับมีราคาให้ หากพวกท่านไม่รู้จริงๆ ว่าควรเตรียมของขวัญเช่นไร ไม่เช่นนั้นก็ซื้อเครื่องประดับสักชิ้นให้นาง”
เมิ่งเชี่ยนโยวถึงกระจ่างแจ้ง “จริงด้วย ความคิดนี้ดี ข้าจะเข้าไปในเมืองซื้อเครื่องประดับให้นางเดี๋ยวนี้” พูดจบหันหลังเดินออกไป ทว่าเดินได้ไม่กี่ก้าว ก็หันหลังกลับเดินมาข้างสะใภ้ใหญ่โจว พูดว่า “ท่านอาศัยในเมืองหลวงมานาน จะต้องรู้ว่าเครื่องประดับเช่นไรถึงจะดี เอาอย่างนี้เถอะ ท่านตามข้าเข้าไปในเมือง ไปช่วยข้าเลือกซื้อด้วยกัน”
สะใภ้ใหญ่โจวปฏิเสธตามความเคยชิน “แม้ข้าจะอาศัยอยู่ในเมืองหลวงมาหลายปี แต่ก็มิได้เจนจัดในเรื่องเครื่องประดับนัก เกรงจะทำให้เจ้าเสียเรื่องไปเปล่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ไม่ว่าอย่างไร ท่านก็ดีกว่าคนบ้านนอกอย่างพวกเรา ข้าก็มิได้จะร้องขอให้ดีเลิศ ขอเพียงท่านเห็นว่าใช้ได้ก็เป็นพอ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดถึงขั้นนี้แล้ว สะใภ้ใหญ่โจวไม่อาจปฏิเสธได้อีก จึงตบปากรับคำ หันไปพูดกับสะใภ้โจวเล็ก “ตอนเจ้ากลับไปยามเที่ยงจงแจ้งแก่คนในครอบครัวด้วย บอกว่าข้าเข้าเมืองไปกับแม่นาง ให้พวกเขาไม่ต้องเป็นห่วง”
สะใภ้โจวเล็กพยักหน้า
สะใภ้ใหญ่โจวเดินตามเมิ่งเชี่ยนโยวออกมาจากโรงงานกระเป๋านักเรียน
เมิ่งเชี่ยนโยวให้นางรอประเดี๋ยว เดินไปหาเหวินเปียวที่เรือนรอง สั่งเขาและเหวินหู่ให้บังคับรถม้าออกมา ตนเองจะเข้าไปในเมือง
เหวินเปียวและเหวินหู่รับคำ รีบเก็บกวาดรถม้าแล้วบังคับออกมาจอดรอหน้าประตูใหญ่
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้าไปหยิบเงินในบ้าน เห็นรถม้าออกมาก็เดินไปขึ้นรถม้าพร้อมสะใภ้ใหญ่โจว ทั้งกลัวสะใภ้ใหญ่โจวจะโคลงเคลง กำชับเหวินเปียวให้บังคับช้าลง
เหวินเปียวขานรับ ผ่อนความเร็วลง บังคับรถม้าอย่างมั่นคง
เมิ่งเชี่ยนโยวและสะใภ้ใหญ่โจวพูดคุยสนทนา ฟังนางเล่าเรื่องในเมืองหลวง ไม่ทันไรก็มาถึงตัวเมืองอย่างไม่รู้ตัว
เมิ่งเชี่ยนโยวเลิกม่านรถออก บอกทางเหวินเปียวจนมาถึงหน้าร้านเครื่องประดับที่เคยมาซื้อช่วงก่อนปีใหม่
เหวินเปียวจอดรถม้าสนิท ทั้งสองคนลงจากรถม้า เดินเข้าไปในร้านเครื่องประดับ
พนักงานในร้านเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็จำได้ทันที รีบเข้ามาทักทายอย่างกระตือรือร้น “แม่นาง ท่านมาแล้ว ต้องการเครื่องประดับอย่างไรขอรับ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวชี้สะใภ้ใหญ่โจว “วันนี้ฮูหยินท่านนี้ต้องการซื้อเครื่องประดับ ข้าเพียงแค่ตามนางมาด้วย”
พนักงานพินิจมองสะใภ้ใหญ่โจวเห็นนางแต่งตัวไม่ธรรมดา ดูสง่างามสูงศักดิ์ ท่าทียิ่งทวีความมีมิตรไมตรี “ฮูหยิน ท่านต้องการเครื่องประดับแบบใด ข้าจะช่วยแนะนำให้ท่านเอง”
สะใภ้ใหญ่โจววางตัวเหมือนตอนอยู่ในเมืองหลวง ไม่เอ่ยวาจา เริ่มจากมองดูเครื่องประดับในตู้แสดง แล้วถามพนักงาน “เครื่องประดับของพวกเจ้าล้วนอยู่ในนี้ทั้งหมดหรือ? ยังมีที่ดีกว่านี้หรือไม่?”
พนักงานลนลานรับคำ “มีๆๆ ไม่ทราบว่าฮูหยินต้องการแบบใด ข้าจะไปนำออกมาให้ท่านดู”
สะใภ้ใหญ่โจวนั่งบนเก้าอี้ที่เตรียมไว้ภายในร้าน มองพนักงานแวบหนึ่ง
พนักงานรายนั้นหุนหันหันไปบอกกับพนักงานอีกคน “เหวินจื่อ รีบไปชงน้ำชามาหนึ่งกา”
พนักงานที่ชื่อเหวินจื่อขานรับ วิ่งแนบออกไปหลังร้าน ไม่นานน้ำชาหนึ่งกาก็ถูกยกเข้ามา รินให้สะใภ้ใหญ่โจวและเมิ่งเชี่ยนโยวคนละถ้วย
สะใภ้ใหญ่โจวยกถ้วยชาขึ้น เป่าน้ำชาที่ร้อนกรุ่นอย่างไม่รีบไม่ร้อน หลังจากดื่มอย่างระวังหนึ่งคำ ถึงวางถ้วยชาลง หันไปพูดกับพนักงาน “นำเครื่องประดับชั้นดีของร้านนี้ออกมาทั้งหมด พวกเราจะเลือกสรรอย่างละเอียดถี่ถ้วน”
ได้ฟังเช่นนี้ พนักงานรู้ทันทีว่าเป็นลูกค้ารายใหญ่ รีบกลับเข้าไปหลังโต๊ะคิดเงิน นำเครื่องประดับชั้นดีด้านล่างโต๊ะคิดเงินทั้งหมดออกมา วางไว้บนโต๊ะตรงหน้าคนทั้งสอง แล้วเปิดกล่องทีละใบออก พูดอย่างเอาอกเอาใจ “เครื่องประดับในร้านพวกเราอยู่ตรงนี้หมดแล้ว เชิญท่านดูก่อน มีที่ถูกใจหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นปฏิกิริยาที่ยิ่งอ่อนน้อมของพนักงาน แล้วมองดูการวางตัวอย่างไม่สะทกสะท้านของสะใภ้ใหญ่โจว อดยกนิ้วหัวแม่มือให้สะใภ้ใหญ่โจวไม่ได้
สะใภ้ใหญ่โจวเห็นท่าทีของนาง ก็ยิ้มขำ
สะใภ้ใหญ่โจวมองดูทีละชิ้น หยิบกำไลมังกรหงส์มหามงคลขึ้นมา ถามขึ้น “ชิ้นนี้ราคาเท่าใด?”
พนักงานตอบอย่างชื่นบาน “กำไลชิ้นนี้เป็นเครื่องประดับที่ดีที่สุดของร้านพวกเรา เพิ่งจะมาถึงเมื่อไม่กี่วันก่อน สองพันตำลึงขอรับ”
สะใภ้ใหญ่โจวมือสั่นเล็กน้อยอย่างไม่ทันสังเกตเห็น จากนั้นวางกำไลลงไปในกล่องอย่างไม่รีบไม่ร้อน พูดว่า “แพงเกินไป ให้หลงจู๊ของพวกเจ้าออกมาตกลงราคาหน่อยเถิด”
เครื่องประดับราคาสองพันตำลึงมีมูลค่าสูง จะต้องมีส่วนลดให้ลูกค่าเท่าใดนั้น พนักงานก็ตัดสินใจไม่ได้ ได้ยินสะใภ้ใหญ่โจวพูดเช่นนี้ จึงรีบพูดว่า “ฮูหยินรอสักครู่ ข้าจะไปเชิญหลงจู๊มาเดี๋ยวนี้” พูดจบ วิ่งแนบออกไปด้านหลัง
สะใภ้ใหญ่โจวแสร้งทำเป็นดื่มชา ใช้แววตามองถามเมิ่งเชี่ยนโยวว่าได้หรือไม่?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น