อัจฉริยะสมองเพชร 2004-2013

 ตอนที่ 2004 ผมน่ะถ่อมตัว

“บังอาจ! คุณรู้ไหมว่ากำลังยืนอยู่ตรงหน้าใคร?”


เห็นชายหนุ่มก้าวเข้ามาและพูดจาอาจหาญ ชายชราที่ยืนอยู่ข้างผู้อาวุโสไป๋เย่หน้าดำคร่ำเครียดขึ้นมาทันที


ผู้อาวุโสไป๋เย่คือท่านปู่ของไป๋เหรินชิง จึงมีสิทธิ์ที่จะออกรับแทนพฤติกรรมของไป๋เหรินชิงได้…เพียงแต่เขายังไม่สะดวกที่จะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงตอนนี้ อันเนื่องมาจากสถานภาพที่มีอยู่ในสำนักดาบ


คุณคิดว่าคุณเป็นใคร ถึงเข้ามาก้าวก่ายเรื่องในครอบครัวของพวกเขา?


“ผมกำลังพูดกับเขา คนนอกอย่างคุณออกไปให้ไกลๆ!” จางเซวียนคำรามขณะกวัดแกว่งดาบใส่อีกฝ่าย


ชายชรานึกไม่ถึงว่าจางเซวียนจะกล้าเล่นงานเขา เขาอดไม่ได้ที่จะคำรามพร้อมกับหัวเราะลั่น “คุณกล้าดีอย่างไร! เข้ามาสิ ขอผมดูหน่อยว่าคุณเก่งกาจแค่ไหน ผมจะยอมรับคุณเลยถ้าคุณต้านทานกระบวนท่าของผมได้ถึง 3 กระบวนท่า…”


ตุ้บ!


แต่ยังไม่ทันที่ชายชราจะพูดจบ ศีรษะของเขาก็กลิ้งหลุนๆไปกับพื้น


เขาชักดาบออกมาเพื่อปัดป้องการโจมตีของชายหนุ่มแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ชายหนุ่มเล็ดลอดผ่านการป้องกันตัวของเขาได้!


“พูดจาเหลวไหลไร้สาระ” จางเซวียนคำรามหลังจากตัดหัวชายชราด้วยการฟันฉับเดียว “หมอนี่พูดจาเลอะเทอะ ไม่ต้องใส่ใจเขาหรอก เป็นหนี้ก็ต้องใช้หนี้ ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่จะเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมากกว่านี้อีกแล้ว ถ้าแม้แต่ศิษย์สายตรงผู้ทรงเกียรติของสำนักดาบเมฆเหินของเรายังคิดจะชักดาบ แล้วความน่าเชื่อถือของพวกเราจะเหลืออะไร?”


“พ่อหนุ่มที่อยู่ตรงนั้นน่ะ พวกเราเห็นด้วยกับสิ่งที่คุณพูด แต่ไม่คิดว่าคุณจะมีสิทธิ์พูดแทนไป๋เหรินชิงนะ พวกเราอยากฟังจากปากของเธอเอง!” ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดคนหนึ่งคำราม


ไม่มีทางที่พวกเขาจะเต็มใจยอมเสียเงินที่หามาด้วยความยากลำบาก เมื่อมีใครสักคนลุกขึ้นมาพูดว่าทุกอย่างเป็นแค่เรื่องล้อเล่น ทุกคนก็รู้สึกราวกับว่าในที่สุดก็พบลำแสงแห่งความหวัง แต่ยังไม่ทันจะได้ดีอกดีใจ หมอนี่ก็พรวดพราดเข้ามาพร้อมกับปัดคำพูดเหล่านั้นตกไปอย่างสิ้นเชิง จึงเป็นธรรมดาที่บรรดาศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดที่อยู่บริเวณนั้นจะไม่รู้สึกดีกับชายหนุ่มคนนี้สักเท่าไหร่


อีกอย่าง พวกเขาก็ไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วหมอนี่ทรงพลังแค่ไหน


ชายหนุ่มสังหารชายชราที่ยืนอยู่กับผู้อาวุโสไป๋เย่ได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว แต่เพราะชายชรา ได้ปลอมตัวเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งเมื่อเข้าสู่หอนิรันดร์ ทุกคนจึงคิดว่าเขาเป็นแค่นักรบไม่สลักสำคัญอะไรคนหนึ่งที่ไม่ควรค่าแก่การพูดถึง เขาถูกสังหารอย่างง่ายดายเกินไปจนความอ่อนแอของเขาดูจะโดดเด่นกว่าพละกำลังของชายหนุ่มเสียอีก


ไม่มีใครคิดว่าแท้ที่จริงแล้วชายชราผู้นี้จะเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของพวกเขา


“อ้อ? เท่าที่ผมฟังจากที่พวกคุณพูดมา ดูเหมือนพวกคุณไม่เต็มใจจะชดใช้นะ?” จางเซวียนตั้งคำถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องพบเจอกับความหน้าไม่อายแบบนี้จากบรรดาศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด!


เมื่อครู่นี้ยังตกลงกันดิบดี แต่ก็บิดพริ้วทันทีเพียงเพราะไป๋เหรินชิงถูกฆ่าและยังไม่กลับมา…


จริงๆเลยนะ คนบางคนก็หน้าไม่อายได้ขนาดนี้เมื่อมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง!


“พวกเราไม่ได้คิดจะชักดาบ แต่คุณไม่มีสิทธิ์ตัดสินเรื่องนี้ อันที่จริง ผมคิดว่าคำพูดของสหายที่อยู่ตรงนั้นฟังดูมีเหตุผล ในฐานะหลานสาวของผู้อาวุโสที่ 3…ไป๋เหรินชิงไม่ใช่คนที่จะขัดสนเงินทอง แน่นอนว่าเหตุผลเดียวที่เธอออกความคิดเรื่องการพนันก็น่าจะเป็นเพราะต้องการสร้างความกดดันให้พวกเรา จริงไหม?” ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดที่พูดขึ้นก่อนหน้านี้หันไปตั้งคำถามกับผู้อาวุโสไป๋เย่ “ใช่หรือเปล่า สหาย?”


“ใช่ มันเป็นอย่างนั้นแหละ…” ผู้อาวุโสไป๋เย่ตอบ “เหตุผลเดียวที่เหรินชิงทำแบบนั้นลงไปก็เพื่อเพิ่มแรงกดดันให้พวกคุณ โดยหวังว่าจะทำให้การดวลเป็นไปอย่างชอบธรรมกว่าเดิม ไม่มีเหตุผลเลยที่เธอจะเที่ยวอยากได้เงินของใครต่อใคร…”


แต่ยังไม่ทันที่ผู้อาวุโสไป๋เย่จะพูดจบ ประกายคมปลาบของดาบก็วาบเข้าตา


“อะไรกัน?”


เขาหันขวับไป ผู้อาวุโสไป๋เย่เห็น ‘ผมน่ะหล่อมาก’ ฟาดฟันดาบเข้าใส่เขา


ผู้อาวุโสไป๋เย่เลิกคิ้วด้วยความไม่พอใจขณะชักดาบออกมาเพื่อปัดป้องการโจมตีนั้น แต่ยังไม่ทันที่จะได้ยื่นมือออกไป ก็พลันรู้สึกเย็นเยือกที่ข้อมือ


เมื่อก้มลงมอง ก็เห็นว่าข้อมือของเขาถูกตัดออกไปแล้ว ดาบในมือของเขาร่วงลงไปกองกับพื้น


“เฮ้ย…” ผู้อาวุโสไป๋เย่หรี่ตาด้วยความพรั่นพรึง


ในฐานะหนึ่งในสามผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักดาบเมฆเหิน เขาสำเร็จวรยุทธนักรบอมตะขั้นสูงนานแล้ว ทำให้เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปที่ถูกลืม


โดยเฉพาะศิลปะเพลงดาบของเขา มีนักรบไม่มากนักที่เทียบชั้นกับเขาได้


แต่ตอนนี้ ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทำอะไร ข้อมือก็ถูกตัดออกไปเสียแล้ว!


จริงอยู่ว่าอีกฝ่ายโจมตีเขาอย่างกะทันหัน แต่ด้วยความเชี่ยวชาญในศิลปะเพลงดาบ เขาน่าจะรับมือกับมันได้อย่างง่ายดาย ดูเหมือนอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดไว้มาก!


ไม่แปลกใจแล้วที่เพื่อนเก่าของเขาถูกสังหารด้วยการฟันฉับเดียว เขาคิดว่าอีกฝ่ายไม่ยอมถอยเพราะเกรงจะถูกเปิดเผยตัวตน แต่เท่าที่เห็น ดูเหมือนเขาไม่มีโอกาสได้ถอยเลยมากกว่า


ทั่วทั้งสำนักดาบเมฆเหินแห่งนี้ นอกเสียจากท่านเจ้าสำนัก ก็มีเพียงคนเดียวที่สามารถกำจัดเพื่อนเก่าของเขาได้ ทั้งยังตัดข้อมือของเขาได้อย่างง่ายดายด้วย ผู้นั้นคืออัจฉริยะที่สามารถทำความเข้าใจเจตนาของเพลงดาบของเทพเจ้า, ผมน่ะถ่อมตัว!


ผมน่ะหล่อมาก…ผมน่ะถ่อมตัว


เมื่อทั้งสองชื่อเข้ามารวมกันในหัวสมองของผู้อาวุโสไป๋เย่ ความจริงก็ปรากฏทันที “คุณนี่เอง…”


เหตุผลที่ผู้อาวุโสไป๋เย่นึกไม่ถึงมาตลอดไม่ใช่เพราะเขาสมองทื่อ แต่เป็นเพราะความจริงที่รู้กันอยู่ว่าผมน่ะถ่อมตัวเป็นแค่นักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึก และสำหรับหอนิรันดร์ของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด ผู้ที่เข้ามาได้จะต้องมีวรยุทธขั้นเสมือนอมตะระดับล่างเป็นอย่างน้อย


ด้วยความเหลื่อมล้ำระหว่างวรยุทธทั้งสองขั้น ยากเหลือเกินที่จะจินตนาการได้ว่าผมน่ะถ่อมตัวจะสามารถฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จภายในระยะเวลาเพียงไม่นาน


แต่หลังจากที่อีกฝ่ายสำแดงศิลปะเพลงดาบอันล้ำลึกออกมา เขาคงโง่เง่าเต็มทีหากยังปะติดปะต่อเรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้


แต่ยังไม่ทันที่ผู้อาวุโสไป๋เย่จะพูดจบ ก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ลิ้น ดาบเล่มหนึ่งแทงเข้าไปในปากของเขา และด้วยการสะบัดอย่างรวดเร็ว ทั้งลิ้นและฟันของเขาก็ถูกทำลายด้วยกระแสดาบฉีสายหนึ่ง เลือดพุ่งกระฉูดออกจากปากขณะที่เขาพูดอะไรไม่ออกเพราะความเจ็บปวดแสนสาหัส


“อย่าพยายามหาเรื่องผม ถ้าผมโมโหขึ้นมาล่ะก็ แม้แต่ตัวผมก็ยังกลัวตัวเอง!” จางเซวียนจ้องหน้าผู้อาวุโสไป๋เย่อย่างเย็นชา


“อ๊ากกกกก!” ผู้อาวุโสไป๋เย่โอดครวญ


มีคำพูดมากมายที่เขาอยากพูด แต่พูดไม่ได้เพราะสภาพร่างกายที่เป็นอยู่ เขาพยายามใช้โทรจิตสื่อสารกับอีกฝ่าย แต่ก็ถูกปัดป้องออกไป


แม้หอนิรันดร์จะมีธรรมชาติของการเป็นภาพลวงตา แต่ความเจ็บปวดนั้นเป็นของจริง แค่ถูกตัดข้อมือก็เพียงพอจะทำให้ใครสักคนกรีดร้องเป็นชั่วโมงแล้ว แต่ตอนนี้ทั้งลิ้นกับฟันของเขาก็ถูกกระแสดาบฉีทำลายหมด เหงื่อเย็นๆผุดออกจากหน้าผากของผู้อาวุโสไป๋เย่ ร่างของเขาสั่นสะท้านไม่หยุด


ไม่น่าเชื่อว่าตัวเขาซึ่งเป็นถึงนักรบอมตะขั้นสูงผู้ทรงพลัง อีกทั้งเป็นหนึ่งในกลุ่มอำนาจใหญ่ผู้ทรงเกียรติของทวีปที่ถูกลืมจะต้องตกอยู่ในสภาพนี้เพราะการฟาดฟันเพียง 2 ครั้ง


“คุณรนหาที่ตายแล้ว!”


ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในช่วงเวลาเพียง 2 อึดใจ และในตอนนั้นเองที่ไป๋เฟิงเพิ่งได้สติ ความโกรธเกรี้ยวอย่างรุนแรงระเบิดออกจากตัวเขา


อวดดีนัก! เจ้าหนุ่มนี่กล้าดีอย่างไรถึงเล่นงานผู้อาวุโสไป๋เย่? รนหาที่ตาย!


ไป๋เฟิงถือดาบไว้แน่นและพุ่งเข้าใส่จางเซวียน แต่ยังไม่ทันที่ปลายดาบจะได้เข้าใกล้อีกฝ่าย ก็พลันรู้สึกเจ็บแปลบที่ลำคอ


ตุ้บ!


ศีรษะของเขาร่วงลงไปกลิ้งกับพื้น


“คุณคือ…”


ขณะที่ไป๋เฟิงพบว่ากำลังจ้องมองเท้าของตัวเอง ก็เพิ่งถึงบางอ้อว่าอีกฝ่ายเป็นใคร


ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะถูกสังหารโดยคนคนเดียวกันภายในระยะเวลาเพียงวันเดียว…


ไป๋เฟิงอยากปล่อยโฮเต็มที


หลังจากเล่นงานชายจุ้นจ้านทั้งสามแล้ว จางเซวียนเหลียวมองฝูงชนและพึมพำเสียงเย็น “มีใครที่ยังคิดว่าไป๋เหรินชิงแค่ล้อเล่นอยู่ไหม?”


เขาอยากเก็บเนื้อเก็บตัวและไม่อยากมีปัญหากับใคร แต่คนพวกนี้กล้าคิดจะชักดาบ…คงไม่รู้เสียแล้วว่ากำลังแหย่เสือหลับ!


คุณเคยได้ยินคำพูดที่เขาว่ากันว่า ‘อย่าย้อนเกล็ดมังกร’ ไหม?


จางเซวียนรู้ดีว่าคำพูดของเขาไม่ได้มีน้ำหนักมากมายอะไร จึงจำเป็นจะต้องสร้างอำนาจของตัวเองให้เกิดขึ้นเสียก่อน เขาจึงตัดสินใจสังหารเจ้าสามคนปากดีนั่นทันทีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เพราะหากไม่ทำแบบนั้น คนอื่นๆก็มีแต่จะเพิกเฉย ราวกับเขาคือคนที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร


“สหาย คุณไม่รู้สึกบ้างหรือว่ามันไม่เหมาะสมที่จะเล่นงานพวกเขาอย่างโหดร้ายแบบนั้น? ไม่ทราบว่าคุณเป็นใคร?” ศิษย์สายตรงคนหนึ่งก้าวเข้ามาและตั้งคำถาม


เมื่อเห็นผู้ที่เข้ามาไกล่เกลี่ยสถานการณ์ ทุกคนเงียบกริบทันที


เธอไม่ใช่ใครอื่นนอกจากศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดผู้รั้งอันดับ 3 หลิวยู่เหลียน!


หลังจากถูกสังหาร เธอก็รีบกลับเข้ามาใหม่พร้อมกับตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลอีกอันหนึ่ง และเพื่อให้แน่ใจว่าคนอื่นๆจะยังจดจำเธอได้ จึงเลือกใช้รูปลักษณ์เดิม


“คุณก็จะไม่ยอมใช้หนี้เหมือนกันหรือ?” จางเซวียนมองเธอและคำรามเยาะ


“ฉันเชื่อมั่นในบุคลิกและนิสัยของไป๋เหรินชิง ไม่มีทางที่เธอจะยอมรับเงินจาก…” หลิวยู่เหลียนพูดไปได้เพียงครึ่งประโยค ก็พลันรู้สึกว่ากำลังจ้องมองบั้นท้ายของตัวเอง


ตุ้บ!


ศีรษะของเธอตกลงไปที่พื้นแล้วกลิ้งหลุนๆไป


“เรียบร้อยเสียที ยังมีใครคิดจะชักดาบอยู่ไหม? ผมก็ไม่ว่าอะไรนะถ้าพวกคุณไม่อยากใช้หนี้ แค่บอกไว้ก่อนว่าผมจะสังหารคุณทุกครั้งที่พบคุณในหอนิรันดร์จนกว่าคุณจะยอมจ่าย!” จางเซวียนสะบัดดาบอย่างเย็นชาขณะพูดประโยคนั้น


คุณอาจคิดว่าจะรวมตัวกันเพื่อกดดันผมให้ล้มเลิกเรื่องเดิมพันนั้นได้ แต่โชคร้ายหน่อยนะ คนที่คุณกำลังพยายามจะเล่นงานน่ะไม่ใช่มดตัวหนึ่ง แต่เป็นปีศาจร้าย! ท


“คุณ…”


เหตุผลที่คนพวกนั้นไม่ได้ให้ความสำคัญกับผมน่ะหล่อมากก็เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทรงพลังแค่ไหน ทั้งผู้อาวุโสไป๋เย่ ไป๋เฟิง และชายชราผู้นั้นก็ล้วนแต่ปลอมตัวมาและถูกสังหารอย่างง่ายดายจนดูเหมือนว่าแท้ที่จริงแล้วพวกเขาอ่อนแอ


ทุกคนคิดว่าต่อให้ผมน่ะหล่อมากจะทรงพลังขนาดไหน ก็ไม่มีทางที่เขาจะรับมือกับศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดระดับหัวกะทิได้


แต่เมื่อครู่นี้ เป็นหลิวยู่เหลียนที่เจรจากับหมอนั่น ซึ่งเธอก็ถูกตัดหัวอย่างไร้ความปรานี…


ทุกคนต่างพรั่นพรึง


ตอนที่ 2005 กี่กระบวนท่า?

ในตอนนั้นเองที่พวกเขารับรู้ได้ว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดธรรมดาๆ


“หมอนี่ประหลาดมาก พวกเราควรร่วมมือกันสังหารเขา!”


“ผมว่าเขาน่าจะไม่ใช่ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดหรอก!”


ใครคนหนึ่งตะโกน


ต่อให้ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดที่แข็งแกร่งที่สุด คือเหอจิ้งชวน ก็ยังไม่อาจสังหารหลิวยู่เหลียนได้ด้วยการฟาดฟันเพียงครั้งเดียวแบบนี้ แต่หมอนี่กลับทำได้ มีบางอย่างผิดปกติแน่ๆ…


“เฮ่อ…การยื้อเวลาเพื่อจะชักดาบนี่ช่างน่าเบื่อจริงๆ!” จางเซวียนคำราม


ใครจะไปคิดว่าคนกลุ่มนี้จะหน้าไม่อายถึงขนาดหาข้อแก้ตัวทุกรูปแบบและพยายามสังหารเขาเพื่อที่จะได้ไม่ต้องใช้หนี้?


เราอยากแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างละมุนละม่อม แต่ดูเหมือนคนในโลกนี้จะคุยกันรู้เรื่องด้วยการใช้พละกำลังเท่านั้น


ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ขอผมสั่งสอนบทเรียนที่พวกคุณจะไม่มีวันลืมก็แล้วกัน!


นี่จะเป็นการตัดสินใจอันเลวร้ายที่สุดที่พวกคุณเคยทำมาชั่วชีวิต ตราบใดที่คุณยังปฏิเสธไม่ยอมใช้หนี้ ผมก็จะสังหารพวกคุณทุกคนจนกว่าจะไม่มีใครกล้าเข้าสู่หอนิรันดร์อีกเลย


ฟึ่บ!


จางเซวียนกระโจนเข้าใส่ใจกลางฝูงชน ในชั่วพริบตา กระแสดาบฉีก็ระเบิดออกไปโดยรอบ พื้นดินสั่นสะท้านอย่างรุนแรง


ผู้อาวุโสไป๋เย่ที่ถูกตัดลิ้นและตัดข้อมือจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าซีดเผือด ตอนนี้เขารู้สึกราวกับว่าหอนิรันดร์กำลังจะถูกทำลาย!


หมอนี่หนักมือเกินไปเสียแล้ว หลังจากสร้างความวุ่นวายในหอนิรันดร์ของศิษย์สายตรงฝ่ายใน ก็ยังคิดจะทำแบบเดียวกันที่หอนิรันดร์ของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดด้วย…ผู้อาวุโสไป๋เย่ครุ่นคิดอย่างโกรธเกรี้ยว


เขากัดฟันอดทนกับความเจ็บปวด จากนั้นก็ก้าวออกไปและเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง ก็พอดีกับที่ รู้สึกถึงความเจ็บแปลบที่แทงทะลุลำคอของเขา


ฟิ้วววว!


กระแสดาบฉีสายหนึ่งพุ่งออกจากใจกลางสนามประลอง ตัดศีรษะของเขาในทันที


ผู้อาวุโสไป๋เย่


กว่าเขาจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็กลับมาอยู่ที่บ้านพักของตัวเองแล้ว ตรงหน้าเขาคือไป๋เฟิงกับชายชราคนหนึ่งที่กำลังมองหน้ากันด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ใบหน้าของทั้งคู่ดูจะยับย่นกว่าเดิมหลายเท่า ราวกับแก่ไปอีกเป็นสิบปี


ในฐานะนักรบอมตะขั้นสูง พวกเขาคือผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดของทวีปที่ถูกลืม เป็นผู้มีอิทธิพลต่อการเมืองของโลกใบนี้ในทุกย่างก้าว แต่เมื่อครู่นี้เอง…ที่หอนิรันดร์ของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด พวกเขาพ่ายแพ้ให้ชายหนุ่มคนหนึ่งภายในกระบวนท่าเดียว


ไม่อาจเทียบชั้นกับอีกฝ่ายได้เลย!


“คุณ…คุณก็ถูกสังหารหรือ!” ชายชราร้องออกมาเมื่อเห็นผู้อาวุโสไป๋ฟื้นคืนสติอีกครั้ง


“ใช่…” ผู้อาวุโสไป๋เย่พยักหน้าช้าๆ


“กี่กระบวนท่า?” ชายชราตั้งคำถาม


เขากำลังจะถามผู้อาวุโสไป๋เย่ว่าเอาตัวรอดจากกระบวนท่าของชายหนุ่มคนนั้นได้กี่กระบวนท่า เพราะตัวเขาถูกสังหารไปก่อนหน้านี้ จึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น


ผู้อาวุโสไป๋เย่ชู 3 นิ้ว


“3 กระบวนท่าหรือ? นั่นถือว่ามากแล้วนะ…”


เมื่อหวนนึกถึงการที่เขาถูกสังหารภายในกระบวนท่าเดียว ชายชรารู้สึกแน่นหน้าอกจนแทบจะตายไปเดี๋ยวนั้น เขาไม่เชื่อว่าผู้อาวุโสไป๋เย่จะต้านทานกระบวนท่าของอีกฝ่ายได้ถึง 3 กระบวนท่าจริงๆ จึงซักไซ้ต่อไป


“คุณใช้ศิลปะเพลงดาบชนิดไหน ถึงเอาตัวรอดได้ถึง 3 กระบวนท่า?”


ถึงผู้อาวุโสไป๋เย่จะแข็งแกร่งกว่าเขามาก แต่เขาก็ไม่คิดว่าความเหลื่อมล้ำระหว่างพละกำลังของทั้งคู่จะห่างไกลกันขนาดนั้น


“ผมไม่ได้ใช้ศิลปะเพลงดาบชนิดไหนเลย” ผู้อาวุโสไป๋เย่ตอบพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ


“คุณไม่ได้ใช้?” ชายชราส่ายหัวอย่างไม่อยากเชื่อ “เป็นไปไม่ได้ ด้วยความเร็วของดาบของหมอนั่น ไม่มีทางที่ใครก็ตามที่มีวรยุทธระดับเดียวกันจะหลบเลี่ยงได้ คุณไม่มีทางเอาตัวรอดจากการโจมตีของเขาได้หรอกหากคุณไม่ได้ตอบโต้…”


“กระบวนท่าแรกที่เขาสำแดงออกมา เขาตัดข้อมือของผม ทำให้ดาบของผมร่วงลงไปกองกับพื้น” ผู้อาวุโสไป๋เย่พูด “กระบวนท่าที่ 2, เขาแทงเข้ามาในปากของผมและตัดลิ้นของผม ทำให้ผมพูดไม่ได้!”


ได้ยินคำนั้น ชายชราขนลุกขนชันไปทั่วทั้งตัวและแทบเข่าอ่อน “แต่นั่นไม่ทำให้ถึงตายนี่!”


“ใช่ มันไม่ใช่กระบวนท่าที่ทำให้ถึงตาย เพราะเขาไม่ได้จงใจจะฆ่าผมตั้งแต่แรก ผมจึงเอาตัวรอดมาได้ถึง 2 กระบวนท่า…” ผู้อาวุโสไป๋เย่หลับตาและถอนหายใจเฮือกใหญ่


“ถ้าอย่างนั้น คุณ…” ชายชราถามต่อ


“ผมตั้งใจจะออกไปเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงและไกล่เกลี่ยสถานการณ์ขณะที่เขากำลังสังหารศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดคนอื่นๆอยู่ แต่ลงท้ายผมก็ถูกสังหารโดยกระแสดาบฉีสายหนึ่งที่หลุดรอดออกมาจากใจกลางสนามประลอง…” ผู้อาวุโสไป๋เย่พูด


“คุณถูกสังหารโดยกระแสดาบฉีสายหนึ่งที่หลุดรอดออกมา…” ชายชราจังงัง


มันเกิดอะไรขึ้นกับสถานการณ์นี้?


กระแสดาบฉีสายหนึ่งที่หลุดออกมาจากไหนก็ไม่รู้สามารถสังหาร 1 ใน 3 ผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักดาบเมฆเหินได้


เรื่องแบบนี้เป็นไปได้จริงด้วยหรือ?


“เขาคืออัจฉริยะผู้สามารถทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้ใช่ไหม?” ชายชราหรี่ตาขณะเกิดความเข้าใจบางอย่างขึ้นมา


แม้ตัวเขาจะเป็นถึงผู้อาวุโสขั้นสูงสุด แต่ความเชี่ยวชาญในศิลปะเพลงดาบก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร ต่อให้จะรู้สึกคับข้องใจที่ต้องถูกสังหารภายในกระบวนท่าเดียว ก็ยังถือว่าพอรับได้


แต่สำหรับผู้อาวุโสไป๋เย่, 1 ใน 3 ผู้อาวุโสใหญ่…ต้องมาถูกสังหารด้วยกระแสดาบฉีที่ไหนก็ไม่รู้ที่เล็ดลอดออกมาจากสนามประลอง อีกฝ่ายจะต้องทรงพลังขนาดไหน?


ต่อให้เขาจะโง่เง่าขนาดไหน ก็รู้ดีว่าเรื่องแบบนั้นไม่ใช่สิ่งที่นักดาบธรรมดาสามัญจะทำได้ ให้ตายเถอะ…ต่อให้เจ้าสำนักก็คงทำไม่ได้เหมือนกัน!


มีเพียงคนเดียวในโลกใบนี้ที่จะสร้างวีรกรรมแบบนั้นได้ และนั่นก็คือชายผู้ทำให้ทั้งสภาผู้อาวุโสเกิดความวุ่นวายขนานใหญ่เมื่อไม่นานมานี้…อัจฉริยะผู้นั้น ผู้ที่สามารถทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้า!


“ก็น่าจะเป็นแบบนั้นแหละ!” ผู้อาวุโสไป๋เย่พยักหน้า


ก่อนหน้านี้ เขาเคยได้ยินไป๋เฟิงพร่ำรำพันเรื่องผมน่ะถ่อมตัว ถึงเขาจะรู้ว่าไป๋เฟิงไม่ใช่คนชนิดที่ชอบพูดจาใส่สีตีไข่ แต่ก็ยังรู้สึกว่าอีกฝ่ายดูจะยกย่องพละกำลังของผมนะถ่อมตัวเกินไปสักหน่อย


แต่เพียงชั่วระยะเวลาอันสั้นที่เขาได้เผชิญหน้ากับผมน่ะถ่อมตัว ก็รู้แล้วว่าคำยกย่องเหล่านั้นไม่ได้เกินไปจากความจริงเลย!


แม้ศิลปะเพลงดาบของอีกฝ่ายจะดูเรียบง่ายและธรรมดาสามัญ แต่การควบคุมการเคลื่อนไหวของเขาแม่นยำและตรงจุด ทุกข้อบกพร่องที่เขาสามารถจะเล่นงานคู่ต่อสู้ได้ถูกเล่นงานจนหมด ทำให้ทุกกระบวนท่าที่ผู้อาวุโสไป๋เย่สำแดงออกไปล้วนแต่ไร้ประโยชน์


ราวกับเขาถูกจับแก้ผ้าจนล่อนจ้อนต่อหน้าอีกฝ่าย ไม่มีสิ่งใดที่เขาจะปกปิดชายผู้นั้นได้เลย


“ไม่ใช่ มีบางอย่างไม่ถูกต้องแล้วล่ะ เมื่อครู่นี้คุณบอกว่าเขากำลังสังหารศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดคนอื่นๆไม่ใช่หรือ? นั่นก็หมายความว่าเขาท้าทายทุกคนพร้อมกันในคราวเดียว เหมือนกับที่ทำเมื่อตอนอยู่ในหอนิรันดร์ของศิษย์สายตรงฝ่ายในใช่ไหม?” ชายชราหรี่ตาด้วยความพรั่นพรึงขณะพลันนึกขึ้นได้


“แล้วเราจะมัวรีรออยู่ที่นี่เพื่ออะไร? ต้องไปยับยั้งเขา!”


“สายไปแล้วล่ะ…” ผู้อาวุโสไป๋เย่ส่ายหน้าและถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ป่านนี้เขาคงสังหารศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดทั้งหมดแล้ว”


“เขาสังหารพวกนั้นจนหมดแล้ว?”


ชายชรากับไป๋เฟิงถึงกับจังงังในสิ่งที่ได้ยิน


เบ็ดเสร็จแล้ว ก็น่าจะไม่ถึง 1 นาทีด้วยซ้ำตั้งแต่พวกเขาสลายตัวออกจากหอนิรันดร์…แล้วภายในระยะเวลาอันสั้นขนาดนั้น ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดหลายสิบคนจะถูกสังหารหมดเชียวหรือ?


“เราควรรีบรายงานผู้อาวุโสเหอกับคนอื่นๆให้รับรู้เรื่องนี้ ตอนนี้พวกเขาน่าจะยังไม่รู้อะไร คงยังอยู่ที่ศาลาเพลงดาบ พวกเขาน่าจะหาที่อยู่ของผมน่ะถ่อมตัวได้…” ชายชราเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะอุทานอย่างร้อนใจ


“ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอก ผมพอรู้ว่าเขาเป็นใคร ไปพบเขาตอนนี้เลยดีกว่า!” ผู้อาวุโสไป๋เย่พูดขณะลุกขึ้นยืน เขามองชายชราอีกครั้งและสั่งการ “ไปตามหาผู้อาวุโสเหอและรายงานทุกอย่างที่เกิดขึ้นในหอนิรันดร์ของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดให้เขาฟังอย่างละเอียดนะ จากนั้น ผมอยากให้คุณเชิญผู้อาวุโสเหอกลับสู่สภาอาวุโสพร้อมกับผู้อาวุโสคนอื่นๆ ในระหว่างนี้ ไป๋เฟิงกับผมจะไปตามหาผมน่ะถ่อมตัว ไม่นาน เราก็น่าจะพาตัวเขามาได้…”


หลังจากพูดจบ ผู้อาวุโสไป๋เย่ก็ร้องเรียกไป๋เฟิงให้ตามไปก่อนจะก้าวยาวๆออกจากบ้านพัก


…..


ที่บ้านพักของจางเซวียน


หลังจากที่ไป๋เหรินชิงถูกเหอจิ้งชวนสังหารได้ไม่นาน เธอก็นำตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลอันใหม่มาใช้และกลับสู่หอนิรันดร์ของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด


“…ทุกคนไปไหนกันหมด?”


เธอประหลาดใจที่พบว่าพื้นที่บริเวณรอบสังเวียนประลองล้วนว่างเปล่า


เมื่อครู่นี้ยังมีฝูงชนอยู่เต็มไปหมด ทำไมจู่ๆพวกเขาถึงหายตัวในขณะที่เธอจากไปเพียงไม่นาน?


ขณะที่ไป๋เหรินชิงกำลังครุ่นคิด ชายที่ถูกสังหารพร้อมกับเธอเมื่อครู่นี้, เหอจิ้งชวน ก็ปรากฏตัวไม่ห่างออกไปนักด้วยสีหน้างุนงงเช่นกัน


“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” ไป๋เหรินชิงตั้งคำถามด้วยความประหลาดใจ


“ผมเพิ่งได้ข่าวว่าชายที่มีสมญาว่าผมน่ะหล่อมากเล่นงานศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดหมดทุกคน…” เหอจิ้งชวนตอบด้วยสายตาที่ยังคงบ่งบอกความงุนงง


เขากำลังครุ่นคิดเรื่องการต่อสู้กับไป๋เหรินชิงเมื่อครู่นี้ ก็พอดีกับที่ได้ข่าวว่ามีนักรบผู้ไร้เทียมทานคนหนึ่งท้าทายศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดทุกคน จึงรีบกลับสู่หอนิรันดร์ ตั้งใจจะมาช่วย


แต่ใครจะไปคิดว่าทุกคนจะถูกฆ่าตายเรียบวุธ!


ศิลปะเพลงดาบของหมอนั่นจะทรงพลังไปหน่อยไหม?


“นี่แปลว่า…ผมน่ะหล่อมากสังหารทุกคนที่อยู่ที่นี่หมดเลยหรือ?” ไป๋เหรินชิงรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาทันที เธอแทบลมจับ


อาจารย์ลุง คุณจะก่อการปฏิวัติที่นี่หรือไง?


ดูเหมือนที่คุณทำกับบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในจะยังบันเทิงไม่พอสินะ ถึงมารังแกศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดถึงที่นี่…แล้วต่อไปคุณจะท้าทายสภาผู้อาวุโสด้วยหรือเปล่า?


“ฉันจะออกไปดู”


ไป๋เหรินชิงกุมขมับด้วยความว้าวุ่นใจก่อนจะออกจากหอนิรันดร์


ทันทีที่กลับถึงห้อง ก็เห็นจางเซวียนลุกขึ้นยืนพร้อมกับบิดขี้เกียจ


“อาจารย์ลุง คุณ…เอ่อ…บังเอิญสังหารศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดทุกคนในหอนิรันดร์จนหมดใช่ไหม?”


“พวกนั้นล้วนแต่ไม่เอาไหน ทั้งๆที่แพ้ดวล แต่ก็ไม่ยอมชดใช้ ผมจึงสังหารหมดทุกคนเพื่อสั่งสอนบทเรียน เพราะถึงอย่างไร อยู่ในหอนิรันดร์…พวกเขาก็ไม่เจ็บตัวอยู่แล้ว” จางเซวียนคำราม


ไป๋เหรินชิงแทบคลุ้มคลั่ง


เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ คุณจำเป็นต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้เลยหรือ?


“อ้อ ผมอยากให้คุณไปตรวจสอบดูว่าพวกนั้นใช้หนี้หรือยัง? ถ้าใช้คืนมาแล้วล่ะก็ รีบนำเงินจำนวนนั้นมาให้ผมด้วย ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ผมจะกลับไปที่หอนิรันดร์เพื่อจัดการพวกนั้นเอง!” จางเซวียนโบกมือ


ไป๋เหรินชิงหายใจหายคอไม่ออก


ตอนที่ 2006 นี่มันกฎบ้าบออะไร?

มันเรื่องอะไร ผู้เชี่ยวชาญที่ไร้เทียมทานระดับนี้ถึงลดตัวลงมาขนาดที่ยอมสังหารศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดทุกคนเพียงเพื่อให้ได้เงิน?


ไป๋เหรินชิงส่ายหน้า จากนั้นก็นำตราหยกอันหนึ่งออกมา เธอชำเลืองดูมันก่อนจะตอบ “พวกเขาใช้หนี้ฉันแล้ว รวมแล้วก็ราวๆ 100,000 เหรียญสำนักดาบ!”


“100,000 เหรียญ?” จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจ “ดูเหมือนศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดก็ร่ำรวยไม่เบานะ!”


เขาสังหารบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในไปกว่าครึ่ง ได้เงินมาแค่ 200,000 เหรียญสำนักดาบ แต่เพียงเล่นงานศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด 5 คน ก็ทำเงินได้ถึง 100,000 เหรียญสำนักดาบแล้ว…ดูเหมือนความเหลื่อมล้ำของความมั่งคั่งระหว่างสองฝ่ายจะไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย!


เอาเถอะ ดูเหมือนเราจะพบบ่อเงินบ่อทองที่ช่วยแก้ปัญหาเรื่องเงินได้แล้ว…


ไม่ช้าไป๋เหรินชิงก็นำเงินทั้งหมดออกมา จางเซวียนอดไม่ได้ที่จะไชโยโห่ร้องอย่างลิงโลดในใจกับโชคลาภขนาดย่อมๆที่เขาหาได้ภายในเวลาเพียงวันเดียว


ครู่ต่อมา เขาก็เงยหน้าขึ้นมองไป๋เหรินชิง “ศิลปะเพลงดาบของคุณไม่เลวนะ แต่เทคนิคการโยนดาบที่คุณเรียนจากตั้นเฉี่ยวเทียนยังมีปัญหาอยู่หลายข้อ ผมจะแก้ไขให้คุณเดี๋ยวนี้ และหลังจากนั้น ผมอยากให้คุณกลับสู่สังเวียนประลองเพื่อหาเงินมาให้ผมอีก เข้าใจไหม?”


“….” ไป๋เหรินชิง


เธอเองก็สับสนพอตัวว่าควรจะมีความสุขหรือยินดีปรีดาหรือไม่ที่อาจารย์ลุงให้คำชี้แนะกับเธอเป็นการส่วนตัว หรือว่าแท้ที่จริงแล้วเธอถูกใช้เป็นเครื่องมือหาเงิน แต่สุดท้าย…ความปรารถนาที่จะพัฒนาศิลปะเพลงดาบของตัวเองให้ก้าวหน้าก็มีน้ำหนักมากกว่า


ไป๋เหรินชิงรีบลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัวฟังการถ่ายทอดคำสอนของท่านอาจารย์ ก็พอดีกับที่ได้ยินเสียงเคาะประตูรัวชุดใหญ่ดังมาจากประตูทางเข้า จากนั้นเฉาเฉิงลี่ก็ตะโกนลั่น “คุณเป็นใคร?”


“พวกเรามาขอพบจางเซวียน!” เสียงหนึ่งตอบ


เมื่อได้ยินเสียงนั้น ไป๋เหรินชิงขนลุกขนชันไปทั่วทั้งตัว เธออุทานออกมาด้วยริมฝีปากสั่นเทา “อาจารย์ลุง…นั่นท่านปู่ของฉัน! เขามาที่นี่แล้ว!”


“ท่านปู่ของคุณ?” จางเซวียนชะงัก “คุณหมายถึงผู้อาวุโสไป๋เย่หรือ?”


เท่าที่เขารู้ ผู้อาวุโสไป๋เย่คือ 1 ใน 3 ผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักดาบเมฆเหิน เป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริงคนหนึ่งของทวีปแห่งนี้


ทำไมจู่ๆผู้ทรงเกียรติระดับนี้ถึงมาเคาะประตูบ้านของเขา?


หรือว่าการจัดฉากเล่นละครที่เขาเคยแสดงยังไม่แนบเนียนพอที่จะทำให้อีกฝ่ายไม่อยากรับเขาเป็นศิษย์? คงเป็นอย่างนั้นแน่ ใช่ไหม?


เพราะถึงอย่างไร เขาก็เพิ่งเข้าสู่สำนักดาบเมฆเหินได้เพียงวันเดียว และแน่ใจว่าเก็บเนื้อเก็บตัวเงียบมาตลอด ยังไม่ได้ทำอะไรที่โดดเด่นออกนอกหน้าอย่างจริงๆจังๆ จึงไม่น่าจะมีเหตุผลใดที่ผู้อาวุโสไป๋เย่จะอยากพบเขา!


“ใช่!” ไป๋เหรินชิงพยักหน้า


“ผมคิดว่าเหตุผลที่เขามาที่นี่น่าจะเป็นเพราะเขายังอยากรับผมเป็นศิษย์อยู่ ในเมื่อเป็นอย่างนั้น…คุณก็ช่วยเล่นละครหน่อย ทำเป็นว่ากำลังถ่ายทอดศิลปะเพลงดาบให้ผม คุณจะต้องตำหนิติเตียนผมเรื่องทักษะที่อ่อนด้อย และแสดงความผิดหวังที่ผมไม่สามารถทำตัวให้เป็นไปตามความคาดหวังของท่านปู่ของคุณได้…” จางเซวียนพูด


“เอ่อ…” ไป๋เหรินชิงทำตัวไม่ถูก


เธอแสดงละครไม่เก่ง ตบตาใครก็ไม่เป็น!


“ตกลงตามนั้นนะ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ อย่าหวังว่าผมจะถ่ายทอดศิลปะเพลงดาบใดๆให้คุณอีก!” จางเซวียนสำทับ


“ก็ได้…” ได้ยินคำนั้น ไป๋เหรินชิงไม่มีทางเลือกนอกจากยอมทำตามคำขอของเขา


เธอยอมทำทุกอย่างหากจะได้ร่ำเรียนศิลปะเพลงดาบกับอาจารย์ลุง เพราะศิลปะเพลงดาบของอีกฝ่ายนั้นไร้เทียมทานจริงๆ!


เธอเพิ่งเรียนศิลปะเพลงดาบไปแค่ 2 ชนิด แถมยังเป็นกระบวนท่าพื้นฐานที่สุด แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เธอต่อสู้กับศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดอันดับ 1 จนผลการดวลออกมาเสมอได้ ถ้าเธอได้เรียนมากกว่านี้อีกหน่อย แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่กล้าจินตนาการว่าเมื่อถึงตอนนั้นเธอจะทรงพลังขนาดไหน!


นี่คือโอกาสที่จะปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้!


ขณะที่ทั้งคู่ยังคงหารือกัน ไป๋เฟิงก็ก้าวออกมาและแสดงตราสัญลักษณ์ของเขาต่อเฉาเฉิงลี่


“ทำไม? คุณคิดว่าจะเข้ามาได้ด้วยการแสดงตราสัญลักษณ์ของคุณให้ผมดูหรือ?” เฉาเฉิงลี่ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ


เขายังโมโหที่ถูกทุบศีรษะ จึงมีทีท่าไม่สบอารมณ์นักต่อแขกทั้งสอง


เอาตราสัญลักษณ์มาโชว์ขณะที่ผมกำลังตั้งคำถาม คุณคิดว่ามันใช่เวลาสำหรับการโชว์ตราสัญลักษณ์หรือไง? ทำอย่างกับโอ้อวดตัวเองเป็นอยู่คนเดียวอย่างนั้นแหละ!


“ผมคือผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักดาบเมฆเหิน มาขอพบนายน้อยของคุณ, จางเซวียน”


เห็นอีกฝ่ายไม่รู้จักตราสัญลักษณ์ผู้อาวุโส ผู้อาวุโสไป๋เย่อธิบายอย่างสุขุม


เพราะตั้นเฉี่ยวเทียน จางเซวียน และคนอื่นๆเพิ่งเข้าสู่สำนักดาบเมฆเหินได้เพียงวันเดียว จึงพอเข้าใจได้ที่พวกเขาจะไม่เคยเห็นตราสัญลักษณ์ของผู้อาวุโสระดับสูงมาก่อน


“คุณคือผู้อาวุโสของสำนักดาบเมฆเหินหรือ?” เฉาเฉิงลี่ยังคงโมโหเดือด แต่แล้วคำนั้นก็ทำให้เขาหวาดกลัวแทบขาดใจ เขาหน้าซีดขณะก้มลงโค้งคำนับอย่างงาม “ขออภัยด้วยที่ผมแสดงกิริยาไม่สุภาพ ชะ-เชิญทางนี้เลย…”


เฉาเฉิงลี่ไม่เหมือนซุนฉาง ในฐานะจอมโจร เขาผ่านสถานการณ์เฉียดเป็นเฉียดตายมามาก จึงมีความระแวดระวังต่อการโจมตีของผู้ที่แข็งแกร่งกว่า เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่กล้าแสดงอำนาจบาตรใหญ่ต่อหน้าผู้อาวุโสของสำนักดาบเมฆเหิน


ถ้าอีกฝ่ายเล่นงานเขา เขาคงตายไม่รู้ตัว!


ทำปากเก่งต่อหน้าคนระดับนี้หรือ? ลืมได้เลย!


โลกนี้ยังมีความสุขอีกมากมายให้ตักตวง เขายังไม่อยากตายตอนนี้


ผู้อาวุโสไป๋เย่พยักหน้าขณะยกเท้าขึ้นเพื่อจะก้าวเข้าสู่บ้านพัก แต่เฉาเฉิงลี่ก็รีบเข้ามายับยั้งเขาไว้


“ขอโทษเถอะ แต่นายน้อยของผมตั้งกฎไว้ว่าผู้ที่จะเข้าสู่บ้านพักหลังนี้ไม่อาจใช้ทั้งขาซ้ายหรือขาขวาได้ คงต้องขออภัยคุณสำหรับเรื่องนี้ด้วย!”


จากนั้น เขาก็ออกนำหน้าและกระโดดข้ามธรณีประตูไปโดยใช้ทั้งสองเท้า


“ฮะ?”


ผู้อาวุโสไป๋เย่กับไป๋เฟิงมองหน้ากันอย่างงงงัน


นี่มันกฎบ้าบออะไร?


“พวกอัจฉริยะมักมีความประหลาดพิสดารตามแบบของตัวเองเสมอ ในเมื่อเราเป็นแขก ก็ควรทำตามกฎของเขา…” ไป๋เฟิงพูด


ในครั้งนั้น เซียนดาบปีศาจก็เป็นที่เลื่องลือเรื่องอารมณ์และนิสัยอันแปลกประหลาดเช่นกัน ในเมื่อจางเซวียนเข้าถึงเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าแล้ว ก็พอเข้าใจได้ที่บุคลิกของเขาออกจะพิสดารพันลึกไปสักหน่อย


ตุ้บ! ตุ้บ!


ทั้งคู่กระโดดเข้าบ้านพัก


ทันทีที่เหยียบย่างเข้าสู่บ้านพัก ผู้อาวุโสไป๋เย่กับไป๋เฟิงกำลังจะตั้งคำถามว่าจางเซวียนอยู่ไหน ก็พอดีกับที่ได้ยินเสียงโวยวายดังออกมาจากห้องหนึ่ง


“ทำไมคุณถึงงี่เง่าได้ขนาดนี้? ฉันอธิบายให้คุณฟังกว่า 2 ชั่วโมงแล้ว แต่ดูเหมือนยังไม่มีอะไรเข้าหูเลยสักนิด…คุณยังหวังจะให้ท่านปู่ของฉันรับคุณเป็นศิษย์อยู่หรือ? ฝันกลางวันแล้วล่ะ!”


แอ๊ดดดด!


ครู่ต่อมา ประตูห้องก็เปิดออก สาวน้อยคนหนึ่งเดินลงส้นเท้าออกมาอย่างขัดใจ


ที่ตามเธอมาต้อยๆคือชายหนุ่มคนที่กำลังก้มหน้าด้วยความอับอาย


ผู้อาวุโสไป๋เย่กับไป๋เฟิงมองหน้ากัน ต่างคนต่างพูดไม่ออก


บ้าแล้ว! คราวนี้ 2 คนนั่นคิดจะทำอะไรอีก?


“ท่านปู่กับท่านปู่เฟิง คุณสองคนมาที่นี่ทำไม?”


ขณะที่ทั้งสองกำลังพยายามขบคิดว่าจางเซวียนกับไป๋เหรินชิงกำลังพยายามทำอะไร ไป๋เหรินชิงก็หันมามองพวกเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ ราวกับเพิ่งเห็นว่าทั้งคู่มา เธอรีบเดินเข้ามาหา


“พวกเรามาเพื่อ…” ผู้อาวุโสไป๋กำลังจะเปิดเผยวัตถุประสงค์ที่เขามา ก็พอดีกับที่ไป๋เหรินชิงพูดแทรกอย่างหมดความอดทน


“ท่านปู่ คุณมาก็ดีแล้ว ชายผู้นี้คือจางเซวียน, ผู้ที่ขายยาให้ฉัน”


“ฉันสำนึกในบุญคุณของเขาอย่างมากที่ช่วยชีวิตท่านปู่ แต่ขอบอกเลยว่าศิลปะเพลงดาบของเขาไม่ได้เรื่องจริงๆ ฉันสั่งสอนเขามาก็หลายชั่วโมงแล้ว แต่จนป่านนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจแม้แต่ศิลปะเพลงดาบขั้นพื้นฐานที่สุด!” ไป๋เหรินชิงบ่นพึมอย่างหงุดหงิด ราวกับไม่อยากเชื่อว่าจะมีศิษย์สายตรงคนไหนของสำนักดาบเมฆเหินที่งี่เง่าและไร้ประโยชน์ขนาดนี้


“ฉันจะให้โอกาสคุณเป็นครั้งสุดท้ายนะ สำแดงศิลปะเพลงดาบที่ฉันเพิ่งสอนให้ต่อหน้าท่านปู่เสียตอนนี้ อย่างที่คุณรู้ ท่านปู่ของฉันคือ 1 ใน 3 ผู้อาวุโสใหญ่ของสำนัก ถ้าคุณทำได้ดีล่ะก็ คุณก็จะได้ยอมรับท่านปู่ของฉันเป็นอาจารย์!”


“ขะ-ขอรับ ศิษย์พี่ไป๋”


จางเซวียนเงื้อดาบขึ้นอย่างเงอะงะและฟันฉับลงไป


การเคลื่อนไหวของเขาขัดเขินอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่มีร่องรอยของกระแสดาบฉีแม้แต่น้อย จะเรียกว่าเป็นศิลปะเพลงดาบ…ก็ดูจะเป็นการดูถูกศิลปะเพลงดาบเกินไป


ผู้อาวุโสไป๋เย่มองหน้าไป๋เฟิงอีกครั้ง สีหน้าของเขาบ่งบอกความขัดใจ


ในสายตาของเจ้าพวกนี้ เราสองคนดูโง่มากหรือไง? ตอนนี้ผมไม่รู้แล้วว่าทั้งคู่กำลังตบตาหรือเยาะเย้ยพวกเรา ดูจะไม่ได้ลงทุนลงแรงในการจัดฉากแสดงละครเลย


ผมเริ่มจะโมโหขึ้นมาจริงๆแล้วนะ!


“ท่านปู่ ดูเอาเถอะ ทักษะของเขาน่ะไม่ได้เรื่อง ไม่มีความปราดเปรื่องในศิลปะเพลงดาบแม้แต่น้อย คนโง่เง่าแบบนี้ไม่คู่ควรกับการจะได้เป็นศิษย์ของท่านปู่หรอก ฉันรู้ว่าเขาคือผู้มีพระคุณของท่านปู่ และหนี้บุญคุณครั้งนี้ก็จะต้องถูกชดใช้ด้วยวิธีใดสักวิธีหนึ่ง แต่ก็ไม่ควรทำให้ชื่อเสียงของท่านปู่ด่างพร้อยเหมือนกัน เพราะฉะนั้น…ทำไมเราไม่มอบเงินให้เขาแทนล่ะ?”


เห็นท่านปู่ของเธอกับท่านปู่เฟิงเงียบกริบ ไป๋เหรินชิงคิดว่าตัวเองจัดฉากเล่นละครตบตาทั้งคู่ได้สำเร็จแล้ว เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็ท่องบทตามที่จางเซวียนจัดให้เมื่อครู่


“คนโง่เง่า?”


“ไม่คู่ควรกับการจะได้เป็นศิษย์ของผม?”


ผู้อาวุโสไป๋เย่แทบสำลัก


หากเขาไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ชายหนุ่มผู้นี้ตัดหัวของเขาด้วยกระแสดาบฉีเพียงสายเดียว…หากจะมีใครสักคนไม่คู่ควรล่ะก็ น่าจะเป็นตัวเขาเอง!


โชคดีที่ไม่มีหลุมมีบ่ออยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นเขาคงมุดหัวลงไปเหมือนนกกระจอกเทศ


“ผมอับอายเหลือเกินกับความอ่อนแอของผม เกรงว่าคงจะไม่มีความปราดเปรื่องในวิถีทางของศิลปะเพลงดาบจริงๆ ต้องขออภัยอย่างยิ่งที่ทำให้ผู้อาวุโสที่สามต้องผิดหวัง…” จางเซวียนก้มหน้าลงอย่างละอายใจ


ในส่วนลึกของดวงตาของเขามีทั้งความเสียใจและความไม่มั่นใจในตัวเองอยู่ ดูราวกับนักดาบสักคนที่ได้เพียรพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ถูกความเป็นจริงตีแสกหน้าเอาอย่างโหดร้าย


เห็นภาพนั้น ผู้อาวุโสไป๋เย่กับไป๋เฟิงหายใจหายคอไม่ออก รู้สึกเหมือนกำลังจะได้รับความบอบช้ำภายในอย่างหนัก


นี่มันบ้าบออะไร?


กลับกลายเป็นว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ไม่ใช่แค่นักดาบผู้ปราดเปรื่อง แต่เกิดมาเพื่อเป็นนักแสดงด้วย!


ฉลาดเป็นกรดขนาดนี้ ถึงอย่างไรก็คงเอาตัวรอด!


ตอนที่ 2007 ผมยอมรับ!

ผู้อาวุโสไป๋เย่สูดหายใจลึกหลายเฮือกเพื่อบรรเทาความแน่นหน้าอกและป้องกันไม่ให้ความดันเลือดพุ่งปรี๊ดจนเส้นเลือดแตกตายไปเสียก่อน เขาโพล่งออกมา “ถ้าศิลปะเพลงดาบของคุณอ่อนด้อยจริงๆล่ะก็ คงไม่เหมาะนักที่ผมจะรับคุณเป็นศิษย์”


“แต่สิ่งที่ทุกคนรู้กันว่าดาบคือผู้นำของอาวุธทั้งหมดนั้นก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ไม่มีอะไรจะทดแทนอานุภาพของมันได้ ถ้าคุณอยากรับผมเป็นอาจารย์ของคุณล่ะก็ ผมสามารถสอนคุณได้ตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน ผมเชื่อว่าภายใต้การชี้แนะของผม ไม่ช้าคุณก็จะเข้าถึงระดับเดียวกับไป๋เหรินชิงได้…”


“คือ…” จางเซวียนไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยังอยากรับเขาเป็นศิษย์ทั้งที่เขาลงทุนแสดงละครขนาดนี้แล้ว เล่นเอาพูดไม่ออก เขารีบโบกมือ “ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก แต่ไม่กล้ารับข้อเสนอของคุณหรอก เพราะความอ่อนด้อยของผม ผมไม่มั่นใจว่าจะทำได้อย่างที่คุณคาดหวัง…ชื่อเสียงของผมจะด่างพร้อยก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่คงไม่อาจทำให้ชื่อของผู้อาวุโสที่ 3 ต้องแปดเปื้อน!”


“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่ ผมเป็นหนี้บุญคุณที่คุณช่วยชีวิตผมไว้ การจะชดใช้ก็ถือว่าถูกต้องแล้ว หรือว่าคุณมีความสนใจในศิลปะการใช้อาวุธชนิดอื่น?”


ผู้อาวุโสไป๋เย่ไม่ได้คิดจะเล่นตลกกับจางเซวียน แต่เขาต้องการบีบบังคับให้อีกฝ่ายยอมรับตัวตนที่แท้จริงของผมน่ะถ่อมตัวให้ได้ ไม่อย่างนั้น ถ้าหมอนี่ยังยืนกรานกระต่ายขาเดียวต่อไป เขาก็คงทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน เขาอาจใช้กำลังบังคับได้ แต่นั่นก็เสี่ยงกับการผลักดันให้นักดาบผู้ปราดเปรื่องผู้นี้หนีหายไปจากสำนัก


ส่วนจางเซวียนก็ตาโตเมื่อได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสไป๋เย่ “ใช่แล้วล่ะ อันที่จริงผมไม่ได้มีความสนใจในศิลปะเพลงดาบเท่าไหร่…ไม่ได้จะหยาบคายนะ แต่ความชอบที่แท้จริงของผมอยู่ในวิถีทางของกระบี่!”


“ผู้อาวุโสที่ 3, ผมไม่กล้าโกหกคุณหรอก มันคือความปรารถนาจากใจจริงของผมที่จะได้ร่ำเรียนศิลปะเพลงกระบี่ วิถีทางของเพลงกระบี่ที่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางทางด้วยพละกำลังมหาศาลของมัน…ผมพบว่ามันเหมาะสมกับบุคลิกและสภาวะจิตของผม…” เห็นความแคลงใจในสายตาของอีกฝ่าย จางเซวียนเสริมด้วยสีหน้าที่ดูจริงใจสุดขีด


ดาบอันว่องไวและกระบี่อันทรงพลัง; เป็นเรื่องที่รู้กันทั่วไปว่าไม่มีทางที่นักรบคนไหนจะเชี่ยวชาญในศิลปะการใช้อาวุธพร้อมกันทั้ง 2 ชนิดได้


ในเมื่ออีกฝ่ายจงใจจะให้เขาร่ำเรียนศิลปะเพลงดาบ ก็ไม่มีข้อแก้ตัวไหนจะดีไปกว่าการกล่าวอ้างว่าความปรารถนาที่แท้จริงของเขาอยู่ในวิถีทางของเพลงกระบี่ และเขาก็ไม่ใช่ศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหินด้วย จึงไม่ถือเป็นการฝ่าฝืนกฎของสำนัก


ขอแค่เขาแสดงให้ผู้อาวุโสไป๋เย่ได้เห็นว่าตัวเขามีทักษะในวิถีทางของเพลงกระบี่ ก็น่าจะโน้มน้าวใจให้อีกฝ่ายล้มเลิกการจะรับเขาเป็นศิษย์ได้สำเร็จ


“แค่ก แค่ก! ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ คุณจะช่วยสำแดงศิลปะเพลงกระบี่ของคุณหน่อยได้ไหม? ผมสนใจและอยากรู้ว่าคุณพัฒนาวิถีทางของเพลงกระบี่ไปได้ถึงไหนแล้ว” ผู้อาวุโสไป๋เย่สูดหายใจลึกอีกครั้งเพื่อสงบสติอารมณ์ก่อนจะตั้งคำถาม


ผมรู้ดีว่านักรบผู้ไร้เทียมทานระดับคุณย่อมไม่อยากเป็นศิษย์ของผมแน่ แต่มีข้อแก้ตัวตั้งมากมาย คุณกลับเลือกจะบอกผมว่าคุณปรารถนาร่ำเรียนวิถีทางของเพลงกระบี่แทนอย่างนั้นหรือ?


ก็ได้! ขอผมดูหน่อยว่าคุณทำอะไรได้บ้าง?


แต่ถ้าผมจับร่องรอยของเจตจำนงเพลงดาบในศิลปะเพลงกระบี่ของคุณได้ล่ะก็ มาดูกันว่าหลังจากนั้นคุณจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร!


พูดกันตามตรง เขาเองก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรมากมายหากจางเซวียนจะปฏิเสธเขาอย่างตรงไปตรงมา แต่ด้วยการลงทุนจัดฉากแสดงละครครั้งแล้วครั้งเล่าและใช้ข้อแก้ตัวเหลวไหลมาพล่ามใส่เขา…ก็คงจะเป็นการพูดโกหกหากจะบอกว่าเขาไม่รู้สึกหงุดหงิด


“ผมเกรงว่าตอนนี้ผมจะไม่มีกระบี่อยู่กับตัว…”


“ไม่ต้องห่วง ผมมีเล่มหนึ่ง”


จางเซวียนกำลังจะโบกมือปฏิเสธผู้อาวุโสไป๋เย่ ก็พอดีกับที่อีกฝ่ายชักกระบี่ออกมา


แม้ผู้อาวุโสไป๋เย่จะมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในศิลปะเพลงดาบ แต่เขาก็มีอาวุธชนิดอื่นๆติดตัวอยู่บ้าง มันคือส่วนหนึ่งของการฝึกฝนศิลปะเพลงดาบเช่นกัน


วิธีการที่ใช้ได้ผลในการทำความเข้าใจพละกำลังและขีดจำกัดของศิลปะเพลงดาบของตัวเองก็คือทดลองใช้อาวุธชนิดอื่นๆด้วย โดยเมื่อได้เผชิญหน้ากับอานุภาพของอาวุธชนิดอื่นๆ ผู้นั้นก็จะได้พบหนทางที่แตกต่างออกไปในการสำแดงศิลปะเพลงดาบของตัวเอง


สิ่งนี้เหมือนกับการที่เก้าดาบของตู๋กูสามารถทำให้กระบี่ แส้ ลูกธนู และฝ่ามือยอมจำนนได้…


“…อย่างนั้นก็ได้!”


เมื่อเห็นว่าไม่มีทางเลือก จางเซวียนรับกระบี่มาและกวัดแกว่งมันเบาๆ เจตจำนงเพลงกระบี่อันทรงพลังแผ่ซ่านไปทั่วร่างของเขา ทำให้เขากลายเป็นกระบี่ที่ทรงพลังอย่างไม่มีใครเทียบ สามารถสร้างบาดแผลให้เกิดขึ้นได้แม้แต่กับสวรรค์ที่อยู่เบื้องบน


ผู้อาวุโสไป๋เย่กับไป๋เฟิงหรี่ตา ถึงกับพูดไม่ออก


ในชั่วพริบตานั้น ทั้งคู่รู้สึกว่าเจตจำนงเพลงดาบในร่างกายของพวกเขาถูกเจตจำนงเพลงกระบี่ของอีกฝ่ายกดข่มเสียจนทำไม่ได้แม้แต่จะโงหัว!


พุดอีกอย่างก็คือ…เจตจำนงเพลงกระบี่ของจางเซวียนทั้งบริสุทธิ์และทรงพลังกว่าเจตจำนงเพลงดาบของพวกเขามาก!


แต่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาน่าจะเป็นผู้ที่ทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ แล้วเป็นไปได้อย่างไรที่เจตจำนงเพลงกระบี่ของเขาจะไร้เทียมทานขนาดนี้?


ดูเหมือนความพากเพียรฝึกฝนวรยุทธเนิ่นนานหลายปีของทั้งคู่จะสูญเปล่าอย่างสิ้นเชิง…


ส่วนจางเซวียนก็ประเมินอาการตกตะลึงของสองผู้อาวุโสอย่างถี่ถ้วนก่อนจะพยักหน้าด้วยความพอใจ เท่าที่เห็น ดูเหมือนเขาจะโน้มน้าวใจผู้อาวุโสไป๋เย่ได้สำเร็จ


“อย่างที่บอกไว้ ความเชี่ยวชาญที่แท้จริงของผมอยู่ที่ศิลปะเพลงกระบี่ ไม่ใช่ศิลปะเพลงดาบ…” จางเซวียนพูดขณะกวัดแกว่งกระบี่อีกครั้งและถอนเจตจำนงเพลงกระบี่ของเขากลับ


เขาลงทุนทำขนาดนี้เพื่อจะได้ไม่ต้องไปเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสไป๋เย่!


“คุณมีทักษะเก่งกาจในศิลปะเพลงกระบี่จริงๆ…” ผู้อาวุโสไป๋เย่กลืนน้ำลายอึกใหญ่ รู้ดีว่าตอนนี้ตัวเขาไปไม่เป็นแล้ว จึงตัดสินใจพูดความจริง “บอกคุณตามตรงนะ เหตุผลที่ผมมาที่นี่ไม่ใช่เพื่อรับคุณเป็นศิษย์ของผม แต่มาเพื่อยืนยันตัวตนของคุณให้แน่ใจและนำตัวคุณไปที่สภาผู้อาวุโส!”


“ยืนยันตัวตนของผม?” จางเซวียนใจหายวาบ แต่รีบกลบเกลื่อนไว้ด้วยสีหน้าที่ดูงุนงง “คุณหมายความว่าอย่างไร?”


“ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด คุณคือผมน่ะถ่อมตัวและผมน่ะหล่อมาก ถูกไหม?” ผู้อาวุโสไป๋เย่ตั้งคำถาม


“ฮะ? ขอโทษทีเถอะ แต่ผมไม่เข้าใจจริงๆว่าคุณพูดอะไร” จางเซวียนตื่นตระหนกเล็กน้อย แต่ยังรักษาสีหน้าเรียบเฉยและงุนงงไว้ได้ “ไอ้ที่ว่าถ่อมตัวและหล่อมากน่ะ หมายความว่าอย่างไร?”


“คุณไม่จำเป็นต้องปฏิเสธเรื่องนี้แล้วล่ะ ผมรู้จักหลานสาวของผมดี เธอไม่เคยมีความอดทนในเรื่องไหนๆและมีนิสัยหุนหันพลันแล่น ทั้งยังไม่เคยเอาจริงเอาจังในการร่ำเรียนศิลปะเพลงดาบด้วย…ไม่อย่างนั้น เธอคงไม่อยู่แค่ระดับนี้หรอกทั้งที่ฝึกฝนมาก็เนิ่นนานหลายปีแล้ว แต่เพียงชั่วเวลาไม่นานหลังจากที่เธอได้พบคุณ ก็มีพละกำลังสูงส่งจนสามารถเผชิญหน้ากับผู้เชี่ยวชาญอันดับ 1 ของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดได้ นอกเสียจากผมน่ะถ่อมตัว…อัจฉริยะที่สามารถทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้า ผมก็ไม่คิดว่าจะมีใครอื่นในโลกนี้ที่สร้างวีรกรรมแบบนี้ได้!” ผู้อาวุโสไป๋เย่พูด


“ผม…”


อาการตื่นตระหนกของจางเซวียนเปลี่ยนเป็นความอับอาย ก่อนในที่สุดจะกลายเป็นความโกรธเกรี้ยว


บ้าสิ้นดี!


ถ้าคุณรู้ตัวตนของผมตั้งแต่แรกแบบนี้ แค่พูดออกมาก็พอไหม?


คุณทำให้ผมต้องลงทุนจัดฉากเล่นละครและสำแดงศิลปะเพลงกระบี่ของผมออกมา เห็นผมเป็นลิงที่ใช้แสดงละครลิงเพื่อความบันเทิงหรือไง?


เพื่อบรรเทาความหงุดหงิดของจางเซวียน ผู้อาวุโสไป๋เย่รีบเสริม “ผมไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อคุณนะ ถ้าผมคิดอย่างนั้นล่ะก็ คงเล่นงานคุณไปแล้ว ถึงคุณจะสามารถทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้ แต่ตอนนี้ระดับวรยุทธของคุณก็เป็นแค่นักรบเสมือนอมตะระดับล่างเท่านั้น ผมไม่ได้จะหยาบคาย…แต่ด้วยวรยุทธของคุณในเวลานี้น่ะ คุณทำอันตรายผมไม่ได้หรอก”


ผู้อาวุโสไป๋เย่ไม่รู้ว่าจางเซวียนใช้วิธีไหนถึงฝ่าด่านวรยุทธได้ภายในระยะเวลาอันสั้น แต่การที่อีกฝ่ายเข้าสู่หอนิรันดร์ของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดได้ก็หมายความว่าเขาได้ยกระดับวรยุทธขึ้นเป็นนักรบเสมือนอมตะระดับล่างแล้ว


“ก็ได้ ผมยอมรับ!” จางเซวียนถอนหายใจอย่างรำคาญ สลัดทีท่านอบน้อมจนเกินพอดีออกไปหมดสิ้น


เขารู้ว่าอีกฝ่ายมองไม่เห็นระดับวรยุทธที่แท้จริงของเขา แต่ก็ไม่ได้คิดจะแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง จางเซวียนไม่อยากทำอะไรลงไปจนกว่าจะรู้แน่นอนว่าผู้อาวุโสไป๋เย่กับสำนักดาบเมฆเหินมีเจตนาอย่างไร


หากเป็นไปได้ เขาก็ไม่อยากเปิดเผยตัวตนในฐานะผมน่ะถ่อมตัว แต่เพราะรู้สึกได้ถึงความมั่นอกมั่นใจของผู้อาวุโสไป๋เย่ อีกฝ่ายพูดแบบนี้ออกมาไม่ใช่เพียงเพราะจะหยั่งเชิงเขา


ในเมื่อเขาถูกเปิดโปงแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนเพื่อปิดบังตัวตนที่แท้จริงอีกต่อไป ยอมรับมันเสียตามตรงจะดีกว่า อีกอย่าง สิ่งที่ผู้อาวุโสไป๋เย่พูดก็มีส่วนจริง ตอนนี้เขาไม่รู้ว่านักรบอมตะขั้นสูงมีประสิทธิภาพการต่อสู้แค่ไหน แต่ด้วยวรยุทธขั้นเสมือนอมตะสรวงสวรรค์ ดูเหมือนเขาจะยังไม่มีโอกาสเอาชนะผู้อาวุโสไป๋เย่ได้ในตอนนี้ และสำหรับเวลานี้ ก็ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสไป๋เย่ไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อเขา


“ใช่จริงๆ…” เห็นจางเซวียนยอมรับ ผู้อาวุโสไป๋เย่กำหมัดแน่น


ถึงเขาจะมั่นใจในข้อสันนิษฐานของตัวเอง แต่ก็อดใจเต้นตึกตักไม่ได้เมื่อรู้เรื่อง


ชายผู้สามารถทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้ายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว…


นับตั้งแต่สำนักดาบเมฆเหินก่อตั้งขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อน นอกจากผู้ก่อตั้ง ก็ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าถึงเจตจำนงเพลงดาบระดับสูงขนาดนี้ได้!


“คุณเต็มใจจะไปที่สภาผู้อาวุโสกับผมไหม? ในฐานะผู้ที่ทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ การปรากฏตัวของคุณจะมีความสำคัญอย่างยิ่งใหญ่ต่อสำนักดาบของเรา ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดล่ะก็ มีโอกาสสูงที่คุณจะได้เป็นเจ้าสำนักของเราในอนาคตอันใกล้นี้!” ผู้อาวุโสไป๋เย่ประสานมือและพูดอย่างนอบน้อม


วิธีการเลือกเจ้าสำนักสำนักดาบเมฆเหินนั้นเรียบง่ายมาก ทุกอย่างจะถูกตัดสินกันที่ความเชี่ยวชาญในศิลปะเพลงดาบ


ในฐานะผู้ที่ทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ ขอแค่จางเซวียนยกระดับวรยุทธได้ถึงขั้น ไม่ช้าไม่นานเขาก็จะได้เป็นเจ้าสำนัก


ตอนที่ 2008 เรื่องเป็นอย่างนี้…

“มีโอกาสสูงที่ผมจะได้เป็นเจ้าสำนักของพวกคุณในอนาคตอันใกล้?” จางเซวียนถึงกับผงะ


เขาครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้มากมายหลายประการ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าสำนักดาบเมฆเหินจะคาดหวังให้เขารับตำแหน่งเจ้าสำนัก…


พูดตามตรง จางเซวียนสนใจข้อเสนอนี้มาก สถานภาพใหม่นี้จะทำให้เขาได้รับการปกป้องอย่างดีและเอาตัวรอดได้ในมิติเบื้องบน ที่สำคัญกว่านั้น ด้วยอิทธิพลของสำนักดาบเมฆเหิน การที่เขาจะพลิกแผ่นดินเพื่อค้นหาร่องรอยของหลัวลั่วชิงก็คงง่ายขึ้นมาก!


“ใช่” ผู้อาวุโสไป๋เย่พยักหน้า


“เข้าใจแล้ว ผมจะตามคุณไปที่สภาผู้อาวุโส แต่มีเรื่องหนึ่งจะขอร้อง…ผมเข้าใจว่าผมน่าจะต้องเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสคนอื่นๆด้วย จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่พวกเขาจะต้องรับรู้ตัวตนที่แท้จริงของผม แต่ถึงอย่างนั้น หากเป็นไปได้ ผมก็หวังว่าเรื่องนี้จะไม่แพร่งพรายไปเข้าหูผู้คนมากมายเกินไปนัก” จางเซวียนพูด


ต่อให้ผู้อาวุโสไป๋เย่กับทางสำนักดาบเมฆเหินไม่มีเจตนาทำร้ายเขา แต่ก็ดีที่สุดหากจะทำอะไรอย่างระมัดระวัง อย่างคำกล่าวที่ว่ากันว่า ‘ต้นไม้ที่สูงโดดเด่นเกินไปในป่า สุดท้ายก็ต้องโค่นเพราะเปลวเพลิง’


เหตุผลที่จางเซวียนตั้งใจจะปกปิดตัวตนไว้ก็ไม่ได้มีอะไรมาก คือหากคนอื่นๆรู้ว่าเขาทำอะไรได้บ้าง ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าจะไม่มีใครพยายามทำร้ายเขา


“ไม่ต้องห่วง พวกเราไม่มีเจตนาจะทำอะไรให้คุณต้องเดือดร้อน!” ผู้อาวุโสไป๋เย่ตอบพร้อมกับพยักหน้า


เขารู้ดีว่าอันตรายของการทำให้คนคนหนึ่งเป็นจุดสนใจของคนอื่นๆคืออะไร


ผู้อาวุโสไป๋เย่หันไปสั่งการอย่างเคร่งขรึมกับไป๋เหรินชิง “เหรินชิง ห้ามพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ให้ใครฟังเด็ดขาด ปู่จะออกไปกับน้องจางสักครู่!”


จากนั้น เขาก็หันไปพูดกับจางเซวียน “ไปกันเถอะ!”


ผู้อาวุโสไป๋เย่ใช้พลังปราณห่อหุ้มร่างของจางเซวียนไว้โดยเร็ว ก่อนจะโผขึ้นสู่กลางอากาศ


ตั้นเฉี่ยวเทียนเฝ้ามองจางเซวียนหายลับขอบฟ้าไป เขาอดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดหนักในสิ่งที่ตัวเองเพิ่งได้ยิน “มีโอกาสสูงที่ท่านอาจารย์จะได้เป็นเจ้าสำนักคนใหม่ของสำนักดาบเมฆเหินหรือ?”


เขารู้อยู่แล้วว่าจางเซวียนคือนักรบผู้ปราดเปรื่องและมีประสิทธิภาพการต่อสู้เหนือชั้นกว่าธรรมดา แต่ก็ไม่นึกไม่ฝันว่าอีกฝ่ายจะเก่งกาจถึงขนาดทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้


ทั้งที่อายุยังน้อยแค่นี้ แต่จางเซวียนก็ได้จ่อรอคิวเพื่อก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำของ 1 ใน 6 สำนักใหญ่แล้ว!


ส่วนเฉาเฉิงลี่ก็ตาโตด้วยความตกใจเมื่อรู้เรื่อง ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมนายน้อยถึงตั้งกฎประหลาดพิสดารมากมาย สั่งเขาว่าต้องเข้าสู่บ้านพักโดยไม่ให้ใช้ทั้งขาซ้ายและขาขวา…


เขาบังอาจวิพากษ์วิจารณ์ผมน่ะถ่อมตัวออกมาดังลั่นต่อหน้านายน้อย นั่นไม่เท่ากับดูถูกนายน้อยต่อหน้าต่อตาหรือ?


เฉาเฉิงลี่ใช้มือกุมหน้าอกไว้เพื่อสงบใจ เขานึกขอบคุณสวรรค์ที่ปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ทั้งที่เขาเพิ่งทำผิดมหันต์ลงไป


…..


ที่ศาลาเพลงดาบ


เจ้าสำนักหาน ผู้อาวุโสเหอ และคนอื่นๆกำลังจับจ้องที่กำแพงตรงหน้า ดูราวกับว่าพวกเขากำลังจะขุดหลุมที่กำแพงนั้น


เสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังขึ้นเป็นชุดจากด้านนอก


ผู้อาวุโสเหอหันขวับไปมองผู้อาวุโสที่เพิ่งเข้ามาและถามว่า “มีข่าวคราวของผมน่ะถ่อมตัวไหม?”


“ไม่ ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก…มีใครคนหนึ่งท้าทายศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดหมดทุกคน!” ชายชราอุทานออกมาอย่างร้อนใจ


เขาคือชายชราคนเดียวกันกับที่อยู่กับผู้อาวุโสไป๋เย่ก่อนหน้านี้


“ใครคนหนึ่งท้าทายศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดหมดทุกคน? หรือว่าจะเป็น ‘ผมน่ะถ่อมตัว’?” ผู้อาวุโสเหอหรี่ตาด้วยความตกใจขณะลุกพรวด “ไม่สิ ไม่ใช่หรอก วรยุทธของเขาคือนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติโลกจารึกไม่ใช่หรือ?”


“หมอนั่นมีสมญานามว่า ‘ผมนะหล่อมาก’ เขาท้าทายศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดหลายสิบคนพร้อมๆกัน และสังหารทุกคนเรียบ ผู้อาวุโสไป๋เย่กับผมแฝงตัวเข้าไปที่นั่น แต่พวกเราก็ลงเอยด้วยการถูกสังหารเหมือนกัน…” ชายชราพูดด้วยใบหน้าแดงก่ำ


“เขาสังหารศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดไปหลายสิบคน รวมถึงผู้อาวุโสไป๋เย่กับคุณด้วย…เขาจะต้องเป็นอัจฉริยะผู้สามารถทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้แน่” เจ้าสำนักหานพยักหน้า เขาหันไปมองกำแพงและสั่งการ “ค้นหาว่าตอนนี้ผมน่ะหล่อมากอยู่ที่ไหน!”


ถ้าเป็นแค่การสังหารศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดหลายสิบคน ก็ยังไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่เขาจะจัดการได้ แต่หากคู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายรวมถึงผู้อาวุโสไป๋เย่กับชายชราที่อยู่ตรงหน้าด้วย ต่อให้ตัวเขาก็คงรับมือได้ยาก


ไม่ต้องสงสัยแล้วว่า ‘ผมน่ะหล่อมาก’ กับ ‘ผมน่ะถ่อมตัว’ จะต้องเป็นคนเดียวกัน!


วิ้งงงง!


กำแพงที่อยู่ตรงหน้าฉายแสงวาบ แต่ไม่มีอะไรปรากฏ


“เจ้าสำนักหาน ชายผู้นั้นออกจากหอนิรันดร์ไปแล้วหลังจากที่สังหารเหล่าศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด” ชายชราอธิบาย “แต่ผู้อาวุโสไป๋เย่ดูจะแน่ใจว่าตัวตนที่แท้จริงของหมอนั่นเป็นใคร ตอนนี้เขากำลังไปพบชายผู้นั้นอยู่ และร้องขอให้คุณกับผู้อาวุโสคนอื่นๆกลับไปรอเขาที่สภาผู้อาวุโสก่อน เขาเชื่อว่าจะสามารถพาตัวชายผู้นั้นไปที่สภาผู้อาวุโสได้ในเร็วๆนี้”


“ผู้อาวุโสไป๋เย่แน่ใจในตัวตนของผู้นั้นแล้วหรือ?”


ผู้อาวุโสสองสามคนมองหน้ากันอย่างไม่อยากเชื่อ


รู้ๆกันอยู่ว่าผู้อาวุโสไป๋เย่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ชีวิตของเขากำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย


เพราะสภาพร่างกายแบบนั้น เขาถึงกับถอนตัวออกจากสภาผู้อาวุโส แล้วจู่ๆมาแน่ใจในตัวตนของบุคคลที่ทุกคนกำลังพูดถึงได้อย่างไร?


“อ๋อ เรื่องเป็นอย่างนี้…” ชายชราตั้งต้นอธิบายเรื่องราวทั้งหมด


เขาไม่รู้เรื่องที่ไป๋เหรินชิงซื้อยาจากจางเซวียน แต่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้น เขารู้สึกว่ามันคือเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังข้อสันนิษฐานของผู้อาวุโสไป๋เย่เกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของชายที่ใครๆต่างกล่าวขวัญถึง


“ไป๋เหรินชิงได้เรียนศิลปะเพลงดาบเพียง 2 กระบวนท่าจากเขา แต่อันดับของเธอพุ่งพรวดจากอันดับที่ 17 ไปสู่อันดับที่ 1 เธอถึงกับดวลกับหลานชายของผม และผลออกมาเสมอกันด้วย?” ผู้อาวุโสเหอตาโตอย่างแทบไม่อยากเชื่อ


หากเมื่อครู่นี้เขายังออกจะไม่แน่ใจอยู่บ้าง ตอนนี้ก็มั่นใจแล้วว่าผู้อาวุโสไป๋เย่เจอเข้ากับของจริง


“พวกเรารีบกลับกันเถอะ!”


รู้ดีว่าเรื่องนี้ได้รับการคลี่คลายแล้ว ฝูงชนรีบเดินทางกลับสู่สภาผู้อาวุโส


ทันทีที่เข้าประจำที่ ประตูก็เปิดออก ผู้อาวุโสไป๋เย่เดินเข้ามาพร้อมกับชายหนุ่มคนหนึ่ง


“ท่านเจ้าสำนักหาน คุณกลับมาแล้ว!” ผู้อาวุโสไป๋เย่ตาโตเมื่อเห็นผู้ที่นั่งอยู่บริเวณใจกลางห้อง เขารีบผายมือไปยังชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆและแนะนำ “นี่คือบุคคลผู้สามารถทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ, จางเซวียน!”


“จางเซวียน?”


ฝูงชนมองหน้ากันด้วยความสงสัย


พวกเขาประหลาดใจที่พบว่าอีกฝ่ายมีอายุเพียง 20 ต้นๆเท่านั้น นั่นคือระดับอายุที่ไม่น่าเชื่อสำหรับการที่นักรบคนหนึ่งจะเข้าถึงศิลปะเพลงดาบที่เป็นสุดยอดของมิติเบื้องบนได้!


“จางเซวียน นี่คือท่านเจ้าสำนักของเรา, หานเจี้ยนชิว!” ผู้อาวุโสไป๋เย่แนะนำชายชราที่นั่งอยู่ใจกลางห้อง


“ท่านเจ้าสำนัก?” จางเซวียนมองไป


หานเจี้ยนชิวดูมีอายุราว 60 ปี สวมเสื้อคลุมสีเขียว การปรากฏตัวของเขาดูจะหลอมรวมเข้ากับเจตจำนงเพลงดาบอันเฉียบคม ทำให้ไม่อาจกะระดับความล้ำลึกของวรยุทธของเขาได้


*ตำนานกล่าวว่า เก้าดาบของตู๋กูคือดาบ 9 เล่มที่เป็นอิสระต่อกัน สามารถก่อเกิดเป็นศิลปะการต่อสู้อันยิ่งใหญ่ได้ เป็นที่รู้กันว่ามันยืดหยุ่นและไร้รูปแบบ ประกอบด้วยการเคลื่อนไหวขั้นพื้นฐานมากมายที่สามารถแปรเปลี่ยนโครงสร้างไปได้อย่างไร้จุดจบ ทำให้คู่ต่อสู้ไม่อาจคาดเดาการเคลื่อนไหวและตอบโต้ด้วยศิลปะเพลงดาบที่เหมาะสมได้เลย


จากหนังสือมากมายที่จางเซวียนได้อ่าน ไม่มีระบุไว้ว่าวรยุทธที่เหนือกว่านักรบอมตะขั้นสูงคืออะไร และผู้อาวุโสลู่อวิ๋นก็ไม่รู้ แต่สัญชาตญาณของจางเซวียนบอกเขาว่าชายชราที่อยู่ตรงหน้า, เจ้าสำนักหานเจี้ยนชิว, สำเร็จวรยุทธถึงขั้นที่ไม่มีใครรู้นั้น


จางเซวียนดูออกว่าหานเจี้ยนชิวผู้นี้ไม่มีเจตนาร้ายต่อเขา แต่ถ้าอีกฝ่ายนึกอยากเล่นงานเขาขึ้นมา เขาก็คงไม่มีปัญญาตอบโต้


“จางเซวียน คุณสะดวกใจสำแดงศิลปะเพลงดาบของคุณให้พวกเราชมไหม?” หานเจี้ยนชิวตั้งคำถามพร้อมกับหัวเราะหึๆ


“ไม่ทราบว่าคุณต้องการให้ผมสำแดงศิลปะเพลงดาบของผมเพื่ออะไร?” จางเซวียนย้อนถาม


“คุณเป็นแค่นักรบเสมือนอมตะระดับล่าง เข้าสู่หอนิรันดร์ของผู้อาวุโสไม่ได้ ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ไปที่หอนิรันดร์ของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดและดวลกันที่นั่นดีกว่า ผมคิดว่าไม่มีวิธีไหนที่จะแสดงออกถึงศิลปะเพลงดาบของใครสักคนได้ดีกว่าการเข้าร่วมการต่อสู้จริงๆ”


เหล่าผู้อาวุโสมีหอนิรันดร์ของตัวเอง แต่ต้องสำเร็จวรยุทธตามระดับที่กำหนดไว้ถึงจะเข้าไปได้ เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มคนนี้ยังไม่บรรลุเงื่อนไขนั้น พวกเขาจึงควรจะดวลกันในหอนิรันดร์ของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดแทน


เห็นอีกฝ่ายไม่รู้ว่าเขาจงใจกดข่มระดับวรยุทธไว้ จางเซวียนตอบยิ้มๆ “เข้าสู่หอนิรันดร์ของศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดหรือ? มันออกจะยุ่งยากไปหน่อย ทำไมคุณไม่ลดระดับวรยุทธของตัวเองและสู้กับผมที่นี่ล่ะ?”


“ที่นี่? คุณแน่ใจนะ?” ยังไม่ทันที่หานเจี้ยนชิวจะได้พูดอะไร ผู้อาวุโสเหอก็ขัดขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้ว “ทั้งวรยุทธ ปริมาณพลังปราณ และประสิทธิภาพของกายเนื้อของเหล่านักรบจะอยู่ในระดับเดียวกันเมื่ออยู่ในหอนิรันดร์ จึงถือเป็นสนามประลองที่ยุติธรรมที่สุดสำหรับพวกเราทุกคน แต่หากเป็นที่นี่ ต่อให้พวกเราลดระดับวรยุทธลง ก็ยังคงมีความเหลื่อมล้ำในความแข็งแกร่งของกายเนื้อ จิตวิญญาณ และความบริสุทธิ์ของพลังปราณอยู่ดี มันไม่ใช่ปัจจัยที่พวกเราจะควบคุมได้”


การเข้าสู่หอนิรันดร์ใช้เพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของจิตใต้สำนึกเท่านั้น ซึ่งจะได้รับการจับคู่กับกายเนื้อที่มีองค์ประกอบเหมือนกันกับคนอื่นๆ พูดอีกอย่างก็คือ เหมือนกับการที่จิตใต้สำนึกของแต่ละคนถูกใส่เข้าไปในร่างของหุ่นกระบอก มีแต่ภายใต้สถานการณ์แบบนั้นที่ความแตกต่างในศิลปะเพลงดาบของแต่ละคนจะถูกสำแดงออกมาให้เห็นชัดเจน


หากอยู่ในโลกของความเป็นจริง ต่อให้พวกเขาลดระดับวรยุทธลง ทั้งกายเนื้อและจิตวิญญาณของนักรบอมตะขั้นสูงก็ยังคงมีความได้เปรียบอย่างมากในการต่อสู้อยู่ดี ไม่มีทางที่นักรบเสมือนอมตะระดับล่างจะมีโอกาสเอาชนะพวกเขาได้เลย!


“ไม่มีปัญหาหรอก” จางเซวียนตอบ


ถึงเขาจะใช้หอสมุดเทียบฟ้าตรวจสอบศิลปะเพลงดาบของคู่ต่อสู้และเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาในหอนิรันดร์ได้ แต่ข้อมูลที่ได้รับก็มีจำกัด แต่ถ้าเขาใช้หอสมุดเทียบฟ้าในโลกของความเป็นจริง จะสามารถแกะรอยไปถึงบรรพบุรุษของผู้นั้นได้เลยทีเดียว ซึ่งหากเกิดอะไรขึ้นมา ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นข้อมูลสำคัญในการช่วยชีวิตของเขา


“ฮึ่มมม! ถ้าคุณตัดสินใจแล้ว พวกเราก็อยากเห็นเหมือนกันว่าเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าจะทรงพลังแค่ไหน!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งพูดขณะลุกขึ้นยืน


ตอนที่ 2009 ผมแพ้แล้ว!

เจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าคือศิลปะที่ทำความเข้าใจโดยผู้ก่อตั้ง ลำพังข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ก่อตั้งสามารถคว้าตัวอักษรจากหอเทพเจ้ามาได้เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นก็บ่งบอกถึงอานุภาพอันน่าทึ่งของมันแล้ว โชคร้ายที่แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานหลายพันปี แต่ก็ไม่มีใครเข้าถึงระดับเดียวกันกับผู้ก่อตั้งได้อีกเลย


แม้แต่พวกเขาซึ่งเป็นนักดาบที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนัก ก็ยังไม่อาจบอกได้ว่ามันทรงพลังแค่ไหน!


ในเมื่อชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาอยากเปิดการดวลนอกหอนิรันดร์ นั่นก็ย่อมดีที่สุด! ทุกคนยิ่งกว่าเต็มใจที่จะทดสอบประสิทธิภาพของเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าด้วยตัวเอง


ถึงอย่างไร ด้วยความแข็งแกร่งของกายเนื้อและจิตวิญญาณของพวกเขา ต่อให้ต้องลดระดับวรยุทธลงมา อีกฝ่ายก็ไม่น่ามีปัญญาทำอันตรายอะไรพวกเขาได้


“ผมชื่อโฉวหั่ว, ผู้อาวุโสที่ 1 ของแผนกศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด, นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ ผมขอทดสอบศิลปะเพลงดาบของคุณ!”


ผู้อาวุโสที่ชื่อโฉวหั่วก้าวออกมาและลดระดับวรยุทธลงให้เท่ากับจางเซวียนอย่างรวดเร็ว เขาสะบัดดาบ เสียงเคร้งของโลหะดังกึกก้องไปทั่ว


เป็นธรรมเนียมที่ผู้อาวุโสแต่ละคนจะได้รับดาบจากสภาผู้อาวุโส ซึ่งดาบที่ผู้อาวุโสแต่ละคนได้รับนั้นหน้าตาเหมือนกันและมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการดวล ซึ่งเหตุผลที่เป็นอย่างนี้ก็เพื่อให้แน่ใจว่าอานุภาพของอาวุธจะไม่เบี่ยงเบนหรือส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ของการดวล


จางเซวียนมองโฉวหั่วอย่างสุขุม ยังไม่ยอมชักดาบออกมา เขาหัวเราะหึๆแล้วพูดว่า “คุณคนเดียวน่ะไม่พอหรอก พวกคุณที่เหลือออกมาพร้อมๆกันเลย!”


“ไม่พอ?”


ผู้อาวุโสคนอื่นๆเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ส่วนผู้อาวุโสไป๋เย่ก็ถึงกับตบหน้าผาก


ไม่อยากเชื่อเลยว่าหมอนี่เรียกตัวเองว่าผมน่ะถ่อมตัว…


บอกผมหน่อยเถอะ คนถ่อมตัวเขาทำตัวแบบนี้กันหรือไง?


ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ไม่ได้เป็นแค่นักดาบชั้นยอดของสำนักดาบเมฆเหิน แต่ยังมีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วทั้งทวีปที่ถูกลืมแห่งนี้ด้วย ต่อให้ศิลปะเพลงดาบของคุณจะไร้เทียมทานสักแค่ไหน พวกเขาเพียงคนเดียวก็เกินพอที่จะรับมือกับคุณแล้ว…


แต่คุณกลับอยากสู้กับทุกคนพร้อมกัน รวมทั้งเจ้าสำนักหานด้วยนี่นะ!


ความหยิ่งผยองของคุณมีขีดจำกัดบ้างหรือเปล่า?


“ดูเหมือนพวกคุณจะไม่กล้าเผชิญหน้ากับผมนะ” จางเซวียนเลิกคิ้วและยิ้มยียวน


เห็นจางเซวียนแสดงทีท่าเย้ยหยัน โฉวหั่วมีสีหน้าไม่สู้ดี “ผมยอมรับว่าเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้านั้นไร้เทียมทานจริงๆ แต่การที่ผมได้เป็นผู้อาวุโสที่ 1 ของแผนกศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดนั้นก็ไม่ใช่ได้มาโดยง่าย ยังไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้ผมลดระดับวรยุทธอยู่ ถ้าคุณอยากจะสู้กับคนอื่นล่ะก็ ต้องเอาชนะผมให้ได้ก่อน!”


อันที่จริง การที่นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์อย่างเขาท้าทายนักรบเสมือนอมตะระดับล่างก็ไม่ค่อยเหมาะสมนักอยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายกลับคิดว่าตัวเขาไม่มีปัญญาสู้


ไม่ต่างอะไรกับการตบหน้ากันอย่างจัง!


เรียกได้ว่าตบซ้ายทีขวาทีกันเลยทีเดียว!


“ระบบของที่นี่เป็นแบบนี้หรือ? ก็ได้!” เมื่อเห็นว่าไม่มีใครคิดจะเข้าร่วมการดวล บางทีอาจเป็นเพราะมั่นใจในความแข็งแกร่งของโฉวหั่ว จางเซวียนยิ้มอ่อนขณะชูนิ้วขึ้นนิ้วหนึ่ง


“หมายความว่าอย่างไร? คุณคิดว่าจะเอาชนะผมได้ในกระบวนท่าเดียวหรือ?” โฉวหั่วชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะระเบิดหัวเราะลั่น “คุณจะอวดดีไปหน่อยไหม?”


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนส่ายหน้าและอธิบาย “คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะ ที่ผมกำลังจะบอกก็คือผมไม่จำเป็นต้องใช้ดาบ และไม่ต้องเคลื่อนไหวสักนิ้วเลยด้วย แต่ก็จะเอาชนะคุณได้ด้วย 1 นิ้วภายใน 1อึดใจ”


“คุณ…” โฉวหั่วโมโหจนแทบปรี๊ด


ในฐานะผู้อาวุโสที่ 1 ของแผนกศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด เขาบ่มเพาะสภาวะจิตจนถึงขั้นที่แทบไม่หวั่นไหวกับเรื่องใดๆทั้งสิ้น แต่ไม่เคยเจอใครยียวนกวนโมโหเหมือนหมอนี่เลย!


ไม่ใช่แค่คำพูดของอีกฝ่ายที่ทำให้เขาโมโหจนแทบบ้า แต่สายตาและท่าทางของหมอนั่นก็แสนจะดูถูกเหยียดหยาม ราวกับกำลังมองมดตัวหนึ่ง


เขาเป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์นะ! หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดของทวีปที่ถูกลืม!


แต่ทำไมถึงรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไอ้โง่สักคนที่กำลังพยายามท้าทายผู้ที่เหนือชั้นกว่า?


“เอาเถอะ ขอผมประเมินประสิทธิภาพของคุณหน่อยก็แล้วกัน ผมก็อยากเห็นเหมือนกันว่าคุณจะเอาชนะผมด้วยหนึ่งนิ้วในหนึ่งอึดใจได้อย่างไร!” โฉวหั่วคำรามขณะจ้องหน้าจางเซวียน


…..


“เจ้าหนุ่มคนนั้นจะอวดดีไปหน่อยไหม?”


“อวดดี? เพ้อเจ้อเสียจนไม่รู้อะไรเลยมากกว่า!”


หานเจี้ยนชิวกับผู้อาวุโสเหอสบตากันขณะยิ้มเจื่อนๆ


นักรบเสมือนอมตะระดับล่างคนหนึ่งยืนจังก้าไม่หวั่นไหวต่อหน้านักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์จำนวนมากมายได้…แถมยังพูดจาอวดดีด้วย หัวสมองของเขามีปัญหา? หรือว่ามีปัญญาที่จะทำได้ตามคำพูดของตัวเองจริงๆ?


“เจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้านั้นขึ้นชื่อว่าทรงพลังจนรับมือได้แม้แต่กับเทพเจ้า…ก็หวังว่าพละกำลังของหมอนี่จะมากพอที่จะทำให้พวกเรายำเกรง!”


“ผมคิดว่าตอนนี้ก็คงทำได้เท่านั้นแหละ!”


ทั้งสองส่ายหน้า จากนั้นก็หันกลับไปมองโฉวหั่วกับจางเซวียน


เมื่อเห็นว่าแม้จะพูดจายั่วยุแล้วก็ยังไม่มีใครเข้ามา จางเซวียนออกจะผิดหวังเล็กน้อย “น่าเสียดายนะ…”


เขารู้ดีว่าคำพูดของตัวเองออกจะอวดดีไปสักหน่อย แต่เขาก็มีเหตุผลที่ทำแบบนั้น


จางเซวียนอยากให้ทุกคนเปิดการโจมตี เพื่อที่เขาจะได้รวบรวมข้อบกพร่องของสมาชิกทุกคนในสภาผู้อาวุโส สิ่งนี้จะทำให้เขาเตรียมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ไม่อย่างนั้น การดวลก็น่าจะจบลงหลังจากที่เขาเอาชนะคู่ต่อสู้ได้สัก 3 คนและพิสูจน์ให้เห็นพละกำลังของตัวเองแล้ว


จางเซวียนไม่คิดว่าตัวเองแข็งแกร่งพอที่จะรับมือกับนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ได้ในสภาพนี้ จึงจำเป็นต้องหาทางหนีทีไล่ไว้ในกรณีที่มีใครคิดจะทำอันตรายเขา


ช่างมันเถอะ…เล่นงานหมอนี่ก่อน แล้วค่อยท้าทายคนที่เหลืออีกที เราเชื่อว่าพวกเขาคงจะเข้ามาร่วมวงแน่หลังจากเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น…


เห็นเหล่าผู้อาวุโสนั่งนิ่ง จางเซวียนรู้ดีว่าไม่มีทางที่จะหว่านล้อมให้ทุกคนออกมาต่อสู้ได้ จึงหันไปพูดกับโฉวหั่ว “อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย จัดการให้มันเสร็จๆไป!”


ทันทีที่จางเซวียนพูดจบ โฉวหั่วก็เคลื่อนไหว


แม่โฉวหั่วจะลดระดับวรยุทธลงเป็นนักรบเสมือนอมตะระดับล่างแล้ว แต่กระบวนท่าของเขาก็ยังว่องไวราวกับเฮอริเคน ดาบในมือของเขาดูจะจ้วงแทงทะลุขีดจำกัดของมิติมาจ่ออยู่ตรงหน้าจางเซวียนได้ในชั่วพริบตา


ในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ แน่นอนว่าเขาแข็งแกร่งกว่าเหอจิ้งชวนซึ่งเป็นศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดอันดับ 1 หลายเท่า


แต่ขณะที่ดาบของโฉวหั่วกำลังจะแตะลำคอของจางเซวียน จางเซวียนก็ยกนิ้วขึ้นและกระดิกเบาๆ


การเคลื่อนไหวของเขาไม่ได้ว่องไวนัก แต่หนักหน่วงและเคร่งขรึมอย่างไม่น่าเชื่อ ในชั่วพริบตา โฉวหั่วรู้สึกเหมือนมีดาวหางกำลังพุ่งตรงเข้าเล่นงานเขา ราวกับกำลังเผชิญกับพละกำลังที่ไม่มีวันรับมือกับมันได้เลย


“เป็นแบบนี้ได้อย่างไร?” โฉวหั่วตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ


เขาเป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ ถึงจะกำลังลดระดับวรยุทธ แต่ความแข็งแกร่งของสภาวะจิตก็ยังเหนือชั้นกว่าอีกฝ่ายมาก ไม่มีทางเป็นไปได้ที่เจ้าหนุ่มคนนี้จะสำแดงการเคลื่อนไหวที่ทำให้เขาถึงกับจนปัญญา…แต่นิ้วเพียงนิ้วเดียวนั่นทำให้เขารู้สึกราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับบางอย่างที่เหนือชั้นกว่าตัวเองมาก


อีกฝ่ายทำได้อย่างไร?


โฉวหั่วคำรามกร้าว เขาพยายามสลัดความรู้สึกที่เกาะกุมหัวใจและเรียกความกล้าหาญกลับคืนมา แต่ทันทีที่นิ้วนั้นแตะดาบของเขา พลังปราณที่ไหลพล่านอยู่ภายในดาบก็เสื่อมสลายไปทันที ดาบนั้นบิดงอทำมุมประหลาด เกิดรอยร้าวทั่วทั้งเล่มก่อนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ


ส่วนโฉวหั่วก็พยายามเคลื่อนไหว แต่พละกำลังมหาศาลนั้นตรึงเขาให้อยู่กับที่ เขาทำได้แค่มองนิ้วของอีกฝ่ายเคลื่อนเข้ามาใกล้หว่างคิ้วของเขาอย่างจนปัญญา


หานเจี้ยนชิวซึ่งนั่งอยู่กับที่จังงังไปเล็กน้อยกับภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า เขาเหยียดริมฝีปากขึ้นด้วยความพอใจ “เจ้าหนุ่มนี่…น่าสนใจจริงๆ!”


“ท่านเจ้าสำนักหาน นี่คือ…” ผู้อาวุโสเหอมองหานเจี้ยนชิวอย่างสับสน


หากไม่พูดถึงข้อเท็จจริงที่ว่าโฉวหั่วมีกายเนื้อและจิตวิญญาณของนักรบอมตะขั้นสูง ต่อให้สมมติว่าทั้งคู่อยู่ในระดับเดียวกัน…แล้วจางเซวียนทำลายดาบของโฉวหั่วด้วยนิ้วเดียว อีกทั้งสกัดกั้นพละกำลังของโฉวหั่วไว้ได้อย่างไร? มีแนวคิดใดอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวนี้?


“ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ความเชี่ยวชาญของเขาไม่ได้มีแค่ศิลปะเพลงดาบ แต่เป็นเรื่องค่ายกลด้วย” หานเจี้ยนชิวอธิบาย


“ค่ายกล?” ผู้อาวุโสเหอยิ่งงงหนักขึ้นอีก


“ใช่ การเคลื่อนไหวเมื่อครู่นี้ไม่ได้เป็นการใช้ประโยชน์จากเจตจำนงเพลงดาบของเขาเท่านั้น แต่เป็นค่ายกลที่ถูกติดตั้งไว้รอบสภาผู้อาวุโสด้วย เขาใช้ค่ายกลขัดเกลาเจตจำนงเพลงดาบของตัวเองให้มีพละกำลังสูงขึ้นจนอยู่ในระดับที่เหนือกว่าโฉวหั่วจะรับมือไหว” หานเจี้ยนชิวอธิบาย “ที่เขาพูดจาถากถางโฉวหั่วต่างๆนานาเมื่อครู่นี้ แท้ที่จริงแล้วก็เพื่อยื้อเวลา ตอนนั้นเขากำลังอยู่ระหว่างกระบวนการขัดเกลาเจตจำนงเพลงดาบ…”


ถึงตอนนี้ หานเจี้ยนชิวตั้งข้อสังเกต “ไม่น่าแปลกใจแล้วที่เขาทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ ความสามารถของเขาในการนำทรัพยากรรอบตัวมาใช้นั้นช่างไร้เทียมทานจริงๆ!”


“คือ…” ใบหน้าของผู้อาวุโสเหอกระตุกเล็กน้อย


หมอนี่เพิ่งเข้าสู่สภาผู้อาวุโสได้นานแค่ไหนกัน? รวมแล้วก็ไม่น่าจะเกิน 10 นาที


แต่ภายในระยะเวลาแค่นั้น ไม่เพียงแต่เขาจะมองทะลุกลไกของค่ายกลที่อยู่รอบสภาผู้อาวุโสได้ ยังถึงกับนำมันมาใช้ประโยชน์ในการบ่มเพาะเจตจำนงเพลงดาบของตัวเองได้ด้วย


มันจะน่าทึ่งเกินไปแล้ว!


ก่อนหน้านี้ ผู้อาวุโสเหอเคยคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่ใครสักคนที่มีระดับวรยุทธเดียวกันจะทรงพลังกว่าพวกเขา แต่ตอนนี้ก็ดูเหมือนจะเห็นชัดแล้วว่าเขาประเมินอีกฝ่ายต่ำไป!


ขณะที่ทุกคนยังคงตกตะลึง การต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายก็จบลง ทันทีที่นิ้วของจางเซวียนแตะหน้าผากของโฉวหั่ว อีกฝ่ายก็ถูกสอยกระเด็นไปไกล


โฉวหั่วรีบปลดปล่อยระดับวรยุทธที่แท้จริงออกมาขณะที่กำลังถูกสอยกระเด็น เพราะไม่อย่างนั้น คงได้รับความบอบช้ำภายในอย่างสาหัสแน่


“ว่าอย่างไร?” จางเซวียนเอาสองมือไพล่หลังขณะมองโฉวหั่วอย่างเฉยเมย


รวมแล้ว จนถึงวินาทีที่เขาสอยอีกฝ่ายกระเด็นไป ก็ใช้เวลาแค่ 1 อึดใจเท่านั้น


“ผม…ผมแพ้แล้ว!” โฉวหั่วก้มศีรษะและยอมแพ้


ตอนที่ 2010 ถ่อมตัวบ้านคุณสิ!

แม้เขาจะรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้เอาชนะเขาโดยใช้ศิลปะเพลงดาบเพียงอย่างเดียว แต่ก็อับอายเกินกว่าจะชี้ให้เห็นจุดนั้น เพราะถึงอย่างไรมันก็แย่พออยู่แล้วที่นักรบอมตะขั้นสูงอย่างเขาต้องพ่ายแพ้ให้กับนักรบเสมือนอมตะภายในอึดใจเดียว


“ฮ่าฮ่าฮ่า!” จางเซวียนหัวเราะร่าขณะหันขวับไปมองสมาชิกคนอื่นๆของสภาผู้อาวุโส เสียงของเขาดังก้องเข้าหูทุกคนที่อยู่ตรงนั้น


“ผมอยากรู้เหลือเกินว่าผมจะได้รับเกียรติให้ต่อสู้กับพวกคุณที่เหลือหรือเปล่า พวกคุณจะยอมให้ผมใช้ดาบซ้อมพวกคุณไหม?”


“คุณ…”


“อวดดีเกินไปแล้ว ผมไม่เคยอยากซ้อมใครมากเท่านี้มาก่อนเลย!”


“ตลอด 200 ปีที่ผมมีชีวิตอยู่ ได้พบอัจฉริยะมามากมายนับไม่ถ้วน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่อยากบีบคอใครสักคนมากขนาดนี้!”


“พวกเราคิดผิดหรือเปล่าที่พาเขามาที่นี่?”


ได้ยินคำนั้น หานเจี้ยนชิว ผู้อาวุโสเหอและคนอื่นๆกัดฟันกรอดด้วยความโมโห


ครั้งแรกที่พวกเขารู้ว่ามีใครคนหนึ่งทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้ ก็ตื่นเต้นเสียจนยอมละทิ้งทุกอย่าง ถึงกับฝ่าฝืนธรรมเนียมของสำนักเพื่อควานหาตัวผู้นั้น แต่ในที่สุด เมื่อเจอตัวแล้ว ก็กลับรู้สึกว่าได้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต


พูดออกมาได้ว่าจะใช้ดาบซ้อมพวกเรา คุณหมายความว่าต่อให้พวกเราผนึกกำลังกันก็สู้คุณไม่ได้อย่างนั้นหรือ?


หลงตัวเองเกินไปแล้ว!


บังอาจ!


ถ่อมตัวบ้านคุณสิ!


ผู้อาวุโสเหอสูดหายใจลึก จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนและพูดว่า “พูดก็พูดเถอะ แม้เขาจะใช้ค่ายกลของสภาผู้อาวุโสเพื่อทำให้ตัวเองได้เปรียบ แต่ข้อเท็จจริงที่เขาเอาชนะผู้อาวุโสโฉวหั่วได้ในกระบวนท่าเดียวก็บ่งบอกแล้วว่าเขามีสัญชาตญาณการต่อสู้ที่เหนือชั้น ขอผมลองดูสักหน่อย…”


หานเจี้ยนชิวส่ายหน้าและลุกขึ้นยืน “ในเมื่อเขาอยากท้าทายพวกเราพร้อมกันหมดทุกคน เราก็อย่าเสียเวลาเลย สู้กับเขาพร้อมๆกันเถอะ”


“ท่านเจ้าสำนักหาน…”


เหล่าผู้อาวุโสที่อยู่โดยรอบมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้จากเจ้าสำนัก


พวกเขาคือผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปแห่งนี้ ถ้าใครต่อใครรู้ว่าแต่ละคนลดระดับวรยุทธลงมาเพื่อรับคำท้าของนักรบขั้นเสมือนอมตะ คงถูกนักรบรุ่นเดียวกันล้อเลียนเย้ยหยันไปชั่วชีวิต!


“ผู้ที่ทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จจะสามารถเข้าถึงเทพเจ้าด้วยคมดาบของเขา การที่พวกเราทุกคนจะเผชิญหน้ากับเขาพร้อมๆกันไม่ใช่เรื่องน่าอับอายนะ” หานเจี้ยนชิวตอบอย่างสุขุม


เหล่าผู้อาวุโสลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนในที่สุดจะพยักหน้า


ทวีปที่ถูกลืมคือดินแดนที่ถูกละเลยจากเหล่าเทพเจ้า การที่ใครสักคนทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ ก็หมายความว่าความเชี่ยวชาญในศิลปะเพลงดาบของผู้นั้นเข้าถึงระดับที่สามารถประชันขันแข่งได้แม้แต่กับเทพเจ้า


แม้ระดับวรยุทธของพวกเขาจะสูงกว่าเจ้าหนุ่มคนนั้นมาก แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอีกฝ่ายมีบางอย่างอยู่ในตัวที่เหนือชั้นกว่าพวกเขา ไม่อย่างนั้น คงไม่มีแค่ผู้ก่อตั้งเพียงคนเดียวที่สามารถทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้ตลอดระยะเวลาหลายพันปีนับตั้งแต่ก่อตั้งสำนักดาบเมฆเหินมา


ฟึ่บ!


ผู้อาวุโสกลุ่มหนึ่งเดินมาที่บริเวณพื้นที่โล่งใจกลางสภาผู้อาวุโส พร้อมกับดาบในมือ


พวกเขาคือเจ้าสำนักหานเจี้ยนชิว ผู้อาวุโสเหอ ผู้อาวุโสไป๋เย่ และผู้อาวุโสอีก 2 คน รวมแล้วก็มี 5 คน


ทั้งห้าคือผู้ที่มีประสิทธิภาพการต่อสู้สูงสุดในสำนักดาบเมฆเหิน แต่ละคนรั้งอันดับหนึ่งในจำนวนนักรบสามสิบอันดับแรกที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปที่ถูกลืม


“รอเดี๋ยวนะ…” แม้จะมีนักดาบผู้ไร้เทียมทานยืนประจันหน้า จางเซวียนก็ดูไม่วิตกกังวลแม้แต่น้อย ดูเหมือนเขาจะถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะเปรยออกมา “พวกคุณรู้สึกว่าการต่อสู้แบบธรรมดามันน่าเบื่อไปหน่อยไหม? ไหนๆเราก็จะสู้กันแล้ว น่าจะทำอะไรสักหน่อยให้ดูน่าสนใจกว่านี้!”


“คุณจะวางเดิมพันหรือ?” ผู้อาวุโสไป๋เย่เลิกคิ้วขณะเกิดลางสังหรณ์เลวร้ายขึ้นมา


เจ้าหนุ่มหน้าเงินคนนี้คงไม่คิดจะปล้นพวกเขาจนหมดตัวหรอกนะ ใช่ไหม?


ในฐานะเจ้าสำนักและ 4 ผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งที่สุดของ 1 ใน 6 สำนักใหญ่ หากพวกเขาถูกปล้นทั้งๆที่ผนึกกำลังกันแล้ว…ผู้อาวุโสไป๋เย่ไม่แน่ใจว่าเขาจะยังเหลือกำลังใจมากพอที่จะมีชีวิตต่อหรือไม่


ทุกคนคงกลายเป็นตัวตลกที่เลื่องลือกันไปอีกยาวนานตลอดประวัติศาสตร์ของทวีปที่ถูกลืม!


“เดิมพัน? คุณจะใช้เดิมพันแบบไหน?” หานเจี้ยนชิวตั้งคำถาม


“ถ้าผมชนะดวล ผมมีบางเรื่องที่อยากถามคุณ ซึ่งถ้าคุณรู้คำตอบล่ะก็ ผมก็หวังว่าคุณจะตอบมันออกมาตามตรง แต่ถ้าผมแพ้ ผมจะกล่าวคำขอโทษสำหรับกิริยาไม่สุภาพที่ผมแสดงออกไปก่อนหน้านี้” จางเซวียนตอบ


ได้ยินคำนั้น หัวใจของผู้อาวุโสไป๋เย่ค่อยสงบลงเล็กน้อย เอาเถอะ อะไรก็ได้…ตราบที่ไม่มีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง


พูดกันตามตรง เขาเจ็บช้ำเต็มทีแล้วกับคำว่า ‘เดิมพัน’ ทุกครั้งที่มีใครเอ่ยคำนี้ขึ้นมา เขาจะตัวสั่นด้วยความพรั่นพรึง


“คุณมีคำถามหรือ? ต่อให้คุณแพ้ดวล ผมก็ไม่เห็นว่าจะเสียหายอะไรหากผมจะตอบข้อสงสัยของคุณ” หานเจี้ยนชิวพูด “อีกอย่าง ไม่จำเป็นต้องกล่าวคำขอโทษกับการที่คุณแสดงกิริยาไม่สุภาพหรอก ขอแค่คุณไม่พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ในวันนี้ให้ใครฟังก็พอแล้ว!”


“อย่างนั้นก็ได้” จางเซวียนพยักหน้า


“ตามนั้น” หานเจี้ยนชิวยิ้ม “เริ่มการดวลได้!”


จางเซวียนสูดหายใจลึก เขาชักดาบออกจากฝัก


เหตุผลที่เขาเสนอเดิมพันก่อนหน้านี้ก็เพื่อหาข้อมูลเรื่องหลัวลั่วชิง ซึ่งในเมื่ออีกฝ่ายตอบตกลงแล้ว ทั้งหมดที่เขาต้องทำในเวลานี้ก็คือเอาชนะการดวลให้ได้


แม้หานเจี้ยนชิวจะพูดว่าต่อให้จางเซวียนแพ้ เขาก็ยินดีตอบคำถาม แต่จางเซวียนก็รู้ดีว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลัวลั่วชิงน่าจะเป็นความลับสุดยอดของทวีปที่ถูกลืม เพราะการที่ตำหนักของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณมีคำว่า ‘เทพเจ้า’ อยู่ในชื่อของมันก็บ่งบอกถึงความสำคัญและความยิ่งใหญ่ของมันแล้ว


ด้วยเหตุนี้ จางเซวียนจึงไม่คิดจะพึ่งพาความปรารถนาดีของหานเจี้ยนชิว เขาต้องการเหตุผลที่มีน้ำหนักพอที่จะบีบให้อีกฝ่ายยอมตอบคำถาม จะไม่ยอมพ่ายแพ้ในการดวลครั้งนี้เป็นอันขาด!


แม้ที่ผ่านมา จางเซวียนจะวางท่าสบายๆเหมือนไม่คิดอะไร แต่ก็รู้ดีว่าการเอาชนะคู่ต่อสู้กลุ่มนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย หากรับมือกับพวกนั้นทีละคนก็ยังพอจะได้อยู่ แต่หากรับมือกับทุกคนพร้อมกันก็คงยุ่งยากไม่น้อย


ในตอนนั้น หานเจี้ยนชิวชำเลืองมองผู้อาวุโสอีก 4 คนและพูดว่า “เขาคือผู้ที่ทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ คงเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงหากจะสบประมาทเขา พวกเราต้องทุ่มสุดตัวตั้งแต่เริ่ม!”


“ตามนั้น” ผู้อาวุโสอีก 4 คนตอบอย่างเคร่งขรึม


พวกเขาก็เข้าใจเรื่องนี้เช่นกัน ลำพังแค่การที่จางเซวียนเอาชนะโฉวหั่วได้ในกระบวนท่าเดียวก็เป็นเครื่องพิสูจน์ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาแล้ว


บึ้มมมม!


ดาบของหานเจี้ยนชิวระเบิดออกขณะที่เขาสำแดงกระบวนท่าแรก


แม้เขาจะลดระดับวรยุทธลงเป็นนักรบเสมือนอมตะระดับล่าง เจตจำนงเพลงดาบของเขาก็ยังพวยพุ่งออกมาราวกับมหาสมุทรที่ไร้ขอบเขต การปรากฏตัวของเขาทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกเหมือนร่วงหล่นลงไปในหลุมดำที่หยั่งไม่ถึง การจะหลบหนีย่อมเป็นไปไม่ได้


เห็นภาพนั้น จางเซวียนหรี่ตาอย่างระแวง


สมแล้วที่เป็นเจ้าสำนัก ความเชี่ยวชาญในศิลปะเพลงดาบของหานเจี้ยนชิวสูงกว่าผู้อาวุโสโฉวหั่วเมื่อครู่นี้มาก


ทันทีที่หานเจี้ยนชิวเคลื่อนไหว จางเซวียนรู้สึกได้ถึงแรงกดดันหนักหน่วงที่ถาโถมเข้าใส่


ข้อบกพร่อง! จางเซวียนเพ่งสมาธิ


เหตุผลหลักที่เขาท้าทายผู้อาวุโสทุกคนพร้อมกันในคราวเดียวก็เพื่อจะวิเคราะห์ข้อบกพร่องของคนเหล่านั้น นี่เป็นโอกาสอันสมบูรณ์แบบที่เขาจะได้ทำอย่างที่คิด


วิ้งงงง!


เกิดเสียงหึ่งเบาๆก่อนที่หนังสือเล่มหนึ่งจะปรากฏในหอสมุดเทียบฟ้า จางเซวียนรีบพลิกดูขณะข้อมูลที่อยู่ในนั้นไหลเข้าหัวสมอง


“หานเจี้ยนชิว เจ้าสำนักดาบเมฆเหินคนที่ 23, นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ เชี่ยวชาญศิลปะเพลงดาบสายน้ำมรกตพลิ้วไหว ทำให้มีธรรมชาติของศิลปะเพลงดาบที่หลั่งไหลออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง มีข้อบกพร่องทั้งหมด 23 ข้อ กล่าวคือ…”


นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์? จางเซวียนพยักหน้า เพราะฉะนั้น นั่นก็คือวรยุทธขั้นที่เหนือกว่านักรบอมตะขั้นสูง…


เขารู้สึกได้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่าหานเจี้ยนชิวมีพละกำลังเหนือชั้นกว่าผู้อาวุโสไป๋เย่และผู้อาวุโสเหอ ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ


แม้จะมีคำว่า ‘กึ่ง’ นำหน้า แต่เรื่องจริงก็คือมันมีคำว่า ‘สรวงสวรรค์’ อยู่ด้วย บ่งบอกถึงความน่าสะพรึงของเขาได้เป็นอย่างดี


แต่ถึงหานเจี้ยนชิวจะทรงพลังแค่ไหน เมื่อลดระดับวรยุทธลงมาเป็นนักรบขั้นเสมือนอมตะ ก็ไม่มีทางเทียบชั้นกับจางเซวียนได้


เพียงแค่ข้อบกพร่องที่หอสมุดเทียบฟ้าประมวลไว้ก็มากพอจะทำให้จางเซวียนเอาชนะเขาได้โดยปราศจากปัญหา


จางเซวียนตวัดดาบเข้าใส่จุดอ่อนจุดหนึ่งที่ปรากฏในศิลปะเพลงดาบของหานเจี้ยนชิว


กระบวนท่าของเขางามสง่าราวกับมังกรผงาด ศิลปะเพลงดาบนั้นมีรังสีอันไร้เทียมทานของเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้า


เพราะขีดจำกัดของระดับวรยุทธ จางเซวียนจึงไม่อาจสำแดงอานุภาพของเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าออกมาได้เต็มที่ แต่ด้วยระดับวรยุทธของเขาที่เพิ่มขึ้นเป็นนักรบเสมือนอมตะสรวงสวรรค์ มันได้หลอมรวมเข้ากับกายเนื้อของเขา ทำให้เขาสำแดงพละกำลังที่แท้จริงออกมาได้ราว 70-80 เปอร์เซ็นต์


“ฮะ?”


หานเจี้ยนชิวคิดไม่ถึงว่าจางเซวียนจะมองทะลุจุดอ่อนในการเคลื่อนไหวของเขาได้ด้วยการเห็นเพียงแวบเดียว เขาชะงักและถอยไปก้าวหนึ่ง พร้อมกับรีบส่งสัญญาณเรียกคนอื่นๆให้เข้ามา “โจมตีเขาพร้อมกันเถอะ!”


ถึงตอนนี้ ทุกคนต่างก็เตรียมตัวเสร็จแล้ว ดาบ 4 เล่มพุ่งเข้าใส่จางเซวียนจาก 4 ทิศทาง เสียงโลหะที่แหวกอากาศดังคล้ายเสียงภูตผีปีศาจ มันดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้อง


ข้อบกพร่อง!


ด้วยการขยับไปด้านข้างเล็กน้อย จางเซวียนก็หลบเลี่ยงการผนึกกำลังของการโจมตีนั้นได้อย่างง่ายดาย พร้อมกันนั้น หนังสือ 4 เล่มก็ปรากฏขึ้นในหอสมุดเทียบฟ้า


ไม่ช้าเขาก็มองเห็นข้อบกพร่องของผู้อาวุโสทั้ง 4


นอกเสียจากเจ้าสำนักหานเจี้ยนชิว ผู้อาวุโสเหอคือผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม เขาเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เช่นกัน


ส่วนผู้อาวุโสไป๋เย่กับผู้อาวุโสหวงชิงเป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ อีกเพียงก้าวเดียวก็จะสำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์แล้ว


ตอนที่ 2011 เขากำลังจะปิดตาตัวเอง?

ผู้อาวุโสคนที่ 5 ใช้แซ่เดียวกับเขา ชื่อเต็มคือจางอู๋ซาง ระดับวรยุทธของเขาต่ำกว่าคนอื่นๆในกลุ่ม เป็นแค่นักรบอมตะขั้นสูงปฐพี แต่การที่วรยุทธของเขาต่ำกว่าคนอื่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นผู้ที่อ่อนด้อยที่สุดในกลุ่ม


กลับตรงกันข้าม ความเชี่ยวชาญในศิลปะเพลงดาบของจางอู๋ซางนั้นเหนือชั้นกว่าแม้แต่ผู้อาวุโสเหอ ถึงจะยังห่างไกลกับหานเจี้ยนชิว แต่ความเหลื่อมล้ำนั้นก็ไม่ได้ต่างกันมากจนเกินไป ด้วยเหตุนี้ ในบรรดาผู้อาวุโสทั้ง 4 ที่จางเซวียนเผชิญหน้าอยู่ ผู้ที่เป็นภัยคุกคามต่อเขามากที่สุดก็คือจางอู๋ซาง


ศิลปะเพลงดาบของแต่ละคนมีข้อบกพร่องและปัญหาของตัวเอง แต่เรื่องของเรื่องก็คือปฏิกิริยาตอบโต้ของพวกเขาล้วนแต่ว่องไวมาก ยังไม่ทันที่จางเซวียนจะเล่นงานจุดอ่อนของคู่ต่อสู้คนหนึ่งได้สำเร็จ อีกคนก็จะเข้ามาขวาง


หลังจากปะทะกันไป 2-3 กระบวนท่า สีหน้าของจางเซวียนก็ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ เขารู้ดีว่าการจะเอาชนะคนเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ทั้ง 5 เป็นคู่ต่อสู้ที่หนังเหนียวกว่าที่เขาคิดไว้มาก


สมกับที่เป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดของทวีปที่ถูกลืม ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดอย่างเหอจิ้งชวนและคนอื่นๆไม่อาจเทียบชั้นกับคนเหล่านี้ได้เลย


เราจะต้องคำนวณหาจุดอ่อนขณะที่ทุกคนผนึกกำลังกัน เพื่อจะได้รับมือได้เบ็ดเสร็จรวดเดียว จางเซวียนคิด


เมื่อตอนอยู่ที่ทวีปแห่งปรมาจารย์ เขารู้ว่าการจะมองการผนึกกำลังของคู่ต่อสู้หลายคนให้รวมกันเป็นหนึ่งเดียวและใช้หอสมุดเทียบฟ้าประมวลหนังสือออกมานั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ ดังนั้นจึงมีประโยชน์กว่าการวิเคราะห์ข้อบกพร่องของคู่ต่อสู้ทีละคน


หอสมุดเทียบฟ้ากระตุก หนังสือเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น อัดแน่นไปด้วยรายละเอียดและข้อบกพร่องของการผนึกกำลังกันของนักดาบทั้ง 5


“เข้าใจแล้ว…” จางเซวียนพยักหน้า


หลังจากรู้ข้อบกพร่องในการผนึกกำลังของพวกเขา ทุกอย่างก็ดูจะกระจ่างขึ้นมาทันที


ฟึ่บ!


จางเซวียนสะบัดข้อมือและนำผ้าดำออกมาผืนหนึ่ง


“เขาคิดจะทำอะไรน่ะ?”


หานเจี้ยนชิวกับคนอื่นๆก็รู้สึกว่าตัวเองลำบากยากเย็นไม่น้อย ชายหนุ่มเล่นงานจุดอ่อนของพวกเขาจุดแล้วจุดเล่าอย่างรวดเร็ว จนทุกคนต้องวุ่นอยู่กับการหามาตรการปกป้องตัวเอง ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงรวมหัวกันเพื่อตั้งใจจะพลิกผันสถานการณ์ให้ได้ อย่างน้อยก็ให้ผลการดวลออกมาเสมอ ก็พอดีกับที่รู้สึกได้ว่าจางเซวียนมีทีท่าประหลาด


แต่ละคนขมวดคิ้วด้วยความงุนงง


“เจ้าสำนักหานกับผู้อาวุโสเหอ รีบโจมตีเถอะ เขากำลังจะปิดตาตัวเอง!” ผู้อาวุโสโฉวหั่วตะโกนมาจากด้านข้าง


“เขากำลังจะปิดตาตัวเอง?”


“คิดว่าจะรับมือกับพวกเราได้ทั้งๆที่มองไม่เห็นอย่างนั้นหรือ?”


“บ้าไปแล้ว ผมจะสังหารเจ้าสารเลวนั่น!”


นักดาบทั้ง 5 งุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะพลันนึกโมโหขึ้นมา คุณจะมาเหยียดหยามพวกเราแบบนี้ไม่ได้!


การที่พวกเราทั้ง 5 ผนึกกำลังกันรับมือกับคุณคนเดียวก็แย่พออยู่แล้ว คุณยังคิดจะปิดตาเพื่อสู้กับพวกเราอีกหรือ?


ด้วยความโกรธเกรี้ยวของนักดาบทั้ง 5 คน ดาบของพวกเขาดูจะทรงพลังและว่องไวยิ่งกว่าเดิม ทุกคนใช้กระแสดาบฉีตีวงล้อมจางเซวียนไว้ ถึงขนาดที่หากชายหนุ่มก้าวพลาดเพียงนิดเดียวก็จะถูกกระแสดาบฉีทิ่มแทงร่างกายทันที


แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง แม้อีกฝ่ายจะใช้ผ้าสีดำผูกปิดตาไว้ แต่ทุกย่างก้าวของเขาก็ยังหลบเลี่ยงกระแสดาบฉีได้ด้วยความแม่นยำอย่างเหลือเชื่อ ราวกับเขาใช้ไม้บรรทัดวัดทุกย่างก้าว แม้การโจมตีของนักดาบทั้ง 5 จะถาโถมเข้าใส่ราวกับกระแสคลื่นเชี่ยวกราก แต่ก็ดูเหมือนจะยับยั้งอีกฝ่ายไม่ได้แม้แต่น้อย


ราวกับจางเซวียนเป็นนักสำรวจที่เดินฝ่าคลื่นโทสะของพวกเขาได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บสักนิด


หลังจากใช้ผ้าสีดำผูกปิดตาไว้ จางเซวียนก็เดินหน้าฝ่าการโจมตีต่อไป แต่ดูเหมือนการเคลื่อนไหวของเขาจะว่องไวขึ้นเรื่อยๆ


สายตาของเขาไม่ถูกรบกวนจากภาพลวงตาที่คู่ต่อสู้สำแดงออกมา ทั้งยังไม่ต้องใส่ใจทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า ทั้งหมดที่จางเซวียนต้องทำก็คือเพ่งสมาธิอยู่กับข้อบกพร่องที่หอสมุดเทียบฟ้าบอกไว้ และสำแดงกระบวนท่าออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า


เมื่อข้อบกพร่องของการผนึกกำลังถูกโจมตีซ้ำๆ ไม่ช้า การร่วมมือกันของนักดาบทั้ง 5 ก็จะต้องล้มเหลว เมื่อเห็นเวลางวดเข้ามาเต็มที จางเซวียนตัดสินใจปิดการดวล


“จัดการ!”


เขาถ่ายทอดเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าเข้าสู่ดาบ จากนั้นก็สำแดงการจ้วงแทง 8 ครั้งติดต่อกัน การจ้วงแทงทุกครั้งมีเป้าหมายที่ข้อบกพร่องของการผนึกกำลังที่อยู่ตรงหน้า


เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!


เสียงดาบที่ร่วงลงกับพื้นดังก้องไปทั่วสภาผู้อาวุโส


ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 5 มือไม้ชาขึ้นมาทันที ทำให้ดาบที่อยู่ในมือร่วงลงไป


เมื่อเห็นช่องโหว่ จางเซวียนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนจะเข้าแทรกกลางระหว่างนักดาบทั้ง 5 ขณะปล่อยกระแสดาบฉี 5 สายเข้าใส่ลำคอของพวกเขา


แน่นอนว่าในฐานะนักรบอมตะขั้นสูง กระแสดาบฉีระดับนี้ไม่อาจทำอันตรายพวกเขา แต่เมื่อทุกคนลดระดับวรยุทธลงมาเป็นนักรบขั้นเสมือนอมตะแล้ว ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป


ถ้าอีกฝ่ายปรารถนา ก็ย่อมสังหารพวกเขาได้ทุกคน!


“พวกเราแพ้แล้ว” หานเจี้ยนชิวยอมรับพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ


พวกเขาทั้ง 5 เป็นถึงนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักดาบเมฆเหิน แต่ก็พ่ายแพ้ให้กับนักรบเพียงคนเดียวที่มองอะไรไม่เห็น ดูเหมือนจางเซวียนคนนี้จะเป็นนักดาบที่น่าสะพรึงกว่าที่พวกเขาคิด!


เห็นเจ้าสำนักยอมรับความพ่ายแพ้ จางเซวียนแอบถอนหายใจอย่างโล่งอกขณะปลดผ้าปิดตาสีดำออก


อาจดูเหมือนเขาเอาชนะนักดาบทั้ง 5 ได้อย่างง่ายดาย แต่เรื่องจริงซับซ้อนกว่าที่เห็นมาก ในแง่ของความยาก สิ่งนี้ยากยิ่งกว่าการสังหารศิษย์สายตรงฝ่ายใน 5,000 คนในหอนิรันดร์เสียอีก หากเขาเปิดเผยจุดอ่อนแม้แต่นิดเดียว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทั้ง 5 จะต้องตรงเข้าเล่นงานเขาแน่!


โชคดีที่สุดท้ายทุกอย่างลงเอยด้วยดี


“เจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าช่างน่าทึ่งจริงๆ!” เจ้าสำนักหานเจี้ยนชิวกลับไปยังที่นั่งของตัวเองและหัวเราะหึๆ ดูเหมือนความพ่ายแพ้เมื่อครู่นี้ไม่ได้ทำให้เขาอารมณ์เสียเลยสักนิด


“ผมต้องขอขอบคุณที่คุณออมมือให้” จางเซวียนตอบพร้อมกับประสานมือ


“แพ้ก็คือแพ้…” หานเจี้ยนชิวส่ายหน้า “แล้วคำถามที่คุณอยากถามคืออะไร?”


“เจ้าสำนักหาน ผมอยากถามว่าคุณเคยได้ยินชื่อของ…ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณไหม?”จางเซวียนถามอย่างร้อนใจ


ชายที่อยู่ตรงหน้าเขาคือเจ้าสำนักดาบเมฆเหิน หนึ่งในบุคลากรชั้นนำของมิติเบื้องบน สิ่งที่อีกฝ่ายรู้ย่อมเหนือกว่าที่ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นรู้แน่นอน


มีความเป็นไปได้สูงที่หานเจี้ยนชิวจะมีข้อมูลหรือเงื่อนงำบางอย่างเกี่ยวกับที่อยู่ของหลัวลั่วชิง


“ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ?” หานเจี้ยนชิวขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้า “ผมไม่เคยได้ยินชื่อสถานที่นั้นเลย” คำตอบนี้ทำให้จางเซวียนชะงัก


“6 สำนักใหญ่ของทวีปที่ถูกลืมมีชื่อว่าสำนักดาบเมฆเหิน ตำหนักคว้าดาว หอนานาอสูร สำนักดาวเจ็ดดวง ป้อมปราการกระจกดำ และสำนักอมตะเลือนหาย” หานเจี้ยนชิวพูด “ในบรรดา 6 สำนักที่ว่ามา สถานที่เดียวที่มีคุณสมบัติเพียงพอจะใช้คำว่า ‘เทพเจ้า’ ได้คือสำนักดาบเมฆเหินของเราเท่านั้น ส่วนอีก 5 สำนักที่เหลือไม่มีสิทธิ์”


“สิ่งเดียวที่อยู่เหนือทั้ง 6 สำนักใหญ่คือหอนิรันดร์ ก่อตั้งขึ้นโดยหัวหน้าขงตั้งแต่สี่พันปีก่อน ตัวเขาคือผู้ที่บุกเข้าสู่หอเทพเจ้าเพื่อฉกฉวยคำว่า ‘เทพเจ้า’ มา”


“เพราะเหตุนี้ หอนิรันดร์จึงขยายสาขาออกไปทั่วโลก และแม้แต่ 6 สำนักใหญ่ก็ไม่กล้าท้าทายมัน แต่หลายพันปีนับจากนั้นเป็นต้นมา ไม่มีใครข้ามผ่านสะพานเบื้องบนไปได้เลย ส่วนการจะบุกเข้าสู่หอเทพเจ้าเพื่อฉกฉวยตัวอักษรที่เหลือนั้นก็ไม่ต้องพูดถึง ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีกลุ่มอำนาจอื่นใดอีกในทวีปที่ถูกลืมที่กล้าใช้คำว่า ‘เทพเจ้า’…เรื่องนี้มีความเป็นไปได้เพียง 2 ข้อ ข้อหนึ่งคือตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณไม่มีอยู่จริง ส่วนข้อสอง มันไม่ใช่กลุ่มอำนาจที่ตั้งอยู่ในทวีปที่ถูกลืม!”


เพราะทวีปที่ถูกลืมเป็นโลกที่ถูกละเลยจากเทพเจ้า การใช้คำว่าเทพเจ้าจึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากสำหรับที่นี่ หากไม่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการจากหอเทพเจ้า ก็ไม่มีกลุ่มอำนาจไหนอาจหาญนำคำนั้นไปใช้


ถ้าตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณมีอยู่จริง ก็ไม่มีทางที่เขาจะไม่เคยได้ยินเรื่องของมัน


ส่วนจางเซวียนก็หน้าซีดเมื่อได้ฟังคำอธิบายนั้น เป็นไปได้หรือไม่ว่าสิ่งที่เทพเจ้าผู้ถูกเรียกมาในครั้งนั้นบอกเขาไว้ล้วนแต่เป็นเรื่องโกหก?


ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณไม่ได้อยู่ในมิติเบื้องบนหรือ?


หานเจี้ยนชิวดูออกว่าจางเซวียนวิตกกังวลเรื่องนี้มาก จึงเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ “คุณได้ยินชื่อสถานที่นี้จากที่ไหน?”


“ผมบังเอิญได้ยินใครคนหนึ่งพูดถึงมัน…” จางเซวียนส่ายหน้าอย่างผิดหวัง


ถ้าคนระดับหานเจี้ยนชิวยังไม่เคยรู้เรื่อง ทั่วทั้งมิติเบื้องบนแห่งนี้ก็คงไม่มีใครรู้


แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น…ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณจะอยู่ที่ไหน? มีอยู่จริงหรือเปล่า?


หลัวลั่วชิงอยู่ที่ไหนกันแน่?


หานเจี้ยนชิวหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ถ้าข่าวที่คุณรู้มาเป็นเรื่องจริงและมีตำหนักของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณอยู่จริงๆ…บางทีคุณน่าจะลองถามตู้ชิงหย่วน เธอน่าจะพอรู้อะไรบ้าง”


“ตู้ชิงหย่วน?” จางเซวียนทวนคำ


“เธอคือหัวหน้าตำหนักคว้าดาว ในทวีปที่ถูกลืมแห่งนี้ เธอคือผู้เดียวที่มีความรู้ความเข้าใจในหอเทพเจ้าอย่างล้ำลึกที่สุด ว่ากันว่าเธอถึงกับเคยสื่อสารกับเทพเจ้าตัวจริงและได้รับของกำนัลจากพวกเขาด้วย” หานเจี้ยนชิวสาธยาย


“เธอเคยสื่อสารกับเทพเจ้าตัวจริง?” จางเซวียนตัวแข็งเมื่อพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา


ถ้าหลัวลั่วชิงไม่ได้อยู่ในมิติเบื้องบน…หรือว่าเธอคือเทพเจ้าตัวจริง?


คนรักผู้แสนลึกลับของเขาคนนี้รู้เรื่องหอสมุดเทียบฟ้า และสามารถหลอมรวมมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงของปรมาจารย์ขงเข้ากับหอสมุดเทียบฟ้าได้ หากมองที่ความสามารถของเธอ ก็ดูเหมือนจะเหนือชั้นกว่าเจ้าสำนักหานเสียอีก!


ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ก็คงไม่แปลกอะไรหากจะพูดว่าเธอคือเทพเจ้าตัวจริง


“แต่ตู้ชิงหย่วนไม่ใช่คนอารมณ์ดีนัก และเธอจะสงวนปากคำเสมอเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้า เธออาจไม่เต็มใจตอบคำถามของคุณก็ได้” หานเจี้ยนชิวเตือนล่วงหน้า


“เพราะทวีปที่ถูกลืมคือดินแดนที่ถูกละเลยจากเทพเจ้า สิ่งที่พวกเขาไม่ชอบอย่างยิ่งก็คือการที่พวกเราเข้าไปสืบเสาะหาความจริง ถ้าเหล่าเทพเจ้ารู้เรื่องนี้ พวกเขาอาจมาตามล่าเราก็ได้!”


จางเซวียนขมวดคิ้วขณะพยักหน้ารับอย่างเคร่งขรึม


บรรดาหนังสือที่เขาได้อ่านทำให้เขาพอมีความเข้าใจในทวีปที่ถูกลืมอยู่บ้าง ว่ากันว่าสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนทวีปแห่งนี้ได้ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ของเทพเจ้า ส่งผลให้ทั้งดินแดนถูกเทพเจ้าละเลยทอดทิ้ง หากจะบอกว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่นี่ถูกตัดขาดไปแล้ว ก็ไม่เกินจากความเป็นจริงนัก


ตอนที่ 2012 นั่นคือปรมาจารย์ขง?

เหล่าทายาทของสิ่งมีชีวิตที่นี่ต่างพากเพียรฝึกฝนวรยุทธอย่างหนักทั้งวันทั้งคืน หวังจะล้างมลทินให้บรรพบุรุษของพวกเขาและกลับสู่สรวงสวรรค์ซึ่งเป็นโลกที่เหล่าเทพเจ้าอาศัยอยู่อีกครั้ง


ความหวังของพวกเขาขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรียกว่าสะพานเบื้องบน มันเป็นเส้นทางเดียวที่นำไปสู่สรวงสวรรค์ แต่จะถูกเชื่อมต่อได้เพียงหนึ่งครั้งในทุกๆ 100 ปีเท่านั้น แถมหอเทพเจ้ายังตั้งอยู่ที่ปลายอีกด้านหนึ่งของสะพานด้วย


ที่หอเทพเจ้าแห่งนั้น มีเหล่าองครักษ์ที่คอยกีดกันไม่ให้สิ่งมีชีวิตจากมิติเบื้องบนผ่านเข้าไป


หัวหน้าขงและผู้ก่อตั้งสำนักดาบเมฆเหินฉกฉวยตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ มาจากที่นั่น


“หอเทพเจ้าปิดกั้นโลกใบนี้ไว้ กีดกันไม่ให้พวกเราคนไหนกลายเป็นเทพเจ้าตัวจริงได้ ยิ่งกว่านั้น หากใครอาจหาญก้าวล่วงความลับของเหล่าเทพเจ้า หอเทพเจ้าจะตามล่าและเล่นงานผู้นั้นทันที อันที่จริง…”


ถึงตอนนี้ หานเจี้ยนชิวลดเสียงลงราวกับกลัวว่าจะมีใครได้ยิน เขาพูดต่อ “สำหรับคนอย่างคุณที่ทำความเข้าใจเจตจำนงของเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ ก็จะเป็นที่หวาดกลัวในสายตาของเทพเจ้า หากพวกเขารู้ว่ามีคุณอยู่ อาจเป็นการผลักดันยั่วยุให้เกิดการบุกเข้าโจมตีก็ได้…”


จางเซวียนประหลาดใจกับการเปิดเผยข้อมูลนั้น เขาตั้งคำถาม “ทำไมล่ะ?”


“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน บางที…อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่อยากเห็นใครตั้งคำถามหรือเกิดความสงสัยในอำนาจของสวรรค์ เพราะผู้ใดก็ตามที่ทำความเข้าใจเจตจำนงของเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ ในท้ายที่สุดก็จะมีพละกำลังมากพอที่จะท้าทายพวกเขา เหล่าเทพเจ้าไม่อยากเห็นเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ อยู่ให้ห่างจากเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าเอาไว้จึงดีที่สุด” หานเจี้ยนชิวพูด


“เพราะฉะนั้น ผมหวังว่าคุณจะหลีกเลี่ยงการทำตัวเป็นจุดสนใจของหอเทพเจ้า จนกว่าคุณจะมีพละกำลังแข็งแกร่งพอที่จะเทียบชั้นกับพวกเขา จะดีที่สุดหากจะปิดบังให้แนบเนียนที่สุดเท่าที่จะทำได้ไม่ให้ใครๆรู้ตัวตนของคุณ!”


จางเซวียนหลับตาครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “ผมจะระมัดระวังคำพูด”


“ไม่ใช่แค่คำพูดของคุณเท่านั้นนะ อย่าเปิดเผยพละกำลังของตัวเองง่ายๆ การโอ้อวดตัวเองเกินไปจะย้อนกลับมาฆ่าคุณเอง!” หานเจี้ยนชิวพูดต่อ


“ไม่ต้องห่วง นิสัยของผมคือถ่อมเนื้อถ่อมตัวอยู่แล้ว” จางเซวียนตอบพร้อมกับยิ้มอย่างมั่นใจ


“…แค่ก แค่ก!”


เห็นจางเซวียนไม่รู้เนื้อรู้ตัวเอาเสียเลย หานเจี้ยนชิวหน้าแดงก่ำและไม่รู้จะโต้ตอบคำพูดของอีกฝ่ายอย่างไร


เพียงวันเดียว จางเซวียนคนนี้ก็ทำให้ประตูขุนเขาพังทลาย จากนั้นก็ท้าทายบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในและศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดในสำนัก และไม่นานหลังจากนั้นก็บุกสภาผู้อาวุโส เอาชนะเจ้าสำนักกับสี่ผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งที่สุดได้


เขาไปไกลเกินกว่าที่คนธรรมดาสามัญคนหนึ่งจะทำได้ในเวลาชั่วชีวิตด้วยซ้ำ แต่ยังมีหน้าพูดว่าตัวเองเป็นคนถ่อมเนื้อถ่อมตัว?


ทำไปได้!


รู้ดีว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไป เขาอาจโมโหจนลมจับแน่ หานเจี้ยนชิวนำตราสัญลักษณ์อันหนึ่งออกมายื่นให้ “หัวหน้าขงจากหอนิรันดร์รู้ว่าคุณทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ จึงขอร้องให้ผมช่วยมอบตราสัญลักษณ์นี้ให้คุณ ด้วยตราสัญลักษณ์นี้ คุณจะมีสิทธิ์ได้รับทรัพยากรทุกรูปแบบในหอนิรันดร์ตามแต่คุณจะต้องการ คุณจะยกระดับวรยุทธได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆเลย!”


“หัวหน้าขงให้มาหรือ?” จางเซวียนตัวแข็งไปเล็กน้อย เขาอดพึมพำกับตัวเองไม่ได้ “นั่นคือปรมาจารย์ขง? เขายังอยู่ใน…ทวีปที่ถูกลืม?”


อายุขัยของนักรบขั้นเสมือนอมตะคนหนึ่งยาวนานเพียง 300 ปีเท่านั้น และแม้แต่ผู้ที่สำเร็จวรยุทธเป็นนักรบอมตะขั้นสูงหรือนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ก็ไม่ได้มีอายุขัยยาวนานกว่านั้นเท่าไหร่


ปรมาจารย์ขงจากทวีปแห่งปรมาจารย์ไปตั้งแต่หลายหมื่นปีก่อน ซึ่งหากใช้อัตราส่วน 1:10 ก็หมายความว่าเขาอยู่ที่นี่มาหลายพันปีแล้วเป็นอย่างน้อย เป็นไปได้หรือที่เขาจะยังมีชีวิตอยู่?


“ปรมาจารย์ขง? ใช่…สมัยก่อนใครๆก็เรียกเขาแบบนั้น” หานเจี้ยนชิวหัวเราะหึๆ “แน่นอนว่าตอนนี้เขาอยู่ในทวีปที่ถูกลืม ส่วนจะพำนักอยู่ที่ไหนนั้น…ผมเกรงว่าผมไม่รู้ ตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา เขาตระเวนร่อนเร่ไปทั่วทั้งดินแดน ไม่ค่อยปรากฏตัวให้ใครเห็น เพียงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมานี้ที่เขาเริ่มปรากฏตัวต่อสาธารณชนอีกครั้ง ซึ่งในตอนนั้นเองที่ใครๆก็เพิ่งรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่”


“เอ่อ…” จางเซวียนตาโตด้วยความตื่นเต้น


เรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นข่าวดีที่สุดที่เขาได้รับในวันนี้! ถ้าปรมาจารย์ขงยังมีชีวิตอยู่ในมิติเบื้องบน ไม่ช้าไม่นานพวกเขาก็คงได้พบกัน


จางเซวียนรับตราสัญลักษณ์จากหานเจี้ยนชิว เขาแตะมันเบาๆ รู้สึกได้ถึงกระแสความอบอุ่นที่ไหลเข้าสู่ร่างกาย


“เป็นเขาจริงๆ…” จางเซวียนตัวสั่นเล็กน้อย


หากเขาเคยสงสัยว่าหัวหน้าขงคือปรมาจารย์ขงหรือไม่ ในวินาทีที่เขาได้สัมผัสตราสัญลักษณ์ ก็รู้เลยว่าเป็นตามนั้นจริงๆ


ในฐานะปรมาจารย์ฟ้าประทานผู้มีต้นกำเนิดจากทวีปแห่งปรมาจารย์ มีสายสัมพันธ์บางอย่างที่ไม่อาจบรรยายได้ผูกพันระหว่างทั้งคู่


“หัวหน้าขงใจกว้างเสมอกับผู้ที่มีความปราดเปรื่องเหนือชั้น และในฐานะเจ้าสำนักดาบเมฆเหิน ผมคงเสียหน้าแน่หากไม่มอบอะไรให้คุณบ้าง” หานเจี้ยนชิวหัวเราะหึๆ


เขาสะบัดข้อมือ จากนั้นก็นำดาบออกมาเล่มหนึ่ง “นี่คือดาบที่เรียกว่าถงซัง แม้จะเทียบชั้นไม่ได้กับหรวนเทียนของผม แต่ก็เป็นของล้ำค่าระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ ผมจะมอบให้คุณเดี๋ยวนี้ พยายามทำความเข้าใจมันเสีย ถ้าคุณเป็นเจ้าของมันได้ ก็จะเป็นประโยชน์มากต่อวรยุทธและประสิทธิภาพการต่อสู้ของคุณ!”


วิ้งงงง!


ดาบถงซังลอยอยู่ตรงหน้าจางเซวียน แผ่ความกดดันหนักหน่วงออกมา ราวกับมีนักรบอมตะขั้นสูงคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขา


“ขอบคุณมาก เจ้าสำนักหาน” จางเซวียนโค้งคำนับอย่างงาม


เขายังกังวลอยู่ว่าอาจจะหมดหนทางหากนักรบอมตะขั้นสูงสักคนเล่นงานเขา แต่เมื่อมีดาบเล่มนี้ในมือ ก็ไม่ต่างอะไรกับการมีนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์คนหนึ่งคอยปกป้องในทุกย่างก้าว


แต่แน่นอนว่ามันจะเป็นอย่างนั้นได้ก็ต่อเมื่อเขาทำให้ดาบถงซังยอมจำนนได้แล้วเท่านั้น ดาบในระดับขั้นนี้มีจิตวิญญาณของตัวเอง และด้วยขีดจำกัดของวรยุทธของเขา การจะเอาชนะมันย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย


แต่ด้วยหอสมุดเทียบฟ้า จางเซวียนน่าจะจัดการได้


จางเซวียนรีบเก็บดาบถงซังเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติของเขา


เป็นไปได้ว่าหานเจี้ยนชิวน่าจะสร้างฉนวนบางอย่างไว้บนดาบถงซัง เพราะไม่อย่างนั้น มันคงไม่ยอมให้เขาเก็บมันเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติโดยง่าย


หานเจี้ยนชิวพยักหน้าขณะเฝ้ามองจางเซวียนเก็บดาบเข้าสู่แหวนเก็บสมบัติ ครู่ต่อมาก็พลันนึกอะไรได้บางอย่างและเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ “อ้อ ตอนนี้คุณอยู่ที่ยอดเขาไหน และผู้อาวุโสคนไหนดูแลคุณอยู่?”


ผู้อาวุโสผู้ดูแลยอดเขาจะทำหน้าที่บ่มเพาะศิษย์สายตรงผู้ปราดเปรื่องด้วย แน่นอนว่าผู้อาวุโสที่ดูแลจางเซวียนจะต้องได้รับการตบรางวัลอย่างงาม


“ตอนนี้ผมพักอยู่บริเวณยอดเขาของศิษย์สายตรงฝ่ายใน ส่วนผู้อาวุโส…ผมคิดว่าเป็นผู้อาวุโสลู่อวิ๋น” จางเซวียนตอบ


“ลู่อวิ๋น?” หานเจี้ยนขมวดคิ้ว


เห็นเจ้าสำนักไม่เคยได้ยินชื่อผู้อาวุโสลู่อวิ๋น ผู้อาวุโสเหอรีบให้รายละเอียด “เขาเป็นผู้อาวุโสฝ่ายนอกคนหนึ่งที่เพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งวันนี้ ความดีความชอบของเขาคือการนำพาศิษย์สายตรงผู้ปราดเปรื่องคนหนึ่งเข้ามา เพราะเขาฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบอมตะตัวจริงได้แล้ว ผมจึงเลื่อนตำแหน่งให้เขาเป็นผู้อาวุโสฝ่ายใน”


บรรดาผู้อาวุโสฝ่ายนอกจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมในสภาผู้อาวุโส จึงไม่แปลกที่หานเจี้ยนชิวจะไม่รู้จักผู้อาวุโสลู่อวิ๋น


“ผู้อาวุโสฝ่ายนอก? หมายความว่าคุณเป็นศิษย์สายตรงฝ่ายนอกหรือ?” หานเจี้ยนชิวมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ


ศิษย์สายตรงฝ่ายนอกสามารถทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้?


เอาจริงๆสิ!


ศิษย์สายตรงฝ่ายนอกของสำนักดาบเมฆเหินไร้เทียมทานขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?


ไม่น่าแปลกใจแล้วที่เขาเข้าท้าทายบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายใน ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด และแม้แต่ผู้อาวุโส…เขาคงอึดอัดใจมากที่ต้องถูกกลบฝังความสามารถไว้แบบนี้!


“ศิษย์สายตรงฝ่ายนอก?” ได้ยินคำนั้น จางเซวียนตอบด้วยใบหน้าแดงก่ำ “บอกคุณตามตรงนะผมไม่ใช่ศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหินด้วยซ้ำ…”


ทันทีที่พูดจบ จางเซวียนก็รู้สึกว่าทุกคนที่อยู่รอบตัวเขาพลันเงียบกริบ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามอ้อมแอ้ม “ผม…ผมควรคืนตราสัญลักษณ์และดาบถงซังให้คุณไหม?”


ผู้อาวุโสไป๋เย่ไม่มีเวลารายงานเรื่องตัวตนที่แท้จริงของจางเซวียนก่อนที่ทุกอย่างจะเกิดขึ้น นำมาซึ่งความเข้าใจผิดครั้งใหญ่


ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีใครในห้องนั้นที่รู้ว่าอัจฉริยะไร้เทียมทานผู้ทำความเข้าใจเจตจำนงของเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จคนนี้ไม่ใช่ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุด ไม่ใช่ศิษย์สายตรงฝ่ายใน หรือแม้แต่ศิษย์สายตรงฝ่ายนอก นั่นแหละ…เขาไม่ได้เป็นศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหินด้วยซ้ำ!


แน่นอนว่าเรื่องนี้สร้างความอิหลักอิเหลื่อมาก


นักรบผู้ไม่ได้เป็นแม้แต่ศิษย์สายตรงของสำนักสามารถทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของผู้ก่อตั้ง และเล่นงานทุกคนนับตั้งแต่ศิษย์สายตรงฝ่ายในขึ้นไปจนราบคาบ


หานเจี้ยนชิว ผู้อาวุโสเหอและคนอื่นๆพากันหน้าแดงก่ำขณะหายใจขัดเล็กน้อย ต่างคนต่างอยากจะหายตัวไปเดี๋ยวนั้น


นี่มันบ้าบออะไร?


พวกเขาคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนหากใครๆรู้เรื่องนี้!


“คุณเพิ่งเข้าสู่สำนักของเราได้เพียงวันเดียวใช่ไหม? แถมยังทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้ขณะที่ผ่านดาบเล่มใหญ่เข้ามา?” ผู้อาวุโสเหอร่ำๆจะปล่อยโฮ


เขายืนอยู่นอกประตูขุนเขากว่าสามสิบปีเพื่อพยายามทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบอันลึกซึ้ง แต่ก็ไม่คืบหน้าไปไหน ส่วนชายหนุ่มคนนี้ทำความเข้าใจมันได้สำเร็จขณะที่เดินผ่านประตูเข้าไป


จะมีอะไรในโลกที่น่าเจ็บช้ำยิ่งกว่านี้อีก?


“ผมคิดว่า…ผมก็ใช้เวลาหลายอึดใจอยู่นะ!” จางเซวียนตอบ


ผู้อาวุโสเหอรู้สึกหน้ามืดตาลายขึ้นมาทันที


“ดูเหมือนเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าจะไม่ใช่สิ่งที่ทำความเข้าใจได้โดยอาศัยเวลา” หานเจี้ยนชิวปลอบเมื่อเห็นสีหน้าเจ็บช้ำของผู้อาวุโสเหอ


จากนั้นเขาก็หันกลับไปพูดกับจางเซวียน “การที่คุณสามารถทำความเข้าใจเจตจำนงของเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ ก็หมายความว่าคุณคือเจ้าสำนักของเราคนต่อไป ในอีกแง่หนึ่ง ก็ดีแล้วที่คุณไม่ใช่ศิษย์สายตรง นับจากวินาทีนี้ไป คุณคือผู้อาวุโสขั้นสูงสุดของสำนักดาบเมฆเหิน จะได้รับสิทธิพิเศษตามแบบของผู้อาวุโสขั้นสูงสุดทุกประการ”


สำนักดาบเมฆเหินจะมีโอกาสได้ใช้ชื่อสำนักเทพดาบเมฆเหินหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้ชายหนุ่มจากไปง่ายๆ


ตอนที่ 2013 ผมต้องขอตัวก่อน!

จางเซวียนยังไม่ได้เป็นศิษย์สายตรงก็จริง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าคงไม่เหมาะสมอย่างมากที่จะมอบตำแหน่งศิษย์สายตรงฝ่ายในหรือศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดให้เขา เพราะในฐานะนักรบที่เอาชนะ 5 ผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักดาบเมฆเหินได้ คงไม่มีใครที่มีคุณสมบัติเพียงพอจะถ่ายทอดศิลปะเพลงดาบให้เขา


ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ควรมอบตำแหน่งผู้อาวุโสขั้นสูงสุดให้ชายหนุ่มจะดีกว่า ด้วยสถานภาพนี้ การที่อีกฝ่ายจะก้าวขึ้นเป็นเจ้าสำนักในอนาคตก็ย่อมง่ายขึ้นมาก


“ผู้อาวุโสขั้นสูงสุด?” จางเซวียนถึงกับผงะ


เรากลายเป็นผู้อาวุโสขั้นสูงสุดของสำนักดาบเมฆเหินได้ง่ายๆแบบนี้หรือ?


“ใช่แล้ว แต่เพื่อความปลอดภัย ในเวลานี้จะเป็นเพียงตำแหน่งกิตติมศักดิ์เท่านั้น เราจะยังไม่ประกาศตำแหน่งของคุณอย่างเป็นทางการจนกว่าคุณจะสำเร็จวรยุทธเป็นนักรบอมตะขั้นสูงเสียก่อน” หานเจี้ยนชิวตอบ


เมื่อครู่นี้เองที่เรื่องราวเพิ่งคลี่คลายว่ามีอัจฉริยะผู้หนึ่งทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบได้สำเร็จ ซึ่งหากจู่ๆนักรบขั้นเสมือนอมตะคนหนึ่งได้รับตำแหน่งผู้อาวุโสขั้นสูงสุดอย่างปุบปับ จะไม่เท่ากับประกาศให้ทั้งโลกรู้ว่าเขาคืออัจฉริยะผู้นั้นหรือ?


ดังนั้น ถึงจะขลุกขลักอยู่บ้าง แต่ก็ดีที่สุดที่ในระหว่างนี้จะเก็บตัวเงียบไว้ก่อน


“ถ้าอย่างนั้น ผมเข้าหอสมุดของผู้อาวุโสได้ไหม?” จางเซวียนตั้งคำถาม


เขาพึงพอใจกับข้อตกลงนี้เพราะไม่ชอบตกเป็นเป้าสายตาของใคร ตราบใดที่เขาได้ในสิ่งที่ต้องการ ที่เหลือก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่


“ได้แน่นอน” หานเจี้ยนชิวตอบ “นี่คือตราสัญลักษณ์ผู้อาวุโสของคุณ ชื่อของคุณยังไม่ได้ถูกจารึกลงไป แต่ผมถ่ายทอดรังสีของผมเข้าไปแล้ว เพราะฉะนั้นคุณจะสามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆของผู้อาวุโสขั้นสูงสุดได้ และในเวลาเดียวกัน ก็ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในสำนักได้อย่างอิสระด้วย แต่ผมคงต้องขอร้องคุณว่ากรุณาอย่าใช้มันอย่างฟุ่มเฟือย!”


“ขอบคุณมาก เจ้าสำนักหาน” จางเซวียนรับตราสัญลักษณ์ผู้อาวุโสมาอย่างลิงโลด


ด้วยสิ่งนี้ เขาจะสามารถรวบรวมหนังสือเทคนิควรยุทธขั้นอมตะตัวจริงและฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ ขอแค่เขาสำเร็จวรยุทธขั้นนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ ก็จะสามารถรับมือได้แม้แต่กับนักรบอมตะขั้นสูง สิ่งนี้จะช่วยรับประกันความปลอดภัยของเขาได้มาก


“อ้อ โดยปกติผู้อาวุโสทุกคนมีบ้านพักส่วนตัว แต่เพื่อความปลอดภัยของคุณ ผมคงต้องขอให้คุณพักที่เดิมไปก่อน” หานเจี้ยนชิวพูดอย่างลำบากใจเล็กน้อย


ในเมื่อชายผู้นี้คือว่าที่เจ้าสำนักคนต่อไปของพวกเขา การจะดูแลอีกฝ่ายแบบนี้จึงถือว่าไม่เหมาะไม่ควรนัก


“ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก” จางเซวียนตอบอย่างสบายใจ ไม่ได้ยี่หระเรื่องนั้นสักนิด


หากเขาพักอยู่ในบ้านพักของผู้อาวุโส ก็ไม่ต่างอะไรกับการเปิดเผยตัวตนของตัวเอง ยากที่จะไม่ตกเป็นเป้าสายตาของใครๆ


หลังจากจัดการเรื่องต่างๆแล้ว หานเจี้ยนชิวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ในเมื่อคุณเป็นผู้อาวุโสขั้นสูงสุดคนหนึ่ง ผมก็หวังว่าคุณจะไม่เข้าสู่หอนิรันดร์ของศิษย์สายตรงฝ่ายในและศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดบ่อยครั้งเกินไปนัก…”


จางเซวียนตอบรับด้วยการพยักหน้าอย่างหนักแน่น


ด้วยตราสัญลักษณ์ที่ปรมาจารย์ขงมอบให้ เขาจะไม่ขาดแคลนทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธอีกต่อไป เพราะฉะนั้นก็ไม่จำเป็นต้องหาเงินจากบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายในและศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดพวกนั้น


“ผมต้องขอตัวก่อน!”


หลังจากได้สอบถามในทุกสิ่งที่อยากรู้ จางเซวียนก็หันหลังกลับและเดินออกจากสภาผู้อาวุโส ผู้อาวุโสไป๋เย่รีบตามไปติดๆเพื่อส่งจางเซวียนกลับที่พัก


ทันทีที่จางเซวียนออกจากห้อง บริเวณนั้นก็เงียบกริบ ไม่มีใครพูดหรือขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว


เวลาล่วงไประยะหนึ่งกว่าผู้อาวุโสเหอจะหันไปพูดกับหานเจี้ยนชิว “ท่านเจ้าสำนักหาน ในเมื่อจางเซวียนทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ ก็น่าจะดีที่สุดหากจะพาเขาเข้าสู่ ตำหนักเจตจำนงเพลงดาบเพื่อฝึกฝนวรยุทธ ด้วยวิธีนี้ เขาจะยกระดับวรยุทธของตัวเองได้เร็วขึ้น เขาบรรลุเงื่อนไขพื้นฐานต่างๆที่จำเป็นหมดแล้ว ทำไมคุณถึง…”


ตำหนักเจตจำนงเพลงดาบคือสถานที่ที่ลึกลับซับซ้อนที่สุดของสำนักดาบเมฆเหิน เจ้าสำนักรุ่นแล้วรุ่นเล่าจะบ่มเพาะเจตจำนงเพลงดาบของพวกเขาที่นั่นเพื่อฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์


ในเมื่อจางเซวียนทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ ก็ชัดเจนว่าเขาจะได้เป็นเจ้าสำนักคนต่อไป ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาควรปฏิบัติโดยเร็วก็คือช่วยเหลือชายหนุ่มให้ยกระดับวรยุทธให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งวิธีการที่ลัดตัดตรงที่สุดในการฝ่าด่านวรยุทธก็คือการเข้าสู่ตำหนักเจตจำนงเพลงดาบ แล้วทำไมหานเจี้ยนชิวถึงไม่พูดเรื่องนี้?


“สิ่งที่ถูกเก็บรักษาไว้ในตำหนักเจตจำนงเพลงดาบคือเจตจำนงเพลงดาบอันล้ำค่าของเจ้าสำนักคนก่อนๆ เจตจำนงเหล่านั้นมีไว้ให้เจ้าสำนักรุ่นหลังศึกษาและบ่มเพาะตัวเอง มันจะช่วยพัฒนาศักยภาพของนักรบโดยทั่วไปได้มาก แต่…”


หานเจี้ยนชิวยิ้มเจื่อนๆขณะพูดต่อ “จางเซวียนทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จแล้ว ซึ่งนั่นหมายความว่าแนวคิดเรื่องศิลปะเพลงดาบของเขาเข้าถึงระดับที่สูงกว่าบรรพบุรุษคนก่อนๆของพวกเรา ผมเกรงว่าหากเขาเข้าสู่ตำหนักเจตจำนงเพลงดาบ ไม่เพียงแต่จะไม่ได้เรียนรู้อะไรเพิ่ม ยังอาจลงเอยด้วยการสร้างความเสียหายให้ตำหนักโดยไม่ได้ตั้งใจด้วย ดูจากพฤติกรรมที่ผ่านๆมาของเขา ผมคิดว่ารักษาเกียรติยศศักดิ์ศรีของบรรพบุรุษของเราเอาไว้จะดีกว่า…”


“…” ผู้อาวุโสเหอเลิกคิ้ว


สิ่งที่หานเจี้ยนชิวพูดก็มีเหตุผล


เจ้าหนุ่มคนนั้นเที่ยวท้าทายใครต่อใครไปทั่ว หากเขาเข้าสู่ตำหนักเจตจำนงเพลงดาบและท้าทายเหล่าบรรพบุรุษแทนที่จะศึกษาหาความรู้ แล้วเกียรติยศศักดิ์ศรีของเหล่าบรรพบุรุษของพวกเขาจะเหลืออะไร?


โชคดีที่เจ้าสำนักหานใคร่ครวญเรื่องนี้อย่างรอบคอบ ไม่อย่างนั้น หากทำอะไรผิดพลาดไป เมื่อพวกเขาตายไปแล้วคงเผชิญหน้ากับเหล่าบรรพบุรุษไม่ไหวแน่


“ผู้อาวุโสเหอกับผู้อาวุโสโฉว ในเวลานี้ แม้แต่สำนักดาบของพวกเราก็อาจไม่ปลอดภัยอีกต่อไป ผมขอรบกวนให้คุณทั้งคู่ตรวจตราและปกป้องจางเซวียนด้วย เขาทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จตั้งแต่มาถึงได้เพียงวันเดียว ผมจึงเชื่อว่าเขาน่าจะเป็นกุญแจที่นำไปสู่การเรียกคืนความรุ่งโรจน์กลับคืนสู่สำนักของเรา ซึ่งหากทุกอย่างเป็นไปตามนั้นจริงๆ เราจะมีอำนาจทัดเทียมกับหอนิรันดร์เลยทีเดียว เหนือชั้นกว่าอีก 5 สำนักที่เหลือด้วย!” หานเจี้ยนชิวพูดอย่างตื่นเต้น


ถึงจางเซวียนจะดูเอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้ แต่พละกำลังของเขาจัดว่าไร้เทียมทาน ความเชี่ยวชาญในศิลปะเพลงดาบของอีกฝ่ายเหนือชั้นกว่าเหล่าผู้อาวุโสและและทุกคนในทวีปที่ถูกลืม ขอแค่เขายกระดับวรยุทธให้ทัดเทียมกับเหล่าผู้อาวุโสได้ ก็มีโอกาสสูงที่สำนักดาบเมฆเหินจะสามารถฉกฉวยตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือมาจากหอเทพเจ้า และผงาดขึ้นเป็นที่หนึ่งของหกสำนักใหญ่ คงไม่ต้องพูดว่าเหนือชั้นกว่าแม้แต่หอนิรันดร์และหอเทพเจ้า


ความเป็นไปได้ทุกอย่างนั้นไม่มีที่สิ้นสุด!


“วางใจได้เลย เจ้าสำนักหาน” ผู้อาวุโสเหอกับผู้อาวุโสโฉวตอบรับพร้อมกับพยักหน้า


เพื่อสำนักดาบเมฆเหิน พวกเขาจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อช่วยเหลือและปกป้องจางเซวียน


…..


หลังจากกลับถึงบ้านพักของตั้นเฉี่ยวเทียน จางเซวียนตรวจดูการฝึกฝนศิลปะเพลงดาบของตั้นเฉี่ยวเทียนกับไป๋เหรินชิง จากนั้นก็ให้คำชี้แนะทั้งคู่ก่อนจะกลับห้องของเขา


เขาสร้างปราการเพื่อปิดกั้นพื้นที่นั้นจากโลกภายนอกก่อนจะนำตราสัญลักษณ์ของปรมาจารย์ขงออกมาด้วยการสะบัดข้อมือ จางเซวียนหยดเลือดหยดหนึ่งลงไปบนตราสัญลักษณ์เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ ไม่ช้าก็พบวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของตราสัญลักษณ์อันนั้น


ไม่เหมือนกับที่เขาคิดไว้ ตราสัญลักษณ์นี้ไม่ใช่ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล จึงไม่อาจใช้มันเข้าสู่หอนิรันดร์ได้ ดูเหมือนมันจะเป็นตราเกียรติยศชนิดหนึ่ง


ด้วยสิ่งนี้ หากเขาเข้าสู่บริเวณรอบนอกของหอนิรันดร์ ก็จะสามารถซื้อหาทรัพยากรทุกชนิดจากหอนิรันดร์ได้โดยไม่ต้องใช้เงินสักเหรียญเดียว


พูดอีกอย่างก็คือ มันเหมือนบัตรทองที่เขารูดได้ครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่ต้องเสียเงินสักแดง!


ปรมาจารย์ขงช่างใจกว้างจริงๆ!


เดี๋ยวจะต้องลองดู จางเซวียนคิดขณะเก็บตราสัญลักษณ์เข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ


เขาสามารถเข้าสู่บริเวณรอบนอกของหอนิรันดร์ได้เมื่ออยู่ในสำนักดาบเมฆเหิน จึงควรจะไปรื่นรมย์กับสิทธิพิเศษอันไม่จำกัดนี้เสียหน่อย


หลังจากเก็บตราสัญลักษณ์เข้าไปในแหวนเก็บสมบัติแล้ว จางเซวียนก็สะบัดข้อมืออีกครั้งและนำดาบถงซังที่หานเจี้ยนชิวมอบให้ออกมา ทันทีที่ดาบปรากฏ รอยร้าวเล็กๆก็เกิดขึ้นโดยรอบ ราวกับพื้นผิวโลกไม่อาจต้านทานพลังงานมหาศาลที่ดาบแผ่ออกมาได้ ทำให้มันทำท่าจะแหลกสลาย


สมกับที่เป็นของล้ำค่าระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ ศักยภาพของมันช่างไร้เทียมทานจริงๆ


ดาบถงซังคำรามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าหนุ่ม เป็นเพราะคำสั่งของหานเจี้ยนชิวหรอกนะ ผมจึงยอมมากับคุณโดยไม่เต็มใจ คุณยังห่างไกลนักกับการที่จะทำให้ผมยอมจำนนได้ ขอแนะนำว่าอย่าเปลืองแรงจะดีกว่า อีกอย่าง คุณไม่ควรนำผมออกมาโดยปราศจากเหตุผล ไม่อย่างนั้น ผมเกรงว่าผมอาจจะอารมณ์เสียและซ้อมคุณก็ได้!”


มันรู้สึกว่าเป็นการเสียหน้าครั้งใหญ่ที่ของล้ำค่าระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์อย่างตัวมันต้องยอมรับเจ้าหนุ่มคนหนึ่งที่มีวรยุทธแค่ขั้นเสมือนอมตะเป็นเจ้านาย


“คุณจะซ้อมผมหรือ?” จางเซวียนหัวเราะลั่น เขาเคาะนิ้วเบาๆลงบนคมดาบถงซัง “ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด คุณถูกหลอมโดยโอวหยางชิงเฟิง ช่างตีเหล็กผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของทวีปที่ถูกลืม ใช่ไหม?”


“ใช่” ดาบถงซังตอบอย่างภาคภูมิใจ


โอวหยางชิงเฟิงคือช่างตีเหล็กผู้โด่งดังในทวีปที่ถูกลืม อาวุธที่เป็นผลงานของเขาเป็นที่ตามหากันในหมู่ชนชั้นสูง ตลอดชีวิตของโอวหยางชิงเฟิง เขาหลอมของล้ำค่าระดับอมตะขั้นสูง 7 ชิ้น และกลายเป็นตำนาน


ก็เพราะสิ่งนี้ ดาบถงซังจึงภาคภูมิใจในต้นกำเนิดของมันมาก


“เทคนิคการหลอมดาบของโอวหยางชิงเฟิงไร้เทียมทานจริงๆ เขาผสมโลหะชวนหยางที่หายากเข้ากับคริสตัลลูกปัดมหาสมุทรโดยใช้เทคนิคการหลอมที่ซับซ้อนเหนือชั้นเพื่อสร้างคุณขึ้นมา แต่ทั้งๆที่วัตถุดิบที่ใช้หลอมคุณมีมูลค่าสูงขนาดนี้ คุณไม่รู้สึกแย่บ้างหรือที่ตัวเองเป็นได้แค่ของล้ำค่าระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์?” จางเซวียนตั้งคำถาม


วัตถุดิบที่ใช้หลอมดาบเล่มนี้เป็นสิ่งล้ำค่าอย่างน่าทึ่งในทวีปที่ถูกลืม แถมกระบวนการหลอมก็เหนือชั้นมาก หากโชคดีพอ ก็มีโอกาสที่ของล้ำค่าชิ้นนี้จะเข้าถึงระดับกึ่งสรวงสวรรค์ พูดกันตามตรง น่าเสียดายมากที่มันเป็นได้แค่ของล้ำค่าระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์!


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)